Home Blog Page 141

CPF-มูลนิธิ SOS เปลี่ยนอาหารส่วนเกินเป็นมื้อโภชนาการ สานต่อ”Circular Meal มื้อนี้เปลี่ยนโลก” ปีที่ 3

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าขับเคลื่อนการจัดการอาหารส่วนเกิน เปลี่ยนเป็นเมนูมื้ออร่อยและมีโภชนาการ ในโครงการ “Circular Meal มื้อนี้ เปลี่ยนโลก” ปีที่ 3 จับมือมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (มูลนิธิ SOS สาขาประเทศไทย) ส่งมอบอาหารคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย รสชาติอร่อย ส่งเสริมการเข้าถึงอาหารอย่างเท่าเทียม อิ่มท้องด้วยอาหารคุณภาพ ทั้งกลุ่มที่มีรายได้น้อย เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้พิการ ตามแนวทางลดขยะอาหารเป็นศูนย์ (Zero Food Waste) และเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ สนับสนุนการผลิตและการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบตามเป้าหมายความยั่งยืน SDGs

โครงการ “Circular Meal มื้อนี้ เปลี่ยนโลก”ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 โดยตั้งแต่ต้นปี 2564 ถึงเดือนพฤษภาคม 2566 ส่งมอบ อาหารส่วนเกินให้ชุมชนเปราะบางในกรุงเทพฯและปริมณฑลไปแล้วรวม 130,000 มื้อ ช่วยลดขยะอาหารได้รวม 31.19 ตัน และลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 23.84 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 2,492 ต้น

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ นายทวิช ทัฬหะกาญจนากุล ผู้อำนวยการโลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้า บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CPFGS เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และอาหาร กิจการร้านอาหารและธุรกิจขนมสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของซีพีเอฟ นำวัตถุดิบที่มาจากการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีคุณภาพ สด สะอาดปลอดภัย สู่การปรุงเป็นมื้ออร่อยตามหลักโภชนาการ อาทิ ขาเป็ด เนื้อเป็ดหมักสวรรค์พร้อมปรุง เนื้อเลาะโครงอก และคั่วกลิ้งไก่ นำมาปรุงอาหารเป็นเมนูต่างๆ เช่น ขาเป็ดพะโล้ ผัดกะเพรา เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ที่อาศัยในชุมชนคลองลัดภาชี และนำวัตถุดิบแจกจ่ายให้ชุมชนใกล้เคียง ได้แก่ ชุมชนคลองตาแป้น ชุมชนซอยเพชรเกษม 40 ชุมชนสิรินทร์และเพื่อน ชุมชนหมู่ 5 บางแวก ชุมชนเพชรเกษม 46 ชุมชนวัดโคนอน โดยมีจิตอาสาซีพีเอฟ เจ้าหน้าที่มูลนิธิ SOS สาขาประเทศไทย และผู้บริหาร บริษัท จีอีพีพี สะอาด จำกัด (GEPP)

นายทวิช ทัฬหะกาญจนากุล ผู้อำนวยการโลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้า CPFGS กล่าวว่า CPFGS เป็นบริษัทในกลุ่มของซีพีเอฟ ที่จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปของซีพีเอฟภายในประเทศไทยและจำหน่ายไปยังต่างประเทศ ดำเนินธุรกิจสนับสนุนเป้าหมายการสร้างความมั่นคงทางอาหาร และแนวนโยบาย Zero Food Waste to Landfill มุ่งลดปริมาณขยะสู่การฝังกลบ ตามเป้าหมาย CPF 2030 Sustainability in Action การที่เราเข้าร่วมกับโครงการ SOS อย่างต่อเนื่อง เป็นการส่งเสริมการเข้าถึงอาหารอย่างเท่าเทียม ด้วยการนำอาหารส่วนเกินที่ถือว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อร่างกาย มีสารอาหารครบถ้วน และเป็นอาหารที่มีโปรตีนมากกว่า 90 % ของปริมาณทั้งหมด ให้พลังงานเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของกลุ่มเปราะบาง

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ในฐานะพันธมิตรผู้ผลิตอาหารที่สนับสนุนการดำเนินโครงการฯ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงอาหารอย่างเท่าเทียม ทำให้ในปี 2565 มูลนิธิ SOS มอบรางวัล SOS Awards 2022 ประเภท “OUTSTANDING FOOD RESCUE AWARD – BIG MANUFACTURING GROUP” ให้ซีพีเอฟ ที่ร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืนให้กับประเทศไทย

ทั้งนี้ ในการขับเคลื่อนเป้าหมายลดขยะอาหารเป็นศูนย์ โดยส่วนหนึ่งเป็นการดำเนินการผ่านโครงการ Circular Meal มื้อนี้เปลี่ยนโลก ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างซีพีเอฟโดย CPFGS และ SOS ยังมีพันธมิตร คือ บริษัท จีอีพีพี สะอาด จำกัด (GEPP) ช่วยเก็บกลับพลาสติกและกระดาษ (Take-back system)เข้าสู่กระบวนการจัดการรีไซเคิลอย่างมีระบบ ถือเป็นต้นแบบการจัดการอาหารส่วนเกินและความรับผิดชอบต่อบรรจุภัณฑ์เก็บกลับแบบครบวงจร (Closed-loop system) ซึ่งตั้งแต่ปีต้นปี 2564 ถึงเดือนพฤษภาคม 2566 บริษัท จีอีพีพี สะอาด จำกัด เก็บกลับบรรจุภัณฑ์ไปแล้วมากกว่า 7,000 ชิ้น

AIS Business ปลื้ม คว้ารางวัลสุดยอดพาร์ทเนอร์แห่งปีจาก ไมโครซอฟท์ 2 ปีซ้อน

0

AIS Business ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลและโซลูชันที่ได้รับการยอมรับสูงสุดจากกลุ่มผู้ประกอบการภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และ SME ผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกเพื่อส่งมอบนวัตกรรม บริการดิจิทัลและไอซีทีโซลูชัน ที่สร้างความปลอดภัย มั่นใจ ตอบโจทย์การเติบโตของลูกค้า ดังเช่นการทำงานร่วมกับ ไมโครซอฟท์ ผู้นำระดับโลกในด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มและบริการคลาวด์ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ทำให้ที่ผ่านมา AIS Business สามารถส่งมอบบริการและนวัตกรรมโซลูชันจากไมโครซอฟท์ เพื่อสร้างการเติบโตให้กับองค์กรในไทยไม่ว่าจะเป็น องค์กรภาครัฐ, องค์กรเอกชน, ผู้ประกอบ SME และภาคอุตสาหกรรม ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ บวกกับความเชี่ยวชาญของบุคลากรที่มีประสบการณ์และมีความรู้ความเข้าใจ จึงสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างตอบโจทย์ในทุกมิติ จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ AIS Business เป็นองค์กรเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการการันตีจากไมโครซอฟท์ให้ได้รับรางวัล 2023 Microsoft Thailand Partner of the Year ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS กล่าวว่า “การทำงานร่วมกับ Microsoft อย่างต่อเนื่องในฐานะพารท์เนอร์เชิงกลยุทธ์ เพื่อร่วมส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้กับองค์กรภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีด้าน Cloud, ความปลอดภัยด้านไซเบอร์และการใช้งาน, เทคโนโลยี IoT และการใช้โครงข่าย 5G กับ Edge computing หลากหลายรูปแบบ อีกทั้งยังพัฒนาบริการที่มีแตกต่างเป็นรายเดียวในประเทศไทย โดยการต่อยอดเทคโนโลยีของ Microsoft บนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของ AIS อาทิ การให้บริการแพลตฟอร์ม Azure Arc บน AIS Cloud X และบริการ Operator Connect สำหรับลูกค้าที่ใช้งาน Microsoft Teams เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ รวมถึงวันนี้เรายังมุ่งพัฒนาทักษะของบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญ พร้อมทั้งสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันจากไมโครซอฟท์ได้ตรงตามโจทย์ของลูกค้าที่มีความหลากหลายและแตกต่างตามความต้องการของแต่ละองค์กร

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่วันนี้เราเป็นพันธมิตรหนึ่งเดียวจากไทยที่ได้รับความไว้วางใจจากไมโครซอฟท์ให้เป็น Microsoft Thailand Partner of the Year Awards ซึ่งนอกเหนือจากจะตอกย้ำภาพของการเป็นพาร์ทเนอร์ที่มีความเหนียวแน่นแล้ว ยังเป็นการยืนยันถึงมาตรฐานการทำงานของ AIS ที่มีความพร้อมในทุกด้านเพื่อส่งมอบบริการดิจิทัลและโซลูชันจากไมโครซอฟท์”

นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เราได้ทำงานร่วมกับ AIS มาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้จุดมุ่งหมายเพื่อขับเคลื่อนกลุ่มลูกค้าธุรกิจให้เสริมศักยภาพเชิงดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ รางวัลนี้จึงเป็นเหมือนตัวแทนของความสำเร็จในภารกิจนี้ สำหรับพาร์ทเนอร์ที่มีความโดดเด่นในด้านการส่งมอบนวัตกรรมดิจิทัลบนแพลตฟอร์มคลาวด์ของเราให้กับลูกค้า”

โดยรางวัล Microsoft Thailand Partner of the Year Awards มอบให้กับพาร์ทเนอร์ของที่ได้พัฒนา นำเสนอ หรือแม้แต่สามารถส่งมอบ แอปพลิเคชัน บริการ เครื่องมือต่างๆ ของไมโครซอฟท์ให้กับลูกค้าได้อย่างตอบโจทย์และสร้างสรรค์ โดยเป็นการคัดเลือกมาจากบริษัทพาร์ทเนอร์กว่า 100 ประเทศทั่วโลก ซึ่ง AIS เป็นองค์กรเดียวจากประเทศไทยที่รับรางวัลนี้

AIS Fibre คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมเทคโนโลยี เวที Stevie® Awards 2023

0

AIS Fibre ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการให้บริการบรอดแบนด์ในไทย ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจขยายโครงข่ายเน็ตบ้านให้ครอบคลุมพื้นที่การใช้งาน ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพเพื่อส่งมอบนวัตกรรมเน็ตบ้าน และบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและคนไทย ด้วยการโชว์ศักยภาพสะเทือนวงการเน็ตบ้านอีกครั้ง ด้วยการคว้ารางวัลระดับโลก สุดยอดธุรกิจบรอดแบนด์ที่สร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีและงานบริการลูกค้า “Award for The Innovative Use of Technology in Customer Service -Telecommunications industries” จากเวที Stevie® Awards 2023 สำหรับรางวัล Stevie® Awards เป็นเวทีด้านธุรกิจที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก จากประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี 2002 เพื่อเชิดชูองค์กรที่มีผลงานโดดเด่นด้านการใช้เทคโนโลยี การตลาด และการบริการลูกค้า นับเป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยันถึงเป้าหมายการทำงานของ AIS Fibre ที่มีมาตรฐานระดับสากล

นางสาวสุนีย์ โรจนโอฬารรัตน์ หัวหน้าแผนกงานบริหารการตลาด ธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ AIS กล่าวว่า “การได้รับรางวัล Award for The Innovative Use of Technology in Customer Service -Telecommunications Industries” จากเวที Asia – Pacific Stevie® Awards 2023 ในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของ AIS Fibre ที่ไม่เคยหยุดตั้งคำถามเพื่อนำสร้างมาตรฐานใหม่ให้ตลาด และส่งมอบให้กับลูกค้าอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ด้านนวัตกรรม อย่างการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ร่วมกับเราท์เตอร์ เพื่อเสริมศักยภาพและความสามารถในการส่งสัญญาณ รวมถึง WiFi อัจฉริยะ ที่สามารถจัดสรรความเร็วการใช้งานให้สอดรับกับพฤติกรรมที่หลากหลากหลายของผู้บริโภค หรือแม้แต่ในด้านผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ด้วยการเปิดตัวบริการ 1 Gbps Every Room รายแรกในไทย ส่งมอบโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติก ด้วยความเร็วแรงระดับ 1 Gbps ตรงถึงทุกห้องในบ้าน

รวมถึงความตั้งใจในด้านการให้บริการ AIS Fibre ก็ยังคงเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่กล้าการันตีพร้อมดูแลลูกค้าในการแก้ไขปัญหาภายใน 24 ชั่วโมง และวันนี้ยังก้าวไปอีกขั้นด้วยการนำเทคโนโลยี Intelligent Service ที่นำ AI เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ช่วยในการให้บริการแก้ไขปัญหากับลูกค้าแบบ Proactive อย่างต่อเนื่อง”

“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ AIS Fibre ให้รับรางวัลนวัตกรรมเทคโนโลยีงานบริการลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม Awards For The Innovative Use of Technology in Customer Service – Telecommunications Industries จากเวที Asia – Pacific Stevie® Awards 2023 นับเป็นผู้ให้บริการเน็ตบ้านรายเดียวในไทย จากการเสนอชื่อมากกว่า 10,000 ราย จากองค์กรต่างๆ กว่า 29 ประเทศ ในเอเชีย-แปซิฟิก โดยได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในหลายสาขาจากทั่วโลก ในปีนี้ได้สำเร็จ นับเป็นความภาคภูมิใจที่เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของ AIS Fibre ที่จะเป็นแรงผลักดันให้พวกเราเดินหน้าทำงานเพื่อส่งมอบเน็ตบ้านที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและคนไทยต่อไป”

เมืองไทยประกันชีวิต จัดกิจกรรม Muang Thai Smile Exclusive Health : Personalized Vitamin Check Up ดูแลสุขภาพสมาชิกจากภายในสู่ภายนอก

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2566 นี้ ถือเป็นปีสำคัญของเมืองไทยประกันชีวิต ในการอยู่เคียงข้างสร้างรอยยิ้มแก่คนไทยครบ 72 ปี และได้ตั้งเป้าหมายเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผ่านกลยุทธ์ “Happiness Reinvented” เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต พร้อมเป็นคู่คิดด้านชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจ (No.1 Most Trusted Life & Health Partner) ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรม ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกบทบาทของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ เพื่อสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คน ผ่านกิจกรรมเมืองไทยสไมล์คลับ

เมืองไทยประกันชีวิต ยังคงมีเป้าหมายในการเดินหน้าสร้างความสัมพันธ์ ส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้จัดกิจกรรมเพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับสุด Exclusive แก่สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ผ่านกิจกรรม Muang Thai Smile Exclusive Health : Personalized Vitamin Check Up ณ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) ที่ให้สมาชิกฯ ได้รับการดูแล และรับคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพทั้งภายในและภายนอก ด้วยการตรวจโปรแกรม BWC Antioxidants ซึ่งเป็นการตรวจวิเคราะห์ปริมาณวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ 10 ชนิด พร้อมทั้งรับคำแนะนำด้านโภชนาการที่ถูกหลักเหมาะสมกับเพศและวัย จากทีมนักโภชนาการอาหาร รวมถึงบริการตรวจวิเคราะห์สภาพผิวหน้า (BWC Skin Analysis) เพื่อให้ทราบถึงปัญหาที่แท้จริงของผิว ทั้งผิวชั้นบนและผิวชั้นที่ลึกลงไปด้วยกล้องที่มีความละเอียดสูงในการช่วยประเมินการเกิดปัญหาผิวต่างๆ ได้

โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก แพทย์หญิงพิชชาพร ธนาพงศธร ผู้ช่วยผู้อำนวยการบีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บรรยายให้ความรู้แก่สมาชิกฯ เรื่อง INSPIRE WELLNESS : REBOOT YOUR HEALTH & REVERSE AGING สำหรับสมาชิกฯ ที่พลาดการเข้าร่วมกิจกรรม Muang Thai Smile Exclusive Health : Personalized Vitamin Check Up ในครั้งนี้ สามารถรับสิทธิ์พิเศษดังกล่าวได้ด้วยการแลกคะแนนสะสม 2,400 Smile Points เพื่อแลกรับโปรแกรม BWC Antioxidants ตรวจวัดระดับวิตามินและแร่ธาตุในร่างกายได้ ซึ่งสามารถใช้สิทธิ์แลกคะแนนสะสมได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน MTL Click ทั้งนี้ สมาชิกฯ สามารถนัดหมายวันที่สะดวกเข้ารับบริการด้วยตนเองได้ที่บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) นอกจากนี้ สมาชิกฯ ระดับ The Ultimate สามารถแสดงบัตรสมาชิกฯ ในรูปแบบ Digital Card บนแอปพลิเคชัน MTL Click ที่เคาน์เตอร์ชั้น 2 เพื่อรับสิทธิ์ในการเข้าใช้บริการห้องรับรอง Lounge ชั้น 2 ที่บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) พร้อมรับบริการเครื่องดื่มรับรอง สำหรับสมาชิกฯ และผู้ติดตาม 1 ท่าน โดยสำรองสิทธิ์ล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการอย่างน้อย 1 วันทำการ โทร 02-8269999

“ทุกประสบการณ์แห่งการดูแล การสร้างสรรค์กิจกรรม สิทธิประโยชน์และแคมเปญต่างๆ ที่ตอบรับกับ Lifestyle ของลูกค้าและสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ในการสร้างความสุขและรอยยิ้ม ที่ทุกท่านสามารถเข้าร่วมได้ตลอดทั้งปี 2566 โดยการรับสิทธิพิเศษฟรี ส่วนลดร้านค้า และการแลกคะแนนสะสม Smile Point เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกคุ้มค่ามากกว่าแค่คุ้มครอง ผ่านสิทธิประโยชน์ และกิจกรรมที่ตอบโจทย์ทุก Gen ตอบรับทุก Lifestyle ยกระดับการใช้ชีวิตของคุณสู่ Digital Lifestyle โดยลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต สามารถติดตามกิจกรรมรวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่มีให้เลือกหลากหลายครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งด้านสุขภาพ ท่องเที่ยว ช็อปปิ้ง ส่วนลดร้านอาหาร สปา โรงแรมระดับ 5 ดาว และอีกมากมายได้ที่ MTL Click Application ซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือเว็บไซต์ www.muangthai.co.th ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1766 กด 4 เมืองไทยประกันชีวิต หรือศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ” นายสาระกล่า

สิงห์อาสา จับมือ ม.แม่โจ้ เร่งขยายพื้นที่ปลูกต้นไม้ ทดแทนพื้นที่ไฟป่าทำลาย

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจพื้นที่ปลูกต้นไม้ในเขตพื้นที่จ.เชียงใหม่ที่เคยเกิดไฟไหม้ป่าปีที่ผ่านมาของ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมกับ สิงห์อาสา และบริษัท เชียงใหม่เบเวอเรช จำกัด บริษัทในเครือฯ พร้อมด้วยเครือข่ายต่างๆ พบอัตราการอยู่รอดของต้นไม้ที่ปลูกทดแทนสูงถึง 80-90% ยืนยันแนวคิดการเพิ่มเปอร์เซนต์การอยู่รอดของต้นไม้โดยเลือกต้นไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่และมีประโยชน์ต่อชุมชน ให้ชาวบ้านในพื้นที่มีส่วนร่วมในการดูแลหลังการปลูกอย่างต่อเนื่องมีผลต่อการรักษาแนวป่า

สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และบริษัท เชียงใหม่เบเวอเรช จำกัด บริษัทในเครือฯ พร้อมด้วย อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย, หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชม.13 (สันป่าตอง), สภาลมหายใจเชียงใหม่, องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก, เทศบาลตำบลบ้านปง พร้อมด้วยเครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสาภาคเหนือ 13 สถาบัน ร่วมปลูกต้นไม้ในชุมชนต้นแบบ 8 หมู่บ้านในพื้นที่อ.หางดง และอ.เมือง จ.เชียงใหม่ ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ในโครงการ “ไม้ยืนต้น ป่ายั่งยืน” ช่วยกันฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุไฟป่าด้วยการปลูกต้นไม้ เพื่อรักษาแนวป่า เพิ่มพื้นที่ป่าเดิมที่ถูกไฟป่าทำลายและการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และยังเอื้อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของคนในชุมชนอีกด้วย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์บรรจง สมบูรณ์ชัย อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ นักวิชาการที่ปรึกษาในโครงการ อธิบายว่า “โครงการทั่วไปที่ปลูกต้นไม้จะมีต้นไม้รอดจากการปลูกเพียง 20-25 % เพราะฉะนั้นการปลูกต้นไม้ที่ดีคือต้องเพิ่มอัตราการอยู่รอดของต้นไม้ให้ได้มากกว่าเดิม ซึ่งปีที่แล้วเราวางเป้าหมายไว้ 50% แต่จากการสำรวจพบอัตรารอดชีวิตของต้นไม้ที่ปลูกเฉลี่ยสูง 80-90 % เนื่องจากมีการเลือกพื้นที่การปลูกและเลือกต้นไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่

ทั้งพันธุ์ไม้อนุรักษ์และฟื้นฟูป่า พันธุ์ไม้ที่เป็นยาและอาหารของสัตว์ป่า รวมถึงมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของผู้คนในชุมชน ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลหลังการปลูก ดังนั้น การปลูกต้นไม้ในโครงการนี้จึงเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่า และตรึงแนวป่าเอาไว้ไม่ให้มันถอยร่นเข้าไปเรื่อยๆ ทั้งยังเป็นการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลรักษาป่าที่ทุกคนสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ เป็นการพึ่งพาและอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน”

นายประโภชน์ เกิดเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่เบเวอเรช จำกัด เปิดเผยว่า “การรักษาป่าต้นน้ำ ทั้งการปลูกป่า หรือป้องกันไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ ถือเป็นภารกิจที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญ เพราะในแต่ละปีพื้นที่ป่าเหล่านี้ถูกไฟป่าทำลายเป็นจำนวนมาก และไฟป่าก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหาหมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 เพราะฉะนั้นการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่เคยเป็นป่าเดิม และเพิ่มสัดส่วนการรอดของต้นไม้ จึงเป็นแนวทางการรักษาป่าต้นน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการลดการเกิดไฟป่าและลดผลกระทบจากฝุ่นควัน PM2.5 โดยโครงการ “ไม้ยืนต้น ป่ายั่งยืน” เป็นหนึ่งในโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ปลูกต้นไม้ฟื้นฟูผืนป่าในพื้นที่ที่เคยเกิดไฟป่า โดยคัดเลือกพันธุ์ไม้ท้องถิ่นที่เหมาะสมกับพื้นที่ และชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์ได้ เพื่อให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในการได้ใช้ประโยชน์และร่วมดูแลต่อไป โดยจากการสำรวจติดตามการปลูกต้นไม้ปีที่ผ่านมาผลพบว่าเกิดความความสำเร็จ พิจารณาได้จากอัตราการอยู่รอดของต้นไม้ และจะขยายความสำเร็จนี้ไปยังพื้นที่อื่นต่อไป เพื่อยืนยันแนวคิดเรื่องการเพิ่มอัตราอยู่รอดของต้นไม้ ซึ่งบ่งชี้ถึงการรักษาเขตแนวป่าในอนาคต”

นายอภิสิทธิ์ เสนาวงค์ นักวิชาการชำนาญการพิเศษ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เผยว่า “จากสถานการณ์โลกรวนในปัจจุบัน เป็นผลจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศมากเกินไป ซึ่งเป็นต้นเหตุให้โลกมีสภาพอากาศแปรปรวนมากขึ้น หนึ่งในวิธีการที่สามารถช่วยลดโลกรวนได้ คือการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจากรวมถึงการเพิ่มแหล่งกักเก็บคาร์บอน ซึ่งมีทั้งบลูคาร์บอน (Blue Carbon) หรือคาร์บอนที่ถูกกักเก็บโดยระบบนิเวศทางทะเล เช่น หญ้าทะเล ป่าชายเลน และกรีนคาร์บอน(Green Carbon) ซึ่งเป็นคาร์บอนที่กักเก็บไว้ด้วยระบบนิเวศทางบกโดยเฉพาะป่าประเภทต่างๆไม่ว่าจะเป็นป่าธรรมชาติ หรือป่าปลูกก็ตาม ดังนั้นการที่พวกเราช่วยกันปลูกป่า ปลูกต้นไม้ในวันนี้ก็เท่ากับเป็นการช่วยเร่งการดูดกลับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีมากที่สุดในชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้แล้วการอนุรักษ์ ปกป้องรักษาป่าธรรมชาติไม่ให้มีการบุกรุก ทำลาย และเกิดไฟป่า ก็ยังเป็นอีกทางที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่บรรยากาศได้อีกทาง ท้ายที่สุดก็ต้องบอกว่า ต้นไม้เป็นเทคโนโลยีธรรมชาติในการดูดกลับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศที่ดีและถูกที่สุดในโลก ต้นไม้ที่พวกเราช่วยกันปลูกในวันนี้ไม่ใช่เพื่อเราแต่เพื่อลูกเพื่อหลาน เพื่ออากาศที่สะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนรุ่นถัดไป”

นางสาวลักขณา ไชยคำ ผู้ใหญ่บ้านปางยาง หมู่ที่7 อ.หางดง จ.เชียงใหม่ เผยว่า “ชาวบ้านรู้สึกดีใจที่โครงการนี้ถูกวางแผนมาในระยะยาวและเริ่มเห็นผล ทำให้ชาวบ้านอยากมีส่วนร่วมที่จะช่วยกันดูแลต้นไม้ที่พวกเราช่วยกันปลูกต่อไป เพราะในอนาคตชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์จากต้นไม้ที่ปลูกได้ และยังช่วยป้องกันไฟป่าได้อีกด้วย เมื่อพื้นที่ที่เคยเกิดความเสียหายจากไฟป่าได้รับการฟื้นฟู เป็นการช่วยให้คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการมีแหล่งทำกิน และรายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์”

สำหรับการดำเนินโครงการในปีนี้ ทางมหาวิทยาลัยแม่โจ้ สิงห์อาสา และบริษัท เชียงใหม่เบเวอเรช จำกัด พร้อมด้วยเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ จะเร่งต่อยอดขยายพื้นที่ปลูกต้นไม้อย่างต่อเนื่องจาก 5 หมู่บ้าน เป็น 8 หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 150 ไร่ ในอ.หางดง และอ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยยึดหลักการแรกเริ่มของโครงการซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างแท้จริง เพื่อช่วยฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุไฟป่า เพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ลดภาวะโลกรวน และยังเอื้อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของคนในชุมชนอย่างยั่งยื

ตลาดหลักทรัพย์ฯ แจ้งข้อเท็จจริงสภาพการซื้อขายหุ้น OTO

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แจ้งข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 66 เกี่ยวกับสภาพการซื้อขายในหลักทรัพย์ บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) (OTO) ที่สภาพการซื้อขายเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในระหว่างวันที่ 12-22 มิ.ย. 66 ว่า ราคาปรับลดลงมากเกิดจากการขายกระจุกตัวในกลุ่มบุคคล ทำให้เกิดการบังคับขาย (Force sell) ในเวลาต่อมา โดยสัดส่วน Short selling และ Program trading น้อยมาก นั้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอแจ้งข้อเท็จจริงว่าปริมาณการ Short selling และ Program trading ในช่วงวันที่ 23-26 มิ.ย. 66 ว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีสาระสำคัญไปจากช่วงก่อนหน้า สรุปดังนี้

ข้อเท็จจริง12-22 มิ.ย. 6623-26 มิ.ย. 66
การซื้อขายหลักทรัพย์ OTO
ราคาปรับตัวลดลง89.07% (จาก 16.2 เป็น 1.77 บาท)20.34% (จาก 1.77 เป็น 1.41 บาท)
เกิดจากการขายกระจุกตัวในกลุ่มบุคคล ช่วงแรก กระจุกตัว 30-50% ของปริมาณการซื้อขายในแต่ละวัน หลังจากนั้น กระจุกตัวต่อเนื่องจากการ Force sellกระจาย ผ่านการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยเป็นส่วนใหญ่    
Short selling0.005% ของปริมาณการซื้อขายไม่มี
Program trading1.60% ของปริมาณการซื้อขาย6.06% ของปริมาณการซื้อขาย
มาตรการกำกับการซื้อขายอยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1อยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1
ข้อมูลจากบริษัท OTO (แจ้งผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ฯ)
ข่าวสำคัญไม่มีพัฒนาการสำคัญที่ส่งผลต่อสภาพการซื้อขายกรรมการลาออก 1 ท่าน (ตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ประธานกรรมการบริหาร)

“เซเว่น อีเลฟเว่น” จับมือ สสว.-ดีพร้อม จัดงานมอบรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2022” ขับเคลื่อนเอสเอ็มอีไทยสู่สากล

0

“เซเว่น อีเลฟเว่น” จับมือ “สสว.-ดีพร้อม” ร่วมเชิดชูศักยภาพเอสเอ็มอีไทย จัดงานมอบรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2022” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ภายใต้ธีมงาน “SME โตไกลไปด้วยกัน” มุ่งหวังสร้างพลังขับเคลื่อนธุรกิจเอสเอ็มอีไทยก้าวไกลสู่สากล เผยมีเอสเอ็มอีเปี่ยมศักยภาพได้รับรางวัลทั้งสิ้น 25 ราย จาก 13 ประเภทรางวัล พร้อมบรรยายพิเศษ “เปิดทริคเด็ดSME แจ้งเกิดบน TikTok” เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต  

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่นอีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า เซเว่น อีเลฟเว่น พร้อมด้วย 2 หน่วยงานพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) จัดงานมอบรางวัล“เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2022” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ภายใต้ธีมงาน “SME โตไกลไปด้วยกัน” เพื่อเชิดชูผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทุกกลุ่มสินค้า ในการเดินหน้าพัฒนาธุรกิจและยกระดับคุณภาพสินค้าของตนเองสู่มาตรฐานสากล เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ซึ่งในปีนี้มีการแบ่งประเภทรางวัลทั้งสิ้น 13 ประเภท รวมจำนวนเอสเอ็มอีที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกและได้รับรางวัลจำนวน 25 ราย  

ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีพี ออลล์

“จากการจัดงานมอบรางวัลเซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างน่าภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็น จำนวนผู้ประกอบการที่เป็นคนรุ่นใหม่เพิ่มมากขึ้น แพ็กเก็จจิ้งมีความทันสมัย สวยงามมากขึ้น ในขณะที่แบรนด์สินค้าดังระดับตำนานก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ยังครองใจผู้บริโภคมาได้อย่างยาวนาน รวมถึงนำนวัตกรรมเข้ามาใช้เพิ่มมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องของผู้ประกอบการ เซเว่น อีเลฟเว่น และหน่วยงานพันธมิตรทั้ง 2 ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีมาตลอด จึงอยากขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมเชิดชูเกียรติเอสเอ็มอีที่สามารถยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าสู่สากล ด้วยความเชื่อมั่นว่ารางวัลเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์และต่อยอดโอกาสให้แก่ผู้ที่ได้รับรางวัลทุกประเภท ขณะเดียวกันผู้ได้รับรางวัลก็จะเป็นต้นแบบให้แก่เอสเอ็มอีรายอื่นๆ ในการพัฒนาสินค้าและธุรกิจของตนเองให้เข้มแข็งและเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต” นายยุทธศักดิ์ กล่าว  

สำหรับความพิเศษของงานในปีนี้คือได้มีการเพิ่มประเภทรางวัลใหม่ขึ้นมาอีก 2 ประเภท ได้แก่ SME The Legend และ SME Young Entrepreneur รางวัลแรกจะมอบให้กับแบรนด์ดังระดับตำนานที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ที่ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าและรักษาคุณภาพมาตรฐาน ส่วนรางวัลใหม่รางวัลที่สอง จะเน้นมอบให้แก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อยกว่า 45 ปี หรือเป็นเจเนอเรชั่นแรก ที่มีความโดดเด่นในการทำตลาดและพัฒนาคุณภาพสินค้าอย่างต่อเนื่อง ภายในงานยังมีการจัดบูธแสดงสินค้าของผู้ที่ได้รับรางวัล พร้อมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “เปิดทริคเด็ด SME แจ้งเกิดบน TikTok” โดย แอ๊ม-ศรัณย์ แบ่งกุศลจิต Influencer ชื่อดัง เจ้าของช่อง TikTok การตลาดการเตลิด เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับเอสเอ็มอีนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจ สอดรับกับปณิธานที่ว่า “Giving and Sharing” 

นายวีระพงศ์  มาลัย ผู้อำนวยการ สสว. กล่าวว่า งานมอบรางวัลเซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน นอกจากจะเป็นงานที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยแล้ว ยังเป็นงานที่ช่วยติดอาวุธทางความรู้ให้กับผู้ประกอบเอสเอ็มอีอีกด้วย ผ่านหัวข้อการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่สอดรับกับพันธกิจหลักของ สสว.ภายใต้แผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566-2570) ที่ต้องการส่งเสริมเอสเอ็มอีทุกกลุ่มให้เข้มแข็งและเติบโต รวมทั้งสร้างโอกาสทางการตลาดเพื่อยกระดับศักยภาพธุรกิจให้มีความสามารถในการแข่งขัน และต้องพัฒนาระบบนิเวศในการประกอบธุรกิจให้มีความคล่องตัว ด้วยการลดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรค เช่น เรื่องกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้เอสเอ็มอีไทยเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ 

นายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) มีความตระหนักมาโดยตลอดว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ดีพร้อม จึงได้ดำเนินงานตามนโยบายของท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มุ่งเน้นให้ภาคอุตสาหกรรมอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน ด้วยการให้ชุมชนรักโรงงาน โรงงานรักชุมชน และสร้างการกระจายรายได้สู่ชุมชน เพื่อให้ชุมชนและอุตสาหกรรมอยู่ด้วยกันอย่างเป็นมิตร ก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและสร้างความเติบโตไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้น จากนโยบายดังกล่าว ดีพร้อม จึงมีแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนในรูปแบบโมเดลชุมชนดีพร้อม ภายใต้นโยบาย ดีพร้อมโต ประกอบด้วย โตได้ โตไว โตไกล โตให้ยั่งยืน เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจที่มีศักยภาพอยู่คู่กับชุมชนได้ ด้วยการเชื่อมโยงและประสานประโยชน์ระหว่างภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และชุมชน ขณะเดียวกัน ยังมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนมีขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับธุรกิจอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ผ่านความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในหลากหลายรูปแบบ โดยที่ผ่านมา ดีพร้อมได้มีความร่วมมือกับทาง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ จัดกิจกรรม DIPROM MOVE TO MODERN TRADE ซึ่งถือว่าได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดีในการส่งเสริม สนับสนุน และต่อยอดให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนที่มีศักยภาพให้เข้าสู่ตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ หรือ Modern Trade ได้อย่างแข็งแกร่ง อันเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นบริบททั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคม และสำหรับความร่วมมือในการมอบรางวัลเซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2022 ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่ร่วมเชิดชูและเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เอสเอ็มอีทุกอุตสาหกรรมในการพัฒนาและยกระดับศักยภาพตัวเองต่อไป 

รู้เก็บรู้ออม : DR น้องใหม่ลุยหุ้น AI เปลี่ยนโลก!!

0

เดี๋ยวนี้ นักลงทุนบ้านเราหากคิดอยากโกอินเตอร์ ซื้อหุ้นต่างประเทศตัวท็อป ที่เป็นกิจการชั้นนำระดับโลก ก็สามารถทำได้สะดวกรวดเร็ว ผ่านผลิตภัณฑ์ลงทุนอย่าง DR และ DRx ซึ่งก็คือ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ที่ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายหุ้นต่างประเทศ โดยใช้บัญชีเทรดเดียวกับที่ใช้ซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นไทยได้เลย

มาถึงตอนนี้ DR และ DRx เป็นที่รู้จักดีของนักลงทุนไทยแล้วว่า เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ทาง “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ได้สนับสนุนให้มีการพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสและกระจายการลงทุนในหุ้นต่างประเทศของนักลงทุนไทยมากยิ่งขึ้น ช่วงปีที่ผ่านมา ก็ได้มีการเปิดซื้อขาย DR และ DRx ไปแล้วหลายตัว ยกตัวอย่างเช่น DRx ที่อ้างอิงหลักทรัพย์ Apple และ Tesla เป็นต้น

และล่าสุด ธนาคารกรุงไทยกำลังจะออก DR และ DRx ใหม่ในตลาดหุ้นไทยเพิ่มอีก 4 ตัว อ้างอิงหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำในสหรัฐอเมริกาและจีน

ครั้งนี้ เน้นๆคัดหุ้นบริษัท AI ระดับโลก ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และมีการเติบโตสูง มาให้นักลงทุนไทยได้เลือกลงทุน เพราะโลกสมัยใหม่ AI มีส่วนสำคัญอย่างมากในการยกระดับธุรกิจ ตลอดจนวิถีชีวิตของคนทั้งโลก จึงเป็นการเปิดโอกาสให้กับนักลงทุนได้รับผลตอบแทนการลงทุนจากกระแส AI เปลี่ยนโลก

DR น้องใหม่ จะเปิดให้เทรดได้ตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย.2566 นี้ ประกอบไปด้วย DRx อ้างอิงหุ้นสหรัฐฯ จำนวน 3 หลักทรัพย์ คือ 1.DRx อ้างอิงหุ้นสามัญบริษัท ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น (MSFT80X) ผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายใหญ่ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ChatGPT ซึ่งเป็น AI Chatbot ชื่อดังที่ถูกนำมาต่อยอดธุรกิจอย่างกว้างขวาง, 2.DRx อ้างอิงหุ้นสามัญของบริษัท อัลฟาเบท อิงค์ (GOOG80X) บริษัทแม่ของ Google ที่เปิดตัว Bard ซึ่งเป็น AI Chatbot คู่แข่งสำคัญของ ChatGPT และ New Bing และ 3.DRx อ้างอิงหุ้นสามัญของบริษัท เอ็นวิเดีย คอร์ปอเรชั่น (NVDA80X) ผู้นำตลาด GPU หรือการ์ดจอในธุรกิจเกมที่ขยายธุรกิจไปสู่ยานยนต์ และ AI รวมถึง GPU ที่ใช้ประมวลผลของ ChatGPT และ AI ของผู้ให้บริการรายอื่นๆ

อีกตัวเป็น DR อ้างอิงหุ้นจีน จำนวน 1 หลักทรัพย์ คือ DR อ้างอิงหุ้นสามัญของบริษัท ไป่ตู้ อิงค์ (BIDU80) บริษัทระดับโลกที่มีการลงทุนและการพัฒนาเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ที่มีโอกาสเติบโตสูง และยังถือเป็นผู้ให้บริการ Search engine ยักษ์ใหญ่ที่สุดของจีน ทำรายได้กว่า 6 แสนล้านบาท ในปี 2565 มีผลิตภัณฑ์และบริการครอบคลุมหลายกลุ่มธุรกิจ เช่น Baidu App, Baidu Wiki, Baidu Map, Baidu Feed, iQIYI และ ERNIE Bot

ซื้อขายได้ทั้งช่วงกลางวันสำหรับ DR และกลางคืนสำหรับ DRx ผู้สนใจ BIDU80 สามารถซื้อขายผ่านบัญชีหุ้นได้เลย ส่วนการลงทุนใน MSFT80X, GOOG80X และ NVDA80X ต้องเปิดบัญชีซื้อขาย DRx เพิ่ม โดยเปิดบัญชีกับผู้แนะนำการลงทุน หรือเปิดบัญชีด้วยตัวเองผ่านแอปฯ “Streaming by Settrade” เลือก “My Menu” และเลือก “DRx” เพื่อแจ้งความประสงค์ซื้อขาย DRx เท่านี้ก็สามารถทำรายการส่งคำสั่งซื้อขายเป็นเงินบาทหรือจำนวนหลักทรัพย์ได้ โดยใช้ PIN เดียวกับบัญชีหุ้นหลัก

สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับ DR และ DRx 4 หลักทรัพย์ใหม่ได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือ www.krungthai.com หรือศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ DR และ DRx เพิ่มเติมที่ www.setinvestnow.com 

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

รู้เก็บรู้ออม : 21 วัน เลือกหุ้นได้ เทรดหุ้นเป็น

0

การประสบความสำเร็จตามเป้าหมายทางการเงิน ต้องอาศัยสิ่งสำคัญ คือการเอาชนะตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการออม การลงทุน ล้วนต้องอาศัยวินัยการเงินที่ดี บวกกับการศึกษาหาความรู้ด้านการเงินการลงทุนเพิ่มเติมให้ตัวเอง ทั้งหมดนี้ ต้องพึ่งพาตัวเองทั้งนั้น

คู่แข่งที่ท้าทายมากที่สุด จึงเป็นตัวเราเองนั่นแหละ ยิ่งตัวเราแข่งกับตัวเองมากขึ้นเท่าไร ผลตอบแทนที่ได้คือ การพัฒนาตัวเองมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับภารกิจ “21–Day Challenge Season 2” ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

แคมเปญที่กลับมาอีกครั้ง กับภารกิจท้าทายตัวเอง 21 วัน เพื่อให้ผู้เข้าร่วม “เลือกหุ้นได้ เทรดหุ้นเป็น” และเสริมสร้าง “นิสัยการลงทุนที่ดี”

ผู้สมัครแคมเปญจะได้เริ่มต้นเรียนรู้แบบง่ายๆ ผ่าน PlayBook ที่อัดแน่นเนื้อหาความรู้ครบถ้วน ทั้งบทความ คลิปสั้น และหลักสูตร e-Learning แถมยังมี Live ให้แลกเปลี่ยนมุมมอง และสอบถามกูรูตัวจริงในทุกสัปดาห์

เนื้อหาจัดเต็มกันตั้งแต่สัปดาห์แรก ว่าด้วย รู้เรื่องหุ้น ช่วยให้เราลงสนามเทรดหุ้นแบบมั่นใจ ด้วยเนื้อหาที่ปูพื้นฐานการลงทุน ตั้งแต่เข้าใจธรรมชาติของตลาดหุ้น สอนให้รู้จักสไตล์หุ้นกับสไตล์ลงทุนของตัวเอง การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อค้นหาหุ้นดีน่าลงทุน และการเปลี่ยนตัวหุ้น เปลี่ยนกลุ่มลงทุน ตลอดจนเรียนรู้เทคนิคการคัดกรองหุ้นโดยใช้งานเครื่องมือ Settrade Stock Screening เพื่อให้ได้หุ้นดี โดนใจ ไม่ต้องใช้เวลาค้นหานาน

สัปดาห์สอง มาต่อกับเลือกหุ้นได้ วิเคราะห์เจาะลึกหุ้นอย่างมีหลักการ ลดความเสี่ยง เพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุน โดยภารกิจของสัปดาห์นี้ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนการวิเคราะห์ Business Model จะช่วยให้เข้าใจธุรกิจมากยิ่งขึ้น อ่านงบการเงินและประเมินมูลค่าหุ้นอย่างง่าย และจบด้วยเทคนิคการอ่านกราฟเป็น เพื่อจับจังหวะการลงทุน

และปิดท้ายภารกิจในสัปดาห์ที่สามกับเทรดหุ้นเป็น ว่าด้วยการวางกลยุทธ์และบริหารพอร์ตหุ้น กลยุทธ์การซื้อ ถือ และขายหุ้น โดยใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ และเทคนิคการเทรดหุ้นฉบับมือโปร เช่น การทำ Money Management ป้องกันการขาดทุนหุ้นจนกู่ไม่กลับ ปิดท้ายด้วยเคล็ดลับบริหารพอร์ตลงทุนหุ้นให้ประสบความสำเร็จ

เรียนจบอยากทบทวนก็ไม่เป็นปัญหา เพราะผู้เรียนจะได้รับคู่มือการลงทุน รวมลิงก์เนื้อหาบทเรียนและสื่อความรู้ต่างๆไปดาวน์โหลดฟรี

และยังมีกิจกรรมให้ร่วมลุ้นรางวัลอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมกิจกรรมใน Live มีสิทธิลุ้นรับ e-Voucher 500 บาท สัปดาห์ละ 5 รางวัล, ผู้สมัครแคมเปญและรับชม Live 500 คนแรก จะได้รับสิทธิเข้าใจงาน SETSMART นาน 1 เดือน พร้อมสิทธิเข้าใช้งาน Maruey e-Library 1 ปี และบัตรเข้าชม INVESTORY

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้–31 ส.ค.66 เริ่มทำภารกิจ 1 ก.ค.–31 ส.ค.66 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม และสมัครฟรีได้ที่ www.setinvestnow.com/th/21day

“คุณนายพารวย” ไม่อยากให้พลาดโอกาสดีๆที่จะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง เพิ่มทักษะการลงทุน ซึ่งจะช่วยทำให้เราลงทุนอย่างมั่นใจได้แน่นอน.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ซีพีเอฟ ยกระดับศูนย์อาหาร Food World เสิร์ฟเมนูอาหารยั่งยืน หนุนสังคมคาร์บอนต่ำ

0

ศูนย์อาหาร Food World ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เดินหน้ายกระดับศูนย์อาหาร ‘Food World’ ทั้ง 22 สาขาในไทย ร่วมสนับสนุนแนวทางการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ข้อ 12 ตั้งแต่การจัดซื้อวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่ง ตลอดจนการคัดเลือกวัตถุดิบที่มีการรับรองเป็นผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ เพื่อนำมาปรุงเป็นเมนูรักษ์โลก พร้อมทั้งวางระบบการจัดการอาหารส่วนเกินและการจัดการของเสียไม่ให้ทิ้งลงสู่หลุมฝังกลบ

นายสุนทร จักรษุกรรฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน ศูนย์อาหาร Food World ทั้ง 22 สาขาในไทย มุ่งสู่การเป็นศูนย์อาหารชั้นนำที่มีร้านหลากหลาย ได้มาตรฐาน สะอาด และถูกสุขอนามัย เพื่อเป็น “ศูนย์อาหารที่คุณมั่นใจ” สำหรับลูกค้าทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันที่หันมาสนใจเมนูรักษ์โลก สู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) โดยมีสาขาเรือธงที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ (UN ESCAP) วางแนวทางการปฏิบัติที่ดีและเป็นต้นแบบการบริหารจัดการตามหลักการสากลอย่างครบวงจร

สำหรับ Food World สาขาศูนย์ประชุมสหประชาชาติ เน้นเสิร์ฟเมนูอาหารอย่างยั่งยืน (Sustainable Menu) อาทิ ‘ไก่เบญจาย่างตะไคร้’ ใช้ผลิตภัณฑ์ไก่สดซีพีเอฟที่ได้รับ “ฉลากลดโลกร้อน” มีคาร์บอนฟุตพรินท์ต่ำกว่าเนื้อไก่ทั่วไปถึง 50% ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ‘กุ้งผัดไข่เค็ม’ นำกุ้งระโนด ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในจังหวัดสงขลา ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น และ ‘ผัดไทยกระทงทอง’ ผักสดจากโครงการหลวง เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการจัดการขยะอาหาร (Food Waste) อย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อาทิ นำเศษอาหารทำปุ๋ยใช้ในการเพาะปลูกพืชผัก เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ น้ำมันพืชที่ใช้แล้วนำไปผลิตไบโอดีเซล ส่วนขยะประเภทพลาสติกและกระป๋องจะนำไปรีไซเคิลตามแนวทางที่เหมาะสม เพื่อร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามแนวทาง SDGs เป้าหมายที่ 12.3 ที่ต้องการลดขยะเศษอาหารของโลกลงครึ่งหนึ่งในระดับค้าปลีกและผู้บริโภคภายในปี 2030

“Food World ส่งเสริมวิถีการกินแบบคาร์บอนต่ำด้วยเมนูอาหารยั่งยืน และการจัดการขยะอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ โดยปีนี้ เรามีนโยบายให้ Food World จัดหาวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารจากร้านค้าที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศูนย์อาหาร เพื่อย่นระยะการขนส่ง และมีแผนยกระดับการบริหารจัดการให้ทุกสาขามีการจัดเก็บขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ภายในปี 2030 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ตามที่ซีพีเอฟได้ประกาศนโยบายด้านการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร (Food Loss & Waste Policy) มุ่งสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหารและลดขยะอาหารสู่หลุมฝังกลบให้เป็นศูนย์ (Zero Food Waste)” นายสุนทร กล่าว

นายสุนทร กล่าวเพิ่มเติมว่า รูปแบบการจัดการขยะอาหารที่ศูนย์อาหาร Food World สาขาศูนย์ประชุมสหประชาชาติ แยกขยะออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ กระป๋อง, พลาสติก, กระดาษ, แก้ว, เศษเนื้อสัตว์และเศษผักผลไม้ จากนั้นจะชั่งน้ำหนักแบบแห้งและน้ำมันที่ใช้แล้วจะใส่ในบรรจุภัณฑ์ เพื่อมอบให้กับ UN ESCAP นำไปใช้ประโยชน์ต่อเป็นพลังงานทางเลือก (Alternative Fuel) โดยจัดการด้านขยะอาหารอย่างเป็นระบบเพื่อเอื้อต่อการนำวัสดุที่ใช้งานไม่ได้แล้ว นำกลับมาผลิตใหม่ (Recycle) และใช้วัสดุจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ถูกใช้งานแล้ว เพื่อสร้างสิ่งใหม่ (Upcycle) อาทิ การจัดเก็บขยะต่างๆ โดยเฉลี่ยประมาณ 800 กิโลกรัมต่อปี หรือน้ำมันที่ใช้แล้ว 6,300 ลิตรต่อปี ที่จะนำไปผลิตเป็นไบโอดีเซล ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ล่าสุด Food World ได้ร่วมงานนิทรรศการ 79th Commission Session of ESCAP เพื่อแสดงความมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ พร้อมส่งเสริมความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้ที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ (UN ESCAP)

‘Food World สาขาศูนย์ประชุมสหประชาชาติ’ เปิดให้บริการห้องอาหารระดับนานาชาติ รวมความอร่อยให้เลือกสรรหลายประเภท ทั้งอาหารไทย จีน ยุโรป เอเชีย และอื่นๆ พร้อมให้บริการจัดเลี้ยงครบวงจรระดับสากลสำหรับงานประชุมและอีเว้นท์สำคัญ ปัจจุบัน ศูนย์อาหาร Food World มีทั้งหมด 22 สาขาทั่วประเทศไทย อาทิ สาขาโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ สาขาศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ สาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา แจ้งวัฒนะ (อาคาร B) สาขาสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (อาคาร CP ALL Academy) สาขาอาคารปิยชาติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต สาขาโรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ สาขาโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย (อาคาร ส.ธ.)