Home Blog Page 102

เอไอเอส ชูพลังจากสุดยอดพันธมิตรช่องทางจัดจำหน่ายที่1 ตัวจริง ส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลจากมือถือและเน็ตบ้านที่ดีที่สุดให้คนไทย

0

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป และ นายธีร์ สีห์อัมพรโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจบรอดแบนด์ AIS ร่วมกันกล่าว ในโอกาสมอบรางวัล “ผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมทางด้านงานขาย และงานบริการของปี 2566”  ให้กับพันธมิตรตัวแทนจำหน่าย เพื่อเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นและเป็นการขอบคุณที่ดำเนินธุรกิจร่วมกันมาอย่างดีเยี่ยม  ว่า “ทุกวันนี้ Digital Lifestyle คือ วิถีการใช้ชีวิตของทุกคน เป้าหมายของ AIS จึงมุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับวิถีดังกล่าว จนปัจจุบันเรามีโครงข่าย 5G ครอบคลุมแล้ว 90% ทั่วประเทศ และโครงข่ายไฟเบอร์ บรอดแบนด์ ที่เข้าถึงกว่า 13.3 ล้านครัวเรือนทั่วไทย  เพื่อให้คนไทยได้รับความสะดวกจากการใช้ดิจิทัลอย่างไร้ข้อจำกัด”

“ด้วยนโยบายของ AIS ที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการส่งมอบบริการแก่ลูกค้าด้วยคุณภาพที่เป็นเลิศ ร่วมกับพาร์ทเนอร์ช่องทางจัดจำหน่ายในหลากหลายกลุ่ม เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าผ่าน Customer Service Touchpoint ที่ปัจจุบันขยายตัวต่อเนื่อง ในปัจจุบันที่มีแล้วมากกว่า 25,000 แห่งทั่วประเทศ ที่นอกจากจะมอบประโยชน์แก่ลูกค้า คนไทย แล้ว ยังถือได้ว่าเป็นการร่วมสร้างการเติบโตของพาร์ทเนอร์ตัวแทนจำหน่ายไปพร้อมๆกัน ตามหลักคิด ECOSYSTEM ECONOMY – เศรษฐกิจแบบร่วมกัน อีกด้วย”

            ปัจจุบัน AIS มีช่องทางการจัดจำหน่ายและบริการลูกค้า ที่ดูแลทั้งการใช้งานมือถือ และ การใช้งานเน็ตบ้าน ที่ร่วมกับพาร์ทเนอร์หลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่ม ประกอบด้วย

·               ร้านเอไอเอส ร้านเอไอเอส เทเลวิซ ,ร้านเอไอเอส บัดดี้ เอ็กซ์คลูซีฟ ที่จำหน่ายทั้งโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริมต่างๆ ซิมแบบรายเดือน และเติมเงิน พร้อมเครื่องในโครงการพิเศษเพื่อลูกค้าเอไอเอสเท่านั้น รวมไปถึงการสมัครบริการเน็ตบ้าน ทั้ง AIS Fibre และ 3BB รวมถึงการทำธุรกรรมต่างๆ  ที่ ปัจจุบันมีกว่า 800 สาขาทั่วประเทศ

·         ร้านค้าเทคโนโลยีชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญด้านสินค้า และบริการที่ตอบสนอง Digital Lifestyle อาทิ Jaymart, TG , iStudio by SPVi, iStudio by Copperwired และ iStudio by Uficon ที่จำหน่ายสินค้าเทคโนโลยี สมาร์ตโฟน และดิจิทัล แก็ดเจ็ต โดยภายในร้านจะมีบริการของ AIS ที่มาพร้อมสินค้าและบริการต่างๆ อาทิ โทรศัพท์มือถือ ซิมแบบรายเดือน และเครื่องในโครงการพิเศษเพื่อลูกค้าเอไอเอสเท่านั้น หลากหลายรูปแบบ  โดยร้านค้าในกลุ่มนี้ปัจจุบันมีกว่า 700 สาขา

·               ร้านค้ารายย่อย ที่กระจายตัวอยู่ตามชุมชน และพื้นที่ห่างไกล จำหน่ายทั้งโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริม ซิมแบบรายเดือน และเติมเงิน พร้อมบริการด้านธุรกรรมต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 20,000 ร้านทั่วประเทศ 

นายปรัธนา และ นายธีร์ ร่วมกันย้ำว่า “นอกจากนี้เรายังทำงานร่วมกับพันธมิตรช่องทางจัดจำหน่ายในการยกระดับเทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่จะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์งานบริการที่ตอบโจทย์ Digital Lifestyle อยู่เสมอ พร้อมร่วมพัฒนาทักษะพนักงาน ให้มีความรู้ ความชำนาญ เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้มอบคำแนะนำและให้บริการลูกค้าได้อย่างเป็นเลิศ ภายใต้มาตรฐานเอไอเอสอีกด้วย เพราะเราเชื่อมั่นเสมอว่า การมีพันธมิตรที่มีความรู้ ความชำนาญ และจุดแข็งที่แตกต่าง หลากหลาย กระจายอยู่ทั่วประเทศ  เป็นหัวใจหลักที่จะส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดี และแตกต่างได้ ที่สำคัญคือ มีส่วนร่วมลดข้อจำกัด สร้างความเท่าเทียมให้ลูกค้าและคนไทยสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการคุณภาพของเอไอเอสอย่างสะดวกสบายได้ทั่วประเทศ” 

ซีพีเอฟ – กระทรวงแรงงานฯ เซ็น MOU ขับเคลื่อนองค์กรสีขาว ขับเคลื่อนต้นแบบองค์กรเอกชนปลอดยาเสพติด

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน​) หรือซีพีเอฟ ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานขับเคลื่อนต้นแบบองค์กรเอกชนปลอดยาเสพติด ดูแลพนักงานในสถานประกอบกิจการห่างไกลยาเสพติด มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน หนุนสร้างสังคมเข้มแข็ง เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง ตั้งเป้าภายในปี 2567 นี้ ฟาร์มและโรงงานกว่า 400 แห่งทั่วไทยผ่านการรับรองโรงงานสีขาว

ในวันที่ 19 เมษายน 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด “องค์กรสีขาว เพื่อย่างก้าวที่ยั่งยืน” ระหว่าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.)​ และ ซีพีเอฟ พร้อมกับมอบธงนำร่องสถานประกอบกิจการผ่านเกณฑ์โรงงานสีขาว และการดำเนินงานมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) แก่นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ และผู้บริหารบริษัทในกลุ่มซีพีเอฟ โดยมีนางโสภา เกียรตินิรชา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแรงงานและซีพีเอฟร่วมด้วย ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงาน

นายพิพัฒน์​ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับชาติที่รัฐบาลมีนโยบายดำเนินการจัดการอย่างเร่งด่วน เพื่อสนับสนุนให้ประเทศพัฒนาอย่างเข้มแข็งและมั่นคง กระทรวงแรงงานมุ่งเน้นสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ และเอกชนบูรณาการดำเนินแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการอย่างเป็นระบบตามหลักเกณฑ์โรงงานสีขาว สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงในวันนี้เป็นหลักประกันว่าพนักงานของซีพีเอฟทุกคนได้ทำงานในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย มีระบบและกลไกในการแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดแบบครบ วงจร เป็นตัวอย่างที่ดีขององค์กรที่มีแนวปฏิบัติด้านแรงงานที่ดี ดูแลพนักงานทุกคนด้วยความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อให้พนักงานทุกคนที่ทำงานในประเทศไทยมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน

“ขอชื่นชมซีพีเอฟที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐบรรลุเป้าหมายในการป้องกัน และหยุดยั้งปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน และยังมีการต่อยอดดูแลชุมชนที่อยู่รอบๆ หน่วยงานให้มีความเข้มแข็ง และห่างไกลจากยาเสพติดอย่างจริงจัง”​ นายพิพัฒน์ กล่าว

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า พนักงานเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนบริษัทฯ บรรลุวิสัยทัศน์การเป็นครัวของโลก ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการจัดการปัญหายาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง การลงนามบันทึกความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด “ขับเคลื่อนองค์กรสีขาว เพื่อย่างก้าวที่ยั่งยืน” กับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นการประกาศเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการต่อต้านยาเสพติด นำหลักเกณฑ์และแนวทางของโรงงานสีขาว และการดำเนินงานมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) นำมาปฏิบัติ ส่งเสริมแบบจริงจังอย่างเป็นระบบ เพื่อพัฒนาสถานประกอบการของซีพีเอฟกว่า 437 แห่งทั่วประเทศ ให้เป็นองค์กรที่ปลอดจากยาเสพติด ซึ่งครอบคลุมพนักงานทั้งคนไทยและ พนักงานจากประเทศเพื่อนบ้านกว่า 70,000 คน โดยการตั้งเป้าหมายภายในปีนี้ สถานประกอบกิจการทุกแห่งในประเทศไทย ได้รับการรับรองโรงงานสีขาวและมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) ร่วมสร้างความยั่งยืนขององค์กร ชุมชนและประเทศต่อไป

“ซีพีเอฟมีความยินดีร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน และภาคีเครือข่ายพัฒนาสถานประกอบกิจการของบริษัทฯ ทุกแห่งทั่วประเทศเป็นต้นแบบองค์กรดูแลพนักงานทุกคน และชุมชนรอบข้างมีภูมิคุ้มกันห่างไกล สนับสนุนสังคมไทยมีความเข้มแข็ง และเศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง ซึ่งสอดคล้องกับหลักปรัชญาสามประโยชน์สู่ความยั่งยืนที่ผู้บริหารและพนักงานซีพีเอฟยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นลำดับแรก ประโยชน์ของประชาชนเป็นลำดับที่สอง และประโยชน์ของบริษัทเป็นลำดับสุดท้าย”​ นายประสิทธิ์กล่าว

ซีพีเอฟ ให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนขับเคลื่อนองค์กรปลอดยาเสพติดและเป็นโรงงานสีขาว ตามโครงการ “ซีพีเอฟ องค์กรสีขาว เพื่อย่างก้าวที่ยั่งยืน” โดยให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดี เคารพหลักสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่การให้ความรู้ความเข้าใจให้พนักงานมีความตระหนักและร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายด้านยาเสพติดอย่างจริงจัง การอบรมพัฒนาศักยภาพผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดเป็นเครือข่ายที่สำคัญในการเป็นเกราะป้องกันไม่ให้พนักงานมีความเสี่ยงไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รวมทั้งมีนโยบายช่วยเหลือพนักงานในการบำบัดรักษาและฟื้นฟู และให้โอกาสพนักงานที่รักษาหายสามารถกลับมาทำงานกับองค์กรได้ เพื่อสนับสนุนให้สถานประกอบกิจการทุกแห่งของซีพีเอฟปลอดจากยาเสพติด เป็นสมาชิกที่ดีและอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข มั่นคงและยั่งยืน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตือนภัยมิจฯ แอบอ้างเป็นจนท. หลอกเรื่องคืนเงินภาษีเงินปันผล

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยแพร่หนังสือเตือนภัยมิจฉาชีพ โดยมีเนื้อหาว่า ตามที่มีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือเจ้าหน้าที่บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) ได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังผู้ลงทุนและประชาชนทั่วไป โดยหลอกลวงเรื่องการคืนภาษีเงินปันผล รวมถึงมีการชักชวนให้ร่วมลงทุนด้วยนั้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ TSD ไม่มีการให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ติดต่อหรือส่ง SMS แนบ Link เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับการคืนภาษีเงินปันผลในทุกกรณี จึงขอเตือนผู้ลงทุนและประชาชนทั่วไปให้ใช้ความระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และไม่ควรหลงเชื่อให้ข้อมูลใด ๆ โดยขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นการหลอกลวงโดยมิจฉาชีพ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยหรือประสงค์ที่จะสอบถามข้อมูล สามารถติดต่อโดยตรงได้ที่ SET Contact Center 0 2009 9999 หรือ email: [email protected]

ออมสิน เปิดโครงการ “สินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” ลดดบ. 4 กลุ่มสินเชื่อ แก้หนี้ครัวเรือนตามนโยบายรัฐบาล

0
ออมสิน เปิดให้กู้โครงการ “สินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” ตั้งเป้าแก้หนี้ครัวเรือนตามนโยบายรัฐ ลดดอกเบี้ย 4 กลุ่มสินเชื่อ ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2567 เป็นต้นไป

รายงานข่าว เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งรัดการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ธนาคารออมสิน ได้พิจารณาออกมาตรการรีไฟแนนซ์ ภายใต้โครงการ “สินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” รับรีไฟแนนซ์หนี้เดิม (ไม่ใช่การปล่อยสินเชื่อใหม่) เพื่อช่วยลดภาระแก่ลูกหนี้ 4 กลุ่ม ด้วยหลักเกณฑ์ดอกเบี้ยต่ำ พร้อมเงื่อนไขพิเศษอื่น เพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐ และสอดรับกับบทบาทธนาคารเพื่อสังคม ทั้งนี้ ตั้งเป้าช่วยเหลือประชาชนลดภาระการชำระหนี้ ผ่อนสบายมากขึ้น หรือผู้ที่รีไฟแนนซ์แล้วแต่ประสงค์ผ่อนชำระเงินงวดเท่าเดิม ก็จะตัดเงินต้นมากขึ้นเพราะดอกเบี้ยลดลง ทำให้ปิดหนี้ได้เร็วขึ้น โดยมีรายละเอียดหลักเกณฑ์ทั้ง 4 มาตรการ ดังนี้

☑️ 1. Re-Card : รับรีไฟแนนซ์สำหรับลูกหนี้บัตรเครดิต
▪️ เพื่อไปชำระหนี้บัตรเครดิตของสถาบันการเงิน หรือ Non-Bank อื่น โดยการรีไฟแนนซ์/รวมหนี้บัตรเครดิตมาผ่อนชำระกับธนาคารออมสินในรูปแบบเงินกู้ระยะยาว (Long Term Loan)
▪️ วงเงินกู้ไม่เกิน 5 เท่าของรายได้รวม สูงสุดไม่เกินรายละ 500,000 บาท
▪️ ไม่ต้องมีหลักประกัน

☑️ 2. Re P-Loan : รับรีไฟแนนซ์สำหรับลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan : P-Loan)
▪️ เพื่อไปชำระหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล P-Loan ของสถาบันการเงิน หรือ Non-Bank อื่น
▪️ วงเงินให้กู้ตามภาระหนี้คงเหลือของสัญญากู้เดิม สูงสุดไม่เกินรายละ 100,000 บาท
▪️ ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 5 ปี
▪️ ไม่ต้องมีหลักประกัน

☑️ 3. Re-Nano : รับรีไฟแนนซ์สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย
▪️ เพื่อไปชำระหนี้สินเชื่อ Nano Finance ที่กู้ไปเพื่อลงทุนในการประกอบอาชีพ
▪️ วงเงินให้กู้ตามภาระหนี้คงเหลือของสัญญากู้เดิม สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท
▪️ ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 8 ปี
▪️ ธนาคารออมสินร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในการค้ำประกันการกู้

☑️ 4. Re-Home : รับรีไฟแนนซ์สำหรับลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย
▪️ เพื่อไถ่ถอนจำนองที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น วงเงินกู้ 1-5 ล้านบาท
▪️ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ 2.95% ต่อปี
▪️ เงื่อนไขพิเศษผ่อนต่ำ ปีที่ 1 ผ่อนชำระเงินงวดล้านละ 3,000 บาท/เดือน ปีที่ 2 ล้านละ 4,000 บาท/เดือน และปีที่ 3 ล้านละ 5,000 บาท/เดือน

ทั้งนี้ ธนาคารสนับสนุนนโยบายรัฐในการแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนของประชาชน ให้สามารถมีเงินเหลือใช้สอยดำรงชีพโดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบ รวมถึงส่งเสริมการปลูกฝังทัศนคติการกู้เงินเท่าที่จำเป็นและผ่อนไหว โดยมาตรการสินเชื่อรีไฟแนนซ์ “โครงการสินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน เปิดให้ยื่นขอกู้ได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 และจัดทำนิติกรรมสัญญาภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567

หมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ต่อยอดความสำเร็จธนาคารน้ำใต้ดิน สร้างความมั่นคงทรัพยากรน้ำ

0

“น้ำ” คือทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญยิ่ง ทั้งใช้ในการอุปโภค บริโภค ในครัวเรือน ภาคเกษตร และภาคอุตสาหกรรม การบริหารจัดการน้ำที่ดีย่อมทำให้มีทรัพยากรน้ำไว้ใช้ได้อย่างเพียงพอ นวัตกรรม ‘ธนาคารน้ำใต้ดิน’ นับเป็นหนึ่งในการบริหารจัดการน้ำแบบสมดุลที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ในการรับมือภัยแล้งและน้ำท่วม จากความแปรปรวนของสภาวะอากาศที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

วันนี้ พาขึ้นเหนือไปจังหวัดกำแพงเพชร เพื่อชมความสำเร็จของ หมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงพชร ต.เทพนคร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ที่นอกจากจะเป็นหมู่บ้านต้นแบบ “ชุมชนคนเลี้ยงหมู” แล้ว ที่นี่ยังเดินหน้าโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน จนปรากฏผลอย่างเป็นรูปธรรม

พิเชษฐ์ ใหญ่แก่นทราย ประธานหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร เล่าที่มาว่า โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ประสบปัญหาการระบายน้ำท่วมขังจากน้ำฝนในบริเวณพื้นที่โครงการฯ มาอย่างยาวนาน ชาวชุมชนจึงได้ร่วมกันศึกษาค้นคว้าวิธีการแก้ปัญหา จนมาพบกับรูปแบบการบริหารจัดการน้ำผิวดินสู่ใต้ดิน (Ground Water Recharge) หรือการทำธนาคารน้ำใต้ดิน ทั้งแบบบ่อปิดและแบบบ่อเปิด ที่ช่วยลดปัญหาปริมาณน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝน ทำให้สามารถนำพื้นที่กลับมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้อย่างยั่งยืน

การดำเนินโครงการฯ ตามกลยุทธ์ “ขีด คิด ร่วม ข่าย” จากการนำ “ขีด” ความสามารถของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการระบบน้ำมาขับเคลื่อนโครงการฯ ภายใต้การสนับสนุนของผู้บริหารหมู่บ้านฯ ร่วมกับทีมงานของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่มาร่วม “คิด” นำแนวคิดนวัตกรรมสู่ความยั่งยืนด้วยการทำธนาคารน้ำ ที่ช่วยลดปัญหาปริมาณน้ำท่วมขัง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการน้ำและนำพื้นที่กลับมาใช้ประโยชน์ ผ่านการมีส่วน “ร่วม” ของทีมงานและผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด ที่ร่วมกันสนับสนุนร่วมถึงวางแผนงานโครงการ และร่วมพัฒนาแหล่งเรียนรู้ นอกจากนี้ ยังมีการสร้างเครือ “ข่าย” ความร่วมมือกับเครือข่ายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยทุกฝ่ายร่วมกันพัฒนาแหล่งเรียนรู้ให้แก่ชุมชนและหน่วยงานต่างๆ

โครงการฯนี้ เริ่มต้นจากการศึกษาดูงานความสำเร็จของโครงการธนาคารน้ำใต้ดินของ หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ และถ่ายทอดต่อไปยังเกษตรกร ขณะเดียวกัน ได้เชิญวิทยากรจาก อบต.วังหามแห จ.กำแพงเพชร มาบรรยายให้ความรู้ และทำ Work shop ร่วมกันทั้งชาวชุมชน เกษตรกร และทีมงาน รวมทั้งเชิญผู้เชี่ยวชาญจากหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า มาให้คำแนะนำโครงการฯ กระทั่งสามารถสร้างระบบธนาคารน้ำใต้ดิน ทั้งรูปแบบบ่อปิดและแบบบ่อเปิด รวม 10 บ่อในพื้นที่โครงการ

“ธนาคารน้ำใต้ดิน เป็นการบริหารจัดการน้ำใต้ดินแบบครบวงจร ช่วยแก้ไขปัญหาทั้งปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม และน้ำหลาก และยังช่วยป้องกันการสูญเสียสมดุลของน้ำใต้ดิน หลังจากดำเนินโครงการฯนี้แล้ว สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝนได้เป็นอย่างดี ช่วยเพิ่มพื้นที่ทางการเกษตรให้กับชุมชน ทั้งยังสร้างสุขอนามัยที่ดีให้กับเกษตรกร ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้การบริหารการจัดการกักเก็บน้ำใต้ดิน ถ่ายทอดองค์ความรู้และเป็นสถานที่ศึกษาดูงานของหน่วยงาน และน้องๆนักเรียนนักศึกษาในพื้นที่ และวางแผนต่อยอดสู่การเป็นศูนย์เรียนรู้หลักสูตรชลกร ร่วมกับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกำแพงเพชรต่อไป” พิเชษฐ์ กล่าว

การดำเนินโครงการตลอดปี 2566 ที่ผ่านมา ธนาคารน้ำใต้ดินทั้ง 10 บ่อ มีส่วนช่วยเพิ่มพื้นที่ทำการเกษตรในโครงการหมู่บ้านฯ ได้ถึง 50 ไร่ นอกจากนี้ ยังขยายผลสู่ “โครงการ 1 บ้าน 1 บ่อ” ส่งเสริมการสร้างบ่อระบบปิดในบ้านเกษตรกรในโครงการฯ นำร่องแล้ว 12 ครัวเรือน และวางเป้าหมายขยายโครงการฯ ให้กับเกษตรกรทั้งหมู่บ้านสุกรพันธุ์และสุกรขุนครบทั้ง 40 ครัวเรือน ภายในปี 2567 นี้

วันนี้หมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร สามารถแก้ปัญหาของพวกเขาด้วยนวัตกรรมธนาคารน้ำใต้ดิน โดยการฝากน้ำไว้กับดิน ที่ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง และป้องกันปัญหาภัยแล้ง ทำให้มีน้ำใช้ในการเลี้ยงสุกรและการเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี ช่วยสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำอย่างเป็นรูปธรรม

หมู่บ้านแห่งนี้ยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การสนับสนุนของเครือซีพีและซีพีเอฟ ทั้งด้านการสร้างอาชีพมั่นคงยั่งยืนจากการเลี้ยงหมู และมีรายได้จากการเพาะปลูกพืช ปลูกผักกระเฉดน้ำ เลี้ยงปลาดุก-ปลาสวาย และปุ๋ยมูลสุกรตากแห้ง ที่เป็นอาชีพเสริม ดังที่ดำเนินการมาตลอด 45 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้ที่นี่เป็น “หมู่บ้านสามัคคี เทคโนโลยีทันสมัย พัฒนาก้าวไปอย่างยั่งยืน”

รู้เก็บรู้ออม : เช็กระดับความรู้เรื่องการเงิน

0

“ความไม่รู้” เป็นบ่อเกิดแห่งการเรียนรู้ เราไม่สามารถอ้างความไม่รู้ว่าเป็นสาเหตุของข้อผิดพลาดใดๆ อีกทั้งในชีวิตจริงแล้ว ราคาที่ต้องจ่ายเพราะความไม่รู้นั้น มักจะแพงเสมอ!!

ความรู้เรื่องการเงินขั้นพื้นฐาน เป็นเรื่องที่คนไทยจำนวนมากยังไม่รู้ ส่งผลให้มีสุขภาพการเงินอ่อนแอ จากการไม่มีเงินเก็บ ไม่รู้จักออม ใช้จ่ายแบบเกินตัว หาเงินได้เท่าไรก็ไม่พอจ่าย และการก่อหนี้สินจนท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

ตลาดหลักทรัพย์ฯเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม SET Fin Quizz โดยเปิดให้ทุกคนเข้ามาทดสอบ เพื่อวัดระดับความรู้ในเรื่องการเงินและการลงทุน ผ่านแบบทดสอบความรู้การเงินในชีวิตประจำวัน หรือ “Know Your Money” ที่มีเนื้อหาครอบคลุม 6 ด้านคือ การบริหารรายรับ การบริหารรายจ่าย การบริหารหนี้สิน การบริหารเงินออม การบริหารการลงทุน และการบริหารความเสี่ยงของชีวิตและทรัพย์สิน

พบว่า ผลทดสอบของคนไทย 32,090 คน ในปี 2566 ส่วนใหญ่กว่า 70% มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเงินในกระเป๋าของตนเองทั้งเรื่องผลิตภัณฑ์การออม ประเภทของรายจ่าย และโครงสร้างรายรับ แต่ยังต้องทำความเข้าใจเพิ่มในเรื่องการประกันชีวิต การจัดพอร์ตลงทุน และดอกเบี้ยทบต้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงได้จัดทำแบบทดสอบเกี่ยวกับการลงทุนอีก 2 ชุด คือ แบบทดสอบความรู้การลงทุนในหลักทรัพย์ หรือ “Ready to Invest” เพื่อช่วยเช็กความพร้อมก่อนลงทุนจริงกับแบบทดสอบความรู้การเลือกหุ้น หรือ “Fit to Invest” เพื่อช่วยเรื่องการค้นหาหุ้นด้วยตัวเอง พบว่า 80% ของผู้ทดสอบ 9,890 คน มีความเข้าใจเรื่องความต้องการผลตอบแทนสูง ก็จะมีความเสี่ยงที่สูงขึ้น และเข้าใจว่าความผันผวนของราคาคือความเสี่ยง รวมถึงไม่ควรใส่ไข่ในตะกร้าใบเดียว แต่ยังต้องทำความเข้าใจเพิ่มเรื่องการคำนวณค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้น การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น และการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น จะต้องรวมทั้งส่วนต่างของราคาและเงินปันผล

นอกจากนี้ ยังได้ทำหลักสูตร SET e-Learning เพื่อเสริมความรู้เรื่องการประเมินมูลค่าหุ้นจากเงินปันผล การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยแต่ละแบบทดสอบจะเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องจากแหล่งความรู้ต่างๆ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาทีหลังอีก เช่น หลักสูตรใน SET e-Learning และสื่อเรียนรู้บนเว็บไซต์ของ SETInvestnow, INVESTORY และห้องสมุดมารวย

ซึ่งจะเห็นได้ว่า SET Fin Quizz เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยพัฒนาทักษะความรู้ทางการเงินการลงทุน โดยผลจากแบบทดสอบถูกนำมาวิเคราะห์ เพื่อออกแบบเนื้อหาความรู้ให้ตอบโจทย์ เพื่อปิดช่องว่างความรู้ด้านการเงินและการลงทุนของคนไทย

ผู้ที่สนใจ สามารถทำแบบทดสอบ SET Fin Quizz ได้ที่เว็บไซต์ https://finquizz.setgroup.or.th ส่วนองค์กร หน่วยงาน สถาบันการศึกษา หรือกลุ่มบุคคลที่ต้องการข้อมูลผลทดสอบของกลุ่มไปใช้เป็นการเฉพาะ พร้อมรับ e-Certificate หลังทำแบบทดสอบเสร็จ สามารถติดต่อได้ที่อีเมล [email protected]

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ออมสินฉลองครบ 111 ปี จัดดบ.เงินฝากสูงสุดคุ้มกับ “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 11 เดือน”

0

ธนาคารออมสิน ฉลองครบ 111 ปี ออก “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 11 เดือน” รับดอกเบี้ยเต็มๆ ไม่ต้องเสียภาษี

รายละเอียดเงินฝาก :

เงื่อนไขการฝาก

  1. เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท
  2. บุคคลธรรมดาที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปี ขึ้นไป
  3. นิติบุคคลทุกประเภท
  4. บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทุกประเภท ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด

การคิดดอกเบี้ย / ผลตอบแทน 

อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.61 ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจำร้อยละ 1.89 ต่อปี)

ระยะเวลารับฝาก

  • ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 เม.ย. 2567 

รายละเอียดเพิ่มเติม > https://shorturl.asia/3p0gz

⚠ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

ผู้เลี้ยงไก่ไข่ แจงอากาศร้อนกระทบแม่ไก่ออกไข่น้อย ทำให้ราคาขยับตามกลไกตลาด

0
พเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง

นางพเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง เปิดเผยว่า การขึ้นราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มฟองละ 20 สตางค์ อยู่ที่ราคาฟองละ 3.60 บาท ตามที่เครือข่ายสหกรณ์ไข่ไก่ประกาศไปเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมานั้น เป็นผลจากภาวะอากาศร้อน – แล้ง ที่ทำให้แม่ไก่ไข่เกิดความเครียด กินอาหารได้น้อยลง กินน้ำมากขึ้นเพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย เนื่องจากไก่ไม่มีต่อมเหงื่อ ทั้งยังมีขนปกคลุม เป็นอุปสรรคต่อการระบายความร้อนออกจากร่างกาย เมื่อมีความเครียดสะสมและสารอาหารที่ได้ไม่เพียงพอกับการสร้างฟองไข่ ผลผลิตไข่ไก่จึงลดลง ส่งผลให้ปริมาณไข่ไก่ในตลาดมีจำนวนน้อยลง ขณะที่ขนาดไข่ไก่ก็เล็กลง รายได้ที่เกษตรกรได้รับก็ลดลงด้วย สวนทางต้นทุนค่าน้ำที่สูงขึ้นและค่าไฟฟ้าที่ต้องใช้มากขึ้น เชื่อผู้บริโภคเข้าใจ

“ราคาไข่ไก่มีการปรับขึ้น-ลง ตามกลไกตลาดอุปสงค์-อุปทาน ซึ่งเห็นได้ว่าช่วงอากาศร้อน-แล้ง ปริมาณไข่ไก่จะน้อยลงจากสภาพทางกายภาพของแม่ไก่ กระทบปริมาณผลผลิตไข่ออกสู่ตลาด ทำให้ราคาไข่หน้าฟาร์มขยับขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาดเช่นนี้ทุกปี หากอากาศเย็นลงปริมาณไข่ไก่ออกสู่ตลาดมากขึ้น ราคาก็จะขยับลง เชื่อว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่เข้าใจในกลไกนี้ดี” นางพเยาว์กล่าว

สอดคล้องกับ กรมการค้าภายใน ที่ยืนยันในทิศทางเดียวกันว่า ราคาไข่ไก่เป็นไปตามฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อนของทุกปี แม่ไก่ไข่จะออกไข่น้อยลงหรือมีขนาดเล็กลง ทำให้ปริมาณไข่ไก่หายไปราว 10% และราคาอาจขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

อนึ่ง ราคาไข่ฟองละ 3.60 บาทไม่ใช่ราคาสูงสุดในปี 2567 เนื่องจากก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนมกราคม 2567 ราคาไข่คละหน้าฟาร์มเคยสูงสุดที่ 3.80 บาทมาแล้ว

ส.ผู้เลี้ยงสุกรฯ ยืนยันทยอยปรับราคาหมูหน้าฟาร์มตามกลไกตลาด วอนผู้บริโภคเข้าใจ ย้ำราคายังต่ำกว่าต้นทุนผลิต

0
สิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ยืนยันการปรับราคาสุกรหน้าฟาร์มเป็นการทยอยปรับตามอุปสงค์-อุปทาน ไม่ได้ปรับครั้งเดียว 12 บาทต่อกิโลกรัม และเกษตรกรยังขายสุกรได้ต่ำกว่าราคาต้นทุน หลังแบกภาระขาดทุนสะสมมานานกว่า 1 ปีแล้ว

นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า กรณีที่มีการลงพื้นที่สำรวจตลาดและแจ้งว่ามีการปรับราคาหมูหน้าฟาร์มทั้งตัวขึ้น 12 บาทต่อกิโลกรัมและมีผลต่อราคาเนื้อหมูในตลาดสดต้องปรับสูงขึ้นนั้น เป็นการสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากราคาดังกล่าวเป็นการทยอยปรับเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ไม่ใช่การปรับครั้งเดียว ที่สำคัญราคาขายปลีกเนื้อสันในราคาสูง250 บาทต่อกิโลกรัม เพราะสันในเป็นเนื้อส่วนที่มีเพียงชิ้นเดียวในหมู 1 ตัว ราคาจึงสูงเมื่อเทียบกับชิ้นส่วนอื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่า

“สมาคมฯ ดูแลทั้งผู้บริโภคและเขียงหมู ไม่ได้ปล่อยปละละเลย และพยายามทำทุกวิถีทางให้ทุกภาคส่วนได้รับราคาที่เป็นธรรม ทั้งที่ผู้เลี้ยงยังไม่สามารถขายหมูหน้าฟาร์มได้ตามราคาแนะนำ ซ้ำร้ายยังมีภาระขาดทุนสะสมนานกว่า 1 ปี จนเกษตรกรหลายรายต้องทิ้งอาชีพไปเพราะไม่มีเงินทุนหมุนเวียน” นายสิทธิพันธ์ กล่าว

ทั้งนี้ สมาคมฯ ประกาศราคาแนะนำสุกรหน้าฟาร์ม เป็นประจำทุกๆ วันพระ ซึ่งเป็นราคาที่เกษตรกรพออยู่ได้ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา มีการปรับราคาขึ้น 4 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 70-75 บาทต่อกิโลกรัม แต่เกษตรกรขายได้จริงเพียง 65 บาทเท่านั้นขณะที่ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรตามประกาศของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คือ 78-80 บาทต่อกิโลกรัม เกษตรกรจึงยังอยู่ในภาวะขาดทุนสูง

ราคาหมูหน้าฟาร์มดังกล่าว จะทำให้ราคาขายปลีกชิ้นส่วนต่างๆ ต่อกิโลกรัม เช่น หมูเนื้อแดง ไม่ควรเกิน 150บาท หมูสามชั้นและหมูสันนอก 170-180 บาท หมูสันในประมาณ 180 บาท ส่วนสะโพกและหัวไหล่เฉลี่ย 115-125บาท อย่างไรก็ตาม ราคาขายปลีกยังมีระบบการค้าที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น ภาคอีสาน จะขายหมูตรงจากฟาร์มให้กับเขียงหมู ราคาเนื้อหมูอาจต่ำกว่าบางพื้นที่ ที่เขียงหมูต้องซื้อผ่านโบรกเกอร์

นายสิทธิพันธ์ ย้ำว่า กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลราคาและระบบการค้าให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภคและผู้ค้า ขณะเดียวกันต้องดูแลเกษตรกรให้ได้รับราคาที่เหมาะสมด้วย หากภาคการผลิตอยู่ในภาวะที่ขาดทุนต่อเนื่องและถูกกดราคา ผู้เลี้ยงก็ไปไม่รอด จึงควรปล่อยให้กลไกตลาดทำงานสร้างสมดุลราคา และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้คนไทยมีเนื้อหมูบริโภคโดยไม่ขาดแคลนและในราคาสมเหตุผล

เมืองไทยประกันชีวิต มอบหมวกนิรภัย “โครงการรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567”

0

เมืองไทยประกันชีวิตเข้าร่วม “โครงการรณรงค์ความปลอดภัยทางถนน  ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567”  กับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ)  และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย”   โดยฉพาะแนวคิดขับขี่อุ่นใจด้วยการ  “กันน็อก” คือการสวมหมวกนิรภัยกันน็อกขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ทุกครั้ง  โดยตระหนักให้เกิดการรับรู้และการกระตุ้นจิตสำนึกในการขับขี่ปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน อีกทั้งให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารตระหนักถึงความปลอดภัย

รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงระบบประกันภัยให้มากยิ่งขึ้น โดย เมืองไทยประกันชีวิต ได้ร่วมโครงการ “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มสงกรานต์คลายร้อน (ไมโครอินชัวรันส์) เพื่อมอบความอุ่นใจและส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุให้กับตนเองและครอบครัว สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบการประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงจากอุบัติเหตุได้สะดวก เข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น กับพาร์เนอทร์ทางธุรกิจ อาทิ  AIS   สมาชิก Max Card โดย แมกซ์ โซลูชัน และ เคาน์เตอร์เซอร์วิส

ในโอกาสนี้ น.ส.นิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นางจินดามณี ตั้งคุณสมบัติ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านประกันภัย นางขนิษฐา นิโครวนจำรัส  ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการประกันภัย ดำเนินโครงการรณรงค์ความปลอดภัยทางถนน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 ร่วมมอบหมวกนิรภัยกันน็อค   ให้แก่กลุ่มรถจักรยานยนต์สาธารณะ  ซอยรัชดาภิเษก 18   เพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ และเพื่อป้องกันและลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุทางถนน  ณ หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต.