Home Blog Page 424

คนว่างงานเฮ กระทรวงทรัพยากรฯ จ้างงาน 16,488 อัตรา ช่วยเหลือผู้เดือดร้อนจากพิษโควิด-19

0

กระทรวงทรัพยากรฯ ทุ่มงบประมาณกว่า 445 ล้าน จ้างงาน 16,488 อัตรา ช่วยคนตกงาน – ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ทำงานกับกรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ให้ค่าตอบแทนเดือนละ 9 พันบาท จ้างงาน 3 เดือน ตั้งแต่ 1 ก.ค. – 30 ก.ย.นี้

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา  รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงข่าว “โครงการจ้างงานให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 ” ว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดทำโครงการจ้างงานให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด – 19 เพื่อให้การช่วยเหลือบัณฑิตที่ตกงานรวมทั้งประชาชน  โดยมีหน่วยงานที่จะจ้างงาน คือ สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมป่าไม้  และ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.)  จำนวน 5 โครงการ รวมอัตราการจ้างทั้งสิ้น 16,488 อัตรา อัตราการจ้างเหมา  9,000 บาทต่อเดือน ระยะเวลาการจ้าง 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2563 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น จำนวน  445,176,000 บาท

นายวราวุธ เปิดเผยว่า สำหรับการจ้างงาน ทั้ง 4 หน่วยงาน โดยสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะจัดทำโครงการ 1 คน 1 ตำบล ร่วมใจฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับจำนวน 7,255 อัตรา กรมป่าไม้ รับ จำนวน 5,058 อัตรา  ไปทำหน้าที่ลูกจ้างผู้ช่วยงานเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในการปฎิบัติงานตามนโยบาย คทช. ในการสำรวจการครอบครองที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และ โครงการจ้างงานประชาชนเพื่อฟื้นฟูป่าหลังถูกไฟไหม้ “สร้างป่า สร้างงาน สร้างรายได้”  ขณะที่ กรมอุทยานแห่งชาติฯ  รับ 3,500 อัตรา ไปเป็นลูกจ้างเหมาบริการผู้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำเพื่อเป็นแหล่งน้ำแหล่งอาหารของสัตว์ป่า และ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รับ 675 อัตรา  ไปทำโครงการจ้างสำรวจพื้นที่ใช้ประโยชน์ในเขตป่าชายเลน

“โครงการจ้างงานให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากสถานการณ์โควิด-19 และที่สำคัญเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่นั้นๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่ารวมทั้งการพัฒนาพื้นที่ โดยให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการเป็นผู้ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อยู่อาศัยของตน โดยทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือภาครัฐในการสำรวจข้อมูลด้านทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ในพื้นที่ชุมชน เพื่อก่อให้เกิดศักยภาพในการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ฉุกเฉินของรัฐบาลและการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

สิงห์อาสาสร้างอาชีพ เปิดสอนฟรี “เครื่องดื่มร้อน-เย็นเต็มสูตร” เรียนจบทำขายได้เลย

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ได้เปิดอบรมหลักสูตรที่สอง “เครื่องดื่ม ร้อน-เย็นเต็มสูตร” ครั้งที่ 1 โดยมี นายธิติพร ธรรมาภิมุขกุล ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด และ นายสมพร ปิยะพันธ์ รักษาการอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ เป็นประธานพิธีเปิด มีผู้เข้าร่วมอบรมทั้งสิ้น 50 คน จากหลากหลายอาชีพ ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มทร.กรุงเทพ

นายธิติพร ธรรมาภิมุขกุล ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือทั้งบุคคลากรทางการแพทย์, ผู้ป่วย และประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งในรูปแบบของการสนับสนุนงบประมาณ การส่งมอบผลิตภัณฑ์ จนถึงการจ้างงาน สร้างอาชีพอย่างในโครงการนี้ ซึ่งในวันนี้เป็นการอบรมหลักสูตรเครื่องดื่มร้อน-เย็น ต่อยอดสู่การสร้างรายได้ดูแลครอบครัว โดยได้ใช้ศักยภาพหน่วยงานภายในของบริษัทฯอย่างเต็มที่ทั้งบริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด, ทีมบาริสต้าจากสิงห์ปาร์ค เชียงราย, ทีม R&D จากร้านฟาร์มดีไซน์, ทีมอาจารย์จาก มทร.กรุงเทพ และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงร่วมถ่ายทอดสูตรการทำเครื่องดื่มยอดนิยมทั้งร้อน-เย็น เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถต่อยอดนำหลักสูตรที่ได้ฝึกอบรมและเคล็ดลับการค้าขายไปประกอบอาชีพได้ทันที

สำหรับโครงการสิงห์อาสาอบรมสร้างอาชีพในกลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านอาหาร หลักสูตร 10 เมนูยอดนิยมอร่อยง่ายๆ ครั้งที่ 1 ได้เปิดโครงการไปแล้วเมื่อวันที่16 มิ.ย. 63 ที่ผ่านมา ที่ศูนย์นวัตกรรมด้านอาหาร Food Innovation Center จ.ปทุมธานี ทั้งนี้หลักสูตรเครื่องดื่มร้อน-เย็น เต็มสูตร ครั้งที่ 2 จะจัดขึ้นในวันที่ 29 มิ.ย. 63 ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย

นอกจากการอบรมทักษะวิชาชีพทางด้านอาหารแล้ว โครงการ “สิงห์อาสาอบรมสร้างอาชีพ” ยังมีคอร์สการอบรมกลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านงานช่างและกลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านการเกษตร ให้แก่ผู้ที่สนใจโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อให้นำทักษะความรู้ที่ได้ไปต่อยอดสร้างอาชีพเลี้ยงดูครอบครัว ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญตามนโยบายเร่งด่วนที่มุ่งบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤตโควิด-19 ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน หากนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด-19 บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้ดำเนินการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ ในรูปแบบต่างๆ เป็นมูลค่าการช่วยเหลือรวมกว่า 200 ล้านบาท

นักวิชาการด้านอาหาร แนะ ผู้บริโภคคลายกังวล เนื้อแปรรูปทานได้ ปลอดภัย

0
ดร.กนิฐพร วังใน

บทความโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กนิฐพร วังใน อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ผู้บริโภคในยุคดิจิทัลหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 เป็นปัจจัยกระตุ้นให้ผู้คนให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) มากขึ้น โดยเฉพาะการรับประทานอาหารประเภทเนื้อและเนื้อสัตว์แปรรูป ซึ่งหลายเรื่องยังอยู่ในความสนใจของสังคมและเป็นข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง

เนื้อสัตว์ คือ อาหารโปรตีนมีคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกายในปริมาณสูง มีแร่ธาตุที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นธาตุเหล็ก สังกะสี ซิลิเนียม เมื่อเทียบกับปริมาณโปรตีนที่ได้จากอาหารอื่น และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการแปรรูปไม่ว่าจะมาจากการเก็บถนอมอาหารและการปรุงอาหารในรูปแบบต่างๆ อาทิ ไส้กรอก แฮม เบคอน ยังเป็นอาหารยอดนิยมของผู้บริโภค ด้วยรสชาติอร่อย ทานง่าย สะดวก และปรุงเป็นอาหารหลายแบบ

อย่างไรก็ตาม จากการที่องค์กรวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ (International Agency for Research on Cancer, IARC) ได้จัดความอันตรายของเนื้อสัตว์แปรรูปและเนื้อแดงอยู่ในกลุ่มที่อันตราย สูงสุดเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ จนทําให้ผู้บริโภคที่ชื่นชอบในการรับประทานเนื้อสัตว์แปรรูปมากกังวลใจและยังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์หลายด้าน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ไส้กรอกที่มีการใช้ไนไตรท์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยคงสภาพ ช่วยยืดอายุอายุ และช่วยทำให้สีของไส้กรอกดูสวยงามน่ารับประทาน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กนิฐพร วังใน อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ให้ข้อมูลตามหลักวิชาการมาช่วยสร้างความเข้าใจโดยเฉพาะความจำเป็นของการใช้สารไนไตรท์ในการผลิตไส้กรอก ว่า สารไนไตรท์ ที่ใส่ในผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป อย่าง ไส้กรอก แหนม เป็นสารที่มีคุณสมบัติเฉพาะอย่างที่สำคัญ ทั้งเรื่อง 1.ลดการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อโรค โดยเฉพาะแบคทีเรีย Clostridium Botulinum ที่ผลิตสารพิษที่มีอันตรายรุนแรงถึงชีวิต 2. สามารถจับไมโอโกลบินซึ่งโปรตีนในเนื้อสัตว์ที่ทำให้เนื้อมีสีชมพูแดงน่ารับประทาน 3.มีคุณสมบัติป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันระหว่างการเก็บ ทำให้ไส้กรอกมีกลิ่น รส และเนื้อสัมผัสที่ดีระหว่างการเก็บรักษา ซึ่งในปัจจุบัน ยังไม่สามารถหาสารตัวใดทดแทนได้ จึงยังมีความจำเป็นในการใส่ไนไตรท์ในไส้กรอกเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด

สำหรับการใช้ไนไตรท์ของผู้ผลิตไทยได้มาตรฐาน อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมอาหารและยา (อย.) เพื่อให้มีความเสี่ยงต่อผู้บริโภคน้อยที่สุด ด้วยการพัฒนาด้านผลิตอาหาร ผู้ผลิตไส้กรอกในปัจจุบัน คำนึงถึงความปลอดภัยในการผลิต ตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบจนถึงการบรรจุ เพื่อให้ได้ไส้กรอกที่คุณภาพดี ถูกสุขลักษณะ และมีความปลอดภัยมากที่สุด สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้จนถึงแหล่งผลิตวัตถุดิบ รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ใช้ระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์เข้ามาใช้และใช้คนอยู่ในกระบวนการผลิตน้อยที่สุด เพื่อลดการปนเปื้อนและการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ที่จะทำให้เกิดการเสื่อมเสียของไส้กรอกได้

“ในฐานะที่เป็นนักวิชาการด้านอาหาร ขอแนะนำว่า ผู้บริโภคควรเลือกผลิตภัณฑ์ไส้กรอกที่มาจากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้มีมาตรฐานรับรองการผลิตอาหาร บรรจุภัณฑ์อยู่ในสภาพดี และมีฉลากวันหมดอายุชัดเจน” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กนิฐพร กล่าวย้ำ

ทุกวันนี้ สารไนไตรท์ยังพบได้ทั่วไปในผักและผลไม้ เช่น แตงกวา กะหล่ำปลี แตงโม กล้วย ผู้บริโภคจึงบริโภคไส้กรอกได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องกังวลอีกต่อไป

สำหรับความเสี่ยงในการที่จะเป็นมะเร็งมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะ ปัจจัยในร่างกาย พันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิต ความเครียด อารมณ์ เป็นต้น การเปรียบเทียบอาหารกับบุหรี่ อันตรายและความเสี่ยงเทียบกันไม่ได้ เพราะในการผลิตอาหารต้องปลอดจากสารอันตราย อย่างไรก็ตาม ต้องหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารชนิดเดียวกันซ้ำกันเป็นระยะเวลานานๆ และบริโภคเป็นปริมาณที่มากเกินไป ที่สำคัญเพื่อสุขภาพที่ดีควรบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ เนื้อ นม ไข่ ผัก ผลไม้ ควรรับประทานให้มีความหลากหลายและในปริมาณที่เหมาะสม

การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการต้องมีความเหมาะสม พอดี สะอาด ปรุงสุก และผู้บริโภคจำเป็นต้องให้ความสำคัญเรื่องสุขอนามัย กินร้อน ช้อนของฉัน ตามมาตรการป้องกันป้องกันโรคระบาด และควรออกกำลังกาย พักผ่อนอย่างเพียงพอควบคู่กัน เหล่านี้จะช่วยให้ผู้บริโภคมีภูมิต้านทานที่ดี ไม่เจ็บไม่ป่วยง่าย เพราะไม่มีพรใดประเสริฐเท่ากับการรับประทานดีมีคุณค่า มีร่างกาย แข็งแรง ห่างไกลโรค

สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ส่งเจ้าหนูเด็กไทยแชมป์นักบิด 8 ขวบ พัฒนาทักษะในต่างประเทศ ปั้นเป็นนักแข่งอาชีพระดับโลก

0

“สิงห์ คอร์เปอเรชั่น” สนับสนุนเด็กไทย “น้องวินนี่” ธนัชานนท์ ศรีเพชรสุวรรณ เจ้าหนูนักบิด วัย 8 ขวบ ดาวรุ่งเด็กไทยเจ้าของแชมป์มินิไบค์มากมาย เดินทางไปเข้ารับการฝึกสอนเป็นนักแข่งรถจักรยานยนต์ทางเรียบจากทีมงานมืออาชีพ ถึงดินแดนต้นตำหรับประเทศสเปน หวังพัฒนาทักษะก้าวสู่เวทีโลกและสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยต่อไป

ตามที่ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ได้เข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก โมโตจีพี ตั้งแต่ฤดูกาล 2014 เป็นต้นมานั้น ล่าสุดยังได้เปิดโอกาสให้เด็กไทยได้สัมผัสประสบการณ์ระดับโลก ด้วยการเป็นผู้สนับสนุนหลักให้แก่ “น้องวินนี่” ด.ช.ธนัชานนท์ ศรีเพชรสุวรรณ เจ้าหนูนักบิด อายุ 8 ขวบ ในการเดินทางไปเข้ารับการฝึกสอนเป็นนักแข่งรถจักรยานยนต์ทางเรียบที่ประเทศสเปน ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. “น้องวินนี่” พร้อมครอบครัว ได้ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังสเปนเรียบร้อยแล้ว

การสนับสนุนของ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น เพื่อเปิดโอกาสให้ “น้องวินนี่” แชมป์มินิไบค์หลายซีรีส์ ทั้งถ้วยแชมป์ภายในประเทศและต่างประเทศรวมกันมากถึง 45 ใบ โดยเฉพาะการได้ครองถ้วยรวม “แชมป์เอเชีย” ประจำปี 2019 จากรายการ มินิจีพี แชมเปี้ยนชิพ ที่ประเทศอินโดนีเซีย ได้เรียนรู้จากทีมงานระดับโลกประจำ อะคาเดมี่ ของ “ริคาร์โด้ ตอร์โม่” ที่เมืองบาเลนเซีย ประเทศสเปน ซึ่งเป็นหนึ่งในอะคาเดมี่ที่ได้รับการยอมรับและผลิตนักแข่งระดับโลกในปัจจุบัน เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการผลักดันเด็กไทยก้าวไปสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพ และ “น้องวินนี่” ยังเป็นเด็กไทยคนแรกที่ได้เดินทางไปเข้าร่วมรับการฝึกสอนจากโรงเรียนฝึกสอนการเป็นนักแข่งรถจักรยานยนต์ทางเรียบที่ประเทศสเปนดังกล่าวด้วย

นายกานต์ ศรีเพชรสุวรรณ พ่อของ “น้องวินนี่” กล่าวว่า ขอขอบคุณ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ที่ให้การสนับสนุนลูกชายของตนในการเดินทางไปเรียนรู้การเป็นนักแข่งรถที่ประเทศสเปน ซึ่งเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงอันดับ 1 ของโลกในการสร้างนักแข่งระดับโลกหลายคน ตนจะพา “น้องวินนี่” พร้อมครอบครัวย้ายไปอยู่ที่ประเทศสเปน เป็นเวลาประมาณ 3 เทอม หรือประมาณ 2 ปี สำหรับเป้าหมายนั้น คาดหวังว่า “น้องวินนี่” ซึ่งมีความตื่นเต้นมากที่ได้มีโอกาสไปเรียนแข่งรถที่สเปน จะได้สัมผัสประสบการณ์ระดับโลก มีแรงบันดาลใจ ได้พัฒนาทักษะในการก้าวขึ้นไปเป็นนักแข่งอาชีพระดับโลก เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยต่อไป

CPF ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์สากล เข้มงวดมาตรฐานตลอดห่วงโซ่การผลิต

0

น.สพ.พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุล ประธานคณะกรรมการด้านสวัสดิภาพสัตว์และการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างมีความรับผิดชอบ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทมีการพัฒนาและยกระดับการเลี้ยงสัตว์ตามแนวปฏิบัติสวัสดิภาพสัตว์สากลภายใต้ “หลักอิสระ 5 ประการ” หรือ Five Freedoms อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันความหิวและกระหาย ความไม่สบายกาย ความทุกข์ทรมาน การบาดเจ็บ และสนับสนุนการแสดงออกทางพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์ในฟาร์มไก่เนื้อ ไก่ไข่ เป็ด สุกร และสัตว์น้ำ สำหรับกิจการในทุกประเทศและฟาร์มของเกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับสัตว์ทุกชนิดควบคู่กับการบริหารจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพให้สัตว์ได้เติบโตตามสถาพแวดล้อมของสัตว์อย่างเหมาะสม ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเติบโตและสุขภาพที่ดีของสัตว์

ปัจจุบัน ธุรกิจสุกรเป็นการเลี้ยงตามหลัก 3’Ts (No Testicles, No Teeth Clipping and No Tail Docking) โดยเน้นการเลี้ยงในโรงเรือนระบบปิดที่มีการระบายอากาศได้ดี และพยายามลด ละ เลิก การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสุกรในรูปแบบของการทำหมัน (เพื่อลดกลิ่นตัวของสุกรเพศผู้) การตัดหรือกรอฟัน (เพื่อลดการกัดหัวนมแม่สุกรและการกัดหางของตัวอื่น) และการตัดหาง (ลดการกัดกันเองจนเกิดแผลอักเสบ) โดยในปี 2562 ธุรกิจสุกรในประเทศไทยได้ยกเลิกการตอนลูกสุกรกว่า 700,000 ตัว ยกเลิกการตัดเขี้ยวลูกสุกรมากกว่า 2 ล้านตัว และริเริ่มยกเลิกการตัดหางลูกสุกรกว่า 3,000 ตัว รวมถึงยกเลิกตัดใบหูมากกว่า 3 ล้านตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจสุกรของบริษัทฯ ในประเทศมาเลเซียและไต้หวัน ไม่มีการตัดหรือกรอฟันแล้ว 100%

ขณะที่กิจการ ซีพีเอฟ ที่มีธุรกิจไก่เนื้อเป็นการเลี้ยงไก่โดยไม่ตัดจะงอยปาก (No Beaking Trimming) 100% มีการเพิ่มวัสดุสำหรับจิกเล่นในโรงเรือน ไก่ได้คุ้ยเขี่ยตามพฤติกรรมทางธรรมชาติ ส่วนไก่พ่อแม่พันธุ์เพศผู้และไก่ไข่ บริษัทฯใช้เทคโนโลยีอินฟราเรด (Infrared Beak Treatment) เพื่อทดแทนการตัดจะงอยปาก ซึ่งทำให้ไก่ไม่มีการบาดเจ็บ

นอกจากนี้ ในปี 2561 ยังได้เริ่มโครงการนำร่องเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อยอิสระ (cage-free farm) ในโรงเรือนระบบปิด ซึ่งเป็นการเลี้ยงตามแนวทาง Biosecurity Hi-Tech Farming มีการเลี้ยงตามหลักอิสระ 5 ประการ แม่ไก่มีอิสระ ทำให้สุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

สำหรับธุรกิจสัตว์น้ำ เป็นการเลี้ยงแม่พันธุ์กุ้งโดยไม่ตัดก้านตา (Female Non Eystalk Ablation) ซึ่ง ซีพีเอฟ นำนวัตกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ ในธุรกิจเพาะฟักและอนุบาลลูกกุ้ง ทำให้แม่พันธุ์กุ้งสร้างและวางไข่ได้เองตามธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นต้องตัดก้านตา

ซีพีเอฟ ยังได้ดำเนินการวัดผลการส่งเสริมสวัสดิภาพของสัตว์ (Welfare Outcome Measures :WOMs) เน้นการประเมินสุขภาพสัตว์ทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งสัตว์ที่ได้รับสวัสดิภาพขั้นสูงตามหลักสวัสดิภาพสัตว์จะสัมพันธ์กับลักษณะทางกายภาพ อารมณ์และพฤติกรรมที่ดีของสัตว์ ซึ่งบริษัทฯใช้วิธีวัดผลดังกล่าวทั้งในประเทศไทยและกิจการต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยหลัก คือ อัตราการเลี้ยงรอด อัตราการเติบโต อัตราการสูญเสีย ปริมาณและคุณภาพซาก การแสดงออกพฤติกรรมทางธรรมชาติ เป็นต้น

และยึดมั่นตามแนวทางการใช้ยาปฏิชีวนะด้วยความรับผิดชอบและสมเหตุผล ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติหนึ่งเดียวของธุรกิจปศุสัตว์ในกิจการทุกประเทศทั้งฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของบริษัทฯและฟาร์มของเกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ โดยไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะที่ผ่านการรับรองให้ใช้เฉพาะในคนเท่านั้น (Human-Only Anitbiotics) ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะที่ผ่านการรับรองให้ใช้ทั้งในคนและสัตว์ (Shared-Class Antibiotics) เพื่อวัตถุประสงค์เร่งการเจริญเติบโต และไม่ใช้ฮอร์โมน เพื่อวัตถุประสงค์เร่งการเจริญเติบโต (Growth Promotor)

กรมชลประทาน เร่งบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการใช้ หลังพบหลายพื้นที่ปริมาณฝนน้อย

0

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ในฐานะโฆษกกรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศว่า ปัจจุบัน(24 มิ.ย. 63) มีปริมาณน้ำในอ่างฯรวมกันประมาณ 32,226 ล้าน ลบ.ม.คิดเป็นร้อยละ 42 ของความจุอ่างฯ เป็นน้ำใช้การได้ประมาณ 8,577 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา(เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 7,672 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 31 ของความจุอ่างฯ เป็นน้ำใช้การได้ประมาณ 976 ล้าน ลบ.ม. ด้านผลการจัดสรรน้ำฤดูฝนทั้งประเทศ ปัจจุบัน (24 มิ.ย. 63) มีการใช้น้ำไปแล้ว 4,185 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 34 ของแผนจัดสรรน้ำฯ เฉพาะในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีการใช้น้ำไปแล้ว 1,447 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 45 ของแผนจัดสรรน้ำฯ คงเหลือน้ำที่จะจัดสรรได้อีกเพียง 1,803 ล้าน ลบ.ม.

ทั้งนี้ จากการติดตามปริมาณน้ำไหลงลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่งทั่วประเทศ (1 ม.ค. – 24 มิ.ย. 63) พบว่ามีน้ำไหลลงอ่างฯสะสมรวมกันประมาณ 3,117 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 8 ของค่าเฉลี่ยน้ำไหลงลงอ่างฯทั้งปี ถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างน้อย แนวโน้มสถานการณ์น้ำในปีนี้จะคล้ายกับปี 2558 ที่มีปริมาณน้ำไหลงลงอ่างฯรวมกันเพียง 3,735 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของค่าเฉลี่ยน้ำไหลลงอ่างฯทั้งปี ประกอบกับในช่วงตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2563 ประเทศไทยจะมีปริมาณฝนลดลงจนอาจเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ตามการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา

กรมชลประทาน ได้วางแนวทางบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสภาพฝนที่ตกลงมาในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ในแต่ละอ่างฯให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศ โดยเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา สถานการณ์น้ำใน 4 เขื่อนหลัก ยังคงมีน้ำอยู่ในเกณฑ์น้อย จากสภาพฝนที่ตกน้อยทางตอนบนของภาคเหนือ ส่งผลให้มีน้ำไหลลงอ่างฯน้อยตามไปด้วย จำเป็นต้องจัดสรรน้ำอย่างรัดกุม เพื่อให้ปริมาณน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดเพียงพอใช้ต่อการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศไปจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้

อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยา ได้คาดการณ์ว่าหลังกลางเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป จะมีปริมาณฝนตกเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยปกติ ซึ่งจะส่งผลให้อ่างเก็บน้ำ แหล่งน้ำธรรมชาติ และแม่น้ำสายต่างๆ มีปริมาณน้ำเพิ่มมากขึ้นในระยะต่อไป จึงขอให้พี่น้องเกษตรกรที่ยังไม่ได้ทำการเพาะปลูก วางแผนการเพาะปลูกให้สอดคล้องกับสภาพฝนที่ตกและปริมาณน้ำท่าในพื้นที่ ส่วนเกษตรกรที่ได้เริ่มทำการเพาะปลูกไปแล้ว ขอห้ใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำในพื้นที่ของตนเป็นหลัก

เอไอเอส จับมือสภากาชาด ให้ อสต. ใช้เน็ตฟรี 1 ปี พร้อมมอบประกันภัย สกัดโควิด-19 ในแรงงานข้ามชาติ

0

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส  เปิดเผยว่า บริษัทเห็นความสำคัญในการเฝ้าระวัง และติดตามกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 เข้าสู่ระบบการฟื้นฟูและรักษา เอไอเอส จึงได้ สนับสนุนโครงการ “รวมใจต้านภัย COVID-19 ในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ” ซึ่งสภากาชาดไทย สหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติและยูนิเซฟ ประเทศไทย ร่วมมือกันจัดขึ้น เพื่อให้กลุ่มแรงงานข้ามชาติมีความรู้ ความเข้าใจและเกิดความตระหนักในการป้องกันการแพร่กระจายของโควิด-19 และสามารถป้องกันตนเองและครอบครัวจากการแพร่กระจายของโควิด-19  ผ่านการใช้แอปพลิเคชัน “พ้นภัย” ของสภากาชาดไทยที่ได้บูรณาการแอปฯ พ้นภัยมาใช้ในการรับมือโควิด โดยให้แรงงานข้ามชาติ ที่เป็นอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) และแกนนำหอพักแรงงานข้ามชาติที่มีส่วนร่วมในการค้นหาผู้ที่มีอาการหรือสงสัยอาการของโรคให้แจ้งข้อมูลผ่านแอปฯ พ้นภัย เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันและติดตามการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลข่าวสารและคำแนะนำต่างๆ ในการดูแลสุขภาพ ที่มีทั้งภาษาไทย เวียดนาม เมียนมาและกัมพูชา ให้ อสต. นำไปแนะนำแก่กลุ่มเพื่อนแรงงานต่างด้าวด้วยกัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส

เอไอเอสได้ร่วมสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจนี้ ด้วยการให้ อสต.สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตบนแอปฯ พ้นภัยได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นเวลานาน 1 ปี พร้อมมอบสิทธิ์ประกันภัยโควิด-19 มูลค่า 100,000 บาท นาน 45 วัน  สำหรับ อสต.ที่ใช้เครือข่ายเอไอเอส อย่างไรก็ตาม อสต.ที่ใช้เครือข่ายอื่น เอไอเอส ก็พร้อมที่จะมอบซิมเติมเงินวัน-ทู-คอล “Sawasdee AEC” เพื่อให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตบนแอปพลิเคชันพ้นภัย ฟรี! พร้อมมอบสิทธิ์คุ้มครองประกันภัยโควิด -19 เช่นกัน

นายแพทย์พิชิต ศิริวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า โครงการรวมใจต้านภัยโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ได้รับการสนับสนุนประกันภัยและอินเทอร์เน็ตเพื่อใช้ในงานแอปพลิเคชัน “พ้นภัย” จากเอไอเอส อำนวยความสะดวกอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าวและแกนนำแรงงานที่ผ่านการอบรมและได้รับสิทธิ์ในการแจ้งข่าว เพื่อพัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าวและแกนนำหอพักแรงงานข้ามชาติ ให้มีส่วนร่วมในการค้นหาผู้มีอาการของโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และค้นหาแรงงานข้ามชาติที่เข้าประเทศมาโดยยังไม่ได้ผ่านการกักกันโรค 14 วัน โดยแจ้งข่าวผ่านแอปพลิเคชัน “พ้นภัย” เพื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะได้ไปสอบสวนโรค คัดกรอง และส่งต่อเข้าสู่ระบบบริการสาธารณสุขต่อไป

โครงการนี้ มุ่งเน้นในการให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มแรงงานข้ามชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยที่ผ่านมาสภากาชาดไทยและภาคีเครือข่าย ได้มอบชุดธารน้ำใจให้กับแรงงานข้ามชาติและครอบครัวที่ว่างงาน เพราะถูกเลิกจ้างและได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในจังหวัดต่างๆ ไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 5,368 ชุด

กิจการร่วมค้า BBS ประกาศความพร้อมเดินหน้าสนามบินอู่ตะเภา

0

“คีรี” เผยบีทีเอสกรุ๊บ มั่นใจเต็มร้อย พร้อมลงทุนพัฒนาระบบภายในสนามบินให้ทันสมัยที่สุด เตรียมแผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์และการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งภายนอก เชื่อประสบการณ์กว่า 20 ปีจะช่วยโครงการให้สำเร็จ

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด ได้จัดให้การแถลงข่าวถึงการพัฒนา “โครงการสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก” โดยเป็นการแถลงร่วมกันของ นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ที่ปรึกษาประธานคณะผู้บริหาร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และนายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ณ โรงแรม ยู สาทร กรุงเทพฯ

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก นับเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของประเทศไทย และรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการนี้เป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ การผนึกกำลังของภาคเอกชนระดับแนวหน้าของไทยทั้งสามกิจการ กลุ่มบริษัทบีทีเอสจะใช้ประสบการณ์ที่มีมากว่า 20 ปี ต่อยอดให้กับธุรกิจในเครือ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านระบบขนส่งมวลชนทางราง ด้านการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถในการพัฒนาธุรกิจในด้านต่างๆ เพื่อจะมาเป็นแรงผลักดัน ให้โครงการสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกประสบความสำเร็จ

กลุ่มบริษัทบีทีเอสมั่นใจ 100% ที่จะเดินหน้าลงทุนที่จะพัฒนาระบบภายในสนามบินให้มีความทันสมัยมากที่สุด ซึ่งทางบริษัทได้เตรียมแผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์และแผนในการสร้างระบบเชื่อมต่อการเดินทางภายในโครงการให้เชื่อมต่อกับระบบการขนส่งภายนอกทุกระบบรวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน และจะมีการพัฒนาระบบรถไฟฟ้า APM (Automated People Mover ) เชื่อมการเดินทางภายในโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพเมืองการบินให้เป็นเขตส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อรองรับการขยายตัวของพื้นที่ EEC และเชื่อมโยงการขนส่งผู้โดยสารกับสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็น Aviation Hub ที่สำคัญของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก สำหรับโครงการนี้ไม่ได้มีเพียงสนามบิน แต่ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบิน โดยเฉพาะเมืองการบิน และ Free Trade Zone ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่มีความท้าทายและสามารถสร้างมูลค่าให้กับโครงการได้มากมายจึงทำให้มั่นใจได้ว่าผลตอบแทนที่เสนอให้รัฐเป็นตัวเลขที่มีพื้นฐานจากข้อเท็จจริง

ทั้งนี้ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (กลุ่มกิจการร่วมค้า BBS) เกิดจากความร่วมมือจาก 3 บริษัทเอกชนใหญ่ ได้แก่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกันลงทุนประมาณกว่า 290,000 ล้านบาท

โครงการสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ที่เป็นการต่อยอดความสำเร็จมาจากโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็น “สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ” เพื่อพัฒนาไปสู่ประตูเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เชื่อมต่อสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิด้วยรถไฟความเร็วสูง และ เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โดยรัฐจะได้ผลประโยชน์ ด้านการเงิน 305,555 ล้านบาท ได้ภาษีอากรกว่า 62,000 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานเพิ่ม 15,600 ตำแหน่งต่อปีในระยะ 5 ปีแรกของสัมปทาน พร้อมทั้งเกิดการพัฒนาทักษะบุคลากรด้านธุรกิจการบิน เทคโนโลยีองค์ความรู้ด้านธุรกิจการบิน ซึ่งทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของรัฐเมื่อสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน 50 ปี

กรมชลฯ ยึดแนว RID NO.1 เร่งสร้างความมั่นคงทางด้านน้ำอย่างยั่งยืน

0

ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแนวทาง RID No.1    (ปี พ.ศ. 2561-2563) ประกอบด้วย 7 แนวทาง ดังนี้

  1. เร่งรัดการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งดำเนินการทั้งหมด 3,423 โครงการ ดำเนินการเเล้วเสร็จ 3,175 โครงการ และอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง 55 โครงการ
  2. ปรับปรุงกระบวนการจัดทำแผนงานเเละงบประมาณทั้งระบบ โดยจัดทำแผนเเม่บทพัฒนาลุ่มน้ำระดับจังหวัด กลุ่มจังหวัด เเละภาค ปรับปรุงการจัดทำแผนงานระยะปานกลาง (MTEF) จัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์กรมชลประทาน เเละริเริ่มเเนวทาง PPP (Public Private Partnership) เป็นการร่วมทุนภาครัฐและเอกชนมาใช้ในการทำงานชลประทาน
  3. เร่งรัดการพัฒนาแหล่งน้ำเเละเพิ่มพื้นที่ชลประทาน โดยเร่งดำเนินการโครงการชลประทานขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ให้เป็นไปตามแผน รวมถึงการพัฒนาระบบการเเพร่กระจายน้ำในระดับแปลงนาให้ครอบคลุม เเละจัดทำแผนงานรองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
  4. เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ ต่อยอดศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะให้สามารถพยากรณ์เเละเตือนภัยได้อย่างเเม่นยำ ปรับปรุงโครงการชลประทานที่มีอายุการใช้งานมานานให้สอดคล้องกับสภาพการใช้งานปัจจุบัน สร้างทางเลือกในการดำเนินการส่งน้ำเเละบำรุงรักษาในงานชลประทาน ตรวจสอบวิเคราะห์ความมั่นคงของเขื่อน ให้มีความมั่นคงเเข็งเเรง วางแผนเตรียมการรับมืออุทกภัยเเละภัยเเล้ง เเละการบูรณาการความร่วมมือกับ SC ในดับพื้นที่ การพัฒนาสถานีทดลองการใช้น้ำชลประทานให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ อีกทั้งตรวจสอบการใช้พื้นที่ราชพัสดุเเละแก้ปัญหาการบุกรุกของราษฎร รวมไปถึงการใช้พื้นที่เขตคลองเป็นพื้นที่แก้มลิงเเละขยายผลพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในยามวิกฤติ ตลอดจนการพัฒนาศูนย์ศึกษาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของประชาชน
  5. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยให้ความสำคัญในทุกขั้นตอนของกระบวนการพัฒนาแหล่งน้ำและบริหารจัดการน้ำ สร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยจากน้ำ เร่งรัดการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำ คณะกรรมการจัดการน้ำชลประทาน (JMC) และอาสาสมัครชลประทาน ให้เต็มพื้นที่ชลประทาน ตลอดจนการทบทวนการดำเนินงาน 1 โครงการ 1 ล้านบาท
  6. นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการปฏิบัติงาน ทั้งการพัฒนาเเหล่งน้ำและบริหารจัดการน้ำ เเละการพัฒนาระบบงานให้เข้าสู่ Digital Platform และ
  7. ดำเนินการพัฒนาองค์กรอย่างเป็นระบบ มีการปรับโครงสร้างหน่วยงานและปรับปรุงระดับตำเเหน่งของบุคลากรให้สูงขึ้น

ทั้งนี้ การดำเนินงานตามแนวทาง RID No.1 ที่ได้เกิดการพัฒนา ต่อยอด ขยายผล มาเป็น “RID No.1 Express 2020” ภายใต้กรอบเวลาของปีงบประมาณ 2563 บนเเนวคิด “ทำงานสุดกำลัง ตั้งมั่น สุจริต ใช้ชีวิตพอเพียง” อันประกอบด้วย 6 กิจกรรม ดังนี้

1. เร่งรัดการดำเนินงานโครงการตามพระราชดำริ สนับสนุนงบประมาณในการศึกษา สำรวจ ออกแบบ ก่อสร้าง จำนวน 216 โครงการ โดยเร่งรัดให้เเล้วเสร็จภายในปี 2563

2. การร่วมทุนภาครัฐเเละเอกชนในการทำงานชลประทาน โดยพัฒนา ต่อยอด โครงการประชารัฐร่วมทุนภาครัฐและเอกชน การปรับปรุง พ.ร.บ.ชลประทาน พ.ศ. 2485 ให้แล้วเสร็จ และต่อยอดระบบส่งน้ำและกระจายน้ำระดับแปลง การขุดลอกเพิ่มปริมาณเก็บกักน้ำทั้งประตูระบายน้ำ แก้มลิง อาคารบังคับน้ำ 3. พัฒนาระบบแพร่กระจายน้ำในระดับแปลงนาให้ครอบคลุม โดยมุ่งการจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม ในปี 2563 มีการกำหนดเป้าหมายเเละปรับปรุงพื้นที่จัดระบบชลประทานในไร่นา จำนวน 86,300 ไร่

4.โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยปรับปรุงเเหล่งน้ำเดิม 7 แห่ง พัฒนาเเหล่งน้ำใหม่ 4 แห่ง เชื่อมโยงแหล่งน้ำและระบบผันน้ำ 4 แห่ง สูบกลับท้ายอ่างเก็บน้ำ 2 แห่ง การป้องกันน้ำท่วม 4 แห่ง

5. เร่งรัดการจัดตั้งคณะกรรมการจัดการชลประทาน (JMC) และอาสาสมัครชลประทาน ให้เต็มพื้นที่ชลประทาน โดยมีเป้าหมาย ให้คณะกรรมการจัดการชลประทาน 26 คณะ ครอบคลุมพื้นที่ชลประทาน 581,435 ไร่ อาสาสมัครชลประทาน 844 คน จัดตั้งเเล้วเสร็จ (รวม 4,212) ครอบคลุมพื้นที่ชลประทาน 2,110,000 ไร่ กลุ่มผู้ใช้น้ำ 1017 กลุ่ม ครอบคลุมพื้นที่ชลประทาน 810,857 ไร่ เเละกลุ่มบริหารการใช้น้ำชลประทาน 121 กลุ่ม ครอบคลุมพื้นที่ชลประทาน 1,492,330 ไร่

6. เร่งรัดการปรับโครงสร้างหน่วยงานและปรับปรุงระดับตำเเหน่งบุคลากรให้สูงขึ้น

กรมชลประทาน ได้มุ่งมั่นดำเนินงานขับเคลื่อนภารกิจให้สอดคล้องและมุ่งผลสัมฤทธิ์ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นโยบายรัฐบาล และยุทธศาสตร์กรมชลประทาน 20 ปี ภายใต้แนวทาง RID No.1 และการพัฒนาต่อยอด กับเเนวทาง RID No.1 Express 2020 โดยมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพในการดำเนินงาน ทั้งการบริหารจัดการน้ำ พัฒนาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน การพัฒนาบุคลากร รวมทั้งการพัฒนาระบบงานให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้ประชาชน และเกษตรกร ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

“รู้ทันปากท้อง”กับตลาดหลักทรัพย์ : ทำร้านอาหาร เจอโปรร้านใหญ่ จะเอาอะไรมาสู้

0

“อาซ้ง” ทรงพล ชัญมาตรกิจ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน)
กูรูค้าขาย แนะให้

สร้างความแตกต่าง

สร้างประสบการณ์

และสร้างช่องทางของเราเอง