Home Blog Page 109

CPF โดดเด่นบนโซเชียล คว้ารางวัลเวที Thailand Social Award 2024

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ สร้างผลงานยอดเยี่ยมบนโลกโซเชียลมีเดีย ติดอันดับแบรนด์ที่มีผลงานโดดเด่นที่สุด คว้ารางวัล FINALIST สาขา BEST BRAND PERFORMANCE ON SOCIAL MEDIA กลุ่มธุรกิจอาหารและขนมขบเคี้ยว สาขา Food & Snacks ในงาน Thailand Social Award 2024 ครั้งที่ 12 จัดโดย บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียล ด้วยการวัดประสิทธิผลด้านการสื่อสารผ่านช่องทางหลักและช่องทางที่คนอื่นพูดถึงแบรนด์ เก็บคะแนนใน 2 รูปแบบ คือ Online Creators และ Celebrities โดย Online Creator จะทำการเก็บข้อมูลจากสื่อช่องทางของตนเอง (Owned) จาก 5 แพลตฟอร์มหลัก คือ Facebook, Instagram, X, TikTok และ YouTube และ Celebrities จะทำการเก็บข้อมูล Owned จาก Official Account และช่องทางที่คนพูดถึงแบรนด์หรือสินค้า (Earned) จาก Person Keyword

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ที่ได้รับรางวัลนี้อีกครั้ง ปัจจุบันโซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของทุกคน ไม่เพียงแค่ช่องทางการสื่อสาร แต่ยังเป็นสิ่งเชื่อมต่อและเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภค ทำให้เห็นพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายมากขึ้น นำไปสู่การคิดค้นกลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาดเชิงรุก ควบคู่ไปกับการพัฒนาคอนเทนต์ต่างๆ และแคมเปญที่ส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมกับแบรนด์

ปี 2566 โครงการ ‘ไก่ไทยจะไปอวกาศ’ สร้างกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์ระดับโลก เพียงเปิดตัวสร้างปรากฏการณ์จำนวนของการโพสต์ถึง 1,300 ล้านครั้ง ภายในเวลา 1 เดือน ทำให้แฮชแท็ก #ไก่ไทยจะไปอวกาศกับซีพี #CPMissiontoSpace ทะยานขึ้นอันดับ 1 เทรนด์ X Thailand อันดับ 3 เทรนด์ X Worldwide ขณะที่หนังโฆษณา ‘ครั้งแรกของโลก! ไก่ไทยจะไปอวกาศ กับ ซีพี’ มียอดผู้ชมมากกว่า 100 ล้านวิวในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย สร้างความเชื่อมั่นแก่คู่ค้าเพิ่มขึ้นจากการตอบรับสินค้ามากกว่า 1,000 ร้านค้า ภายใน 1 เดือน

ด้าน แคมเปญ ‘ไข่ตุ๋น CP’ ที่ได้ บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล พรีเซ็นเตอร์ขวัญใจคนรุ่นใหม่ ด้วยหนังโฆษณาสุดน่ารักชวนพักซอฟต์ใจ พร้อมกลยุทธ์การสื่อสารด้านการตลาด ที่มียอดวิวสูงกว่า 26 ล้านวิวในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และยังนำนวัตกรรม AR สร้างภาพสามมิติให้ทุกคนได้พักใจกับ ไข่ตุ๋น CP เพียงสแกนบนสื่อโฆษณาและสื่อ ณ จุดขาย พร้อมทั้ง แพลตฟอร์มใหม่ อย่าง ZEPETO โดยเลือกไอเท็มสุดพิเศษจากแบรนด์เพียง 30 วัน มีผู้เข้าร่วมเล่นเกม ทุบสถิติมากกว่า 14 ล้านยูสเซอร์ เป็นแคมเปญการตลาดผ่านโฆษณาภายในโลกเสมือนจริง ที่มีการเข้าชมสูงสุด อันดับ 2 ของโลกในปีที่ผ่านมา

ส่วน แคมเปญที่ประสบความสำเร็จ คือ ‘CP โบโลน่า สไปซี่’ พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร ศิลปินเบอร์ 1 ของยุค ร่วมถ่ายทอดความเผ็ดร้อนและรสชาติแปลกใหม่ของผลิตภัณฑ์ สร้างปรากฏการณ์ #ซีพีโบโลน่าพริกxพีพี ขึ้นอันดับ 1 เทรนด์ X Thailand ภายใน 14 นาที ยอดรีโพสต์มากกว่า 40,000 ครั้ง สร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่วงการโฆษณาของไทยอีกด้วย

ซีพีเอฟ มุ่งผลิตและส่งมอบอาหารคุณภาพ ปลอดภัย มาตรฐานระดับโลก ควบคู่กับการคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีสู่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ นวัตกรรม (Innovation) สุขภาพ (Wellness) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Planet) ตลอดห่วงโซ่คุณค่า พร้อมกับศึกษาความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก เพื่อนำมาต่อยอดงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมทั้งออกแบบการสื่อสารและสร้างสรรค์แคมเปญที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคและเทรนด์ต่างๆ

ส.วิทยาศาสตร์สัตว์ปีกโลก หนุนกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน ในงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี

0

สมาคมวิทยาศาสตร์สัตว์ปีกโลก สาขาประเทศไทย (World’s Poultry Science Association Thailand Branch : WPSA THAI) ชี้การขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนของอุตสาหกรรมนี้ ต้องมุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การเพิ่มประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมสัตว์ปีก ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ให้กับสังคม ชุมชน และเศรษฐกิจโดยรวม มุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)

นายสัตวแพทย์ศักดิ์ชัย ศรีบุญซื่อ นายกสมาคมวิทยาศาสตร์สัตว์ปีกโลก สาขาประเทศไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯ มุ่งมั่นพัฒนาอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ปีกให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับโลก ด้วยการสนับสนุนการพัฒนาและค้นคว้าวิจัยในห่วงโซ่การผลิต ทั้งระบบฟาร์มและอาหารสัตว์ เพื่อลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต เช่น การวิจัยและพัฒนาสูตรอาหารให้เหมาะกับการเติบโตของสัตว์ในแต่ละช่วงวัย เป็นนวัตกรรมที่จะช่วยส่งเสริมการทำงานระบบการย่อยอาหารของสัตว์ทั้งกระเพาะอาหารและสำไส้ ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และจะมีส่วนช่วยลดการปล่อยของเสียจากสัตว์ได้ เพิ่มความสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อมก้าวตามเป้าหมายของโลกในการเข้าสู่ Net Zero

นายสัตวแพทย์ศักดิ์ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า สมาคมฯ มุ่งมั่นในการพัฒนาอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ปีกให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับโลก พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ผู้บริโภคทั่วโลก การประชุมและสัมมนาเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมประชุมเข้าถึงข้อมูลด้านวิชาการการผลิตสัตว์ปีก พร้อมเผยแพร่ความรู้ แนวความคิด และติดตามข้อมูลข่าวสาร วิทยาการใหม่ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการและคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ในอุตสาหกรรมสัตว์ปีก ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกันเพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมผลิตสัตว์ปีกต่อไป

สำหรับการประชุมใหญ่สามัญ และงานสัมนาวิชาการประจำปี 2566 ในครั้งนี้ มุ่งเน้นความรู้และนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการผลิตสัตว์ปีกที่ยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ Precision Poultry Nutrition for Sustainability ที่จะช่วยบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่งงานวิจัยพบว่าภาคปศุสัตว์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อการผลิตอาหาร 1 กิโลกรัม มากที่สุดคือ ฟาร์มวัว (99 กิโลกรัม) ฟาร์มแกะเนื้อ ฟาร์มวัวนม ฟาร์มกุ้ง ฟาร์มปลา ฟาร์มหมู และฟาร์มเลี้ยงไก่ (9.9 กิโลกรัม) ตามลำดับ ซึ่งการนำเทคโนโลยีมาใช้จัดการตั้งแต่ต้นทางวัตถุดิบอาหารสัตว์ ส่วนผสม และนวัตกรรมสูตรอาหารสัตว์ จะช่วยทำให้สัตว์สามารถย่อยอาหารได้สมบูรณ์ ลดของเสียในกระบวนการผลิต โดยเฉพาะช่วยลดการปล่อยก๊าซไนโตรเจน ที่มาจากมูลสัตว์ และมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ซึ่งผู้ผลิตเนื้อสัตว์และฟาร์มจำเป็นต้องตระหนักในเรื่องเหล่านี้

ประเทศไทยเป็นผู้นำและมีชื่อเสียงด้านอุตสาหกรรมสัตว์ปีกในระดับสากลมาอย่างยาวนาน และการส่งออกสัตว์ปีกของไทยติดอันดับต้นๆ ของโลกมาโดยตลอด เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างงานสร้างรายได้ให้กับทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกรและผู้ประกอบการภาคธุรกิจ โดยตัวเลขการส่งออกเนื้อไก่ ปี 2566 ทั้งเนื้อไก่สด และเนื้อไก่แปรรูป ทั้งหมดจำนวน 1.097 ล้านตัน มูลค่ากว่า 1.47 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นเป็นอันดับ 1 ที่ 42% อันดับ 2 ประเทศอังกฤษ 15% อันดับ 3 กลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) 13% และจีน 11% ขณะที่เนื้อเป็ดทั้งสดและแปรรูป มีการส่งออก ในปี 2566 รวมทั้งหมด 4.79 พันตัน แบ่งเป็นส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น 52% รองลงมาประเทศอังกฤษ และอียู

ทั้งนี้ การศึกษาค้นคว้าวิจัย และพัฒนาด้านเทคโนโลยีการผลิต ทั้งระดับฟาร์ม ระดับโรงงาน และการแปรรูป มีความจำเป็นและสำคัญมากต่อการส่งออก รวมถึงเรื่องการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงพาณิชย์ ทูตเกษตรที่อยู่ในต่างประเทศ เพื่อหาตลาดใหม่ และขยายตลาดให้เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการแข่งขันที่สูง รวมทั้งสถานการณ์สงครามที่ยืดยื้อ เป็นสิ่งที่ต้องตระหนักและเฝ้าระวัง เพื่อเตรียมพร้อมปรับรูปแบบการผลิตให้ทันต่อสถานการณ์โลก โดยเฉพาะเรื่องการผลิตอย่างยั่งยืน ที่เป็นเทรนด์โลกอยู่ในขณะนี้

ตลาดหลักทรัพย์ฯ แจง หุ้น MGI ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำ short selling

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ออกหนังสือชี้แจงกรณีหุ้น MGI มีเนื้อหาว่า ตามที่ปรากฏข่าวการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหาร MGI ในหลายสื่อ เนื้อหาระบุว่า มีการทำ Naked short selling โดยใช้ Robot trading และมีการเข้ามาแอบแฝงเก็บหุ้นผ่าน NVDR ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2567 นั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ข้อเท็จจริง เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องก่อนเข้าซื้อขาย MGI ดังนี้

  1. MGI เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้รับการอนุญาตให้ทำ short selling: โดยหลักการหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตต้องเป็นหลักทรัพย์มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูงเท่านั้น โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะประกาศรายชื่อให้ผู้ลงทุนทราบผ่าน SET website
  2. การซื้อขายในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ และ 1 มีนาคม 2567 (ราคาปิด MGI อยู่ที่ -30.27% และ +6.59% ตามลำดับ) พบว่า
    • เป็นการซื้อขายของผู้ลงทุนรายย่อยประมาณ 98% ในขณะที่ซื้อขายด้วย Program trading มีประมาณ 2% ซึ่งมีหุ้นในจำนวนเพียงพอก่อนขาย ทั้งนี้ สัดส่วนการซื้อขายของ Program trading ตั้งแต่เข้าซื้อขายวันแรก – 1 มีนาคม 2567 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ คือ อยู่ที่ประมาณ 3%
    • ผู้ลงทุนไทยที่ซื้อขายผ่าน Thai NVDR อยู่ที่ 2.8% โดยจากการปิดสมุดทะเบียนล่าสุด (9 มกราคม 2567) ผู้ถือผ่าน Thai NVDR รายใหญ่ เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น 10 อันดับแรกของ MGI (สามารถทราบรายชื่อผู้ถือ Thai NVDR ได้จาก SET website)
    • สภาพการซื้อขายมีความผันผวน และเก็งกำไรสูง โดยมีราคาเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน และไม่พบ Material information สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ดังนี้
      • P/E และ P/BV ที่ 85.41 และ 22.40 เท่า ตามลำดับ
        • อัตราการหมุนเวียนเปลี่ยนมือที่แสดงภาวะการเก็งกำไร อยู่ที่ประมาณวันละ 7% (ในขณะที่ mai อยู่ที่ 0.25%)
        • สารสนเทศที่แจ้งเพิ่มเติมในวันที่ 1 และ 4 มีนาคม 2567 เป็นการดำเนินการตามธุรกิจปกติของบริษัท ที่ได้เปิดเผยลักษณะธุรกิจดังกล่าวในหนังสือชี้ชวนเสนอขายหุ้นต่อประชาชน (IPO) แล้ว  

ปัจจุบัน MGI เป็นหลักทรัพย์ที่อยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขายระดับสูงสุด ดังนั้นหากสภาพการซื้อขายเปลี่ยนแปลงไม่สอดรับกับพื้นฐานและเข้าตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ MGI จะถูกพักการซื้อขายเป็นเวลา 1 วัน จากนั้นเมื่ออนุญาตให้ซื้อขาย จะยังคงห้าม Net settlement ห้ามนำเป็นหลักประกันในการคำนวณวงเงินซื้อขาย และต้องซื้อด้วยบัญชี Cash Balance เท่านั้น เป็นเวลา 3 สัปดาห์ นับแต่วันที่ประกาศใหม่ ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวกำหนดใช้กับทุกหลักทรัพย์ที่มีสภาพผิดปกติ

ตามไปดู “บ้านธรรมชาติล่าง จ.ตราด” CPF หนุนชุมชนต้นแบบยั่งยืน

0

“วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่าง” ต.คลองใหญ่ อ.แหลมงอบ จ.ตราด จากชุมชนทางผ่านสู่เกาะช้าง สู่การพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง โดยการสนับสนุนของ CPF ทั้งการช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ และดูแลคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมาย “สร้างคุณค่าร่วมทางสังคม” สร้างประโยชน์ในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

กระทั่งเป็น “โมเดลต้นแบบการเติบโตอย่างยั่งยืน” กลายเป็นชุมชนแห่งรอยยิ้ม ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง…

รู้เก็บรู้ออม : ประกันชีวิตแบบที่ใช่!!

0

สัปดาห์ที่แล้ว “คุณนายพารวย” พูดถึงการวางแผนการเงินในแต่ละช่วงอายุ รวมถึงการวางแผนการเงินล่วงหน้าเพื่อตระเตรียมตัวก่อน/หลังแต่งงาน แต่ถึงแม้ว่าเราจะสามารถออกแบบชีวิตเราเองได้ แต่ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน

หลายคนคิดเรื่องการทำประกันชีวิต เพื่อคุ้มครองตัวเราและครอบครัว จากความไม่แน่นอนของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บไข้ได้ป่วย, อุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์อื่นๆ ที่ไม่ได้คาดคิด อย่างไรก็ตาม เราควรจะศึกษาและทำความเข้าใจกับประเภทของประกันชีวิต เพื่อจะได้เลือกประกันที่ตอบโจทย์และความต้องการของตัวเองได้ดีที่สุด

บทความเรื่อง “ประกันชีวิตแบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ” โดยคุณพิชญา ซุ่นทรัพย์, นักวางแผนการเงิน สมาคมนักวางแผนการเงินไทย บนเว็บไซต์ set.or.th ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พูดถึงประกันชีวิตแบบพื้นฐานที่ต้องรู้ และเลือกให้เหมาะกับตัวเอง โดยแบ่งตามลักษณะการคุ้มครองและผลประโยชน์ ออกเป็น 4 แบบประกันหลัก ที่ช่วยปกป้องความมั่งคั่งทั้งชีวิตของเรา

ประกอบไปด้วย 1.ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความคุ้มครองการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร หรือคุ้มครองหนี้สินในกำหนดเวลา เช่น 5 ปี 10 ปี 15 ปี หรือ 20 ปี โดยบริษัทประกันจะจ่ายเงินคืนให้หากเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่คนไทยไม่ค่อยนิยมประกันแบบนี้เท่าไร เพราะแม้ว่าจะให้ทุนประกันสูง แต่เบี้ยประกันเป็นแบบจ่ายทิ้ง และไม่ได้เงินคืนตอนครบกำหนดกรมธรรม์

2.ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เหมาะสำหรับคนที่เป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัว อยากเหลือมรดกไว้ให้กับลูกหลาน โดยเป็นประกันแบบคุ้มครองตลอดชีพ จ่ายเงินคืนให้ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต หรือจ่ายเงินคืนให้ผู้เอาประกันเมื่อผู้เอาประกันมีอายุครบ 99 ปี เบี้ยประกันที่ส่งไม่ใช่แบบจ่ายทิ้ง นอกจากนี้ หากเกิดเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน ก็สามารถขอกู้หรือเวนคืนกรมธรรม์ เพื่อนำเงินออกมาใช้ได้

3.ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เป็นประกันแบบผสมระหว่างการคุ้มครองชีวิตและการออมเงิน บริษัทประกันจะจ่ายเงินคืนให้เมื่อเสียชีวิตหรืออยู่จนครบสัญญา ประกันแบบนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการออมเงินระยะยาว ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าฝากเงินธนาคาร

และ 4.ประกันชีวิตแบบเงินได้ประจำ หรือแบบบำนาญ บริษัทประกันจะจ่ายเงินคืนให้เป็นงวดๆ เหมือนกับเงินบำนาญ ตั้งแต่อายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี ไปจนครบสัญญาหรือเสียชีวิต จึงเหมาะกับคนที่อยากเก็บเงินออมไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณ ประกันแบบนี้จะมีเบี้ยที่สูงกว่า และความคุ้มครองที่น้อยกว่าประกันชีวิตแบบอื่น เพราะเป็นประกันที่เน้นการออมเงินเป็นหลัก

และเรายังสามารถเลือกทำประกันสุขภาพหรือประกันอุบัติเหตุแบบสัญญาเพิ่มเติม เพื่อให้กรมธรรม์ครอบคลุมค่าห้อง ค่ารักษา ค่าชดเชยรายวัน นอกจากนี้ เบี้ยประกันที่จ่ายไป ยังสามารถนำมาใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตอนจ่ายภาษีประจำปีได้อีกด้วย

รู้แบบนี้แล้ว ก็จะช่วยให้เราสามารถเลือกทำประกันชีวิตให้ตรงกับความต้องการของตัวเอง และความสามารถในการจ่ายค่าเบี้ยประกันได้!

ผู้เลี้ยงหมูวอนรัฐ ขอขายหมูตามโครงสร้างต้นทุน หลังหมูเถื่อนทำอ่วมขาดทุนสะสม

0
สุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ

ผู้เลี้ยงหมู ขอร้องรัฐบาลพิจารณานำกลไกตลาดและโครงสร้างต้นทุนมาใช้ เพื่อยกระดับราคาหมูในประเทศให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย เนื่องจากต้นทุนการผลิตยังสูงและราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มยังไม่สามารถแตะต้นทุนที่ 80 บาทต่อกิโลกรัมได้ ซ้ำร้ายโดนราคาประกาศของราชการปรับลดสองสัปดาห์ต่อเนื่องรวม 4 บาทต่อกิโลกรัม

นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2567 เกษตกรผู้เลี้ยงหมูคาดหวังว่าราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มจะปรับขึ้นสู่ระดับ 80 บาทต่อกิโลกรัม ช่วงก่อนตรุษจีนที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้เนื่องจากผลผลิตจากการฟื้นฟูฟาร์มหลังโรคระบาด ASF ออกสู่ตลาดมากขึ้น ประกอบกับหมูเถื่อนยังถูกลักลอบระบายออกจากห้องเย็นมาสมทบกับผลผลิตหมูไทย ทำให้หมูล้นตลาดและกดราคาในประเทศจนต่ำกว่าต้นทุน เกษตรกรจึงต้องอยู่ในสภาพขาดทุนต่อเนื่อง ที่สำคัญหมูเถื่อนซึ่งมีผลต่อราคาตกต่ำในขณะนี้ ยังไม่สามารถปราบปรามให้หมดได้

สองสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมการค้าภายในประกาศลดราคาแนะนำหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มต่อเนื่องรวม 4 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ 64 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติปรับราคาคละสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มขึ้น 2 บาท อยู่ที่ 66 บาทต่อกิโลกรัม นอกจากจะเป็นราคาที่ไม่คุ้มทุนของเกษตรกรแล้ว ยังเป็นราคาที่ทำให้เกษตรกรขาดทุนสะสมเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่เกษตรกรต้องอดทนแบกขาดทุนสะสมมานานกว่า 11 เดือนแล้ว

“ผู้เลี้ยงหมูขอเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณานำกลไกตลาด มาเป็นเครื่องมือสร้างความเป็นธรรมด้านราคาให้กับทุกฝ่าย ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ทำให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ตามโครงสร้างต้นทุน เพราะต้นทุนเฉลี่ยของเกษตรกร 80-82 บาทต่อกิโลกรัม เทียบกับราคาประกาศของภาครัฐยังขาดทุนมาก” นายสุนทราภรณ์ กล่าว

นายสุนทราภรณ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติและสมาคมผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ มีการหารือร่วมกันกับภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อหาแนวทางในการรักษาเสถียรภาพราคาสุกรในประเทศ เพื่อสร้างระบบอาหารมั่นคงให้กับคนไทยและสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมั่นใจ ทั้งเรื่องมาตรฐาน คุณภาพ ความปลอดภัย และราคา หากแต่เกษตรกรยังต้องอยู่ในสภาพขาดทุนสะสมต่อเนื่องและราคาถูกกดให้ต่ำตลอดเวลาเช่นนี้ วงการหมูไทยคงไปไม่รอด ต้องมีคนออกจากอาชีพอีกจำนวนมาก

2 ปีที่ผ่านมา วงการหมูไทยประสบปัญหาราคาตกต่ำอย่างหนัก ซึ่งเป็นผลกระทบมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.โรคระบาด ASF ทำให้ผลผลิตหายไป 50% 2.หมูเถื่อนระบาดทั่วประเทศ เข้าแทรกแซงกลไกตลาด กดราคาหมูไทย และ 3. สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยืดเยื้อ ทำให้วัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับขึ้นมากกว่า 30% แม้จะปรับลงบ้างก็ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงต้นทุนพลังงาน ทำให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ เกษตรกร ยังมีค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงฟาร์มเพื่อป้องกันโรคเพิ่มขึ้น จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาและอุปสรรคของคนเลี้ยงอย่างเป็นระบบและใช้กลไกตลาดในการปรับราคาให้เกิดความเป็นธรรมกับเกษตรกร และเร่งปราบปรามหมูเถื่อนให้หมดไป ซึ่งจะเป็นนโยบายที่สนับสนุนการสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศในระยะยาว

ซีพีเอฟ ดัน SMART IA หนุนความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ ตอกย้ำผลิตอาหารปลอดภัย

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน)หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและผู้บริโภคในผลิตภัณฑ์อาหารของซีพีเอฟ ยกระดับการแข่งขันในอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก พัฒนาศักยภาพผู้ตรวจประเมินภายใน SMART IA (Smart Internal Auditor) ยกระดับคุณภาพ ความปลอดภัยอาหาร และผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน

นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจสัตว์บก ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟมุ่งมั่นพัฒนาด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร เพื่อความมั่นใจของผู้บริโภค ลูกค้า และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยได้พัฒนาผู้ตรวจประเมินภายในที่มีความสามารถ นำมาสู่การพัฒนาและปรับปรุงด้านคุณภาพ ความปลอดภัยอาหาร และผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน ตามมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ (CPF Food Standard) และมาตรฐานสากลอื่นๆ

ตั้งแต่ปี 2565 ซีพีเอฟ โดยสำนักระบบมาตรฐานสากล ได้ริเริ่มโครงการ SMART IA Pilot Project กับกลุ่มธุรกิจไก่เนื้อครบวงจรโคราช หรือ Korat model เป็นต้นแบบ และได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องครอบคลุมธุรกิจไก่เนื้อ เป็ดเนื้อ ครบวงจรสระบุรี มีนบุรี และบางนา จนถึงปัจจุบันมี SMART IA รุ่นที่ 1 ที่มีศักยภาพและปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ตรวจประเมินภายในตามหลักเกณฑ์ของโครงการฯ รวม 55 คน ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่า (CPF value chain) ตั้งแต่โรงงานอาหารสัตว์ พ่อแม่พันธุ์ โรงฟักไข่ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โรงงานชำแหละ และโรงงานอาหารแปรรูป

“ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร เพื่อทำหน้าที่ผู้ตรวจประเมินภายใน (Internal auditor) พัฒนาและปรับปรุงองค์กรในเชิงลึก ด้วยกิจกรรมการตรวจประเมินภายใน ให้เป็นทีมที่เก่งและทำงานในทิศทางเดียวกันตามหลักสากล” นายสิริพงศ์ กล่าว

โครงการ”SMART IA-Internal Auditทีมเก่ง งานแกร่ง” เป็นการพัฒนาบุคลากร และสร้างผู้ตรวจประเมินภายในที่มีความสามารถตรงตามมาตรฐานสากล ISO 19011:2018 ซึ่งเป็นแนวทางการตรวจประเมินระบบการจัดการ นำมาสู่การพัฒนา และปรับปรุงด้านคุณภาพ ความปลอดภัยอาหาร และผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน

รู้เก็บรู้ออม : ชวนน้องแต่งแบบปลอดหนี้

0

“คุณนายพารวย” อยากบอกคนที่กำลังคิดจะขอแฟนแต่งงาน หรือขอไปแล้ว โปรดวางแผนชีวิตให้ดีๆ โดยเฉพาะเรื่องการเงิน เพราะการตัดสินใจใช้ชีวิตคู่นั้น แปลว่า นับจากนี้ไปทุกอย่างไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียวอีกต่อไป และก็ไม่ใช่เรื่องของคนแค่สองคนด้วย แต่ยังเกี่ยวข้องกับครอบครัวของทั้งสองฝ่าย และสมาชิกใหม่ที่จะเกิดมาในอนาคตด้วย

หลายคู่รักประสบปัญหาเตรียมเงินเก็บไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายการแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นพิธีแต่ง, งานเลี้ยงฉลอง, สินสอดทองหมั้น, ค่ากินเที่ยวตอนฮันนีมูน ทำให้ตัดสินใจกู้หนี้ยืมสินมาจัดงานเพราะจะหวังพึ่งเงินใส่ซองงานแต่งก็คงไม่พอ ทำให้หลายคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันต้องก้มหน้าก้มตาทำงานใช้หนี้งานแต่ง!!

“คุณนายพารวย” อ่านเจอบทความดีๆของตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่อง “5 STEPS พิชิตงานแต่งในฝัน” ดีและมีประโยชน์มาก เลยขอนำมาถ่ายทอดต่อให้กับคู่รักทั้งหลาย เพื่อจะได้เริ่มต้นชีวิตสมรสกันแบบราบรื่น

เริ่มต้นที่สเต็ปแรก ปักหมุดกาปฏิทินกำหนดวันแต่งให้ชัดเจน เพื่อตั้งเป้าหมาย วางแผนการเงินให้สอดคล้องกับเวลาที่มี เก็บเงินได้ทันใช้ในวันแต่ง…

ตามด้วยสเต็ปที่สอง ลิสต์รายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดของงานแต่งในฝัน ไม่ว่าจะเป็นค่าพิธี, ค่าจัดงาน, ชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว, สินสอด, ค่าถ่ายรูปหรือวิดีโอพรีเวดดิ้ง โดยทั่วไปแล้ว งานแต่งใน กทม. หรือเมืองใหญ่ ที่จัดในโรงแรม หรือร้านอาหาร จะมีค่าใช้จ่ายเป็นหลักแสน หรือหลักล้าน หรือหาก ตกลงกันว่าจะจัดแบบเรียบง่าย เชิญแค่ญาติและเพื่อนสนิท ก็สามารถตัดค่าใช้จ่ายบางรายการออก ก็จะช่วยประหยัดเงินได้ไม่น้อย

สเต็ปต่อมา คือ เดินหน้าทำงานเก็บเงิน เมื่อรู้ชะตากรรมล่วงหน้า กำหนดเวลา และค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียแล้ว ก็ถึงเวลาตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินกันได้เลย ส่วนฝ่ายชาย-หญิงจะแบ่งกันออกสัดส่วนยังไง ต้องไปพูดจาตกลงกันให้ชัดเจน จะได้ไม่เกิดปัญหาหนีวิวาห์ หรืองานแต่งล่ม อย่างที่เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ

ขั้นตอนนี้ขอแนะนำให้ลองใช้ “โปรแกรมออมเงิน” ของตลาดหลักทรัพย์ฯ แค่คลิก The Stock Exchange of Thailand : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แล้วกรอกข้อมูลโปรแกรมนี้จะช่วย คำนวณให้เรารู้ว่า ต้องใช้เงินเท่าใด ต้องออมนานแค่ไหน และต้องทำยังไงจึงจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

สเต็ปที่สี่ คือ ใช้เงินตามแผนที่กำหนด อะไรที่ไม่จำเป็นก็อย่าหาทำ เพราะจะเพิ่มค่าใช้จ่ายให้บานปลายได้ แต่อะไรที่คิดว่าจะจ่ายได้ แล้วทำให้งานแต่งเพอร์เฟกต์อย่างที่ฝัน บางทีก็ต้องยอมจ่าย เพื่อให้เป็นโมเมนต์ของชีวิตรัก และหากวางแผนดีๆก็อาจมีเงินเหลือหลังงานแต่งเก็บไว้ เป็นทุนรอนเริ่มต้นชีวิตครอบครัวใหม่

และสเต็ปสุดท้าย การเริ่มวางแผนการเงินของครอบครัวด้านอื่นๆ หลังงานแต่งผ่านพ้น ถึงเวลาที่คู่รักต้องมาคิดถึงค่าใช้จ่ายใหม่ที่จะเกิดขึ้น ทั้งเงินใช้จ่ายฮันนีมูน, การวางแผนว่าจะมีลูกด้วยกันกี่คน, ค่านม, ค่าเทอม และอื่นๆอีกมาก

ทำตามนี้แล้ว หากจะมีหนี้ ก็จะเป็นแค่หนี้รัก ส่วนหนี้พรีเวดดิ้ง ขอไม่มีนะคะ!!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เนื้อไก่ไทยมาตรฐานสากล ต่อยอดสู่นวัตกรรมอาหารมาตรฐานอวกาศ

0

สัตวแพทย์ ม.มหิดล ย้ำอุตสาหกรรมการผลิตไก่เนื้อของไทยมาตรฐานสากล ต่อยอดสู่นวัตกรรมอาหารมาตรฐานอวกาศ ตอกย้ำถึงคุณภาพเนื้อไก่ไทยมีความปลอดภัยสูงสุด เป็นหลักประกันความปลอดภัยและความมั่นคงด้านอาหารให้กับผู้บริโภคทั่วโลก

ดร.สัตวแพทย์หญิงระพีวรรณ ธรรมไพศาล ภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกและการสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เนื้อไก่ เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี ดีต่อสุขภาพ ราคาย่อมเยา เข้าถึงได้ง่าย สามารถรับประทานได้ ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติศาสนา สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตไก่เนื้อของไทยมีการพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่องไม่หยุดอยู่กับที่ ซึ่งเนื้อไก่เป็นที่ต้องการสูง เป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตต่อเนื่อง

ดร.สัตวแพทย์หญิงระพีวรรณ ธรรมไพศาล

ประเทศไทยมีการส่งออกเนื้อไก่เป็นอันดับ 4 ของโลก ติดอันดับ 1 ใน 5 มาโดยตลอด โดยประเทศคู่ค้าสำคัญหลักของไทย ประกอบด้วย ประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และล่าสุด คือ ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งประเทศเหล่านี้มีมาตรฐานสูง และมีการปรับปรุงมาตรฐาน ระเบียบ และข้อบังคับเพิ่มเติมอยู่ตลอด ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ใช้มาตรฐาน GLOBALG.A.P. ส่วนฝั่งสหภาพยุโรป ใช้มาตรฐาน Genesis GAP ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการ การป้องกันโรค และเลี้ยงไก่ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ซึ่งประเทศไทยสามารถผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองมาตรฐานเหล่านี้ ยืนยันได้ว่ามาตรฐานการผลิตไก่ไทยอยู่ในระดับสากล

นอกจากนี้ ไก่ไทยถูกยกระดับไปสู่มาตรฐานระดับอวกาศ เพราะมีโครงการที่จะส่งเนื้อไก่ของไทยไปเป็นอาหารสำหรับนักบินอวกาศ เป็นการตอกย้ำถึงมาตรฐานเนื้อไก่ไทยเป็นที่ยอมรับ อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่า มาตรฐานการผลิตไก่เนื้อของไทย ทั้งเพื่อการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ เป็นมาตรฐานการผลิตเดียวกัน (Single Standard) มีการควบคุมมาตรฐานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มจากการผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มที่เลี้ยง ไปจนถึงโรงชำแหละและโรงแปรรูป

สำหรับอุตสาหกรรมสัตว์ปีกของไทยใช้มาตรฐานการเลี้ยงภายใต้หลักปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ผลิตไก่ ให้มีการเลี้ยงที่ดี ปราศจากโรค มีมาตรฐานฟาร์มที่ควบคุมดูแล มีตั้งแต่เรื่องตำแหน่งที่ตั้งฟาร์ม การจัดการ การเลี้ยง สวัสดิภาพสัตว์ และการควบคุมโรค ตลอดจนมีการบันทึกข้อมูล เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ หากเกิดปัญหาขึ้น

ด้านระบบป้องกันโรค โดยเฉพาะโรคไข้หวัดนก หลังจากเกิดการระบาดในไทยเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ประเทศไทยปรับปรุงระบบการเลี้ยงมาเป็นระบบปิดเกือบทั้งหมด และมีการนำระบบป้องกันโรค หรือ ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) มาใช้ ซึ่งมีความเข้มงวดสูง โดยมีมาตรการเรื่องคนเข้าออก เรื่องการป้องกันโรคจากสัตว์พาหะต่างๆ สามารถป้องกันโรคไม่ให้เข้าสู่โรงเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการนำระบบคอมพาร์ทเมนต์มาใช้ในการควบคุมมาตรฐานของฟาร์มในกลุ่มเดียวกัน มีการเฝ้าระวังเชิงรุกโรคที่สำคัญ เช่น โรคไข้หวัดนก โรคนิวคาสเซิล ซัลโมเนลลา และก่อนการส่งไก่เข้าโรงชำแหละต้องผ่านโปรแกรมตรวจโรคต่างๆ ที่อาจจะมีผลกับมนุษย์ เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และมีการเก็บตัวอย่างเนื้อไก่ ส่งตรวจหาสารตกค้าง ทำให้อุตสาหกรรมไก่ไทยสามารถป้องกันโรคเหล่านี้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งออกเนื้อไก่ได้จนถึงปัจจุบัน

ดร.สพ.ญ.ระพีวรรณ แนะนำการเลือกซื้อเนื้อไก่ ให้สังเกตลักษณะภายนอก มีความสดใหม่ สีขาวอมชมพู ไม่มีสีคล้ำ ผิวหนังเป็นมัน ไม่มีรอยช้ำเลือดหรือจ้ำเลือด โดยเฉพาะบริเวณของปีกหรือใต้ปีก ไม่มีลักษณะของเหลวเป็นเมือก ไม่มีกลิ่นเหม็น และเลือกซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายที่น่าเชื่อถือ หากเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ ให้ดูวันผลิตและวันหมดอายุ มีมาตรฐานระบุชัดเจน สังเกตตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานว่าผ่านเกณฑ์อาหารปลอดภัย เช่น ตราสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” จากกรมปศุสัตว์ หรือเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร (เครื่องหมาย Q) ก็สามารถเชื่อมั่นได้ว่าผ่านกระบวนการตามมาตรฐานที่ถูกต้องปลอดเชื้อ ปลอดภัย ตรวจสอบย้อนกลับได้

ก่อนรับประทานต้องปรุงเนื้อไก่ให้สุก ด้วยอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส 1 นาที หรือ 60 องศาเซลเซียส 4-5 นาที เพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรียและเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค โดยสังเกตเนื้อไก่สุกจะเปลี่ยนสีเป็นสีขาว ส่วนที่ควรระวัง คือความสะอาดของ มือ เขียง มีด และอุปกรณ์ประกอบอาหาร พร้อมแนะแยกอุปกรณ์ระหว่างอาหารสุกและดิบ เพื่อความปลอดภัย

ซีพีเอฟ ส่งทีมนักออกแบบบรรจุภัณฑ์ คว้าแชมป์ DTN Smart Labelling Contest 2023 ก.พาณิชย์

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ คว้ารางวัลชนะเลิศการออกแบบบรรจุภัณฑ์และฉลากอัจฉริยะ จากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ในงาน DTN Smart Labelling Contest 2023 ด้วยการออกแบบต้นแบบบรรจุภัณฑ์ฉลากอัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) โดยการผสานข้อมูลดิจิตัลเข้ากับโลกความเป็นจริงที่สามารถใช้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสื่อสารกับผู้บริโภค

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานมอบรางวัลชนะเลิศให้กับ ทีมออกแบบบบรรจุภัณฑ์จาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารซีพีเอฟ ประกอบด้วย นายวรยศ สุขแช่ม และนางสาวพรพิมล ตปนียะพงศ์ จากการนำเสนอโครงการต้นแบบบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนผสานกับเทคโนโลยีทันสมัยภายใต้แนวคิด “อาหารที่ดีจะส่งมอบความรู้สึกที่ดีให้กับผู้บริโภค” ติด “ฉลากอัจฉริยะ”

ซีพีเอฟ ในฐานะเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลกร่วมขับเคลื่อนความมั่นคงทางอาหาร มีนโยบายให้ความสำคัญกับการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์สินค้าอาหารที่มีการแสดงฉลากผลิตภัณฑ์ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในคุณภาพ และความปลอดภัยของสินค้า เป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมาจากต้นทางและกระบวนการผลิตที่รับผิดชอบตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

ทั้งนี้ งาน DTN Smart Labelling Contest 2023 จัดขึ้นโดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจเรื่องการทำฉลากอัจฉริยะแก่ผู้ประกอบการไทย และเป็นการพัฒนานักออกแบบบรรจุภัณฑ์สินค้ารุ่นใหม่สามารถปรับตัวสอดรับกับกฎระเบียบ การเปลี่ยนแปลง และแนวปฏิบัติใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป เพื่อเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการให้สามารถรับมือกับการแข่งขันตลาดโลกได้อย่างทันท่วงที