Home Blog Page 108

บังกี้ และ ซีพีเอฟ ส่งมอบกากถั่วเหลืองปลอดรุกป่าจากบราซิลถึงไทย เพิ่มความโปร่งใสระบบตรวจสอบย้อนกลับด้วยบล็อกเชน

0

บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บังกี้ จำกัด (BUNGE) คู่ค้ารายใหญ่ระดับโลก ส่งมอบ “กากถั่วเหลืองปลอดรุกพื้นที่ป่า” จากบราซิลถึงไทย “ล็อตแรก” จำนวน 185,000 ตัน ผ่านการเชื่อมต่อระบบตรวจสอบย้อนกลับของทั้งสองบริษัท และเพิ่มความโปร่งใสด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทในการจัดหาวัตถุดิบหลักทางการเกษตรอย่างรับผิดชอบ มาจากแหล่งที่ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า ร่วมปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ

บริษัท บังกี้ จำกัด (NYSE: BG) (“บังกี้”) และ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) หรือ บีเคพี ผู้จัดหาวัตถุดิบหลักอาหารสัตว์ให้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โชว์ความสำเร็จของความร่วมมือในการจัดหาถั่วเหลือง และวัตถุดิบจากถั่วเหลืองอย่างรับผิดชอบ ผ่านการเชื่อมต่อแพลตฟอร์มระบบตรวจสอบย้อนกลับถึงแปลงปลูกของเกษตรกรในบราซิล โดยดำเนินการทดสอบการเชื่อมต่อระหว่างการส่งมอบกากถั่วเหลืองจากบราซิลจำนวน 185,000 ตัน ซึ่งเดินทางถึงประเทศไทยในสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน 2567 นี้ นับเป็นถั่วเหลือง “ตู้แรก” จากบราซิล ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแปลงปลูกของเกษตรกรเป็นพื้นที่ที่ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า รวมทั้งเพิ่มความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทานด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน นอกจากนี้ บังกี้ยังเตรียมส่งมอบถั่วเหลืองปลอดการบุกรุกป่าอีกกว่า 180,000 ตันภายในเดือนกรกฎาคมนี้

นายไพศาล เครือวงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรุงเทพโปรดิ๊วส กล่าวว่า ความร่วมมือกับ บังกี้ รวมทั้งขยายผลไปถึงซัพพลายเออร์ และเกษตรกรทั่วโลก ผ่านการเชื่อมต่อระบบตรวจสอบย้อนกลับของสองบริษัทด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ช่วยให้กรุงเทพโปรดิ๊วสสามารถติดตามถั่วเหลืองตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตได้โดยอัตโนมัติ ตั้งแต่ การระบุแปลงเพาะปลูก การแปรรูป และการขนส่งจนถึงโรงงานอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของกรุงเทพโปรดิ๊วสในการจัดหาถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายของซีีพีเอฟด้านการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนและแนวปฏิบัติสำหรับคู่ค้าธุรกิจ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติตามความมุ่งมั่นว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและการต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่าตลอดห่วงโซ่อุปทาน

ทั้งนี้ แพลตฟอร์มการตรวจสอบย้อนกลับถั่วเหลืองยังช่วยให้กรุงเทพโปรดิ๊วสสามารถเข้าถึงข้อมูลการผลิตถั่วเหลือง เช่น ปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากห่วงโซ่อุปทานถั่วเหลือง รวมถึงการยืนยันข้อมูลของแปลงปลูกที่ประยุกต์ใช้ระบบเกษตรกรรมฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) เป็นต้น สำหรับการขับเคลื่อนสู่ Net-Zero ต่อไป

“การส่งกากถั่วเหลืองปลอดรุกพื้นที่ล็อตแรก ที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ตั้งแต่ต้นทางแหล่งเพาะปลูกในบราซิลจนถึงปลายทางที่ประเทศไทย นับเป็นก้าวสำคัญกรุงเทพโปรดิ๊วส สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการจัดการห่วงโซ่อุปทานของซีพีเอฟให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ยืนยันว่าวัตถุดิบอาหารสัตว์มาจากห่วงโซ่ที่ปลอดการตัดไม้ทำลายป่าได้ 100% ภายในปี 2025” นายไพศาล กล่าวเสริม

การส่งมอบกากถั่วเหลืองที่ปลอดจากการบุกรุกป่า เป็นผลจากการความร่วมมือระหว่างบังกี้ และกรุงเทพโปรดิ๊วสในด้านเทคนิค การค้า และการเชื่อมต่อระบบตรวจสอบย้อนกลับกับเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานถั่วเหลืองที่รับผิดชอบ เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2566 ที่ผ่านมา โดยข้อตกลงดังกล่าวครอบคลุม การจัดหาเมล็ดพืชน้ำมัน รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้จากเมล็ดพืชน้ำมันที่บังกี้จัดหาในบราซิล สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ซีพีเอฟในประเทศไทย และกิจการในต่างประเทศ

ด้าน นายโรสซาโน ดิ อันเจลิส จูเนียร รองประธานฝ่ายธุรกิจการเกษตรเขตอเมริกาใต้ ของ บังกี้ กล่าวว่า ความร่วมมือของบังกี้กับซีพีเอฟ ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและเพิ่มความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทานถั่วเหลือง ซึ่งบังกี้ได้กำหนดและพัฒนาการจัดหาถั่วเหลืองที่ตรวจสอบย้อนกลับได้มาตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อจัดหาผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนให้กับตลาดที่ต้องการสินค้าที่มาจากการจัดหาอย่างรับผิดชอบ

ระบบตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาถั่วเหลืองของบังกี้ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกในทวีปอเมริกาใต้กว่า 16,000 แปลง หรือประมาณ 20 ล้านเฮกตาร์ ใช้เทคโนโลยีดาวเทียมในการระบุและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและการปลูกถั่วเหลืองในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ บังกี้ กำหนดเป้าหมายสามารถตรวจสอบย้อนกลับถั่วเหลืองที่จัดหาในทางตรงและทางอ้อมในบราซิลปลอดการตัดไม้ทำลายป่าได้ภายในปี 2025 ปัจจุบัน ร้อยละ 97 ของปริมาณถั่วเหลืองที่จัดหาจากพื้นที่เสี่ยงของบังกี้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า และการเปลี่ยนแปลงในการใช้ที่ดินอย่างโปร่งใส

น้องๆ รร.บ้านหินดาด นครราชสีมา เรียนรู้ Coding โครงการดีๆจาก CONNEXT ED มี CPF ช่วยหนุน

0

ถึงแม้ว่าวิถีการดำเนินชีวิตของชุมชนบ้านหินดาด ต.หินดาด อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา จะพึ่งพิงอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ และเด็กๆในพื้นที่ อยู่ในบริบทของสิ่งแวดล้อมการเติบโตตามอัตลักษณ์ของชุมชน

แต่ด้วยยุคสมัยที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่สนับสนุนให้สถานศึกษาพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 เป็นการส่งเสริมโอกาสและยกระดับการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน

รร.บ้านหินดาด ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดกลาง เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีจำนวนนักเรียน 294 คน เป็นอีกหนึ่งโรงเรียนในโครงการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี ที่นำกระบวนการ Coding และ Robotics มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ภายใต้โครงการ “Coding Robotics Kids”

และกำหนดให้ Coding อยู่ในแผนการเรียนการสอน สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลายและมัธยมศึกษาตอนต้น โดยตั้งเป้าให้นักเรียนมีทักษะการเขียน โปรแกรมควบคุมบอร์ดสมองกล สามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาต่อและใช้ในชีวิตประจำวัน โดยมีวิทยากรจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาสนับสนุนการอบรมครูผู้สอน และมีผู้นำทางการศึกษารุ่นใหม่ (School Partner :SP) จากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่ชวนทีม Robot ของซีพีเอฟ และวิทยากรจากภายนอกมาร่วมสอนน้องๆ นักเรียน ฝึกให้นักเรียนมีทักษะการวางแผน คิดแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ด้วยกระบวนการ Coding Robotics

นายสหพันธ์ เปาจันทึก ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหินดาด เล่าว่า แม้โรงเรียนจะได้รับการสนับสนุนแท็บเล็ตจาก สพฐ. แต่วัสดุอุปกรณ์สำหรับการเรียนการสอน Coding ก็ยังไม่เพียงพอ จึงนำเรื่องนี้ปรึกษากับทีมผู้นำทางการศึกษารุ่นใหม่ของซีพีเอฟ ภายใต้โครงการคอนเน็กซ์ อีดี เสนอโครงการ Coding Robotics Kids และได้รับงบประมาณสนับสนุนจากซีพีเอฟ เพื่อจัดซื้อชุดการเรียนการสอน Coding ด้วยโปรแกรม Micro:bit นำมาต่อยอดการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ อาทิ ป. 3- ป.4 ให้เรียน Coding อย่างง่าย เช่น การต่อบล็อกควบคุมหุ่นยนต์ ชั้นป.5 เริ่มเรียนโปรแกรม Coding ไมโครบิท ต่อบล็อกโค้ด การทำงาน-ควบคุม-รับค่าเซ็นเซอร์ เปิดปิดไฟหรือวัดอุณหภูมิ ด้วย Coding ชั้นป.6 เรียนรู้การเขียน Coding การควบคุมหุ่นยนต์รถวิ่ง

“Coding สอนให้เด็กๆคิดวิเคราะห์ ฝึกทักษะคิดแก้ปัญหาเป็นกระบวนการ นำความรู้มาประยุกต์ใช้กับวิชาอื่นๆได้ ที่ผ่านมา จัดการสอนไปแล้ว 1 รุ่น มีนักเรียนประมาณ 40 คน ที่สามารถเขียน Coding อย่างง่ายได้ ภาคเรียนนี้จะสอนอีก1 รุ่น ประมาณ 40-50 คน ให้นักเรียนในชุมนุมการเขียนโปรแกรมด้วยไมโครบิท Coding เป็นพี่เลี้ยงส่งต่อความรู้ให้น้องๆ คาดหวังว่าในระยะต่อไป จะต่อยอดกระบวนการคิดจากบทเรียน สู่การทำสมาร์ทฟาร์มง่ายๆ” ผอ.สหพันธ์ กล่าว

ด.ญ.กัญญาพัชร แก้วขวาน้อย นักเรียนชั้นป.6 บอกว่า รู้สึกสนุกกับการเรียน Coding ได้ทำกิจกรรมเรียนรู้หลายอย่าง ที่สามารถนำความรู้ไปต่อยอด เช่น การทำโมเดลฟาร์มอัจฉริยะ ขอขอบคุณพี่ๆซีพีเอฟที่มอบโอกาสและสนับสนุนการเรียนรู้ดีๆ ขณะที่ ด.ญ.ปิ่นมาลา จินดามาตย์ เล่าถึงสิ่งที่ได้รับ นอกจากความรู้จากการเรียน Coding ยังสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการเรียนรู้วิชาอื่นได้ ดีใจมากที่มีพี่ๆซีพีเอฟเข้ามาสนับสนุนโครงการดีๆอย่างนี้ให้กับโรงเรียนของเรา ส่วน ด.ช.อภิณัฐ ตันกระโทก นักเรียนชั้นม.1 บอกว่า Coding ทั้งสนุกและให้ความรู้ที่นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ และยังได้ประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ สามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปช่วยชุมชนต่อไป

ซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนที่ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี เพื่อขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 สร้างเด็กดี มีคุณธรรม โดยล่าสุด ปีการศึกษา 2567 ซีพีเอฟสนับสนุนการดำเนินโครงการด้านวิชาการ และฝึกทักษะด้านวิชาชีพ 74 โรงเรียน ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสระบุรี ควบคู่กับเดินหน้าสร้างผู้นำทางการศึกษารุ่นใหม่ (SP) ซึ่งปัจจุบันมี SP ของซีพีเอฟรวม 93 คน ทำหน้าที่เป็นคู่คิด ร่วมทำงานกับผู้บริหารสถานศึกษาและคณะครู สู่เป้าหมายยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาของไทยและลดความเหลื่อมล้ำ

สินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน เปลี่ยนบ้านเป็นเงินพร้อมใช้ วงเงินกู้สูง ผ่อนสบาย บ้านยังอยู่ครบ

0

? ให้บ้านช่วยพลิกวิกฤตเป็นโอกาส มาเปลี่ยนบ้านเป็นเงินก้อนพร้อมใช้ ด้วยสินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน ผ่อนสบาย แถมบ้านยังอยู่ครบ ?
พบกับข้อเสนอสุดว้าว✨
? ผ่อนเริ่มต้น แสนละ 700 บาท/เดือน* (9 เดือนแรก)
? ดอกเบี้ยคงที่เริ่มต้น 3.99% ต่อปี (9 เดือนแรก)
? วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท
? เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายอเนกประสงค์
หมายเหตุ :

  • ปัจจุบัน MRR = 6.595% ต่อปี (ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 67 เป็นต้นไป) ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้
  • อัตราดอกเบี้ยคงที่เริ่มต้น 3.99% ต่อปี (9 เดือนแรก) สำหรับวงเงินกู้ตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป และทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด
  • อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) อยู่ระหว่าง 3.990% – 7.345% ต่อปี
  • อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) อยู่ระหว่าง 6.234% – 7.156% ต่อปี กรณีวงเงินกู้ต่ำกว่า 5 ล้านบาท คำนวณจาก วงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาชำระเงินกู้ 20 ปี แบบผ่อนชำระเท่ากันทุกงวด กรณีวงเงินกู้ตั้งแต่ 5 ล้านบาท คำนวณจาก วงเงินกู้ 5 ล้านบาท ระยะเวลาชำระเงินกู้ 20 ปี แบบผ่อนชำระเท่ากันทุกงวด
  • *ผ่อนเริ่มต้นแสนละ 700 บาทต่อเดือน (9 เดือนแรก) หลังจากนั้น แสนละ 800 บาท ต่อเดือน ดอกเบี้ยทั้งสัญญา 2,936,000 บาท คำนวณจากวงเงินกู้ 5 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี ผ่อนชำระแบบขั้นบันได โดยใช้อัตราดอกเบี้ยกรณีใช้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง หรือ ห้องชุดเป็นหลักประกัน วงเงินกู้ตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป กรณีทำประกันฯ เดือนที่ 1-9 = 3.99% เดือนที่ 10-24 = MRR-0.855% ปีที่ 3 เป็นต้นไป MRR-0.250%
  • รายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ที่เว็ปไซต์ www.gsb.or.th
    ?? ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. 67 – 15 ส.ค. 67
    ?? สมัครเลย คลิก > https://shorturl.asia/xvKOg
    ?? หรือที่ธนาคารออมสินทุกสาขา
    ⚠️ เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
    *รู้ก่อนกู้…กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว

GULF –AIS – สวพส. ร่วมชูพลังงานสะอาด ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ชุมชนห่างไกล​ ผ่านโครงการ “Green Energy Green Network for THAIs”

0

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF องค์กรชั้นนำด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานยั่งยืนในระดับภูมิภาค ผนึกกำลังร่วมกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายดิจิทัลชั้นนำของไทย พร้อมด้วย สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยในพื้นที่ห่างไกลให้เข้าถึงบริการโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ชูการนำจุดแข็งของทั้ง 2 องค์กรภาคเอกชน และการผสานกำลังกับภาครัฐอย่าง สวพส. ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมบนพื้นที่สูงของประเทศ มาร่วมกันส่งมอบพลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ ที่ผลิตโดยพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ให้แก่ชุมชน พร้อมติดตั้งสถานีฐานโดยใช้แหล่งพลังงานจากแสงอาทิตย์เชื่อมต่อระบบเครือข่ายสัญญาณดิจิทัลสำหรับชุมชน

ผ่านโครงการ Green Energy Green Network for THAIs พลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทย นำร่อง 2 พื้นที่ห่างไกล ชุมชนบ้านดอกไม้สด และ ชุมชนมอโก้โพคี ต.แม่อุสุ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก พร้อมตั้งเป้าการทำงานร่วมกันมุ่งขยายผลโครงการต่อเนื่องในพื้นที่ห่างไกล ขาดแคลนสาธารณูปโภคด้านพลังงานไฟฟ้าและระบบสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างการเติบโตร่วมกันของเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS อธิบายต่อไปอีกว่า “จากความมุ่งมั่นในการก้าวสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา AIS เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้มีความแข็งแรง มีความพร้อมมากพอที่จะเชื่อมต่อการทำงานกับทุกภาคส่วนเพื่อสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจแบบร่วมกัน (Ecosystem Economy) เพราะเราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าระบบสื่อสารโครงข่ายดิจิทัลเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างโอกาสให้กับผู้คนให้เข้าถึงความรู้ใหม่ๆ ที่สามารถต่อยอดการใช้ชีวิตเพื่อสร้างคุณค่าหลากหลายด้านได้อย่างมากมายภายใต้การเปลี่ยนแปลง

การทำงานร่วมกับ GULF และ สวพส. ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ AIS ในทุกด้าน ทั้งการพัฒนาโครงข่ายดิจิทัลขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน เราทลายข้อจำกัดในการขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมการใช้งาน เพื่อสร้างการเข้าถึงดิจิทัลให้คนไทยทุกกลุ่ม โดยใช้เทคโนโลยีและแหล่งพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์มาใช้ในการบริหารจัดการระบบสื่อสารเพื่อส่งมอบโครงข่ายดิจิทัลไปยังชุมชนในพื้นที่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างสะดวกสบาย เข้าถึงแหล่งความรู้และบริการต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และสาธารณสุข รวมถึงสวัสดิการของภาครัฐ ด้วยโครงข่ายดิจิทัลจากโครงการนี้  โดย AIS และพาร์ทเนอร์จะมีการทำงานและติดตามความเปลี่ยนแปลงในแต่ละชุมชนอย่างต่อเนื่องผ่านการทำ Social Impact Assessment หรือประเมินผลลัพธ์ทางสังคมต่อประโยชน์ของโครงการนี้ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในมิติต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าชุมชนจะได้รับการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับบริบทและภูมิปัญญาของชุมชนนั้นๆอย่างแท้จริงและยั่งยืน ดังเช่น ชุมชนมอโก้โพคี หนึ่งในหลายชุมชนที่ได้เข้าถึงระบบไฟฟ้าโซล่าร์เซลล์และระบบสื่อสารดิจิทัลของโครงการนี้ จะมีโอกาสในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการผลิตเมล็ดกาแฟและการพัฒนาช่องทางการตลาดให้เป็นที่รู้จักได้มากขึ้น ตามเป้าหมายของผู้นำชุมชนที่ได้รวมกลุ่มคนในชุมชนเปลี่ยนจากการปลูกไร่ข้าวโพดมาปลูกเมล็ดกาแฟ โดยหวังให้เมล็ดกาแฟของชุมชนเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดที่กว้างขวางขึ้น อันจะสร้างรายได้สู่คนในชุมชนได้อย่างมั่นคง”

นางสาวธีรตีพิศา เตวิชพศุตม์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านปฏิบัติการ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชนกล่าวว่า “จุดเริ่มต้นของโครงการนี้ เกิดจากการที่ GULF และ GULF1 บริษัทในเครือ นำร่องติดตั้งชุดอุปกรณ์ระบบโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ทุรกันดารตั้งแต่ปี 2566 ใน 3 พื้นที่ ได้แก่ บ้านห้วยน้ำไซ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก เกาะทุ่งนางดำ อ.คุระบุรี จ.พังงา และบ้านดอกไม้สด อ.ท่าสองยาง จ.ตาก รวมถึงมีทีมวิศวกรจาก GULF1 ให้ความรู้ด้านการบำรุงรักษาและวิธีการใช้งานชุดอุปกรณ์โซลาร์เซลล์แก่ชุมชน เพื่อให้สามารถใช้งานระบบโซลาร์ได้อย่างยั่งยืน เมื่อได้ลงพื้นที่จริง และพูดคุยกับชุมชนถึงปัญหาในการสื่อสารกับคนภายนอกพื้นที่ จึงเล็งเห็นการต่อยอดโครงการโดยการชักชวนพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง AIS เพื่อผนึกกำลังขยายสัญญาณสื่อสาร มอบโอกาสในการเข้าถึงพลังงานและเทคโนโลยีดิจิทัล มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสทางการศึกษา การพัฒนาอาชีพ และการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข รวมถึงสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของ GULF ในการขับเคลื่อนให้สังคมมุ่งสู่อนาคตคาร์บอนต่ำผ่านการใช้พลังงานสะอาดอีกด้วย

ในปีนี้ ทาง GULF ได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไปแล้วใน 3 พื้นที่ ได้แก่ ดอยมอโก้โพคี อ.ท่าสองยาง จ.ตาก บ้านแม่ตอละ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน บ้านผีปานเหนือ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ สำหรับพื้นที่ดอยมอโก้โพคีนั้น เดิมชาวบ้านมอโก้โพคีประกอบอาชีพปลูกข้าวโพดเป็นหลัก ทำให้มีการทำลายป่าเป็นวงกว้าง และยังทำลายสุขภาพผู้ปลูกเนื่องจากการใช้สารเคมี  นอกจากนั้น การเผาในฤดูเก็บเกี่ยวยังก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 อีกด้วย  ซึ่งทาง GULF ได้ร่วมมือกับผู้นำชุมชนสานต่องานรักษาผืนป่าและพัฒนาอาชีพในการปลูกกาแฟให้กับคนในชุมชน GULF จึงได้เข้าไปสร้างโรงเรือนสำหรับการแปรรูปเมล็ดกาแฟและติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ เพื่อให้กระบวนการล้างทำความสะอาด คัดแยก และสีกาแฟ มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยการใช้พลังงานสะอาด สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ชาวบ้านมีความเชื่อมั่นในการปลูกกาแฟมากขึ้น เพิ่มโอกาสที่จะสร้างรายได้แก่ชุมชน และในอนาคตชุมชนจะพัฒนาไปสู่การแปรรูปกาแฟด้วยตนเอง นับว่าเป็นช่องทางการสร้างอาชีพและการรักษาป่าควบคู่กันอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ GULF ยังนำชาวบ้านจากดอยมอโก้โพคี ไปเรียนรู้ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ที่ จ.เชียงราย เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา นับว่าเป็นการช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนแห่งนี้ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำได้อย่างเป็นอย่างดี”

นายชวลิต ชูขจร ประธานกรรมการ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “ภารกิจสำคัญของ สวพส. คือ การนำความรู้ของโครงการหลวงไปพัฒนาให้ชุมชนบนพื้นที่สูงของประเทศมีความอยู่ดีมีสุข สามารถนำความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พึ่งพาตัวเองได้ นอกจากนี้ สวพส. ยังช่วยให้ชุมชนบนพื้นที่สูง เข้าถึงบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยร่วมมือกับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะโครงการ Green Energy Green Network for THAIs  ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ GULF และ AIS ในครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประชาชนบนพื้นที่สูงสามารถเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานทั้งไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และการสื่อสาร และยังสามารถ
ต่อยอดการทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ ทั้งบริการด้านสาธารณสุข การศึกษา การพัฒนาทักษะด้านอาชีพ หรือแม้กระทั่งการตลาด เพื่อให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สร้างประโยชน์ทั้งชุมชน เศรษฐกิจ และยังเป็นการดูแลรักษาฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนด้วย”

นายสมชัยกล่าวในช่วงท้ายว่า “เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการ Green Energy Green Network for THAIs พลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทย จะเป็นต้นแบบสำคัญของภาคธุรกิจไทยในการนำศักยภาพขององค์กรมาสร้างประโยชน์ที่จะช่วยดูแลด้านสิทธิมนุษยชน แก้ปัญหาทางสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงทั้งองค์ความรู้ใหม่ๆ และบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ที่จะนำมาสู่การเติบโตร่วมกันของผู้คน ชุมชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน”

ผู้เลี้ยงหมู หวั่นหมูเถื่อนตกค้าง แทรกแซงราคาหมูไทย จี้รัฐตรวจค้นซ้ำทั่วประเทศ

0

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ขอรัฐตรวจสอบหมูเถื่อนซ้ำทั่วประเทศและเร่งดำเนินคดี หวั่นยังมีตกค้างพร้อมระบายออกมากดราคาหมูไทยไม่ผ่านเส้นคุ้มทุน เกษตรกรเผชิญปัญหาต้นทุนการผลิตสูงสวนทางกับราคาที่ยังยืนอ่อน กดดันเกษตรกรต้องออกจากอาชีพ

นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า จากการที่สมาคมฯ ได้ร่วมสังเกตการณ์ตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง พร้อมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และกรมประมง ซึ่งเป็นตู้ตกค้างล็อตที่ 2 พบ “หมูเถื่อน” ซึ่งเป็นชิ้นส่วนแช่แข็ง ทั้งเนื้อหมูสามชั้นและเครื่องใน จำนวน 460 ตัน และได้ส่งมอบให้กรมปศุสัตว์เพื่อนำของกลางดังกล่าวไปทำลายฝังกลบตามขั้นตอนตามหลักวิชาการ เพื่อป้องกันโรคระบาด

สิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ

การเข้าตรวจค้นซ้ำที่ท่าเรือแหลมฉบัง เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 เป็นการขยายผลจากการจับกุมหมูเถื่อน 161 ตู้ เมื่อปลายปี 2566 ทำให้พบตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างอีก 92 ตู้ ในจำนวนนี้เป็นตู้ต้องสงสัยว่าเป็นหมูเถื่อน 16 ตู้ และมีการตรวจเพิ่มอีก 1 ตู้ รวมทั้งหมด 17 ตู้ ได้ของกลางหมูเถื่อนตามที่คาดการณ์ไว้ โดยในตู้สุดท้ายมีการซุกซ่อนมากับปลาทะเลแช่แข็ง

“หมูเถื่อนที่เข้ามาในประเทศไทยแม้จะจับกุมได้น้อยลงแต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มยังไม่สามารถปรับขึ้นข้ามเส้นคุ้มทุนไปได้ ซึ่งราคาหน้าฟาร์มขณะนี้อยู่ที่ 68-74 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ต้นทุนยังสูง 80-82 บาทต่อกิโลกรัม สวนทางกับการบริโภคของประชาชนที่ยังชะลอตัวตามเศรษฐกิจ” นายสิทธิพันธ์ กล่าว

นอกจากนี้เกษตรกรยังมีความยากลำบากในการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์ ค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน และปัจจัยการป้องกันโรค ล้วนทำให้ค่าใช้จ่ายในฟาร์มและต้นทุนการเลี้ยงหมูต่อตัวสูงขึ้น ขณะที่ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงขึ้นเฉลี่ยที่ 11.20 – 12 บาทต่อกิโลกรัม และไม่สามารถหาข้าวโพดได้ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาอากาศแปรปรวนผลผลิตมีน้อย โดยปกติไทยผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ปีละ 5 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการสูงถึง 8 ล้านตัน ต้องนำเข้าทดแทนส่วนขาดปีละ 3 ล้านตัน

ผู้เลี้ยงหมูไทยประสบปัญหาขาดทุนสะสมมานานกว่า 1 ปี หลังเผชิญวิกฤตราคาหมูตกต่ำในปี 2566 จากหมูเถื่อนที่ทะลักเข้ามาในประเทศมากกว่า 64,000 ตัน ต้นทางจากประเทศบราซิลและประเทศทางยุโรปที่มีต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 40-50 บาทต่อกิโลกรัม (ราคาหมูมีชีวิต) ซึ่งต่ำกว่าไทย 50% กดดันให้เกษตรกรไทยต้องยอมขายในราคาขาดทุน จนถึงขณะนี้มีเกษตรกรต้องเลิกอาชีพไปแล้วไม่น้อยกว่า 50,000 ราย

นายสิทธิพันธ์ กล่าวว่า อยากขอให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตรวจสอบหมูเถื่อนที่ยังตกค้างอยู่ในประเทศทั้งในห้องเย็นและท่าเรือต่างๆ โดยเฉพาะท่าเรือคลองเตย ที่ยังมีตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างอีกจำนวนหนึ่ง และเร่งดำเนินคดีกับผู้กระทำตามกฎหมายทุกคน เพราะหมูเถื่อนเป็นปัจจัยทำให้เกิดหมูส่วนเกิน ราคาหมูไทยจึงไม่เป็นไปตามกลไกตลาด เกษตรกรไทยไม่สามารถแข่งขันได้ และจนถึงขณะนี้ หมูเถื่อนที่เข้ามานานกว่า 1 ปี เป็นหมูที่หมดอายุ ไม่เหมาะกับการบริโภค ที่สำคัญไม่ผ่านการตรวจสอบสารตกค้าง สารปนเปื้อน โดยเฉพาะสารเร่งเนื้อแดง ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ทำให้คนไทยอยู่ในภาวะเสี่ยง จึงจำเป็นต้องปราบปรามให้หมดสิ้น เพื่อยกระดับความปลอดภัยทางอาหารของคนไทยและสนับสนุนผู้เลี้ยงหมูไทยมีกำลังใจสานต่ออาชีพเลี้ยงหมูต่อไป

ซีพี-ซีพีเอฟ ขับเคลื่อน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ปีที่ 36 หนุนโภชนาการที่ดี-สร้างแหล่งอาหารยั่งยืนให้เยาวชน

0

เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกับ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เดินหน้า “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” สู่ปีที่ 36 บรรลุเป้าหมาย “หนุนโภชนาการที่ดี-สร้างแหล่งอาหารยั่งยืน” แก่เด็กและเยาวชนทั่วประเทศ ปักหมุดขยายโครงการในโรงเรียน 1,000 แห่งทั่วประเทศ ภายในปี 2568

นายจอมกิตติ ศิริกุล ผู้บริหารสูงสุด สายงานด้านบริหารกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า เครือซีพี ซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ร่วมกันดำเนิน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบัน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในชนบทห่างไกลทั่วประเทศ ช่วยเสริมสร้างโภชนาการที่ดีและการเติบโตสมวัย ทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา โดยมีเป้าหมายขยายโรงเรียนเพิ่มขึ้นปีละ 25 แห่ง

ปัจจุบัน มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการฯ รวม 959 โรงเรียนทั่วประเทศ มีนักเรียน 213,794 คน รวมทั้งครูและบุคลากรทางการศึกษา กว่า 16,086 คน และชุมชน 2,374 แห่ง ได้เรียนรู้ทักษะการเลี้ยงไก่ไข่ ตลอดจนสร้างสมหลักความคิด สุขภาพ การเงิน และการจัดการอาชีพในอนาคต ขณะเดียวกันยังประยุกต์กิจกรรมสู่การเรียนการสอน ส่งผลให้นักเรียนได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร ขณะเดียวกันซีพีเอฟยังได้จัดจ้างผู้พิการช่วยงานในโรงเรียนที่ร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ จนถึงปัจจุบันมีการทำสัญญาจ้างงานคนพิการไปแล้วรวม 482 คน

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ร่วมแก้ปัญหาทุพโภชนาการแก่เด็กและเยาวชน พบว่าภาวะทุพโภชนาการของนักเรียนที่ร่วมโครงการฯ จากร้อยละ 25.8 ในปี 2564 ลดลงเหลือร้อยละ 22.8 ในปี 2565 และเป็นการสร้างห้องเรียนอาชีพจากการเรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร นำไปสู่การสร้างคลังเสบียงอาหารในโรงเรียนและชุมชนใกล้เคียง ผลผลิตไข่ไก่ที่จำหน่ายให้แก่ชุมชน ทำให้คนในชุมชนได้บริโภคไข่สดใหม่ในราคาย่อมเยาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เกิดเป็นรายได้หมุนเวียน ต่อยอดโครงการต่อเนื่อง เกิดเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน” นายจอมกิตติ กล่าว

ทางด้าน นายสมคิด วรรณลุกขี ผู้อำนวยการใหญ่ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟมุ่งสนับสนุนให้โรงเรียนสามารถสร้าง แหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพดีด้วยฝีมือของนักเรียน เพื่อให้เกิดการพัฒนาระบบการบริหารจัดการผลผลิตนำไปสู่ความยั่งยืนของโครงการฯ โดยบริษัทเป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เยาวชน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการฟาร์มขนาดเล็กได้ด้วยตนเอง ด้วยการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี นำระบบการเลี้ยงและองค์ความรู้การจัดการมาตรฐาน พร้อมทั้งส่งนักสัตวบาลเข้าสนับสนุนวิชาการตั้งแต่เริ่มต้นเลี้ยงจนถึงปลดแม่ไก่ไข่ รวมถึงแนะนำการจำหน่ายและตลาด เพื่อให้โครงการฯดำเนินการได้โดยมีผลกำไรเพียงพอสำหรับการบริหารให้มีเงินทุนส่งให้รุ่นต่อไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงเรียนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังส่งเสริมด้านการสื่อสารและการจัดการข้อมูล ด้วยการใช้แอปพลิเคชัน LINE เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการสื่อสาร มีการรวบรวมข้อมูลทางออนไลน์ด้วยกูเกิลฟอร์ม (Google Form) ช่วยให้รับทราบข้อมูลที่รวดเร็ว ทำให้สามารถการวางแผนการผลิตได้อย่างเหมาะสม

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน มีเยาวชนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียน และเด็กๆยังได้เรียนรู้นอกตำรา เกิดประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติจริง ยังเป็นการสร้างห้องเรียนอาชีพ ให้น้องๆได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต จนถึงการจำหน่าย ที่สามารถนำไปต่อยอดเป็นวิชาชีพในอนาคต” นายสมคิด กล่าว

สำหรับโรงเรียนที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถติดต่อขอข้อมูลได้ที่ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท http://www.cp-foundationforrural.org โทร. 063-871-6545 หรือ 092-870-0783

ซีพีเอฟ ย้ำ เลี้ยงหมูตามม.สากล ผ่านการตรวจสอบสารตกค้าง ปลอดภัยต่อผู้บริโภค

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งมั่นผลิตอาหารปลอดภัยตามมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ ควบคู่การใช้ยาต้านจุลชีพอย่างรับผิดชอบและสมเหตุผล ผลิตเนื้อหมูปลอดภัย ผ่านการตรวจสอบสารตกค้าง สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานบริการวิชาการสุกร ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยในชีวิตและการมีสุขภาพดีของผู้บริโภคทั่วโลก ตลอดจนมุ่งมั่นพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการตามมาตรฐานสากล ปลอดภัยต่อการบริโภค และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ มีแนวทางปฏิบัติตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหารโปรตีนและดูแลสัตว์ในฟาร์มให้มีความเป็นอยู่สุขสบาย มีอาหารและน้ำพอเพียงตามมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ 5 ประการ และได้รับการตรวจประเมิน ทั้งจากหน่วยงานภายในและหน่วยงานอิสระภายนอก เพื่อให้มั่นใจถึงการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างเหมาะสมและมีมนุษยธรรม สอดคล้อง ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อกำหนดและข้อบังคับของประเทศผู้ผลิตและประเทศคู่ค้า

น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังได้ประกาศวิสัยทัศน์การใช้ยาต้านจุลชีพในสัตว์ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติด้านการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างรับผิดชอบและเหมาะสม ครอบคลุมทั้งฟาร์มของบริษัทและฟาร์มของเกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์ม โดยสัตวแพทย์จะต้องมีใบสั่งยาจึงจะทำการร้กษาสัตว์ได้ ไม่มีการใช้สารใดๆ ที่เป็นข้อห้ามทางกฎหมายทั้งหมด และมีการควบคุมกำกับอย่างเข้มงวด มีข้อกำหนด มีระยะหยุดยาที่เหมาะสม และผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่า เนื้อหมูจากฟาร์มสุกรของ ซีพีเอฟ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ปลอดภัยต่อการบริโภค ขณะเดียวกันบริษัทยังให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อลดภาวะเชื้อดื้อยา

สำหรับการเลี้ยงสุกร ของ ซีพีเอฟ ให้สุกรมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ตามธรรมชาติ มีสุขภาพดี โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ มีหลักการสำคัญ 5 ประการ คือ

  • สายพันธุ์สุกรที่ดี แข็งแรงเติบโตได้ดี โดยที่ไม่ต้องใช้สารเร่งการเจริญเติบโต
  • อาหารที่ดี คุณค่าทางโภชนาการตรงตามความต้องการ เหมาะกับแต่ละช่วงอายุ เพื่อให้สุกรเจริญเติบโตเต็มที่ พร้อมเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้กับสุกรมีสุขภาพแข็งแรงด้วย โปรไบโอติก
  • โรงเรือนที่ดี โรงเรือนระบบปิด ปรับอากาศให้โรงเรือนเย็นสบายด้วยการระเหยของน้ำ (Evaporative Cooling System : EVAP) พร้อมใช้เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติต่างๆ เข้ามาช่วยในการเลี้ยง เพื่อให้สุกรอยู่อย่างสุขสบาย และมีสุขภาพดี เติบโตเต็มที่ ไม่เครียดไม่เจ็บป่วย
  • การจัดการฟาร์มที่ดี ยึดหลักมาตรฐานฟาร์มของกรมปศุสัตว์ โดยการเลี้ยงดูทุกขั้นตอนมีสัตวแพทย์ และสัตวบาลคอยควบคุมดูแล
  • ระบบการป้องกันโรคในสุกรที่ดี ซีพีเอฟ ใช้ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรค ปลอดจากโรคระบาดสัตว์และโรคระบาดในมนุษย์

“กระบวนการผลิตของ ซีพีเอฟ ทั้งหมด มุ่งเน้นการควบคุมและป้องกันโรคทุกชนิด นอกจากมีสัตวบาลคอยดูแลสุกร ยังมีสัตวแพทย์คอยควบคุมดูแลเรื่องการป้องกันและควบคุมโรคในฟาร์มทั้งหมด ทุกขั้นตอนควบคุมโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในทุกส่วน เมื่อสัตว์ไม่มีโรค สุขภาพดี ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฎิชีวนะเพื่อรักษา ซึ่งเป็นผลดีส่งถึงผู้บริโภค” น.สพ.ดำเนิน กล่าว

สำหรับหลักสวัสดิภาพสัตว์ 5 ประการ ประกอบด้วย

  1. ปราศจากความหิว กระหาย และการให้อาหารที่ไม่ถูกต้อง
  2. ปราศจากความไม่สะดวกสบาย อันเนื่องมากจากสภาวะแวดล้อม
  3. ปราศจากความเจ็บปวดและโรคภัย ต้องมีระบบการป้องกันโรคที่เหมาะสม หรือหากได้รับการวินิจฉัยว่าเจ็บป่วยจะได้รับการรักษาที่จำเป็น
  4. ปราศจากความกล้วและความทุกข์ทรมาน และภาวะเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ
  5. มีอิสระในการแสดงออกในพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์ เช่น พฤติกรรมการขุดคุ้ย

รู้เก็บรู้ออม : SET IN THE CITY 2024

0

กลับมาแล้วสำหรับงานมหกรรมการเงินการลงทุนที่คอลงทุนถามหาและตั้งตารอกันทุกปี นั่นคือ SET IN THE CITY 2024 ปีนี้มาในธีม “หาโอกาสในตลาดทุน สร้างพอร์ตการลงทุนให้เติบโต” อีเวนต์การเงินการลงทุนที่ครบที่สุดแห่งปี โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีกำหนดจัดงานขึ้นในวันที่ 15 และ 16 มิถุนายน 2567 ที่สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ตั้งแต่เวลา 10.00–19.00 น.

ตลอดงานทั้งสองวัน ผู้เข้าร่วมงานจะได้พบกับ 50 หัวข้อสัมมนา และเวิร์กช็อปลงทุนแบบอัดแน่นจัดเต็ม, กูรูตัวจริงเรื่องการลงทุนกว่า 50 ชีวิตมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ ตลอดจนรับบริการและคำแนะนำต่างๆ เช่น เปิดพอร์ตลงทุน, ปรับ-จัดพอร์ตลงทุน, วางแผนลงทุน จาก 50 บูธของโบรกเกอร์ บลจ. และผู้เชี่ยวชาญที่ขนทัพกันมาออกบูธภายในงานนี้

“คุณนายพารวย” เห็นหัวข้อสัมมนาแล้ว ต้องกาปฏิทินรอไว้เลย เพื่อจะได้ไม่พลาด เพราะทุกหัวข้อสัมมนาล้วนน่าสนใจทั้งนั้น เหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาโอกาสในตลาดหุ้น เช่น “มองโอกาสของตลาดหุ้นไทย”, “THAI Top Theme เจาะหุ้นไทยกลุ่มไหนที่ได้ไปต่อ”, “ปรับพอร์ตลงทุน คัดหุ้น-ครึ่งปีหลัง” หรือจะเป็นการอัปเดตเทรนด์ และทางเลือกลงทุนใหม่ๆ ในหัวข้อสัมมนา “สร้างโอกาสทำกำไรในหุ้นนอก”, “จัดพอร์ต สร้างกำไร กระจายความเสี่ยงด้วยทอง”, “แก้เกมลงทุน เสริมพอร์ตหุ้นให้แกร่งด้วย TFEX”

ยิ่งเห็นชื่อกูรูที่มาร่วมพูดคุย ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีประสบการณ์ตัวจริงเสียงจริงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น “พี่ก้อย” วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ นักวางแผนการเงิน ที่มาร่วมพูดคุยในหัวข้อ “ทลายความคิด พิชิตเงินล้าน”, “หมอตุ้ย” พญ.อรพรรณ คงพันธุ์วิจิตร เจ้าของเพจหมอยุ่งอยากมีเวลา ในหัวข้อ “Growth Mindset ลงทุนแบบไหน ให้พอร์ตเติบโต” เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีเวิร์กช็อปที่จะมาสอนการใช้เครื่องมือลงทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมช่วยคัดหุ้น, ใช้ robot ช่วยจัดพอร์ต เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้กับนักลงทุนทั้งหน้าใหม่และเก่า และยังมีโปรโมชันมากมาย เตรียมไว้สำหรับผู้มาร่วมงานที่เปิดบัญชีลงทุนใหม่ภายในงาน จะเป็นหุ้น กองทุน หรือ TFEX จะได้รับของสมนาคุณติดไม้ติดมือกลับบ้านไปอีกด้วย พิเศษเฉพาะงานนี้เท่านั้น

ใครที่ไม่อยากพลาดสามารถลงทะเบียนร่วมงานล่วงหน้าได้แล้วที่ www.setinvestnow.com/setinthecity งานนี้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย แถมยังได้รับ กระเป๋าผ้า #investnow เอาไว้ใส่ของกระจุกกระจิก หรือเก็บไว้เป็นของสะสม อย่ารอช้า เพราะของมีจำนวนจำกัด

งานนี้ มือใหม่หัดลงทุน หรือนักลงทุนวัยเก๋า ที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่ๆ เพื่อสร้างให้พอร์ตเติบโต ห้ามพลาดเด็ดขาด งานนี้สมการรอคอยแน่นอน หากพลาดไป รออีกทีปีหน้าเลย แถมโอกาสดีๆ ก็จะหลุดลอยไปด้วย!!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ปิ๊งไอเดีย “สลากเกษียณ” แบบดิจิทัล จูงใจคนไทยออมเพือเกษียณ รางวัลที่หนึ่ง 1 ล.บาท

0

กระทรวงคลัง เตรียมเปิดตัว “สลากเกษียณ” ในรูปแบบสลากขูดดิจิทัล ขายผ่านกอช. ราคาใบละ50 บาท หวังจูงใจให้คนออมเงินเพื่อเกษียณ โดยเงินที่ซื้อสลากจะถูกออมในกอช. และไถ่ถอนได้เมื่ออายุครบ 60 ปี ออกรางวัลทุกวันศุกร์ รางวัลที่ 1 จำนวน 1 ล้านบาท 5 รางวัล คาดเริ่มปีหน้า 2568

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2567 ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันไทยมีปัญหาประชาชนเข้าสู่วัยเกษียณ แต่ไม่มีเงินเก็บ ปัญหานี้จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วของไทย และปัญหานี้แก้ไม่ได้ด้วยการอัดงบประมาณในรูปแบบเบี้ยคนชราจำนวนสูงๆ ซึ่งไม่มีทางรับไหว

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

ดังนั้น กระทรวงการคลังกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา “นโยบายสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ” หรือ “สลากเกษียณ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมเชิงนโยบายที่รวมเอาลักษณะการชอบเสี่ยงดวงของคนไทยมาเป็นแรงจูงใจในการเก็บออมที่สามารถถอนเงินที่ซื้อสลากทั้งหมดออกมาได้ตอนเกษียณ (อายุ 60 ปี) โดยมีรายละเอียดเบื้องต้น คือ

  1. กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ออกสลากขูดแบบดิจิทัล ใบละ 50 บาท ขายให้กับสมาชิก กอช. ผู้ประกันตน ม. 40 และแรงงานนอกระบบ (กลุ่มเป้าหมายจะเพิ่มเติมภายหลัง) ซื้อได้ไม่เกิน 3,000 บาท ต่อเดือน
  2. สามารถซื้อสลากได้ทุกวัน โดยออกรางวัลทุกวันศุกร์เวลา 17.00 น. ผู้ถูกรางวัลจะได้เงินรางวัลทันที โดยที่เงินค่าซื้อสลากถูกเก็บเป็นเงินออม แม้ว่าจะถูกรางวัลหรือไม่ก็ตาม
  3. รางวัลสลากเกษียน เบืื้องต้นกำหนดดังนี้
    • รางวัลที่ 1 จำนวน 1,000,000 บาท จำนวน 5 รางวัล
    • รางวัลที่ 2 จำนวน 1,000 บาท จำนวน 10,000 รางวัล
  4. เงินค่าซื้อสลากทั้งหมดจะเป็นเงินออมของผู้ซื้อสลาก (เงินสะสม) ซึ่งจะนำเงินส่งเข้าบัญชีเงินออมรายบุคคลกับ กอช. โดย กอช. จะเป็นผู้บริหารจัดการ และเมื่อผู้ซื้อสลากอายุครบ 60 ปี จะสามารถถอนเงินทั้งหมดที่ซื้อสลากออกมาได้

ทั้งนี้ นโยบายนี้เพื่อแก้ไขปัญหาคนไทยแก่แต่จน แก่แต่ไม่มีเงินเก็บ เพราะการออมภาคสมัครใจในปัจจุบันไม่ได้ผล ต้องอาศัยการออมที่ผูกกับแรงจูงใจซื้อสลาก ถูกกฎหมาย เงินไม่หาย กลายเป็นเงินออมยามเกษียณ ถูกรางวัลได้เงินเลย ไม่ถูกทุกบาททุกสตางค์จะถูกเก็บเป็นเงินออมยามเกษียณ สำหรับนโยบายนี้อยู่ระหว่างแก้ไขปรับปรุงกฒกหมาย และรับฟังความคิดเห็น ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา 6 เดือน-1 ปี

อย. ย้ำ ข้อความที่แชร์ในโซเชียลฯ ว่า “ดื่มน้ำจากขวดพลาสติกที่วางตากแดดไว้เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดเป็นมะเร็ง” ไม่เป็นความจริง

0

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เผยจากการที่มีการแชร์ข้อความผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ว่าห้ามดื่มน้ำจากขวดน้ำดื่มพลาสติกที่เก็บในรถยนต์ที่จอดตากแดด หรือที่ถูกวางตากแดดไว้เป็นระยะเวลานาน เพราะความร้อนจะทำให้สารเคมีอันตรายที่อยู่ในขวดพลาสติก เช่น สารไดออกซิน (Dioxin) สารบีสฟีนอลเอ (Bisphenol A หรือ BPA) และสารทาเลต (Phthalate) ละลายออกมาปนเปื้อนในน้ำดื่มเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ส่งผลต่อความผิดปกติของพันธุกรรม ทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งได้นั้น

ในความเป็นจริงแล้วในการผลิตขวดน้ำดื่มพลาสติกทั้งชนิดพอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (Polyethylene terephthalate; PET) พอลิพรอพิลีน (Polypropylene; PP) และพอลิคาร์บอเนต (Polycarbonate; PC) ไม่ได้มีการใช้สารไดออกซินและสารทาเลต

*** ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสปนเปื้อนสารพิษเหล่านี้ ***

สำหรับสารบีสฟีนอลเอ ถึงแม้ว่าจะมีการใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตพลาสติกชนิดพอลิคาร์บอเนต (polycarbonate; PC) แต่ อย. มีการกำหนดคุณภาพมาตรฐานของภาชนะบรรจุอาหารที่ทำจากพลาสติกชนิดต่าง ๆ ไว้แล้ว ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 435) พ.ศ. 2565 ออกตามความในพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ เรื่อง กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของภาชนะบรรจุที่ทำจากพลาสติก ที่จำเป็นต้องตรวจวิเคราะห์ด้านความปลอดภัย เช่น ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค ไม่มีสีออกมาปนเปื้อนกับอาหาร ควบคุมปริมาณการแพร่กระจายของโลหะหนัก ควบคุมปริมาณการแพร่กระจายของสารตั้งต้นและสารที่ใช้ในการผลิตพลาสติก เป็นต้น ซึ่งผู้ผลิตน้ำบริโภคบรรจุขวด ต้องใช้ภาชนะบรรจุที่มีคุณภาพหรือมาตรฐานเป็นไปตามที่ประกาศกำหนด

อีกทั้ง ปัจจุบันยังไม่มีรายงานการตรวจพบสารไดออกซินในพลาสติก และยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนว่าในที่อุณหภูมิสูงนั้นสารเคมีต่าง ๆ ที่ละลายออกมาจากขวดพลาสติกจะทำปฏิกิริยาจนเกิดเป็นสารไดออกซินได้ ที่ผ่านมาพบเพียงบางงานวิจัยเท่านั้นที่พบว่าขวดน้ำดื่มพลาสติกที่ตั้งไว้ในที่อุณหภูมิสูงเกิน 60 องศาเซลเซียส นานเป็นเวลาเกิน 11 เดือน จะทำให้สารทาเลต ละลายออกมาเกินมาตรฐานที่อียู(EU) กำหนดไว้

*** สรุป ข้อความที่ว่า “ดื่มน้ำจากขวดพลาสติกที่วางตากแดดไว้เป็นเวลานาน ทำให้เกิดเป็นมะเร็ง” #จึงไม่เป็นความจริง

ดังนั้นผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าการดื่มน้ำจากขวดน้ำดื่มพลาสติกที่เก็บในรถยนต์ที่จอดตากแดด หรือที่ถูกวางตากแดดไว้เป็นระยะเวลานานนั้น ไม่ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ต่อร่างกาย