การหยุดชั่วคราวหรือการปิดโรงแปรรูปเนื้อสัตว์และโรงงานผลิตอาหารในหลายประเทศหลังพบคนงานป่วยติดเชื้อโควิด19 โดยเฉพาะผู้ผลิตอาหารใหญ่ของโลก อย่าง สหรัฐอเมริกา บราซิล ก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภค เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิตอาหารทั้งหมด แม้ขณะนี้หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ แต่เรื่องการบริโภคอย่างปลอดภัยไม่ติดโรคยังเป็นปัจจัยที่ไม่อาจละเลยได้ อุตสาหกรรมอาหารจึงไม่ควร “การ์ดตก” เพราะความเสี่ยงการกลับมาของโรคระบาดเป็นไปได้ตลอดเวลา ที่สำคัญทั่วโลกยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
องค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization : FAO) และองค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) แนะนำให้ภาคการผลิตอาหารต้องยกระดับมาตรการขั้นสูงสุดในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการผลิตอาหารมนุษย์มีความปลอดภัยสูงสุด
โรคโควิด19 นับเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ประชากรโลกต้องเผชิญและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมไปสู่วิถีชีวิตใหม่ (New Normal) โดยเฉพาะการรับประทานอาหาร ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคและโรคต่างๆ
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้คำแนะนำผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมอาหาร ว่า “สิ่งที่เรากลัวที่สุดคือการระบาดของโรคโควิด 19 ในโรงงานเพราะเป็นสถานที่รวมของคนจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนเตรียมการที่ดี อย่างเช่น เน้นการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) หรือ การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล (Physical Distancing) การเข้า-ออกกะ ต้องพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสและการรวมพลของคนหมู่มาก เพราะเรารู้ว่าในคนหมู่มากถ้าเกิดโรคกับคนใดคนหนึ่ง คนที่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อทุกคนจะต้องถูกกักตัวเป็นกลุ่มใหญ่จนไม่เหลือคนทำงาน”
ในสายการผลิตควรเตรียมแผนปฏิบัติการไว้ล่วงหน้ากรณีเกิดการระบาดของโรคโควิด 19 ผู้ปฏิบัติงานในแต่ละกะการทำงาน ควรแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน เพราะหากพบผู้ป่วยติดเชื้อในทีมหนึ่งอาจต้องกักตัวผู้สัมผัสใกล้ชิดทุกคนในทีม หลังปิดไลน์การผลิต ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อแล้วต้องมีทีมงานกลุ่มใหม่เข้าไปทำงานแทนทันที เพราะไม่สามารถปิดโรงงานได้ 14 วัน การเตรียมการต่างๆ ถือว่ามีความจำเป็นมาก ต้องมีการวางแผนและซ้อมแผนเป็นอย่างดี หากไม่วางแผนทีดีเมื่อเกิดปัญหาขึ้นจะเป็นอุปสรรคอย่างมากหากไม่สามารถดำเนินการผลิตต่อไปได้
ศ.นพ.ยง ยืนยันว่า Covid-19 ไม่ติดต่อ หมู เป็ด และไก่ และสัตว์เหล่านี้ไม่เป็นแหล่งรังโรค หรือเป็นพาหะแพร่โรคมาสู่คน แต่ในการผลิตอาหาร ต้องให้ความสำคัญเรื่องความสะอาดและสุขอนามัยของทุกคนที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิต รวมถึงเกษตรกรผู้ที่ทำหน้าที่ผลิตวัตถุดิบ โดยเฉพาะโรงงานแปรรูปอาหารที่มีพนักงานทำงานในสายการผลิต จำเป็นต้องเน้นถึง การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด การกำหนดระยะห่างของสังคม รวมทั้ง การมีมาตรการป้องกันและแผนสำรองรองรับอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้ห่วงโซ่การผลิตอาหารของประเทศต้องหยุดชะงัก ไม่ว่าจะเป็นจุดใดจุดหนึ่ง
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในฐานะผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลก ตระหนักถึงความสำคัญของผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ได้ยกระดับมาตรการการป้องกันโรค ความปลอดภัยด้านอาหาร ตลอดห่วงโซ่ Feed-Farm-Food พร้อมดูแลสุขอนามัยทั้งของพนักงานและโรงงานอย่างเคร่งครัด สอดคล้องกับแนวปฏิบัติขององค์การอนามัยโลก กรมควบคุมโรค กรมอนามัย และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ บริษัทฯ ยังได้ศึกษาและถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน พร้อมทั้งปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด เพื่อให้สามารถกำหนดมาตรการความปลอดภัยได้อย่างเหมาะสมตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างความเข้มแข้งในกระบวนการผลิตอาหารให้มีความต่อเนื่องตลอดห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ Feed-Farm-Food เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการบริโภคอาหารปลอดภัยว่าและจัดส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภคอย่างเพียงพอ
ซีพีเอฟ ยังกำหนดระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และระยะห่างทางบุคคล (Physical Distancing) เป็นแนวทางปฏิบัติที่เคร่งครัด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดในโรงงานแปรรูปอาหารมากที่สุด ตั้งแต่ การเดินทางของพนักงาน บริษัทฯ เพิ่มจำนวนรถรับส่งพนักงาน เพื่อให้พนักงานได้นั่งบนรถแบบเว้นระยะห่างอย่างน้อยประมาณ 1 เมตร ตามคำแนะนำของ WHO รวมทั้ง กำหนดระยะห่างในจุดที่เสี่ยงมากที่สุด คือ โรงอาหาร โดยการเพิ่มระยะเวลาช่วงพักกลางวัน เพื่อให้มีระยะห่างในรับประทานอาหาร การยืนรอคิว รวมไปการกำหนดจุดที่นั่งพัก งดกิจกรรมการตรวจเยี่ยมโรงงานและฟาร์มของบุคคลภายนอก และมีการตรวจคัดกรองลูกค้าและผู้รับเหมาอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของพนักงานทุกคน
สำหรับโรงงานแปรรูปอาหารของบริษัทฯ มีการติดตั้งประตูสแกนอุณหภูมิร่างกายแบบเดินผ่าน (Walk-through body temperature scanner) ช่วยคัดกรองอุณหภูมิพนักงานทุกคนได้แม่นยำยิ่งขึ้น ตลอดจนการปฏิบัติตนตามหลักสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด ทั้งการใส่หน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือเป็นประจำ การเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อพื้นที่และจุดที่สัมผัสบ่อย ทำ Big Cleaning Day และพ่นยาฆ่าเชื้อสม่ำเสมอ รวมทั้งเพิ่มการขนส่งแบบไร้การสัมผัสมือด้วยระบบสายพาน
นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้ง “ศูนย์ฮอทไลน์ โควิด19” (CPF Covid-19 hotline) เป็นช่องทางพิเศษเพื่อให้พนักงานได้สื่อสารกับบริษัทโดยตรงทั้งสอบถามข้อมูลและแจ้งอาการป่วยได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อทำความเข้าใจพนักงานทุกคนทุกระดับ เพื่อให้พนักงานทุกคนมั่นใจความปลอดภัยในการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และจัดให้มีล่ามแปลภาษาเมียนมาและกัมพูชาเพื่อให้พนักงานต่างชาติรู้และเข้าใจสามารถปฏิบัติตามมาตรการของบริษัทฯได้
ซีพีเอฟ ได้ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดสำหรับบุคลากรและในกระบวนผลิตอาหาร ตามวิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” เพื่อผลิตอาหารปลอดภัยและสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างเพียงพอและยั่งยืนสำหรับประชากรโลก