Home Blog Page 430

กรมชลฯ เร่งกำจัดผักตบชวา และวัชพืช รับน้ำหลากช่วงหน้าฝน

0

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ บินสำรวจและติดตามสถานการณ์ผักตบชวาและวัชพืชในลุ่มน้ำภาคกลาง(แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำน้อย คลองรังสิตประยูรศักดิ์) จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการติดตามสถานการณ์ผักตบชวาและวัชพืช ในลุ่มน้ำภาคกลาง ณ ห้องเตรียมบิน กองการบิน ศูนย์การเคลื่อนย้ายกองทัพบก

ทั้งนี้ พล.อ. ประวิตร ได้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาผักตบชวาและวัชพืชในแม่น้ำ และติดตามผลการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ใช้เส้นทางน้ำในการคมนาคมเป็นประจำ และเตรียมความพร้อมรับมือกับน้ำหลากในช่วงฤดูฝนนี้ จึงได้มอบหมายให้ 4 หน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่ที่มีการสะสมของผักตบชวาและวัชพืชในแม่น้ำสายหลักและแหล่งน้ำเชื่อมโยง ได้แก่ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมชลประทาน กรมเจ้าท่า และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เร่งรัดดำเนินการกำจัดผักตบชวาให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายนนี้

ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ในส่วนของกรมชลประทาน รับผิดชอบแม่น้ำสายหลัก 3 แห่ง ในลุ่มน้ำภาคกลาง ได้แก่

  • แม่น้ำท่าจีน บริเวณประตูระบายน้ำพลเทพ จนถึง ประตูระบายน้ำโพธิ์พระยา รวมระยะทาง 120 กิโลเมตร มีปริมาณผักตบชวา ประมาณ 13,680 ตัน
  • แม่น้ำน้อย บริเวณประตูระบายน้ำบรมธาตุจนถึงประตูระบายน้ำผักไห่รวมระยะทาง 97 กิโลเมตร มีปริมาณผักตบชวาประมาณ 16,320 ตัน
  • คลองรังสิตประยูรศักดิ์ คลองสอง คลองสาม และคลองหกวา มีปริมาณผักตบชวารวมกันประมาณ 15,600 ตัน  

โดยทั้งประเทศ กรมชลประทาน มีแผนการดำเนินงานกำจัดผักตบชวารวมทั้งสิ้นประมาณ 2,585,141 ตัน ปัจจุบันดำเนินการไปแล้ว 1,513,590 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 59 ของแผนงานทั้งประเทศ

คุณนายพารวย : ออมเงินกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

0

บทความที่แล้วเล่าให้ฟังถึง คุณพี่มนุษย์เดือนชนเดือน พนักงานออฟฟิศท่านหนึ่ง  ที่ปรับระบบชีวิตการเงินของตัวเองใหม่ จนสามารถปลดแอกจากชีวิตหนี้ที่มืดมน เงินเดือนหมื่นกว่า แต่เป็นหนี้เกือบครึ่งล้าน จากการใช้จ่ายเงินที่ไม่มีระเบียบแบบแผน มีเงินเข้ากระเป๋าเท่าไร ก็ใช้จ่ายจนหมดเกลี้ยง ไม่พอก็หยิบยืม  รูดบัตรเงินสด  กู้เงินนอกระบบ เงินเก็บเงินออมไม่เคยมี  เงินลงทุนไม่ต้องพูดถึง

             เมื่อชีวิตพลิกผัน ได้เข้าสู่โครงการ “Happy Money Happy Retirement” ที่บริษัทส่งพนักงานเข้าร่วมโครงการกับตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้กลับมาจัดระเบียบการใช้จ่ายของตัวเองใหม่หมด  จดบันทึกรายรับรายจ่าย อุดรูรั่ว ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออก ก็มีเงินเหลือมาจ่ายหนี้  เมื่อรายรับไม่พอจ่าย ก็ต้องหารายได้เพิ่ม

            สุดท้ายหมดหนี้ เริ่มออมเงิน โดยเริ่มจากเงินออมต้นทาง คือเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งถือเป็นเงินออมก้อนที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเงินออมระยะยาวเพื่อเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ 

             ผู้ที่รู้ตัวเองดีว่า ถ้าให้เก็บเงินเองจะ “เก็บไม่อยู่” แน่นอน  ให้ใช้วิธี “หักดิบ” ยอมให้หักเงินจากเงินเดือนมาสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในอัตราสูงสุดไปเลย ซึ่งหลายบริษัทให้สะสมได้สูงสุด 15%ของเงินเดือน

            ข้อดีของเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นอกจากเงินออมสะสมของเราที่ใส่เข้าไปทุกเดือนแล้ว ยังมีเงินที่นายจ้างจ่ายสมทบให้เราเพิ่มไปอีก ขึ้นกับข้อกำหนดของแต่ละบริษัทว่าจะสมทบให้เท่าไร ตั้งแต่ 2-15%  นั่นหมายถึงเงินที่นายจ้างช่วยออมเพิ่มให้เรานั่นเอง!!

            แถมเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของเรา ยังสามารถนำไปใช้หักลดหย่อนภาษีเงินได้ที่เราต้องจ่ายทุกปีได้อีกด้วย

             ที่สำคัญยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะเงินสะสมและเงินสมทบของนายจ้าง จะถูกนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ โดยมีผู้จัดการกองทุนที่เป็นมืออาชีพบริหารเงินให้

             ผลตอบแทนจากการลงทุนแต่ละปีจะมากหรือน้อย  ขึ้นกับหลายปัจจัย โดยเฉพาะขึ้นกับระยะเวลาและสินทรัพย์ที่ไปลงทุน ซึ่งมีทั้งเงินฝาก หุ้น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล ทองคำ กองทุนรวมและกองรีทต่างๆ ที่มีทั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์กองทุนโครงสร้างพื้นฐานมากมาย

            ซึ่งปัจจุบัน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีรูปแบบให้ลูกจ้างเลือกแผนลงทุน (Employee’s Choice)ได้ เช่น หากยังอายุไม่มาก  แนะนำให้เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงได้มากขึ้น เช่น ลงทุนในหุ้น เพราะจากสถิติพบว่าการลงทุนระยะยาวในหุ้นพื้นฐานดี มักให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่สูงกว่าได้

            เมื่ออายุมากขึ้นต้องลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลง เพื่อไปลงทุนมากขึ้นในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า แต่อาจได้ผลตอบแทนที่ลดลง และหากใกล้เกษียณก็สามารถขอเลือกแผนลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยงเลย เพื่อปกป้องเงินต้นในโค้งสุดท้ายของการลงทุน

“คุณนายพารวย”อยากแนะนำให้พวกเราเพิ่มพูนความรู้และเทคนิคการออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบแซ่บๆ ได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ www.set.or.th และเลือกไปที่ เมนู“ความรู้การลงทุน”

            แล้วจะรู้ว่า การเลือกแผนลงทุนที่สอดคล้องกับอายุ เป้าหมายผลตอบแทนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จะช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้อย่างมหาศาล!!

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออม รู้ใช้รู้ลงทุน สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ซีพีเอฟ ส่งเสริมเกษตรกรทำฟาร์มกุ้งมาตรฐาน ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ

0

นายไพโรจน์ อภิรักษ์นุสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัท เดินหน้าส่งเสริมเกษตรกรโดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยในการปรับเปลี่ยนระบบการเลี้ยงที่เป็นมาตรฐานให้เหมาะสมกับศักยภาพของเกษตรกรบนพื้นฐานของความยั่งยืน รักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยการนำนวัตกรรมการเลี้ยงกุ้ง 3 สะอาด ระบบหมุนเวียนน้ำ และระบบไบโอซีเคียวริตี้ มาเชื่อมโยงกันในฟาร์มกุ้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยง ลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคของกุ้ง ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้บริโภคและสร้างความมั่นคงให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในระยะยาว

ไพโรจน์ อภิรักษ์นุสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ

ระบบการเลี้ยงกุ้งแบบผสมผสานดังกล่าว ให้ความสำคัญกับการดูแลห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมกุ้งขาวแวนนาไม เริ่มตั้งแต่การส่งเสริมการใช้วัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์น้ำที่มีความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้แรงงานที่ถูกกฎหมาย การพัฒนาลูกพันธุ์กุ้งที่โตไว แข็งแรง ทนต่อโรค สะอาด ปลอดจากเชื้อโรค และวิธีการเลี้ยงอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการตามมาตรฐานสากล ไร้สารตกค้าง ลดความเสี่ยงจากวิกฤติของโรคระบาด ตลอดจนการจ้างแรงงานถูกกฎหมาย เพื่อทำให้การเลี้ยงกุ้งของเกษตรกรสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต

นายไพโรจน์ กล่าวว่า หลักการเลี้ยงกุ้ง 3 สะอาด ประกอบด้วย การใช้ลูกพันธุ์กุ้งที่สะอาด ปลอดโรค น้ำที่ใช้เลี้ยงกุ้งสะอาด น้ำที่ไม่มีเชื้อก่อโรค มีตะกอนน้อยและมีการบำบัดเพื่อลดปริมาณสารอินทรีย์ก่อนนำมาใช้ รวมทั้งการจัดการบ่อเลี้ยงให้สะอาด มีระบบการจัดการพื้นบ่อไม่ให้มีแหล่งสะสมเชื้อก่อโรค

นอกจากนี้ บริษัทฯ ส่งเสริมระบบหมุนเวียนน้ำ หรือการรีไซเคิลน้ำมาใช้ในฟาร์มเลี้ยงกุ้ง ลดการพึ่งพาน้ำจากภายนอก ช่วยลดโอกาสความเสี่ยงของโรคที่มาจากแหล่งน้ำ รวมทั้งเป็นระบบที่ไม่ปล่อยของเสียหรือน้ำจากการเลี้ยงออกไปสู่สิ่งแวดล้อม ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคใหม่ ๆ จากแหล่งน้ำภายนอก ช่วยให้เกษตรกรไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ลดการใช้สารเคมี ซึ่งเป็นปัจจัยช่วยสร้างความสำเร็จให้กับเกษตรกร และสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม

ซีพีเอฟ ได้ส่งทีมนักวิชาการเข้าไปถ่ายทอดและให้คำแนะนำแก่เกษตรกรอย่างใกล้ชิด เพื่อนำหลักการ “3 สะอาด” ไบโอซีเคียวริตี้และการใช้ระบบการหมุนเวียนน้ำไปปฏิบัติอย่างถูกต้องตั้งแต่การออกแบบโครงสร้างฟาร์ม ปรับระบบการเลี้ยง ระบบการจัดการของเสียให้เหมาะสมกับพื้นที่และศักยภาพของเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีกำไรจากทุกรอบการเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์วิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจชะลอตัว เกิดวิถีชีวิตใหม่ (new normal) อย่างไรก็ตาม การผลิตอาหารปลอดภัยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากลยังคงเป็นวิถีที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อสร้างความยั่งยืนและความมั่นคงทางอาหารให้เพียงพอต่อการบริโภคทั้งในประเทศและประชากรโลก และรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่อย่างยั่งยืน

คลินิกกัญชา เปิดให้ผู้ป่วยมะเร็งระยะ 3 และ 4 ลงทะเบียนรับการตรวจรักษาด้วยกัญชา ฟรี

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า กรมการแพทย์ เชิญชวนให้ผู้ป่วยมะเร็งระยะที่ 3 และ 4 ลงทะเบียนสมัครเข้ารับการตรวจและบริการฟรี ด้วยผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ สูตร THC เด่นขององค์การเภสัชกรรม

โดยเปิดให้บริการ สัปดาห์ละ 2 วัน ทุกวันอังคาร และวันพุธ ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน – 29 กรกฎาคม 2563 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ อาคารกรมการแพทย์ (DMS6) ภายในกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ทั้งนี้ รับเฉพาะผู้ป่วยที่ลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าเท่านั้น

เอไอเอส เดินหน้าขยายจุดทิ้งขยะ E-Waste 1,800 จุดทั่วไทย

0

เอไอเอส สานต่อภารกิจ “ถ้าเราทุกคน คือเครือข่าย” จับมือพันธมิตร ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา เปิดแคมเปญใหญ่ต้อนรับวันสิ่งแวดล้อมโลก “คนไทยไร้ E-Waste” ขยายจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วประเทศรวมกว่า 1,806 จุด พร้อมรณรงค์เชิญชวนประชาชนคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ และนำไปทิ้งอย่างถูกวิธี สร้าง New Norm ต้อนรับชีวิตวิถีใหม่ ออกนอกบ้านครั้งใด พก E-Waste ติดตัวไปทิ้งด้วยทุกครั้ง

โดยร่วมมือกับพันธมิตรองค์กรชั้นนำ อาทิ ศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัล, ไปรษณีย์ไทย, SMART Service ผู้ให้บริการบริหารจัดการนิติบุคคลอาคารชุดและหมู่บ้านจัดสรร, ภาคีเครือข่ายความเพื่อยั่งยืนแห่งประเทศไทย TRBN โดยความร่วมมือของกลุ่มบริษัทจดทะเบียน ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, กลุ่มบริษัทย่านถนนพหลโยธิน และมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมทั้งสิ้นกว่า 40 องค์กรทั่วประเทศ ร่วมขับเคลื่อนแคมเปญใหม่ “คนไทยไร้ E-Waste” สร้างการตระหนักรู้เรื่อง ภัยอันตรายที่แฝงมากับขยะอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมขยายจุดรับทิ้งขยะทั่วประเทศ อำนวยความสะดวกให้คนไทยสามารถทิ้งขยะ E-Waste ได้ง่าย ใกล้บ้านคุณ

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า “ในฐานะ Digital Life Service Provider ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อคนไทย เราให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจแบบเติบโตไปพร้อมกันทุกภาคส่วน โดยได้กำหนดทิศทางการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ครอบคลุมในมิติเศรษฐกิจ สังคมและ สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในด้านของสิ่งแวดล้อม ที่เรามุ่งมั่น ใส่ใจมาโดยตลอด

ในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ริเริ่มโครงการ “ทิ้ง E-Waste กับเอไอเอส” ซึ่งมีเป้าหมายที่จะสร้างการตระหนักรู้ และเป็นแกนกลางที่จะเป็นจุดรับและนำขยะอิเล็กทรอนิกส์จากประชาชนไปกำจัดอย่างถูกวิธี ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนทั่วไปอย่างดียิ่ง มีปริมาณขยะ E-Waste เข้าสู่กระบวนการกำจัดรวมทั้งสิ้นกว่า 49,952 ชิ้น ในระยะเวลาเพียง 7 เดือน สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงถึง 499,520 กิโลกรัมคาร์บอนสมมูลย์ หรือเทียบเท่าต้นไม้ขนาดใหญ่ จำนวน 55,502 ต้น ดูดซับ CO2 เป็นเวลา 1 ปี

และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ความต้องการทางด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้จากปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้มือถือในไทยที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 11.14% เนื่องจากประชาชนจำเป็นจะต้องใช้สำหรับการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) การใช้บริการทางด้านสาธารณสุข (Telemedicine) และการศึกษาผ่านระบบออนไลน์ (Learn From Home) แต่ทว่าการเพิ่มขึ้นของจำนวนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในช่วงเวลาดังกล่าว อาจจะนำมาซึ่งผลเสียต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อมได้ในอนาคต หากคนไทยขาดซึ่งความตระหนักรู้ ไม่คัดแยก และทิ้งขยะ E-Waste อย่างถูกวิธี

รวมถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ถือว่าเป็นประเด็นระดับนานาชาติ เนื่องจากผู้คนทั่วทั้งโลกใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการดำรงชีวิตร่วมกัน ทั้งทรัพยากรดิน ทรัพยากรน้ำ และอากาศ ดังนั้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้ รวมถึงการรณรงค์เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ และรักษาไว้ซึ่งความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต (Biodiversity) ของท้องถิ่นให้ดำรงอยู่ องค์การสหประชาชาติจึงได้มีการจัดตั้งวันสิ่งแวดล้อมโลกขึ้น ในวันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี โดยปีนี้มีคำขวัญว่า Time for Nature ช่วงเวลาที่ธรรมชาติทั่วโลกจะได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

บริษัทจึงถือโอกาสนี้ ประกาศเจตนารมย์ในการร่วมรักษา ฟื้นฟูธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมร่วมกับพันธมิตรทั้ง 40 องค์กร รวมพลังของพนักงานทุกองค์กรกว่า 100,000 คน เปิดตัวแคมเปญ “คนไทยไร้ E-Waste” สร้างเครือข่ายรณรงค์และบอกต่อการรับทิ้งขยะ พร้อมทั้งร่วมขยายความตระหนักรู้ไปสู่คนไทยในเซกเมนต์ต่างๆ อย่างแพร่หลาย ทั้งกลุ่มพนักงานบริษัทเอกชน, กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย, กลุ่มผู้พักอาศัยทั้งบ้านและคอนโด, กลุ่มโลจิสติกส์, กลุ่มช็อปเปอร์ เป็นต้น และยังเป็นการเตรียมความพร้อมรับคลายล็อกดาวน์เฟส 3 ที่ภาครัฐบาลผ่อนปรนให้หลากหลายธุรกิจกลับมาเปิดดำเนินกิจการได้ตามปกติ รองรับกับความต้องการเปลี่ยนผ่านอุปกรณ์รุ่นเก่าของแต่ละครัวเรือน รวมถึงเป็นวิธีการทำงานเชิงรุกเพื่อป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมในระยะยาวอีกด้วย

งดเสด็จออกประทานพระวโรกาสให้เฝ้าถวายสักการะในวันคล้ายวันประสูติสมเด็จพระสังฆราช

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้ออกประกาศที่ ๔ / ๒๕๖๓ เรื่อง การจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันประสูติ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช พุทธศักราช ๒๕๖๓ มีเนื้อความว่า

เนื่องในมงคลสมัยคล้ายวันประสูติ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จะเวียนมาบรรจบในวันศุกร์ ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๓ มีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน แสดงเจตจำนงจะเฝ้าถวายสักการะ และจัดกิจกรรมต่าง ๆ สนองพระเดชพระคุณเหมือนเช่นทุกปี อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุแห่งสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) แพร่ระบาด ทางราชการได้ขยายระยะเวลาบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต่อไปจนถึงวันอังคาร ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ พร้อมทั้งเน้นย้ำให้คงมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมต่อไป สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จึงประกาศแนวทางการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันประสูติ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ดังต่อไปนี้

๑. งดการเสด็จออกประทานพระวโรกาสให้เฝ้าถวายสักการะ

๒. เปิดพระวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ในวันที่ ๒๔-๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๓ ให้สาธุชน เข้าถวายเครื่องสักการะที่หน้าพระรูป และลงนามถวายสักการะได้ ตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐ น.ถึง ๑๖.๐๐ น.

๓. คณะสงฆ์ที่ประสงค์จะจัดกิจกรรมถวายพระกุศล สามารถดำเนินกิจกรรมโรงทานตามที่ปฏิบัติมา หรือมอบเครื่องอุปโภคบริโภคบรรเทาทุกข์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาด เพื่อสนองพระดำริได้ตามกำลังความสามารถของแต่ละวัด และ/หรือประชุมกันเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตภาวนาถวายพระกุศล ภายหลังจากการทำวัตรเย็นตามปรกติของแต่ละวัด ในวันศุกร์ ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๓

๔. หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ที่ประสงค์จะเฝ้าถวายสักการะหรือจัดกิจกรรมใด ๆ สามารถเปลี่ยนแนวทางไปเป็นการเข้าประสานความร่วมมือกับวัดในชุมชน เพื่อร่วมกันสนองพระดำริในการบรรเทาทุกข์ของผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาด แทนการเข้าเฝ้าและการจัดกิจกรรมอื่น

อนึ่ง ผู้เข้าร่วมกิจกรรมตามข้อ ๒ ข้อ ๓ และข้อ ๔ พึงปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขซึ่งทางราชการประกาศและรณรงค์อย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ ความทราบฝ่าพระบาทแล้ว

ประกาศ ณ วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๓

ซีพีเอฟ ย้ำจุดยืนผลิตอาหารใส่ใจสมดุลธรรมชาติ

0

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ มีเป้าหมายที่จะปกป้องและดูแลสมดุลสิ่งแวดล้อม เป็นเป้าหมายสำคัญในการดำเนินธุรกิจและการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้ วิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” เพื่อส่งมอบอาหารคุณภาพ สะอาด และปลอดภัยสู่ผู้บริโภค โดยนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) บริหารทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพคุ้มค่า ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ไม่จำเป็นและส่งเสริมการใช้วัสดุสำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดการสูญเสียในกระบวนการผลิตอาหาร เพื่อสร้างคุณค่าต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs)

วุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ

“ในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน ของทุกปี ซีพีเอฟ ในฐานะบริษัทผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลก เราให้ความสำคัญกับอาหารทุกคำที่บริโภคต้องปลอดภัย และมาจากกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะเราตระหนักดีว่าสมดุลของชีวิตมาจากสมดุลของธรรมชาติที่ทุกคนต้องออกมาช่วยปกป้องและรักษาให้เหมือนกับที่ทุกคนดูแลตัวเองในทุกๆวัน ”

ซีพีเอฟ ใช้ทรัพยากรน้ำตลอดกระบวนการผลิตบนพื้นฐานแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน อาทิ ในฟาร์มเลี้ยงกุ้งบางสระเก้าและฟาร์มร้อยเพชร นำระบบไบโอฟลอค(Bio-Floc)ซึ่งเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่สามารถบำบัดสารละลายไนโตรเจนที่เกิดจากของเสียที่ขับถ่ายจากกุ้ง ลดการเปลี่ยนถ่ายน้ำในระหว่างการเลี้ยง ทำให้การใช้น้ำลด 70 % เทียบกับการเลี้ยงกุ้งโดยทั่วไป และนำเทคโนโลยี Ultra Filtration (UF) กรองน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว หมุนเวียนกลับมาใช้เลี้ยงกุ้งมากกว่า 90 % เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการลดปริมาณขยะพลาสติก โดยในปี 2563 บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่นำมาใช้บรรจุอาหารในประเทศไทยสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ (reusable) หรือ นำกลับมาใช้ใหม่ (recycle) แล้ว 100% และในปีนี้ ยังได้ดำเนินการเพื่อลดการสูญเสียอาหารและการจัดการขยะอาหารในกระบวนการและห่วงโซ่อุปทานการผลิตอาหาร โดยเริ่มโครงการนำร่องในธุรกิจไก่เนื้อ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีปริมาณการส่งออกสูงสุดเพื่อเป็นต้นแบบของการดำเนินงาน และจะขยายผลไปยังกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ต่อไป

นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นมีส่วนร่วมลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยปัจจุบันสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ 26 % ของพลังงานที่ใช้ทั้งหมด ผ่านการดำเนินโครงการต่างๆ อาทิ โครงการพลังงานจากชีวมวล ซึ่งโรงงานอาหารสัตว์บกและสัตว์น้ำนำวัสดุเหลือทิ้ง เช่น เศษไม้ ขี้เลื่อย ซังข้าวโพด มาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนถ่านหินในหม้อไอน้ำ โดยตั้งเป้ายกเลิกการใช้ถ่านหินภายในปี 2565 โครงการพลังงานจากก๊าซชีวภาพ ฟาร์มสุกรของซีพีเอฟทั้งหมด นำน้ำเสียและมูลสัตว์ นำมาบำบัดผ่านระบบบำบัดน้ำเสีย ได้ก๊าซชีวภาพสามารถนำไปผลิตไฟฟ้ากลับมาใช้ภายในสถานประกอบการ

โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ โดยโรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โรงงานอาหารแปรรูป โรงงานอาหารสำเร็จรูป และศูนย์กระจายสินค้า รวม 24 แห่ง ติดตั้งแผง Solar PV บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ภายในกระบวนการผลิต โดยมีกำลังการผลิตทั้งหมด 15 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะดำเนินการผลิตไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพภายในปี 2563 ทั้งนี้ ผลจากการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนตลอดกระบวนการผลิตมากขึ้น ทำให้ในปี 2562 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 425,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

ในด้านสังคม บริษัทฯ ดำเนินโครงการ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง ” อนุรักษ์และฟื้นฟูป่า ในพื้นที่เขาพระยาเดินธง ต.พัฒนานิคม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี 5,971 ไร่ (ปี 2559-2563) ปริมาณการกักเก็บคาร์บอนจากการอนุรักษ์ ปกป้อง และฟื้นฟูป่าไม้ 39,690 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

สิ่งที่ซีพีเอฟดำเนินโครงการต่างๆเหล่านี้ เป็นความมุ่งมั่นมีส่วนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทางในการผลิตอาหาร เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารของมนุษยชาติอย่างยั่งยืน

ดันแผนเพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำทั่วประเทศ ยึดโมเดลหนองช้างใหญ่ของกรมชลฯ

0

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จะนำแผนการเพิ่มศักยภาพแหล่งเก็บกักน้ำเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฟื้นฟูภาคเกษตร ภายใต้พ.ร.ก. เงินกู้ โดยให้กรมชลประทานใช้โครงการขุดลอกหนองช้างใหญ่ หรือ”หนองช้างใหญ่โมเดล” จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้นแบบในการดำเนินการทั่วประเทศ

เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนงานฟื้นฟูภาคเกษตร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจตามพ.ร.ก. เงินกู้ ในกรอบวงเงินงบประมาณ 400,000 ล้านบาท โดยจะเสนอแผนการเพิ่มศักยภาพแหล่งเก็บกักน้ำให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้พิจารณา โดยนำต้นแบบของกรมชลประทาน ที่เข้าไปดำเนินการที่อ่างเก็บน้ำหนองช้างใหญ่ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานีไปขยายผล

สำหรับอ่างเก็บน้ำหนองช้างใหญ่มีเนื้อที่ 7,500 ไร่ เก็บกักน้ำได้ 7.675 ล้าน ลบ.ม. ก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่พ.ศ. 2497 จากการตรวจพื้นที่เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ พบว่ามีตะกอนตกจมอยู่มากและมีวัชพืชหนาแน่น ไม่สามารถเก็บกักน้ำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เกษตรกรในพื้นที่จึงมีน้ำไม่เพียงพอ จึงได้กำหนดแผนงานขุดลอกตั้งแต่ปี 2562 แต่เพื่อให้เก็บกักน้ำได้ทันในฤดูฝนนี้ ได้สั่งการด่วนให้เร่งขุดลอกให้มากที่สุด โดยได้รับอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมปี 2563 และจัดเตรียมแผนงานสำหรับปีงบประมาณ 2564 สำหรับนำตะกอนดินออก พร้อมเสริมสันบานแบบฝายพับได้ และเสริมสันทำนบดิน หากดำเนินการแล้วเสร็จจะเก็บกักน้ำได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15.50 ล้าน ลบ.ม. รวมเป็นความจุทั้งสิ้น 23.175 ล้าน ลบ.ม. หรือมากกว่า 3 เท่าของความจุเดิม

ทั้งนี้ ส่งผลให้เกษตรกรมีน้ำเพียงพอทำการเกษตร, บรรเทาปัญหาอุทกภัย และเพิ่มพื้นที่ชลประทาน เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำของชุมชน รวมทั้งเป็นแหล่งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพให้กับชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง ดังนั้นจะนำ “หนองช้างใหญ่โมเดล” เป็นต้นแบบขยายผลในการเพิ่มศักยภาพของแหล่งเก็บกักน้ำที่ใช้งานมานานทั่วประเทศ

ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า การขุดลอกอ่างเก็บน้ำหนองช้างใหญ่ตามแผนงานปี 2562 และ 2563 จะนำตะกอนดินออกรวม 1 ล้าน ลบ.ม. รวมทั้งกำจัดผักตบชวาออกไปอีก 1,000 ตัน คิดเป็นพื้นที่ 20 ไร่ ส่วนงานเสริมสันทำนบดินอยู่ระหว่างดำเนินการ จากนั้นจะเร่งติดตั้งฝายแบบพับได้ เพื่อให้รองรับน้ำได้มากขึ้นในฤดูฝนนี้

ส่วนในปี 2564 มีแผนงานขุดลอกเพิ่มอีก 9.50 ล้าน ลบ.ม. เพื่อให้ได้ความจุเป็น 23.175 ล้านลบ.ม. นอกจากนี้ จะทำการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าบ้านแคน สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าบ้านทุ่งใหญ่ สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าบ้านนาดี และสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าบ้านยาง เพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทานอีก 8,000 ไร่ รวมเป็น 12,300 ไร่ มีพื้นที่รับประโยชน์เพิ่มขึ้น 16,200 ไร่ รวมเป็น 19,700 ไร่ โครงการฯนี้จะช่วยให้เกษตรกรมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี แม้ในฤดูแล้ง รวมทั้งยังป้องกันและบรรเทาอุทกภัยได้อีกด้วย

บุญรอดฯ เดินหน้าสิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง ลงพื้นที่จ.มหาสารคาม

0

รายงานข่าว เปิดเผยถึงความคืบหน้าของโครงการสิงห์อาสาเร่งด่วน จ้างงาน-สร้างอาชีพ  ซึ่งได้ดำเนินการแล้ว 3 โครงการ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดย บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้แก่

  • โครงการสิงห์อาสาสู้ไฟป่า 4 จังหวัดภาคเหนือ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา
  • โครงการสิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง ดูแลจังหวัดภาคอีสาน ขอนแก่น มหาสารคาม
  • โครงการสิงห์อาสาสู้น้ำท่วม ครอบคลุมจังหวัดภาคกลาง อยุธยา นครปฐม

ทั้ง 3 โครงการเร่งด่วนได้ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องสามารถจ้างงานสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านในช่วงโควิดได้ นับเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและสร้างจิตสำนึกในการดูแลชุมชนได้เป็นอย่างดี

สำหรับโครงการล่าสุด “สิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง” จ.มหาสารคาม เป็นพื้นที่ที่สองที่ลงพื้นที่ช่วยชาวบ้านให้มีน้ำดื่มน้ำใช้ในช่วงฤดูแล้ง และช่วยสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน โดยพื้นที่จ.มหาสารคาม ถือเป็นพื้นที่ที่โครงการสิงห์อาสาลงพื้นที่ช่วยเหลือภัยแล้งมาตลอดหลายปี โดยในครั้งนี้จัดขึ้นที่หมู่บ้านเปล่ง ต.แวดวง อ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม โดยมีนายสมจิตร สว่างไธสง ปลัดอาวุโส อ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม พร้อมด้วย นายวิทิต น้อยสุวรรณ ผู้บริหาร บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด พร้อมคณะผู้บริหาร และหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน ร่วมกันเปิดโครงการ “สิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง” แห่งที่สอง ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และมีประชาชนในหมู่บ้านได้รับผลกระทบจากวิกฤตสถานการณ์ โควิด – 19

โดย บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้มีการจ้างงานชาวบ้านให้ขุดบ่อน้ำเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ทำการเกษตรและใช้ในครัวเรือน เป็นการสำรองน้ำไว้ยามขาดแคลนจากภาวะภัยแล้ง และทำการติดตั้งแทงค์น้ำดื่มขนาดใหญ่เพื่อบริการกับชาวบ้านที่เดือดร้อนในชุมชน รวมไปถึงการแจกจ่ายน้ำดื่มให้กับประชาชนในหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับอาหารกลางวัน เบี้ยเลี้ยงคนละ 200 บาท น้ำดื่มสิงห์ ข้าวสารตราพันดี ซึ่งหลังจากนี้ก็จะกระจายไปยังพื้นที่ได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้งในจังหวัดอื่นๆในภาคอีสานต่อไป

สำหรับโครงการจ้างงานสร้างอาชีพทั้ง 3 โครงการนั้นจะยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยโครงการสิงห์อาสาสู้ไฟป่าครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือ โครงการสิงห์อาสาสู้ภัยแล้งครอบคลุมพื้นที่ภาคอีสาน และโครงการสิงห์อาสาสู้น้ำท่วมครอบคลุมพื้นที่ภาคกลาง  ทั้งนี้ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ยังมีโครงการอบรมสร้างอาชีพระยะยาวหลากหลายรูปแบบ โดยจะเริ่มในเดือนมิ.ย.นี้ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบโควิดให้พี่น้องคนไทยทั่วประเทศ

กสทช. เรียกถกบริษัทมือถือ 5 ค่าย พร้อมแอปเปิล สิงคโปร์ แก้ปัญหาสแปมพนันออนไลน์ระบาด

0

นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช.) เปิดเผยว่า สำนักงาน กสทช. ได้ประชุมหารือกับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5 ค่าย ได้แก่ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หรือเอไอเอส, บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE), บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) หรือดีแทค, บมจ. กสท โทรคมนาคม (CAT) และ บมจ. ทีโอที (TOT) พร้อมด้วยตัวแทนจากบริษัท แอปเปิล สิงคโปร์ ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อเร่งหาทางแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของสแปมพนันออนไลน์ ซึ่งรบกวนประชาชนอยู่ขณะนี้

จากการตรวจสอบของสำนักงาน กสทช. และข้อมูลจากบริษัทผู้ให้บริการ พบว่า สแปมดังกล่าวเป็น iMessage ไม่ใช่ SMS ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทั้ง 5 ค่าย จึงไม่สามารถตรวจสอบต้นทางและปลายทางได้ และไม่สามารถเห็นเนื้อหาในข้อความที่ส่งได้ อย่างไรก็ตาม สแปมเชิญชวนให้เล่นพนันออนไลน์นี้ ไม่เกี่ยวกับแอปพลิเคชันไทยชนะของรัฐบาล

ผู้แทนแอปเปิล สิงคโปร์ ได้ให้ความร่วมมืออย่างดีและให้ข้อมูลว่า แนวทางที่ดีที่สุดที่จะป้องกันกรณีนี้ ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์แอปเปิล ต้องตั้งค่าฟิลเตอร์ป้องกัน iMessage จากผู้ส่งที่ไม่ได้บันทึกไว้ในรายชื่อติดต่อ (Filter Unknown Senders) และหากได้รับข้อความที่เป็นสแปม ผู้ใช้ต้องกดรายงาน สแปม iMessage ไปยังแอปเปิล เพื่อทำการบล็อกข้อความดังกล่าว และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์แอปเปิล ทำการบล็อกผู้ส่ง iMessage นั้น รวมถึง ไม่กดลิงค์ หรือกดเปิดไฟล์ใดๆ ที่อยู่ในข้อความดังกล่าวเด็ดขาด ขณะเดียวกันแอปเปิลยังบอกว่า แอปเปิลยังมีระบบจัดการกับของความที่เป็นสแปมอยู่แล้วที่ใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก

สำนักงาน กสทช. ได้ขอความร่วมมือให้ทางแอปเปิลดำเนินการเกี่ยวกับกรณีนี้เป็นพิเศษเนื่องจาก ในไทย มีผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล เป็นจำนวนมาก ใน 3 ประเด็น คือ

1.ประชาสัมพันธ์วิธีการป้องกันสแปมจาก iMessage ผ่านสื่อ และช่องทางของแอปเปิลให้กับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์แอปเปิลในประเทศไทย

2.เร่งดำเนินการบล็อก หรือจัดการกับสแปมผ่านที่ได้รับการรายงาน สแปม iMessage โดยเร็ว

3.ดำเนินการปรับปรุงระบบจัดการสแปมของ iMessage ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

และ ขอความร่วมมือให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทั้ง 5 ค่าย ช่วยประชาสัมพันธ์แนวทางในการป้องกันสแปมที่จะเข้ามายัง iMessage ให้กับลูกค้าของต้นเองได้ทราบ โดยตั้งแต่เมื่อวานนี้ ค่ายมือถือบางค่าย เริ่มประชาสัมพันธ์แนะนำวิธีการป้องกันออกมาแล้ว และหลังจากนี้เมื่อแอปเปิลทำการประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลโดยตรง ก็น่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้มีสแปมเข้ามารบกวนประชาชนผู้ใช้บริการได้

ในส่วนของการตรวจสอบกรณีดังกล่าว สำนักงาน กสทช. ได้ขอให้ทางแอปเปิลทำการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งนี้ และรายงานผลให้สำนักงานฯ ทราบในการประชุมหารือครั้งต่อไป