Home Blog Page 425

ผู้เลี้ยงสัตว์น้ำขอรบ. คุมเข้มสัตว์น้ำ อาหารทะเลจากตปท. ป้องกันโควิด-19

0

ผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ ตบเท้ายื่น จดหมายเปิดผนึกนายกตู่ ขอบคุณช่วยแก้ วิกฤติโควิด 19
ขอให้เพิ่มมาตรการเฝ้าระวัง-ตรวจเข้มสินค้าสัตว์น้ำ อาหารทะเล อาหารต่างๆ ที่นำเข้าจากประเทศ/กลุ่มประเทศ ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเข้มแข็งรัดกุมที่สุด เพื่อความปลอดภัยของพลเมืองไทย และภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ

รายงานข่าว เปิดเผยว่า วันที่ 22 มิ.ย. ตัวแทนองค์กรสำคัญการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ได้แก่ สมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย, สมาคมกุ้งไทย , สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย ,สมาคมกุ้งตะวันออกไทย, สมาคมผู้เพาะเลี้ยงปลาไทย , สมาคมผู้เพาะเลี้ยงปลาทะเลไทย, สมาคมกุ้งไทย, ชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดกระบี่ ได้เดินทางเข้ายื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) เพื่อขอบคุณที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์ฯ โควิด-19 ให้กับประเทศดีขึ้น เป็นที่ชื่นชมของนานาประเทศทั่วโลก และ ขอให้เพิ่มมาตรการเฝ้าระวัง ตรวจเข้มการนำเข้าสินค้าสัตว์น้ำ อาหารทะเล และอื่นๆ จากประเทศ และกลุ่มประเทศที่มีการระบาดของ โควิด 19 อย่างเข้มแข็ง รัดกุมที่สุด เพื่อความปลอดภัยของพลเมืองไทย และภาพลักษณ์ที่ดีของไทย


นายบรรจง นิสภวาณิชย์ ประธานสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่บริษัทส่งออกปลาแซลมอนรายใหญ่ในนอร์เวย์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า จีนขอยุตินำเข้าปลาแซลมอน หลังจากตรวจพบเชื้อโควิด-19 บนเขียงแล่ปลาในตลาดซินฟาตี้ ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่เกี่ยวข้องกับตลาดแห่งนี้จำนวนมาก นั่นหมายถึงเชื้อโรคดังกล่าวอาจปนเปื้อนมากับอาหารฯ ได้ ยิ่งเพิ่มความวิตกกังวล และเชื่อว่าข้อมูลดังกล่าวได้สร้างความตกใจให้กับคนในประเทศอย่างมาก

ทางผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ จึงตั้งใจจะมาขอให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค. พิจารณาสั่งการปฏิบัติการเชิงรุก เพิ่มมาตรการเข้มงวด ในการเฝ้าระวัง การตรวจสอบผลิตภัณฑ์อาหาร สินค้าสัตว์น้ำ อาหารทะเล และอื่นๆที่นำเข้ามา จากประเทศ/กลุ่มประเทศที่มีการระบาดของ Covid-19 อย่างเข้มแข็งที่สุด คืออยากให้มีการตรวจอย่างเข้มข้น เพื่อความปลอดภัยของพลเมืองไทย และภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ ที่ทุกคนแลกมาด้วยความเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของคนไทยทั้งประเทศ จากความสามัคคีและมีจิตสำนึกต่อสังคม ที่ร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด จึงจำเป็นอย่างที่สุดต้องไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ในประเทศอีก

คุณนายพารวย : กองทุน SSF กับ SSFX

0

เราได้พูดถึงความสำคัญของการออมเงินผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งเป็นการออมและการลงทุนระยะยาว เพื่อเป้าหมายไว้ใช้ยามเกษียณไปแล้ว


วันนี้ “คุณนายพารวย” จะขอคุยถึงกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) เป็นอีกกองทุนที่นำเงินลงทุนมาลดหย่อนภาษีได้ เพราะรัฐต้องการส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมแบบผูกพันระยะยาว เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต จึงกำหนดให้ถือลงทุน 10 ปีเต็มนับจากวันที่ซื้อ โดยไม่มีขั้นต่ำในการซื้อและไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี

SSF เป็นกองทุนที่เปิดกว้างให้ลงทุนได้ทุกสินทรัพย์ เช่น หุ้น หุ้นกู้ เงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล กอง REITs ทั้งในและต่างประเทศ ขึ้นกับนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน

สำหรับสิทธิประโยชน์ภาษีนั้น ให้นำเงินลงทุนลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมเพื่อการเกษียณอื่น เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุน RMF และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญต้องไม่เกิน 500,000 บาท และกำไรที่ได้จากการลงทุนไม่ต้องเสียภาษีเงินได้!!

แต่หากถือไม่ครบ 10 ปี ต้องคืนภาษีที่ได้รับลดหย่อนไปแล้ว บวกเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือน คล้ายๆค่าปรับ โดยเงินเพิ่มนี้จะเริ่มคำนวณตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ของปีที่ยื่นขอลดหย่อนภาษี ถึงเดือนที่ยื่นเรื่องกับสรรพากร รวมทั้งต้องนำกำไรที่ได้มาเสียภาษีเงินได้ด้วย

จึงต้องวางแผนการเงินและตรวจสภาพคล่องให้ดี เพราะเงินที่ลงใน SSF ต้องเป็นเงินที่วางแผนไว้แล้วว่าไม่มีความจำเป็นในการนำมาใช้จ่ายเป็นเวลา 10 ปี แต่เมื่อตัดสินใจที่จะลงทุนระยะยาวแล้ว ก็ต้องมุ่งมั่นรักษาเป้าหมาย แบ่งเงินมาออมให้ได้ทุกปีจะดีมาก แล้ว “ออมลืม” ไปเลยจะได้ไม่ต้องมีเรื่องยุ่งยากตามมา

สำหรับผู้ที่เหมาะสมกับกองทุนนี้น่าจะเริ่มตั้งแต่น้องๆจบใหม่ที่เริ่มทำงาน ควรเริ่มได้เลยเพื่อไม่ให้เสียเวลาในการออม อย่าลืมคาถากันจน “ออมก่อนรวยกว่า” เริ่มออมตั้งแต่วันนี้ก็เห็นโอกาสมั่งคั่งตั้งแต่วันนี้!!

แต่ผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี อาจต้องวางแผนการเงินให้ดี หากซื้อหน่วยลงทุนตอนอายุ 55 ปี จะไถ่ถอนได้เมื่ออายุ 65 ปี แต่ถ้าไม่เดือดร้อนและต้องการมีเงินเข้ามาหลังเกษียณก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ!!

เมื่อพูดถึงกองทุน SSF แล้วต้องพูดถึงกองทุนรวมเพื่อการออมพิเศษ (SSFX) ที่ตั้งขึ้นตามมาตรการสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน ต่างจาก SSF คือ ให้นำเงินลงทุนมาลดหย่อนภาษีได้เพิ่มอีกไม่เกิน 200,000 บาท โดยไม่ต้องนําไปรวมกับเงินออมเพื่อการเกษียณอื่นที่ได้ลดหย่อน 500,000 บาทอยู่แล้ว

และกองทุน SSFX ต้องลงทุนหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยเปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนได้ตั้งแต่ 1 เม.ย. ถึง 30 มิ.ย.นี้เท่านั้น 2 สัปดาห์นี้จึงเป็นโค้งสุดท้ายที่ต้องตัดสินใจ

อย่างไรก็ตาม การลดหย่อนภาษีเป็นเป้าหมายหนึ่ง แต่ด้วยเงื่อนไขการลงทุนที่ยาวขึ้น จึงต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับแผนการเงินของตนเอง ส่วน SSF นั้นยังมีเวลาซื้อได้ตลอดทั้งปีและทุกปี เพราะได้สิทธิภาษีไปจนถึงปี 67 โน่นเลย แต่อย่าลืมว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ต้องศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจ!!

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

มท. ลงพื้นที่อ่างเก็บน้ำ ดูงาน “หนองช้างใหญ่โมเดล” กรมชลฯ แก้ภัยแล้ง

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า วันนี้ (20 มิ.ย. ) นายสัมพันธ์ เดือนศิริรัตน์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานอุบลราชธานี ร่วมต้อนรับ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยโครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำ อ่างเก็บน้ำหนองช้างใหญ่ ตำบลยางสักกระโพหลุ่ม อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี

สำหรับโครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำอ่างเก็บน้ำหนองช้างใหญ่ กรมชลประทานได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 โดยมีแผนดำเนินการให้แล้วเสร็จในช่วงแรกภายในปี 2564 หากดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้ประมาณ 8,000 ไร่ เพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักในอ่างได้กว่า 10 ล้านลูกบาศก์เมตร ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์ 3 ตำบล 8 หมู่บ้าน 2,000 ครัวเรือน

ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะนำแผนการเพิ่มศักยภาพแหล่งเก็บกักน้ำเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฟื้นฟูภาคเกษตร ภายใต้ พ.ร.ก. เงินกู้ โดยให้กรมชลประทานใช้โครงการขุดลอกหนองช้างใหญ่ หรือ หนองช้างใหญ่โมเดล เป็นต้นแบบในการดำเนินการทั่วประเทศ ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนงานฟื้นฟูภาคเกษตร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจตาม พ.ร.ก. เงินกู้ โดยจะเสนอแผนการเพิ่มศักยภาพแหล่งเก็บกักน้ำให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้พิจารณาโดยนำต้นแบบของกรมชลประทานที่เข้าไปดำเนินการที่อ่างเก็บน้ำหนองช้างใหญ่ ไปขยายผลเพื่อให้เกษตรกรมีน้ำเพียงพอทำการเกษตรทั้งยังสามารถบรรเทาปัญหาอุทกภัยและเพิ่มพื้นที่ชลประทานเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำของชุมชน รวมทั้งเป็นแหล่งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพให้กับชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียงดังนั้นจะนำ“หนองช้างใหญ่โมเดล”เป็นต้นแบบขยายผลในการเพิ่มศักยภาพของแหล่งเก็บกักน้ำที่ใช้งานมานานทั่วประเทศ

เซ็นสัญญาร่วมลงทุนแล้ว โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก

0

กลุ่มบีทีเอส มั่นใจเป็นโครงการยกระดับการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน ถือเป็นความภาคภูมิใจได้มีส่วนร่วม

รายงานข่าว เปิดเผยว่า วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ได้มีการลงนามสัญญาร่วมลงทุน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในพิธีลงนามสัญญา ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลตั้งขึ้นเฉพาะกิจโดยกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ผู้ยื่นข้อเสนอเงินประกันขั้นต่ำเป็นผลตอบแทนให้แก่รัฐดีที่สุด

โครงการนี้ถือเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักสำคัญ ยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็น “สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลัก แห่งที่ 3” เชื่อมสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิด้วยรถไฟความเร็วสูง ทำให้ทั้ง 3 สนามบินสามารถรองรับผู้โดยสารรวมกันได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปี

นอกจากนี้ ยังจะทำให้เกิดศูนย์กลางการพัฒนาธุรกิจเป้าหมาย โดยเฉพาะการเป็น “ศูนย์กลาง อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation” รวมถึงการเป็นศูนย์กลางของ “มหานครการบิน ภาคตะวันออก” ที่จะครอบคลุมการพัฒนาพื้นที่เมือง ประมาณ 30 ก.ม. โดยรอบสนามบิน (พัทยาถึงระยอง) ซึ่งเป็นการสานต่อเจตนารมณ์การพัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ดที่ต้องการให้เกิดเป็นเมืองท่า และเมืองธุรกิจสำคัญของประเทศไทย และเชื่อมโยงเป็นส่วนขยายของกรุงเทพฯ และปริมณฑลไปทางตะวันออก ที่สามารถเชื่อมโยงกันได้สะดวกทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางทางการบินและประตูเศรษฐกิจสู่เอเชีย

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า รู้สึกภาคภูมิใจที่กลุ่มบีทีเอส ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการนี้ จากการผนึกกำลังของภาคเอกชนทั้งสามกิจการ ภายใต้ความร่วมมือกันใช้ทรัพยากรและศักยภาพที่โดดเด่น สามารถสร้างผลประโยชน์สูงสุดคืนให้กับภาครัฐและประชาชน ตลอดจนยกระดับการพัฒนาประเทศไทย ได้อย่างยั่งยืนต่อไป

จากประสบการณ์ที่มีมากกว่า 20 ปี ในการดำเนินงานโครงการขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของประเทศไทย และได้เปิดให้บริการมาแล้ว 20 ปีเศษ รวมระยะทางให้บริการปัจจุบันเกือบ 60 กิโลเมตร และยังมีรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลือง-ชมพู และรถไฟฟ้าสายสีทอง ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือจะเป็นโครงการด้านอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ต่างๆ ที่ กลุ่มบริษัทบีทีเอสได้ดำเนินการมาจำนวนมาก

นอกจากนั้น กลุ่มบริษัทบีทีเอส ยังได้ดำเนินธุรกิจด้านสื่อโฆษณานอกบ้านทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงทำธุรกิจทางด้าน E-Payments และเทคโนโลยีด้านระบบเก็บเงิน ทำให้เชื่อได้ว่า กลุ่มบริษัท บีทีเอส จะสามารถช่วยสนับสนุนให้โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะสามารถยกระดับสู่ศูนย์กลางมหานครการบิน อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation ของ อีอีซี นำไปสู่การเป็นประตูเชื่อมโยงการค้า การลงทุน และด้านการท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะยกระดับการพัฒนาประเทศไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป

“บิ๊กต่อย” ณัยณพ นั่งนายกสมาคมกีฬาคนพิการทางสมอง ต่อสมัยสอง

0

วางเป้าพานักกีฬาสร้างผลงานพาราลิมปิก พร้อมเปิดศูนย์เผยแพร่กีฬาบอคเซียปลายปีนี้


รายงานข่าวจากสมาคมกีฬาคนพิการทางสมองแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า วันที่ 19 มิ.ย ได้มีการประชุมใหญ่โดยมีวาระสำคัญเป็นการเลือกตัั้งนายกสมาคมฯ ซึ่งผลการเลือกตั้งปรากฏว่า “บิ๊กต่อย” ร.ท.ณัยณพ ภิรมย์ภักดี ได่รับการไว้วางใจให้นั่งนายกสมาคมกีฬาคนพิการทางสมองแห่งประเทศไทย ต่อเนื่อง สมัยที่สอง (วาระ 4 ปี 2563-2567) อย่างเอกฉันท์ หลังสร้างผลงานมากมาย พร้อมเดินเครื่องหนุนทัพนักกีฬาพาราไทยสู้ทุกศึกใหญ่ทุกระดับ

ทั้งนี้ ผลงานที่ผ่านมาของสมาคมในรอบปี 2562-2563 อาทิ การคว้า 2 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 3 เหรียญทองแดง จาก BISFed 2019 Seoul Boccia Asia-Oceania Regional Championships ณ ประเทศเกาหลี และการส่งนักกีฬาไปแข่งขันเพื่อคว้าโคว้าต้าไปพาราลิมปิกเกมส์ที่กรุงโตเกียว ในกีฬาบอคเซียได้ครบทุกรายการแข่งขัน ทั้ง 7 อีเวนต์ รวมถึงกีฬาวีลแชร์เรสซิ่ง ประเภท T34 ได้โควต้าจาก ชัยวัฒน์ รัตนะ ด้านผลงานทีมฟุตบอล 7 คน คนพิการทางสมองทีมชาติไทย ได้เข้าสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลคนพิการทางสมองชิงแชมป์โลก “IFCPF World Cup 2019” ที่ประเทศสเปน หลังคว้าอันดับ 3 ของทวีปเอเชีย นอกจากนี้ยังได้หาทุนก่อสร้างศูนย์ฝึกกีฬาบอคเซียแห่งชาติ มูลค่าบริเวณใกล้เคียงกับสนามราชมังคลากีฬาสถานโดย มีกำหนดแล้วเสร็จปลายปีนี้อีกด้วย

“บิ๊กต่อย” ร.ท.ณัยณพ เปิดเผยว่า ขอบคุณสมาชิกทุกคนเลือกตัวเองเป็นนายกสมาคมฯอีกวาระ หลังจากนี้ จะยังคงทำงานหนักเพื่อสานต่อผลงานที่ผ่านมาและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าจะสร้างผลงานในกีฬาพาราลิมปิก เกมส์ ที่กรุงโตเกียว ปีหน้า นอกจากนี้ กำลังสร้างศูนย์ฝึกกีฬาบอคเซีย โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนหลัก คือ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ซึ่งจะผลักดันเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ความรู้และเทคนิคการเล่นบอคเซียให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งประเทศไทยมีนักกีฬาบอคเซียที่ครองอันดับ 1 ของโลกอยู่หลายรุ่นด้วยกัน

ผลงานที่ผ่านมาของสมาคมฯที่สำคัญใน กีฬาบอคเซียของไทยประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก หลังจากที่ ร.ท.ณัยณพ ภิรมย์ภักดี นั่งตำแหน่งนายกสมาคมครั้งแรก เมื่อปี 2559 สร้างผลงานคว้า 2 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง ในพาราลิมปิก “ริโอ เกมส์” ปี 2016 จนล่าสุดเมืองอาคิตะ ประเทศญี่ปุ่น ได้ลงนามความร่วมมือกับสมาคมกีฬาคนพิการทางสมองแห่งประเทศไทย ในการร่วมพัฒนานักกีฬาผู้พิการทางสมองของไทย ในการสู้ศึก พาราลิมปิก โตเกียว เกมส์ ในปี 2020  อีกด้วย

ชาวสิงห์บุรีเฮ สิงห์อาสาเดินหน้าจ้างงาน ป้องกันน้ำท่วมในท้องถิ่น

0

บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนช่วงโควิด-19 ทั้งการจ้างงาน-สร้างอาชีพ ผ่านโครงการ “สิงห์อาสาทั่วประเทศ” ล่าสุด ลงพื้นที่ อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี เป็นจังหวัดที่ 12 จ้างงานชาวบ้านร่วมเป็นอาสาสมัครป้องกันน้ำท่วมให้ท้องถิ่นตน ร่วมเก็บผักตบ กว่า 5,100 ตัน พัฒนาการไหลระบายในแม่น้ำน้อยป้องกันน้ำท่วม เมื่อวันที่19 มิ.ย. 2563

รายงานข่าว เปิดเผยว่า วันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา สิงห์อาสา โดย บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี จัดโครงการ “สิงห์อาสาสู้น้ำท่วม” ต่อเนื่องที่บริเวณแม่น้ำน้อย หมู่ที่ 3 บ้านพิกุลทอง ตำบลพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี โดยมี นายสมศักดิ์ แก้วเสนา นายอำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี เป็นประธานเปิดโครงการฯ และ นายบุญเลิศ นาคอุไร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท บุญรอดเอเซียเบเวอเรซ จำกัด ร่วมลงพื้นที่ โดยในโครงการ เป็นการจ้างงานผ่านรูปแบบการเป็นอาสาสมัครร่วมกันดูแลชุมชนของตนเอง ด้วยการกำจัดผักตบชวาในพื้นที่ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาน้ำท่วม มีประชาชนร่วมโครงการจำนวนกว่า 100 คน โดยอาสาสมัครที่ได้รับการจ้างงานจะได้รับเบี้ยเลี้ยง พร้อมข้าวสารพันดี และน้ำดื่มสิงห์อีกด้วย ซึ่งพื้นที่อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี ถือเป็นพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่เสมอ และมีผักตบชวาขวางทางระบายน้ำจำนวนมาก

ที่ผ่านมา บุญรอดบริวเวอรี่ ได้ดำเนินนโยบายเร่งด่วนช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ ทั้งการจ้างงานและสร้างอาชีพใน 12 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ลำพูน ขอนแก่น มหาสารคาม บุรีรัมย์ อยุธยา นครปฐม และสิงห์บุรี ทั้งการจ้างงานในรูปแบบอาสาสมัครดูแลท้องถิ่นตน ผ่าน 3 โครงการเร่งด่วน คือ โครงการ “สิงห์อาสาสู้ไฟป่า”, โครงการ “สิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง” ,โครงการ “สิงห์อาสาสู้น้ำท่วม” และโครงการ “สิงห์อาสาอบรมสร้างอาชีพ” ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องตั้งแต่ในช่วงเดือนพฤษภาคม สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยธรรมชาติและสร้างรายได้ผ่านการจ้างงานให้กับประชาชน ทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง

นอกจากนี้ ยังเดินหน้าเปิดโครงการ “สิงห์อาสาอบรมสร้างอาชีพ”  นำศักยภาพของบริษัทในเครือทั้งหมด ร่วมกับ เครือข่ายของสิงห์อาสาทุกภูมิภาคทั่วประเทศ นำองค์ความรู้เปิดคอร์สอบรมฟรีให้กับประชาชนผู้ที่สนใจไปต่อยอดสร้างอาชีพ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มทักษะอาชีพ ประกอบด้วย การอบรมทักษะวิชาชีพทางด้านอาหาร สู่การเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก การอบรมทักษะวิชาชีพทางด้านงานช่าง และการอบรมทักษะวิชาชีพทางด้านการเกษตร ใช้งบประมาณทั้งหมดในโครงการนี้กว่า 200 ล้านบาท

อาหารอุ่นร้อนเสิร์ฟของ CPF Food Truck ถึงมือชุมชนวัดพรหมรังษี

0

โครงการ “ส่งอาหารปลอดภัย จากใจ..สู่ชุมชน” โดยบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันมอบอาหารอุ่นร้อนพร้อมรับประทานจากรถ CPF Food Truck ครั้งที่ 22 เดินทางมาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาหารแก่ประชาชนที่ลานกิจกรรมวัดพรหมรังษี เขตบางขุนเทียน

นอกจากซีพีเอฟแล้ว ยังมีบริษัท โอสถสภา นำเครื่องดื่มเกลือแร่มามอบ รวมทั้ง Mc ยีนส์ ที่เตรียมหน้ากากผ้าที่สามารถซักแล้วใช้ซ้ำได้ถึง 20 ครั้งมามอบ และข้าวตราฉัตร นำข้าวฉัตรส้มขนาด 1 กิโลกรัมมามอบ ส่วนทรูคอร์ปอเรชัน มีซิมกักตัวไม่กลัวเหงาเล่นอินเตอร์เน็ตและโทรฟรี 30 วัน ขณะที่แปซิฟิก ชูการ์ นำน้ำตาลมิตรผลมาให้พี่น้องประชาชน และ SCG นำไข่ต้มซีพีมาแจกเพิ่มเติมความอิ่มอร่อย

วิไล เทศกาล ชาวชุมชนหลังวัด บอกว่า พิษโควิดทำให้ทุกอย่างแย่ไปหมด ลูกชายขายของไม่ได้เลย แถมบ้านยังถูกน้ำท่วมจนบ้านจะเกือบจะพังยังไม่รู้ว่าทำอย่างไร ทุกวันนี้ได้ข้าววัดพอประทังชีวิต พระเห็นว่าเดือดร้อนกันมากจึงมอบข้าวสารอาหารแห้งให้ วันนี้รู้สึกดีใจและขอบคุณมากที่มีซีพีเอฟกับบริษัทต่างๆมามอบอาหารช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ชาวชุมชน

ชาวบ้านอีกคน นุชจรีย์ แย้มยี่สุ่น เล่าว่า มีอาชีพเก็บของเก่าขาย เมื่อมีปัญหาโควิดทำให้ไม่กล้าออกไปไหน ของเก่ายังเก็บไว้ที่บ้านยังไม่เอาออกไปขาย โชคดีของชุมชนที่ยังมีหน่วยงานต่างๆมาช่วยกัน นำของมาแจกบ้าง เหมือนครั้งนี้ที่ซีพีกับหลายบริษัทมาร่วมกันแจกของ ขอเป็นตัวแทนชุมชนขอบคุณทุกๆบริษัทที่มาช่วยกัน

พบเด็กไทยโดนไซเบอร์บูลลี่ สูงกว่าค่าเฉลี่ยเด็กชาติอื่น

0

เอไอเอสเผยผลสำรวจดัชนีชี้วัดความปลอดภัยบนสื่อออนไลน์สำหรับเด็ก ซึ่งจัดทำร่วมกับสถาบัน DQ ระดับโลก โดยความร่วมมือกับ 30 ประเทศทั่วโลก พบเด็กไทยเกี่ยวข้องกับการรังแกและเคยถูกรังแกบนโลกออนไลน์สูงกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กประเทศอื่น แนะผู้ปกครอง โรงเรียน คุณครู ต้องร่วมกันสร้างความเข้าใจ และเร่งพัฒนาทักษะความฉลาดทางดิจิทัล DQ ให้กับเด็กๆ อย่างเร่งด่วน เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันให้เด็กรู้จักแยกแยะ และจัดการปัญหา อารมณ์ และทัศนคติ    ในการรับมือกับการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ได้อย่างเหมาะสม

นางสาวนัฐิยา พัวพงศกร หัวหน้าแผนกงานพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน กล่าวว่า “การถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying) เป็นปัญหาสากลที่พบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กๆในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต้องกักตัวอยู่ที่บ้านและใช้สื่อดิจิทัลออนไลน์ในการเข้าถึงการเรียนรู้ สาระประโยชน์ ความบันเทิง และโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจทำให้เด็กไทยเสี่ยงภัยจากการรังแกบนโลกออนไลน์เพิ่มจากการใช้สื่อดิจิทัลที่ยาวนานขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่ได้รับคำแนะนำจากผู้ปกครอง ก็จะยิ่งทำให้ขาดทักษะความฉลาดทางดิจิทัลในการตระหนักรู้ แยกแยะ และสามารถรับมือกับการรังแกบนโลกออนไลน์ได้

การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ สามารถเกิดขึ้นกับคนทุกเพศ ทุกวัย ทั้งในฐานะของผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำ โดยใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้ง ทั้งนี้มีรูปแบบตั้งแต่การรังควาญผู้อื่น การแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสม รวมไปถึงการล้อเลียน โดยการกลั่นแกล้งนั้น แม้อาจจะเกิดได้จากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ล้วนส่งผลกระทบต่อผู้กระทำทั้งสิ้น            

ทั้งนี้ ผลสำรวจดัชนีชี้วัดความปลอดภัยบนสื่อออนไลน์สำหรับเด็ก (COSI : Child Online Safety Index) ที่เอไอเอส และ สถาบัน DQ ระดับโลกร่วมกันจัดทำขึ้น โดยเก็บรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมเด็กไทยในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 44,000 คน จาก 450 โรงเรียนทั่วประเทศในปี 2562 พบว่า เด็กไทยมีโอกาสเผชิญกับอันตรายต่างๆ บนโลกออนไลน์ทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ การรังแกออนไลน์, การใช้เทคโนโลยีอย่างไม่มีวินัย, ความเสี่ยงจากการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม, ความเสี่ยงจากการพบคนแปลกหน้า, การถูกคุกคามในโลกไซเบอร์ รวมไปถึงความเสี่ยงต่อการเสียชื่อเสียง

            โดยในประเด็นของการถูกรังแกบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying) พบว่า

·      48% ของเด็กไทย เคยเกี่ยวข้องกับการรังแกบนโลกออนไลน์ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของทั่วโลกอยู่ที่ 33%

·      41% ของเด็กไทย เคยถูกรังแกบนโลกออนไลน์ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของทั่วโลกอยู่ที่ 39%

·      เด็กผู้ชาย (56%) รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการรังแกออนไลน์มากกว่าเด็กผู้หญิง (41%)

·      จำนวนเด็กผู้ชายและผู้หญิงที่เคยถูกรังแกมีสัดส่วนเท่าๆ กัน โดยในกลุ่มของเด็กอายุ
13 ปี ขึ้นไป พบว่าเด็กผู้หญิงที่เคยถูกรังแกบนโลกออนไลน์มีจำนวน 43% ในขณะที่เด็กผู้ชายอยู่ที่ 37%

           ดังนั้น เอไอเอส ในฐานะ Digital Life Service Provider จึงถือเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องการส่งเสริมให้ครอบครัวและเด็กไทย เกิดการใช้สื่อดิจิทัลอย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ ไม่เป็นผู้ที่รังแกคนอื่น และรับมือการถูกรังแกได้อย่างเหมาะสม โดยในปีที่ผ่านมา เราได้ริเริ่มโครงการ “อุ่นใจไซเบอร์” ที่มุ่งสร้างความตระหนักรู้ถึงภัยไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นกับตนเอง หากใช้งานสื่อดิจิทัลอย่างไม่ระมัดระวัง ด้วยการพัฒนาหลักสูตรแบบเรียนรู้ (Self Learning) เพื่อให้เด็กไทยและคนไทยเข้าไปเรียนรู้และสร้างความฉลาดทางดิจิทัลหรือ DQ (Digital Quotient) โดยมี 8 ทักษะพื้นฐานที่เป็นเกราะป้องกันภัยไซเบอร์ โดยในนี้ มีอย่างน้อย 4 ทักษะ ที่จะเป็นวัคซีนต่อต้านภัย Cyberbullying ได้แก่

  1. ใจเขา ใจเรา  ความเห็นใจซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการอยู่ร่วมกันในสังคมทั้งบนโซเชียลและชีวิตจริง ก่อนที่จะพูดอะไรออกไป และก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไป ลองคิดถึงใจของอีกฝ่ายว่าถ้าเราไปเป็นเขาจะรู้สึกอย่างไร อย่าคิดแทนคนอื่น และอย่าตัดสินคนอื่น เพียงเพราะสิ่งที่เราเห็น
  2. คิดก่อนโพสต์  ไม่ระบายทุกอย่างลงบนโซเชียล โดยเฉพาะเวลาโกรธ, โพสต์อะไรควรมีที่มาที่ไป ไม่กล่าวหาใครลอยๆ, สุภาพไว้ดีที่สุด เพื่อลดความขุ่นเคืองต่อกัน, คิดให้ดีก่อนโพสต์ว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถส่งผลกระทบอะไรกับเราหรือคนอื่นหรือไม่
  3. เช็กก่อนเชื่อ  เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เราไม่กลายเป็นผู้กระทำคนอื่นในโลกออนไลน์ เราสามารถวิเคราะห์ได้ แยกแยะเป็นระหว่างข้อมูลที่ถูกและข้อมูลที่ผิด ไม่รีบด่วนตัดสินใจ มีความรู้เท่าทันและประเมินข้อมูลจากหลายแหล่งก่อนตัดสินใจเชื่อ
  4. ทำอย่างไรเมื่อถูก Cyberbully นี่อาจเป็นคำถามที่เกิดขึ้นกับหลายคน เมื่อโดนกระทำให้รู้สึกอับอายหรือเสื่อมเสียบนโลกออนไลน์ อย่าปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้ สะสมจนมาบั่นทอนจิตใจจนส่งผลกระทบไปถึงด้านอื่นๆ ในชีวิต ด้วยวิธีรับมือดังนี้

1) ไม่โต้ตอบ – ยิ่งเราเลือกตอบโต้ จะเป็นการทำให้เรื่องราวบานปลายได้

2) บล็อกไปเลย – ปิดช่องทางไม่ให้เขามายุ่งวอแวกับเราได้

3) ไม่เก็บเอาไว้คนเดียว – จะสร้างความเครียดให้ตัวเอง ให้ขอความช่วยเหลือจากคนรอบตัวดีกว่า

4) เก็บหลักฐานเอาไว้ – รวบรวมหลักฐานของคนที่มาโพสต์กลั่นแกล้งของเราไว้ ถ้าสิ่งนั้นส่งผลกระทบกับจิตใจและชีวิตมากเกินไป สามารถนำหลักฐานไปแจ้งความได้

โดย เอไอเอสได้นำเข้าแบบเรียนรู้ DQ ซึ่งมีทั้งบททดสอบวัด DQ ในตัวคุณ และบทเรียนออนไลน์ที่มีประโยชน์ เสริมสร้างทักษะทางดิจิทัลที่จำเป็นทั้ง 8 ทักษะ ในรูปแบบอินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดีย และแอนิเมชันสนุกๆ ให้คนไทยทุกคน ทุกเครือข่าย เรียนรู้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ที่เว็บไซต์  www.ais.co.th/dq

เนื่องในวันต่อต้านการกลั่นแกล้งทางออนไลน์สากล ปี 2020 (Stop Cyberbullying Day) เอไอเอสจึงได้จัดกิจกรรม Live Social Sharing ในหัวข้อ “Empathy is the key ใจเขา ใจเรา คิดถึงความรู้สึกคนอื่น และไม่ด่วนตัดสินใคร” จากกลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้แก่ ติช่า กันติชา, ซูซี่ ณัฐวดี, ญา ปราชญา, ลูกกอล์ฟ คณาธิป และ ต้น นรพันธ์ ที่มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ พฤติกรรม มุมมอง และสภาพจิตใจ ที่เคยพบกับการถูกกลั่นแกล้ง เพื่อร่วมกันส่งต่อแนวคิดที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะการรับมือกับการ Bully ในระยะยาว โดยสามารถรับชมย้อนหลัง ผ่าน AIS PLAY ทุกช่องทาง ได้แก่ แอปพลิเคชัน AIS PLAY, กล่อง AIS PLAYBOX และเว็บไซต์ https://aisplay.ais.co.th

คาดถนนข้าวสารกลับมาเปิดให้ขายของได้ ส.ค.นี้

0

นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการงานปรับปรุงพื้นที่ย่านถนนข้าวสาร ว่า ปัจจุบันโครงการงานปรับปรุงพื้นที่ย่านถนนข้าวสาร ทางด้านกายภาพแล้วเสร็จ 100% แต่อาจจะมีความไม่เรียบร้อยในบางจุด เช่น กระเบื้องในบางจุดมีรอยแตกร้าว การรื้อย้ายตู้สื่อสารที่ไม่ได้ใช้งานยังไม่แล้วเสร็จ จึงมอบหมายสำนักงานเขตพระนครและผู้รับจ้าง ตรวจสอบอย่างละเอียดและเร่งดำเนินการแก้ไขให้แล้วเสร็จ

สกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

นอกจากนี้ ยังพบปัญหาการลักลอบนำรถยนต์และรถจักรยานยนต์มาจอดในพื้นที่ ทำให้เกิดความเสียหายต่อพื้นผิวและเสากั้น จึงได้มอบหมายสำนักการจราจรและขนส่ง ติดตั้งเสากั้นเพิ่มเติม เพื่อป้องกันการนำรถเข้ามาจอด รวมทั้งติดตั้งป้ายสัญญาณจราจร อาทิ ป้ายห้ามจอด ป้ายจำกัดความเร็ว เป็นต้น โดยประสานความร่วมมือกับสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม

และได้มอบหมายสำนักงานเขตพระนครประสานสำนักการระบายน้ำดำเนินการลอกท่อระบายน้ำบริเวณโดยรอบ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ด้วย สำหรับเรื่องของผู้ค้า เนื่องจากรัฐบาลยังไม่ได้เปิดให้สายการบินต่างประเทศเข้ามา ประกอบกับถนนข้าวสารนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ช่วงนี้ถนนข้าวสารจึงค่อนข้างเงียบ ยังไม่มีผู้ค้าจำหน่ายสินค้า กระบวนการอยู่ระหว่างคัดสรรผู้ค้า โดยมอบหมายสำนักงานเขตพระนครเป็นผู้ดำเนินการ

ทั้งนี้ โดยภาพรวมแล้วคาดว่าจะเปิดถนนข้าวสารให้ทำการค้าได้ในช่วงประมาณเดือน ส.ค.63

ส่วนการปรับปรุงถนนไกรสีห์ ขณะนี้ได้งบประมาณแล้ว อยู่ระหว่างการออกแบบและหาตัวผู้รับจ้าง ส่วนในระยะต่อไปก็จะปรับปรุงถนนรามบุตรีและถนนตานี เพื่อให้ถนนในโซนบางลำภู ทั้ง 4 เส้นทางที่ขนานกันมีความสวยงามและมีรูปแบบที่เป็นไปในทางเดียวกัน โดยในบางเส้นทางที่ไม่ได้เป็นถนนสำหรับทำการค้าก็จะเพิ่มต้นไม้ให้มากขึ้น เพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญคือต้องการให้โซนนี้ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศที่นักท่องเที่ยวสนใจ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงามมากขึ้นกว่าเดิม

รถไฟฟ้าสายสีทองคืบหน้า ล่าสุดขบวนรถไฟฟ้าแรกส่งถึงไทยแล้ว ยันเปิดเดินรถ ต.ค. ปีนี้

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 รถไฟฟ้าสายสีทอง รุ่น Bombardier Innovia APM 300 ขบวนแรกของประเทศไทย ได้เดินทางมาถึง ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เป็นที่เรียบร้อย โดยมีนายมานิต เตชอภิโชค กรรมการผู้อำนวยการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) นายสุมิตร ศรีสันติธรรม ผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) Mr.Claudio Tiraferri หัวหน้าฝ่ายโซลูชั่นการควบคุมรางเอเชียแปซิฟิก บริษัท บอมบาดิเอร์ ทรานสปอร์เทชั่น ประเทศไทย ร้อยตำรวจตรี มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง ร่วมตรวจรับ

นายมานิต เตชอภิโชค เปิดเผยว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีทองเป็นระบบขนส่งมวลชนขนาดรองที่กรุงเทพมหานครได้มอบหมายให้เคที เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งแบ่งดำเนินการในระยะที่ 1 มีจำนวน 3 สถานี คือ สถานีกรุงธนบุรี (GN1) สถานีเจริญนคร (GN2) และสถานีคลองสาน (GN3) ระยะทาง 1.80 กิโลเมตร เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ฝั่งธนบุรีที่มีการพัฒนาเป็นย่านเศรษฐกิจใหม่ที่มีศักยภาพ

ขณะนี้มีความคืบหน้าในภาพรวม 89 % โดยในส่วนของการก่อสร้างงานโยธา คืบหน้า 94.42 % ส่วนงานระบบเดินรถ คืบหน้า 81 % เนื่องจากมีอุปกรณ์ที่ต้องสั่งนำเข้ามาจากต่างประเทศเกิดความล่าช้าจากผลกระทบโรคระบาดโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา แต่ขณะนี้สถานการณ์คลี่คลาย จึงสามารถเดินหน้างานในการทำงานอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณทีมงานทุก ๆ ส่วนของโครงการ บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเชีย จำกัด ผู้ติดตั้งระบบ รวมทั้งสำนักการจราจรและขนส่ง เจ้าของโครงการ สำนักการโยธา สำนักงานเขต และ กรมทางหลวงชนบทเจ้าของพื้นที่ สน.พื้นที่ รวมทั้งสำนักสิ่งแวดล้อมที่ช่วยให้การเร่งรัดงานเป็นไปด้วยดี ทำให้สามารถเปิดเดินรถได้ภายในปี 2563 โดยยังคงเป้าหมายเดิมคือในเดือนตุลาคมนี้ โดยอัตราค่าโดยสารตามที่ศึกษาไว้คือ จัดเก็บที่ 15 บาทตลอดสาย คาดการณ์ปริมาณผู้โดยสาร ในปีแรกที่เปิดให้บริการที่ 42,260 เที่ยว-คน/วัน

โครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง ถือเป็น Feeder (ระบบขนส่งมวลชนขนาดรอง) ที่ใช้รูปแบบรถที่มีขนาดกะทัดรัด โดยเลือกใช้รถไฟฟ้า Automated People Mover – APM (ระบบขนส่งมวลชนแบบนำทางอัตโนมัติ) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งมีความเหมาะสมกับพื้นที่และเป็น Feeder (ระบบขนส่งมวลชนขนาดรอง) ที่มีประสิทธิภาพที่สามารถเชื่อมต่อการเดินทางของประชาชนในทุกโหมดไม่ว่าจะเป็นระบบรางสายหลักของรถไฟฟ้าสายสีเขียวโดยเชื่อมต่อกัน ที่สถานีกรุงธนบุรี ผู้โดยสารที่ใช้บัตรแรบบิทสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายสีทองได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว นอกจากนี้รถไฟฟ้าสายสีทองยังเชื่อมต่อกับรถโดยสารประจำทางในพื้นที่ย่านคลองสานรวมทั้งเชื่อมต่อการเดินทางในเส้นทางเดินเรือแม่น้ำเจ้าพระยา และในอนาคตยังเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงหัวลำโพง-บางบอน-ราษฎร์บูรณะ และรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ อีกด้วย ทั้งนี้โครงการนี้ไม่มีการใช้งบประมาณจากทางราชการ เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน ซึ่งเป็นประโยชน์แก่รัฐ มีลักษณะคล้ายกับการดำเนินการระบบขนส่งมวลชนบางเส้นทางในประเทศญี่ปุ่น

นายสุมิตร ศรีสันติธรรม กล่าวว่า บีทีเอสได้รับว่าจ้างในการจัดหาขบวนรถ รวมถึงการเดินรถ และซ่อมบำรุงเป็นระยะเวลา 30 ปี จากบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด โดยรถไฟฟ้าที่รับมอบในครั้งนี้ เป็นรถไฟฟ้ารุ่น Bombardier Innovia APM 300 ผลิตที่เมืองอู่หู มณฑลอานฮุย สาธารณรัฐประชาชนจีน รถไฟฟ้ารุ่นนี้มีความพิเศษคือ เป็นรถไฟฟ้ารูปแบบไร้คนขับ ขับเคลื่อนอัตโนมัติ โดยใช้รางนำทาง สามารถจุผู้โดยสาร 138 คน/ตู้ และ1 ขบวนสามารถจุผู้โดยสาร 276 คน/ขบวน รองรับผู้โดยสารได้ 4,200 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง รถไฟฟ้ามีความกว้าง 2.8 เมตร ความยาว 12.75 เมตร ความสูง 3.5 เมตร ประตูมีความกว้าง 1.9 เมตร ความสูงของพื้นรถ 1.1 เมตร น้ำหนัก 16,300 กิโลกรัม ก่อให้เกิดเสียงรบกวนต่ำ ความเร็วการทำงานสูงสุดที่ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง หากเกิดเหตุฉุกเฉินระบบจะทำการหยุดรถอัตโนมัติ และมีรถมารับผู้โดยสารทันที

ขณะนี้ขบวนรถไฟฟ้าที่บริษัทฯ ได้รับมอบแล้วจำนวน 1 ขบวน เหลืออีก 2 ขบวนที่จะทยอยเดินทางมาภายในเดือนสิงหาคมนี้ สำหรับขบวนรถที่ใช้ในระบบรถไฟฟ้าสายสีทองนั้นมีทั้งหมด 3 ขบวน ขบวนละ 2 ตู้ ใช้รับส่งผู้โดยสารจำนวน 2 ขบวน และสำรองไว้ในระบบ 1 ขบวน สำหรับเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีทองถือเป็นรถไฟฟ้าสายสำคัญ โดยเส้นทางจะผ่านแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น ไอคอนสยาม ล้ง 1919 เป็นต้น ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวในการเดินทางเข้าสู่สถานที่สำคัญของกรุงเทพมหานครได้ดียิ่งขึ้น