Home Blog Page 108

ฟังข้อมูลอีกด้าน ไทยส่งออกปลาหมอคางดำกว่า 3 แสนตัว จี้รัฐเปิดชื่อผู้ส่งออก

0

บทความโดย โดย อุทก สาครกุล

กระแสปลาหมอคางดำในขณะนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นการกระตุ้นและเชิญชวนชาวบ้านในพื้นที่ที่พบปลาชนิดนี้ให้ได้ช่วยกันจับขึ้นมาใช้ประโยชน์ ได้เห็นความร่วมมือร่วมใจของหลายฝ่ายในการตามล่าปลาชนิดนี้แล้วก็เชื่อว่าอีกไม่นานประเทศไทยต้องสามารถควบคุมประชากรปลาหมอคางดำได้แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ เข้ามาทำให้ปลาเป็นหมัน ซึ่งน่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมในอีกไม่กี่ปี เมื่อประกอบกับมาตรการหลากหลายข้อที่กรมประมงและทุกภาคส่วนร่วมกันดำเนินการ ก็น่าจะบรรลุเป้าประสงค์ได้เร็วยิ่งขึ้น

ปัญหาการระบาดของปลาหมอคางดำ มีการเปิดเผยถึงผู้ขออนุญาตนำเข้าปลาชนิดนี้อย่างถูกต้องเพียงรายเดียว จนทำให้หลายฝ่ายมองว่าอาจเป็นสาเหตุของการระบาดดังกล่าว ทั้งๆที่ข้อเท็จจริง คือการนำเข้าสัตว์ต่างถิ่นมายังราชอาณาจักรนั้น เป็นไปได้ 2 วิธี นั่นคือ 1.) ขออนุญาตนำเข้า และ 2.) การลักลอบนำเข้า

ขณะที่เอกชนผู้ขออนุญาตถูกต้อง ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงตามหนังสือที่ยื่นต่อคณกรรมาธิการฯ ถึงวิธีการนำเข้าและการทำลายทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว น่าเสียดายที่ไม่มีใครพูดถึงข้อมูลอีกด้านที่เกี่ยวข้องกับปลาหมอคางดำ

ในเว็บไซด์ของกรมประมง มีข้อมูลของ กองควบคุมการค้าสัตว์น้ำและปัจจัยการผลิต กล่าวถึง การส่งออกปลาหมอสีคางดำเป็นปลาสวยงามไปต่างประเทศถึง 15 ประเทศ ในช่วงปี 2556-2559 รวมจำนวน 323,820 ตัว คิดเป็นมูลค่า 1,510,050 บาท โดยประเทศปลายทางที่สั่งซื้อปลาหมอสีคางดำจากไทย ได้แก่ อาเซอร์ไบจาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิสราเอล อิหร่าน เลบานอน ตุรกี อียิปต์ ซิมบับเว รัสเซีย โปแลนด์ ออสเตรเลีย แคนาดา ปากีสถาน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย
(https://www4.fisheries.go.th/local/pic_activities/201802221729471_pic.pdf)

ข้อมูลนี้สะท้อนว่าประเทศไทยมีการนำเข้าพ่อ-แม่พันธุ์ปลาหมอสีคางดำ เข้ามาเพาะเลี้ยงในกลุ่มปลาสวยงาม และสร้างรายได้ด้วยการส่งออกเรื่อยมา ก่อนที่ กรมประมงจะมีประกาศห้ามนำเข้า ส่งออก หรือเพาะเลี้ยง ในปี พศ.2561 โดยบริษัทเหล่านี้ ไม่ปรากฎรายชื่อ “ผู้ขออนุญาตนำเข้า” ให้สืบค้นเลยแม้แต่รายเดียว จึงเป็นไปได้ว่าน่าจะนำเข้ามาโดย ไม่มีการขออนุญาตใดๆ ตรงนี้หากภาครัฐไม่ว่าจะเป็น กรมประมง หรือ กรมศุลกากร จะเปิดเผยชื่อผู้ส่งออกปลากว่า 3 แสนตัวนี้ ก็จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ประเทศไทยมีการนำเข้าสัตว์ต่างถิ่นกันมากมาย และส่วนใหญ่ไม่ขออนุญาตอย่างเป็นทางการ ขณะที่ช่วงปี 2549 ซึ่งมีการขออนุญาตนำเข้านั้นยังไม่เคยปรากฎรายงานในโลกนี้ว่า ปลาหมอสีคางดำเป็นปลาต่างถิ่นกลุ่มรุกราน ( Invasive alien species ) ดังนั้น การที่กรมประมงอนุญาตให้นำเข้ามาค้นคว้าวิจัยในช่วงนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด เนื่องจากเพิ่งมารู้ภายหลังว่าเป็นสายพันธุ์รุกราน เมื่อพบการระบาดจากฟาร์มปลาสวยงามในสหรัฐ

ในส่วนของการทำลายสัตว์ต่างถิ่น เชื่อว่านักวิจัยทุกคนมีความรู้ความเข้าใจและระมัดระวังเรื่องเชื้อโรคที่อาจติดมากับสัตว์ต่างถิ่นเสมอ เมื่อพบสัตว์ป่วย ไม่แข็งแรงและทยอยตายลง วิถีในการทำลายสัตว์เหล่านี้อย่างถูกต้องตามหลักวิชา ก็เป็นพื้นฐานความรู้ที่นักวิจัยทุกคนถือปฏิบัติ นับเป็นข้อดีที่กรมประมงกำหนดเป็นเงื่อนไขแก่ผู้ได้รับอนุญาต ส่วนผู้ที่ไม่ได้ขออนุญาต ย่อมไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดใดๆ ของรัฐ

การติดตามข้อมูลผู้ส่งออกปลา จึงอาจทำให้ค้นพบข้อเท็จจริงบางอย่าง และก่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย รวมถึงจะช่วยหยุดการโฟกัสผิดจุด แล้วมุ่งเดินหน้าแก้ปัญหาให้ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมกลับมาดังเดิมโดยเร็วที่สุด ซึ่งดีกว่าการพยายามหาคนผิดที่คาดว่าอาจไม่มีทางหาเจอ

เมืองไทยประกันชีวิต จัดเมืองไทยไตรกีฬา @ห้วยไม้เต็ง ราชบุรี สนามที่ 2 ของปี 2567

0

เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้ำนโยบายการสนับสนุนประชาชนให้มีสุขภาพแข็งแรง โดยนำทีมผู้บริหาร พนักงาน และประชาชน ร่วมแข่งขันในงานเมืองไทยไตรกีฬาสนามราชบุรี ซึ่งเป็นสนามที่ 2 ของปี 2567 การแข่งขันครั้งนี้ได้รับความประทับใจจากผู้เข้าร่วมเป็นอย่างมาก ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและความสวยงามของทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต เปิดเผยว่า “บริษัทฯ มุ่งมั่นการดำเนินงานด้านความคุ้มครองให้กับประชาชนอย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นในเรื่องของการให้ความประกันชีวิตและสุขภาพ แต่ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำนโยบายการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ทั้งนี้ในมิติด้านสังคมที่ บริษัทฯ มุ่งมั่นส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนไทย โดยสานต่อการจัดงาน เมืองไทย ไตรกีฬา สนามที่ 2 ณ อ่างเก็บน้ำห้วยไม้เต็ง จ.ราชบุรี

สำหรับการแข่งขันเมืองไทยไตรกีฬาสนามราชบุรีเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เน้นการเสริมสร้างสุขภาพและความสามัคคีในหมู่ผู้เข้าร่วม โดยมีทั้งการว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และวิ่ง ซึ่งเป็นกีฬาที่ช่วยพัฒนาความแข็งแรงของร่างกายและจิตใจ ซึ่งบรรยากาศที่ราชบุรีครั้งนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนานและความประทับใจจากทั้งผู้เข้าร่วมแข่งขันและผู้ชม ที่ได้สัมผัสถึงความสวยงามของธรรมชาติและความอบอุ่นในชุมชน

ทั้งนี้ มีนักกีฬาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้ความสนใจเข้าร่วมการแข่งขัน “เมืองไทยไตรกีฬา @ห้วยไม้เต็ง ราชบุรี” จำนวนทั้งสิ้น 458 คน จากหลายประเทศ ทั่วโลก อาทิ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี สเปน ญี่ปุ่น ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยสีสัน ความสนุกสนาน และรอยยิ้มจากผู้เข้าร่วมงานที่ได้สัมผัสกับบรรยากาศบนเส้นทางหลักของการวิ่งที่เต็มไปด้วยธรรมชาติสวยงาม และรับอากาศที่บริสุทธิ์ โดยประเภทการแข่งขันมีทั้งหมด 4 ประเภท สำหรับผู้ใหญ่ 3 ประเภท ซึ่งแบ่งตามประเภทกลุ่มน้ำหนักและประเภทกลุ่มอายุ และสำหรับเยาวชนแข่งตามกลุ่มอายุ 1 ประเภท ดังนี้
1.ประเภท Standard ว่ายน้ำระยะ 1,500 เมตร/ปั่นจักรยานระยะ 40 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 10 กิโลเมตร
2.ประเภท Sprint ว่ายน้ำระยะ 750 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 20 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 5 กิโลเมตร

3.ประเภท Duathlon (ทวิกีฬา) วิ่งระยะ 5 กิโลเมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 20 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 5 กิโลเมตร
4.สำหรับเยาวชน ไตรกีฬาเยาวชน (Kids Triathlon)
อายุ 6 – 8 ปี ว่ายน้ำระยะ 50 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 2 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 1 กิโลเมตร
อายุ 9 – 10 ปี ว่ายน้ำระยะ 150 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 4 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 2 กิโลเมตร
อายุ 11 – 12 ปี ว่ายน้ำระยะ 150 เมตร/ ปั่นจักรยานระยะ 6 กิโลเมตร/ วิ่งระยะ 3 กิโลเมตร

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขัน โดยมอบสิทธิพิเศษด้วย ประกันอุบัติเหตุกลุ่มระยะสั้น พลัส “ฟรี” ทุนประกัน 100,000 บาท/คน ค่าชดเชยการรักษาพยาบาลสูงสุดต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้งสูงสุด 10,000 บาท (เงื่อนไขการได้รับสิทธิ์เป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิตกำหนด)

ฃ“การจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเมืองไทยประกันชีวิตในการสนับสนุนให้ประชาชนมีสุขภาพที่แข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดี บรรยากาศที่อบอุ่นและทัศนียภาพที่สวยงามของราชบุรีได้สร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่เข้าร่วมงาน ทั้งผู้บริหาร พนักงาน และประชาชนทั่วไป พร้อมร่วมมือกันสร้างสรรค์กิจกรรมดีต่อไปในอนาคต แล้วพบกันที่ เมืองไทยไตรกีฬา@หาดแหลมเสด็จ จันทบุรี” นายสาระกล่าวสรุป.

U FARM เปิดประสบการณ์ ‘หมูชีวา-ไก่เบญจา FUN DIVE!’ ไม่ใช่ปลา แต่มีโอเมก้า 3

0

แบรนด์ U FARM (ยู ฟาร์ม) ในกลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ชวนเปิดประสบการณ์ด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัยอย่าง AI สร้างมาสคอต หมูชีวา ไก่เบญจา ไข่ไก่เบญจา ไม่ใช่ปลาแต่มีโอเมก้า 3 พร้อมกับกิจกรรม “หมูชีวา-ไก่เบญจา FUN DIVE! ไม่ใช่ปลาแต่มีโอเมก้า 3” นำผลิตภัณฑ์พรีเมียม ได้แก่ หมูชีวา ไก่เบญจา และไข่ไก่เบญจา มาจัดแสดงในอควาเรียม ของ Sea Life Bangkok Ocean World สยามพารากอน แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของทุกกลุ่มวัย ตอกย้ำจุดเด่น ‘โอเมก้า 3’ ที่สามารถรับประทานได้จากผลิตภัณฑ์ U FARM เพิ่มทางเลือกสำหรับสุขภาพ

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า กิจกรรมที่จัดขึ้นครั้งนี้ เป็นการต่อยอดจากการทำโฆษณารูปแบบใหม่ของ U FARM ในการใช้ AI-Powered Marketing ผสมเข้ากับความสร้างสรรค์ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 อย่าง ได้แก่ หมูชีวา ไก่เบญจา และไข่เบญจา ด้วยรูปแบบ 3D Animation เสมือนเป็นปลาทะเลแหวกว่ายอยู่บนจอกลางแยกอโศก รวมถึงป้ายโฆษณาต่างๆ เพื่อตอกย้ำจุดเด่นของโอเมก้า 3 ตอนนี้มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ U FARM ด้วยการสื่อสารที่เข้าใจง่าย ตรงประเด็น ดึงดูดความสนใจจากผู้ที่พบเห็น ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคที่พูดถึงในช่องทางโซเชียลต่างๆ ทั้ง Facebook, X รวมถึง TIKTOK

น.สพ.ดร.มนูศักดิ์ วงศ์พัชรชัย หัวหน้าทีมวิจัยด้านไบโอเทค สำนักวิชาการอาหารสัตว์ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์แบรนด์ U FARM เป็นนวัตกรรมอาหารที่ซีพีเอฟภาคภูมิใจ โดยคัดเลือกหมู ไก่ และไข่ สายพันธุ์ที่ดีที่สุด เลี้ยงด้วยสูตรอาหารซูเปอร์ฟู้ด อาทิ เมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed) น้ำมันปลาและสาหร่ายทะเล เป็นต้น ที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 จากธรรมชาติ จึงไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะ 100% ตลอดการเลี้ยงดู ได้การรับรองมาตรฐานความปลอดภัยในการเลี้ยงจาก NSF จากประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถรับประทานได้ทุกวัน การันตีด้วยรางวัลมากมายจากนานาชาติ ทั้งนี้ U FARM ยังเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์รายแรกและรายเดียวที่ได้รับการรับรองตรา ‘อาหารรักษ์หัวใจ’ จากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์

ด้าน แพทย์หญิงพลอย ศุภนันตฤกษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Wellness และเจ้าของ ‘เพจหมอพลอย ลูกอัจฉริยะสร้างได้’ มาร่วมให้ความรู้เรื่อง โอเมก้า 3 ว่า ยินดีอย่างมากที่เห็นคนทุกกลุ่มวัยให้ความสำคัญต่อเรื่องอาหาร เพราะโอเมก้า 3 สำคัญต่อทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็ก จนถึงผู้สูงวัย เพราะช่วยการทำงานของสมอง หัวใจและหลอดเลือด รวมถึงช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงขึ้นโดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่เข้มงวดกับโภชนาการของลูก การเลือกสารอาหารที่เหมาะสม อย่าง โอเมก้า 3 จะช่วยส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกันอย่างดี นอกจากนี้ยังสร้างสุขภาพที่ดีให้คุณแม่ตั้งครรภ์และลูกน้อย ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ เชื่อว่า การเพิ่มสารอาหารที่ดีในเนื้อหมู ไก่ และไข่ ซึ่งเป็นวัตถุดิบพื้นฐานจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคคนไทยอย่างมาก

ขณะเดียวกัน บีม กวี – ออย อฏิพรณ์ ตันจรารักษ์ กล่าวว่า ความรู้สึกยินดีที่ได้มาร่วมงานแคมเปญนี้ ช่วยเปิดมุมมองเรื่องสารอาหารอย่าง โอเมก้า 3 จากที่เคยเข้าใจว่ามีอยู่ในปลาและสัตว์ทะเล แต่ตอนนี้การรับประทานหมู ไก่ และไข่ไก่ ก็ได้รับโอเมก้า 3 เช่นกัน ซึ่งดีกับทุกช่วงวัยโดยเฉพาะเด็กๆ ที่ต้องใส่ใจในเรื่องโภชนาการเป็นพิเศษ การมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายขึ้นเช่นกัน

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อส่งมอบวัตถุดิบ ตลอดจนอาหารคุณภาพปลอดภัยได้มาตรฐานสากลให้แก่ผู้บริโภคทุกกลุ่ม สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่ พร้อมทั้งสร้างสรรค์แคมเปญที่ตอบโจทย์เทรนด์ต่างๆ เพื่อเข้าถึงและเข้าใจผู้บริโภคทุกเจนเนอเรชัน .

ถอดบทเรียนความสำเร็จ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ฯ CPF ผนึกกำลัง สพฐ. ตชด. ยกระดับพัฒนาหลักสูตรเสริมการเรียนการสอนอย่างยั่งยืน

0

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ถอดบทเรียน การวิจัยและพัฒนาหลักสูตร โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เพื่อยกระดับการดำเนินโครงการฯ สู่การจัดทำหลักสูตรแกนกลาง ที่โรงเรียนสามารถนำไปปรับใช้ตามบริบทในแต่ละพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม

งานสัมมนาเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม นำโดย นายกฤตยรัฐ ปารมี ผู้ช่วยเลขาธิการ มูลนิธิฯ พร้อมด้วย ดร.สำรวย ภักดี รองผู้อำนวยการ สพม.สุราษฎร์ธานี ชุมพร ปฏิบัติหน้าที่รองผู้อำนวยการ สำนักงานกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวัน พ.ต.อ.หญิง ณัชชา เขมะสิงคิ ผกก.ฝอ.7 บก.อก.บช.ตชด. นายวราราชย์ เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ซีพีเอฟ คณะวิทยากรจากสถาบันรามจิตติ และคณะครูอาจารย์จาก 11 โรงเรียนต้นแบบโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ร่วมถอดบทเรียนและพัฒนาหลักสูตร ณ โรงแรม เอเชีย แอร์พอร์ท กรุงเทพมหานคร

นายกฤตยรัฐ ปารมี ผู้ช่วยเลขาธิการ มูลนิธิฯ เปิดเผยว่า มูลนิธิฯ และซีพีเอฟ ดำเนิน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ก้าวเข้าสู่ปีที่ 36 ปัจจุบันมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ 959 โรงเรียน เพื่อส่งมอบคุณค่าทางโภชนาการอาหาร สร้างแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพ แก่เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานทำให้นักเรียนและประชาชน เข้าถึงความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการกว่า 213,000 คน ผลิตไข่ไก่เพื่อบริโภคมากกว่า 26.2 ล้านฟอง ขณะเดียวกัน มูลนิธิฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญและคุณค่าที่เกิดจากการดำเนินโครงการฯ จึงมุ่งยกระดับผลลัพธ์การจัดการองค์ความรู้จากโครงการฯ โดยผนึกกำลังกับโรงเรียนภายใต้สังกัด สพฐ. และ บก.ตชด. เพื่อถอดบทเรียน การวิจัยและพัฒนาหลักสูตร โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนในครั้งนี้ เพื่อเป็นหลักสูตรแกนกลางต้นแบบ โดยทุกโรงเรียนสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้ได้ตามบริบทและความเหมาะสม

ด้าน นายวราราชย์ เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ซีพีเอฟ กล่าวว่า ด้วยภารกิจของมูลนิธิฯ ที่มุ่งสืบสานงานพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชน เกษตรกร และผู้สูงวัยในชนบทห่างไกล ตามรอยใต้เบื้องพระยุคลบาทอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ซีพีเอฟ ได้ร่วมกับมูลนิธิฯ ส่งมอบโครงการฯ และส่งบุคลากรเข้าไปติดตาม ดูแล ให้คำแนะนำด้านการเลี้ยงไก่ไข่และการจัดการผลผลิต แก่ครูและนักเรียนในโครงการฯ บริษัทพร้อมให้การสนับสนุนโครงการฯนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักเรียนที่เป็นอนาคตของชาติได้บริโภคไข่ไก่คุณภาพดีจากฝีมือการดูแลของพวกเขาเองต่อไป และหวังว่าโรงเรียนทุกแห่งจะสามารถบริหารจัดการโครงการฯ สู่ ความสำเร็จอย่างยั่งยืน และเป็นแบบอย่างให้แก่โรงเรียนอื่นๆ ต่อไป

การจัดงานสัมมนาฯ ครั้งนี้ มูลนิธิฯ ได้คัดเลือกโรงเรียนต้นแบบ 11 แห่งจากทั่วประเทศ ที่มีผลการเลี้ยงดี และมีหลักสูตรเลี้ยงไก่ไข่ในโรงเรียนใช้ในรายวิชา เพื่อมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ ทักษะการเลี้ยง ตลอดจนการบริหารจัดการโครงการฯ ร่วมกัน ทำให้เกิดกระบวนการถอดบทเรียน โดยมีวิทยากรจากสถาบันรามจิตติ ร่วมออกแบบและพัฒนาหลักสูตร ผ่านกิจกรรมการค้นหา วิเคราะห์แนวคิดการเลี้ยงไก่ไข่ และการส่งเสริมให้นักเรียนเกิดสมรรถนะจากกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงไก่ไข่ ทั้งด้านบริหารจัดการ ด้านการเงิน ด้านอาชีพ สู่การพัฒนาเป็นธุรกิจ และพัฒนาให้เป็นหลักสูตรแกนกลางร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการต่อไป

ทางด้าน ดร.สำรวย ภักดี รองผู้อำนวยการ สพม.สุราษฎร์ธานี ชุมพร กล่าวว่า สพฐ. ขับเคลื่อนนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา นักเรียนและผู้ปกครอง สร้างโรงเรียนที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ สอดคล้องกับการดำเนินงานโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ของมูลนิธิฯ ที่พัฒนาทักษะทั้งด้านโภชนาการ การเป็นผู้ประกอบการ และการบริหารกองทุน และสพฐ. ยินดีเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนทั้งด้านวิชาการและบุคลากร ร่วมนำองค์ความรู้ที่ได้จากการดำเนินโครงการฯ ร่วมกัน มาพัฒนาและยกระดับการดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ สู่การจัดทำหลักสูตรแกนกลางสำหรับทุกโรงเรียน ถือเป็นการสร้างสรรค์คุณค่าให้เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนได้เป็นอย่างดี โดยแนวทางหลักสูตรที่ได้จากการสัมมาเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ จะนำไปประยุกต์ใช้กับทุกโรงเรียนต่อไป

การจัดงานสัมมนาฯ ครั้งนี้ มูลนิธิฯ ได้คัดเลือกโรงเรียนต้นแบบ 11 แห่งจากทั่วประเทศ ที่มีผลการเลี้ยงดี และมีหลักสูตรเลี้ยงไก่ไข่ในโรงเรียนใช้ในรายวิชา เพื่อมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ ทักษะการเลี้ยง ตลอดจนการบริหารจัดการโครงการฯ ร่วมกัน ทำให้เกิดกระบวนการถอดบทเรียน โดยมีวิทยากรจากสถาบันรามจิตติ ร่วมออกแบบและพัฒนาหลักสูตร ผ่านกิจกรรมการค้นหา วิเคราะห์แนวคิดการเลี้ยงไก่ไข่ และการส่งเสริมให้นักเรียนเกิดสมรรถนะจากกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงไก่ไข่ ทั้งด้านบริหารจัดการ ด้านการเงิน ด้านอาชีพ สู่การพัฒนาเป็นธุรกิจ และพัฒนาให้เป็นหลักสูตรแกนกลางร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการต่อไป

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” เป็นความร่วมมือของ เครือซีพี โดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และซีพีเอฟ ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2532 โดยน้อมนำแนวพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตาม “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน” มาดำเนินการสานต่อ เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนในโรงเรียนถิ่นทุรกันดารและพื้นที่ห่างไกล ได้บริโภคไข่ไก่อย่างต่อเนื่อง เสริมสร้างโภชนาการที่ดี เติบโตสมวัยทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา นักเรียนและชุมชนได้เรียนรู้ทักษะการเลี้ยงไก่ไข่ การบริหารจัดการธุรกิจเกษตรในฟาร์มขนาดเล็ก และประยุกต์กิจกรรมสู่การเรียนการสอน สามารถบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่จำหน่ายแก่ชุมชน ทำให้ได้บริโภคไข่ไก่สดในราคาที่เหมาะสม สร้างรายได้หมุนเวียน ต่อยอดขยายผล เกิดเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน.

“บัตรเดบิต ออมสิน อุ่นใจ”  คุ้มครองชีวิต

0

บัตรเดบิต เป็นเครื่องมือชำระค่าสินค้าและบริการที่เป็นที่นิยมประเภทหนึ่ง เพราะมีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยกว่าการพกเงินสด นอกจากนี้ การใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต ยังช่วยให้ง่ายต่อการตรวจสอบธุรกรรมการเงิน ไม่ว่าจะเป็นยอดเงิน หรือประวัติการใช้จ่าย ซึ่งหากใช้บัตรเดบิตอย่างถูกต้อง ควบคู่กับการมีวินัยการเงินด้วยแล้ว ยังจะช่วยในเรื่องของการบริหารจัดการเงิน  สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายเป็นไปตามแผนการเงิน นอกจากนี้ ผู้ให้บริการบัตรเดบิตยังมีข้อเสนอด้านโปรโมชัน หรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น ส่วนลดค่าสินค้าบริการหรือคะแนนสะสม   ดังนั้น ผู้ใช้บริการจึงควรศึกษาเพื่อเปรียบเทียบข้อเสนอและเงื่อนไขของผู้ให้บริการแต่ละราย เพื่อเลือกบัตรเดบิตที่เหมาะกับความต้องการของตัวเองมากที่สุด

ธนาคารออมสิน  ออกบัตรเดบิตใหม่ล่าสุด   “บัตรเดบิต ออมสิน อุ่นใจ”  บัตรเดบิตใบแรกและใบเดียวที่ให้ความคุ้มครองชีวิต เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบัตรเดบิตที่สามารถใช้ทั้งชำระค่าสินค้าและบริการ ถอนเงินสด และโอนเงิน และที่สำคัญ คือ การได้รับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองจากการเสียชีวิตทุกกรณีและความคุ้มครองอุบัติเหตุ และค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากอุบัติเหตุ

 “บัตรเดบิต ออมสิน อุ่นใจ” มีจุดเด่นที่บัตรเดบิตอื่นๆ ไม่มี คือ ความคุ้มครองชีวิตที่ให้สูงสุดถึง 600,000 บาท  และ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ 30,000 บาท/อุบัติเหตุแต่ละครั้ง โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ระยะเวลาคุ้มครองต่อเนื่องจนถึงอายุ 80 ปี  ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าธรรมเนียมที่คำนวณแล้วเท่ากับจ่ายเพียงวันละ 4.38 บาทแล้ว ถือว่า คุ้มค่ากับความคุ้มครอง และผลประโยชน์ที่ได้รับจากบัตรเดบิตใบนี้

ผู้สนใจอยากเป็นเจ้าของบัตรเดบิต ออมสิน อุ่นใจ เพียงเตรียมบัตรประชาชน กับสมุดบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียก ไปติดต่อที่ธนาคารออมสินทุกสาขาได้เลยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  หรือสามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่https://shorturl.asia/1wHFo

หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center  1115 หรือ ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ Facebook : GSB Society

*เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารและบริษัทฯ กำหนด

⚠️ รับประกันภัยโดย บมจ.ทิพยประกันชีวิต

⚠️ ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

ตลท. ขึ้นเครื่องหมาย H หุ้น EA พร้อมถอดจาก SET ESG Ratings

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษนายสมโภชน์ อาหุนัย และนายอมร ทรัพย์ทวีกุล กรรมการ และผู้บริหาร บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ (EA) รวมทั้งนายพรเลิศ เตชะรัตโนภาส ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีร่วมกระทำการทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้แก่ตนเองและ/หรือผู้อื่น และได้ส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยคณะทำงานเพื่อการลงทุนอย่างยั่งยืน ได้มีมติถอด EA ออกจากรายชื่อหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings เนื่องจากบริษัทฯ ขาดคุณสมบัติตามเกณฑ์ SET ESG Ratings ที่กำหนดไว้ว่า “ต้องไม่เป็นบริษัทที่ถูกกล่าวโทษหรือได้รับการตัดสินความผิดจากทางการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือมีกรรมการหรือผู้บริหารถูกกล่าวโทษหรือได้รับการตัดสินความผิดจากทางการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องการกำกับดูแลกิจการ การสร้างผลกระทบด้านสังคมหรือสิ่งแวดล้อม” โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2567

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งหยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ของ EA ชั่วคราวในช่วงเช้าของวันที่15 กรกฎาคม 2567 โดยขึ้นเครื่องหมาย “H” จนกว่า EA จะชี้แจงข้อมูลได้ครบถ้วนเกี่ยวกับผลกระทบฐานะการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากภาระหนี้สินโดยเฉพาะเงินกู้และหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระภายในปี 2567 และแนวทางที่ชัดเจนในการชำระหนี้ดังกล่าว รวมทั้งผลกระทบต่อการบริหารจัดการกิจการของบริษัทจากกรณีผู้บริหารคือ นายสมโภชน์ อาหุนัย (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร) และนายอมร ทรัพย์ทวีกุล (CFO) พ้นจากตำแหน่ง ทั้งนี้ เพราะเป็นข้อมูลที่มีนัยสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อฐานะการเงิน การบริหารกิจการ รวมทั้งการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ของ EA

รู้เก็บรู้ออม : 3 ธีมเด็ดหุ้นนอก!!

0

การลงทุนหุ้นต่างประเทศ อาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับนักลงทุน แต่ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเหมือนเมื่อก่อน เพราะการสนับสนุนและผลักดันเครื่องไม้เครื่องมือการลงทุนที่เอื้อต่อการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ทำให้เดี๋ยวนี้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยสามารถเด็ดปีกนางฟ้า คว้าหุ้นตัวท็อปของโลกมาเก็บสะสมในพอร์ตน้อยๆของตัวเองได้

ตราสารแสดงสิทธิหลักทรัพย์ต่างประเทศทั้ง DR และ DRx ได้ช่วยเปิดประตูให้นักลงทุนไทยโกอินเตอร์ แบบไม่ต้องไปเริ่มต้นเป็นนักลงทุนฝึกหัดในตลาดหุ้นต่างแดน โดยสามารถใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีอยู่ ทำรายการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ บนตลาดหุ้นไทยด้วยเงินสกุลบาท ไม่แตกต่างกับการเทรดหุ้นไทย ต้องยอมรับว่าการกระจายการลงทุนไปในต่างประเทศ นับวันจะยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นการกระจายความเสี่ยง และเพิ่มความหลากหลายในการลงทุนมากยิ่งขึ้น

และที่น่าสนใจคือปัจจุบัน DR และ DRx ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ล้วนเป็นบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลก จะหุ้นจีน หรือ หุ้นสหรัฐฯ ตัวเด็ดตัวจี๊ด ถูกคัดมาให้นักลงทุนได้ตัดสินใจเลือกลงทุนตามปรารถนา สำหรับนักลงทุนที่อยากเทรดหุ้นต่างประเทศ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี ตลาดหลักทรัพย์ฯได้รวบรวม 3 ธีมลงทุน ปั้นพอร์ตหุ้นนอก อนาคตไกล มาไว้ให้แล้ว

ธีมลงทุนแรกคือลงทุนกับกลุ่ม Tech Innovators (ผู้พัฒนานวัตกรรมเปลี่ยนโลก) มุ่งเน้นหุ้นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน เช่น ASML01 อ้างอิงหุ้น ASML Holding N.V. ผู้ผลิตเครื่องผลิตชิปให้กับโรงงานผลิตชิปทั่วโลก, NVDA80X อ้างอิงหุ้น NVIDIA Corporation ผู้นำการผลิตการ์ดจอ, GOOG80X อ้างอิงหุ้น Alphabet Inc. เจ้าของ Search Engine อันดับ 1 ของโลกอย่าง Google กับแพลตฟอร์มวิดีโอ Youtube, TENCENT80 อ้างอิงหุ้น Tencent ผู้พัฒนาเกมและเจ้าของแพลตฟอร์มออนไลน์ยักษ์ใหญ่ในจีน และ MSFT80X อ้างอิงหุ้น Microsoft ผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่

ถัดมาคือ ธีมลงทุนกลุ่ม Industry Leaders (ผู้นำอุตสาหกรรมแห่งยุค) มุ่งเน้นไปที่หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น PINGAN80 อ้างอิงหุ้น Ping An Insurance (Group) บริษัทประกันรายใหญ่เบอร์หนึ่งของจีน, NFLX80X อ้างอิงหุ้น Netflix ผู้ให้บริการสตรีมมิงหนังรายใหญ่ของโลก, BYDCOM80 อ้างอิงหุ้น BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่, SIA19 อ้างอิงหุ้น SINGAPORE AIRLINES สายการบินอันดับหนึ่งของโลก, LVMH01 อ้างอิงหุ้น LVMH เจ้าใหญ่ตลาดสินค้าแบรนด์หรูอย่าง Louis Vuitton, Christian Dior

และ ธีมสุดท้าย ลงทุนในกลุ่ม Diversified Growth (กระจายลงทุน กลุ่มดัชนีชั้นนำระดับโลก) เช่น JAPAN13 อ้างอิงกองทุน ETF “China AMC MSCI Japan Hedged to USD ETF” ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น, FUEVFVND01 อ้างอิงกองทุน ETF “DCVFMVN DIAMOND ETF” ลงทุนในหุ้นเวียดนาม, HKCE01 อ้างอิงกองทุน ETF “Hang Seng China Enterprises Index ETF” ลงทุนในหุ้นจีน, HK13 อ้างอิงกองทุน ETF ที่ลงทุนหุ้นจีนในตลาดหุ้นฮ่องกง อ้างอิงดัชนี Hang Seng และ NDX01 อ้างอิงกองทุน ETF ที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีระดับโลก อ้างอิงดัชนี NASDAQ100 เป็นต้น

ศึกษารายละเอียดการลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่าน DR และ Drx ได้ที่ www.setinvestnow.com  เพื่อเลือกซื้อหุ้นอนาคตไกลสะสมเข้าพอร์ต เพิ่มโอกาสและศักยภาพการลงทุนให้กับตัวเอง!

คุณนายพารวย

CPF ได้รับการต่ออายุเป็นสมาชิก CAC ตอกย้ำความมุ่งมั่นองค์กรโปร่งใสและยั่งยืน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ได้รับการรับรองต่ออายุเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสตามแนวทาง ESG รวมทั้งเดินหน้าขยายเครือข่ายการกำกับดูแลกิจการที่ดี สนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน

นางสาววิภาวรรณ ประมูลความดี รองกรรมการผู้จัดการบริหาร สำนักตรวจสอบภายในและสำนักบริหารความเสี่ยงองค์กรของซีพีเอฟ เป็นตัวแทนรับมอบใบประกาศนียบัตรรับรองการเป็นสมาชิก CAC จาก นายอนุวัฒน์ จงยินดี กรรมการรับรองแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทยในงาน “CAC Certification Ceremony 2024: Business Beyond CAC – Spotlight on Supply Chain” ซึ่งจัดขึ้นประกาศเกียรติคุณบริษัทที่ผ่านการรับรอง CAC

ซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานของการกำกับดูแลกิจการที่ดีตามแนวทาง ESG ปฏิบัติตามนโยบายต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชันอย่างเคร่งครัด มุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรและค่านิยมในการดำเนินงานที่ซื่อสัตย์ สุจริต ตรวจสอบได้ และปราศจากทุจริตและคอร์รัปชัน บริษัทได้จัดทำแนวปฏิบัติด้านการต่อต้านคอร์รัปชันที่ครอบคลุม พร้อมทั้งสื่อสารสร้างความตระหนักและให้ความรู้แก่ผู้บริหารและพนักงานทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ เปิดช่องทางรับเรื่องร้องเรียนและแจ้งเบาะแสที่เป็นอิสระ ตลอดจนมีการสอบทานการปฏิบัติตามนโยบายเป็นประจำให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ กฎระเบียบข้อบังคับทั้งระดับประเทศและสากล

“การเป็นสมาชิก CAC สอดคล้องกับปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืนของเครือซีพี ที่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศ ประชาชน และบริษัท โดยเชื่อว่าการดำเนินธุรกิจที่โปร่งใสจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจ สังคม และองค์กร” นางสาววิภาวรรณกล่าว

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังร่วมโครงการ CAC Change Agent สนับสนุนคู่ค้าธุรกิจกลุ่ม SMEs ในการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานที่โปร่งใส โดยส่งเสริมให้ความรู้และความช่วยเหลือในการพัฒนาเครื่องมือและมาตรการควบคุมความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองในโครงการรับรอง SME CAC Certification เพื่อสร้างแต้มต่อในการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ประกอบการรายย่อยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้ในปี 2566 ที่ผ่านมา ซีพีเอฟได้รับรางวัล CAC Change Agent 3 ปีติดต่อกัน

เอไอเอส จับมือ นิคมอุตฯ เอเชีย คลีน ชลบุรี นำศักยภาพโครงข่ายอัจฉริยะ ก้าวสู่ Smart Industrial 4.0

0

เอไอเอส เดินหน้าขยายโครงข่ายอัจฉริยะ 5G และโครงข่ายใยแก้วนำแสง ให้มีความครอบคลุมสูงสุด พร้อมเชื่อมต่อการทำงานกับภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการในภาคการผลิต เพื่อพร้อมรับมือต่อการเติบโตในอนาคต ล่าสุดได้จับมือกับนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรี นำศักยภาพของโครงข่าย 5G และ โครงข่ายใยแก้วนำแสงดังกล่าว เสริมศักยภาพการบริหารจัดการด้าน Network Infrastructure รวมถึงยกระดับนิคมอุตสาหกรรม สู่การเป็น Smart Industrial 4.0 ที่สมบูรณ์แบบ อันจะเป็นการต่อยอดการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม และภาคการผลิตของภาคตะวันออกต่อไป

นายสมภพ กิตติวิรุฬห์วัฒน รักษาการหัวหน้างานปฏิบัติการภูมิภาค-ภาคตะวันออกบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “เป้าหมายของเราคือนำศักยภาพของโครงข่ายอัจฉริยะสนับสนุนและส่งเสริมประสิทธิภาพให้แก่ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภาคการผลิต ผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐ และ ภาคเอกชน อย่าง นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อวาง Digital Infrastructure รวมถึงการพัฒนาโซลูชันด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในการที่จะเข้าไปผลักดัน ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้มีขีดความสามารถ และศักยภาพที่พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ อีกทั้งเรายังเชื่อว่าการมีองค์ประกอบด้านเทคโนโลยีในทุกกระบวนการทำงานภายใต้ Digital Ecosystem จะสามารถช่วยสร้างความแตกต่าง รวมทั้งสร้างแรงดึงดูดจากนักลงทุนต่างๆ ให้เข้ามาร่วมกันสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน”

สำหรับความร่วมมือกับนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรีในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญต่อการทำงานกับภาคธุรกิจในภาคตะวันออกที่นับว่าเป็นอีกพื้นที่ศักยภาพด้านการผลิต โดยเราได้วาง Digital Infrastructure จากโครงข่ายอัจฉริยะ AIS 5G และ โครงข่ายใยแก้วนำแสง เพื่อให้พร้อมรองรับและเสริมศักยภาพการบริหารจัดการ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการภายในนิคมฯ สามารถใช้ศักยภาพจากโครงข่ายสัญญาณได้เต็มประสิทธิภาพ รวมทั้งบริการ Smart Solution ต่างๆ อาทิ 5G Private Network, 5G Smart factory ระบบบริหารจัดการโรงงานอัจฉริยะ อื่นๆ ที่เรามีความพร้อมในการพัฒนาเพื่อร่วมกันยกระดับภาคอุตสาหกรรมของจังหวัดชลบุรีให้มีขีดความสามารถและพร้อมแข่งขันในอนาคตต่อไป”

ด้าน คุณมงคล พฤกษ์วัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท เอเชีย คลีน อินดัสเตรียล เอสเตท จำกัด กล่าวว่า “การร่วมมือกับเอไอเอสครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการยกระดับนิคมอุตสาหกรรม สู่การเป็น Smart Eco Industrial Estate หรือนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next – Generation Automotive) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) และ
กลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) และ อุตสาหกรรมดิจิตอล (Digital)

นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรี เป็นนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้การกำกับดูแลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีพื้นที่ประมาณ 1,294 ไร่ ประกอบด้วย พื้นที่อุตสาหกรรม 75% พื้นที่ระบบสาธารณูปโภค 15% พื้นที่สีเขียว 10% โดย ทำเลที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรี ตั้งอยู่บนพื้นที่ใกล้ทางหลวงหมายเลข 331 มุ่งหน้าสู่ท่าเทียบเรือน้ำลึกแหลมฉบัง อีกทั้งยังมีแนวเส้นถนนมอเตอร์เวย์ M61 ซึ่งเริ่มต้นจากท่าเทียบเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ตัดผ่านหน้าโครงการ ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกรวดเร็วและประสิทธิภาพในการส่งออกสินค้าเพื่อส่งต่อไปยังตลาดต่างประเทศ พื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรี เป็นที่ราบเชิงเขา ไม่เสี่ยงต่อน้ำท่วม เมื่อรวมกับการจัดการเป็นนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะเชิงนิเวศด้วยระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย มีพื้นที่สีเขียวที่สมดุล พื้นที่สำรองน้ำขนาดใหญ่ พร้อมด้วยวิสัยทัศน์ที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีพัฒนาให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมอัจฉริยะเชิงนิเวศเติบโตและอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืนซึ่งนิคมฯ มุ่งเน้นในการให้การประกอบกิจการที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขับเคลื่อน และเป็นกลไกที่สำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะเดียวกันก็มีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาพื้นที่ชุมชน สร้างความเป็นมิตรต่อชุมชน สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชุมชน พร้อมกับการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไข และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม

นอกเหนือจากการร่วมมือกับ AIS ในเรื่องโครงข่ายอัจฉริยะ 5G (Telecommunication 5G) และโครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fibre Optics Network) นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรี ยังมีการเตรียมความพร้อมด้านไฟฟ้าพลังงานทดแทนสำหรับ RE 100 อีกทั้งยังจัดให้มีแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำคัญ ด้วยสถานีไฟฟ้า 115 kV (Substation 115 kV) ที่ติดตั้งภายในนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงจัดให้มีกำลังไฟฟ้าสนับสนุนจากสถานีไฟฟ้าในพื้นที่อีก 2 แห่ง ความพร้อมดังกล่าว จะยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรี ให้เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความก้าวหน้า สร้างโอกาสและเชื่อมโยงธุรกิจท้องถิ่นไปสู่การแข่งขันในสากลในยุคที่ความเร็วและความเชื่อมต่อที่เสถียรเป็นสิ่งจำเป็นพร้อมที่จะนำพาชุมชนไปสู่อนาคตดิจิทัลที่ยั่งยืน

นายสมภพ กล่าวในช่วงท้ายว่า “AIS ในฐานะองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-CO ยังคงเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้ให้บริการดิจิทัลเทคโนโลยีที่สามารถส่งมอบประสบการณ์รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการทำงานของพาร์ทเนอร์ เพราะเราเชื่อว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีที่แข็งแรงจะมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและการผลิต ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพภาคการผลิตนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก รวมถึงผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย คลีน ชลบุรี ให้พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง เปิดรับโอกาส ความท้าทายและการแข่งขัน”

‘อนุวัฒน์ ศรีโฉม’ เก็บเกี่ยวประสบการณ์สัตวบาล 10 ปีผันมาเลี้ยงหมู “คอนแทรคฟาร์มมิ่ง” กับซีพีเอฟ

0

การได้เข้าไปเยี่ยมชมฟาร์มเลี้ยงหมูของเกษตรกรคอนแทรคฟาร์มมิ่งกับซีพีเอฟ เมื่อตอนที่เรียนชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาสัตวศาสตร์ ภาควิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กลายเป็นการจุดประกายสำคัญที่ทำให้ อนุวัฒน์ ศรีโฉม ตั้งความหวังว่าสักวันหนึ่งจะต้องได้เป็นเจ้าของกิจการฟาร์มเลี้ยงหมูและประสบความสำเร็จแบบนั้นให้ได้

หลังเรียนจบ อนุวัฒน์ เริ่มต้นอาชีพสัตวบาลฟาร์มเลี้ยงสุกร กับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด หรือซีพีเอฟ เมื่อปี 2557 รับผิดชอบดูแลฟาร์มปิดของบริษัท เริ่มจากการเลี้ยงหมูขุน และย้ายไปดูหน่วยผสม-คลอด จากนั้นมีโอกาสได้ไปดูแลเกษตรกรที่โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จ.ฉะเชิงเทรา ทำให้ได้เรียนรู้ระบบการบริหารจัดการในรูปแบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง โดยรับผิดชอบแลเกษตรกรที่นี่ 4 ปี จึงขอย้ายไปดูแลฟาร์มหมูของบริษัทที่ขอนแก่นและหนองคาย เพื่อให้สามารถดูแลภรรยาที่ตั้งท้องได้ใกล้ชิดขึ้น ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีแนวคิดที่จะสานฝันทำฟาร์มเลี้ยงหมูของตนเอง

การได้เป็นสัตวบาลกับซีพีเอฟ เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากว่า 10 ปี มีโอกาสรับผิดชอบในทุกหน่วย ทั้งหน่วยผสม-คลอด หมูขุน หมูสาว พ่อพันธุ์ จนถึงฝ่ายขาย ในปี 2566 เขาจึงตัดสินใจลาออกเพื่อเริ่มต้นอาชีพใหม่กับการเป็นเกษตรกรคอนแทรคฟาร์มมิ่ง (Contract Farming) ทำฟาร์มเลี้ยงหมูขุนกับซีพีเอฟ ในโครงการส่งเสริมสุกรขุนอุดรธานี ก่อสร้าง หจก. พรรณนิภาฟาร์ม ที่ตำบลสุมเส้า อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี บนพื้นที่ 10 ไร่ เลี้ยงหมูขุน 2 โรงเรือน ความจุโรงเรือนละ 800 ตัว การเลี้ยงหมูอยู่ภายใต้มาตรฐานฟาร์มของกรมปศุสัตว์ โดยนำประสบการณ์ทั้งหมดมาปรับใช้ทั้งหมด เน้นการปรับสภาพแวดล้อมในโรงเรือนให้ดี อากาศดี คูลลิ่งแพด (Cooling Pad) ทำงานเต็มประสิทธิภาพ ต้องไม่มีลมร้อนเข้า เล้าปิดมิดชิดไม่มีรอยรั่ว น้ำต้องสะอาด อาหารไม่เป็นฝุ่น

“เริ่มเลี้ยงหมูรุ่นแรกเข้าเลี้ยงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ก็ถึงกำหนดจับหมูออก การเลี้ยงหมูมีประสิทธิภาพดีตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะจุดเริ่มต้นที่ดี ตั้งแต่การรับหมูจากฟาร์มต้นทางที่มีสุขภาพดี เมื่อเรารับไม้ต่อมาเลี้ยงก็ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกหมูในช่วงแรก มีการตรวจสุขภาพเป็นประจำ หากพบหมูป่วยจะแยกออกไปรักษาที่คอกป่วยทันที เน้นการให้อาหารน้อยแต่บ่อยครั้ง มีการกระตุ้นการกินอาหารด้วยการผสมน้ำ ทำให้หมูกินอาหารได้ดี อัตราการเจริญเติบโตดี ไม่ป่วย ทำน้ำหนักได้ดี อัตราเสียหายปัจจุบันไม่ถึง 1%” อนุวัฒน์ เล่า

ที่สำคัญ หจก. พรรณนิภาฟาร์ม ยังใช้การจัดการฟาร์มสมัยใหม่ในรูปแบบสมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm) การควบ Cooling PAD และระบบน้ำ มีระบบให้อาหารอัตโนมัติ Auto Feed การควบคุมพัดลมเชื่อมต่อกับระบบ Biogas และติดตั้ง CCTV ทำให้สามารถดูแลหมูได้โดยที่ไม่ต้องเข้าไปในโรงเรือน ทำให้เห็นความเป็นอยู่ หรือความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน ยังช่วยป้องกันโรคได้อย่างดี เพราะสามารถตรวจสอบบุคคลที่ต้องอาบน้ำสระผมก่อนเข้าฟาร์ม และยังวางแผนใช้โซล่าเซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ภายในฟาร์มในระยะอันใกล้นี้

“ฟาร์มของเราดำเนินการตามมาตรฐาน “กรีนฟาร์ม” ของบริษัท ด้วยโมเดลธุรกิจสีเขียว ฟาร์มเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีการปลูกต้นไม้ให้ความร่มรื่น ใช้ระบบ Biogas 100% และกำลังจะติดตั้งระบบกรองกลิ่นท้ายโรงเรือนทำเพื่อป้องกันกลิ่นเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังทำ “โครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” ส่งน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว ให้แก่เกษตรกร 2-3 ราย ในพื้นที่ใกล้เคียง ที่มาขอรับน้ำไปใช้ในสวนปาล์มและไร่อ้อย และจะแจกการมูลที่ได้จากระบบ Biogas ที่ตากแห้งแล้ว ให้กับเกษตรกร ช่วยลดค่าใช้จ่ายค่าปุ๋ยได้อีกด้วย” อนุวัฒน์ กล่าว

วันนี้ อนุวัฒน์ ได้ทำตามฝันมีธุรกิจส่วนตัวและได้อยู่กับครอบครัวอย่างที่ตั้งใจ โดยได้วางรากฐานไว้ให้กับลูก พาเขาเข้าไปสัมผัสกับอาชีพของพ่อแม่ ได้ลงมือดูแลหมูด้วยตัวเอง และเขาเชื่อว่านี่จะเป็นมรดกอาชีพในอนาคตของลูกๆ ได้อย่างแน่นอน.