Home Blog Page 133

ได้โอกาส…ให้โอกาส! ซีพีเอฟ ชวนคนไทยใจบุญ โหลด Sticker Line สมทบทุนการปรับปรุงศูนย์การแพทย์ฯ ศิริราชมูลนิธิ

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับ หมาจ๋า สร้างสรรค์และออกแบบ Sticker Line สุดน่ารัก ชุด “CP x หมาจ๋า…มูซีรีส์” เพื่อนำรายได้ทั้งหมดสมทบทุนการปรับปรุงห้องผ่าตัดและสร้างอาคารหอผู้ป่วยใน ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เป็นส่วนหนึ่งในการตอบแทนสังคมให้คนไทยเข้าถึงการรักษาและการบริการได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

สำหรับผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด Sticker Line ได้จากโทรศัพท์มือถือ ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android เพียงพิมพ์คำว่า “CP x หมาจ๋า….มูซีรีส์” ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2566 ในราคาเพียง 35 บาท (50 Coins) เท่านั้น สามารถร่วมทำบุญได้ทันที ไม่ว่าจะโหลดใช้เองหรือส่งต่อเป็นของขวัญสุดพิเศษให้คนที่คุณรัก โดยสแกน QR Code หรือ คลิก >> https://store.line.me/stickershop/product/23853577/ เพียงเท่านี้! ผู้รับก็อิ่มใจและผู้ส่งก็ยังอิ่มบุญ ติดตามข้อมูลศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก เพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/gj.mahidol?mibextid=LQQJ4d

กิจกรรม Sticker Line ชุด “CP x หมาจ๋า…มูซีรีส์” จัดโดย ชมรมศาสตร์เสริมพลังชีวิต จากหน่วยงานสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์และการตลาด ซีพีเอฟ เพื่อส่งเสริมให้พนักงานที่มีความสนใจด้านศาสตร์และศิลป์ของการเสริมพลังชีวิตทุกรูปแบบ ร่วมสร้างกำลังใจและเสริมความมั่นใจในการดำเนินชีวิตผ่านกิจกรรมดีๆ มากมายตลอดทั้งปี ./

กนง.มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% แตะ 2.25% มีผลทันที

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 2 สิงหาคม 2566 มีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ต่อปี จาก 2.00% เป็น 2.25% ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ กนง. มองว่า เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้ว่าล่าสุด อุปสงค์จากต่างประเทศจะชะลอลงบ้าง แต่คาดว่าจะทยอยปรับดีขึ้นในระยะต่อไป ด้านอัตราเงินเฟ้อปรับลดลง และมีแนวโน้มทรงตัวในกรอบเป้าหมาย โดยยังมีความเสี่ยงด้านสูง

สำหรับเศรษฐกิจไทย มีแนวโน้มขยายตัวจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ ขณะที่การส่งออกสินค้าหดตัวในระยะสั้น ส่วนหนึ่งตามเศรษฐกิจจีน และวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่ฟื้นตัวได้ช้า แต่คาดว่าจะปรับดีขึ้นในระยะข้างหน้า สอดคล้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น จากภาคการส่งออกสินค้าที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด และความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมือง

อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปรับลดลงจากราคาในหมวดพลังงาน มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ และผลของฐานที่สูงในปีก่อนหน้า แต่ประเมินว่าจะปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี หลังปัจจัยชั่วคราวทยอยหมดลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลงแต่มีแนวโน้มทรงตัวในระดับที่สูงกว่าในอดีต โดยมีความเสี่ยงด้านสูงจากต้นทุนราคาอาหารที่อาจปรับเพิ่มขึ้นหากปรากฏการณ์เอลนีโญรุนแรงกว่าคาด

ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ โดยธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง แต่คุณภาพสินเชื่ออาจด้อยลง จากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบการ SMEs และครัวเรือนบางส่วนที่ยังเปราะบางจากภาระหนี้ที่สูงขึ้นและรายได้ที่ฟื้นตัวช้า คณะกรรมการฯ สนับสนุนการดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)

ภาวะการเงินโดยรวมผ่อนคลายลดลง แต่ยังเอื้อต่อการระดมทุนของภาคเอกชน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนโน้มสูงขึ้นสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่สินเชื่อภาคเอกชนที่ชะลอลง ส่วนหนึ่งเป็นการปรับตัวเข้าสู่ระดับปกติ หลังจากที่ได้ขยายตัวต่อเนื่องในช่วงวิกฤตโควิด-19

ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ เคลื่อนไหวผันผวน ตามทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ แนวโน้มเศรษฐกิจจีน และความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย

ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องเข้าสู่ระดับศักยภาพ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อโน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงด้านสูง นโยบายการเงินยังควรดูแลให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายอย่างยั่งยืน ควบคู่กับให้ความสำคัญกับเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม จะพิจารณาให้เหมาะสมกับแนวโน้ม และความเสี่ยงของเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ

“ทรีนีตี้” มองดัชนีทางลงหลังใกล้แตะ 1560 จุด ชี้ปัจจัยมีอิทธิพลกับการลงทุนเดือนส.ค. ทั้งดอกเบี้ยกนง. การเมือง และกำไรบจ.

0
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด

“ทรีนีตี้” มอง 3 ปัจจัยภายในสำคัญมีอิทธิพลต่อการลงทุนเดือนส.ค. นโยบายดอกเบี้ยกนง. การเมือง และกำไรบจ. มองดัชนีทางลงหลังขึ้นมาใกล้แตะ 1560 จุด แนะซื้อหุ้นกลุ่มโรงกลั่นเกาะจังหวะสวิงขึ้น หากต้องการปลอดภัยแนะหุ้นกลุ่ม รพ.

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือนสิงหาคม 2566 ว่า สำหรับภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนสิงหาคม ประเมินว่าจะผันแปรไปตามปัจจัยภายในประเทศอยู่ 3 ประเด็น ได้แก่ 1.แนวนโนบายการเงินและการส่งสัญญาณของกนง.ที่จะมีการประชุมกันในวันนี้ (2 สิงหาคม 2566 ) 2.พัฒนาการของปัจจัยการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะการโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ หากพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยที่ไม่ได้มีพรรคก้าวไกลอยู่เป็นพรรคร่วม และไม่มีความวุ่นวายนอกสภาเกิดขึ้น คาดว่าจะเป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้นในระยะสั้นได้ และ 3.การประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 2/66 และการปรับเปลี่ยนประมาณการของนักวิเคราะห์ ซึ่งล่าสุดยังคงเห็นสัญญาณการ Downgrade ต่อเนื่อง

ในเชิงกลยุทธ์ มองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index ในเดือนสิงหาคมอิงทางลง หลังดัชนีขึ้นมาใกล้ระดับดีสุดในวิธี PE Model ของทรีนีตี้ที่ 1560 จุด โดยที่ยังไม่เห็นพัฒนาการเชิงบวกใดๆทางปัจจัยพื้นฐาน แนะนำนักลงทุนที่จำเป็นต้องถือหุ้น ใช้จังหวะที่ SET Index ทะลุระดับ 1560 จุดขึ้นไป ทยอยเปิดสถานะ Short ในตราสาร Index futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตหากดัชนีมีการปรับตัวลงมาตามที่เราคาดไว้

สำหรับหุ้นที่อาจพอ Selective ในช่วงที่ดัชนีอยู่สูงเช่นนี้ มองไปยัง 2 กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานผ่านพ้นจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2 ไปแล้ว อย่างเช่น 1. หากต้องการลงทุนไปตามโมเมนตัม มองไปยังกลุ่มโรงกลั่นที่ได้แรงหนุนจากค่าการกลั่นที่ปรับขึ้นสูง เช่น TOP, SPRC, BCP, IRPC, PTTGC 2. หากต้องการความปลอดภัย มองไปยังกลุ่มโรงพยาบาลที่ยังคงปรับตัว Laggard ตลาดในช่วงที่ผ่านมา เช่น BDMS, BH, BCH, CHG, PR9

“ธนาคารน้ำใต้ดิน” หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า แหล่งเรียนรู้นวัตกรรมการบริหารจัดการน้ำยั่งยืน

0

น้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต ทั้งพืช สัตว์ รวมถึงมนุษย์ ที่ใช้ในการอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม อุตสาหกรรม ฯลฯ และยังช่วยรักษาความสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ต่างๆด้วย หากแต่ปริมาณน้ำบนโลกนี้เป็นน้ำทะเลหรือน้ำเค็มถึงร้อยละ 97 ส่วนที่เหลืออีกเพียงร้อยละ 3 เป็นน้ำจืด ถ้าหากแบ่งในปริมาณน้ำจืดนี้เป็น 100% พบว่าเป็นธารน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็งมากถึง 70% ส่วนอีก 29% เป็นน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล และมีเพียง 1% เป็นน้ำผิวดิน

การเก็บกักน้ำไว้บนผิวดินเพิ่มเติมเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ กลายเป็นทั้งเรื่องที่จำเป็นและเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้น้ำเป็นจำนวนมาก วันนี้พามารู้จักกับหนึ่งในตัวอย่างการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนในภาคเกษตร ที่ โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา โครงการที่ริเริ่มดำเนินการโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ มาตั้งแต่ปี 2520 ด้วยการพลิกฟื้นผืนดินแห้งแล้งให้เกษตรกรทั้ง 50 ราย ได้มีอาชีพเลี้ยงหมูเป็นอาชีพหลัก และมีการเพาะปลูกพืชสวนพืชไร่เป็นอาชีพเสริม จนถึงปัจจุบันที่นี่กลายเป็นผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ มีสวนผลไม้ สวนยาง แปลงผักปลอดสาร ฟาร์มเห็ด สุดแต่ความถนัดของเกษตรกรช่วยสร้างรายได้เสริมให้ตลอดปี

สำหรับการเลี้ยงหมูและการเพาะปลูกพืช ของเกษตรกรในหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า ซึ่งมีการใช้น้ำเป็นจำนวนมาก และที่ผ่านมาที่นี่ยังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง เกษตรกรจึงร่วมกับทีมงานของธุรกิจสุกร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่ช่วยสนับสนุนทั้งการผลิตหมูและทุกๆกิจกรรมของเกษตรกร ด้วยการร่วมกันคิดหาวิธีการกักเก็บน้ำไว้ใช้ให้ได้ตลอดทั้งปี ซึ่งหนึ่งในวิธีการที่เห็นผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมคือ “ธนาคารน้ำใต้ดิน (Groundwater Bank)”

ภักดี ไทยสยาม ประธานกรรมการ บริษัท หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จำกัด เล่าว่า ธนาคารน้ำใต้ดิน ถือเป็นนวัตกรรมด้านสังคมที่เกษตรกรร่วมกับซีพีเอฟดำเนินการ เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและการขาดแคลนน้ำใช้ จากแต่ก่อนที่เกษตรกรจำเป็นต้องซื้อน้ำมาใช้มากถึง 50,000 คิว ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึงปีละ 1,000,000 บาท ส่งผลกระทบต่อรายของได้เกษตรกร ทุกคนจึงร่วมกันคิดหาวิธีที่จะกักเก็บน้ำไว้ใช้สำหรับทั้งการเลี้ยงหมูและปลูกพืชได้ทั้งปี โดยนำแนวคิดการทำ “ธนาคารน้ำใต้ดิน” ของหลวงพ่อสมาน สิริปัญโญ ประธานสถาบันน้ำนิเทศศาสนคุณ มาใช้ ด้วยหลักการเติมน้ำไปเก็บในชั้นใต้ดิน ด้วยการขุดบ่อในบริเวณพื้นที่น้ำท่วม น้ำขัง น้ำหลาก หรือจุดรวมของน้ำเพื่อกักน้ำให้ซึมลงไปชั้นหิน เป็นการพักน้ำรวมไว้เหมือนธนาคาร

“เมื่อก่อนพอฝนตกจะเกิดน้ำท่วมขังและไหลทิ้งออกนอกพื้นที่ ไม่สามารถนำน้ำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่ธนาคารน้ำใต้ดิน คือสถานที่เก็บน้ำฝนที่ตกลงมาไปกักเก็บไว้ใต้ดินในชั้นหินอุ้มน้ำให้ได้มากที่สุด จากบ่อที่ทุกคนร่วมใจกันประดิษฐ์ขึ้นมา ในรูปแบบนวัตกรรมทางธรรมชาติ จัดการน้ำที่ไหลอยู่บนผิวดินให้ลงไปเก็บไว้ใต้ดิน มีการเชื่อมโยงเป็นระบบเครือข่ายธนาคารน้ำ ร่วมกับแหล่งน้ำที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ เป็นการนำความรู้พื้นฐานการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ทั้งด้าน วิทยาศาสตร์ ธรณีวิทยา สังคม ชุมชน และธรรมชาติ ทิศทางการไหลของน้ำ การหมุนของโลกมาผนวกกัน เมื่อมีธนาคารน้ำใต้ดิน พอถึงฤดูแล้งระดับน้ำใต้ดินจะเพิ่มสูงขึ้น เกษตรกรสามารถนำน้ำจากใต้ดินขึ้นมาใช้ได้เพียงพอตลอดฤดูกาล” ภักดี กล่าว

ธนาคารน้ำใต้ดิน หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า เริ่มดำเนินการในปี 2563 หลังจากทีมงานได้ศึกษาดูงาน จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และเชิญวิทยากรของสถาบันน้ำนิเทศศาสนคุณ มาให้ความรู้กับเกษตรกร พร้อมวางแผนสำรวจตำแหน่งที่จะทำธนาคารน้ำใต้ดินในหมู่บ้าน โดยทีมผู้เชี่ยวชาญของซีพีเอฟทำการสำรวจข้อมูลปริมาณน้ำใต้ดินเบื้องต้น จนเริ่มสร้างธนาคารน้ำใต้ดินรูปแบบบ่อปิดบริเวณรอบสำนักงานและพื้นที่ส่วนกลาง และทำธนาคารน้ำใต้ดินระบบเปิดที่บ่อเก็บน้ำขนาดใหญ่ของหมู่บ้าน โดยน้ำที่นำมาเก็บมาจากหลายแหล่ง ทั้งน้ำฝนที่ตกลงมา และน้ำจากการทำธนาคารน้ำใต้ดิน ระบบปิด ต่อมาในปี 2564 ต่อยอดสู่ธนาคารน้ำใต้ดินรูปแบบรางระบายน้ำบริเวณถนนภายในหมู่บ้านฯ และในปี 2565 ผลักดันสู่แหล่งเรียนรู้ให้แก่ผู้ที่มีความสนใจได้มาศึกษาดูงาน

ปัจจุบันที่นี่มีธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิดบริเวณพื้นที่ส่วนกลางรวม 31 บ่อ แบ่งออกเป็นรูปแบบบ่อปิด 30 บ่อ และแบบรางระบายน้ำ 1 บ่อ ส่วนธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิดบริเวณรอบหมู่บ้านมีทั้งหมด 64 บ่อ แบ่งออกเป็นรูปแบบบ่อปิด 9 บ่อ และรูปแบบรางระบายน้ำจำนวน 55 บ่อ ช่วยลดปัญหาน้ำท่วมขังและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับต้นไม้ภายในฟาร์ม ส่วนธนาคารน้ำใต้ดินระบบเปิด บ่อเดิม ความจุ 37,000 ลบ.ม. โดยทำการขุดบ่อเพิ่มเติมเพื่อเก็บกักน้ำให้ลึกถึงชั้นหินอุ้มน้ำ เชื่อมต่อจากบ่อเดิม อีก 1 บ่อ มีความจุ 17,000 ลบ.ม. ทำให้สามารถเก็บน้ำไว้ใช้ได้มากกว่า 18 เดือน จึงช่วยแก้ไขทั้งปัญหาภัยแล้ง การขาดน้ำ แก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังทั้งภายในและภายนอกฟาร์ม เพิ่มปริมาณระดับน้ำบาดาลในพื้นที่เก็บไว้ใช้อนาคต และเพิ่มความอุมดมสมบูรณ์ของพื้นดินสำหรับปลูกพืช ความสำเร็จนี้ได้ถูกต่อยอดไปยังฟาร์มหมูของธุรกิจสุกรซีพีเอฟภาคตะวันออกอีก 6 แห่ง รวมถึงขยายผลไปยังธุรกิจสุกรใน ซี.พี.ลาว ด้วย

“ธนาคารน้ำใต้ดินเปรียบเสมือนการฝากน้ำไว้กับดิน เป็นการเก็บน้ำส่วนเกินเพื่อเติมน้ำที่ขาด ช่วยแก้ปัญหาทั้งน้ำท่วมและภัยแล้งทุกปี และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำได้ถึงปีละ 1 ล้านบาท เกษตรกรและทีมงานซีพีเอฟทุกคนภูมิใจที่ ได้มีโอกาสเปิดรับผู้สนใจเข้ามาศึกษาดูงานธนาคารน้ำใต้ดินของเราและนำไปประยุกต์ใช้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งเรียนรู้นวัตกรรมการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันยังได้รับเชิญเป็นวิทยากรให้ความรู้ และให้คำปรึกษาเรื่องการทำธนาคารน้ำแก่หน่วยงานต่างๆ และยังได้ไปร่วมงานสัมมนาบริหารจัดการน้ำนานาชาติด้วย” ภักดี กล่าว

หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้าพิสูจน์ ทำให้เห็นแล้วว่าน้ำบาดาลและแหล่งน้ำใต้ดินมีความสำคัญ และเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการ หากมีการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่สนใจเข้าศึกษาดูงาน สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 038-557-081

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตือนนักลงทุนศึกษาและติดตามเรื่องการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของ ALL

0

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทสไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (ALL) ได้แจ้งผิดนัดชำระหนี้ สรุปได้ดังนี้

1. หุ้นกู้ของ ALL เนื่องจากการผิดนัดในมูลหนี้รวมเกินเกณฑ์ตามข้อกำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้ (Cross Default)

          ทั้งนี้ บริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ทั้งหมด (7 รุ่น) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,416 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินต้นคงค้าง 2,334 ล้านบาท และดอกเบี้ยที่ค้างชำระจนถึงวันที่ผิดนัด 82 ล้านบาท (คิดเป็น 40% ของสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566) โดยบริษัทจะเร่งดำเนินการขายทรัพย์ และหาแหล่งเงินทุน
เพื่อนำมาชำระคืนหนี้หุ้นกู้

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่
2 สิงหาคม 2566 เวลา 14.00 น. เพื่อขอมติอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ในการดำเนินการเรียกร้องให้
ผู้ออกหุ้นกู้ชำระหนี้ไถ่ถอนหุ้นกู้ หรือดำเนินการฟ้องร้อง และบังคับจำนองทรัพย์สินหลักประกันของ
ผู้ออกหุ้นกู้ โดยจะขอมติอนุมัติมอบหมาย หรือมอบอำนาจให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ หรือเจ้าหน้าที่ของผู้แทน
ผู้ถือหุ้นกู้ ดำเนินการฟ้องร้องคดี และบังคับคดี

2. หนึ้ของธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (KKP) รวม 264 ล้านบาท โดยหากไม่นำเงินมาชำระหนี้ภายใน 30 วันนับจากได้รับหนังสือจาก KKP (วันที่ 20 กรกฎาคม 2566) KKP จะใช้สิทธิดำเนินการตามกฎหมาย (รายละเอียดตามข่าวของบริษัท วันที่ 31 กรกฎาคม 2566)

 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาและติดตามข้อมูลดังกล่าวเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา   และใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์

สินเชื่อเคหะ Refinance ดอกเบี้ยถูก ผ่อนสบาย

0

การเป็นเจ้าของบ้านหลังหนึ่งสำหรับคนที่ต้องกู้ซื้อบ้านแล้ว ถือเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่สูงเป็นอันดับต้นๆ จากการจ่ายค่าส่งบ้านในแต่ละเดือน   และปัญหาหนึ่งที่ผู้มีภาระผ่อนบ้านทุกคนต้องเจอ คือ ภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น หลังหมดระยะเวลาโปรโมชันดอกเบี้ยแล้ว  จากเดิมที่เราสามารถผ่อนเงินต้นได้มาก ดอกเบี้ยน้อย แต่เมื่อหมดโปรฯ แล้ว  ค่างวดของหลายคนอาจแสดงตัวเลขค่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายสูงกว่าเงินต้น ภาระที่เพิ่มขึ้นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินในที่สุด

ด้วยสาเหตุนี้ การรีไฟแนนซ์ จึงเป็นทางออกของหลายคนที่ผ่อนบ้านอยู่เลือกใช้ ด้วยการหาแหล่งเงินกู้ใหม่ที่มีข้อเสนอเรื่องดอกเบี้ยที่จูงใจกว่าเดิม  กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ การขอสินเชื่อเงินกู้จากธนาคารใหม่ที่มีข้อเสนอดอกเบี้ยถูกกว่าธนาคารเดิม เพื่อทำให้การผ่อนจ่ายค่าดอกเบี้ยแต่ละเดือนลดลง  ช่วยผ่อนปรนภาระรายจ่ายเรื่องผ่อนบ้านของผู้กู้ อย่างไรก็ตาม การรีไฟแนนซ์นั้น ต้องพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น ค่าธรรมเนียม ค่าประเมิน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ แตกต่างกันไปตามเงื่อนไขของแต่ละธนาคารด้วย

ด้วยข้อเสนอที่จะทำให้คนผ่อนบ้านสบายตัวมากขึ้น หากย้ายมาอยู่กับออมสิน  นั่นคือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,555 บาทต่อเดือน นาน 6 เดือนแรก   อัตราดอกเบี้ยคงที่ เดือนที่ 1 – 6  อยู่ที่  2.390% ต่อปี   และตั้งแต่เดือนที่ 7 เป็นต้นไป  อัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด  อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR = 6.995% (ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2566)

หากใครที่กำลังมองหา หรือตัดสินใจที่จะรีไฟแนนซ์บ้านอยู่ ตอนนี้ ธนาคารออมสิน มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่น่าสนใจ และสามารถตอบโจทย์เรื่องการลดภาระรายจ่ายเรื่องผ่อนบ้านได้อย่างแน่นอน นั่นคือ “สินเชื่อเคหะ Refinance”  สินเชื่อบ้านจากธนาคารออมสิน ที่ให้ดอกเบี้ยถูก ผ่อนสบาย

ผู้ต้องการรีไฟแนนซ์ตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นให้พร้อม และจัดเตรียมเอกสารประกอบการกู้ให้ครบถ้วน แล้วติดต่อยื่นเรื่องได้แล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2526  โดยกำหนดระยะเวลาโปรโมชั่นนี้ การขอสินเชื่อต้องผ่านการอนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566   สามารถสมัครขอสินเชื่อได้ที่  https://bit.ly/43KNCIh

ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115  หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ  เฟสบุ๊ค GSB Society

คนผ่อนบ้านที่ต้องการลดภาระค่าผ่อน มองหาดอกเบี้ยค่าบ้านที่ต่ำลง ต้องไม่พลาดโอกาสพิเศษนี้  “ดอกเบี้ยถูกกว่า ผ่อนสบายกว่า กู้เพิ่มเติมได้…ย้ายมาอยู่กับออมสิน ด้วยสินเชื่อเคหะรีไฟแนนซ์”

ผู้เลี้ยงหมูร้อง “โครงการท่าเรือสีขาว” ตรวจซ้ำ “หมูเถื่อน” ตกค้าง 3 ท่าเรือ

0
บทความโดย ศิระ มุ่งมะโน นักวิชาการอิสระ

วันนี้แม้สถานการณ์ “หมูเถื่อน” ที่เข้ามาระบาดในประเทศมากกว่า 1 ปี ถูกจับกุมได้ล็อตใหญ่เป็นประวัติการณ์ จนทำให้การค้าขายเนื้อหมูผิดกฎหมายผ่านทุกช่องทางทั้งโซเชียล ตลาดสด และร้านหมูกระทะ ติดขัดและทำได้ยากขึ้น ขบวนการลักลอบนำเข้าขาดทุนไปหลายร้อยล้านบาท จากของกลางที่ถูกอายัดไว้หลักล้านกิโลกรัม แต่ผู้เลี้ยงสุกรก็ยังไม่นิ่งนอนใจเพราะตู้คอนเทนเนอร์แบบปรับความเย็นได้ ยังตกค้างที่ท่าเรืออีกจำนวนมาก โดยเฉพาะท่าเรือที่ยังไม่เคยเข้าไปตรวจสอบอย่างเป็นทางการ เช่น ท่าเรือกรุงเทพ (ท่าเรือคลองเตย) ท่าเรือสงขลา และท่าเรือระนอง ล้วนมีโอกาสเป็นที่พักสินค้าผิดกฎหมายทั้งสิ้น

“โครงการท่าเรือสีขาว” ของกระทรวงคมนาคม โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทย มีแนวทางและมาตรการที่เคร่งครัดในการตรวจสอบสินค้าที่มีกฎหมายการนำเข้า-ส่งออก หรือผ่านราชอาณาจักร ต้องได้รับอนุญาตหรือปฏิบัติให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ทั้งนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566  มีประชุมร่วมกันระหว่างภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ตำรวจภาค 2, ทหารเรือ และกรมศุลกากร พบว่ามีตู้คอนเทนเนอร์ต้องสงสัยตกค้างนานนับปีมากกว่า 1,000 ตู้ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ในจำนวนนี้มีตู้เย็นประมาณ 300 ตู้ และจากการเปิดตู้ตรวจสอบบางส่วนพบหมูเถื่อนซุกซ่อนอยู่ และยังมีตู้ตกค้างเกินกว่า 45 วัน อีกหลายร้อยตู้ และบางตู้เก็บไว้หลายเดือนเกินกว่ากฏระเบียบของศุลกากร แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ดำเนินการ จึงอาจเป็นสินค้าต้องห้ามหรือมีของผิดกฏหมายได้

สำหรับโครงการท่าเรือสีขาว จะมีส่วนช่วยให้การกวาดล้าง “หมูเถื่อน” ในตู้ตกต้างที่ท่าเรือสำคัญอีก 3 แห่ง ดังกล่าวข้างต้นได้อย่างดี เนื่องจากมีอำนาจตามกฎหมายในการตรวจสอบตู้สินค้านำเข้า ในฐานะเจ้าของท่าเรือ และมีเอกสารการเข้ามาของสินค้าทุกล็อต เพื่อยึดและทำลายของกลางหากเป็นหมูผิดกฎหมายไม่ให้เล็ดลอดออกไปนอกท่าเรือกดดันราคาหมูให้ตกต่ำมากขึ้นซ้ำเติมเกษตรกรไทย ซึ่งเป็นช่วงนี้ผลผลิตออกสู่ตลาดมากเกินความต้องการ (Oversupply) ต้องยอมขาดทุนโดยขายหมูเล็กเป็น “หมูหัน” เพื่อตัดวงจรการผลิต หวังดึงราคาหน้าฟาร์มและชิ้นส่วนให้สูงขึ้น

ที่ผ่านมา ผู้เลี้ยงสุกรไทยได้รับผลกระทบสาหัสมากจาก “หมูเถื่อน” ที่ทำให้ราคาในประเทศตกต่ำจากการเสนอราคาที่ถูกกว่าหมูไทยกว่าเท่าตัว ในช่วงปีที่ผ่านมาต่อเนื่องจากถึงกลางปี 2566 สถานการณ์ที่ดีขึ้นนี้ เป็นจากการปราบปรามจากภาครัฐอย่างจริงจังของตำรวจและกรมปศุสัตว์ ปูพรมตรวจกันไม่ลดละทั้งในเมืองและตามตะเข็บชายแดนติดประเทศเพื่อนบ้านที่มีโอกาสลักลอบนำเข้ามา แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า เนื้อสัตว์ผิดกฎหมายสามารถผ่านพิธีทางศุลกากรออกไปขายได้โดยไม่ถูกจับกุม และเมื่อถูกจับกุมได้ยังไม่ถูกดำเนินคดีภายใต้ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 ถูกสังคมตั้งคำถาม จนต้องส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เป็นผู้สอบสวนเอาผิดแทน  ซึ่งการสอบสวนของ DSI มีความคืบหน้าไปมาก มีการเรียกผู้เกี่ยวข้องทั้ง เจ้าหน้าที่รัฐจาก กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ บริษัทเดินเรือที่มีชื่อเป็นผู้ขนส่งสินค้า และอาจจะเรียกมาสอบสวนเพิ่มเติมจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อเอาผิดกับผู้นำเข้าที่เป็นเจ้าของสินค้าตัวจริง

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เชื่อว่าหมูเถื่อนยังไม่หมดไป และยังคงถูกซุกซ่อนอยู่ในตู้สินค้าแบบควบคุมความเย็นที่ยังตกค้างที่ท่าเรือ ตามรายงานของโครงการท่าเรือสีขาวระบุไว้ ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องผนึกกำลังกันลงพื้นที่ตรวจสอบท่าเรือทั้ง 3 แห่ง พร้อมกัน เพื่อกำจัดให้หมูเถื่อนสูญพันธ์ไปจากไทย เพื่อยกระดับราคาหมูไทยที่มีความปลอดภัยจากโรคระบาด สารปนเปื้อน และสารเร่งเนื้อแดง มากกว่าหมูเถื่อน เนื่องจากหลายประเทศทางตะวันตกยังอนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดงซึ่งเป็นสารกระตุ้นโรคมะเร็งได้ และการกินอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดการสะสมของสารดังกล่าวและเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง

หากพิจารณาแนวทางการปฏิบัติการ ”หมูสะอาด” ของกรมปศุสัตว์ ที่มีเป้าหมายในการควบคุม เฝ้าระวังโรคระบาด ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพราคาสุกร โดยมุ่งหวังให้เกษตรกรเลี้ยงและขายสุกรได้ในราคาที่พออยู่ได้ไม่ขาดทุนแล้ว “โครงการท่าเรือสีขาว” จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญทื่เชื่อมโยงกันได้อย่างดี ในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย ให้เข้าถึงอาหารที่ดีมีคุณภาพได้อย่างเพียงพอจากผลผลิตของเกษตรกรไทยได้เป็นอย่างดี

ภาคธุรกิจประกันชีวิต เผยตัวเลขครึ่งแรกปี 66 เบี้ยประกันภัยรับรวมโต 3.78%

0

นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในช่วงครึ่งแรกปี 2566 ระหว่าง มกราคม – มิถุนายน มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 300,005 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.78 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2565 โดยจำแนกเป็น เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ 86,802 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.93 และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป 213,203 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.82 โดยมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ร้อยละ 82

สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย

1.) เบี้ยประกันภัยรับปีแรก 56,456 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.44

2.) เบี้ยประกันภัยจ่ายครั้งเดียว 30,346 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 0.03

หากจำแนกเบี้ยประกันภัยรับรวมแยกตามช่องทางการจำหน่ายจะปรากฏ ดังนี้

1. การขายผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิต (Agency) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 152,506 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.23 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 50.83

2. การขายผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance)  มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 117,482 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.43 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.16

3. การขายผ่านช่องทางนายหน้าประกันชีวิต (Broker) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 16,642 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.17 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.55

4. การขายผ่านช่องทางการตลาดแบบตรง (Direct marketing) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 6,859 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 2.02 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.29

5. การขายผ่านช่องทางดิจิทัล (Digital) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 482 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.64 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.16

6. การขายผ่านช่องทางอื่น (Others) เช่น การขาย Worksite, การขายผ่านการออกบูธ, การขายผ่านร้านค้าสะดวกซื้อ เป็นต้น มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 6,035 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.23 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.01

สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมในช่วงครึ่งแรก ปี 2566 และมีอัตราการเติบโตมากขึ้น ได้แก่ สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและคุ้มครองโรคร้ายแรง ที่เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.34 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.01 ซึ่งหลัก ๆ มาจากการที่ประชาชนเริ่มให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น อันเนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี จึงทำให้สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและคุ้มครองโรคร้ายแรงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ประชาชนให้ความสนใจ รวมถึงแบบประกันบำนาญ ที่เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.84 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.71 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากสังคมสูงวัย (Aged Society) และมาจากค่านิยมของการแต่งงานช้า มีบุตรน้อยลง ทำให้คนทั่วไปเริ่มตระหนักถึงการออมเงินไว้สำหรับดูแลตัวเองในช่วงหลังเกษียณมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยเร่งสำคัญที่ทำให้ภาคธุรกิจรวมถึงแต่ละบริษัทประกันชีวิต จะต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และสามารถตอบโจทย์บนความต้องการและไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้น

ขณะที่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit- Linked +Universal Life) เติบโตลดลงร้อยละ 13.24 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 17,201 ล้านบาท และมีสัดส่วนเมื่อเทียบเบี้ยรับรวมทั้งหมดร้อยละ 5.73 ซึ่งมาจากความไม่แน่นอนของทิศทางเศรษฐกิจโลกและภายในประเทศ รวมถึงความผันผวนของอัตราผลตอบแทนและภาวะอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถรับความผันผวนจากการลงทุน จึงทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุนออกไปก่อน

สำหรับทิศทางภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 มีปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้ภาคธุรกิจประกันชีวิตมีอัตราการเติบโตเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี โดยคาดการณ์ว่าภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตปี 2566 จะมีเบี้ยประกันภัยรับรวมประมาณ 612,500 – 623,500 ล้านบาท เติบโตอยู่ในช่วงระหว่างร้อยละ 0 ถึง 2 ด้วยอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประมาณร้อยละ 81 ถึง 82 ซึ่งปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ คือ ประชาชนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันชีวิตและสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพหรือโรคร้ายแรงมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะมาจากแนวโน้มค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น ยังมาจากความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ เช่น Covid-19 และมาจากภาคธุรกิจที่ออกนโยบายและมีการบังคับใช้แบบมาตรฐานใหม่ของสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ (New Health Standard) ที่มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อให้ประชาชนสามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์และเลือกความคุ้มครองได้ตามที่ต้องการได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ประชาชนเริ่มตระหนักในการทำประกันชีวิตแบบบำนาญ (Pension) มากขึ้น จากการที่ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัย

รวมถึงที่ทางภาครัฐให้การสนับสนุนเรื่องมาตรการลดหย่อนภาษีของประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันบำนาญ และมีมาตรการผ่อนคลายการกำกับดูแลให้เป็น Principle-Base มากขึ้น โดยกรอบแนวปฏิบัติสามารถปรับได้ตามความเหมาะสมกับสภาวะตลาดในปัจจุบัน เพื่อให้ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตยังสามารถเติบโตได้แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะวิกฤต นอกจากนี้ภาคธุรกิจได้มีการส่งเสริมให้บริษัทประกันชีวิตมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและขีดความสามารถทางการแข่งขันให้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจประกันชีวิตยังคงต้องติดตามปัจจัยท้าทายต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด อาทิ ความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลต่อระดับอัตราดอกเบี้ย (Yield Curve) ที่ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีทิศทางที่ปรับสูงขึ้นแต่ยังต้องมีความระมัดระวังในการเลือกลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท สงครามการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อหรืออำนาจซื้อของประชาชน ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองทั้งในและต่างประเทศที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สามารถสร้างผลกระทบและมีผลต่อเสถียรภาพของระบบการประกันชีวิตและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นอกจากนี้ยังรวมถึงการเริ่มใช้กฎระเบียบและมาตรฐานสากลใหม่ เช่น มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 17 (TFRS 17) การปฏิบัติตามกฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริกา (FATCA) มาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีทางการเงินแบบอัตโนมัติ (CRS) และการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่ส่งผลให้แต่ละบริษัทประกันชีวิตจะต้องปรับการดำเนินงานให้สอดคล้องกับหลักการใหม่ดังกล่าว ซึ่งต้องใช้ทั้งงบประมาณ เวลา และบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจ

ดังนั้น สมาคมประกันชีวิตไทยจึงมีแผนดำเนินงานเพื่อเตรียมพร้อมรับมือต่อปัจจัยท้าทายรอบด้าน โดยนำแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) เพื่อประกอบการพิจารณาลงทุนและดำเนินงาน ซึ่งให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ 3 ด้าน คือ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และการกำกับดูแล (Governance) มาประยุกต์ใช้เพื่อธุรกิจประกันชีวิตไทยมีความยั่งยืน การส่งเสริมให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตรูปแบบใหม่ รวมถึงการสนับสนุนให้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้พัฒนากระบวนการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการนำเสนอขาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและยกระดับในการสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นของผู้เอาประกันภัยให้มากขึ้น การสร้างองค์ความรู้เรื่องการป้องกันและรู้เท่าทันเทคโนโลยีให้แก่ประชาชน รวมถึงการดำเนินงานเชิงรุกในการขอปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้เป็นปัจจุบัน ผลักดันระบบการจัดสอบความรู้ ระบบออกใบอนุญาตในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบอำนวยความสะดวกต่าง ๆ รวมไปถึงการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อให้บริษัทสมาชิกและบุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างยั่งยืน มีการแข่งขันอย่างเสรี ภายใต้ธรรมาภิบาลและการดูแลของหน่วยงานกำกับ

ที่สำคัญ สมาคมประกันชีวิตไทยมีนโยบายที่มุ่งให้แต่ละบริษัทประกันชีวิตจะต้องมีการดำเนินธุรกิจด้วยการบริหารจัดการความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งก่อนและหลังการรับประกันภัย และมีฐานะทางการเงินที่มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนตามความเสี่ยง (CAR Ratio) สูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่กำหนด (Supervisory CAR) เพียงพอต่อการปฏิบัติตามภาระผูกพันของกรมธรรม์ประกันภัยทุกกรมธรรม์ที่ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัย และพร้อมที่จะให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกันภัยจนกว่าจะครบกำหนดสัญญา ดังจะเห็นได้จาก ใน    ไตรมาสที่ 1/2566 จากข้อมูลบนเว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. ภาคธุรกิจประกันชีวิตมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนตามความเสี่ยง อยู่ที่ร้อยละ 385 ซึ่งสูงกว่าอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่ใช้ในการกำกับ (Supervisory CAR) จึงขอให้ผู้เอาประกันภัยทุกท่านเชื่อมั่นว่าธุรกิจประกันชีวิตมีความมั่นคง แข็งแกร่ง และยึดมั่นคำสัญญาตามข้อผูกพันในกรมธรรม์ประกันชีวิตทุกกรมธรรม์ที่ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัย

“ดีพร้อม-เซเว่นฯ” โชว์ผลงานดัน SME ไทย ตีตลาดโมเดิร์นเทรด สร้างมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 81 ล้านบาท

0

ดีพร้อม (DIPROM) หรือกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เผยผลลัพธ์กิจกรรม DIPROM MOVE TO MODERN TRADE 2 กับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น ร่วมปั้นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชน ทั้งจากภาคอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ด้วยการส่งเสริมทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติ เพื่อให้สามารถนำธุรกิจเข้าสู่ตลาดร้านค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรดได้อย่างมีศักยภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด มีผู้ประกอบการเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนทั้งสิ้น 20 ธุรกิจ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจภาพรวมได้กว่า 81 ล้านบาท ด้าน “สไปซ์ สตอรี่” ผู้ประกอบการที่ร่วมกิจกรรม เผยความรู้ที่ได้รับหาไม่ได้จากในตำรา

นายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามนโยบายของ ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เน้นบูรณาการเกษตรอุตสาหกรรมให้โตได้พร้อมกัน ทั้งชุมชน โรงงาน ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ผ่านรูปแบบความร่วมมือและการดำเนินงานร่วมกันให้มากขึ้น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม จึงเดินหน้าร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรภาคเอกชน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ จัดกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการเกษตรอุตสาหกรรมขยายสู่ช่องทางธุรกิจการค้าสมัยใหม่ (DIPROM MOVE TO MODERN TRADE 2) อย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 2 ภายใต้ โครงการยกระดับสินค้าเกษตรสู่เกษตรอุตสาหกรรม ด้วยการสนับสนุนด้านต่าง ๆ รวมทั้งขยายช่องทางการตลาดและเพิ่มโอกาสในการจัดจำหน่าย ยกระดับครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรม เพื่อให้ความรู้ พร้อมส่งเสริม สนับสนุน และต่อยอดให้กับผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ ที่มีศักยภาพให้สามารถนำธุรกิจเข้าสู่ตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) อันเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มโอกาสและช่องทางการทำตลาดใหม่ ๆ แก่ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนเกิดการสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมผู้บริโภคของตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับการดำเนินกิจกรรมในปีนี้ ผู้ประกอบการทั้งเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุนชนจะได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ทั้งเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ อาทิ การฝึกอบรมด้านกลยุทธ์ทางการตลาด แหล่งเงินทุน การบริหารจัดการด้านการเงิน เทรนด์ในการทำธุรกิจ ด้านความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม รวมถึงการให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึก ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และตรงตามความต้องการตลาด พร้อมทั้งส่งเสริมผู้ประกอบการให้เข้าใจถึงแนวโน้มการทำตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม-มิถุนายน 2566 มีผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 20

ธุรกิจ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจภาพรวมได้กว่า 81 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่ายอดขายหน้าร้าน และการส่งออกเพิ่มขึ้นรวมกันกว่า 61 ล้านบาท ในขณะที่มูลค่ายอดขายในอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท และการลงทุนของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มเติม 12 ล้านบาท

“ไม่เพียงการพัฒนาผู้ประกอบการ กิจกรรมนี้ยังแสดงให้เห็นถึงนิมิตหมายอันดีในการแสดงศักยภาพความร่วมมือครั้งสำคัญของทั้งภาครัฐและเอกชนในการช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายที่ถือเป็นส่วนหนึ่งสำคัญขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง “ดีพร้อม” ในฐานะหน่วยงานที่มีบทบาทหน้าที่โดยตรงในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายทุกระดับ จึงเตรียมเดินหน้าจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะมาช่วยส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาในทุกมิติแก่ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายสามารถนำพาธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาวต่อไป”

ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

ด้านนายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากปณิธาน “Giving and Sharing” บริษัทมุ่งมั่นให้การสนับสนุนกลุ่มเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง ผ่านภารกิจ “3 ให้” คือ 1.ให้ช่องทางขาย เพิ่มช่องทางให้ผู้ประกอบการ SME นำเสนอสินค้าเพื่อจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และผ่านช่องทางออนไลน์ 2.ให้ความรู้ จัดอบรมสัมมนาแก่ผู้ประกอบการ SME อย่างต่อเนื่อง และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่ายแก่ SME ทั้งภายในบริษัทและองค์กรความร่วมมือจากภายนอก ในส่วนของโครงการ DIPROM MOVE TO MODERN TRADE ปีที่ 2 ภายใต้ความร่วมมือของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) หรือ “ดีพร้อม” ศูนย์ 7-Eleven สนับสนุน SME และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ จึงถือเป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆ ที่สอดรับกับภารกิจดังกล่าว และสอดคล้องกับกลยุทธ์นำพา “SME โตไกลไปด้วยกัน” ในปีนี้ ที่ต้องการสนับสนุนให้เอสเอ็มอีไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

“ตลาดโมเดิร์นเทรด ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดที่สำคัญในการช่วยสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ถือได้ว่าเป็นฐานรากเศรษฐกิจที่สำคัญในการช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นการติดอาวุธทางความรู้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านการทำตลาดโมเดิร์นเทรด จึงเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ ซีพี ออลล์ ในฐานะหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการในทุกมิติมาโดยตลอด มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ประกอบการที่ผ่านการอบรมในโครงการนี้ จะสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาต่อยอดสินค้าและธุรกิจให้เติบโต สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ในอนาคต” นายยุทธศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับ ดร.ภัครภัสสร์ ลิ้มประนะ กรรมการบริหาร บริษัท สไปซ์ สตอรี่ จำกัด เจ้าของสินค้าก๋วยจั๊บกึ่งสำเร็จรูป สไตล์เยาวราช ง่วนสูน ตรามือที่ 1 หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการ DIPROM MOVE TO MODERN TRADE 2 กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆ ที่ผู้ประกอบการ SME จะได้นำองค์ความรู้ที่ได้รับจากการอบรมไปปรับใช้ เพื่อพัฒนาศักยภาพตนเองและองค์กร พร้อมต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต

“ช่องทางโมเดิร์นเทรด ไม่ใช่เพียงหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยสร้างการเติบโตด้านรายได้ให้กับธุรกิจเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความเป็นมืออาชีพสูงสุดให้กับผู้ประกอบการและองค์กรอีกด้วย เพราะการจะประสบความสำเร็จในตลาดโมเดิร์นเทรดได้นั้น ด้านผู้ประกอบการต้องมี Vision Mission Passion ที่ชัดเจน ด้านองค์กรต้องมีความแข็งแรงในทุกมิติ โดยยึดความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งวิทยากรที่มาช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านหัวข้อต่างๆ ล้วนมากประสบการณ์ และพร้อมให้คำแนะนำแบบเจาะลึก ถือเป็นอาจารย์ในภาควิชาธุรกิจชีวิตจริง วิชาที่ไม่มีในบทเรียน ซึ่งหากผู้ประกอบการนำองค์ความรู้ที่ได้รับจากการอบรมไปปรับใช้ ก็จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ธุรกิจเติบโตในตลาดนี้ได้อย่างยั่งยืน ส่วนตัวก็จะนำทุกๆ คำติชม และทุกคำแนะนำ ไปปรับใช้ ต่อยอด พัฒนาศักยภาพ เพื่อผลิตสินค้าตัวใหม่เข้าวางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เพิ่มเติมจากก๋วยจั๊บกึ่งสำเร็จรูปน้ำใสและน้ำข้น”

“ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในฝัน” จาก CONNEXT ED Crowdfunding ซีพีเอฟส่งมอบโอกาสให้น้อง ๆ เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ

0

“ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในฝัน” แหล่งเรียนรู้ทดลองและปฏิบัติจริงของน้องๆโรงเรียนหนองนกเขียนสามัคคี อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ที่เกิดจากโครงการระดมทุนเพื่อการศึกษา CONNEXT ED Crowdfunding ของมูลนิธิสานอนาคตเพื่อการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี ( CONNEXT ED)โดยมี บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ให้การสนับสนุนในการพัฒนาห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ในฝัน ให้มีอุปกรณ์การเรียนที่ทันสมัยและเพียงพอ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้รับโอกาสการเรียนรู้ด้วยการทดลองและปฏิบัติจริง นำไปสู่การต่อยอดความคิดและเติมฝันห้องเรียนวิทยาศาสตร์ของเด็ก ๆ ให้เป็นจริง

โรงเรียนหนองนกเขียนสามัคคี เป็นโรงเรียนขนาดกลาง ที่มีจำนวนนักเรียน 265 คน เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล 2 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 โรงเรียนเข้าร่วมโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ในปี พ.ศ. 2562 เพื่อทำโครงการผ้าไหมมีชีวิต จากนั้นในปี 2564 เข้าร่วมโครงการระดมทุนเพื่อการศึกษา (Crowdfunding)พัฒนาห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ในฝัน และปัจจุบันอยู่ระหว่างของบประมาณเพื่อดำเนินโครงการเกษตรผสมผสาน

น.ส. สุกัญญา บุตรพรม หรือ คุณครูน้อง เป็นคุณครูผู้รับผิดชอบโครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ผลจากที่นักเรียนมีห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เด็กๆ ได้ลงมือปฏิบัติจริง ทำให้นักเรียนมีทักษะการเรียนรู้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การค้นคว้า ลงมือทำ ช่วยเสริมทักษะชีวิต ทักษะการทำงาน พบว่านักเรียนมีทักษะการเรียนรู้ที่หลากหลาย แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้จากประสบการณ์ ลองผิด ลองถูก มีทักษะการทำงานอย่างเป็นระบบ มีทัศนคติที่ดี มีความสุข สนุกสานต่อการเรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ กล้าพูด กล้าแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ที่สำคัญ คือ ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาของเด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล และโรงเรียนใหญ่ๆ ในเมือง

“เรามองว่าวิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาพื้นฐานที่ต้องเรียนในทุกระดับชั้น และโรงเรียนเราเป็นโรงเรียนห่างไกล การที่เด็กๆ โรงเรียนหนองนกเขียนสามัคคี ได้มีห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ได้ทดลองลงมือปฏิบัติ ทำให้เด็กโรงเรียนห่างไกล มีโอกาสได้เรียนและพัฒนาเต็มศักยภาพ ” คุณครูผู้รับผิดชอบโครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ กล่าว

ผลจากการได้เรียนรู้จากโครงการห้องวิทยาศาสตร์ในฝัน ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติในวิชาวิทยาศาสตร์สูงกว่าระดับประเทศ (O-NET) โดยในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 วิชาวิทยาศาสตร์ ค่าเฉลี่ย 46.94 สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศซึ่งอยู่ที่ระดับ 39.34 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน O-NET ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 วิชาวิทยาศาสตร์ ค่าเฉลี่ย 39.08 สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศซึ่งอยู่ที่ 33.32 นอกจากนี้ ประสบการณ์และทักษะจากการเรียนรู้ ทำให้โรงเรียนได้รับรางวัลและเกียรติบัตรในการแข่งขันต่างๆ อาทิ รางวัลระดับเหรียญทอง กิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทการทดลอง ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในการแข่งขันในงานศิลปหัตถกรรมระดับกลุ่มลำพระเพลิง รางวัลระดับเหรียญทอง กิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในการแข่งขันในงานศิลปหัตถกรรมระดับเขตพื้นที่การศึกษา เป็นต้น

ด.ช.ภานุวัฒน์ สุริโย หรือ น้องโดนัท อายุ 13 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กล่าวว่า ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ทำให้นักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์มากขึ้น ได้ทดลองทำจริง รู้สึกดีใจที่พี่ๆ ซีพีเอฟเ ข้ามาสนับสนุนโครงการระดมทุนเพื่อการศึกษา (Crowdfunding)ซึ่งโรงเรียนเราอยากได้ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ เพื่อที่นักเรียนมีโอกาสได้ลงมือทำจริง ซึ่งจะเกิดประโยชน์ในการเรียนรู้และการนำไปใช้ได้ดีกว่าแค่อ่านหรือดูรูปจากในหนังสือเรียน

ด้าน ด.ญ. ปนัดดา สอดกิ่ง หรือน้องดา อายุ 14 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งเป็นประธานนักเรียน เล่าว่า นักรียนชั้น ม.3 จะได้เรียนและใช้ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ค่อนข้างบ่อย หรือ สัปดาห์ละ 3-4 วัน เราได้ฝึกทดลองจริง ได้นำไปใช้งานได้จริง จากเดิมที่เราดูจากรูปในหนังสือ มีอุปกรณ์การทดลองไม่เพียงพอ นอกจากนี้ น้องดา ยังได้สะท้อนมุมมองในฐานะเยาวชนคนรุ่นใหม่ต่อความสำคัญของการศึกษาว่า มีความสำคัญมากในการใช้ชีวิต เพราะถ้าไม่มีความรู้ อาจจะถูกเอาเปรียบ เกิดความเหลื่อมล้ำ และต้องขอบคุณพี่ๆซีพีเอฟเข้ามาสนับสนุนการศึกษาด้วยการระดมทุนเพื่อสร้างห้องเรียนวิทยาศาสตร์ เป็นการเพิ่มโอกาสที่เท่าเทียมให้เด็กๆไม่ว่าจะอยู่ในโรงเรียนพื้นที่ไกลหรือในเมือง

“ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในฝัน” ส่งมอบโอกาสสู่น้องๆ ส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นยกระดับการศึกษาของไทย ภายใต้โครงการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี ที่มี ซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนร่วมก่อตั้ง และสร้างโอกาสดีๆ ให้กับเด็กไทยเติบโตบนพื้นฐานของการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม