Home Blog Page 133

จ. นนทบุรี ร่วมกับ เซเว่น อีเลฟเว่น จัดงาน “ชุมชนคนรักหมา 4 ขาหน้าเซเว่น ครั้งที่ 1” ทำหมันหมาแมว-ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ฟรี

0

จังหวัดนนทบุรี, ปศุสัตว์ จ.นนทบุรี ร่วมกับ เซเว่น อีเลฟเว่น  จัดกิจกรรมเนื่องในวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก 28 กันยา 66 ภายใต้โครงการ “ชุมชนคนรักหมา 4 ขาหน้าเซเว่น” เพื่อบริการทำหมันและฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนับบ้าฟรี  โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อลดการเกิดโรคทางระบบสืบพันธุ์ ลดพฤติกรรมก้าวร้าว และเพื่อสุขภาพที่ดีของสัตว์เลี้ยงในระยะยาว  โดยมีบริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด (พีซีจี) และ บริษัท  อินเตอร์เนชั่นแนลเพ็ทฟู้ด จำกัด (เจอร์ไฮ) ร่วมนำอาหารสุนัขและอาหารแมว มามอบให้กับประชาชนที่มาร่วมงาน ตั้งแต่เวลา 8.30-12.00 น. ณ ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น สาขา 18555 (แยกนนทบุรี-รัตนาธิเบศร์)  ต.บางกระสอ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี

โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณพัฒนสิน อำขำ ปลัดอำเภอ (เจ้าพนักงานปกครองปฏิบัติการ) จังหวัดนนทบุรี,  น.สพ.ไทยวิวัฒน์ วรรณสุข ปศุสัตว์จังหวัดนนทบุรี นำทีมสัตวแพทย์พร้อมเจ้าหน้าที่จากกรมปศุสัตว์จังหวัดนนทบุรี มาให้บริการทำหมันสุนัขและแมว พร้อมด้วย คุณสมภพ ตะราษี ผู้จัดการทั่วไป บมจ.ซีพี ออลล์ และคุณรติชา วิริวุฒิกร ผู้จัดการทั่วไป บมจ.ซีพี ออลล์ ร่วมงาน โครงการ “ชุมชนคนรักหมา” จัดตั้งขึ้นโดย ประสานงานบรรเทาสาธารณภัยบมจ.ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่นเดลิเวอรี่ ตั้งแต่ปี 2557

ในงานประกอบด้วย การอบรมแลกเปลี่ยนความรู้ในการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างถูกต้องเพื่อลดการทอดทิ้งสัตว์ให้กับผู้เลี้ยงและคนในชุมชน, การทำหมันสุนัขและแมวร่วมกับภาครัฐ เพื่อลดจำนวนของสุนัข แมวจรจัด และลดอัตราความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงในสุนัขและแมว รวมถึงการสนับสนุนการบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและจำกัดเห็บ หมัด พร้อมติดตามผลสุขภาพของสุนัขและแมวในโครงการ โดยปัจจุบันซีพี ออลล์ ได้ร่วมกับ บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด (พีซีจี)  และบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลเพ็ทฟู้ด จำกัด (เจอร์ไฮ)  ในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกันในการส่งมอบอาหารสุนัขและแมวให้กับชุมชนที่ร่วมเข้าโครงการฯ และเข้าช่วยเหลือสุนัขและแมวที่ประสบภัยธรรมชาติต่างๆ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 9 ปี  เป็นไปตามปณิธานองค์กร “Giving & Sharing” ของซีพี ออลล์

ก.ล.ต. เตือนปชช.และนักลงทุน ระวังการใช้บริการผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ได้รับอนุญาต

0

ก.ล.ต. เตือนประชาชนและผู้ลงทุนให้ระมัดระวังการใช้บริการกับผู้ประกอบธุรกิจด้านหลักทรัพย์ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า และสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจากต่างประเทศ เนื่องจากจะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและยังมีความเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวงอีกด้วย พร้อมเตือนผู้จัดงานแสดงเทคโนโลยีทางการเงินอาจเข้าข่ายผู้สนับสนุนการกระทำความผิด

ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนและผู้เกี่ยวข้องว่า พบผู้ประกอบธุรกิจด้านหลักทรัพย์และสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจากต่างประเทศเข้ามาชักชวนประชาชนให้ร่วมลงทุนหรือใช้บริการ โดยการออกบูธในงานแสดงเทคโนโลยีทางการเงิน ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 นั้น

ก.ล.ต. ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบการกระทำดังกล่าวและเก็บหลักฐาน พร้อมประสานงานและขอความร่วมมือผู้จัดงานดังกล่าวให้ยับยั้งการออกบูธของผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ได้รับอนุญาต และเตือนว่าหากไม่ให้ความร่วมมืออาจเข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดด้วย

พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ขอเตือนประชาชนและผู้ลงทุนให้ระมัดระวังการใช้บริการกับผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาตที่ไม่ได้รับใบอนุญาต รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจากต่างประเทศ เนื่องจากจะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และยังมีความเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวง (scam) อีกด้วย สำหรับผู้ที่ให้บริการซื้อขาย แลกเปลี่ยน รับฝาก โอน ถอนเงิน หรือทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย ต้องได้รับอนุญาตตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561

ประชาชนและผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตได้ที่ www.sec.or.th หรือทางแอปพลิเคชัน “SEC Check First” และหากมีเบาะแสเกี่ยวกับการดำเนินการที่น่าสงสัย โปรดแจ้งที่ “ศูนย์บริการประชาชน ก.ล.ต.” โทร. 1207 หรือผ่านช่องทางเฟซบุ๊กเพจ “สำนักงาน กลต.” หรือ SEC Live Chat ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. เพื่อการตรวจสอบในเชิงลึก ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีการกระทำอันเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับ และหากเข้าข่ายการกระทำที่อาจผิดกฎหมายอื่น ก.ล.ต. มีกระบวนการในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป

AIS คว้ารางวัลองค์กรน่าทำงานมากที่สุดในเอเชีย จากเวที HR Asia 5 ปีซ้อน

0

AIS ได้รับรางวัลด้านการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลระดับเอเชียจากเวที HR Asia กับรางวัล “Best Companies to Work for in Asia 2023” โดย AIS เป็นองค์กรเดียวในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่ได้รับรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ตอกย้ำตำแหน่งองค์กรโทรคมนาคมที่ดีที่สุดในด้านทรัพยากรบุคคลและน่าทำงานมากที่สุดของประเทศไทย

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรมหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS และกลุ่มอินทัช  กล่าวว่า “คนคือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนองค์กรและการส่งมอบบริการที่มีคุณภาพ การได้รับรางวัล Best Companies to Work for in Asia เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน จึงถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นและความทุ่มเทในการดูแลพนักงานอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เอื้อให้พนักงานทุกคนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมิได้หมายถึงการตามใจอย่างเดียว แต่รวมถึงการเพิ่มศักยภาพติดอาวุธพัฒนาทักษะความรู้ใหม่ๆ ให้ทันต่อความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ควบคู่กับการส่งเสริม Work Life Integration ที่ผสานระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิตส่วนตัวเข้าด้วยกัน เพื่อให้พนักงานสามารถยืดหยุ่นจัดสรรเวลาของตัวเองได้ตามความเหมาะสม

วัฒนธรรมองค์กรของ AIS ‘FIT FUN FAIR’ ที่คอยเชื่อมโยงคน AIS เข้าไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นเสมือนดีเอ็นเอของคน AIS อันเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันองค์กรไปในทิศทางที่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน ขับเคลื่อนองค์กรเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จและการสร้างองค์กรที่ยั่งยืน รางวัลที่ได้รับในครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้เราเดินหน้าสู่ความเป็นเลิศและสร้างพื้นที่ที่ให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกัน”

สำหรับรางวัล Best Companies to Work for in Asia 2023 เป็นรางวัลที่มอบให้กับองค์กรดีเด่นที่น่าทำงานมากที่สุดในเอเชีย มีเกณฑ์การตัดสินจากองค์กรที่มีศักยภาพด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล มุ่งเน้นเรื่องการเรียนรู้ สนับสนุนพนักงานให้สามารถเติบโตในภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลง โดยผลการตัดสินพิจารณาจากการสำรวจความคิดเห็นของตัวแทนพนักงาน และประเมินแนวทางปฏิบัติที่ส่งผลต่อความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรในหลากหลายแง่มุม

การที่ AIS ได้รับรางวัลดังกล่าวต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และยังเป็นองค์กรโทรคมนาคมรายเดียวของไทยที่ได้รางวัลต่อเนื่อง ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างแท้จริงในการผลักดันและสนับสนุนบุคลากรของ AIS ให้มีคุณภาพและมีความเชี่ยวชาญในการทำงานพร้อมเดินหน้าผลักดันให้องค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ASIAMONEY มอบรางวัล MOST OUTSTANDING COMPANY 2023 ให้ซีพีเอฟ ด้านธุรกิจเกษตรโดดเด่นที่สุดของเอเชีย

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการคว้ารางวัลบริษัทที่มีความโดดเด่นที่สุดของกลุ่มธุรกิจเกษตรในประเทศไทย (The Most Outstanding Company in Thailand – Agriculture Sector) จากการจัดทำสำรวจประจำปีโดยนิตยสาร Asiamoney นิตยสารชั้นนำด้านการเงินการลงทุนระดับภูมิภาค โดยมีนางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ เป็นผู้แทนบริษัทฯ ขึ้นรับรางวัล ในงานที่จัดขึ้น ณ มารินา เบย์ แซนด์ ประเทศสิงคโปร์

นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ กล่าวว่า รางวัล The Most Outstanding Company in Thailand – Agriculture Sector ที่ได้รับในครั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จอีกครั้งของซีพีเอฟ
เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการบริหารการเงินที่มีประสิทธิภาพของบริษัท ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย และการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว และความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้าง “ความมั่นคงทางอาหาร” ให้ผู้บริโภคทั่วโลก ส่งเสริมการเข้าถึงอาหารคุณภาพสูง มีคุณค่าทางโภชนาการ ควบคู่กับการดูแลใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญา 3 ประโยชน์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs)

“ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ บริษัทให้ความสำคัญในการบริหารทางการเงินและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ควบคู่กับการดูแลคู่ค้าทางธุรกิจ พร้อมกับร่วมปกป้องและพิทักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และบรรเทาความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” นางกอบบุญกล่าว

รางวัล “บริษัทที่โดดเด่นที่สุดแห่งเอเชีย” ประจำปี 2023 (Asia’s Outstanding Companies Poll 2023) เป็นผลจากนิตยสาร Asiamoney จัดการสำรวจความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการเงิน ผู้จัดการลงทุน นักวิเคราะห์ด้านการลงทุน รวมนักการธนาคาร และสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ร่วมลงคะแนนคัดเลือกบริษัทจดทะเบียนจาก 14 ประเทศที่มีความโดดเด่นที่สุดในเอเชีย สำหรับรางวัลในปีนี้ มีผู้ร่วมลงคะแนนรวม 7,653 ราย โดยพิจารณาผลการดำเนินงานโดยรวม การรายงานการจัดการทางการเงิน ความเป็นเลิศของทีมผู้บริหาร และความเชื่อมั่นในทีมลงทุนสัมพันธ์ รวมถึงความโดดเด่นในการริเริ่มและดำเนินโครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการบริหารจัดการตามแนวทาง ESG (Environment, Social, and Governance)./

มติ กนง. เอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็น 2.5%ต่อปี

0

นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. วันที่ 27 กันยายน 2566 ว่า คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.50 ต่อปี โดยให้มีผลทันที

เศรษฐกิจไทยในภาพรวมอยู่ในทิศทางฟื้นตัว แม้จะขยายตัวชะลอลงในปีนี้จากอุปสงค์ต่างประเทศ โดยอัตราการขยายตัวในปี 2567 จะเพิ่มสูงขึ้นจากทั้งอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศ ด้านอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นในปี 2567 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกอปรกับแรงกดดันด้านอุปทานจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ทั้งนี้ ต้องติดตามแรงส่งเพิ่มเติมจากนโยบายภาครัฐต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ คณะกรรมการฯ ประเมินว่า ในบริบทที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวกลับเข้าสู่ระดับศักยภาพ นโยบายการเงินควรดูแลให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายอย่างยั่งยืน และช่วยเสริมเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว รวมทั้งรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี ในการประชุมครั้งนี้

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2.8 และ 4.4 ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ โดยมีแรงส่งสำคัญจากการบริโภคภาคเอกชน สำหรับปีนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจชะลอลงจากภาคการส่งออกสินค้าและภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ส่วนหนึ่งจากเศรษฐกิจจีนและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่ฟื้นตัวช้า อย่างไรก็ดี อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะเร่งสูงขึ้นในปี 2567 จากอุปสงค์ในประเทศ ภายใต้บริบทที่ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่องและภาคการส่งออกสินค้ากลับมาขยายตัว อีกทั้งจะได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากนโยบายภาครัฐ

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในกรอบเป้าหมาย และคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.6 และ 2.6 ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ โดยมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำในปี 2566 จากผลของมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐและผลของฐานที่สูงในปีก่อนหน้า ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในปี 2567 โดยคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.4 และ 2.0 ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ ทั้งนี้ ยังต้องติดตามความเสี่ยงด้านสูง โดยเฉพาะในปี 2567 จากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่อาจเพิ่มขึ้นจากนโยบายภาครัฐ และต้นทุนราคาอาหารที่อาจปรับสูงขึ้นหากปรากฏการณ์เอลนีโญรุนแรงกว่าคาด

ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง แต่ต้องติดตามพัฒนาการของคุณภาพสินเชื่อที่อาจได้รับแรงกดดันจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบการ SMEs และครัวเรือนบางส่วนที่ยังเปราะบางจากภาระหนี้ที่สูงขึ้นและรายได้ที่ฟื้นตัวช้า คณะกรรมการฯ สนับสนุนการดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)

ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้นบ้าง แต่ยังเอื้อต่อการระดมทุนของภาคเอกชนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนโน้มสูงขึ้นสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่สินเชื่อภาคเอกชนชะลอลงหลังจากที่เร่งไปมากในช่วงวิกฤต แต่ประเมินว่าจะฟื้นตัวสอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ด้านตลาดการเงินมีความผันผวนสูงขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับเพิ่มขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่า ส่วนหนึ่งตามทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับนักลงทุนรอความชัดเจนของนโยบายภาครัฐที่อาจมีนัยต่อเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านการคลังในอนาคต

ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ ประเมินว่าการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาจนถึงการประชุมครั้งนี้ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้าจะพิจารณาให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่อาจได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากนโยบายภาครัฐ

แบงก์ชาติ จับมือ Google และ TB-CERT จัดแคมเปญ #31Days31Tips ทำคอนเทนต์ความรู้ด้านดิจิทัลและความปลอดภัยไซเบอร์

0

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) Google ประเทศไทย และศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร ภายใต้สมาคมธนาคารไทย (TB-CERT) ร่วมกันจัดแคมเปญ #31Days31Tips ที่จะนำเสนอคอนเทนต์ความรู้ด้านดิจิทัลและเคล็ดลับความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของแต่ละองค์กรตลอดเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นเดือนแห่งการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity Awareness Month) เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและการแบ่งปันความรู้ความเข้าใจ ซึ่งจะช่วยให้คนไทยมีภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์และใช้เทคโนโลยีออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย

ปัจจุบัน กลโกงบนโลกออนไลน์ยังคงเป็นปัญหาที่คนไทยยังต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พบว่ากลโกงของมิจฉาชีพมีหลากหลายรูปแบบ และที่พบบ่อย ได้แก่ หลอกซื้อขายสินค้าหรือบริการ หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน หลอกให้กู้เงิน และหลอกให้ลงทุน เป็นต้น ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายจากการถูกหลอกลวงกว่า 9 พันล้านบาท ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา (17 มีนาคม – 25 สิงหาคม 2566)[1] โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยทำให้การเตือนภัยทางออนไลน์สามารถเข้าถึงประชาชนในวงกว้างขึ้นผ่านเนื้อหาข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์ และเข้าใจง่าย อยู่ในรูปแบบที่สามารถแบ่งปันผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียที่หลายหลากได้ เพื่อให้ความปลอดภัยบนโลกออนไลน์เป็นสิ่งที่ไม่ไกลตัวประชาชนอีกต่อไป

น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการย้ำเตือนจุดยืนว่า ธปท. ตระหนักและให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาภัยทางการเงินให้ได้ครบวงจร โดยการสื่อสารให้ความรู้และข้อมูลต่าง ๆ กับประชาชนในเชิงรุกและต่อเนื่อง จะช่วยให้ประชาชนรู้เท่าทัน สามารถป้องกันตนเอง และมีภูมิคุ้มกันจากภัยออนไลน์ ซึ่งจะสอดรับกับชุดมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงินที่ ธปท. ได้ดำเนินการแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เช่น การขอให้ธนาคารยกเลิกแนบลิงก์ SMS และการยืนยันตัวตนขั้นต่ำด้วย biometrics รวมถึงการให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี”

แจ็คกี้ หวาง Country Director, Google ประเทศไทย กล่าวว่า “ในระยะเวลา 25 ปีที่ Google ได้ดำเนินธุรกิจทั่วโลก เราได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการเสริมสร้างความปลอดภัยบนโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ในเดือนตุลาคมซึ่งเป็นเดือนแห่งการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เราจึงได้จัดแคมเปญ #31Days31Tips เพื่อให้คนไทยมีเครื่องมือและข้อมูลในการท่องโลกออนไลน์อย่างปลอดภัย รวมถึงสามารถแบ่งปันกับคนที่ห่วงใยได้ โดยแคมเปญนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของ Google ในการทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนผ่านกลยุทธ์ใน 3 ด้าน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ (Products) ที่มีความปลอดภัยโดยค่าเริ่มต้น พร้อมด้วยการรักษาความปลอดภัยในตัว เครื่องมือ (Tools) ที่ให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวด้วยตนเอง เช่น การตรวจสอบความปลอดภัย (Security Checkup) ตรวจสอบความเป็นส่วนตัว (Privacy Checkup) รวมถึงเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน (Password Manager) และโครงการ (Programs) ต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ และช่วยให้คนไทยท่องอินเทอร์เน็ตได้อย่างมั่นใจ โดยเป็นการต่อยอดจากกิจกรรม “Safer Songkran” ภายใต้โครงการ Safer with Google ที่จัดขึ้นในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในการส่งมอบความห่วงใยและส่งเสริมความปลอดภัยทางดิจิทัลให้กับตัวเองและครอบครัว”

ด้าน ดร.กิตติ โฆษะวิสุทธิ์ ประธานกรรมการ TB-CERT กล่าวว่า “วิถีชีวิตปัจจุบันในยุคดิจิทัล มีการใช้เทคโนโลยีในทุกช่วงเวลาไม่ว่าจะเพื่อการสื่อสาร ความบันเทิง สุขภาพ รวมถึงการทำงาน ซึ่งทำให้เกิดความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของผู้ใช้งาน แต่สิ่งสำคัญที่ต้องมีควบคู่กันคือ การยกระดับความตระหนักรู้ให้เท่าทันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคารภายใต้สมาคมธนาคารไทยได้ให้ความสำคัญ โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการจัดการภัยทางไซเบอร์ รวมทั้งสื่อสารให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องอยู่เป็นประจำซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการหลักเพื่อสังคมไทย ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเสริมภูมิคุ้มกันให้สังคมไทยมีความแข็งแกร่งต่อการหลอกลวงในรูปแบบต่าง ๆ และภัยไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเช่นกัน”

ทั้งนี้ แคมเปญ #31Days31Tips ตลอดเดือนตุลาคมนี้ จะนำเสนอเคล็ดลับและเครื่องมือที่เสริมความปลอดภัยออนไลน์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของ ธปท. Google และ TB-CERT โดยเนื้อหาจะประกอบด้วย 4 หมวดหมู่ ได้แก่ การรักษาความปลอดภัยของบัญชีออนไลน์ การป้องกันตัวเองจากสแกม การตรวจเช็คข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และการปกป้องความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ เพื่อเสริมทักษะดิจิทัลให้คนไทยรู้เท่าทันกลลวงออนไลน์รอบด้าน

AIS – ZTE และ MediaTek ร่วมทดสอบเทคโนโลยีใหม่ 5G RedCap คลื่นความถี่ 2.6GHz สำเร็จเป็นครั้งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

0

AIS – ZTE Corporation (ZTE) และ MediaTek ประสบความสำเร็จในการทดสอบนวัตกรรม 5G RedCap บนคลื่นความถี่ 2.6 GHz ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการนำนวัตกรรมดิจิทัลเข้ายกระดับขีดความสามารถของโครงข่าย 5G โดยเฉพาะ 5G RedCap ที่จะเข้ามาพลิกโฉมวงการและทำให้การพัฒนา Internet of Things (IoT) มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกันความร่วมมือนี้จะส่งเสริมการพัฒนา Ecosystem ของเทคโนโลยี RedCap และเป็นจุดเริ่มต้นในการนำ RedCap ขยายผลสู่การให้บริการเชิงพาณิชย์ทั่วโลก

RedCap ย่อมาจาก Reduced Capability บางครั้งเรียกว่า NR Light เป็นเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในมาตรฐาน 3GPP R17 ซึ่งได้รับข้อดีของต้นทุนต่ำและใช้พลังงานต่ำโดยการลดความซับซ้อนของเทอร์มินัลและสืบทอดความสามารถเฉพาะของ 5G เช่น larger bandwidth, network slicing, low latencyและความสามารถอื่นๆ ซึ่งให้โซลูชั่น IoT ที่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

โดยความสำเร็จของการทดสอบ 5G RedCap ในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากความร่วมมือและการทำงานร่วมกันของ AIS ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคมและผู้ให้บริการดิจิทัล ZTE Corporation ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชั่นการสื่อสารชั้นนํา และ MediaTek ในฐานะผู้ผลิตและผู้พัฒนาชิปเซ็ตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่สุดของโลก ที่ศูนย์นวัตกรรม A-Z Center ดำเนินการภายใต้คลื่นความถี่ 2.6GHz (Time Division Duplex) ได้ผลการทดสอบที่เป็นไปตามมาตรฐานโลก ด้วยค่าความเร็ว download ของระบบ TDD สามารถทำความเร็วได้ถึง 163 Mbps โดยใช้แบรนด์วิธ 20MHz และที่สำคัญ 5G RedCap มีความหน่วงต่ำอยู่ที่ประมาณ 10 มิลลิวินาที (ms)

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการทดลองทดสอบนวัตกรรมและโชว์ความสำเร็จของเทคโนโลยี 5G RedCap เท่านั้น แต่เป็นการยืนยันถึงภารกิจในการยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทยให้มีมาตรฐานระดับโลก เพื่อรองรับการใช้งานของลูกค้า คนไทย และภาคส่วนต่างๆ ให้สามารถเชื่อมต่อและสัมผัสประสบการณ์การใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมนำนวัตกรรมไปต่อยอดสร้างประโยชน์ให้ประเทศก้าวไปยืนอยู่ในเวทีโลกต่อไป

AIS – Huawei ร่วมทดสอบเทคโนโลยี 5G RedCap บนเครือข่ายเชิงพาณิชย์ ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก

0

AIS และ Huawei ได้เสร็จสิ้นการทดสอบเทคโนโลยี 5G RedCap (Reduced Capability) ในเชิงพาณิชย์เป็นรายแรกของไทยแล้ว การทดสอบนี้ได้ดําเนินการบนเครือข่ายเชิงพาณิชย์ ทั้งคลื่น 700MHz และ 2600MHz บนเครือข่ายจริงที่กำลังให้บริการหรือ Live Network ที่กรุงเทพฯ โดยใช้อุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยี RedCap ที่หลากหลาย อาทิเช่น DTU (Data Transfer Units) และกล้องวงจรปิด โดยได้ทดสอบความสามารถในการทำงานด้านต่างๆ เช่น การดาวน์โหลดและอัพโหลด ที่ Peak Throughput, ประสิทธิภาพการทำงานเมื่ออุปกรณ์มีการเคลื่อนที่, ทดสอบการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ RedCap และอุปกรณ์รองรับโครงข่ายโทรศัพท์ทั่วๆไป ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าทั้งเครือข่าย 5G ของ AIS และประสิทธิภาพของอุปกรณ์ RedCap สามารถทำงานได้ประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์ ซึ่งจะเป็นก้าวที่สําคัญของ RedCap ในการใช้งานเชิงพาณิชย์

5G RedCap เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กําหนดไว้ในมาตรฐาน 3GPP Release 17 ที่ถูกออกแบบมาสําหรับการใช้งาน IoT ขนาดกลางและความเร็วสูง เช่น เซ็นเซอร์อุตสาหกรรม, อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ, กล้องวงจรปิด ด้วยการลดความซับซ้อนของอุปกรณ์ baseband, อุปกรณ์ส่งสัญญาณคลื่นวิทยุและเสาอากาศ เทคโนโลยี RedCap มีต้นทุนและการใช้พลังงานที่ต่ำกว่าอุปกรณ์ 5G ที่ใช้โครงข่ายสัญญาณโทรศัพท์ทั่วไปมาก เมื่อเทียบ 4G CAT4 UEs กับเทคโนโลยี RedCap ยังคงทำงานรองรับความสามารถพื้นฐานของอุปกรณ์ 5G เช่น ความจุสูงและเวลาความหน่วงที่ต่ำกว่า นอกจากนี้ RedCap ยังสนับสนุนความสามารถการทำธุรกิจ B2B ที่สําคัญ เช่น การทำ Network Slicing และการระบุตําแหน่ง

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฎิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวว่า “นอกเหนือจากการพัฒนาคุณภาพการให้บริการอย่างดีที่สุดแล้ว การเดินหน้านำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามายกระดับเทคโนโลยี 5G ถือเป็นหน้าที่สำคัญเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตอย่างยั่งยืน อย่างความร่วมมือในการทำงานกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่างหัวเว่ย ในการยกระดับโครงข่าย 5G ของไทยให้ก้าวให้มีมาตรฐานระดับโลก พร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co เพื่อภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคประชาชน”

การทำงานร่วมกับหัวเว่ยในครั้งนี้ ได้ผลการทดลองที่ประสบความสําเร็จไปอีกขั้นกับเทคโนโลยี 5G RedCap บนคลื่นความถี่ทั้ง 2600MHz และ 700MHz ซึ่งมีเป้าหมายในการส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือระดับให้กับลูกค้าและคนไทย รวมถึงยังมุ่งพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและแอปพลิเคชัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม

สำหรับเทคโนโลยี 5G RedCap คือความสําเร็จที่สําคัญของวิวัฒนาการเทคโนโลยี 5G จะช่วยลดค่าใช้จ่ายโมดูล 5G ได้ 70% และเร่งการใช้งาน 5G ในอุตสาหกรรม AISได้ร่วมมือกับหัวเว่ยและพันธมิตรในอุตสาหกรรม เพื่อนำเทคโนโลยี RedCap มาใช้ในระบบอุตสาหกรรมสาขาต่างๆ เช่น ระบบควบคุม, กลุ่มระบบพลังงาน, เมืองอัจฉริยะ, อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะและ อื่น ๆ

ด้านหัวเว่ย ระบุว่า “Redcap เป็นเทคโนโลยีที่จะมาเพิ่มศักยภาพให้เครือข่าย 5G และสามารถนํามาใช้ในรูปแบบที่หลากหลาย หัวเว่ยจะเดินหน้าและร่วมมือกับ AIS สร้างเครือข่าย 5G คุณภาพสูง ผ่านความร่วมมือทางนวัตกรรม โครงการ JIC เพื่อบ่มเพาะการใช้งาน 5G ร่วมกับพันธมิตรภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น สนับสนุนการเร่งเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของอุตสาหกรรมไทย”

AIS พร้อมรับมือพายุดีเปรสชัน ระดมทีมวิศวกร 5 ภูมิภาค ดูแลเครือข่ายมือถือและเน็ตบ้านเต็มที่

0
AIS เตรียมความพร้อมเครือข่ายทั้งโทรศัพท์มือถือและเน็ตบ้านรับมือพายุเต็มที่ หลังกรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเตือนว่าจะมีพายุดีเปรสชัน เคลื่อนขึ้นบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง และจะเคลื่อนตามแนวร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศไทยตอนบน ในระหว่างวันนี้  – 29 กันยายน 2566 ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล  ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากส่งผลกระทบต่อประชาชนในหลายพื้นที่ 

เอไอเอส จึงยกระดับความพร้อมดูแลเครือข่ายสื่อสารทั้งมือถือและเน็ตบ้านอย่างเต็มที่ จัดทีมวิศวกรประสานพลังทั้ง 5 ภูมิภาค ติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเตรียมรับมือ รักษาเครือข่ายสื่อสารให้พร้อมบริการลูกค้า และ ประชาชนอย่างดีที่สุด อาทิ

  • จัดตั้ง War room พร้อมทีมงานวิศวกรจาก 5 ภูมิภาค เฝ้าระวังสถานการณ์เครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง  
  • เฝ้าระวังระดับน้ำบริเวณชุมสาย สถานีฐานในพื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศ ด้วยการ Monitor ตัวเลขระดับน้ำที่ส่งผ่านจากอุปกรณ์เซ็นเซอร์ที่ online ตลอด 24 ชั่วโมง และหากมีการแจ้งเตือนระดับน้ำสูงผิดปกติ จนอาจส่งผลกระทบกับเครือข่ายบริเวณนั้น ทีมงานวิศวกรก็พร้อมจะบริหารจัดการสัญญาณ โดย Online จากส่วนกลางไปยังชุมสาย สถานีฐานในพื้นที่ใกล้เคียงให้มาช่วยรองรับ แบ่งเบาการใช้งานบางส่วนในพื้นที่ได้รับผลกระทบได้
  • เตรียมความพร้อมรถสถานีฐานเคลื่อนที่และทีมวิศวกรในพื้นที่เสี่ยง หากเกิดกรณีฉุกเฉิน ก็จะพร้อมออกตั้งจุดบริการสัญญาณให้แก่ลูกค้าและประชาชน
  • เตรียมอุปกรณ์เครื่องปั่นไฟและน้ำมันเชื้อเพลิงให้พร้อมเข้าพื้นที่ได้อย่างทันต่อสถานการณ์
  • ประสานงานกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พื้นที่ และส่วนราชการในจังหวัดที่เป็นพื้นที่เสี่ยง เพื่อเตรียมความพร้อมเครือข่ายในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น โรงพยาบาล หรือ บริเวณพื้นที่อพยพของประชาชน

ทั้งนี้ เอไอเอสจะติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่เพื่ออยู่เคียงข้าง ให้ลูกค้าและประชาชน รวมถึงหน่วยงานต่างๆ สามารถใช้บริการสื่อสารทั้งการใช้โทรศัพท์มือถือและเน็ตบ้านได้อย่างไม่ติดขัด และก้าวผ่านสถานการณ์ภัยธรรมชาติได้อย่างดีที่สุด

LINE BK จับมือ เมืองไทยประกันชีวิต ต่อยอดบริการการเงิน นำเสนอประกัน จ่ายผ่านแอปฯ LINE

0
LINE BK เดินหน้าต่อยอดบริการทางการเงินให้ครอบคลุมตอบโจทย์ทุกความต้องการ พร้อมลุยธุรกิจนายหน้าประกันชีวิต ภายใต้บริษัท กสิกร ไลน์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด เดินหน้าจับมือ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต นำเสนอประกันที่สามารถจ่ายผ่าน LINE BK ครบจบบนแอปพลิเคชัน LINE พร้อมฉลองเปิดตัวบริการใหม่ มอบโปรโมชันสุดพิเศษให้กับลูกค้าเมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและประกันสุขภาพผ่าน LINE BK ตั้งแต่วันนี้ - 15 พฤศจิกายน 2566

นายธนา โพธิกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด ผู้ให้บริการ Social Banking ภายใต้ชื่อ LINE BK เปิดเผยว่า LINE BK ตั้งเป้าที่จะเข้ามาทำให้เรื่องเงินเป็นเรื่องง่ายในแอปพลิเคชัน LINE โดยมุ่งพัฒนาบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการด้านการเงินของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ครบทั้ง 4 มิติ ได้แก่ การออม, สินเชื่อ , การป้องกันความเสี่ยง และการลงทุน โดยเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา LINE BK ได้มีการเปิดตัวบริการตามแผนที่วางไว้มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินทั้ง ฝาก ถอน โอน จ่าย และยืมได้อย่างสะดวกสบาย และปลอดภัยในแอปฯ LINE ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวบริการ LINE BK Insurance Broker เพื่อเติมเต็มบริการในมิติของการป้องกันความเสี่ยง ภายใต้ บริษัท กสิกร ไลน์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ตอกย้ำการเดินตามแผนที่วางไว้อย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ

ทั้งนี้ มองว่าประกันเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ทางการเงินพื้นฐาน ที่จะเข้ามาช่วยให้ลูกค้า LINE BK สามารถวางแผนบริหารจัดการทางการเงิน เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดเกี่ยวกับสุขภาพและอุบัติเหตุได้ดีมากยิ่งขึ้น อีกทั้งมองว่าธุรกิจประกันชีวิต ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก จากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประชาชนเริ่มให้ความสำคัญของการทำประกันชีวิตและสุขภาพมากขึ้น จากการแพร่ระบาดโรคอุบัติใหม่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา แนวโน้มค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการสนับสนุนจากภาครัฐเรื่องมาตรการลดหย่อนภาษีของประกันชีวิตและประกันสุขภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ภาคธุรกิจยังได้ส่งเสริมให้บริษัทประกันนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการเสนอขาย ซึ่งจะช่วยยกระดับการสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นของผู้ซื้อประกันมากขึ้น

LINE BK Insurance Broker ได้นำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้าถึงความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพได้อย่างรวดเร็ว สามารถเลือกซื้อและชำระเงินได้ครบจบบนแอปพลิเคชัน LINE นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นในการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมความคุ้มครองและเข้าใจง่ายเหมาะสมกับทุกไลฟ์สไตล์อีกด้วย

“ผลิตภัณฑ์ประกันที่ LINE BK นำเสนอในช่วงแรก ได้จับมือกับทาง เมืองไทยประกันชีวิต หรือ MTL เพื่อคัดสรรประกันที่มีความคุ้มครองที่เหมาะสมและครอบคลุมกับความต้องการคนในปัจจุบัน ด้วยราคาเบาๆ ภายใต้แนวคิด “ประกันโดนใจ ซื้อง่าย จ่ายเบา จบใน LINE” โดยอธิบายภาษาประกันให้เข้าใจง่าย รวมทั้งเลือกซื้อได้ง่ายด้วยตัวเองผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน LINE จบทุกขั้นตอนภายในแอปเดียว อีกทั้งสามารถ ถาม-ตอบ ข้อสงสัยการซื้อหรือข้อมูลผลิตภัณฑ์ทั่วไปกับพี่หมีที่เป็น Chat bot ผ่าน LINE BK Official Account (@LINEBK) ได้ตลอดเวลา สอดรับกับเทรนด์โลกที่คนส่วนใหญ่ต่างหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพและมองหาความคุ้มครองด้านสุขภาพมากขึ้น เพื่อคุ้มครองโรคภัยไข้เจ็บทั่วไป รวมถึงโรคร้ายต่างๆ จากสภาวะแวดล้อมในปัจจุบัน ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสในการเจาะตลาดประกันชีวิต โดยมุ่งไปที่กลุ่มอาชีพอิสระที่ไม่มีความคุ้มครองจากประกันกลุ่มของนายจ้าง หรือกลุ่มพนักงานประจำที่มองหาความคุ้มครองเพิ่มเติม รวมถึงกลุ่มลูกจ้างรายวันที่ไม่สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีค่าเบี้ยสูง เป็นต้น”

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของการผสานความแข็งแกร่งของทั้งสององค์กรได้อย่างลงตัว ในการเป็นช่องทางที่จะช่วยทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแบบประกันชีวิตและความคุ้มครองสุขภาพ พร้อมสามารถเลือกความคุ้มครองที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเองได้อย่างเหมาะสม พร้อมช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต หลักประกันที่มั่นคง และสร้างความอุ่นใจหากเกิดเหตุไม่คาดคิดได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและความคุ้มครองสุขภาพของเมืองไทยประกันชีวิต ที่นำเสนอขายผ่านช่องทาง LINE BK ในช่วงแรกนั้น ได้คัดสรรแผนประกันที่มีความคุ้มครองครอบคลุมครบทุกด้าน เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า LINE BK โดยเฉพาะกลุ่มคนตัวเล็กที่กำลังทรัพย์ไม่ได้เยอะ ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าแบบ Outside In เพื่อให้สามารถเข้าถึงความคุ้มครองจากเมืองไทยประกันชีวิตได้สะดวกขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ชีวิตของทุกคนมีรอยยิ้มได้

โดยเบื้องต้น LINE BK ได้คัดสรร 5 ผลิตภัณฑ์ ของ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต กับแพ็กเกจประกันชีวิตและสุขภาพมานำเสนอบนช่องทาง LINE BK ดังนี้

  1. ผู้ป่วยนอกเบาเบา – ช่วยแบ่งเบาค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก เลือกวงเงินความคุ้มครองได้สูงสุด 2,000 บาท (1) ต่อครั้ง สูงสุด 30 ครั้งต่อปี(2) เบี้ยเบาๆ เริ่มต้นเพียง วันละไม่ถึง 6 บาท(3) ซื้อได้โดยไม่ต้องซื้อพ่วงกับประกันสุขภาพผู้ป่วยใน ช่วยดูแลค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก ค่าธรรมเนียมปรึกษาแพทย์ ค่าวินิจฉัยและค่ายา และอื่นๆสามารถซื้อได้ตั้งแต่อายุ 20-58 ปี ไม่ว่าจะเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุก็คุ้มครอง
  2. โรคร้ายเจอจ่าย – รับเงินก้อนเมื่อตรวจเจอโรคร้ายทั้งระยะเริ่มต้นและระยะรุนแรง สูงสุด 500,000 บาท เพื่อใช้เป็นค่ารักษา หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ได้ตามต้องการ สามารถเลือกความคุ้มครองตามโรคที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโรคมะเร็ง, กลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ หรือกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดและหัวใจ เบี้ยไม่แพง เริ่มต้นเพียงวันละไม่ถึง 1 บาท(4) สามารถซื้อได้ตั้งแต่อายุ 20-58 ปี
  3. ผู้ป่วยในท็อปอัพ – ช่วยเติมเต็มค่ารักษาส่วนเกินจากประกันหรือสวัสดิการที่มีอยู่เมื่อนอนโรงพยาบาล สูงสุด 500,000 บาท / ครั้ง (มีความรับผิดส่วนแรก 20,000 บาท/ครั้ง) ค่าห้อง 4,000 บาทต่อวัน และไม่จำกัดครั้งการเข้าแอดมิต(5) ครอบคลุมทั้งโรคร้ายแรง โรคทั่วไป โรคระบาด ผ่าตัด และอุบัติเหตุ เบี้ยเริ่มต้นเบาๆ เพียงวันละไม่ถึง 11 บาท(6) สามารถซื้อได้ตั้งแต่อายุ 20-69 ปี
  4. ผู้ป่วยในเหมาเหมา – เหมาจ่ายค่าห้องเดี่ยวมาตรฐานและค่ารักษาตามจริง สูงสุด 500,000บาท/ครั้ง ไม่จำกัดครั้งการเข้าแอดมิต(5) ครอบคลุมทั้งโรคร้ายแรง โรคทั่วไป โรคระบาด ผ่าตัด และอุบัติเหตุ เมื่อนอนโรงพยาบาล รวมถึงค่าห้องเดี่ยวมาตรฐานทุกโรงพยาบาล เบี้ยเริ่มต้นเบาๆ เพียงวันละไม่ถึง 22 บาท(7) สามารถซื้อได้ตั้งแต่อายุ 21-59 ปี
  5. ชดเชยไม่ขาดเงิน – ให้ความคุ้มครองค่าชดเชยรายวัน สูงสุด 1,000 บาท/วัน(1) สูงสุด 365 วันต่อครั้ง(5) กรณีลูกค้าได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจนต้องนอนรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล รับเพิ่ม 2 เท่าเมื่อนอน ICU หรือนอนโรงพยาบาลด้วยอุบัติเหตุ สูงสุด 45 วันต่อครั้ง(5) เบี้ยเริ่มต้นเบาๆ เพียงวันละไม่ถึง 3 บาท(8) สามารถซื้อได้ตั้งแต่อายุ 20-58 ปี

ทุกแบบประกันสามารถสมัครได้โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพ เพียงตอบคำถามสุขภาพตามความเป็นจริง และไม่ต้องสำรองจ่ายเมื่อเข้ารักษาที่โรงพยาบาลคู่สัญญาที่มีมากกว่า 500 แห่งทั่วประเทศตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด โดยมีประกัน “ผู้ป่วยนอกเบาเบา” และ “โรคร้ายเจอจ่าย” เป็นผลิตภัณฑ์เรือธง และเพื่อฉลองการเปิดตัวบริการใหม่ LINE BK ขอมอบแคมเปญสุดพิเศษให้กับลูกค้าเมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและประกันสุขภาพผ่าน LINE BK ตั้งแต่วันนี้ – 15 พฤศจิกายน 2566 คุ้ม 2 ต่อ

ต่อที่ 1: รับเงินคืน (cashback) 15% ของยอดชำระเบี้ยประกันภัยครั้งแรก ทุกกรมธรรม์ จำกัด 1 สิทธิ์/ 1 กรมธรรม์/ 1 บัญชีผู้ใช้งาน
ต่อที่ 2: ลุ้นรับจี้ทองคำนกกระเรียนเสริมมงคล หนัก 1 บาท 15 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 500,000 บาท

ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2566 – 15 พฤศจิกายน 2566 ทั้งนี้ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด