Home Blog Page 426

พบเด็กไทยโดนไซเบอร์บูลลี่ สูงกว่าค่าเฉลี่ยเด็กชาติอื่น

0

เอไอเอสเผยผลสำรวจดัชนีชี้วัดความปลอดภัยบนสื่อออนไลน์สำหรับเด็ก ซึ่งจัดทำร่วมกับสถาบัน DQ ระดับโลก โดยความร่วมมือกับ 30 ประเทศทั่วโลก พบเด็กไทยเกี่ยวข้องกับการรังแกและเคยถูกรังแกบนโลกออนไลน์สูงกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กประเทศอื่น แนะผู้ปกครอง โรงเรียน คุณครู ต้องร่วมกันสร้างความเข้าใจ และเร่งพัฒนาทักษะความฉลาดทางดิจิทัล DQ ให้กับเด็กๆ อย่างเร่งด่วน เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันให้เด็กรู้จักแยกแยะ และจัดการปัญหา อารมณ์ และทัศนคติ    ในการรับมือกับการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ได้อย่างเหมาะสม

นางสาวนัฐิยา พัวพงศกร หัวหน้าแผนกงานพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน กล่าวว่า “การถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying) เป็นปัญหาสากลที่พบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กๆในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต้องกักตัวอยู่ที่บ้านและใช้สื่อดิจิทัลออนไลน์ในการเข้าถึงการเรียนรู้ สาระประโยชน์ ความบันเทิง และโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจทำให้เด็กไทยเสี่ยงภัยจากการรังแกบนโลกออนไลน์เพิ่มจากการใช้สื่อดิจิทัลที่ยาวนานขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่ได้รับคำแนะนำจากผู้ปกครอง ก็จะยิ่งทำให้ขาดทักษะความฉลาดทางดิจิทัลในการตระหนักรู้ แยกแยะ และสามารถรับมือกับการรังแกบนโลกออนไลน์ได้

การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ สามารถเกิดขึ้นกับคนทุกเพศ ทุกวัย ทั้งในฐานะของผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำ โดยใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้ง ทั้งนี้มีรูปแบบตั้งแต่การรังควาญผู้อื่น การแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสม รวมไปถึงการล้อเลียน โดยการกลั่นแกล้งนั้น แม้อาจจะเกิดได้จากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ล้วนส่งผลกระทบต่อผู้กระทำทั้งสิ้น            

ทั้งนี้ ผลสำรวจดัชนีชี้วัดความปลอดภัยบนสื่อออนไลน์สำหรับเด็ก (COSI : Child Online Safety Index) ที่เอไอเอส และ สถาบัน DQ ระดับโลกร่วมกันจัดทำขึ้น โดยเก็บรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมเด็กไทยในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 44,000 คน จาก 450 โรงเรียนทั่วประเทศในปี 2562 พบว่า เด็กไทยมีโอกาสเผชิญกับอันตรายต่างๆ บนโลกออนไลน์ทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ การรังแกออนไลน์, การใช้เทคโนโลยีอย่างไม่มีวินัย, ความเสี่ยงจากการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม, ความเสี่ยงจากการพบคนแปลกหน้า, การถูกคุกคามในโลกไซเบอร์ รวมไปถึงความเสี่ยงต่อการเสียชื่อเสียง

            โดยในประเด็นของการถูกรังแกบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying) พบว่า

·      48% ของเด็กไทย เคยเกี่ยวข้องกับการรังแกบนโลกออนไลน์ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของทั่วโลกอยู่ที่ 33%

·      41% ของเด็กไทย เคยถูกรังแกบนโลกออนไลน์ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของทั่วโลกอยู่ที่ 39%

·      เด็กผู้ชาย (56%) รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการรังแกออนไลน์มากกว่าเด็กผู้หญิง (41%)

·      จำนวนเด็กผู้ชายและผู้หญิงที่เคยถูกรังแกมีสัดส่วนเท่าๆ กัน โดยในกลุ่มของเด็กอายุ
13 ปี ขึ้นไป พบว่าเด็กผู้หญิงที่เคยถูกรังแกบนโลกออนไลน์มีจำนวน 43% ในขณะที่เด็กผู้ชายอยู่ที่ 37%

           ดังนั้น เอไอเอส ในฐานะ Digital Life Service Provider จึงถือเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องการส่งเสริมให้ครอบครัวและเด็กไทย เกิดการใช้สื่อดิจิทัลอย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ ไม่เป็นผู้ที่รังแกคนอื่น และรับมือการถูกรังแกได้อย่างเหมาะสม โดยในปีที่ผ่านมา เราได้ริเริ่มโครงการ “อุ่นใจไซเบอร์” ที่มุ่งสร้างความตระหนักรู้ถึงภัยไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นกับตนเอง หากใช้งานสื่อดิจิทัลอย่างไม่ระมัดระวัง ด้วยการพัฒนาหลักสูตรแบบเรียนรู้ (Self Learning) เพื่อให้เด็กไทยและคนไทยเข้าไปเรียนรู้และสร้างความฉลาดทางดิจิทัลหรือ DQ (Digital Quotient) โดยมี 8 ทักษะพื้นฐานที่เป็นเกราะป้องกันภัยไซเบอร์ โดยในนี้ มีอย่างน้อย 4 ทักษะ ที่จะเป็นวัคซีนต่อต้านภัย Cyberbullying ได้แก่

  1. ใจเขา ใจเรา  ความเห็นใจซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการอยู่ร่วมกันในสังคมทั้งบนโซเชียลและชีวิตจริง ก่อนที่จะพูดอะไรออกไป และก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไป ลองคิดถึงใจของอีกฝ่ายว่าถ้าเราไปเป็นเขาจะรู้สึกอย่างไร อย่าคิดแทนคนอื่น และอย่าตัดสินคนอื่น เพียงเพราะสิ่งที่เราเห็น
  2. คิดก่อนโพสต์  ไม่ระบายทุกอย่างลงบนโซเชียล โดยเฉพาะเวลาโกรธ, โพสต์อะไรควรมีที่มาที่ไป ไม่กล่าวหาใครลอยๆ, สุภาพไว้ดีที่สุด เพื่อลดความขุ่นเคืองต่อกัน, คิดให้ดีก่อนโพสต์ว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถส่งผลกระทบอะไรกับเราหรือคนอื่นหรือไม่
  3. เช็กก่อนเชื่อ  เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เราไม่กลายเป็นผู้กระทำคนอื่นในโลกออนไลน์ เราสามารถวิเคราะห์ได้ แยกแยะเป็นระหว่างข้อมูลที่ถูกและข้อมูลที่ผิด ไม่รีบด่วนตัดสินใจ มีความรู้เท่าทันและประเมินข้อมูลจากหลายแหล่งก่อนตัดสินใจเชื่อ
  4. ทำอย่างไรเมื่อถูก Cyberbully นี่อาจเป็นคำถามที่เกิดขึ้นกับหลายคน เมื่อโดนกระทำให้รู้สึกอับอายหรือเสื่อมเสียบนโลกออนไลน์ อย่าปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้ สะสมจนมาบั่นทอนจิตใจจนส่งผลกระทบไปถึงด้านอื่นๆ ในชีวิต ด้วยวิธีรับมือดังนี้

1) ไม่โต้ตอบ – ยิ่งเราเลือกตอบโต้ จะเป็นการทำให้เรื่องราวบานปลายได้

2) บล็อกไปเลย – ปิดช่องทางไม่ให้เขามายุ่งวอแวกับเราได้

3) ไม่เก็บเอาไว้คนเดียว – จะสร้างความเครียดให้ตัวเอง ให้ขอความช่วยเหลือจากคนรอบตัวดีกว่า

4) เก็บหลักฐานเอาไว้ – รวบรวมหลักฐานของคนที่มาโพสต์กลั่นแกล้งของเราไว้ ถ้าสิ่งนั้นส่งผลกระทบกับจิตใจและชีวิตมากเกินไป สามารถนำหลักฐานไปแจ้งความได้

โดย เอไอเอสได้นำเข้าแบบเรียนรู้ DQ ซึ่งมีทั้งบททดสอบวัด DQ ในตัวคุณ และบทเรียนออนไลน์ที่มีประโยชน์ เสริมสร้างทักษะทางดิจิทัลที่จำเป็นทั้ง 8 ทักษะ ในรูปแบบอินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดีย และแอนิเมชันสนุกๆ ให้คนไทยทุกคน ทุกเครือข่าย เรียนรู้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ที่เว็บไซต์  www.ais.co.th/dq

เนื่องในวันต่อต้านการกลั่นแกล้งทางออนไลน์สากล ปี 2020 (Stop Cyberbullying Day) เอไอเอสจึงได้จัดกิจกรรม Live Social Sharing ในหัวข้อ “Empathy is the key ใจเขา ใจเรา คิดถึงความรู้สึกคนอื่น และไม่ด่วนตัดสินใคร” จากกลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้แก่ ติช่า กันติชา, ซูซี่ ณัฐวดี, ญา ปราชญา, ลูกกอล์ฟ คณาธิป และ ต้น นรพันธ์ ที่มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ พฤติกรรม มุมมอง และสภาพจิตใจ ที่เคยพบกับการถูกกลั่นแกล้ง เพื่อร่วมกันส่งต่อแนวคิดที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะการรับมือกับการ Bully ในระยะยาว โดยสามารถรับชมย้อนหลัง ผ่าน AIS PLAY ทุกช่องทาง ได้แก่ แอปพลิเคชัน AIS PLAY, กล่อง AIS PLAYBOX และเว็บไซต์ https://aisplay.ais.co.th

คาดถนนข้าวสารกลับมาเปิดให้ขายของได้ ส.ค.นี้

0

นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการงานปรับปรุงพื้นที่ย่านถนนข้าวสาร ว่า ปัจจุบันโครงการงานปรับปรุงพื้นที่ย่านถนนข้าวสาร ทางด้านกายภาพแล้วเสร็จ 100% แต่อาจจะมีความไม่เรียบร้อยในบางจุด เช่น กระเบื้องในบางจุดมีรอยแตกร้าว การรื้อย้ายตู้สื่อสารที่ไม่ได้ใช้งานยังไม่แล้วเสร็จ จึงมอบหมายสำนักงานเขตพระนครและผู้รับจ้าง ตรวจสอบอย่างละเอียดและเร่งดำเนินการแก้ไขให้แล้วเสร็จ

สกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

นอกจากนี้ ยังพบปัญหาการลักลอบนำรถยนต์และรถจักรยานยนต์มาจอดในพื้นที่ ทำให้เกิดความเสียหายต่อพื้นผิวและเสากั้น จึงได้มอบหมายสำนักการจราจรและขนส่ง ติดตั้งเสากั้นเพิ่มเติม เพื่อป้องกันการนำรถเข้ามาจอด รวมทั้งติดตั้งป้ายสัญญาณจราจร อาทิ ป้ายห้ามจอด ป้ายจำกัดความเร็ว เป็นต้น โดยประสานความร่วมมือกับสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม

และได้มอบหมายสำนักงานเขตพระนครประสานสำนักการระบายน้ำดำเนินการลอกท่อระบายน้ำบริเวณโดยรอบ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ด้วย สำหรับเรื่องของผู้ค้า เนื่องจากรัฐบาลยังไม่ได้เปิดให้สายการบินต่างประเทศเข้ามา ประกอบกับถนนข้าวสารนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ช่วงนี้ถนนข้าวสารจึงค่อนข้างเงียบ ยังไม่มีผู้ค้าจำหน่ายสินค้า กระบวนการอยู่ระหว่างคัดสรรผู้ค้า โดยมอบหมายสำนักงานเขตพระนครเป็นผู้ดำเนินการ

ทั้งนี้ โดยภาพรวมแล้วคาดว่าจะเปิดถนนข้าวสารให้ทำการค้าได้ในช่วงประมาณเดือน ส.ค.63

ส่วนการปรับปรุงถนนไกรสีห์ ขณะนี้ได้งบประมาณแล้ว อยู่ระหว่างการออกแบบและหาตัวผู้รับจ้าง ส่วนในระยะต่อไปก็จะปรับปรุงถนนรามบุตรีและถนนตานี เพื่อให้ถนนในโซนบางลำภู ทั้ง 4 เส้นทางที่ขนานกันมีความสวยงามและมีรูปแบบที่เป็นไปในทางเดียวกัน โดยในบางเส้นทางที่ไม่ได้เป็นถนนสำหรับทำการค้าก็จะเพิ่มต้นไม้ให้มากขึ้น เพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญคือต้องการให้โซนนี้ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศที่นักท่องเที่ยวสนใจ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงามมากขึ้นกว่าเดิม

รถไฟฟ้าสายสีทองคืบหน้า ล่าสุดขบวนรถไฟฟ้าแรกส่งถึงไทยแล้ว ยันเปิดเดินรถ ต.ค. ปีนี้

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 รถไฟฟ้าสายสีทอง รุ่น Bombardier Innovia APM 300 ขบวนแรกของประเทศไทย ได้เดินทางมาถึง ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เป็นที่เรียบร้อย โดยมีนายมานิต เตชอภิโชค กรรมการผู้อำนวยการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) นายสุมิตร ศรีสันติธรรม ผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) Mr.Claudio Tiraferri หัวหน้าฝ่ายโซลูชั่นการควบคุมรางเอเชียแปซิฟิก บริษัท บอมบาดิเอร์ ทรานสปอร์เทชั่น ประเทศไทย ร้อยตำรวจตรี มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง ร่วมตรวจรับ

นายมานิต เตชอภิโชค เปิดเผยว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีทองเป็นระบบขนส่งมวลชนขนาดรองที่กรุงเทพมหานครได้มอบหมายให้เคที เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งแบ่งดำเนินการในระยะที่ 1 มีจำนวน 3 สถานี คือ สถานีกรุงธนบุรี (GN1) สถานีเจริญนคร (GN2) และสถานีคลองสาน (GN3) ระยะทาง 1.80 กิโลเมตร เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ฝั่งธนบุรีที่มีการพัฒนาเป็นย่านเศรษฐกิจใหม่ที่มีศักยภาพ

ขณะนี้มีความคืบหน้าในภาพรวม 89 % โดยในส่วนของการก่อสร้างงานโยธา คืบหน้า 94.42 % ส่วนงานระบบเดินรถ คืบหน้า 81 % เนื่องจากมีอุปกรณ์ที่ต้องสั่งนำเข้ามาจากต่างประเทศเกิดความล่าช้าจากผลกระทบโรคระบาดโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา แต่ขณะนี้สถานการณ์คลี่คลาย จึงสามารถเดินหน้างานในการทำงานอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณทีมงานทุก ๆ ส่วนของโครงการ บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเชีย จำกัด ผู้ติดตั้งระบบ รวมทั้งสำนักการจราจรและขนส่ง เจ้าของโครงการ สำนักการโยธา สำนักงานเขต และ กรมทางหลวงชนบทเจ้าของพื้นที่ สน.พื้นที่ รวมทั้งสำนักสิ่งแวดล้อมที่ช่วยให้การเร่งรัดงานเป็นไปด้วยดี ทำให้สามารถเปิดเดินรถได้ภายในปี 2563 โดยยังคงเป้าหมายเดิมคือในเดือนตุลาคมนี้ โดยอัตราค่าโดยสารตามที่ศึกษาไว้คือ จัดเก็บที่ 15 บาทตลอดสาย คาดการณ์ปริมาณผู้โดยสาร ในปีแรกที่เปิดให้บริการที่ 42,260 เที่ยว-คน/วัน

โครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง ถือเป็น Feeder (ระบบขนส่งมวลชนขนาดรอง) ที่ใช้รูปแบบรถที่มีขนาดกะทัดรัด โดยเลือกใช้รถไฟฟ้า Automated People Mover – APM (ระบบขนส่งมวลชนแบบนำทางอัตโนมัติ) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งมีความเหมาะสมกับพื้นที่และเป็น Feeder (ระบบขนส่งมวลชนขนาดรอง) ที่มีประสิทธิภาพที่สามารถเชื่อมต่อการเดินทางของประชาชนในทุกโหมดไม่ว่าจะเป็นระบบรางสายหลักของรถไฟฟ้าสายสีเขียวโดยเชื่อมต่อกัน ที่สถานีกรุงธนบุรี ผู้โดยสารที่ใช้บัตรแรบบิทสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายสีทองได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว นอกจากนี้รถไฟฟ้าสายสีทองยังเชื่อมต่อกับรถโดยสารประจำทางในพื้นที่ย่านคลองสานรวมทั้งเชื่อมต่อการเดินทางในเส้นทางเดินเรือแม่น้ำเจ้าพระยา และในอนาคตยังเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงหัวลำโพง-บางบอน-ราษฎร์บูรณะ และรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ อีกด้วย ทั้งนี้โครงการนี้ไม่มีการใช้งบประมาณจากทางราชการ เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน ซึ่งเป็นประโยชน์แก่รัฐ มีลักษณะคล้ายกับการดำเนินการระบบขนส่งมวลชนบางเส้นทางในประเทศญี่ปุ่น

นายสุมิตร ศรีสันติธรรม กล่าวว่า บีทีเอสได้รับว่าจ้างในการจัดหาขบวนรถ รวมถึงการเดินรถ และซ่อมบำรุงเป็นระยะเวลา 30 ปี จากบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด โดยรถไฟฟ้าที่รับมอบในครั้งนี้ เป็นรถไฟฟ้ารุ่น Bombardier Innovia APM 300 ผลิตที่เมืองอู่หู มณฑลอานฮุย สาธารณรัฐประชาชนจีน รถไฟฟ้ารุ่นนี้มีความพิเศษคือ เป็นรถไฟฟ้ารูปแบบไร้คนขับ ขับเคลื่อนอัตโนมัติ โดยใช้รางนำทาง สามารถจุผู้โดยสาร 138 คน/ตู้ และ1 ขบวนสามารถจุผู้โดยสาร 276 คน/ขบวน รองรับผู้โดยสารได้ 4,200 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง รถไฟฟ้ามีความกว้าง 2.8 เมตร ความยาว 12.75 เมตร ความสูง 3.5 เมตร ประตูมีความกว้าง 1.9 เมตร ความสูงของพื้นรถ 1.1 เมตร น้ำหนัก 16,300 กิโลกรัม ก่อให้เกิดเสียงรบกวนต่ำ ความเร็วการทำงานสูงสุดที่ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง หากเกิดเหตุฉุกเฉินระบบจะทำการหยุดรถอัตโนมัติ และมีรถมารับผู้โดยสารทันที

ขณะนี้ขบวนรถไฟฟ้าที่บริษัทฯ ได้รับมอบแล้วจำนวน 1 ขบวน เหลืออีก 2 ขบวนที่จะทยอยเดินทางมาภายในเดือนสิงหาคมนี้ สำหรับขบวนรถที่ใช้ในระบบรถไฟฟ้าสายสีทองนั้นมีทั้งหมด 3 ขบวน ขบวนละ 2 ตู้ ใช้รับส่งผู้โดยสารจำนวน 2 ขบวน และสำรองไว้ในระบบ 1 ขบวน สำหรับเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีทองถือเป็นรถไฟฟ้าสายสำคัญ โดยเส้นทางจะผ่านแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น ไอคอนสยาม ล้ง 1919 เป็นต้น ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวในการเดินทางเข้าสู่สถานที่สำคัญของกรุงเทพมหานครได้ดียิ่งขึ้น

รู้ทันปากท้องกับตลาดหลักทรัพย์ : ทำเกษตร ใช้ต้นทุนสูง จริงไหม?

0

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ ตอน “ทำเกษตร ใช้ต้นทุนสูง จริงไหม?”

“อายักษ์” ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย

กูรูสวนนาป่าน้ำ

บอกว่าทำเกษตรแบบต้นทุนน้อยก็มี

แต่ต้องสามัคคีช่วยกันทำ

CPF หนุนชุมชนปลูกผักปลอดสาร ตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ สร้างความมั่นคงทางอาหาร

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าสนับสนุนชุมชนผลิตอาหารปลอดภัยไว้บริโภค ต่อยอดโครงการยุทธศาสตร์สร้างสุข ปลูกผักปลอดสาร สู่การตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ สร้างความมั่นคงทางอาหารในระดับชุมชน พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

“โครงการยุทธศาสตร์สร้างสุข ปลูกผักปลอดสาร” เป็นโครงการที่มีเป้าหมายสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน ภายใต้ระยะเวลาของโครงการ 5 ปี (ปี 2562-2566) ซีพีเอฟส่งเสริมชุมชนรอบพื้นที่เขาพระยาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี รวมกลุ่มกันปลูกผักโดยไม่ใช้สารเคมีตามวิถีเกษตรแบบธรรมชาติไว้บริโภคในครัวเรือน และตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ ตามภูมิปัญญาชุมชน ซึ่งในปีนี้สมาชิกที่เข้าร่วมโครงการฯบางส่วน สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์จากพืชผักที่ปลูกไว้ เพื่อส่งเข้าธนาคารเมล็ดพันธุ์แล้ว เช่น เมล็ดพันธุ์มะเขือคางกบ มะเขือหยดน้ำทิพย์ มะเขือม่วงลิง มะเขือไข่เต่า มะเขือเทศสีดา บวบหอม บวบพื้นบ้าน มะระขี้นก กระเจี๊ยบเขียว ฯลฯ และยังนำเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวสนับสนุนโครงการของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อนำเมล็ดพันธุ์กระจายให้ชุมชนต่างๆ ส่งเสริมการพึ่งพาตนเองในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด19

นายประทีป อ่อนสลุง พี่มืด ชาวบ้านตำบลโคกสลุง แกนนำกลุ่มไทยเบิ้ง กล่าวว่า เป้าหมายโครงการ คือ สมาชิกที่ร่วมโครงการ และชาวบ้าน ผลิตอาหารไว้บริโภคเองในครัวเรือน โดยปลูกผักปลอดสารเคมี และยังมีผลผลิตแบ่งปันให้พี่น้องและเครือข่าย ขณะที่ชุมชนมีการจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุุ์ เพื่อให้ชาวบ้านและเกษตรกรมีเมล็ดพันธุ์ผักพื้นบ้านที่ปลอดสารไว้ขยายพันธุ์ต่อ เพื่อให้คนในชุมชนผลิตอาหารได้เอง พึ่งพากันเองในชุมชน เป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชน

“ช่วงที่เกิดสถานการณ์ระบาดของโควิด ชุมชนเราไม่ได้รับผลกระทบเรื่องการขาดแคลนอาหาร เพราะผักปลอดสารที่ปลูกไว้ เป็นแหล่งอาหารที่มั่นคง และยังเป็นแหล่งอาหารที่ปลอดภัย ” นายประทีป กล่าว

นายชุมพล สำราญสลุง ชาวบ้านหมู่ 4 ตำบลโคกสลุง สมาชิกของโครงการ บอกว่า อยากชวนให้ทุกครัวเรือนปลูกผักปลอดสารเคมี และเก็บเมล็ดพันธุ์ติดบ้านไว้ เพราะจากวิกฤตโควิดทำให้รู้ว่าชุมชนเรารอดได้จากแหล่งอาหารที่เราผลิตได้เอง และยิ่งมองไปในระยะยาว การจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์จะเกิดประโยชน์อย่างมาก เพราะไม่ว่าจะเกิดวิกฤตครั้งไหน ชุมชนก็ยังพึ่งพาตนเองได้ และเมล็ดพันธุ์พืชที่กระจายไปยังชุมชนอื่นๆ เป็นการสร้างความยั่งยืนทางด้านอาหารของชุมชน

ทั้งนี้ “โครงการยุทธศาสตร์สร้างสุข ปลูกผักปลอดสาร” เป็นโครงการต่อยอดเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน หลังจากที่ซีพีเอฟดำเนิน”โครงการซีพีเอฟรักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” ซึ่งบริษัทร่วมกับกรมป่าไม้และชุมชน อนุรักษ์ ฟื้นฟูป่า ในพื้นที่เขาพระยาเดินธง 5,971 ไร่ เป็นอีกโครงการที่ซีพีเอฟร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมภายใต้ความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน

แนะรร. เตรียมพร้อมด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ำในโรงอาหาร ก่อนเปิดเรียน

0

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะ โรงเรียนเตรียมความพร้อมด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ำในห้องครัว โรงอาหาร ทำความสะอาด เครื่องกรองน้ำ ตู้กดน้ำดื่ม ก่อนเปิดเรียน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19

นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ช่วงเปิดเทอม โรงเรียนจะต้องเตรียมการด้านสุขาภิบาลอาหารในห้องครัว โรงอาหาร ผู้สัมผัสอาหาร และการจัดการคุณภาพน้ำบริโภค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยผู้รับผิดชอบต้องจัดเตรียมห้องครัว โรงอาหาร และผู้สัมผัสอาหารตามมาตรการการปฏิบัติที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ ดังนี้

นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย

1) บริเวณทางเข้าโรงอาหาร จัดให้มีอ่างล้างมือพร้อมสบู่ สำหรับให้บริการแก่ผู้เข้ามาใช้บริการ

2) ในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ที่นั่งกินอาหาร จุดรับอาหาร จุดซื้ออาหาร จุดรอกดน้ำดื่ม จัดให้มีการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1–2 เมตร

3) อาจจัดเหลื่อมช่วงเวลาปล่อยพักรับประทานอาหารกลางวัน เพื่อลดความแออัดพื้นที่ภายในโรงอาหาร

4) ทำความสะอาดห้องครัว โรงอาหาร ด้วยน้ำยาทำความสะอาดหรือผงซักฟอก และฆ่าเชื้อด้วยโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 6 เปอร์เซ็นต์ อัตราส่วน 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ลิตร ส่วนภาชนะ อุปกรณ์ เช่น จาน ถาดหลุม ช้อน ส้อม แก้วน้ำส่วนตัว ให้ทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างจาน และฆ่าเชื้อด้วยการแช่ในน้ำร้อน 80 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30 วินาที หรือแช่ด้วยโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 6 เปอร์เซ็นต์ อัตราส่วนครึ่งช้อนชาต่อน้ำ 1 ลิตร 1 นาที แล้วล้างน้ำให้สะอาดและอบหรือผึ่งให้แห้ง ก่อนนำไปใช้ใส่อาหาร

5) เมนูอาหารเน้นปรุงสุกใหม่ หากรอการจำหน่ายให้นำมาอุ่นทุก 2 ชั่วโมง มีการปกปิดอาหาร วางสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 60 เซนติเมตร

สำหรับผู้สัมผัสอาหารต้องแต่งกายให้สะอาด สวมใส่ผ้ากันเปื้อน สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย รักษาความสะอาดของมือ ด้วยการล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำ ทั้งก่อนและหลังปรุงประกอบอาหาร รวมถึงหลังจากการจับเหรียญหรือธนบัตร หรือสัมผัสสิ่งสกปรก หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก โดยไม่จำเป็น ใช้อุปกรณ์ในการปรุงประกอบอาหาร เช่น เขียง มีด การหยิบจับอาหาร แยกระหว่างอาหารสุก อาหารประเภทเนื้อสัตว์สด ผักและผลไม้ และไม่เตรียม ปรุง ประกอบอาหารบนพื้นโดยตรง หากมีอาการป่วย ไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ให้หยุดปฏิบัติงานและไปพบแพทย์ทันที

ส่วนการจัดเตรียมน้ำดื่ม น้ำใช้ ควรสำรวจความชำรุด บกพร่อง การแตกรั่วของระบบน้ำดื่มน้ำใช้ในโรงเรียน ได้แก่ ระบบท่อ ถังสำรองน้ำ ตู้กดน้ำดื่ม รวมไปถึงเครื่องกรองน้ำให้พร้อมใช้งาน หากชำรุดบกพร่องต้องรีบดำเนินการแก้ไขปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง ทำความสะอาดถังน้ำ ภาชนะใช้บรรจุน้ำดื่ม ตู้กดน้ำดื่ม ก๊อกน้ำดื่ม ทำการล้างย้อน (Backwash) หรือเปลี่ยนไส้กรองเครื่องกรองน้ำ สุดท้ายฆ่าเชื้อโรคด้วยโซเดียมไฮโปคลอไรท์เช่นเดียวกับภาชนะใส่อาหาร ก่อนนำมาใช้หรือบรรจุน้ำ ตรวจสอบปริมาณคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำประปาที่ใช้ในโรงเรียนให้มี 0.5-1 มิลลิกรัมต่อลิตร หากต่ำกว่านี้ควรแจ้งหน่วยงานผู้ผลิตน้ำประปา นอกจากนี้ ควรตรวจเช็คความชำรุดเสียหายของสายดิน ระบบไฟฟ้าตามจุดต่าง ๆ ของตู้กดน้ำดื่ม โดยเฉพาะบริเวณก๊อกน้ำที่ถือเป็นจุดเสี่ยงเพื่อป้องกันไฟฟ้าดูดขณะใช้งาน

รู้ยัง! บัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช้ซื้อตั๋วรถไฟฟ้าบีทีเอสได้ทุกสถานี

0

รายงานข่าวจากบริษัท บีทีเอส ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส เปิดเผยว่า ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้ซื้อตั๋วโดยสารบีทีเอสได้ทุกสถานี  เพียงแค่นำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ติดต่อเจ้าหน้าที่ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสารทุกสถานี แจ้งสถานีปลายทาง ก็จะได้ตั๋วโดยสารสำหรับเดินทาง

ทั้งนี้ ค่าโดยสาร จะหักจากเงินสวัสดิการเพื่อการเดินทางทุกประเภท ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยรัฐมอบให้คนละ 500 บาท/เดือน

บีทีเอส สงวนสิทธิ์จำหน่ายบัตรโดยสาร ให้กับผู้เป็นเจ้าของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเท่านั้น

สำหรับเงื่อนไขการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

  • ซื้อตั๋วโดยสารได้ครั้งละไม่เกิน 2 ใบ สำหรับการเดินทางขาไป และขากลับ (วงเงินสวัสดิการ 500 บาท/เดือน)
  • ต้องมีเงินเพื่อการเดินทางในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ขั้นต่ำ 16 บาท  เพื่อให้ออกตั๋วโดยสารราคาต่ำสุดได้
  • หากจำนวนเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่เพียงพอสำหรับค่าโดยสาร เจ้าหน้าที่จะออกตั๋วโดยสารราคาต่ำสุด 16 บาท ให้ และให้ไปจ่ายส่วนต่างด้วยเงินสด ที่สถานีปลายทาง
  • รองรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2.0, 2.5 และ 4.0 ที่แจกในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น

ศาลอาญา ลงนามร่วมหน่วยงานภาคี บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทำงานบริการสังคม แทนค่าปรับ

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 63 ที่ศาลอาญา นายชูชัย วิริยะสุนทรวงศ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา นายประสพ เรียงเงิน ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม พลตำรวจโท โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ และพลตำรวจตรี สุคุณ พรหมายน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ แทนค่าปรับในศาลอาญา โดยมี นางเมทินี ชโลธร รองประธานศาลฎีกา และในฐานะประธานที่ปรึกษาโครงการ “ศาลยุติธรรมห่วงใย ฝ่าภัยโควิด” ให้เกียรติเป็นสักขีพยาน

อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวว่า โครงการทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับในศาลอาญา เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ศาลยุติธรรมห่วงใย ฝ่าภัยโควิด” การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและการลดการคุมขังที่ไม่จำเป็น ตามนโยบายของประธานศาลฎีกา ศาลอาญาได้นำนโยบายดังกล่าวที่ให้ลดการคุมขังที่ไม่จำเป็นมาขับเคลื่อนโดยนำการทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับมาใช้ในศาลอาญาในเชิงรุก และมอบหมายให้นายสุรจิตร เปลี่ยนขำ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเป็นประธานคณะทำงานโครงการทำงาน บริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับในศาลอาญา เพื่อเป็นทางเลือกให้จำเลยที่ศาลพิพากษา ลงโทษปรับสถานเดียวหรือพิพากษารอการลงโทษและปรับ แต่ไม่มีเงินเพียงพอที่จะชำระค่าปรับ สามารถยื่นคำร้องขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับต่อศาลชั้นต้นได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30/1 ซึ่งปัจจุบันยังมีจำเลยผู้ต้องโทษปรับจำนวนมากที่ไม่ทราบถึงสิทธิดังกล่าวทำให้ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับเพียงเพราะความยากจน

ศาลอาญาได้บูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร กรมคุมประพฤติ และกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อให้มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ให้ผู้ต้องโทษปรับทราบถึงสิทธิที่จะขอทำงานแทนค่าปรับ ให้คำแนะนำและช่วยเหลือแก่ผู้ต้องโทษปรับและไม่มีเงินชำระค่าปรับในการยื่นคำร้องขอทำงานแทนค่าปรับ รวมทั้งสนับสนุน ส่งเสริม และดูแลเพื่อให้การทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ ของผู้ต้องโทษปรับครบถ้วนตามเงื่อนไขและบรรลุความมุ่งหมายของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว

มาตรการดังกล่าวทำให้ผู้ต้องโทษปรับที่ไม่สามารถชำระค่าปรับได้ มีทางเลือกที่จะไม่ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ โดยไม่จำเป็นซึ่งช่วยลดความแออัดในเรือนจำ และลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคในสถานที่กักขัง นอกจากนี้การทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ต้องโทษปรับได้แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและยังทำให้ผู้ต้องโทษปรับรู้สึกว่าได้ใช้ความรู้ความสามารถบำเพ็ญความดี ชดเชยให้แก่สังคมผ่านงานที่ทำด้วย ซึ่งโครงการนี้จะต้องมีการติดตามประเมินผลร่วมกับหน่วยงานภาคีเป็นระยะ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลทั้งแก่ผู้ต้องโทษปรับเองและสังคมโดยรวม

พีทีที ลูบริแคนท์ส เปิดตัวน้ำมันเครื่อง PERFORMA สูตรใหม่ ชูจุดเด่น อีโวเทค เทคโนโลยี

0

เปิดตัวน้ำมันเครื่องกลุ่มเพอร์ฟอร์มา (PERFORMA) สูตรใหม่สำหรับรถยนต์กลุ่มเครื่องยนต์เบนซินด้วย EVOTEC Technology เทคโนโลยีแพลตฟอร์มใหม่ เพื่อขีดสุดแห่งการปกป้อง เต็มพลังทุกอัตราเร่ง พร้อมมาตรฐานใหม่ล่าสุด API SP และ ILSAC GF-6A

นายชุมพล สุรพิทยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจหล่อลื่น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) เปิดเผยว่า พีทีที ลูบริแคนท์ส ผู้นำตลาดน้ำมันเครื่องในประเทศไทย ได้พัฒนาน้ำมันเครื่องสูตรใหม่ด้วยเทคโนโลยีแพลตฟอร์มใหม่ อีโวเทค เทคโนโลยี” (EVOTEC Technology) ซึ่งถือเป็นการ “ปฏิวัติเทคโนโลยีน้ำมันเครื่องแห่งการขับเคลื่อนยานยนต์สู่อนาคต” ด้วยคุณสมบัติที่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเหนือกว่ามาตรฐานทั่วไป และคำนึงถึงประโยชน์ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 

ENDURANCE ขีดสุดพลังปกป้อง ทนทุกสภาวะ ช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ให้ใช้ได้ยาวนานยิ่งขึ้น ช่วยชะล้างสิ่งสกปรก พร้อมกับการปกป้องเครื่องยนต์ให้ทนทานสูงสุดทุกสภาวะ 

EFFICIENCY แรงเต็มพลังสมรรถนะ ช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงอัตราเร่งของเครื่องยนต์ที่ดีขึ้นในทุกช่วงความเร็ว เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถนะสูงสุดตั้งแต่เริ่มสตาร์ท พร้อมช่วยประหยัดเชื้อเพลิงเต็มประสิทธิภาพ และ 

ENVIRONMENT เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษเพื่อโลก ลดการปล่อยมลพิษและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

พีทีที ลูบริแคนท์ส ได้เริ่มนำอีโวเทค เทคโนโลยี (EVOTEC Technology) มาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มน้ำมันเครื่องสำหรับรถยนต์นั่งเครื่องยนต์เบนซิน (PERFORMA) เป็นผลิตภัณฑ์แรก เนื่องจากเห็นถึงความนิยมในเครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบฉีดตรงร่วมกับเทอร์โบชาร์จเจอร์ จนได้เป็นน้ำมันเครื่อง​ PERFORMA สูตรใหม่ ที่จะช่วยตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถยนต์เบนซินที่เป็นระบบ Turbo GDI ได้ดียิ่งขึ้น จากนวัตกรรมใหม่ SMART Molecules สารเพิ่มคุณภาพที่ผสานการทำงานของสารทำความสะอาดขั้นสูง เพื่อคงประสิทธิภาพสูงสุด ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ PERFORMA มีความโดดเด่น ด้านการปกป้องเครื่องยนต์ได้ดียิ่งขึ้น แก้ปัญหาการชิงจุดระเบิดก่อนที่รอบต่ำ ลดความเสียดทานในเครื่องยนต์ได้มากยิ่งขึ้น น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพช้าลง ทนความร้อน ทนสารเคมี และแรงเฉือนได้ดีกว่าเดิม

ดังนั้น น้ำมันเครื่อง PERFORMA มีคุณสมบ้ติที่ตอบโจทย์ได้เหนือกว่ามาตรฐาน เช่น การปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีกว่ามาตรฐาน API SP / ILSAC GF-6A ถึง 38%  สามารถการประหยัดเชื้อเพลิงในระดับขีดสุดเหนือกว่ามาตรฐาน API SP / ILSAC GF-6A ถึง 27% ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่าประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่อง PERFORMA สูตรใหม่นี้มีคุณภาพสูงกว่าเดิมและสามารถพิสูจน์ได้ชัดเจน

พีทีที ลูบริแคนท์ส ขอเชิญพิสูจน์ความยอดเยี่ยมของน้ำมันเครื่องดีที่สุดสำหรับเครื่องยนต์ Turbo GDI และเบนซินทุกรุ่น PERFORMA SUPER SYNTHETIC เบอร์ SAE 0W-20 และ 0W-30 ได้ที่ศูนย์บริการยานยนต์ฟิต ออโต้ (FIT Auto) สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.1365 Contact Center

จริง-ไม่จริง เติมน้ำมันยี่ห้อไหนก็ได้ ไม่แตกต่างกัน

0

นิสัยการเติมน้ำมันเชื้อเพลงของผู้ใช้รถแต่ละคนนั้น แตกต่างกัน บางคนต้องเติมเฉพาะเจาะจงน้ำมันยี่ห้อนี้เท่านั้น ขณะที่บางคน เติมยี่ห้อไหนก็ได้ ตามแต่สถานการณ์และความสะดวก

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ จริงหรือไม่ที่น้ำมันเชื้อเพลิง ต่างยี่ห้อ ประสิทธิภาพไม่เหมือนกัน เติมแล้วขับคล่อง ประหยัดน้ำมัน การเผาผลาญดีกว่า หรือ จริงๆ แล้ว ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะที่มาของน้ำมันเชื้อเพลง ก็มาจากการกลั่นน้ำมันดิบเหมือนกัน

หลายท่านอาจเคยได้ยินมาว่าน้ำมันที่ขายในปั๊ม ไม่ว่าจะแบรนด์ไหน ก็ล้วนมาจากที่เดียวกัน ดังนั้น เติมๆ ไปเถอะ อย่าเคร่งครัด หรือติดกับยี่ห้อน้ำมันมากนักเลย

โออาร์ หรือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) เฉลยคำตอบให้หายสงสัยว่า สิ่งที่น้ำมันเชื้อเพลิงทุกยี่ห้อมีเหมือนกัน คือ น้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดในปั๊มทั้งเบนซินและดีเซล จะต้องมีคุณภาพผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน โดยจะมีการตรวจเช็คอย่างเข้มงวดและสม่ำเสมอในทุกปั๊ม ทั้งโดยแบรนด์ผู้จำหน่ายเองและโดยหน่วยงานของภาครัฐ จึงมั่นใจได้ว่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่เราเติมกันอยู่นั้นมีคุณภาพที่ดีเพียงพอ เติมไปแล้ว รถไม่พัง หรือเกิดความเสียหาย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้น้ำมันเชื้อเพลิงในปั๊มต่าง ๆ จะเป็นชนิดเดียวกัน ผลิตจากโรงกลั่นในประเทศเหมือนกัน แต่คุณสมบัติบางอย่างของน้ำมันแต่ละยี่ห้อ ย่อมมีความแตกต่างกันมาก – น้อยบ้างตามสูตรการผลิตน้ำมันพื้นฐาน ซึ่งต้องผ่านเกณฑ์ตามมาตรฐาน และการปรับปรุงคุณภาพด้วยชนิดหรือปริมาณสารเติมแต่งที่ต่างกัน

ถ้าเปรียบเทียบน้ำมัน เป็นอาหารแล้ว อาหารที่คนเราทานไปในแต่ละมื้อ แต่ละวัน ย่อมแตกต่างกัน คุณค่าทางโภชนาการก็ต้องแตกต่างกันไปด้วย จริงอยู่ที่น้ำมันเชื้อเพลิงมีหน้าที่ทำให้รถยนต์ขับเคลื่อนได้เท่านั้น อาหารก็เช่นกัน ถึงแม้จะทำหน้าที่ให้พลังงานกับคน แต่ถึงกระนั้นแล้ว ก็ย่อมมีความแตกต่างในรายละเอียด เช่น อาหารที่ทานไป มีประโยชน์มากน้อยอย่างไรต่อสุขภาพร่างกาย มีคุณค่าครบถ้วนทางโภชนาการหรือไม่ ช่วยซ่อมแซมส่วนสึกหรอให้กับร่างกายเราด้วยหรือไม่

เมนูอาหารอย่างเดียวกัน แต่สูตรปรุงอาหาร หรือเคล็ดลับของเชฟแต่ละคน ก็ย่อมไม่เหมือนกัน ส่วนผสม และเครื่องปรุง ของเชฟแต่ละคน เลือกใช้ เลือกปรุง ย่อมไม่เหมือนกัน

น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพดีนั้น ย่อมสร้างความมั่นใจและประสบการณ์ในการขับขี่ที่ดีกว่า ทั้งในด้านพละกำลังของเครื่องยนต์ การปกป้อง กำจัดคราบเขม่าและทำความสะอาดหัวฉีด เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถนะ ยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น

โดยน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งเบนซินและดีเซลที่มีประสิทธิภาพสูง นั้นจะต้องผ่านการวิจัยและพัฒนาอย่างเข้มข้นทั้งการตรวจวิเคราะห์คุณสมบัติทางเคมี – กายภาพจากห้องแล็ป รวมถึงการทดสอบกับเครื่องยนต์จริงทั้งในห้องแล็ปและภาคสนามจนกว่าจะได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด

นอกจากคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิงที่อาจทำให้ผู้ใช้งานบางท่านรู้สึกถึงการขับขี่ที่ต่างกันได้แล้ว ยังมีอีกหลาย ๆ ปัจจัย เช่น การบำรุงรักษารถยนต์ อายุรถยนต์ และสภาวะการขับขี่ในขณะนั้น ซึ่งจากที่กล่าวมานี้ก็พอจะตอบคำถามและคลายความสงสัยที่ว่า เติมน้ำมันแบรนด์ไหนก็เหมือนกันจริงหรือ ได้บ้าง 

ที่มา บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)