Home Blog Page 107

สมาคมอาหารสัตว์ฯ ลงนามข้อตกลง “USSEC”ชูโมเดลถั่วเหลืองยั่งยืนสหรัฐฯ ต้นแบบสร้างวัตถุดิบยั่งยืนในไทย

0

สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย และ สภาการส่งออกถั่วเหลืองแห่งสหรัฐอเมริกา (USSEC) ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลในการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ยั่งยืน รวมถึง การจัดกิจกรรมต่างๆ ที่จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์และสินค้าปศุสัตว์ ให้ตอบสนองความต้องการสินค้าปศุสัตว์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้ หวังเป็นต้นแบบให้การผลิตข้าวโพดฯ มัน ข้าวและปลาป่น ปรับตัวเป็นวัตถุดิบยั่งยืนของไทยได้ในเร็ววัน

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดเผยว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจอาหารสัตว์ และปศุสัตว์ของไทย มีความพร้อมที่จะเดินหน้าเกี่ยวกับการผลิตสินค้าที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นเรื่องที่สมาคมให้ความสำคัญมาโดยตลอดเป็นระยะเวลากว่าสิบปี

ปีนี้ความต้องการผลิตอาหารสัตว์ของไทยอยู่ที่ประมาณ 21.3 ล้านตัน โดยในจำนวนนี้ต้องพึ่งพิงวัตถุดิบนำเข้ากว่า 60% และยังใช้วัตถุดิบภายในประเทศอีกประมาณ 40% ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าถั่วเหลือง กากถั่วเหลือง ข้าวสาลี หรือแม้แต่วัตถุดิบภายในประเทศอย่าง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์ข้าว และปลาป่น จะต้องเข้าสู่ระบบการผลิตที่ยั่งยืนไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมทั้ง 100% ด้วย

“ความร่วมมือกับ USSEC ในครั้งนี้ จะเป็นตัวอย่างในการจัดหาถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองที่มีความยั่งยืน ซึ่งจะเป็นแหล่งความรู้ที่จะช่วยเร่งให้ไทยสามารถพัฒนาระบบการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ภายในประเทศให้ยั่งยืนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด มันสำปะหลัง ข้าว หรือปลาป่น เพราะราคาจะไม่ใช่สิ่งแรกที่ตลาดถามหาอีกต่อไป แต่ค่าการปล่อยคาร์บอนของสินค้าชิ้นนั้นต่างหาก จะเป็นสิ่งแรกที่ตลาดถามถึง ซึ่งไทยต้องตอบโจทย์นี้ให้ได้” นายพรศิลป์กล่าว

ขณะที่สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย มีความพยายามในการสนับสนุนให้เกิดการสร้างวัตถุดิบที่ยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สมาคมฯ ในนามของภาคีปศุสัตว์และสัตว์น้ำไทย ได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ดำเนินการตรวจวัดการปล่อยคาร์บอนในแปลงปลูกข้าวโพดและกระบวนการผลิตปลาป่น ตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างประมวลผล อย่างไรก็ตาม การทำข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนของสมาชิกสมาคมฯได้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้การส่งออกอาหารของไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ท่ามกลางความท้าทายในการตรวจสอบย้อนกลับวัตถุดิบอาหารสัตว์ของประเทศคู่ค้า

ข้อตกลงความร่วมมือสร้างวัตถุดิบที่ยั่งยืนระหว่าง 2 หน่วยงานนี้ ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การศึกษาพิธีการรับรองความยั่งยืนของวัตถุดิบถั่วเหลืองจากสหรัฐ (SSAP- Soy Sustainability Assurance Protocol) ที่สามารถใช้เป็นเอกสารยืนยันความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์และอาหารมนุษย์ ตลอดจน ข้อแนะนำด้านความโปร่งใสในระบบห่วงโซ่อุปทานและการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่สำคัญคือ USSEC จะสนับสนุนด้านวิชาการและกลไกการรายงานให้อยู่ในเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานโลก เพื่อสนับสนุนให้การผลิตอาหารสัตว์และการปศุสัตว์ของประเทศไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกับมาตรฐานที่โลกต้องการ

นายจิม ซัทเทอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ USSEC กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่อันดับ 3 ของโลก ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของการผลิตอาหารสัตว์ในประเทศ คาดว่าความต้องการอาหารสัตว์ของไทยจะเพิ่มขึ้นอีก 4.5 % จากปี 2567 ถึง 2572 โดยความต้องการในการจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ยั่งยืนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ USSEC พร้อมมากที่จะร่วมมือกับ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ในการเปิดทางสู่อนาคตที่แข็งแกร่งในภูมิศาสตร์การเกษตร ทั้งภาคการผลิตพืชวัตถุดิบ การผลิตภาคปศุสัตว์และการผลิตอาหารของประเทศไทย

สำหรับถั่วเหลืองของสหรัฐฯ มีรอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) น้อยที่สุด เมื่อเทียบกับถั่วจากแหล่งที่มาอื่น ๆ โปรตีนพืชอื่น ๆ และน้ำมันพืช ตั้งแต่ปี 2523 เกษตรกรถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำในการปลูกถั่วเหลืองถึง 60% เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ดินได้ถึง 48% ปรับปรุงการอนุรักษ์ดินได้ถึง 34% และเพิ่มผลผลิตถั่วเหลืองได้ถึง 130% โดยใช้พื้นที่ปลูกเท่าเดิม

การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เชื่อว่าจะทำให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของไทยได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้โมเดลถั่วเหลืองของสหรัฐมาพัฒนาในหลายด้าน เช่น การลดรอยเท้าคาร์บอนในโรงงานอาหารสัตว์ การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรดินและน้ำ การลดการใช้สารเคมีในการเกษตร และการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตอาหารสัตว์ อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจอาหารสัตว์ เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ

AIS ชูนวัตกรรมโครงข่ายสุดล้ำให้ลูกค้าใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมบน 5G SA(DSDA) ครั้งแรกในไทยยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลของคนไทยอีกขั้น

0

AIS ตอกย้ำศักยภาพ 5G ตัวจริงมี 1 เดียว เดินหน้ายกระดับประสบการณ์ดิจิทัลให้กับคนไทย ครั้งแรกในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยที่ลูกค้าสามารถใช้งาน 2 ซิม พร้อมกัน (Dual Active) ได้ทันทีโดยไม่ต้องตั้งค่าบนโครงข่ายอัจฉริยะ 5G SA (Standalone) กับสุดยอดเทคโนโลยีนวัตกรรมโครงข่าย Dual SIM Dual Active (DSDA) ประเดิมใช้งานได้แล้วบนสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปกับ Xiaomi 14 Series เป็นรุ่นแรก ที่จะมายกระดับการใช้งานของลูกค้าให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกมิติ

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวว่า “นอกเหนือจากการเดินหน้าขยายความครอบคลุมและมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้มีความแข็งแกร่งแล้ว ภารกิจสำคัญของ AIS คือการนำศักยภาพของโครงข่ายอัจฉริยะ 5G มาเชื่อมต่อประสบการณ์ดิจิทัลของลูกค้าในทุกมิติ อย่างการพัฒนาเทคโนโลยี VoNR (Voice over 5G New Radio) บนเครือข่าย 5G SA  สำเร็จเป็นรายแรกและรายเดียวในไทย เพื่อให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสคุณภาพการใช้งานและเพิ่มประสบการณ์ที่ลูกค้าสามารถโทรสื่อสารได้ชัดเจนบนโครงข่าย 5G SA บนคลื่นที่มากที่สุดของเอไอเอสได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยวันนี้เราสามารถให้บริการ 5G SA ได้ครอบคลุมกว่า 85% ของพื้นที่ประชากรในกรุงเทพฯ”

วสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS

 “ล่าสุดวันนี้เราได้ยกระดับประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าไปอีกขั้น ด้วยการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม   ครั้งแรกในไทยกับนวัตกรรมเน็ตเวิร์คล่าสุด Dual SIM Dual Active (DSDA) หรือเทคโนโลยีที่จะทำให้ลูกค้าสามารถใช้งานสมาร์ทโฟนได้พร้อมกัน 2 ซิม ทั้ง Data และ Voice ทำให้สามารถใช้อินเทอร์เน็ต หรือเล่นเกมออนไลน์ได้ต่อเนื่อง โดยไม่หลุดถึงแม้จะมีสายเข้าที่ซิม 2”

สำหรับการใช้งาน 2 ซิม แบบเดิมบนสมาร์ทโฟน จะเป็นแบบ DSDS (Dual SIM Dual Standby) ยังมีข้อจำกัด เพราะ โทรหรือเล่น Data พร้อมกันได้ครั้งละหนึ่งซิมเท่านั้น มีการโทรด้วยซิมหนึ่ง อีกซิมจะถูกตัดการทำงานทั้ง Voice และ Data ทันที จนกว่าซิมแรกจะวางสาย อาจทำให้ไม่สะดวกต่อการใช้งานจริงของลูกค้า โดยนวัตกรรม Dual SIM Dual Active (DSDA) จะเข้ามาพลิกโฉมการใช้งานของลูกค้าที่ใช้สมาร์ทโฟนแบบ 2 ซิม ให้สามารถใช้งานได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิมได้ทันที โดยไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม เพียงซิมหลักและซิมรองใช้งานบนเครือข่าย AIS 5G ที่รองรับ VoNR (Voice over 5G New Radio) หรือ VoLTE (Voice Over LTE)

โดยสามารถใช้งานได้ทั้งอินเทอร์เน็ตและการโทรรับสาย (Data + Voice) ได้อย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด บนซิมหลัก  แม้มีสายเรียกเข้าจากซิม 2 หรือแม้แต่ การใช้งานการโทรทั้ง 2 ซิม (Voice + Voice) ที่จะไม่พลาดทุกการสื่อสารสำคัญ ไม่ว่าซิมใดกำลังใช้สาย อีกซิมหนึ่งก็ยังสามารถรับสายหรือโทรออกได้เช่นเดียวกัน และสามารถสลับใช้งานได้ทันทีเมื่อมีสายเข้า  โดยเลือกได้ว่าจะพักสายสนทนา หรือจะฟังสายอีกซิม และการใช้งาน Voice + SMS/MMS เมื่อกำลังใช้สายอยู่ และมีข้อความ SMS/MMS จากอีกซิมหนึ่งเข้ามาจะทำให้สามารถรับข้อความได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องวางสาย

        “เรายังเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมเน็ตเวิร์คอัจฉริยะให้กับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั้งในประเทศและระดับสากลอย่างต่อเนื่อง เพื่อประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดในทุกมิติ จนมาถึงวันนี้ที่เราได้พัฒนานวัตกรรม DSDA ไปพร้อมกับทาง Xiaomi สำเร็จพร้อมใช้งานควบคู่กับสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปกับ Xiaomi 14 Series เป็นรุ่นแรก และคาดว่าจะมีสมาร์ทโฟนที่รองรับทยอยเปิดตัวเพิ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้” นายวสิษฐ์  กล่าวทิ้งท้าย

        สำหรับลูกค้า AIS ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การใช้งานนวัตกรรม DSDA บน 5G SA สามารถจอง Xiaomi 14Series  ทั้ง Xiaomi 14 Ultra และ Xiaomi 14 ได้แล้ว ที่ AIS Shop และตัวแทนจำหน่าย ทั่วประเทศ

กรมประมง เอาจริงเปิดกิจกรรม “ลงแขก ลงคลอง” นำร่องจับปลาหมอสีคางดำ 5 จังหวัด

0

จังหวัดสมุทรสงครามและประมงจังหวัดฯ นำร่องเปิดกิจกรรม “ลงแขก ลงคลอง” เดินหน้าจริงจัง ตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผนึกกำลังทุกภาคส่วนเริ่มโครงการพิชิตปลาหมอสีคางดำ ในแม่น้ำลำคลองของจังหวัด เพื่อลดการแพร่ระบาดและสนับสนุนการนำไปเพิ่มมูลค่าอย่างเหมาะสม ช่วยฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพทั้งสัตว์น้ำพื้นถิ่นและสมดุลระบบนิเวศ

นายบัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม เปิดเผยว่า การเปิดตัวกิจกรรม “ลงแขก ลงคลอง” ในวันนี้ เป็นการเดินหน้าตามโครงการ “ปฏิบัติการล่า ปลาหมอสีคางดำ” ซึ่ง Kick Off ไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 พร้อมกัน 5 จังหวัดนำร่อง คือ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ เพชรบุรี และกรุงเทพมหานคร โดยร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศเป้าหมายในการกำจัดปลาหมอสีคางดำ อย่างเป็นรูปธรรม

บัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม

สำหรับกิจกรรมจับปลาของจังหวัดสมุทรสงครามครั้งนี้ เป็นหนึ่งในปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อปกป้องผลผลิตสัตว์น้ำของเกษตรกรและทรัพยากรประมงของประเทศ ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของหลายภาคส่วน ประกอบด้วย ชาวประมง เกษตรกร ชุมชน และข้าราชการ ในการฟื้นฟูสมดุลสิ่งแวดล้อมในแหล่งน้ำ และเป็นแหล่งอาหารของคนในชุมชนอย่างยั่งยืน

กิจกรรมในวันนี้ ประกอบด้วยการลากอวนจับปลาหมอสีคางดำในบ่อพักน้ำ บริเวณสระน้ำด้านข้างศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม โดยประมงจังหวัดสมุทรสงคราม มีเป้าหมายในการจัดกิจกรรมนี้เดือนละ 1 ครั้ง ตลอดปี 2567 ควบคู่กับการจัดแสดงนิทรรศการชีววิทยาของปลาหมอสีคางดำ และการชิมอาหารจากการแปรรูปปลาหมอสีคางดำ

“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงวางแผนและกำหนดมาตรการในการควบคุม ป้องกันและแก้ปัญหา การแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำมาอย่างต่อเนื่อง ร่วมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับสังคมและชุมชน ผ่านกิจกรรมหลายรูปแบบ เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาและลดจำนวนปลาหมอสีคางดำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด” นายบัณฑิตกล่าว

สำหรับแนวทางหลักในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาปลาหมอสีคางดำ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย 1. การจับปลาด้วยเครื่องมือที่เหมาะสมกับพื้นที่ ทั้งอวนล้อม อวนลาก และทอดแห 2. การปล่อยปลานักล่า เช่น ปลากะพง 3. สนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่า 4. นำไปทำปลาป่น เป็นอาหารสัตว์

ที่ผ่านมา ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม มีการจัดกิจกรรมหลายรูปแบบ เพื่อฟื้นฟูแหล่งน้ำและช่วยเหลือเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อ เช่น การปล่อยปลากะพงขาว ปลาอีกง และมอบกากชา เพื่อกำจัดปลาหมอสีคางดำ ตลอดจนมีการแนะนำให้ใช้เครื่องมือประมงอย่างเหมาะสมในการจับปลาแต่ละพื้นที่ทั้งทอดแหและลากอวน โดยดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561- ปัจจุบัน

นายบัณฑิต กล่าวว่า กรมประมงยังได้หาแนวทางในการนำปลาหมอสีคางดำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ปลาแดดเดียว น้ำปลา ผงคลุกข้าวแบบญี่ปุ่น ปุ๋ยน้ำ และเมนูอาหารหลายชนิด รวมถึงอาหารทานเล่น อาทิ ไส้อั่ว ปั้นขลิบ ข้าวเกรียบ ปลาแผ่นบด เป็นต้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและมูลค่าทางเศรษฐกิจ เป็นรายได้ให้กับเกษตรกรและคนในชุมชน รวมถึงประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ สร้างความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องในการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ตามเป้าหมายการกำจัดปริมาณปลาหมอสีคางดำ

ตลท. สั่ง NUSA ชี้แจงข้อมูลการประชุมคณะกรรมการที่แตกต่างกัน

0

รายงานข่าวเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2567 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีหนังสือแจ้งให้บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) (NUSA) ชี้แจงข้อมูลการประชุมคณะกรรมการที่แตกต่างกัน โดยมีเนื้อหาว่า ตามที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้น (จัดตามมาตรา 100) ได้มีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการใหม่และเปลี่ยนแปลงประธานคณะกรรมการบริษัทเป็นนายนพพล มิลินทางกูร ต่อมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการประชุม คณะกรรมการเมื่อวันท่ี 15 มีนาคม 2567 ที่มีเนื้อหาที่แตกต่างกันดังนี้

• หนังสือจากนายวิษณุ เทพเจริญ แจ้งว่าในฐานะที่ตนเองเป็นประธานกรรมการมิได้รู้เห็นและเรียกประชุม กรรมการในวันดังกล่าว การประชุมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
• หนังสือจากนายนพพล มิลินทางกูร แจ้งว่าในฐานะประธานกรรมการ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการ ในวันดังกล่าวซ่ึงที่ประชุมคณะกรรมการได้มีมติอนุมัติให้เรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 และได้นำส่งสารสนเทศเกี่ยวกับการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นให้กับกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทเเพื่อให้เปิดเผย สารสนเทศผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน NUSA ยังไม่ได้เปิดเผยมติคณะกรรมการบริษัท

เพื่อให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ NUSA ช้ีแจงข้อเท็จจริงดังกล่าว ภายในวันที่ 25 มีนาคม 2567

AIS ผนึก กระทรวง พม. เปิดตัวโครงการ “JUMP THAILAND HACKATHON 2024” ชวนนิสิต-นศ. สร้างนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุและคนพิการ ชิงรางวัลรวม 2 แสนบาท

0

AIS ACADEMY ผนึก กรมกิจการผู้สูงอายุ และ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ต่อเนื่อง ร่วมเคียงข้าง ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ล่าสุดเปิดตัวโครงการ JUMP THAILAND HACKATHON 2024 ภายใต้แนวคิด “ภารกิจคิดเผื่อ ขับเคลื่อนอนาคตด้วยนวัตกรรม” เชิญชวนนิสิต-นักศึกษา จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โชว์ไอเดียออกแบบนวัตกรรม ภายใต้โจทย์ “เทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและคนพิการได้อย่างไร” ตั้งเป้าสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มคนพิการให้มีศักยภาพในการดูแลตนเองได้อย่างยั่งยืน พร้อมรับองค์ความรู้ใหม่ๆ และทักษะดิจิทัลจากบุคลากรของ AIS ที่จะร่วมเป็นเมนเทอร์ในกิจกรรมนี้ตลอดโครงการ

กานติมา เลอเลิศยุติธรรม

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS และกลุ่มอินทัช กล่าวว่า “AIS ACADEMY ยังคงเดินหน้าเพื่อเป็นแกนกลางในการพัฒนาศักยภาพของคนทั้งภายในและภายนอกองค์กรมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทำงานร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่ดูแลคุณภาพชีวิตคนไทยในองค์รวม ซึ่งที่ผ่านมาได้ร่วมมือกันจัดให้กลุ่มพนักงาน AIS ได้ร่วมส่งต่อความรู้ สร้างอาชีพกับประชาชนในช่วงสถานการณ์โควิค-19 ผ่านกิจกรรมอุ่นใจอาสาพัฒนาอาชีพ รวมถึง สร้างห้องสมุดดิจิทัลเพื่อมอบโอกาสการเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ให้กับเด็กไทย”

“ล่าสุดประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ รวมไปถึงความต้องการในการดูแลผู้พิการท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปก็มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น จึงกลายเป็นความท้าทายของสังคมอย่างมาก ดังนั้น AIS จึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานร่วมกับ กรมกิจการผู้สูงอายุ และ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดโครงการ JUMP THAILAND HACKATHON 2024 ภายใต้แนวคิด “ภารกิจคิดเผื่อ ขับเคลื่อนอนาคตด้วยนวัตกรรม” ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เปิดเวทีการแข่งขันให้นิสิต นักศึกษา ได้โชว์ไอเดียการนำนวัตกรรมมาพัฒนาเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและคนพิการ พร้อมโอกาสในการได้รับองค์ความรู้จากพนักงาน AIS ที่จะร่วมเป็นเมนเทอร์ แบ่งปันทักษะ ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ให้แก่น้องๆ อย่างใกล้ชิดตลอดการแข่งขัน โดยความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของชาวเอไอเอสที่พร้อมเคียงข้างสังคมไทยโดยใช้ขีดความสามารถของการเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ – Cognitive Tech-Co นั่นเอง” นางสาวกานติมา กล่าวทิ้งท้าย

นิสิต นักศึกษา ที่สนใจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ JUMP THAILAND HACKATHON 2024 เพื่อชิงรางวัลมูลค่ารวม 200,000 บาท โดยรางวัลชนะเลิศจะได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัล 100,000 บาท และโอกาสในการร่วมงานกับ AIS ในการพัฒนาโครงการให้เกิดขึ้นจริงร่วมกับกระทรวง พม. ได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 30 เมษายน 2567 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.jumpthailand.com หรือ https://www.facebook.com/AISJumpThailand

เตือนนักลงทุน ระวังโดนหลอก บัญชีปลอมแอบอ้างเป็นผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ออกหนังสือเตือนนักลงทุน โดยมีเนื้อหาว่า ตามที่ปรากฏบัญชีโซเชียลมีเดียปลอมที่แอบอ้างชื่อและภาพของผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) รวมทั้งได้มีการใช้บัญชีดังกล่าวไปชักชวนหรือหลอกลวงประชาชนทั่วไปให้มาร่วมลงทุน หรือรับข้อมูลการลงทุน นั้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอเตือนผู้ลงทุนและประชาชนว่า อย่าได้หลงเชื่อบัญชีปลอม เพจปลอมและโซเชียลมีเดียใด ๆ ที่มีการแอบอ้างดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จที่ต้องการหลอกลวง

ทั้งนี้ หากพบบัญชีปลอม เพจ Facebook หรือโซเชียลมีเดียใด ๆ ที่มีการแอบอ้างโลโก้และชื่อของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงชื่อและภาพผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลอดจนบุคคลที่มีชื่อเสียงในตลาดทุน เพื่อชักชวนให้เข้าร่วมลงทุนหรือรับข้อมูลการลงทุน ขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นการหลอกลวงโดยมิจฉาชีพ และขอให้สอบถามหรือตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ที่ SET Contact Center 0 2009 9999 หรือ email: [email protected]

เมืองไทยประกันชีวิต บุกประกันออนไลน์ ส่ง “PA จุใจ ไม่เคลมมีคืน” เปิดประสบการณ์ใหม่ไม่เคลมก็ได้คืน

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า เพื่อตอกย้ำนโยบาย “Happiness, Your Way เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ความสุขสไตล์คุณคือที่สุดของทุกสิ่ง”  ในฐานะคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ (No. 1 Most Trusted Partner in Life & Health Planning) และสร้างความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต ยังคงเดินหน้ารุกตลาดประกันออนไลน์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ของประกันอุบัติเหตุออนไลน์ ด้วยการเปิดตัว “PA จุใจ ไม่เคลมมีคืน” เติมความมั่นใจรับมืออุบัติเหตุ หากไม่เคลมก็ได้คืน 

ทั้งนี้ “PA จุใจ ไม่เคลมมีคืน” โดดเด่นด้วยผลประโยชน์กรณีต่ออายุกรมธรรม์ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 ปี และไม่เคยเคลม จะได้รับคืนเบี้ยประกันภัย 1 ปีเท่ากับจำนวนเบี้ยประกันภัยต่อปีในปีสุดท้าย พร้อมโดดเด่นด้วยความคุ้มครองการเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง สูญเสียอวัยวะ และอื่น ๆ จากอุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์สูงสุดไม่เกิน 1,200,000 บาท หรืออุบัติเหตุที่เกิดจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์สูงสุดไม่เกิน 600,000 บาท อุบัติเหตุสาธารณะ สูงสุดไม่เกิน 2,400,000 บาท การถูกฆาตกรรมหรือถูกทำร้ายร่างกาย สูงสุดไม่เกิน 1,200,000 บาท รวมถึงเงินค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้งสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท โดยไม่ต้องสำรองจ่าย คุ้มครอง 24 ชั่วโมง    ทั่วโลก มีให้เลือกได้จุใจถึง 3 แผน คือ S  M และ L ซื้อได้ตั้งแต่อายุ  20-60 ปี เบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 5,000 บาทต่อปี 

พิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อประกันอุบัติเหตุ PA จุใจ ไม่เคลมมีคืน” บนช่องทาง Online Sale และ MTL Click โดยชำระเบี้ยประกันภัยรายปี เบี้ยประกันภัยขั้นต่ำ 5,000 บาท (เฉพาะการชำระเบี้ยประกันภัยต่อกรมธรรม์ในปีแรกเท่านั้นและสำหรับการซื้อแบบประกันใหม่เท่านั้น) รับโปรโมชันผ่อนชำระ 0% นาน 3 เดือน เมื่อชำระผ่านบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารยูโอบี ธนาคารซิตี้แบงก์ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงไทย ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 – 31 พฤษภาคม 2567(6)  

“เมืองไทยประกันชีวิต เรามีความมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คนในสังคม(Democratizing Insurance) พร้อมเดินหน้าออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้เหมาะสมกับความต้องการที่แตกต่างกันได้อย่างเข้าใจและเข้าถึงได้จริง เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคนได้มีความอุ่นใจ มีหลักประกันที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ตามแนวนโยบายสำคัญของบริษัทฯ ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติสิ่งแวดล้อม (Environment)  มิติสังคม (Social) และมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance and Economy) หรือ ESG เพื่อสร้างความสุขและรอยยิ้มแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย”       

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเลือกซื้อประกันอุบัติเหตุออนไลน์ PA จุใจ ไม่เคลมมีคืน” จากเมืองไทยประกันชีวิต ได้ตลอด 24 ชั่วโมง  หรือศึกษารายละเอียดแบบประกันภัย โปรโมชัน และสิทธิพิเศษเพิ่มเติม ได้ที่ลิงก์นี้       https://webmtl.co/4c5KRXn  ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

40 ปี “ธุรกิจห้าดาว” สานฝันผู้ประกอบการมีธุรกิจเป็นของตนเอง สร้างอาชีพมั่นคง เติบโตบนเส้นทางธุรกิจยั่งยืนไปด้วยกัน

0

นายสุนทร จักษุกรรฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด เปิด เผยว่า “ธุรกิจห้าดาว” (Five Star) สานฝันผู้ประกอบการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง มุ่งสร้างงานสร้างอาชีพและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับผู้ประกอบการ มาตลอด 40 ปี ปัจจุบันมีแฟรนไชส์กว่า 5,000 รายในประเทศไทย และอีก 3,500 รายในต่างประเทศ ตั้งเป้าปี 2567 ขยายความสำเร็จเป็น 11,500 ราย ใน 10 ประเทศ โดยมุ่งเน้นการสานต่อความสำเร็จ สร้างเถ้าแก่ที่เข้มแข็งมีคุณภาพ ส่งต่ออาหารคุณภาพปลอดภัยสู่ผู้บริโภค โดยมีบริษัทฯ เป็น “เพื่อนแท้ทางธุรกิจ” ที่ช่วยสนับสนุนในทุกๆด้าน ช่วยสร้างโอกาสที่จับต้องได้ บนพื้นฐานความน่าเชื่อถือในการดำเนินธุรกิจของห้าดาวที่มีมาอย่างยาวนาน ด้วยกลยุทธ์ที่โดดเด่น ซึ่งสามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการเป็นเถ้าแก่ที่มีการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคง

“ตลอดการดำเนินงาน 40 ปี ธุรกิจห้าดาวมุ่งมั่นสร้างอาชีพ ให้ผู้ประกอบการมีโอกาสเติบโตบนเส้นทางธุรกิจไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน จากระบบบริหารจัดการแบบครบวงจร ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างมืออาชีพ โดยมีบริษัทฯ เป็นทีมหลังบ้านที่แข็งแกร่ง ด้วยการลงทุนที่ต่ำกว่าในอุตสาหกรรมใกล้เคียงกัน จึงลดความเสี่ยงของผู้ลงทุน ทำให้สามารถคืนทุนได้ในเวลาอันรวดเร็ว เป็นการสร้างอาชีพและรายได้ที่แน่นอน ช่วยสร้างงานให้กับคนในชุมชน เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ส่งมอบอาหารปลอดภัยให้กับผู้บริโภค และมีส่วนร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปด้วยกัน” นายสุนทร กล่าว

ธุรกิจห้าดาว เป็นธุรกิจจุดจำหน่ายอาหารในรูปแบบแฟรนไชส์สัญชาติไทย ดำเนินการภายใต้ บริษัท ซีพีเอฟเรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด บริษัทย่อยของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ปัจจุบันธุรกิจห้าดาวมีแฟรนไชส์จำหน่ายอาหารหลากหลาย ตั้งแต่ ซุ้มไก่ย่าง-ไก่ทอดห้าดาว กระทะเหล็ก Hi Pork เป็ดเจ้าสัว ข้าวมันไก่ไห่หนาน และ STAR COFFEE และยังคงเดินหน้าพัฒนารูปแบบร้านให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ ทั้งรูปแบบ Five Star Glass House และ Five Star Shop

นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการทำ Food Delivery สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่าน TrueMoney Wallet ที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในยุคของสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ที่สำคัญยังมีทีมงานเข้าตรวจสอบคุณภาพมาตรฐาน QSC และประเมินการรักษามาตรฐานของร้านอยู่เสมอ ตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นเจ้าของธุรกิจอาหารที่ผู้บริโภคเชื่อมั่นด้านคุณภาพ ความปลอดภัยของสินค้า และมีความเป็นเลิศในการบริการ

รู้เก็บรู้ออม : สูงวัยแบบมั่นคง

0

วันหนึ่งทุกคนก็ต้องแก่ และเป็นสมาชิกของสังคมผู้สูงวัย แต่บั้นปลายชีวิตของคนเราอาจไม่ได้สวยงาม เมื่อมีผลวิจัยพบว่า คนไทยวัยเกษียณจะประสบปัญหาทางการเงิน แม้ว่าผู้สูงอายุอาจมีเงินออมไว้ใช้หลังเกษียณ แต่มูลค่าการออมกลับอยู่ในระดับที่ต่ำและไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต

ที่สำคัญ กลุ่มผู้สูงอายุจัดเป็นกลุ่มคนที่มีระดับความรู้ทางการเงินน้อยกว่าคนวัยอื่น และมีทักษะด้านการเงินอยู่ในระดับต่ำที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่สถานะการเงินของผู้สูงวัยจะตกอยู่ในสภาพที่เปราะบาง อาการน่าเป็นห่วงทั้งสุขภาพการเงิน และสุขภาพร่างกาย

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้ และที่ผ่านมาก็มีบทบาทด้านการส่งเสริมความรู้พื้นฐานเรื่องการบริหารเงินให้กับคนไทยวัยเกษียณและใกล้เกษียณ ล่าสุดขอชวนผู้สนใจไปเปิดมุมมองและแนวคิดสำคัญ เตรียมพร้อมวางแผนเกษียณอย่างไรให้มีความสุข กับงาน “จาก Aged Society สู่ Happy Young Old” ในวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2567 นี้ ตั้งแต่เวลา 09.00–12.00 น. ที่หอประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ชั้น 3 อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ถนนรัชดาฯ

พบกับเสวนาหัวข้อ “เรื่องชวนคิด ออกแบบชีวิตเกษียณสุข” โดยคุณแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ, ศ.พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานคณะกรรมการ บ.ชีวามิตร วิสาหกิจเพื่อสังคม, คุณวศิน วัฒนวรกิจกุล นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย และ ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ

ต่อด้วยเสวนาหัวข้อที่ชวนติดตามกับ “#Young Old อย่าง Happy ได้ สไตล์คุณ” โดยคุณประสาน อิงคนันท์ ผู้ก่อตั้งเพจมนุษย์ต่างวัย และ คุณชุติมา แสนนนท์ เจ้าของเพจ แต่งให้สวย Style 50+ คนที่ต้องการเตรียมตัวแก่แบบมั่นคงและมั่งคั่ง ต้องไม่พลาดกับงานดีๆ และไม่มีค่าใช้จ่าย โดยเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานแล้วทาง https://www.set.or.th/th/about/event-calendar/event/eventdetails?id=86972 หรือหากไม่สะดวกเดินทาง ก็สามารถติดตามรับชมการถ่ายทอดสดผ่านทาง Facebook และ YouTube : SET Thailand

พิเศษ! ผู้ที่ลงทะเบียนล่วงหน้า และมาร่วมงานที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ 100 คนแรก รับของที่ระลึก Young Old Gift set มูลค่ากว่า 300 บาท ฟรี

คนที่อยากวางแผนการเงิน หรือรู้ตัวว่าใกล้เกษียณเข้าไปทุกที อยากจะมีชีวิตแบบเกษียณสุข สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ “Happy Money สุขเงินสร้างได้” www.set.or.th/happymoney  หรือโทร.สอบถามเพิ่มเติม SET Contact Center 0-2009-9999.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ซีพีเอฟ และนิวซีแลนด์ ร่วมจัดงาน Business Matching พัฒนาคุณภาพอาหารและความยั่งยืน

0

เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจำราชอาณาจักรไทย นายโจนาธาน คิงส์ (H.E. Jonathan Kings) เป็นประธานเปิดงาน Business Matching จัดขึ้นโดย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมมือกับประเทศนิวซีแลนด์ เปิดโอกาสให้ซีพีเอฟ พบกับพันธมิตรบริษัทชั้นนำจากนิวซีแลนด์ 6 แห่ง เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตอาหารที่ทันสมัย ปลอดภัย และยั่งยืน ตอบวิสัยทัศน์การเป็นครัวของโลกของประเทศไทย และการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เห็นอนาคตก่อนใคร (See Tomorrow First) ของประเทศนิวซีแลนด์ โดยมีผู้บริหารของซีพีเอฟเข้าร่วม ณ ห้อง Calla Suite โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ

ฯพณฯ นายโจนาธาน คิงส์ กล่าวเปิดงานว่า นิวซีแลนด์มีความมุ่งมั่นสนับสนุนพันธมิตรทางธุรกิจทั่วโลกเพื่อพัฒนาความยั่งยืนและนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร ความร่วมมือกับซีพีเอฟครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 65 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างนิวซีแลนด์กับประเทศไทย ยังเป็นการเน้นย้ำถึงความตั้งใจจริงที่จะสร้างประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชน และความรับผิดชอบต่อการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม

“ขอขอบคุณซีพี สำหรับความร่วมมือที่สร้างเสริมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศของเราทั้งสอง ยกระดับผู้คนในสังคม และเป็นความร่วมมือที่เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่เรามีร่วมกันต่ออนาคตอันยั่งยืน ขอเฉลิมฉลองการเดินทางร่วมกันของเราต่อไป การผลักดันนวัตกรรม ความยั่งยืน และความมั่งคั่งของประเทศไทยและนิวซีแลนด์” ฯพณฯ นายโจนาธาน คิงส์ กล่าว

สำหรับงาน Business Matching เป็นการจับคู่ธุรกิจ ระหว่างซีพีเอฟ กับบริษัทด้านเทคโนโลยีจากนิวซีแลนด์ นำสู่ความร่วมมือ 3 ด้านได้แก่ ด้านปศุสัตว์และอาหาร ด้านเทคโนโลยี และด้านห่วงโซ่อุปทาน ก่อให้เกิดแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหาร ส่งเสริมความปลอดภัยของผู้บริโภค และสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับผู้บริโภคทั่วโลก ตลอดจนส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ

นายพีระพงศ์ กรินชัย ผู้บริหารสุงสุด สายงานวิศวกรรมกรรมกลาง ซีพีเอฟ กล่าวขอบคุณ สำนักงานพาณิชย์นิวซีแลนด์ สถานทูตนิวซีแลนด์ และพันธมิตรธุรกิจจากนิวซีแลนด์ที่ร่วมงานครั้งนี้ ช่วยให้ซีพีเอฟได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีล้ำสมัยของนิวซีแลนด์ ซึ่งถือเป็นประเทศชั้นนำด้านเกษตรกรรม และเทคโนโลยีปศุสัตว์ โดยซีพีเอฟเล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจของบริษัทในประเทศไทย ช่วยยกระดับการเลี้ยงสัตว์ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น สนับสนุนธุรกิจของซีพีเอฟเติบโตก้าวหน้าในอนาคต

ทั้งนี้ บริษัทชั้นนำจากนิวซีแลนด์ 6 แห่งที่เข้าร่วมในครั้งนี้ ได้แก่ BECA, DSH Systems, Integrated Control Technology, PTN Munafacturing Limited, MACSO Technologies และ SEEN Safety ซึ่งแต่ละบริษัทเป็นผู้นำด้านการออกแบบนวัตกรรมเกี่ยวกับโรงงาน เทคโนโลยีการผลิตอาหารแบบอัตโนมัติ และเทคโนโลยีการเกษตรขั้นสูง องค์กรเหล่านี้พร้อมนำเสนอโซลูชั่นที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต การจัดการข้อมูลปศุสัตว์ เสริมสร้างความปลอดภัยและอาชีวอนามัย และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

แคมเปญ See Tomorrow First ของประเทศนิวซีแลนด์ (หรือในภาษาเมารี เรียกว่า Aotearoa) สะท้อนชีวิตของชาวนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเป็นประเทศแรกๆของโลก การได้เห็นวันพรุ่งนี้ก่อนได้กระตุ้นให้คนนิวซีแลนด์ใส่ใจต่ออนาคต และพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้วันพรุ่งนี้ดียิ่งขึ้น