Home Blog Page 456

สิงห์อาสาสู้น้ำท่วม เร่งจ้างงานในพื้นที่นครปฐม

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2563 สิงห์อาสา โดยบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ได้ลงพื้นที่ต่อเนื่อง ทำงานแข่งกับฤดูฝนเพื่อรีบกำจัดผักตบชวาป้องกันน้ำท่วม ที่คลองหนองดินแดง ต.หนองดินแดง อ.เมือง จ.นครปฐม โดยมีคุณกนกวรรณ วิสมิตตนันท์ ผู้จัดการแผนกธุรการบริษัท สิงห์ เบเวอเรช จำกัด และ คุณ สุรสิทธ์ สิทธิกรวณิช นายอำเภอเมืองนครปฐม จ.นครปฐม ร่วมเปิดงานและลงพื้นที่กำจัดผักตบชวากับชาวบ้าน ซึ่งมีการจ้างงานชาวบ้านจำนวน 50 คน จาก 2 พื้นที่ คือ ต.โพรงมะเดื่อ และ ต.หนองดินแดง ทั้งนี้ ยังมีเครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสาจากวิทยาลัยสารพัดช่างนครปฐม มาร่วมกำจัดผักตบชวาในครั้งนี้ด้วย

โครงการสิงห์อาสาสู้น้ำท่วม ได้เปิดโครงการมาตั้งแต่  20 พ.ค. 63 โดยบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ ได้ลงพื้นที่จ้างงานให้กับชาวบ้านในชุมชน ด้วยการร่วมกันกำจัดผักตบชวา ในลำคลองหนองบึงของพื้นที่ตำบลสามเมือง อ.ลาดบัวหลวง  จ.พระนครศรีอยุธยา และพื้นที่ตำบลบัวปากท่า อ.บางเลน จ.นครปฐม

ตั้งแต่เกิดสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาดหนักในประเทศไทย ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก บริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้ดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั่วประเทศ โดยมีโครงการสิงห์อาสาเร่งจ้างงานสร้างอาชีพ ได้แก่ สิงห์อาสาสู้ไฟป่า สิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง สิงห์อาสาสู้น้ำท่วม ที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องคนไทย และไม่เพียงเท่านี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้า “การให้ที่ไม่สิ้นสุด” โครงการสิงห์อาสาอบรมสร้างอาชีพในเดือนมิ.ย.นี้ เพื่อให้คนที่ได้รับผลกระทบได้มีทักษะ นำไปประกอบอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวต่อไป

ทั้งนี้ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้มีนโยบายเร่งด่วนด้วยการจ้างงานสร้างอาชีพผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID – 19 ได้แก่ โครงการสิงห์อาสาสู้ไฟป่า โครงการสิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง และโครงการสิงห์อาสาสู้น้ำท่วม ซึ่งโครงการเร่งด่วนทั้งสามได้ดำเนินการต่อเนื่อง สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องคนไทยได้เป็นอย่างดี

โออาร์ รักษามาตราฐานสุขอนามัยด้านบริการ รับ New Normal

0

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงมาตรฐานด้านสุขอนามัยที่ได้ปฏิบัติเพิ่มเติมในช่วงโควิด – 19 ให้เป็นมาตรฐานการใช้ชีวิตตามวิถีปกติในรูปแบบใหม่หรือนิวนอร์มอล (New Normal) เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของโรคโควิด – 19 และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการ แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะเริ่มดีขึ้น แต่ยังคงจำเป็นต้องปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเว้นระยะห่าง การรักษาความสะอาด และการตรวจวัดอุณหภูมิของร่างกายก่อนเข้าใช้บริการ  ดังนี้

สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ให้บริการแบบนิวนอร์มอลภายใต้แนวคิด “วัด เว้น ไว”

พีทีที สเตชั่น ให้บริการแบบนิวนอร์มอลภายใต้แนวคิด “วัด เว้น ไว”

1.   วัด : วัดอุณหภูมิพนักงานหน้าลานก่อนเริ่มงาน โดยต้องไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส พร้อมติดสัญลักษณ์เพื่อชี้บ่งว่าไม่มีไข้ ก่อนเริ่มงานทุกครั้ง กำหนดให้พนักงานล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ทุกครั้งก่อนให้บริการ สวมหน้ากากตลอดเวลา รวมทั้งวัดอุณหภูมิลูกค้าทุกท่านก่อนเข้าใช้บริการในร้านค้า และขอความร่วมมือให้สวมหน้ากากตลอดเวลาที่อยู่ในสถานีบริการฯ

2.   เว้น : พนักงานเว้นระยะห่างจากลูกค้าและพนักงานอื่นอย่างน้อย 1 เมตร งดเว้นการสัมผัสเงินและบัตรเครดิต และเชิญชวนให้ลูกค้าเลือกชำระเงินผ่าน QR Payment โดยจะสามารถให้บริการได้ครบทุกสาขาภายในเดือนกรกฎาคม 2563 หรือผ่านทางแอปพลิเคชัน บลู คอนเนค (Blue CONNECT) รวมถึงการให้ลูกค้าแจ้งหมายเลขโทรศัพท์เพื่อสะสมคะแนนบลูการ์ด (Blue Card) แทนการใช้บัตรจริงซึ่งสามารถให้บริการครบทุกสาขาภายในเดือนมิถุนายน 2563 นี้

3.   ไว : พนักงานเติมน้ำมันให้บริการด้วยความรวดเร็วว่องไว โดยใช้เวลาประมาณ 4 นาที/การให้บริการเติมน้ำมัน 1 ครั้ง และขอความร่วมมือให้ลูกค้าใช้เวลาในสถานีบริการฯ ไม่เกิน 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังจัดให้แม่บ้านทำความสะอาดทุกจุดสัมผัสในห้องน้ำ ทุก 1-2 ชั่วโมง และทำความสะอาดห้องน้ำ พื้นทางเดินและผนังทุก 6 ชั่วโมง

ร้านคาเฟ่ อเมซอน

1.   การเตรียมความพร้อมของพนักงาน วัดอุณหภูมิพนักงานทั้งก่อนเริ่มงาน โดยต้องไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส และวัดซ้ำทุก 4 ชั่วโมง กำหนดให้พนักงานทุกคนต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาที่ให้บริการลูกค้า หมั่นล้างมือให้สะอาด และต้องล้างมือทุกครั้งก่อนชงเครื่องดื่ม พนักงานขาย (Cashier) ต้องสวมถุงมือขณะปฏิบัติงาน

2.   การเตรียมความพร้อมร้านค้า จัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์สำหรับให้บริการลูกค้าอย่างน้อย 2 จุด ติดตั้งฉากกั้นพลาสติกใสบริเวณจุดรับคำสั่งซื้อและชำระเงิน ทำความสะอาดจุดสัมผัสต่าง ๆ ด้วยแอลกอฮอล์เป็นประจำทุก 1 ชั่วโมง และทำความสะอาดร้านแบบ BIG Cleaning ทุกวัน รวมทั้งติดสัญลักษณ์จุดยืนคอยรับบริการให้ห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร จัดทำป้ายขอความร่วมมือให้สวมหน้ากากเมื่อเข้ามาใช้บริการ และจัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อรองรับการชำระเงินโดยไม่ใช้เงินสดให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน อาทิ การชำระเงินด้วยระบบ QR Payment ผ่านแอปพลิเคชัน บลู คอนเนค (Blue CONNECT)

3.   การคัดกรองลูกค้า ขอความร่วมมือลูกค้าที่มาใช้บริการให้สวมหน้ากากตลอดเวลา

ศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้

เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08:00 – 19:00 น.

1.   การเตรียมความพร้อมของพนักงาน ตรวจวัดอุณหภูมิพนักงานทุกคน ต้องไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส และกำหนดให้พนักงานต้องใส่หน้ากาก และล้างมือด้วยสบู่หรือน้ำยาทำความสะอาดก่อนให้บริการ

2.   การเตรียมความพร้อมของร้าน จัดเก้าอี้นั่งรอให้เว้นระยะห่าง จัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์สำหรับทำความสะอาดมือ และกำหนดให้พนักงานทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อในจุดสัมผัสร่วมเป็นประจำ

3.   การคัดกรองลูกค้า ขอความร่วมมือให้ลูกค้าสแกน QR Code ไทยชนะ เพื่อเช็คอินและเช็คเอาต์ที่ศูนย์บริการ และเชิญชวนให้ลูกค้าจองเข้าใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อลดการพบปะลูกค้าอื่น เช่น แอปพลิเคชัน ฟิต ออโต้ (FIT Auto) เว็บไซต์ www.pttfitauto.com หรือติดต่อ Contact Center โทร. 1365 กด 17 รวมทั้งขอความร่วมมือลูกค้าที่มาใช้บริการให้ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ก่อนเข้าศูนย์บริการทุกครั้ง สวมหน้ากากตลอดเวลา และเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร

ร้านเท็กซัส ชิคเก้น

1.   การเตรียมความพร้อมพนักงาน จัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์ให้พนักงานทุกคนล้างมือตามมาตรฐานของเท็กซัส ชิคเก้น ตรวจวัดอุณหภูมิพนักงานทุกคนก่อนเข้าร้าน โดยต้องไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส และวัดซ้ำทุก 4 ชั่วโมง กำหนดให้พนักงานต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา หรือหากมีความจำเป็นต้องใกล้ชิดบุคคลอื่น ให้ใส่หน้ากากเฟสชิลด์ (Face Shield) และถุงมือเพิ่มเติมในการให้บริการ

2.   การเตรียมความพร้อมของร้าน จัดให้มีจุดบริการเจลล้างมือแอลกอฮอล์ตามจุดต่าง ๆ และติดป้ายบริเวณทางเข้าร้านเพื่อขอความร่วมมือให้ผู้ใช้บริการสวมหน้ากากพร้อมทั้งติดตั้งฉากกั้น (Counter Shield) บริเวณเคาน์เตอร์สั่งอาหารติดสัญลักษณ์จุดยืนคอยรับบริการให้ห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร กำหนดพื้นที่นั่งรอสินค้ารวมถึงการจัดพื้นที่นั่งห่างอย่างน้อย 1.5 เมตรโดยทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้งหลังใช้บริการเสร็จและยกเลิกการให้บริการน้ำดื่มรีฟิล (Refill) แบบบริการตนเองโดยเปลี่ยนเป็นพนักงานให้บริการเสิร์ฟ

3.   การคัดกรองลูกค้า ขอความร่วมมือให้ลูกค้าสแกน QR Code ไทยชนะ เพื่อเช็คอินและเช็คเอาต์ รวมทั้งสวมหน้ากากและตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าร้าน โดยต้องไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส และขอให้ลูกค้าที่มาใช้บริการรักษาระยะห่าง 1 เมตร

ร้านฮั่วเซ่งฮง ติ่มซำ

1.   การเตรียมความพร้อมของร้าน จัดจุดให้บริการเจลแอลกอฮอล์บริเวณทางเข้าทุกสาขา จัดรูปแบบการนั่งโต๊ะ ห่างกัน 1.5 เมตร และกำหนดระยะห่างในการต่อแถวสั่งอาหารอย่างน้อย 1 เมตร ติดตั้งฉากกั้นบริเวณเคาน์เตอร์สั่งอาหาร และกำหนดรอบการทำความสะอาดที่จับประตู โต๊ะเก้าอี้ และบริเวณเคาน์เตอร์ทุก 1 ชั่วโมง

2.   การคัดกรองลูกค้า ขอความร่วมมือให้ลูกค้าสแกน QR Code ไทยชนะ เพื่อเช็คอินและเช็คเอาต์ รวมทั้งสวมหน้ากากและตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าร้าน โดยต้องไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส

ซีพีเอฟ ร่วมกับสมาคมตำรวจ ช่วยเหลือแท็กซี่สู้ภัยโควิด-19

0

พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้แทน ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ และ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ร่วมมอบอาหารอุ่นร้อนพร้อมทานจาก CPF Food Truck ใน “โครงการอาหารปลอดภัย จากใจ…สู่ชุมชน เพื่อพี่น้องแท็กซี่” ให้แก่ ผู้ขับรถแท็กซี่ เพื่อลดค่าครองชีพและช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาหารหลังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยมี คุณวรพล แกมขุนทด นายกสมาคมวิชาชีพผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะแท็กซี่ ร่วมรับมอบ ณ สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดีรังสิต

พล.ต.อ.วินัย เปิดผยว่า ช่วงการเกิดโควิด-19 แท็กซี่ได้รบความเดือดร้อนจากการขาดผู้โดยสาร เกิดค่าใช้จ่ายและความเครียด การที่ CPF นำอาหารปลอดภัยมาอุ่นร้อนมอบกับพี่น้องแท็กซี่ ถือเป็นอีกโครงการที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านอาหารได้ สะท้อนถึงความมีน้ำใจของบริษัท ที่มีต่อคนไทยอย่างน่าชื่นชม

ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ กล่าวว่า โครงการนี้ เป็นของนายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานเครือซีพี เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาหาร ให้แก่ประชาชนในชุมชนต่างๆ ของ กทม. โดยเฉพาะพี่น้องแท็กซี่ ซึ่งเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 บริษัทยินดีที่ได้นำอาหารปลอดภัยจาก CPF Food Truck ออกทำหน้าที่อีกครั้ง เป็นครั้งที่ 17 เพื่อให้ทุกคนได้ทานอาหารอุ่นร้อน อร่อย สะอาด ปลอดภัย เป็นมื้อกลางวัน ก่อนออกรถรับส่งผู้โดยสาร

กรมชลฯ เร่งกำจัดผักตบชวา และวัชพืช รับน้ำหลากช่วงหน้าฝน

0

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ บินสำรวจและติดตามสถานการณ์ผักตบชวาและวัชพืชในลุ่มน้ำภาคกลาง(แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำน้อย คลองรังสิตประยูรศักดิ์) จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการติดตามสถานการณ์ผักตบชวาและวัชพืช ในลุ่มน้ำภาคกลาง ณ ห้องเตรียมบิน กองการบิน ศูนย์การเคลื่อนย้ายกองทัพบก

ทั้งนี้ พล.อ. ประวิตร ได้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาผักตบชวาและวัชพืชในแม่น้ำ และติดตามผลการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ใช้เส้นทางน้ำในการคมนาคมเป็นประจำ และเตรียมความพร้อมรับมือกับน้ำหลากในช่วงฤดูฝนนี้ จึงได้มอบหมายให้ 4 หน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่ที่มีการสะสมของผักตบชวาและวัชพืชในแม่น้ำสายหลักและแหล่งน้ำเชื่อมโยง ได้แก่ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมชลประทาน กรมเจ้าท่า และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เร่งรัดดำเนินการกำจัดผักตบชวาให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายนนี้

ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ในส่วนของกรมชลประทาน รับผิดชอบแม่น้ำสายหลัก 3 แห่ง ในลุ่มน้ำภาคกลาง ได้แก่

  • แม่น้ำท่าจีน บริเวณประตูระบายน้ำพลเทพ จนถึง ประตูระบายน้ำโพธิ์พระยา รวมระยะทาง 120 กิโลเมตร มีปริมาณผักตบชวา ประมาณ 13,680 ตัน
  • แม่น้ำน้อย บริเวณประตูระบายน้ำบรมธาตุจนถึงประตูระบายน้ำผักไห่รวมระยะทาง 97 กิโลเมตร มีปริมาณผักตบชวาประมาณ 16,320 ตัน
  • คลองรังสิตประยูรศักดิ์ คลองสอง คลองสาม และคลองหกวา มีปริมาณผักตบชวารวมกันประมาณ 15,600 ตัน  

โดยทั้งประเทศ กรมชลประทาน มีแผนการดำเนินงานกำจัดผักตบชวารวมทั้งสิ้นประมาณ 2,585,141 ตัน ปัจจุบันดำเนินการไปแล้ว 1,513,590 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 59 ของแผนงานทั้งประเทศ

คุณนายพารวย : ออมเงินกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

0

บทความที่แล้วเล่าให้ฟังถึง คุณพี่มนุษย์เดือนชนเดือน พนักงานออฟฟิศท่านหนึ่ง  ที่ปรับระบบชีวิตการเงินของตัวเองใหม่ จนสามารถปลดแอกจากชีวิตหนี้ที่มืดมน เงินเดือนหมื่นกว่า แต่เป็นหนี้เกือบครึ่งล้าน จากการใช้จ่ายเงินที่ไม่มีระเบียบแบบแผน มีเงินเข้ากระเป๋าเท่าไร ก็ใช้จ่ายจนหมดเกลี้ยง ไม่พอก็หยิบยืม  รูดบัตรเงินสด  กู้เงินนอกระบบ เงินเก็บเงินออมไม่เคยมี  เงินลงทุนไม่ต้องพูดถึง

             เมื่อชีวิตพลิกผัน ได้เข้าสู่โครงการ “Happy Money Happy Retirement” ที่บริษัทส่งพนักงานเข้าร่วมโครงการกับตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้กลับมาจัดระเบียบการใช้จ่ายของตัวเองใหม่หมด  จดบันทึกรายรับรายจ่าย อุดรูรั่ว ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออก ก็มีเงินเหลือมาจ่ายหนี้  เมื่อรายรับไม่พอจ่าย ก็ต้องหารายได้เพิ่ม

            สุดท้ายหมดหนี้ เริ่มออมเงิน โดยเริ่มจากเงินออมต้นทาง คือเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งถือเป็นเงินออมก้อนที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเงินออมระยะยาวเพื่อเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ 

             ผู้ที่รู้ตัวเองดีว่า ถ้าให้เก็บเงินเองจะ “เก็บไม่อยู่” แน่นอน  ให้ใช้วิธี “หักดิบ” ยอมให้หักเงินจากเงินเดือนมาสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในอัตราสูงสุดไปเลย ซึ่งหลายบริษัทให้สะสมได้สูงสุด 15%ของเงินเดือน

            ข้อดีของเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นอกจากเงินออมสะสมของเราที่ใส่เข้าไปทุกเดือนแล้ว ยังมีเงินที่นายจ้างจ่ายสมทบให้เราเพิ่มไปอีก ขึ้นกับข้อกำหนดของแต่ละบริษัทว่าจะสมทบให้เท่าไร ตั้งแต่ 2-15%  นั่นหมายถึงเงินที่นายจ้างช่วยออมเพิ่มให้เรานั่นเอง!!

            แถมเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของเรา ยังสามารถนำไปใช้หักลดหย่อนภาษีเงินได้ที่เราต้องจ่ายทุกปีได้อีกด้วย

             ที่สำคัญยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะเงินสะสมและเงินสมทบของนายจ้าง จะถูกนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ โดยมีผู้จัดการกองทุนที่เป็นมืออาชีพบริหารเงินให้

             ผลตอบแทนจากการลงทุนแต่ละปีจะมากหรือน้อย  ขึ้นกับหลายปัจจัย โดยเฉพาะขึ้นกับระยะเวลาและสินทรัพย์ที่ไปลงทุน ซึ่งมีทั้งเงินฝาก หุ้น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล ทองคำ กองทุนรวมและกองรีทต่างๆ ที่มีทั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์กองทุนโครงสร้างพื้นฐานมากมาย

            ซึ่งปัจจุบัน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีรูปแบบให้ลูกจ้างเลือกแผนลงทุน (Employee’s Choice)ได้ เช่น หากยังอายุไม่มาก  แนะนำให้เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงได้มากขึ้น เช่น ลงทุนในหุ้น เพราะจากสถิติพบว่าการลงทุนระยะยาวในหุ้นพื้นฐานดี มักให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่สูงกว่าได้

            เมื่ออายุมากขึ้นต้องลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลง เพื่อไปลงทุนมากขึ้นในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า แต่อาจได้ผลตอบแทนที่ลดลง และหากใกล้เกษียณก็สามารถขอเลือกแผนลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยงเลย เพื่อปกป้องเงินต้นในโค้งสุดท้ายของการลงทุน

“คุณนายพารวย”อยากแนะนำให้พวกเราเพิ่มพูนความรู้และเทคนิคการออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบแซ่บๆ ได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ www.set.or.th และเลือกไปที่ เมนู“ความรู้การลงทุน”

            แล้วจะรู้ว่า การเลือกแผนลงทุนที่สอดคล้องกับอายุ เป้าหมายผลตอบแทนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จะช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้อย่างมหาศาล!!

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออม รู้ใช้รู้ลงทุน สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ซีพีเอฟ ส่งเสริมเกษตรกรทำฟาร์มกุ้งมาตรฐาน ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ

0

นายไพโรจน์ อภิรักษ์นุสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัท เดินหน้าส่งเสริมเกษตรกรโดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยในการปรับเปลี่ยนระบบการเลี้ยงที่เป็นมาตรฐานให้เหมาะสมกับศักยภาพของเกษตรกรบนพื้นฐานของความยั่งยืน รักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยการนำนวัตกรรมการเลี้ยงกุ้ง 3 สะอาด ระบบหมุนเวียนน้ำ และระบบไบโอซีเคียวริตี้ มาเชื่อมโยงกันในฟาร์มกุ้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยง ลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคของกุ้ง ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้บริโภคและสร้างความมั่นคงให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในระยะยาว

ไพโรจน์ อภิรักษ์นุสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ

ระบบการเลี้ยงกุ้งแบบผสมผสานดังกล่าว ให้ความสำคัญกับการดูแลห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมกุ้งขาวแวนนาไม เริ่มตั้งแต่การส่งเสริมการใช้วัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์น้ำที่มีความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้แรงงานที่ถูกกฎหมาย การพัฒนาลูกพันธุ์กุ้งที่โตไว แข็งแรง ทนต่อโรค สะอาด ปลอดจากเชื้อโรค และวิธีการเลี้ยงอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการตามมาตรฐานสากล ไร้สารตกค้าง ลดความเสี่ยงจากวิกฤติของโรคระบาด ตลอดจนการจ้างแรงงานถูกกฎหมาย เพื่อทำให้การเลี้ยงกุ้งของเกษตรกรสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต

นายไพโรจน์ กล่าวว่า หลักการเลี้ยงกุ้ง 3 สะอาด ประกอบด้วย การใช้ลูกพันธุ์กุ้งที่สะอาด ปลอดโรค น้ำที่ใช้เลี้ยงกุ้งสะอาด น้ำที่ไม่มีเชื้อก่อโรค มีตะกอนน้อยและมีการบำบัดเพื่อลดปริมาณสารอินทรีย์ก่อนนำมาใช้ รวมทั้งการจัดการบ่อเลี้ยงให้สะอาด มีระบบการจัดการพื้นบ่อไม่ให้มีแหล่งสะสมเชื้อก่อโรค

นอกจากนี้ บริษัทฯ ส่งเสริมระบบหมุนเวียนน้ำ หรือการรีไซเคิลน้ำมาใช้ในฟาร์มเลี้ยงกุ้ง ลดการพึ่งพาน้ำจากภายนอก ช่วยลดโอกาสความเสี่ยงของโรคที่มาจากแหล่งน้ำ รวมทั้งเป็นระบบที่ไม่ปล่อยของเสียหรือน้ำจากการเลี้ยงออกไปสู่สิ่งแวดล้อม ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคใหม่ ๆ จากแหล่งน้ำภายนอก ช่วยให้เกษตรกรไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ลดการใช้สารเคมี ซึ่งเป็นปัจจัยช่วยสร้างความสำเร็จให้กับเกษตรกร และสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม

ซีพีเอฟ ได้ส่งทีมนักวิชาการเข้าไปถ่ายทอดและให้คำแนะนำแก่เกษตรกรอย่างใกล้ชิด เพื่อนำหลักการ “3 สะอาด” ไบโอซีเคียวริตี้และการใช้ระบบการหมุนเวียนน้ำไปปฏิบัติอย่างถูกต้องตั้งแต่การออกแบบโครงสร้างฟาร์ม ปรับระบบการเลี้ยง ระบบการจัดการของเสียให้เหมาะสมกับพื้นที่และศักยภาพของเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีกำไรจากทุกรอบการเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์วิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจชะลอตัว เกิดวิถีชีวิตใหม่ (new normal) อย่างไรก็ตาม การผลิตอาหารปลอดภัยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากลยังคงเป็นวิถีที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อสร้างความยั่งยืนและความมั่นคงทางอาหารให้เพียงพอต่อการบริโภคทั้งในประเทศและประชากรโลก และรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่อย่างยั่งยืน

คลินิกกัญชา เปิดให้ผู้ป่วยมะเร็งระยะ 3 และ 4 ลงทะเบียนรับการตรวจรักษาด้วยกัญชา ฟรี

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า กรมการแพทย์ เชิญชวนให้ผู้ป่วยมะเร็งระยะที่ 3 และ 4 ลงทะเบียนสมัครเข้ารับการตรวจและบริการฟรี ด้วยผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ สูตร THC เด่นขององค์การเภสัชกรรม

โดยเปิดให้บริการ สัปดาห์ละ 2 วัน ทุกวันอังคาร และวันพุธ ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน – 29 กรกฎาคม 2563 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ อาคารกรมการแพทย์ (DMS6) ภายในกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ทั้งนี้ รับเฉพาะผู้ป่วยที่ลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าเท่านั้น

เอไอเอส เดินหน้าขยายจุดทิ้งขยะ E-Waste 1,800 จุดทั่วไทย

0

เอไอเอส สานต่อภารกิจ “ถ้าเราทุกคน คือเครือข่าย” จับมือพันธมิตร ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา เปิดแคมเปญใหญ่ต้อนรับวันสิ่งแวดล้อมโลก “คนไทยไร้ E-Waste” ขยายจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วประเทศรวมกว่า 1,806 จุด พร้อมรณรงค์เชิญชวนประชาชนคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ และนำไปทิ้งอย่างถูกวิธี สร้าง New Norm ต้อนรับชีวิตวิถีใหม่ ออกนอกบ้านครั้งใด พก E-Waste ติดตัวไปทิ้งด้วยทุกครั้ง

โดยร่วมมือกับพันธมิตรองค์กรชั้นนำ อาทิ ศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัล, ไปรษณีย์ไทย, SMART Service ผู้ให้บริการบริหารจัดการนิติบุคคลอาคารชุดและหมู่บ้านจัดสรร, ภาคีเครือข่ายความเพื่อยั่งยืนแห่งประเทศไทย TRBN โดยความร่วมมือของกลุ่มบริษัทจดทะเบียน ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, กลุ่มบริษัทย่านถนนพหลโยธิน และมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมทั้งสิ้นกว่า 40 องค์กรทั่วประเทศ ร่วมขับเคลื่อนแคมเปญใหม่ “คนไทยไร้ E-Waste” สร้างการตระหนักรู้เรื่อง ภัยอันตรายที่แฝงมากับขยะอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมขยายจุดรับทิ้งขยะทั่วประเทศ อำนวยความสะดวกให้คนไทยสามารถทิ้งขยะ E-Waste ได้ง่าย ใกล้บ้านคุณ

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า “ในฐานะ Digital Life Service Provider ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อคนไทย เราให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจแบบเติบโตไปพร้อมกันทุกภาคส่วน โดยได้กำหนดทิศทางการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ครอบคลุมในมิติเศรษฐกิจ สังคมและ สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในด้านของสิ่งแวดล้อม ที่เรามุ่งมั่น ใส่ใจมาโดยตลอด

ในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ริเริ่มโครงการ “ทิ้ง E-Waste กับเอไอเอส” ซึ่งมีเป้าหมายที่จะสร้างการตระหนักรู้ และเป็นแกนกลางที่จะเป็นจุดรับและนำขยะอิเล็กทรอนิกส์จากประชาชนไปกำจัดอย่างถูกวิธี ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนทั่วไปอย่างดียิ่ง มีปริมาณขยะ E-Waste เข้าสู่กระบวนการกำจัดรวมทั้งสิ้นกว่า 49,952 ชิ้น ในระยะเวลาเพียง 7 เดือน สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงถึง 499,520 กิโลกรัมคาร์บอนสมมูลย์ หรือเทียบเท่าต้นไม้ขนาดใหญ่ จำนวน 55,502 ต้น ดูดซับ CO2 เป็นเวลา 1 ปี

และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ความต้องการทางด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้จากปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้มือถือในไทยที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 11.14% เนื่องจากประชาชนจำเป็นจะต้องใช้สำหรับการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) การใช้บริการทางด้านสาธารณสุข (Telemedicine) และการศึกษาผ่านระบบออนไลน์ (Learn From Home) แต่ทว่าการเพิ่มขึ้นของจำนวนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในช่วงเวลาดังกล่าว อาจจะนำมาซึ่งผลเสียต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อมได้ในอนาคต หากคนไทยขาดซึ่งความตระหนักรู้ ไม่คัดแยก และทิ้งขยะ E-Waste อย่างถูกวิธี

รวมถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ถือว่าเป็นประเด็นระดับนานาชาติ เนื่องจากผู้คนทั่วทั้งโลกใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการดำรงชีวิตร่วมกัน ทั้งทรัพยากรดิน ทรัพยากรน้ำ และอากาศ ดังนั้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้ รวมถึงการรณรงค์เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ และรักษาไว้ซึ่งความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต (Biodiversity) ของท้องถิ่นให้ดำรงอยู่ องค์การสหประชาชาติจึงได้มีการจัดตั้งวันสิ่งแวดล้อมโลกขึ้น ในวันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี โดยปีนี้มีคำขวัญว่า Time for Nature ช่วงเวลาที่ธรรมชาติทั่วโลกจะได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

บริษัทจึงถือโอกาสนี้ ประกาศเจตนารมย์ในการร่วมรักษา ฟื้นฟูธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมร่วมกับพันธมิตรทั้ง 40 องค์กร รวมพลังของพนักงานทุกองค์กรกว่า 100,000 คน เปิดตัวแคมเปญ “คนไทยไร้ E-Waste” สร้างเครือข่ายรณรงค์และบอกต่อการรับทิ้งขยะ พร้อมทั้งร่วมขยายความตระหนักรู้ไปสู่คนไทยในเซกเมนต์ต่างๆ อย่างแพร่หลาย ทั้งกลุ่มพนักงานบริษัทเอกชน, กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย, กลุ่มผู้พักอาศัยทั้งบ้านและคอนโด, กลุ่มโลจิสติกส์, กลุ่มช็อปเปอร์ เป็นต้น และยังเป็นการเตรียมความพร้อมรับคลายล็อกดาวน์เฟส 3 ที่ภาครัฐบาลผ่อนปรนให้หลากหลายธุรกิจกลับมาเปิดดำเนินกิจการได้ตามปกติ รองรับกับความต้องการเปลี่ยนผ่านอุปกรณ์รุ่นเก่าของแต่ละครัวเรือน รวมถึงเป็นวิธีการทำงานเชิงรุกเพื่อป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมในระยะยาวอีกด้วย

งดเสด็จออกประทานพระวโรกาสให้เฝ้าถวายสักการะในวันคล้ายวันประสูติสมเด็จพระสังฆราช

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้ออกประกาศที่ ๔ / ๒๕๖๓ เรื่อง การจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันประสูติ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช พุทธศักราช ๒๕๖๓ มีเนื้อความว่า

เนื่องในมงคลสมัยคล้ายวันประสูติ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จะเวียนมาบรรจบในวันศุกร์ ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๓ มีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน แสดงเจตจำนงจะเฝ้าถวายสักการะ และจัดกิจกรรมต่าง ๆ สนองพระเดชพระคุณเหมือนเช่นทุกปี อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุแห่งสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) แพร่ระบาด ทางราชการได้ขยายระยะเวลาบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต่อไปจนถึงวันอังคาร ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ พร้อมทั้งเน้นย้ำให้คงมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมต่อไป สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จึงประกาศแนวทางการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันประสูติ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ดังต่อไปนี้

๑. งดการเสด็จออกประทานพระวโรกาสให้เฝ้าถวายสักการะ

๒. เปิดพระวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ในวันที่ ๒๔-๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๓ ให้สาธุชน เข้าถวายเครื่องสักการะที่หน้าพระรูป และลงนามถวายสักการะได้ ตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐ น.ถึง ๑๖.๐๐ น.

๓. คณะสงฆ์ที่ประสงค์จะจัดกิจกรรมถวายพระกุศล สามารถดำเนินกิจกรรมโรงทานตามที่ปฏิบัติมา หรือมอบเครื่องอุปโภคบริโภคบรรเทาทุกข์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาด เพื่อสนองพระดำริได้ตามกำลังความสามารถของแต่ละวัด และ/หรือประชุมกันเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตภาวนาถวายพระกุศล ภายหลังจากการทำวัตรเย็นตามปรกติของแต่ละวัด ในวันศุกร์ ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๓

๔. หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ที่ประสงค์จะเฝ้าถวายสักการะหรือจัดกิจกรรมใด ๆ สามารถเปลี่ยนแนวทางไปเป็นการเข้าประสานความร่วมมือกับวัดในชุมชน เพื่อร่วมกันสนองพระดำริในการบรรเทาทุกข์ของผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาด แทนการเข้าเฝ้าและการจัดกิจกรรมอื่น

อนึ่ง ผู้เข้าร่วมกิจกรรมตามข้อ ๒ ข้อ ๓ และข้อ ๔ พึงปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขซึ่งทางราชการประกาศและรณรงค์อย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ ความทราบฝ่าพระบาทแล้ว

ประกาศ ณ วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๓

ซีพีเอฟ ย้ำจุดยืนผลิตอาหารใส่ใจสมดุลธรรมชาติ

0

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ มีเป้าหมายที่จะปกป้องและดูแลสมดุลสิ่งแวดล้อม เป็นเป้าหมายสำคัญในการดำเนินธุรกิจและการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้ วิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” เพื่อส่งมอบอาหารคุณภาพ สะอาด และปลอดภัยสู่ผู้บริโภค โดยนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) บริหารทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพคุ้มค่า ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ไม่จำเป็นและส่งเสริมการใช้วัสดุสำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดการสูญเสียในกระบวนการผลิตอาหาร เพื่อสร้างคุณค่าต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs)

วุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ

“ในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน ของทุกปี ซีพีเอฟ ในฐานะบริษัทผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลก เราให้ความสำคัญกับอาหารทุกคำที่บริโภคต้องปลอดภัย และมาจากกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะเราตระหนักดีว่าสมดุลของชีวิตมาจากสมดุลของธรรมชาติที่ทุกคนต้องออกมาช่วยปกป้องและรักษาให้เหมือนกับที่ทุกคนดูแลตัวเองในทุกๆวัน ”

ซีพีเอฟ ใช้ทรัพยากรน้ำตลอดกระบวนการผลิตบนพื้นฐานแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน อาทิ ในฟาร์มเลี้ยงกุ้งบางสระเก้าและฟาร์มร้อยเพชร นำระบบไบโอฟลอค(Bio-Floc)ซึ่งเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่สามารถบำบัดสารละลายไนโตรเจนที่เกิดจากของเสียที่ขับถ่ายจากกุ้ง ลดการเปลี่ยนถ่ายน้ำในระหว่างการเลี้ยง ทำให้การใช้น้ำลด 70 % เทียบกับการเลี้ยงกุ้งโดยทั่วไป และนำเทคโนโลยี Ultra Filtration (UF) กรองน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว หมุนเวียนกลับมาใช้เลี้ยงกุ้งมากกว่า 90 % เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการลดปริมาณขยะพลาสติก โดยในปี 2563 บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่นำมาใช้บรรจุอาหารในประเทศไทยสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ (reusable) หรือ นำกลับมาใช้ใหม่ (recycle) แล้ว 100% และในปีนี้ ยังได้ดำเนินการเพื่อลดการสูญเสียอาหารและการจัดการขยะอาหารในกระบวนการและห่วงโซ่อุปทานการผลิตอาหาร โดยเริ่มโครงการนำร่องในธุรกิจไก่เนื้อ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีปริมาณการส่งออกสูงสุดเพื่อเป็นต้นแบบของการดำเนินงาน และจะขยายผลไปยังกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ต่อไป

นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นมีส่วนร่วมลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยปัจจุบันสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ 26 % ของพลังงานที่ใช้ทั้งหมด ผ่านการดำเนินโครงการต่างๆ อาทิ โครงการพลังงานจากชีวมวล ซึ่งโรงงานอาหารสัตว์บกและสัตว์น้ำนำวัสดุเหลือทิ้ง เช่น เศษไม้ ขี้เลื่อย ซังข้าวโพด มาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนถ่านหินในหม้อไอน้ำ โดยตั้งเป้ายกเลิกการใช้ถ่านหินภายในปี 2565 โครงการพลังงานจากก๊าซชีวภาพ ฟาร์มสุกรของซีพีเอฟทั้งหมด นำน้ำเสียและมูลสัตว์ นำมาบำบัดผ่านระบบบำบัดน้ำเสีย ได้ก๊าซชีวภาพสามารถนำไปผลิตไฟฟ้ากลับมาใช้ภายในสถานประกอบการ

โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ โดยโรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โรงงานอาหารแปรรูป โรงงานอาหารสำเร็จรูป และศูนย์กระจายสินค้า รวม 24 แห่ง ติดตั้งแผง Solar PV บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ภายในกระบวนการผลิต โดยมีกำลังการผลิตทั้งหมด 15 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะดำเนินการผลิตไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพภายในปี 2563 ทั้งนี้ ผลจากการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนตลอดกระบวนการผลิตมากขึ้น ทำให้ในปี 2562 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 425,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

ในด้านสังคม บริษัทฯ ดำเนินโครงการ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง ” อนุรักษ์และฟื้นฟูป่า ในพื้นที่เขาพระยาเดินธง ต.พัฒนานิคม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี 5,971 ไร่ (ปี 2559-2563) ปริมาณการกักเก็บคาร์บอนจากการอนุรักษ์ ปกป้อง และฟื้นฟูป่าไม้ 39,690 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

สิ่งที่ซีพีเอฟดำเนินโครงการต่างๆเหล่านี้ เป็นความมุ่งมั่นมีส่วนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทางในการผลิตอาหาร เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารของมนุษยชาติอย่างยั่งยืน