Home Blog Page 108

รู้เก็บรู้ออม : ภารกิจ 21 วัน ลงทุนหุ้นนอก

0

ความท้าทาย” เป็นบททดสอบในชีวิตที่ช่วยทำให้ตัวเราเติบโตขึ้น ทุกคนต้องพบกับความท้าทายในชีวิต จะเล็กหรือใหญ่ ง่ายหรือยาก แต่เมื่อผ่านมาได้ไม่ว่าผลลัพธ์จะแพ้หรือชนะสิ่งนี้ก็จะช่วยทำให้เราเติบโต แข็งแกร่ง พร้อมกับได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

เช่นเดียวกับภารกิจท้าทายครั้งใหม่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่กลับมาในปี 2567 นี้ ที่ขอชวนให้พวกเราท้าทายตัวเองในเรื่องของการลงทุนหุ้นต่างประเทศกับ แคมเปญ “21-Day Challenge เปิดโลกลงทุนต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย

ตลอด 21 วัน นักลงทุนและผู้สนใจจะได้เรียนรู้กับเนื้อหาที่แบ่งเป็น 3 ส่วนสำคัญ คือ ส่วนแรก ปูพื้นฐานก่อนลงทุนหุ้นต่างประเทศ ทำความเข้าใจเรื่องการลงทุนหุ้นต่างประเทศ เริ่มต้นตั้งแต่ความสำคัญของการกระจายการลงทุน วิธีการวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจ ปัจจัยสำคัญ เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงความเสี่ยงที่ต้องระวัง ภาษีจากการลงทุน และแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

ส่วนที่สอง เรียนรู้ลักษณะและทางเลือกลงทุนหุ้นต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย ขั้นตอนการซื้อขาย แหล่งข้อมูลและเครื่องมือลงทุนต่างๆไม่ว่าจะเป็น DR DRx และ ETF เพื่อสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง

และส่วนที่สาม เปิดไอเดียการลงทุนหุ้นต่างประเทศ ทำความรู้จักกลุ่มประเทศต่างๆ ก่อนเลือกลงทุนในประเทศที่สนใจ เรียนรู้แนวคิดการลงทุนจากนักลงทุนตัวจริง และการแนะนำตราสารอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนต่างประเทศ

เนื้อหาทั้งหมดจัดเตรียมไว้แบบอัดแน่นครบถ้วน ทั้งบทความ คลิปสั้น และหลักสูตร e-Learning และยังมี Live สดของกูรูตัวจริง เพื่อให้คำแนะนำเคล็ดลับและตอบคำถามกันทุกวันเสาร์ของแต่ละสัปดาห์ โดยเริ่มต้นสัปดาห์แรก กับหัวข้อ “ติดอาวุธมือใหม่หัดลงทุนต่างประเทศ” ต่อด้วยสัปดาห์ที่สอง กับหัวข้อ “เปิดโลกลงทุน ค้นหาทางเลือกลงทุนนอก” และสัปดาห์ส่งท้ายแคมเปญ ด้วยหัวข้อ “เจาะลึกไอเดียลงทุนหุ้นไทย-หุ้นนอก”

เรียนจบอยากทบทวนตอนไหนก็ได้ เพราะทั้งหมดจะอยู่ใน playbook ที่รวมลิงก์เนื้อหาบทเรียนและสื่อความรู้ต่างๆให้ดาวน์โหลดฟรี สามารถเปิดเรียนทบทวนหรือดูย้อนหลังได้ตลอดเวลา

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมร่วมสนุกจากการเข้าร่วมกิจกรรมใน Live เช็กอินและเข้าร่วมฟัง Live ครบทั้งสามครั้ง ผู้โชคดีจะได้รับ e-Voucher เป็นของรางวัลตอบแทนการขยันเรียน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้-31 สิงหาคม 2567 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายได้แล้วที่ https://www.setinvestnow.com/th/21day-foreigninvestment หรือสอบถามเพิ่มเติม SET Contact Center 0-2009-9999.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

แนะปราบปลาหมอสีคางดำต่อเนื่อง เน้นตัดวงจรชีวิตตั้งแต่ต้นทาง ชี้ไล่จับปลาเป็นครั้งคราวไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา

0

นักวิชาการด้านสัตว์น้ำ ย้ำ การแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำ ต้องขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบและรอบด้าน ต้องตัดวงจรชีวิตปลา เพื่อควบคุมปริมาณปลาให้อยู่ในวงจำกัด ส่งเสริมการบริโภค ควบคู่กับการบริหารจัดการปลาที่จับมาได้ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้มีการจับและบริโภคอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

ผศ.ดร.สพ.ญ.วรรณา ศิริมานะพงษ์ อาจารย์ประจำหน่วยสัตว์น้ำ ภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกและการสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากการพบการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำในจังหวัดชายฝั่งทะเลทางภาคใต้ของประเทศ เช่น สงขลาและนครศรีธรรมราช จนนำไปสู่การจัดกิจกรรมตามล่า-ตามจับปลาหมอคางดำ ของทั้งสองจังหวัดนั้น ในทางวิชาการ การจับปลาชนิดนี้ จะช่วยลดปริมาณของปลาในแหล่งน้ำเท่านั้น แต่ถ้าไม่มีการจับปลาอย่างต่อเนื่อง ปลาก็จะมีการแพร่พันธุ์ใหม่อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการแก้ปัญหาดังกล่าวจึงควรทำเป็นระบบและรอบด้านตามหลักวิชาการ เพื่อให้การลดปริมาณปลาเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ผศ.ดร.สพ.ญ.วรรณา ศิริมานะพงษ์

สำหรับขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็นมากในการลดปริมาณปลาให้เกิดผลอย่างมีนัยสำคัญ คือ การศึกษาวงจรชีวิตของปลา ซึ่งจะทำให้เราเรียนรู้ถึงสภาพแวดล้อมที่ปลาแพร่พันธุ์ได้ดีที่สุด ช่วงเวลาวางไข่ ช่วงเป็นตัวอ่อน จะเป็นข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนการพัฒนาวิธีการและเครื่องมือที่เหมาะสมในการตัดวงจรชีวิตของปลาหมอสีคางดำตั้งแต่ต้นทางและกำจัดได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญการจัดกิจกรรมจับปลาแต่ละครั้งต้องทำอย่างเป็นระบบและเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม ควบคู่กับการจัดเก็บข้อมูลเพื่อทำการศึกษาวิจัยต่อยอดการแก้ปัญหาในอนาคต

“เนื่องจากปลาหมอสีคางดำ เป็นปลาที่สามารถปรับตัวได้ดีอยู่ได้ทั้งในน้ำจืด น้ำกร่อยและน้ำเค็ม การจับปลาชนิดนี้จึงจำเป็นต้องจับอย่างต่อเนื่องและจับในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อตัดวงจรชีวิต ซึ่งการไล่จับปลาเป็นครั้งคราวนั้นเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ” ผศ.ดร.สพ.ญ.วรรณา กล่าว

ผศ.ดร.สพ.ญ.วรรณา ย้ำว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำในไทยขณะนี้ จำเป็นต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือ ระยะแรก ด้วยการส่งเสริมให้เป็นอาหารของมนุษย์ รวมถึงการพัฒนาให้เป็นอาหารประจำถิ่น ของแต่ะละพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของปลา แนวทางนี้จะเป็นการสร้างความต้องการให้กับตัวปลา และต้องมีการวางแผนบริหารจัดการและการตลาดอย่างดี เพื่อจูงใจให้เกิดการจับปลาต่อเนื่อง เช่น มีการรับซื้อในราคาที่เหมาะสม ส่งเสริมการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร ทั้งอาหารมนุษย์และอาหารสัตว์ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเปล่าและไม่ให้มีการปล่อยปลากลับคืนลงไปในแหล่งน้ำอีก

ส่วนระยะกลาง ควรมีการระดมสมองเพื่อทำการศึกษาวงจรชีวิตของปลา ซึ่งจะนำไปสู่การกำจัดปลาอย่างมีประสิทธิภาพและลดจำนวนปลาอย่างมีนัยสำคัญ และระยะยาว จำเป็นต้องเผยแพร่ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสายพันธุ์ปลาหมอสีคางดำอย่างถูกต้องให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนได้เรียนรู้ และสามารถปรับตัวอยู่กับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันยังร่วมมือกันกำจัดปลาอย่างเป็นระบบและถูกต้องตามหลักวิชาการอย่างต่อเนื่อง สร้างความสมดุลทางนิเวศ (Ecological Balance)

ผศ.ดร.สพ.ญ.วรรณา กล่าวว่า การแก้ปัญหาปลาหมอสีคางดำระบาด ต้องเดินหน้าแบบองค์รวมและทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง สามารถลดปริมาณประชากรปลาได้ตามเป้าหมาย ตลอดจนช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพของแหล่งน้ำธรรมชาติให้เป็นแหล่งอาหารของคนในชุมชนอย่างยั่งยืน

เหยื่อแก๊งคอลฯหลอกโอนเงิน ลงทะเบียนขอรับเงินคืนได้แล้วผ่าน 3 ช่องทาง

0

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงประชาชนโอนเงิน มีมูลค่าความเสียหายนับแสนล้านบาท ล่าสุดได้รับข้อมูลว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ยึดทรัพย์เป็นของกลางแล้วรวมมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยเป็นเงินสดรวมได้ประมาณ 6 พันล้านบาท อสังหาริมทรัพย์อีกจำนวนหนึ่งประมาณ 4 พันล้านบาท

โดยทรัพย์สินที่ยึดได้จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะต้องนำมาเฉลี่ยทรัพย์เพื่อคืนให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้หลังจาก ปปง. ยึดทรัพย์มาแล้ว โดยจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ภายใน 90 วัน เพื่อให้ประชาชนมายื่นคําร้องขอรับการคุ้มครองสิทธิ ซึ่งผู้เสียหายจะได้รับเงินชดใช้คืนภายหลังจากที่ศาลมีคําสั่งหรือคําพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้เสียหายได้รับเงินชดใช้คืนแทนการสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน

ผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สามารถยื่นคําร้องขอคุ้มครองสิทธิ ผ่าน 3 ช่องทาง คือ

1. ยื่นด้วยตัวเองที่สํานักงาน ปปง.

2. ยื่นทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ส่งถึงสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เลขที่ 422 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โดยวงเล็บ 2 มุมซองด้านบนว่า “ส่งแบบคําร้องขอ คุ้มครองสิทธิรายคดี….”

และ 3. ยื่นทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทาง https://khumkrongsit.amlo.go.th

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 02-219-3600 หรือโทร 1710

AIS จับมือ 8 เครือข่ายผู้เชี่ยวชาญภาคอุตสาหกรรม พัฒนาบุคลากรในเขต EEC ติดอาวุธเทคโนโลยีดิจิทัล และ 5G รองรับตลาดแรงงานอุตฯเป้าหมาย

0

AIS Business ผู้นำด้านบริการเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับองค์กรภาคธุรกิจในประเทศไทย ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับสำนักงานคณะทำงานพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC HDC) เพื่อยกระดับศักยภาพบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และ 5G ภายใต้โครงการ “ผลิตและพัฒนาบุคลากร ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และ 5G ตอบสนองเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)” เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรในทุกรูปแบบ พร้อมทั้งสร้างการตระหนักรู้และเข้าใจด้านเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และ 5G สำหรับการนำไปใช้และต่อยอดให้เกิดประโยชน์ต่อ ภาคการศึกษา และภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันและในอนาคตอีกด้วย

นายภูผา เอกะวิภาต รักษาการหัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS กล่าวว่า “AIS มีเป้าหมายในการนำเทคโนโลยี 5G มาพัฒนาเพื่อยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทุกภาคส่วนในทุกมิติ ซึ่งที่ผ่านมา AIS ทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วประเทศเพื่อเป็นการส่งต่อองค์ความรู้ และนำศักยภาพด้านดิจิทัลเทคโนโลยีของเราขยายผลให้เกิดการผลักดันแรงงานสู่ตลาดอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมในพื้นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีความต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี 5G อย่างสูง ซึ่งปัจจุบันภายในพื้นที่ EEC โครงข่าย AIS 5G ครอบคลุมพื้นที่แล้ว 100% รวมถึงการริเริ่มทดลองทดสอบ 5G Use case ตั้งแต่ปี 2562 จนเกิดการใช้งานเชิงพาณิชย์ที่เป็นรูปธรรรมขึ้นในปัจจุบัน”

ด้าน ดร.อภิชาต ทองอยู่ ประธานคณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า “ทิศทางการทำงานของเราคือการเปลี่ยนจากโลกใบเก่ามาสู่โลกใบใหม่ โดย Landscape ขององค์กรและการทำงานต้องตอบโจทย์การปรับตัวลงทุนและเทคโนโลยีใหม่ๆ เราต้องการให้สถาบันการศึกษาตอบโจทย์การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ อาทิเช่น ศูนย์ EEC Automation Park ศูนย์เชี่ยวชาญยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ศูนย์การท่องเที่ยวคุณภาพสูงยุคใหม่ ศูนย์พาณิชยนาวี ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้ด้านแมคคาทรอนิกส์ ศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านอากาศยาน เป็นต้น ซึ่งความร่วมมือกับ AIS ครั้งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันการพัฒนาบุคลากรในพื้นที่ EEC ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล ความสามารถในการเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน จะทำให้เราสามารถสร้างศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้ยุคใหม่ หรือ EEC NETs ที่ตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ซึ่งโครงการผลิตและพัฒนาบุคลากร ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และ 5G ตอบสนองเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นั้นเป็นร่วมมือระหว่าง AIS และ ศูนย์เครือข่ายผู้เชี่ยวชาญภาคอุตสาหกรรมพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC NETs) ซึ่งอยู่ภายใต้ความร่วมมือของคณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC HDC) มุ่งเน้นในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะเดิม (Re-Skill) การเพิ่มเติมทักษะใหม่ (Up-Skill) และการพัฒนาทักษะใหม่ (New skill) ให้ตระหนักรู้และเข้าใจเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และ 5G สำหรับการนำไปใช้และต่อยอดให้เกิดประโยชน์ต่อภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม ประกอบด้วย

  • มหาวิทยาลัยบูรพา
    • ศูนย์เทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรม 4.0 หรือ EEC Automation Park
    • ศูนย์พัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูงยุคใหม่ หรือ ENTOUR
    • ศูนย์เชี่ยวชาญยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง อีอีซี หรือ EV CONEX
  • มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา
  • ศูนย์เครือข่ายพาณิชยนาวี หรือ ENMATE
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตบางพระ
  • ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้ด้านแมคคาทรอนิกส์ หรือ ENMEC
  • สถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ หรือ MARA
  • ศูนย์พัฒนาทักษะด้านออโตเมชั่นและหุ่นยนต์
  • สถาบันไทย-เยอรมัน
  • ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล AI และ 5G
  • วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ
  • ศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านอากาศยาน หรือ EEC AVIATION Center

“ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรและตลาดแรงงานในพื้นที่ EEC ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลง โดย AIS มีความมุ่งมั่นที่จะนำศักยภาพของโครงข่าย 5G มาสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรและอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC เพื่อต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการยกระดับภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตที่ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา ร่วมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป” นายภูผา กล่าวทิ้งท้าย

ซีพีเอฟ ย้ำม.ป้องกันโรคสัตว์ปีกระดับสูงสุด ผลิตเนื้อสัตว์ปลอดภัย

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ผลิตเนื้อไก่คุณภาพปลอดภัย ใช้เทคโนโลยีป้องกันและเฝ้าระวังโรคในสัตว์ปีก ลดความเสี่ยงการติดโรคจากคนสู่สัตว์ ส่งมอบเนื้อไก่ปลอดการปนเปื้อนเชื้อ ปลอดภัยต่อผู้บริโภค

สพ.ญ.ดร.นิอร บุญประเสริฐ ผู้บริหารสูงสุด สายงานบริการวิชาการสัตว์ปีกและศูนย์วินิจฉัยโรคสัตว์บก กล่าวว่า ซีพีเอฟ มุ่งเน้นในคุณภาพและความปลอดภัยทางอาหาร ดำเนินมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มงวดที่อาจปนเปื้อนตลอดกระบวนการเลี้ยงสัตว์ปีกทุกขั้นตอนและกระบวนการผลิต มีการตรวจสอบคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยได้รับการรับรองจากหน่วยงานตรวจสอบมาตรฐานระดับสากล

สพ.ญ.ดร.นิอร บุญประเสริฐ

สำหรับวัตถุดิบอาหารสัตว์ ที่จะนำมาให้สัตว์กินต้องมีความปลอดภัย ไม่มีเชื้อปนเปื้อน มีการคัดวัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยต้องมาจากวัตถุดิบที่สะอาด มีคุณภาพ มีสารอาหารครบถ้วน ขณะเดียวกันมีการทวนสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ต้องเป็นแหล่งที่มั่นใจได้ ไม่มีการปนเปื้อนของสารต่างๆ ที่จะส่งผลต่อตัวสัตว์และผู้บริโภค รวมทั้งต้องถูกต้องตามกฎหมาย

ด้านโรงเรือนเลี้ยงไก่ เป็นโรงเรือนระบบปิด (Evaporative Cooling System) สามารถปรับการระบายอากาศที่เหมาะสม ซึ่งในการเลี้ยงไก่สิ่งที่สำคัญคือ ไก่ต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีอากาศถ่ายเท ซึ่งระบบนี้ทำความเย็นด้วยการระเหยของน้ำ สามารถควบคุมอุณหภูมิ สภาพอากาศ ความชื้น ให้เหมาะสมกับสัตว์แต่ละช่วงวัย ทำให้สัตว์อยู่สบายและไม่เครียด

สพ.ญ.ดร.นิอร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน ในโรงเรือนมีการใช้ Internet of things (IOT) โดยนำระบบอินเตอร์เน็ตและระบบไวเลสมาใช้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้คนปฏิบัติงานได้ง่ายขึ้น มีการใช้คอมพิวเตอร์จากส่วนกลาง ที่สามารถมอนิเตอร์จากห้องควบคุมกลางได้เลย ซึ่งช่วยลดการเข้าไปภายในโรงเรือนของมนุษย์

ในขณะเดียวกัน มีการใช้กล้องติดตามสภาพแวดล้อมภายในโรงเรือน รวมถึงความเป็นอยู่ของสัตว์ให้อยู่อย่างสุขสบาย ได้แสดงพฤติกรรมของสัตว์อย่างมีความสุข อยู่สบาย จะกินน้ำกินอาหารดี และมีการนอนอาบแกลบ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งบอกว่า สัตว์อยู่สบาย เมื่อสัตว์มีความสุข สุขภาพดี สวัสดิภาพสัตว์จะดีตามด้วย ส่งผลทำให้สัตว์เจริญเติบโตได้ดี และได้เนื้อไก่ที่มีคุณภาพปลอดภัยต่อผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังมีระบบการให้อาหารแบบอัตโนมัติ โดยรถขนส่งอาหารจากภายนอกต้องผ่านมาตรการป้องกันโรคตามมาตรฐาน เช่น การพ่นยาฆ่าเชื้อทุกครั้งก่อนเข้าฟาร์ม จากนั้นจะนำอาหารไปโหลดใส่ไซโลหน้าโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ เพื่อเข้าสู่ระบบให้อาหารแบบอัตโนมัติของฟาร์ม (Auto Feeding System) โดยที่คนไม่จำเป็นต้องเข้าไปเทอาหารภายในโรงเรือนซึ่งลดความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่องโรคที่จะติดจากคนสู่สัตว์ได้

ซีพีเอฟ ยังมีทีมสัตวแพทย์บริการวิชาการด้านสัตว์ปีกในการเฝ้าระวังโรค โดยสัตวแพทย์จะเข้าไปตรวจติดตามสุขภาพของสัตว์ระหว่างการเลี้ยง มีการออกโปรแกรมการเก็บตัวอย่าง เพื่อตรวจติดตามสถานะการติดเชื้อโรค โดยเฉพาะโรคที่มีความสำคัญ เช่น โรคไข้หวัดนก โรคนิวคาสเซิล รวมถึงโรคแซลโมเนลล่า ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรคอาหารเป็นพิษให้กับผู้บริโภค ซึ่งมาตรการเฝ้าระวังเหล่านี้ จะยืนยันได้ว่าผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ ซีพีเอฟ ปลอดจากการปนเปื้อนของเชื้อที่กล่าวมาทั้งหมด

AXONS ร่วมระดมสมองนำเทคโนโลยีการเกษตรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในงาน Horizon 2030

0

AXONS ชี้ เทคโนโลยีการเกษตร (AgriTech) เป็นคำตอบและโอกาสของการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เป็นตัวขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ช่วยให้เกษตรกร และผู้ประกอบการสามารถเพิ่มผลผลิต สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น และสามารถปรับตัวทันต่อสภาวะตลาดและกฎการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

นายธีรพงษ์ วิชญเรืองรมย์ รองกรรมการผู้จัดการ ด้าน Strategic and Digital Transformation เป็นผู้แทนของ AXONS ร่วมแบ่งปันข้อมูล ความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะการนำโซลูชันด้านเทคโนโลยีทางการเกษตรเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของภาคเกษตรกรรมไทยร่วมกับเอกชนในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลของไทย ในงานประชุมเชิงปฏิบัติการ Horizon 2030 Collaborating for Digital Tomorrow จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีตัวแทนจากกว่า 100 องค์กรชั้นนำทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนจากแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมมาร่วมระดมสมองและให้ข้อเสนอแนะ ในรูปแบบ Round Table Discussion นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ใน 10 หัวข้อ เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

นายธีรพงษ์ กล่าวว่า AXONS ได้ร่วมให้ความคิดเห็นและคำแนะนำในหัวข้อ Agriculture Tech เพื่อเห็นความจำเป็นในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรและความท้าทายที่เกิดขึ้น ตลอดจนแนวทางการแก้ไขเพื่อสนับสนุนให้ภาคเกษตรกรรมของไทยมีความทันสมัย คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และข้อสรุปเบื้องต้นจากการระดมสมอง มีความเห็นร่วมกันว่าประเทศไทยมีภูมิประเทศและสภาพอากาศที่เอื้อต่อการทำการเกษตรมาก มีการผลิตสินค้าเกษตรที่หลากหลายทั้งภาคการเพาะปลูกและภาคปศุสัตว์ ซึ่ง AgriTech หรือ เทคโนโลยีทางการเกษตร จะเป็นคำตอบของการเกษตรไทยในอนาคต ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการผลิตทั้งเรื่องปริมาณและคุณภาพของผลผลิต เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันเพื่อรองรับจำนวนประชากรที่มีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึงการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่อาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงาน มีการใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งน้ำ ปุ๋ย พื้นที่เพาะปลูก ช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้า ช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับตัวรับกับเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในปัจจุบัน ประเทศที่พัฒนาแล้วที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ โดรน หุ่นยนต์ เทคโนโลยี IoT สำหรับประเทศไทยแม้ว่าเริ่มนำเทคโนโลยีทางการเกษตรมาใช้แล้ว แต่ยังไม่แพร่หลาย จากความท้าทายคือ ต้นทุนค่อนข้างสูง ยังไม่คุ้มกับการลงทุน และที่สำคัญเกษตรกรยังเข้าถึงแหล่งทุนได้จำกัด

นายธีรพงษ์ กล่าวเสริมว่า AXONS เป็นผู้นำด้านการพัฒนา AgriTech ในระดับสากล ตระหนักดีว่า AgriTech มาช่วยยกระดับมาตรฐานการผลิตและการทำงานของบริษัทชั้นนำอย่าง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ตลอดจนบริษัทในเครือซีพี และภาคเกษตรไทยสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ได้หลากหลายรูปแบบ อาทิ การใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมร่วมกับการใช้ IoT ช่วยวิเคราะห์ธาตุอาหารดิน นำไปสู่การเลือกปลูกพืชที่เหมาะสม การใช้โดรนถ่ายภาพช่วยการวิเคราะห์ปัญหาแปลงปลูกเพื่อใช้ปัจจัยทางการผลิตได้แม่นยำ การพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นผู้ช่วยเกษตรกร ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อช่วยแก้ปัญหาต่างๆ วิเคราะห์อาการโรคของพืชและสัตว์ หรือควบคุมกระบวนการผลิตประหยัดแรงงาน และค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นต้น

ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมฯ จะรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาของผู้เข้าร่วมงานไปสรุปแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเพื่อนำเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” หนุนน้องๆ สร้างคลังอาหารที่ยั่งยืน

0

การมีโภชนาการที่ดี สุขภาพแข็งแรง เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กในวัยเรียน โดยเฉพาะเยาชนในพื้นที่ทุรกันดารและชนบทห่างไกล ที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกายช้า ไม่สมวัยแล้ว ยังกระทบต่อพัฒนาการทางสมองด้วยเด็กๆ ด้วย

เป็นเวลา 36 ปีแล้ว ที่เครือซีพี ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF และ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ดำเนิน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” เพื่อสนับสนุนให้น้องๆ มีภาวะโภชนาการที่ดี สุขภาพแข็งแรง ห่างไกลจากภาวะทุพโภชนาการ เพราะได้รับประทานไข่ไก่ ที่มีโปรตีนสูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และเป็นไข่ไก่ ที่ได้จากจากฝีมือการดูแลของพวกเขาเอง

ขณะเดียวกัน โรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ ยังเปรียบเสมือนห้องเรียนอาชีพ ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร การจัดการผลผลิต นำไปสู่ความยั่งยืนของโครงการฯ นักเรียนทุกคนได้ศึกษานอกห้องเรียน ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ จากโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ ได้ลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอน กลายเป็นพื้นฐานความรู้ติดตัวพวกเขาตลอดไป นอกจากนี้ ไข่ไก่ สด สะอาด ปลอดภัย ส่วนที่เหลือ ยังกลายเป็น “คลังอาหารให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน” อีกด้วย

นับตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบัน มีโรงเรียนร่วมโครงการ 959 แห่งทั่วประเทศ ที่ CPF ให้การสนับสนุน ทั้งโรงเรือน พันธุ์ไก่ไข่ อาหารและอุปกรณ์ พร้อมทั้งส่งสัตวบาลผู้เชี่ยวชาญมาถ่ายทอดความรู้ เทคนิควิธีการเลี้ยงที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ การบริหารการเงิน การตลาดและจัดจำหน่าย ที่น้องๆ สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันและต่อยอดสู่อาชีพในอนาคตได้

ปัจจุบัน มีนักเรียน 213,794 แสนคน ครูและบุคลากรทางการศึกษา 16,086 คน และชุมชนอีก 2,374 แห่ง ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ นี้ และยังคงขยายความสำเร็จของโครงการฯอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการที่ดีให้แก่เด็กนักเรียน สร้างคลังอาหารในโรงเรียนและชุมชนอย่างยั่งยืน./

เมืองไทยประกันชีวิต เปิดตัว“66 Tower” ทำเลทองย่านสุขุมวิท รุกธุรกิจอาคารออฟฟิศให้เช่า

0

เมืองไทยประกันชีวิต จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ เปิด “66 TowerThe Living Workplace Solution อาคารออฟฟิศ  เกรดเอ สูง 28 ชั้น ย่านสุขุมวิท สร้างขึ้นภายใต้แนวคิด “Human Centric Living Workplace” ที่เน้นการออกแบบพื้นที่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง พร้อมโดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพ และง่ายต่อการเชื่อมต่อเศรษฐกิจชั้นในไปสู่ CBD Area  ตอบโจทย์ออฟฟิศสำหรับคนยุคใหม่  

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า อาคาร 66 TowerThe Living Workplace Solution  เป็นโครงการอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอ ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท ใกล้ซอยสุขุมวิท 66 ภายใต้คอนเซปต์ Human Centric Living Workplace  มุ่งเน้นออกแบบพื้นที่โดยเน้นผู้ใช้งานอาคารเป็นศูนย์กลาง บนเนื้อที่ 4-2-32  ไร่ สูง 28 ชั้น พื้นที่เช่าทั้งหมดประมาณ 30,000 ตารางเมตร  โครงการได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนตุลาคม ในปี 2564 ที่ผ่านมา โดยมีบริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CBRE เป็นตัวแทนในการปล่อยเช่าพื้นที่สำนักงานหลักของโครงการ ปัจจุบันมีอัตราการปล่อยเช่า (Occupancy Rate)    อยู่ที่ระดับ 60%  

โดย 66 Tower มีจุดเด่นที่หลากหลาย ทั้งด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมที่เน้นความทันสมัยควบคู่ไปกับความยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์การใช้พื้นที่ของผู้เช่า โดยโครงการเลือกใช้วัสดุที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและจัดให้มีพื้นที่สีเขียวในโครงการ สถานที่ตั้งซึ่งอยู่บนทำเลถนนสุขุมวิท ใกล้ซอยสุขุมวิท 66 ทำเลศักยภาพง่ายต่อการเชื่อมต่อย่านธุรกิจเศรษฐกิจชั้นใน  (CBD: Central Business District) โซนธุรกิจอุตสาหกรรม รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC: Eastern Economic Corridor) อีกทั้งสะดวกต่อการเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้าที่มีการสร้างสะพานเชื่อมโดยตรงกับรถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) สถานีอุดมสุข เข้ามายังตัวตึก รถโดยสารประจำทาง รวมถึงยังใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน ทั้ง 3 สาย (ทางด่วนเฉลิมมหานคร ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนบูรพาวิถี) และสามารถเดินทางไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้อย่างรวดเร็ว

ในโครงการยังเน้นความสำคัญของความสะดวกสบายในโครงการเพื่อให้การดำเนินธุรกิจของผู้เช่าเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด ได้แก่ การออกแบบพื้นที่เช่าในรูปแบบ Column Free Design  หรือพื้นที่เช่าแบบเปิดโล่งไม่มีเสากั้นกลางระหว่างพื้นที่      ทำให้ใช้พื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเกือบเต็ม 100% เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งาน และรองรับการเติบโตของธุรกิจของผู้เช่า มีสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางเมื่อเทียบกับขนาดพื้นที่ที่มากกว่าอาคารสำนักงานทั่วไป     เช่น จำนวนห้องน้ำ จำนวนลิฟท์โดยสาร เป็นต้น เพื่อให้ผู้เช่าได้รับความสะดวก รวดเร็ว ลดความแออัดในการใช้สอยพื้นที่ส่วนกลาง โครงการมีพื้นที่ Co-Working Space และห้องประชุมให้เช่าไว้อำนวยความสะดวก ภายในอาคารยังได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย การจัดการพลังงาน และระบบการควบคุมคุณภาพอากาศภายในอาคารทั้งการกรองฝุ่น PM 2.5 และการฆ่าเชื้อโรคด้วยเทคโนโลยี UVGI (Ultraviolet Germicidal Irradiation)      ในระบบปรับอากาศ มาตรฐานเดียวกันกับที่ใช้ในโรงพยาบาลชั้นนำ และสนามบิน มาใช้อีกด้วย

นอกจากนี้  66 Tower  ได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการอสังหาริมทรัพย์ การันตีด้วยรางวัลต่างๆ ที่ได้รับอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ จนถึงปัจจุบัน ประกอบด้วย รางวัล “Award Winner Office Development Thailand และ Best Office Architecture Thailand จากงาน  Asia Pacific Property Awards ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นเลิศในด้านการพัฒนาและการออกแบบอาคารสำนักงาน  ในปี 2562-2563  ได้รับการรับรองมาตฐานสากลเป็นอาคารสีเขียว LEED Green Building Certification with Gold standard ที่เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นในด้านความยั่งยืนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในปี 2564  รางวัล  BSA Building Safety Awards 2022” ระดับ Gold โดยสมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร จากโครงการประกวดอาคารโดดเด่นด้านความปลอดภัย ในปี 2565 และได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารด้านเทคโนโลยี “WiredScore” ระดับ GOLD เป็นกลุ่มแรกของประเทศไทย เพื่อยืนยันความเป็นเลิศด้านการเชื่อมโยงดิจิทัลทั่วโลกที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล วัดจากความสามารถในการเชื่อมต่อ (Connectivity) โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ความพร้อม (Readiness) และ นวัตกรรม (Innovation) ซึ่งได้รับในปี 2566

“เราเข้าใจพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ใช้พื้นที่สำนักงาน ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งในแง่ของการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานแบบ hybrid-workplace และการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยในการทำงาน  และหาแนวทางในการประยุกต์ใช้ระบบบริหารอาคารให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งยังปรับเงื่อนไขการให้บริการต่างๆ ให้มีความยืดหยุ่นเพื่อสอดคล้องกับความต้องการของผู้เช่ามากขึ้น  ดังนั้น 66 Tower ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสะดวกต่อการเข้าถึงในเมืองและออกนอกเมืองได้สะดวก เหมาะกับทุกขนาดธุรกิจ ตั้งแต่ Start Up ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ต้องการพื้นที่อาคารสำนักงานที่มีคุณภาพและใส่ใจในการออกแบบเพราะเราคำนึงถึงผู้ใช้งานอาคารเป็นหลัก”   นายสาระ กล่าว

นางสาวรุ่งรัตน์ วีระภาคย์การุณ กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า “สถานการณ์ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯเริ่มมีความคึกคักในปีที่ผ่านมา และในอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่สำนักงานให้เช่าในตลาดเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 830,836 ตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสของผู้เช่าในการเลือกสำนักงานที่ตอบโจทย์ความต้องการ อีกทั้งจะทำให้ผู้เช่าได้เปรียบเป็นอย่างมากในการต่อรองหาเงื่อนไขการเช่าที่ดี อย่างไรก็ตาม อาคารสำนักงานยุคใหม่ที่ได้มาตรฐานระดับสากล คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 94% ของอาคารสำนักงานใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น มีเป้าหมายที่จะพัฒนาเพื่อให้เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่คำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รวมถึงมุ่งเน้นสุขภาวะที่ดีของผู้เช่าพื้นที่สำนักงานและผู้ใช้อาคารเป็นสำคัญ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มแรงกระตุ้นไปยังอาคารสำนักงานเก่าที่มีอายุมากกว่า 25 ปี ซึ่งมีอยู่มากกว่า 60% หากอาคารเดิมที่ได้รับการดูแลอย่างดีผ่านการซ่อมแซมปรับปรุงใหม่ให้รองรับกับมาตรฐานสากลจะสามารถรักษาจำนวนผู้เช่าบางส่วนไว้ได้ ทั้งนี้เรายังเห็นว่าในช่วงปลายปีที่ผ่านมามีความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่า      เทรนด์น่าจะดำเนินต่อไปอีกในปีนี้”

“ในส่วนของเทรนด์ที่ต้องจับตามองของตลาดอาคารสำนักงานยุคใหม่ คือการให้ความสำคัญกับนวัตกรรมที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน และให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและนำเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาใช้ เราจะเห็นได้ว่า บริษัททั้งไทยและต่างชาติจะยึดหลัก ESG (Environment, Social and Governance) และข้อกำหนดของสำนักงานเพื่อความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งให้ความสำคัญและมีแนวโน้มผลักดันแนวคิดการดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน หรือ ESG (Environmental, Social, and Governance) ด้วยการเลือกอาคารสำนักงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล สำหรับโครงการ 66 Tower มีการออกแบบพื้นที่สำนักงานตามมาตรฐานอาคารสำนักงานระดับเกรดเอ ซึ่งไม่เพียงแต่ได้รับการรับรองมาตฐานสากลเป็นอาคารสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ LEED ระดับ Gold แต่ยังได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารด้านเทคโนโลยี หรือ WiredScore ระดับ GOLD อีกด้วย ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สำคัญอีกประการหนึ่งของอาคารสำนักงาน”

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของอาคาร 66 Tower  สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.66-tower.com หรือติดต่อ ณ สำนักงานขาย หรือหากต้องการสอบถามเกี่ยวกับการเช่าอาคารสำนักงานหรือพื้นที่ค้าปลีก สามารถติดต่อได้ทางโทรศัพท์ 02-119-1500 หรือ 02-119-2712 วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 08.30 – 17.00 น. 

ครั้งแรกกับบัตรเดบิตที่คุ้มครองชีวิตกับบัตรเดบิตออมสินอุ่นใจ สมัครได้แล้วที่ออมสินทุกสาขา

0

? บัตรเดบิตออมสินอุ่นใจ..บัตรเดบิตใบแรกและใบเดียวที่คุ้มครองชีวิต! ค่าเบี้ยจิ๋ว ๆ เพียงวันละ 4.38 บาท แต่คุ้มครองครบ ผลประโยชน์คุ้ม✨
? สมัครเลยที่ธนาคารออมสินทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
รายละเอียดเพิ่มเติม > https://shorturl.asia/1wHFo

? คุ้มครองชีวิตสูงสุด 600,000 บาท
? คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ 30,000 บาท/อุบัติเหตุแต่ละครั้ง (ไม่จำกัดจำนวนครั้ง)
? ค่าธรรมเนียมคุ้มค่า 4.38 บาท/วัน
? คุ้มครองต่อเนื่องจนถึงอายุ 80 ปี

*เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารและบริษัทฯ กำหนด
⚠️ รับประกันภัยโดย บมจ.ทิพยประกันชีวิต
⚠️ ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

รู้เก็บรู้ออม : ESG ยั่งยืนยง!!

0

เดี๋ยวนี้ เรื่องของ ESG เป็นที่รับรู้และยอมรับของนักลงทุนในวงกว้าง การตัดสินใจเลือกลงทุนหุ้นตัวไหน ก็จะพิจารณาดูว่ากิจการนั้นมีการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG คือมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลมากน้อยเพียงใด เพราะการลงทุนในหุ้นยั่งยืนเดี๋ยวนี้ไม่ได้แปลว่ากิจการนั้นจะได้รับแค่คำชื่นชมจากการมีความรับผิดชอบเพียงอย่างเดียว แต่ยังแสดงถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีกลับมาอีกด้วย

ที่ผ่านมา “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” มีบทบาทสำคัญด้านการส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) เปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของกิจการ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ถือเป็นงานสำคัญที่จะสร้างความแข็งแรงให้กับตลาดทุนในระยะยาว

ข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของรายงานด้านความยั่งยืน เมื่อเร็วๆนี้ มีการเปิดเผยตัวเลขที่น่าสนใจจากฐานข้อมูลของ SET ESG data platform ระบบจัดการข้อมูลที่ตลาดหลักทรัพย์ฯพัฒนาขึ้นเพื่อให้เข้าถึงข้อมูลด้าน ESG พบว่าในปี 2023 มี บจ.ที่รายงานปริมาณการปล่อย GHG จำนวน 445 บริษัท (เท่ากับครึ่งหนึ่งของ บจ.ทั้งหมดใน SET และ mai ที่มีอยู่รวม 835 บริษัท) โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 30%

ส่วนปริมาณการปล่อย GHG ในปีล่าสุด มีตัวเลขลดลง 6.1% จากปีก่อน คิดเป็น 634 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีปริมาณการปล่อย GHG สูง ได้แก่ กลุ่มพลังงาน, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มบริการ และยังพบว่าปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะมีสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกับการใช้พลังงานไฟฟ้าอีกด้วย

เป็นเรื่องน่ายินดีที่จำนวน บจ.ที่รายงานปริมาณการปล่อย GHG เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ตัวเลขปริมาณการปล่อย GHG ก็ต่ำลง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้มีจำนวน บจ.เปิดเผยข้อมูลนี้เพิ่มมากขึ้นนั้น มาจากมาตรการสนับสนุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวระบบจัดการข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ เองที่อำนวยความสะดวกให้กับ บจ.ในการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ต่างๆ, มาตรการจูงใจอื่นๆ เช่น การลดค่าธรรมเนียม, การมอบรางวัลให้บริษัทที่มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ตลอดจนการให้ความรู้ และความร่วมมือกับองค์กรรัฐ/เอกชนที่เกี่ยวข้อง

รวมถึงมาตรการของภาครัฐที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ทำให้มี บจ.ที่ไม่ได้อยู่ใน SET ESG มีแรงจูงใจในการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG มากขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 43% เท่ากับจำนวน 339 บริษัท และล่าสุดกับการปรับเงื่อนไขของ TESG โดยเพิ่มเพดานลดหย่อนภาษีเป็น 3 แสนบาท กับลดระยะเวลาถือครองเป็น 5 ปี น่าจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้กับ บจ.มากขึ้นอีก

จากผลสำเร็จที่เกิดขึ้น สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ในการสร้างความโปร่งใส, ตระหนักรู้ และการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG ให้มากขึ้น ซึ่งอนาคตสามารถต่อยอดไปถึงธุรกิจใหม่ๆ เช่น ตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่จะทำให้ผู้ประกอบการบริหารจัดการการปล่อยมลพิษให้สอดคล้องกับแผนการลดภาวะโลกร้อนได้ดียิ่งขึ้น!

คุณนายพารวย