Home Blog Page 134

สิงห์อาสา ลุยน้ำท่วมหล่มสัก มอบน้ำดื่ม-อาหารพร้อมทาน บรรเทาทุกข์ชาวบ้าน

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2565 สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับเครือข่ายสิงห์อาสากู้ภัยกกไทรหล่มสัก ลงพื้นที่ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ นำน้ำดื่มจำนวน 500 แพ็ค และอาหารพร้อมทาน (ข้าวรีทอร์ท) จำนวน 280 กล่อง เข้าบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมในเบื้องต้น เนื่องจากในช่วง2-3วันที่ผ่านมา อ.หล่มสัก เกิดฝนตกหนัก ทำให้น้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนกว่า 1,200 หลังคาเรือน รวมถึงพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ ถนนสายรองเชื่อมเส้นทางเข้าหมู่บ้านบางจุดเกิดน้ำท่วมขังสูงไม่สามารถสัญจรเข้าออกได้สะดวก และคาดว่าหากฝนยังไม่หยุดตก ระดับน้ำคงจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านจะได้รับผลกระทบหนักยิ่งขึ้น

โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่ามีอิทธิพลร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น ระหว่างวันที่ 7 – 8 สิงหาคม 2565 เกิดสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำปาง พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย มหาสารคาม ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด โดยจ.เพชรบูรณ์ เกิดอุทกภัยในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอหล่มเก่า อำเภอหนองไผ่ อำเภอหล่มสัก อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ และอำเภอชนแดน

ทั้งนี้ สิงห์อาสา พร้อมด้วยเครือข่ายฯ จะติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งลงพื้นที่บรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมรสุมพาดผ่านในครั้งนี้ เพื่อส่งมอบกำลังใจ พร้อมนำน้ำดื่มและอาหารพร้อมทานเข้าไปช่วยเหลือประชาชนโดยเร็วที่สุด

เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ไม่ทน ยื่นหนังสือถึงนายกฯตู่ ร้องกระทบหนักจากนโยบายปล่อยนำเข้ากุ้ง

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า วันนี้ (9 สิงหาคม 2565) นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย นำทีมเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง จำนวนกว่า 20 คน ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้สินค้ากุ้งเป็นวาระแห่งชาติ -ออกมาตรการแก้ปัญหาการเลี้ยงเรื่องโรคให้พี่น้องเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งเร่งด่วน พลิกฟื้น-สร้างความเข้มแข็ง- ยั่งยืนให้อุตสาหกรรมกุ้งไทยทั้งระบบอย่างเป็นรูปธรรม เป้าหมายคือ วัตถุดิบกุ้ง 400,000 ตัน เพื่อการส่งออก ให้ได้ในปี 2566 (ที่ไม่ใช่มาจากการนำเข้ากุ้ง) โดยมี นายสมหมาย เอี่ยมสะอาด ข้าราชการการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรับมอบ ณ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล สมาคมกุ้งไทย

นายเอกพจน์ เปิดเผยว่า หลังจากสมาคมกุ้งไทย และตัวแทนอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องตลอดสายห่วงโซ่การผลิต ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งสมาคมกุ้งไทยได้เสนอแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้ง และการแก้ไขปัญหาเรื่องการเลี้ยง โดยเฉพาะวิกฤตปัญหาโรค ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกษตรกรเลี้ยงกุ้งไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทางกรมประมง พยายามดำเนินการอย่างเต็มที่ แต่ข้อจำกัดด้านงบประมาณ บุคลากรและอื่นๆ ทำให้ยังไม่สามารถแก้ปัญหาโรค และสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกร โดยผลผลิตกุ้งครึ่งปีแรกของปี 2565 ลดลงถึง 1.76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

“ 10 ปี หลังเกิดโรคระบาดในกุ้ง อุตสาหกรรมกุ้งไทย สูญเสียโอกาส-รายได้จากการส่งออกถึง 500,000 ล้านบาท ถึงวันนี้ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ วิธีที่รัฐพยายามช่วยยังไม่ตอบโจทย์ นอกจากนี้กรณีที่กรมประมงไทยยอมรับและประกาศอนุญาตให้มีการนำเข้ากุ้งจากเอกวาดอร์และอินเดียนั้น สมาคมเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวต่อความอยู่รอดอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมกุ้งไทยในระยะยาว อาจสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ต่อกุ้งไทยด้านความเชื่อมั่นของผู้นำเข้าและผู้บริโภค ที่สำคัญส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งภายในประเทศในระยะกลาง และระยะยาว เช่น ส่งผลกระทบโดยตรงราคากุ้งภายในประเทศ อาจนำกุ้งที่ติดเชื้อแฝง-/ความเสี่ยงนำโรคเก่า/โรคใหม่เข้ามาเข้าประเทศสร้างความเสียหาย ทำให้เกษตรกรในประเทศอ่อนแอ ไม่มีความสามารถด้านการแข่งขัน”

นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวอีกว่า สมาคมฯ จึงได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาดำเนินการเร่งด่วน คือ

  1. ขอให้สินค้ากุ้งเป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐบาลเห็นความสำคัญ มีมาตรการการผลิตกุ้งในประเทศ ให้ได้ตามเป้าหมาย 400,000 ตันเพื่อการส่งออก ภายในปี 2566 อย่างเป็นรูปธรรม (ผลผลิตไม่ใช่มาจากการนำเข้า) ทั้งนี้ กุ้งเคยเป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้เข้าประเทศได้ปีละมหาศาลมาอย่างต่อเนื่อง กว่า 100,000 ล้านบาท ในปี 2553 จากที่ผลิตกุ้งได้ถึง 640,000 ตัน แต่หลังจากประสบปัญหาโรคตายด่วน หรือ EMS และโรคอื่นๆ ตั้งแต่ปลายปี 2554 ผลผลิตกุ้งลดต่ำกว่า 3 แสนตัน และไทยสูญเสียโอกาสรายได้กว่า 5 แสนล้านบาทตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ สมาคมจึงขอให้ฯพณฯนายกรัฐมนตรี มาเป็นประธาน ให้มีทุกภาคส่วนสำคัญ อาทิ ภาคการผลิต-เกษตรกร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง/ธนาคารแห่งประเทศไทย ฯลฯ มาบูรณาการทำงานร่วมกัน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาได้ตรงจุด ฉับไว มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับพี่น้องเกษตรกร และสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมได้เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง รวมถึงความยั่งยืนในระยะยาวของอุตสาหกรรมกุ้งของประเทศ
  2. แก้ไขปัญหาเรื่องโรค ให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงกุ้งได้โดยเร็วที่สุด จัดสรรงบประมาณ บุคลากร ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อศึกษาวิจัย และดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาโรคให้สำเร็จ
  3. สินค้ากุ้งต้องได้รับการปกป้องดูแลอย่างเข้มแข็งจากรัฐ การนำเข้ากุ้งจากต่างประเทศเป็นเรื่องอ่อนไหวที่สุด ขอให้ช่วยดูแล-ปกป้อง สนับสนุนส่งเสริมภาพลักษณ์ แบรนด์สินค้ากุ้งไทย (Branding) ให้เป็นที่ยอมรับฯ รวมถึงเรื่องเชื้อโรคกุ้งที่มีอยู่ปัจจุบัน, โรคอุบัติใหม่ที่อาจแฝงมากับกุ้งนำเข้า

เปิดบัญชี “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 2.5ปี” ของธนาคารออมสิน รับดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ไม่ต้องเสียภาษี

ดอกเบี้ยสูง ยิ่งฝากนานยิ่งคุ้ม จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน และไม่เสียภาษี กับเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 2.5 ปี

วัตถุประสงค์ เพื่อเก็บเงินไว้ใช้จ่ายทั่วไป เพื่อผลตอบแทนเพื่อเป็นหลักประกัน และเงินสำรองในอนาคต ให้คุณได้ควบคุมการใช้เงินได้มากขึ้น อุ่นใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม กับบริการเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ ที่คุณยังคงเก็บออม และใช้จ่ายได้เมื่อคุณต้องการ พร้อมยังได้รับผลตอบแทน ที่น่าพึงพอใจ บุคคลธรรมดาไม่หักภาษี

✔ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.83% ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจำ 2.15% ต่อปี)
✔ ฝากขั้นต่ำ 1,000 บาท ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด
✔ เฉพาะบุคคลธรรมดา
✔ ไม่เสียภาษี
✔ ถอนก่อนฝากครบ 2.5 ปี ได้รับดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่ฝากจริง

คุณสมบัติการเปิดบัญชีเงินฝาก บุคคลธรรมดาอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป

ช่องทางการติดต่อ
? ธนาคารออมสินทุกสาขา
? www.gsb.or.th
? GSB Contact Center 1115

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >https://bit.ly/3vPahox

? เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

CPF จับมือ Makro-Lotus’s จัดชุดไหว้สารทจีน ปีเสือทอง เสริมทรัพย์รับมงคล

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ผนึกกำลัง แม็คโคร (Makro) และ โลตัส (Lotus’s) จัดแคมเปญ สารทจีนปีขาล “กตัญญูเสริมมงคล อาม่าอากงสุขใจ” ตอกย้ำภาพลักษณ์เจ้าแห่งเทศกาล ด้วยของไหว้คุณภาพดีจากแบรนด์ CP รวม 3 ชุด ได้แก่ ชุดงานก้าวหน้า ชุดเสริมทรัพย์ และชุดเมตตาบารมี เพื่อแสดงถึงความกตัญญูและเสริมความเฮง ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ที่เน้นความสะดวกในการจับจ่าย จัดชุดไหว้ง่ายๆ ได้ด้วยตนเอง ควบคู่กับความสด สะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ในราคาสุดคุ้ม

นายเอกปิยะ เอื้อวุฒิเกริก รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจการค้าในประเทศ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ช่วงเทศกาลสารทจีนปีนี้ แบรนด์ CP ได้จัดสรรของไหว้มงคลแบบครบครันตามธรรมเนียมของจีนและถูกต้องตามลักษณะมงคล ด้วยสินค้าคุณภาพเนื้อแน่น ตัวใหญ่ ที่มาจากกระบวนการผลิต สด สะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐานสากล เหมาะแก่ครอบครัวยุคใหม่ ด้วยเช็ตชุดไหว้แช่แข็งสำเร็จรูป 3 ชุด พร้อมทั้งเพิ่มทางเลือกด้วยการเปิดจองและจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงและเลือกสรรสินค้าได้ตามความต้องการอีกด้วย

“ซีพีเอฟ มุ่งมั่นผลิตและพัฒนาสินค้าแช่แข็ง โดยบรรจุในบรรจุภัณฑ์อย่างดี ปิดสนิท แช่แข็งไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม โดยสามารถคงคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน การอุ่นอาหารสะดวกยิ่งขึ้น เพียงต้มในน้ำเดือด (Boiled-in Bag) ทำให้ง่ายต่อการปรุงและเตรียมของไหว้ ลดภาระและความยุ่งยากของผู้บริโภค” นายเอกปิยะ กล่าว

ชุดไหว้เสริมสิริมงคลทั้ง 3 ชุด ได้แก่ 1. “ชุดงานก้าวหน้า” เสริมความมั่นคง ช่วยการงานให้ราบรื่น ประกอบด้วย “เป็ดนางฟ้า” เป็ดพะโล้และเป็ดย่าง เสริมอำนาจและวาสนา มีเงินทองเหลือเก็บ “ไก่นางพญา” ไก่ต้มทั้งตัว เนื้อนุ่ม เพิ่มความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และ “ขาหมูจักรพรรดิ” ขาหมูและคากิ เนื้อแน่น ถึงรสเครื่องพะโล้พร้อมน้ำจิ้มสูตรเด็ด เสริมความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์ 2. “ชุดเสริมทรัพย์” ช่วยเรื่องโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยเงินทองไม่ขาดมือ ประกอบด้วย “เป็ดนางฟ้า” “ไก่นางพญา” “ขาหมูจักรพรรดิ” และ “กุ้งจักรพรรดิ” เสริมความเจริญรุ่งเรือง รับเงินรับทองตลอดปี และ 3. “ชุดไหว้เมตตาบารมี” เสริมดวงชะตามหาเสน่ห์ รุ่งเรืองเร็วไว ประกอบด้วย “เป็ดนางฟ้า” “ไก่นางพญา” “ขาหมูจักรพรรดิ” “กุ้งจักรพรรดิ” และ “หมูกรอบทองคำ” หมูกรอบชาชูซีพีคูโรบูตะ นำความเฟื่องฟูทั้งการงานและเงินทอง เพิ่มความมีชื่อเสียงที่ดีงาม

สำหรับโปรโมชั่นพิเศษที่ ‘Makro’ เพียงซื้อของไหว้ครบ 1,200 บาท รับฟรี! กระเป๋าเก็บความเย็นสุด Cool มูลค่า 450 บาท ตั้งแต่วันที่ 10 – 11 สิงหาคม 2565 หากซื้อสินค้าที่ร่วมรายการ ครบ 1,800 บาท รับส่วนลดท้ายบิล 100 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 23 สิงหาคม 2565 …ส่วน ‘Lotus’s’ ซื้อของไหว้ครบ 800 บาท แถมกระเป๋าเก็บความเย็น ตั้งแต่วันนี้ 10 – 11 สิงหาคม 2565 ตลอดจนช่องทางออนไลน์ ใหม่! Shopee CPF Official Shop มีสินค้ามากมายให้เลือกแบบสุดคุ้ม พิเศษ! เมื่อซื้อชุดไหว้เสริมเฮงทุกเซต รับกระเป๋าฟรี! ผ้ามงคล CPF ตั้งแต่วันนี้ – 12 สิงหาคม 2565 คลิกที่ > https://bit.ly/3QnSWuQ หรือหาซื้อสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ อาทิ Big C, Top Supermarkat, Gourmet Market เป็นต้น สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/brandcp/ ยังมีโปรโมชั่นดีๆ รับวันสารทจีนอีกเพียบ

AIS เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 65 ยอดผู้ใช้งานพุ่ง 3.9 ล้านรายปักหมุดผู้นำ 5G

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 ของปี 2565 ว่า บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 45,273 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% เทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 6,305 ล้านบาท ลดลง 10% เทียบกับปีก่อน เป็นผลจากการขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงและรายได้พิเศษครั้งเดียวที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา

ด้านจำนวนผู้ใช้งาน 5G รวม 3.9 ล้านราย เติบโตกว่า 39% และมีจำนวนลูกค้าโทรศัพท์มือถือรวมทะลุที่ 45.5 ล้านเลขหมาย เป็นผลมาจากภาพรวมของการดำเนินธุรกิจเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทางด้านแผนการทำงานช่วงครึ่งปีหลัง AIS ยังคงเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องด้วยงบประมาณ 30,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co โดยมุ่งพัฒนาขีดความสามารถของโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ให้มีคุณภาพเพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่เหนือกว่า พร้อมเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการขับเคลื่อน Digital Economy หรือ เศรษฐกิจดิจิทัล ฟื้นฟูประเทศ

“ในช่วงครึ่งปีแรกแม้เราจะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ แต่ในภาพใหญ่สถานการณ์ทั่วโลกยังมีความน่าเป็นห่วง และต้องจับตามองใกล้ชิด โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อ และความขัดแย้งของประเทศต่างๆ ส่งผลทำให้ต้นทุนด้านพลังงานสูงขึ้น แน่นอนว่าส่งกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในวงกว้าง ทำให้เราต้องปรับแผนการทำงานให้สอดรับกับสถานการณ์ที่มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในครึ่งปีแรกนี้ AIS สามารถทำผลงานออกมาได้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ จากตัวเลขรายได้ที่มีการเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าเรายังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีให้มีความแข็งแกร่งรองรับความต้องการประยุกต์ใช้ดิจิทัลในองค์กร และสร้างประสบการณ์ที่เป็นเลิศให้แก่ลูกค้าที่กำลังเพิ่มขึ้น”

นายสมชัย กล่าวว่า จากการลงทุนเพื่อพัฒนาและขยายโครงข่าย 5G และ 4G อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการให้บริการ รวมถึงการเสริมคอนเทนต์ชั้นนำระดับโลกมาให้คนไทยได้สัมผัสกับประสบการณ์รับชมใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ ส่งผลทำให้ต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น 2.9% เทียบกับปีก่อน และ 0.4% เทียบกับไตรมาสก่อน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายการตลาดและการบริหาร โดยรวมเพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านการตลาดในการออกแคมเปญต่างๆ ตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อม (EBITDA) สำหรับไตรมาส 2 อยู่ที่ 22,353 ล้านบาท ลดลง 2.8% จากปีก่อน และ 0.2% เทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีผลการดำเนินงานแยกตามรายธุรกิจดังนี้

  • ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีรายได้เพิ่มขึ้น 0.4% เทียบกับปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.3% ต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการการควบคุมโควิด-19 และการกลับมาของจำนวนนักท่องเที่ยวชาติจากการเปิดประเทศ แม้ว่าการแข่งขันด้านราคายังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสนี้มีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 881,200 เลขหมาย ส่งผลให้ปัจจุบันมีจำนวนลูกค้าโทรศัพท์มือถือรวมที่ 45.5 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็นลูกค้าระบบเติมเงิน 33.4 ล้านเลขหมาย และระบบรายเดือน 12.1 ล้านเลขหมาย ในส่วนของ 5G วันนี้ AIS มีผู้ใช้บริการ 5G รวมทั้งสิ้นมากกว่า 3.9 ล้านราย เพิ่มขึ้นกว่า 39% ทำให้ AIS ยังคงรักษาความเป็นผู้นำด้านการให้บริการด้วยการพัฒนาโครงข่าย ที่มีความครอบคลุมกว่า 99% ในกรุงเทพฯ 96% ในพื้นที่ EEC และ 81% ของพื้นที่ประชากรทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าเพิ่มความครอบคลุมและความจุโครงข่ายให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ 5G ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่ยังคงรักษาระดับการเติบโตที่เหนืออุตสาหกรรม มีรายได้เติบโต 22% เทียบกับปีก่อน และ 2.0% จากไตรมาสก่อน จากการเพิ่มพื้นที่การให้บริการไปยังพื้นที่ใหม่ๆ รวมไปถึงการรักษาคุณภาพและความรวดเร็วของการให้บริการ AIS Fibre 24Hours และการนำเทคโนโลยี Wi-Fi อัจฉริยะ ครั้งแรกในไทยกับการนำ AI และ VIP Service มาจัดสรรการใช้งานเน็ตบ้าน ตอบโจทย์การใช้งานลูกค้าในเรื่องความแรง ลดความหน่วงต่ำ ซึ่งในไตรมาส 2/2565 มีจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นกว่า 106,300 ราย ปัจจุบัน AIS Fibre มีลูกค้ารวม 1,971,400 ราย ตั้งเป้าขยายลูกค้า 2.2 ล้านราย ภายในสิ้นปี
  • ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร รายได้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง คิดเป็น 38% เทียบกับปีก่อน และ 5.5% จากไตรมาสก่อน โดย AIS ได้เข้าไปร่วมทำงานกับภาคอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนการนำเทคโนโลยีโซลูชันเข้ามาช่วยยกระดับขีดความสามารถได้อย่างเป็นรูปธรรม ดังเช่นการประกาศความร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า สร้างศูนย์กลางนวัตกรรมและการทดสอบเทคโนโลยี 5G แห่งแรกในประเทศไทย AIS 5G NEXTGen Center ที่ Thailand Digital Valley บนพื้นที่ EEC รวมถึงเปิดตัว AIS 5G NEXTGen Platform สำหรับการพัฒนา 5G Use Cases แห่งแรกของไทย พร้อมร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำระดับโลกต่อเนื่อง เพื่อนำเอาโซลูชันและบริการใหม่ๆ อย่าง CCIID (Cloud,Cyber security,IoT,ICT,Data Center) ที่ทุกอุตสาหกรรมต่างตื่นตัวที่จะนำมาประยุกต์ใช้ และล่าสุดกับการคว้ารางวัล Microsoft Thailand Partner of the Year Award 2022 ซึ่งเป็นรางวัลที่ไมโครซอฟท์มอบให้กับพันธมิตรที่สามารถส่งมอบบริการที่เหนือกว่าในด้านนวัตกรรมให้กับลูกค้าโดยอาศัยเทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ ตอกย้ำเป้าหมายการนำศักยภาพโครงข่ายเข้าเชื่อมต่อการทำงานกับภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ให้สามารถทรานสฟอร์มองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

นายสมชัย กล่าวอีกว่า “ความท้าทายในช่วงครึ่งปีหลังยังมีหลายปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญ ทั้งความเคลื่อนไหวของการเมืองระดับประเทศที่กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้ หรือแม้แต่ความรุนแรงของการแข่งขันที่จะมีเพิ่มสูงขึ้น แต่แน่นอนว่าเรายังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วยงบกว่า 30,000 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีมีความแข็งแรงพร้อมต่อการเติบโตในอนาคตที่จะเป็นหัวใจหลักของการขับเคลื่อน Digital Economy รองรับบริการครอบคลุมการใช้งานทุกรูปแบบทั้งกลุ่มลูกค้าทั่วไปและลูกค้าองค์กรในภาคธุรกิจ ที่สอดรับกับเป้าหมายการเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมอัจฉริยะหรือ Cognitive Tech-Co ที่มุ่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับลูกค้า สามารถสร้างบริการแบบ Personalization ได้อย่างสอดคล้องกับทุกความต้องการ อีกทั้งยังต้องรวดเร็วและตอบสนองในระดับ Real Time ได้อย่างดีที่สุด”

ทิพยประกันภัย เปิดตัว Tip Brand Ambassador 2565

พร้อมให้การต้อนรับ “นางสาวถิ่นไทยงาม ประจำปี 2565”

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ทิพยประกันภัย ให้การต้อนรับน้องมิ้ว สุจารี กาญจนกฤต นางสาวถิ่นไทยงาม ประจำปี 2565 และรองทั้ง 4 ที่นำทีมเข้าแสดงความขอบคุณ ทิพยประกันภัยที่ให้การสนับสนุนการประกวด

พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัว น้องกานต์ ชนนิกานต์ สุพิทยาพร ผู้ได้รับตำแหน่ง Tip Brand Ambassador ประจำปี 2565 ที่อาคารทิพยประกันภัย สำนักงานใหญ่ พระรามสาม

AIS ปลูกต้นไม้ 1 แสนต้น ขานรับนโยบาย ชัชชาติ ตอกย้ำทำธุรกิจยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ขานรับนโยบายของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลูกต้นไม้ล้านต้น สร้างพื้นที่สีเขียวและกำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุง โดยเปิดตัวโครงการ “AIS Go Green” ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เป็นอีกพลังเพื่อร่วมทำให้ภารกิจครั้งนี้ของ กทม. บรรลุตามเป้าหมายในการช่วยช่วยรักษาสภาพอากาศตามชุมชนและสวนสาธารณะต่างๆ ด้วยการกักฝุ่นมลพิษในเมืองกรุง สร้างร่มเงา ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ นำร่องโครงการชวนพนักงาน คู่ค้า พันธมิตร ร่วมปลูกร่วมกันปลูกต้นไม้ที่สวนวชิรเบญจทัศ หรือสวนรถไฟ รวม 5,000 ต้น บนที่ว่างกว่า 2.4 ไร่ พร้อมวางแผนการปลูกร่วมกับกรุงเทพมหานครทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ ให้ได้รวม 100,000 ต้น ภายใน 4 ปี ด้วยแนวคิด Green Network ที่มุ่งสร้างเครือข่ายมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วน ตอกย้ำเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมกันนี้ยังมอบ Digital Badges AIS GO GREEN ที่จะเป็นสัญลักษณ์ใบรับรองคุณวุฒิดิจิทัลให้กับผู้เข้าร่วมนำร่องโครงการ เพื่อแทนการแสดงออกถึงการพัฒนาทักษะชีวิตด้านสิ่งแวดล้อม

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า “การดูแลสิ่งแวดล้อม เป็นหนึ่งในเป้าหมายการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ AIS เนื่องจากปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นจากภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ดังนั้นแม้ว่าบริษัทจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกทางตรงจากการกระบวนการผลิต แต่การให้บริการของ AIS ก็ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งยังต้องใช้เชื้อเพลิงจากพลังงานฟอสซิลเป็นหลัก ที่ผ่านมา จึงให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้าง Green Network ในทุกมิติ มาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก AIS ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ติดตั้งอุปกรณ์สถานีฐานที่สามารถใช้งานร่วมกันได้หลายเทคโนโลยีทั้ง 3G 4G 5G และปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้า ขยายระบบ Virtual Machine Sever ที่ช่วยประหยัดพลังงาน รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกให้ได้มากที่สุด อาทิ ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บริเวณสถานีฐาน ศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ และชุมสายสถานีฐาน นอกจากนี้เรายังดำเนินนโยบายลดปริมาณขยะ ทั้งขยะอิเล็กทรอนิกส์จากการดำเนินธุรกิจ เช่น อุปกรณ์โครงข่ายและอุปกรณ์มือถือ ซึ่งเราสามารถนำไปรีไซเคิลและกำจัดอย่างถูกวิธีได้ทั้งหมดโดยไม่เหลือซากที่นำไปฝังกลบ และเรายังชวนลูกค้าให้มีส่วนร่วมด้วยการลดใช้กระดาษเปลี่ยนมาใช้ e-bill หรือ Digital Application ต่างๆ พร้อมเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ลุกขึ้นมาสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Waste ผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ในทุกอุตสาหกรรม สร้างจุดทิ้งแล้วกว่า 2,400 จุดทั่วประเทศ และนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลแบบ Zero landfill

AIS จึงขอมีส่วนร่วมกับภารกิจการปลูกต้นไม้ล้านต้น ตามนโยบายของ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ผ่านโครงการ AIS Go Green ที่สนับสนุนการปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น พร้อมเชิญชวนลูกค้า คู่ค้า พันธมิตร และพนักงานเข้าร่วมกิจกรรมการปลูกต้นไม้ โดยการวางแผนร่วมกับกรุงเทพมหานครในการจัดสรรพื้นที่การปลูก เริ่มที่สวนรถไฟจำนวน 5,000 ต้น และตั้งเป้าปลูกให้ได้ครบ 100,000 ต้น ภายใน 4 ปี ทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร อาทิ พื้นที่เขตพญาไท, โรงขยะอ่อนนุช, ศูนย์การเรียนรู้เกษตรฯ ถนนอักษะ และ โรงขยะหนองแขม โดยภายในงานครั้งนี้เราได้พันธมิตรกลุ่ม AIS Startup อย่าง Muvmi ผู้ให้บริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าปลอดมลพิษ มาช่วยรับ-ส่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมอีกด้วย

นอกจากนี้ AIS ยังได้มอบ Digital badges ‘AIS GO GREEN’ หรือตราสัญลักษณ์ใบรับรองคุณวุฒิดิจิทัล ให้กับผู้เข้าร่วมงาน เพื่อเป็นเครื่องหมายยืนยันถึงความตั้งใจในการปลูกต้นไม้ที่มีทักษะชีวิตด้านสิ่งแวดล้อม และยังสามารถสื่อสารส่งต่อไปยังกลุ่มคนบน Social Media ให้เห็นถึงคุณค่าที่เกิดขึ้นจากการปลูกต้นไม้ ซึ่งได้สร้างประโยชน์มากมายให้กับโลกใบนี้ได้อีกด้วย”

สำหรับต้นไม้ในโครงการ AIS GO GREEN ผู้เข้าร่วมสามารถติดตามการเติบโตตามพิกัดพื้นที่ปลูกภายในสวนรถไฟ และสถานที่อื่นๆ ต่อไป ได้ทาง LINE : @tomorrowtree และยังติดตามภารกิจการปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น ของ AIS ได้ทาง Facebook: AIS Sustainab

ทัพนักกีฬาพาราไทย ผลงานทะลุเป้า กวาด 116 เหรียญทอง อาเซียนพาราเกมส์ อินโด

รายงานข่าวเปิดเผยว่า การแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 11 “โซโล 2022″ ที่เมืองโซโล ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม – 6 สิงหาคม 2565 ปิดฉากลงไปแล้ว โดยทัพนักกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ไทยกวาดเหรียญทองไป 116 เหรียญทอง 111 เหรียญเงิน 90 เหรียญทองแดง รวม 317 เหรียญรางวัล ทะลุเป้าหมาย 70 เหรียญทองที่ตั้งไว้ก่อนเดินทางไปแข่งขัน จบการแข่งขันในอันดับ 2 ของตารางรวมเหรียญรางวัล เป็นรอง”เจ้าภาพ” อินโดนีเซีย ที่โกยไปมากถึง 171 เหรียญทอง 138 เหรียญเงิน 110 เหรียญทองแดง และสามารถคว้าเหรียญได้ครบทุก 14 ชนิดกีฬาที่จัดการแข่งขันอีกด้วย โดยกรีฑา เป็นชนิดกีฬาที่โกยเหรียญรางวัลให้ทัพนักกีฬาไทยมากที่สุดกวาดไปถึง 42 เหรียญทอง 30 เหรียญเงิน 32 เหรียญทองแดง รองลงมาคือ ว่ายน้ำ 23 เหรียญทอง 29 เหรียญเงิน 24 เหรียญทองแดง

นายพิทักษ์ พลขันธ์ หัวหน้าคณะนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทย กล่าวว่า จากนโยบายของคุณจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย ต้องการให้อาเซียนพาราเกมส์เป็นสนามที่สร้างนักกีฬาคลื่นลูกใหม่ให้มีประสบการณ์ พร้อมลงแข่งในระดับโลกหรือพาราลิมปิกเกมส์ จากผลงานทั้งหมด 116 เหรียญทอง 111 เหรียญเงิน 90 เหรียญทองแดง นักกีฬาคลื่นลูกใหม่ได้มีส่วนร่วมคว้าเหรียญทองมากกว่า 36 รายการ และการที่ไทยได้เหรียญรางวัลทั้ง 14 ชนิดกีฬาส่งเข้าร่วมแข่งขัน แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่ดีนักกีฬาคนพิการ ขอขอบคุณ คณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาคนพิการทางสมองแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาคนพิการทางปัญญาแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย และ องค์กรภาครัฐ อย่าง กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย ในการส่งเสริมพัฒนานักกีฬาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้นักกีฬาพาราไทยสร้างผลงานได้น่าประทับใจในครั้งนี้

ด้านนายไมตรี คงเรือง เลขาธิการสมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทยฯ เผยว่า รุ่นพี่ในแต่ละชนิดกีฬาได้ช่วยกันฝึกสอนน้อง และผลออกมาเป็นที่พอใจอย่างยิ่ง นักกีฬาหน้าใหม่ได้ทั้งเหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง ส่วนนักกีฬารุ่นพี่ก็ทำผลงานได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ ถือเป็นการผนึกกำลังสร้างนักกีฬารุ่นใหม่ขึ้นมาเตรียมทดแทน ส่วนการเป็นเจ้าภาพของอินโดนีเซีย ถึงจะมีผิดพลาดเรื่องการจัดการแข่งขันบ้าง แต่ในภาพรวมก็นับว่าดีมาก

โดยทัพนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ของไทยมีกำหนดเดินทางจากประเทศอินโดนีเซีย กลับถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ในวันที่ 7 สิงหาคม 2565 แบ่งเป็น 2 คณะ โดยคณะแรก เที่ยวบิน TG 8128 ถึงไทยเวลา 13.45 น. ประกอบด้วย กรีฑา, บอคเซีย, ยกน้ำหนัก, ว่ายน้ำ, ยูโด, โกลบอล ส่วนคณะที่ 2 เที่ยวบิน TG 8131 ถึงไทยเวลา 15.45 น. ประกอบด้วย ยิงธนู, แบดมินตัน, หมากรุกสากล, ฟุตบอล CP, เทเบิลเทนนิส, วอลเลย์บอลนั่ง, วีลแชร์บาสเกตบอล, วีลแชร์เทนนิส

ทั้งนี้นักกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ของไทยที่ได้รับเหรียญรางวัลจะได้รับเงินรางวัลอัดฉีดจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ตามหลักเกณฑ์เป็นเงิน เหรียญทอง 200,000 บาท / เหรียญเงิน 100,000 บาท / เหรียญทองแดง 50,000 บาท

สรุปผลงานแต่ละชนิดกีฬาของทัพนักกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ไทย มีดังนี้
กรีฑา 42 ทอง 30 เงิน 32 ทองแดง
ว่ายน้ำ 23 ทอง 29 เงิน 24 ทองแดง
เทเบิลเทนนิส 19 ทอง 21 เงิน 14 ทองแดง
บอคเซีย 8 ทอง 5 เงิน ไม่มีทองแดง
ยกน้ำหนัก 5 ทอง 8 เงิน 7 ทองแดง
วีลแชร์เทนนิส 5 ทอง 1 เงิน 1 ทองแดง
ยิงธนู 4 ทอง 4 เงิน ไม่มีทองแดง
แบดมินตัน 3 ทอง 8 เงิน 9 ทองแดง
วีลแชร์บาสเกตบอล 3 ทอง 1 เงิน ไม่มีทองแดง
โกลบอล 2 ทอง ไม่มีเงิน กับทองแดง
ยูโด 1 ทอง 2 เงิน 1 ทองแดง
ฟุตบอล CP 1 ทอง ไม่มีเงิน กับทองแดง
วอลเลย์บอลนั่ง 2 เงิน
หมากรุกสากล 2 ทองแดง

‘สุเกียรติ’ คว้าแชมป์แรกในชีวิต ศึกไทยแลนด์พีจีเอทัวร์ที่รอยัลฮิลล์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทยได้จัดการแข่งขัน “สิงห์-เอสเอที นครนายก คลาสสิก 2022” ชิงเงินรางวัลรวม 2 ล้านบาท โดยจัดภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ โควิด-19 จากทางภาครัฐอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ จากการสนับสนุนร่วมกันของ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น และ การกีฬาแห่งประเทศไทย , กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ, น้ำดื่มสิงห์, บริดจสโตน และ อินฟินิท รายการนี้เป็นรายการที่สามของไทยแลนด์พีจีเอทัวร์ 2022 แข่งขันแบบสโตรกเพลย์ 72 หลุม ระหว่างวันที่ 3-6 สิงหาคม 2565 ณ สนามรอยัลฮิลล์ กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์สปา ระยะ 7,452 หลา พาร์ 71 จ.นครนายก

การแข่งขันรอบสุดท้ายเมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา สุเกียรติ สังวาลย์เพ็ชร นักกอล์ฟวัย 23 ปีที่ออกสตาร์ตด้วยการตามหลังผู้นำ 3 สโตรก เริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการเก็บ 4 เบอร์ในในช่วงเจ็ดหลุมแรก ก่อนจบรอบสุดท้ายเก็บเข้ามาทั้งหมด 5 เบอร์ดี้และจบวันสุดท้ายด้วยสกอร์ 2 อันเดอร์พาร 69 รวมสี่วันแซงคว้าแชมป์ 1 สโตรกด้วยสกอร์รวม 9 อันเดอร์พาร์ 275 รับเงินรางวัลไปครอง 240,000 บาท

สุเกียรติ สังวาลย์เพ็ชร ซึ่งคว้าแชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์รายการแรกในชีวิตหลังเทิร์นโปรมา 3 ปีเปิดเผยว่า “แชมป์นี้ต้องยกให้พ่อเลยครับ (สมเกียรติ สังวาลย์เพ็ชร) พ่อมาแบกถุงให้ตั้งแต่เล่นโปรครั้งแรกเลยครับจนถึงตอนนี้ก็ยังแบกอยู่ ต้องขอบคุณพ่อ ที่ทั้งช่วยดูไลน์ดูอะไร และทีาสำคัญคือพยายามช่วยดึงอารมณ์ของผมให้กลับมาอยู่ในเกมได้เป็นอย่างดี และขอบคุณพี่ๆที่ซ้อมด้วยกัน มีแนะนำอะไรมากมาย”

ทางด้าน ภัทรพล ขันทะชา นักกอล์ฟวัย 31 ปีจากนครราชสีมาที่กำลังลุ้นแชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์รายการที่สองในอาชีพต่อจากชัยชนะที่วอเตอร์มิลล์ กอล์ฟ แอนด์ การ์เด้นส์ เมื่อปี 2011 และนำการแข่งขันมาตั้งแต่รอบแรกมสะดุดในรอบสุดท้ายโดยเฉพาะดับเบิลโบกี้ที่หลุม 17 ที่ทำให้จบรอบสุดท้ายเกินไป 2 โอเวอร์พาร์ 73 รวมสี่วัน 8 อันเดอร์พาร์ 276 จบอันดับสองร่วมกับ พล เขมรัตน์ (68), นิวพอร์ต ลาภาโรจน์กิจ (69) และ เอกปริษฐิ์ หวู่ (70) รับเงินรางวัลไปคนละ 87,600 บาท

สรุปผลสิงห์-เอสเอที นครนายก คลาสสิก 2022 รอบสุดท้าย (สนามพาร์ 71)

275 สุเกียรติ สังวาลย์เพ็ชร 70-67-69-69 (เงินรางวัล 240,000 บาท)
276 พล เขมรัตน์ 68-74-66-68, นิวพอร์ต ลาภาโรจน์กิจ 70-70-67-69, เอกปริษฐิ์ หวู่ 67-70-69-70, ภัทรพล ขันทะชา 67-66-70-73 (เงินรางวัลคนละ 87,600 บาท)
278 วรัญญู รัตน์ไพบูลย์กิจ 68-67-72-71, ฉ่างไท้ สุดโสม 67-69-71-71, ธาวิท พลไทย 73-66-68-71 (เงินรางวัลคนละ 47,966.67 บาท)
279 ธัญพิสิษฐ์ ออมสิน 70-70-74-65, ชลทิตย์ ชื่นบุญงาม 72-67-69-71, ปาณัท โพธิทัต 69-69-68-73 (เงินรางวัลคนละ 35,933.33 บาท)
280 จณัตว์ สกุลพลไพศาล 70-70-73-67 (เงินรางวัล 32,600 บาท)
281 วรุณ เอี่ยมแก้ว 69-71-73-68, วาริษ มั่นธรณ์ 70-71-69-71, อภิสิทธิ์ นิ่มนวล 71-67-70-73 (เงินรางวัลคนละ 30,600 บาท)
282 ณัชพล ศรีนุ่น 71-68-73-70, กัมลาศ นาเมืองรักษ์ 71-70-71-70, นิรันดร์ แซ่อึ้ง 67-70-74-71, วีรวิทย์ สกุลเจริญรัตน์ 70-68-73-71, วิชญภัทร สินสร้าง 67-73-70-72, วรสรณ์ สุวรรณพนัง 70-69-70-73 (เงินรางวัลคนละ 27,350 บาท)

CPF ร่วมสนับสนุน ไข่ไก่ แก่มูลนิธิ LPN ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติและชาวไทย

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ร่วมแสดงความมุ่งมั่นและสนับสนุนการเคารพสิทธิมนุษยชน ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ในพิธี “งานเปิดบ้าน LPN” หรือ ศูนย์ฝึกอาชีพและพักพิงแก่คนไทยและแรงงานข้ามชาติ (Training and Rehabilitation for Thai and Migrant Labour :L-TReC) จัดโดยมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (Labour Protection Network Foundation: LPN) ซึ่งมี ฯพณฯ นายนะชิดะ คะสุยะ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งญี่ปุ่น ประจำประเทศไทยเป็นประธานในงาน พร้อมกันนี้ CPF ยังได้สนับสนุนไข่ไก่เพื่อนำไปส่งต่อให้คนไทยและแรงงานข้ามชาติในจังหวัดปทุมธานีช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน

นายสมพงค์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิ LPN กล่าวว่า มูลนิธิฯ ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายองค์กรภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม เครือข่ายทางสังคมแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย เปิดบ้าน LPN เป็น ศูนย์ฝึกอาชีพและพักพิงแก่คนไทยและแรงงานข้ามชาติ เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม “จากมือถึงมือ” สู่พี่น้องแรงงานข้ามชาติ และคนไทยในชุมชนที่ดำรงชีวิตในภาวะที่ไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะขาดแคลนอาหารและปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ซึ่งได้รับความร่วมมือและสนับสนุนที่ดีจากภาคีเครือข่ายอย่าง CPF ที่มาร่วมสนับสนุน ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ จำนวน 45,000 ฟอง เพื่อใช้ดูแลผู้ที่เข้ารับบริการจากศูนย์ฯ บ้าน LPN และจัดทำเป็นถุงยังชีพร่วมกับข้าวสาร อาหารแห้ง และอุปกรณ์ป้องกันโรคติดต่อต่างๆ ส่งต่อให้ผู้ประสบปัญหาขาดแคลนอาหารในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อช่วยบรรเทาทุกเป็นการชั่วคราว นำไปสู่การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสงบสุข

“โครงการ ศูนย์ฝึกอาชีพและพักพิงแก่คนไทยและแรงงานข้ามชาติ บ้าน LPN เป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนเพื่อเข้าช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับเด็กและเยาวชนข้ามชาติ แรงงานข้ามชาติ รวมถึงชาวไทย ให้สามารถเข้าถึงอาหารและสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นพื้นฐานต่อการดำรงชีวิตอย่างเพียงพอในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจผันผวนและฝืดเคือง ร่วมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้คนในสังคมอย่างเท่าเทียมตามหลักสิทธิมนุษยชน” นายสมพงค์กล่าว

ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 กว่า 3 ปี CPF เป็นหนึ่งในภาคเอกชนที่เข้ามาร่วมสนับสนุนอาหารแก่มูลนิธิฯ ดำเนิน โครงการ LPN Hand to Hand Humanitarian Assistance for Migrant Workers Facing Covid-19 in Thailand เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่แรงงานข้ามชาติ และกลุ่มเปราะบางในสังคมไทยที่ประสบความยากลำบากจากสถานการณ์โรคระบาด โดยมอบอาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน และไข่ไก่ ในโครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19″” เพื่อให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนได้เข้าถึงอาหารคุณภาพปลอดภัย ช่วยบรรเทาทุกข์ ให้สามารถประคับประคองดำรงชีวิตให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้

ทั้งนี้ CPF ได้ร่วมมือกับมูลนิธิ LPN บูรณาการทำงานขับเคลื่อนการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนภายในองค์กรอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ผ่านการดำเนินโครงการ ศูนย์รับฟังเสียงพนักงาน “Labour Voices Hotline by LPN” และการอบรมพนักงานให้มีความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงาน และความปลอดภัยในการทำงาน นำไปสู่การส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานทุกคนทุกสัญชาติ รวมทั้งสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีความเข้าใจกัน เคารพในความแตกต่างและหลากหลายในองค์กร