Home Blog Page 423

โออาร์ ร่วมกับ ก.ล.ต. เปิดร้าน Café Amazon for Chance สร้างโอกาสให้กับผู้บกพร่องทางการได้ยิน

0

ก.ล.ต. มุ่งมั่นดำเนินนโยบายด้าน ESG อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมสนับสนุนกลุ่มผู้เปราะบางและวิสาหกิจเพื่อสังคมได้พัฒนาอาชีพเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี จึงร่วมมือกับบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และบริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด เปิดร้าน Café Amazon for Chance ที่ให้บริการโดยผู้บกพร่องทางการได้ยิน ณ อาคารสำนักงาน ก.ล.ต. โดยมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต. สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนในตลาดทุนดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESG) ขณะเดียวกัน ก.ล.ต. มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายด้าน ESG อย่างเป็นรูปธรรมภายในองค์กร โดยหนึ่งในการดำเนินการ คือ การสนับสนุน ส่งเสริม และให้โอกาสกลุ่มผู้เปราะบางและวิสาหกิจเพื่อสังคมได้พัฒนาอาชีพเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี 

ก.ล.ต. จึงได้ร่วมมือกับบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และบริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด เปิดร้าน Café Amazon for Chance ที่ให้บริการโดยผู้บกพร่องทางการได้ยิน ณ สำนักงาน ก.ล.ต. ตามที่ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างกันเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2562

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 63 มีพิธีเปิดร้าน Café Amazon for Chance สาขาสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งเป็นสาขาที่ 9 อย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจากนางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เข้าร่วมพิธีเปิด ซึ่งมีนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยนางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและค้าปลีก จำกัด (มหาชน) นางอัจฉริยา เจริญศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ผู้บริหารกลุ่ม ปตท. และผู้บริหาร ก.ล.ต. เข้าร่วมพิธีเปิด 

นอกจากนี้ ทางร้าน Café Amazon for Chance ได้จัดหาเบเกอรี่จากร้าน 60+ Bakery and Chocolate Café โดยมูลนิธิศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APCD) มาขายในร้านเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มีส่วนร่วมของคนพิการเพื่อคนทั้งมวล (disability-inclusive business) อีกด้วย

บีทีเอส ต้อนรับเปิดเทอมใหม่ สร้างความมั่นใจในการเดินทาง

0

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส เปิดเผยว่า ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา กำหนดให้วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นวันเปิดภาคการศึกษา ของสถานศึกษาทั่วประเทศ

ดังนั้น บริษัท จึงได้เตรียมความพร้อมด้านการให้บริการ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มมากขึ้น และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร บริษัทฯ ได้เน้นย้ำมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามที่กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ได้เสนอศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ดังนี้

1. ขอยกเลิก การเว้นที่นั่ง และที่ยืนในขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารช่วงเปิดเทอมที่เพิ่มสูงขึ้น

2. ควบคุมความหนาแน่นของผู้โดยสารที่จะเข้าสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ชั้นชานชาลา และภายในขบวนรถไฟฟ้า ไม่เกินร้อยละ 70 พร้อมทั้งจำกัดจำนวนผู้โดยสารเข้าใช้บริการเป็นกลุ่ม (Group Release) ในชั่วโมงเร่งด่วน ช่วงเวลาเช้า และช่วงเวลาเย็น

3. เน้นย้ำให้ผู้โดยสารทุกท่าน สวมหน้ากากอนามัย / หน้ากากผ้าทุกครั้ง ระหว่างการเดินทาง งดการพูดคุยภายในขบวนรถไฟฟ้า และงดคุยโทรศัพท์ในขบวนรถไฟฟ้า 100 % พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการหันหน้าเข้าหากันในขบวนรถไฟฟ้า

4. คัดกรองอุณหภูมิของผู้โดยสารก่อนเข้าใช้บริการในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส อุณหภูมิต้องไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส และคัดกรองสุขภาพของเจ้าหน้าที่ ทุกครั้งก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่

5. จัดจุดบริการแอลกอฮอล์ ทุกทางเข้า-ออกสถานี เพิ่มความถี่ในการฉีดพ่น เช็ดทำความสะอาด ภายในขบวนรถไฟฟ้า จุดสัมผัสร่วมภายในสถานี และบริเวณรอบสถานีด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

6. บริษัทฯ ยังคงเดินรถในความถี่สูงสุด 2 นาที 25 วินาที ในสายสุขุมวิท และในสายสีลมความถี่ 3 นาที 45 วินาที ในช่วงเวลาเร่งด่วน เพื่อให้ลดปริมาณความหนาแน่นของผู้โดยสารที่มาใช้บริการ และขอให้ผู้โดยสารทุกท่านโปรดเผื่อเวลาในการใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส

7. ขอความร่วมมือผู้โดยสารทุกท่านลงทะเบียน “ไทยชนะ” เมื่อเข้า และออกจากขบวนรถไฟฟ้าขบวนนั้น ๆ ด้วยการพิมพ์หมายเลขขบวนรถไฟฟ้า 4 หลัก ลงใน Application ‘BTS SkyTrain’ หรือ Line official : @btsskytrain

ทั้งนี้ บริษัทจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อรักษามาตรฐานในการป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมทั้งอำนวยความสะดวก ความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจแก่ผู้มาใช้บริการทุกท่าน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บีทีเอส โทรศัพท์ 0 2 – 617- 6000 Line official : @btsskytrain หรือเช็คสถานะการเดินรถได้ที่ Application ‘BTS SkyTrain’ และFacebook Page : รถไฟฟ้าบีทีเอส

เป็นหนี้บัตรเครดิตหลายใบ จ่ายไม่ไหว ทำไงดี

0

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์
ตอน “เป็นหนี้บัตรเครดิตหลายใบ จ่ายไม่ไหว ทำไงดี”

“อาแปะ” สาธิต บวรสันติสุทธิ์ กูรูปลดหนี้ แนะทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย บัญชีทรัพย์สิน-หนี้สิน แล้วจะกำจัดหนี้ได้ถูกจุด

ที่สำคัญ! ไม่เพิ่มหนี้ใหม่
ขอให้ทุกคนโชคดีแก้หนี้ได้สำเร็จ

สัมผัสบริการแนวทาง New Normal ของ โออาร์

0

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส  COVID-19 ซึ่งสร้างผลกระทบตามมามากกว่าที่คาดคิด  แม้ตอนนี้ สถานการณ์เริ่มดีขึ้น แต่ต้องยอมรับว่า วิถีชีวิตใหม่ หรือ New Normal เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเรียนรู้ และปรับตัวรับกับสถานการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้น

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์  และธุรกิจต่างๆ ของ โออาร์  ทั้งร้านกาแฟ Café Amazon, ร้าน Texas Chicken, ร้านฮั่วเซ่งฮง ติ่มซำ, ร้านค้าสะดวกซื้อ Jiffy, ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto และร้านค้าอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน  การประกาศรักษามาตรฐานบริการต่างๆ ที่มีในช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก ๆ และยังคงไว้ต่อไป  เป็นการแสดงถึงความห่วงใยและใส่ใจต่อความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของลูกค้า คู่ค้า และพนักงานทุกคน 

นำไปสู่การปรับรูปแบบการให้บริการในธุรกิจและร้านค้าต่าง ๆ ด้วยมาตรการ New Normal เพื่อความปลอดภัยที่มากกว่าเดิม และความสบายใจของลูกค้า

มาตรการหลัก ๆ ที่ทาง โออาร์ วางไว้เป้นแนวทางการให้บริการลูกค้า  ขอเรียกง่าย ๆ ว่า  

3 ว.  วัด -เว้น – ไว 

1. วัด  ก่อนเริ่มปฏิบัติงานทุกครั้ง พนักงานต้องล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์  สวมใส่หน้ากากเสมอ  วัดอุณหภูมิให้มั่นใจว่าไม่เกิน 37.5 องศา และวัดซ้ำระหว่างวัน ทุก ๆ 4 ชั่วโมง

ในส่วนของลูกค้าเอง ลูกค้าที่เข้ารับบริการในร้านค้าต่าง ๆ  ต้องมีการวัดอุณหภูมิด้วยเช่นกัน  โดยทาง โออาร์ จะมีจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือเอาไว้ให้บริการตามพื้นที่ต่าง ๆ  นอกจากนั้นก่อนเข้าใช้บริการ ขอความร่วมมือให้ลูกค้าสวมหน้ากาก และ สแกนคิวอาร์โค้ด แอป “ไทยชนะ” เพื่อ เช็คอิน และ เช็คเอาท์  ก่อนและหลังใช้บริการ

2. เว้น  ภายในสถานีบริการน้ำมัน ตลอดจนร้านค้าต่าง ๆ จะจัดให้มีจุดสัญลักษณ์ให้ช่วยกันรักษาระยะห่าง 1 เมตร  ถ้าเราต้องการนั่งทานที่ร้าน ก็จะมีการจัดโต๊ะแบบนั่งแยกที่นั่ง  เว้นระยะห่างจากกัน อย่างน้อย 1.5 เมตร และเมื่อถึงเวลาชำระเงิน ลูกค้าก็สามารถเลือกชำระแบบ QR Payment ผ่านทาง App Blue CONNECT เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเงินโดยตรง (App Blue CONNECT สามารถให้บริการที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station ได้ครบทุกสาขาภายใน เดือนกรกฎาคม 2563)  

นอกจากนี้ ยังมีการทำความสะอาดจุดเสี่ยงสัมผัสต่าง ๆ ทุก 1 ชัวโมง หรือทำความสะอาดทุกครั้ง เมื่อลูกค้าใช้บริการเสร็จ เช่น จุดรับเครื่องดื่ม โต๊ะ เก้าอี้ รวมทั้งบริเวณเคาน์เตอร์,  การเพิ่มความถี่ในการเช็ดล้างความสะอาดห้องน้ำในสถานีฯ เป็นต้น

และ 3.  ไว  พนักงานได้รับการอบรม เพื่อให้บริการดีที่สุดสำหรับลูกค้าทันทีที่เข้าใช้บริการที่สถานีบริการน้ำมันและร้านค้า เช่น สถานีบริการน้ำมัน PTT Station ลูกค้าจะได้รับบริการเสร็จเรียบร้อยในเวลาไม่เกิน 4 นาที  ขณะที่ลูกค้าเอง ก็ไม่ควรอยู่ในสถานีฯ หรือร้านค้า นานเกิน 1 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อผลดีต่อสุขอนามัยของคุณลูกค้าเอง

ทีมเพจบิ๊กเกรียน มีโอกาสได้ไปสัมผัสบริการใหม่รับวิถี New Normal ภายในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station สาขาแยกประชาอุทิศ-ลาดพร้าว  พบว่า ขั้นตอนบริการต่าง ๆ  เป็นไปตามมาตราฐานการให้บริการ ตามแนวทางของ โออาร์ อย่างเคร่งครัด 

ความรู้สึกแรกเลย คือ ความมั่นใจและอุ่นใจในทุกจุดบริการ ตลอดระยะเวลาที่ใช้บริการ  เห็นได้จาก การช่วยกันดูแลกันด้านสุขอนามัยในส่วนของพนักงานเอง  การดูแลรักษาความสะอาดในพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ห้องน้ำ  ตลอดจนพื้นที่ในร้านค้าต่างๆ และ จุดต่างๆ ในสถานีบริการน้ำมันเอง ขณะที่การให้บริการของพนักงาน ก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยคุณภาพบริการ ไม่มีขาดตกบกพร่อง เรียกได้ว่า การ์ดไม่ตก ให้เห็นเลย

บิ๊กเกรียน พบว่า ลูกค้าที่เข้ามารับบริการ ทุกคนเข้าใจ และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามการขอความร่วมมือเป็นอย่างดี เช่น การสวมใส่หน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย  การรักษาระยะห่างทั้งระหว่างเข้าแถวเพื่อรอรับบริการ  หรือ นั่งในจุดที่กำหนด การเช็คอินเช็คเอาท์ ก่อน-หลัง การเข้าใช้บริการ

จนอดชื่นชมในทัศนวิสัยของ โออาร์ ที่ให้คง และรักษาระดับมาตราฐานการบริการไว้เหมือนตอนช่วงโควิด-19 กำลังระบาดหนัก  เพราะการสร้างความรู้สึกรับผิดชอบร่วมกัน ก็เท่ากับการช่วยสร้างทัศนคติที่ดีให้เกิดกับตัวพนักงาน และลูกค้า

เพราะทัศนคติที่ดี ก็เป็นเช่นพลังงานที่จะช่วยเปลี่ยนโลกใบเดิมใบนี้ ให้ดีขึ้นตามแนวทางวิถีชีวิตใหม่ ซี่งต้องอาศัยการร่วมแรงจากทุก ๆ ฝ่ายครับ


ขอบคุณ สถานีบริการน้ำมัน PTT Station  สาขาแยกประชาอุทิศ-ลาดพร้าว ที่เอื้อเฟื้อด้านสถานที่ และให้ข้อมูล

ซีพีเอฟ ไม่ปลดล๊อกม.เฝ้าระวังโรค ASF ในสุกร และ โควิด-19 ในพนักงาน สู่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์วิถีใหม่

0

น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านบริการวิชาการสุกร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ในภาวะปกติบริษัท มีมาตรการเฝ้าระวังโรคในสัตว์และมาตรการสุขอนามัยของบุคลากรที่เคร่งครัดทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำตามมาตรฐานสากล และในช่วงที่มีโรคระบาดบริษัท ยังได้ประกาศมาตรการเสริมและแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดเพิ่มเติมเพื่อป้องกันสัตว์ทั้งโรคระบาด ASF ในสุกร และโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ไม่มีรายงานการติดโรค ASF ในสุกร ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยจะเริ่มผ่อนคลายและไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศมากกว่า 1 เดือนแล้วก็ตาม แต่บริษัท ยังคงใช้มาตรการป้องกันสูงสุดอย่างเคร่งครัด

น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านบริการวิชาการสุกร ซีพีเอฟ

สำหรับมาตรการเสริมเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับพนักงานเลี้ยงสุกรในฟาร์มที่ ซีพีเอฟ ปฎิบัติอย่างเคร่งครัดในสถานประกอบการและฟาร์มเลี้ยงสัตว์ทั่วประเทศ คือ

1.การคัดกรอง เพื่อตรวจวัดอุณหภูมิพนักงานทุกคน ทุกวันก่อนเข้าปฏิบัติงาน หากมีอาการไอ มีน้ำมูก หายใจลำบากและเจ็บคอ ให้หยุดงานแม้ไม่มีไข้

2.การเว้นระยะทางสังคม (Social Distancing) เช่น การเว้นระยะห่าง 2 เมตร งดการเยี่ยมชมฟาร์ม ลดความหนาแน่นโดยการเหลื่อมเวลาทำงาน งดเดินทางเข้าพื้นที่เสี่ยง และการทำงานที่บ้าน (Work From Home)

3.สุขอนามัยส่วนบุคคล การสวมหน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ป้องกัน หมั่นล้างมือ

4.การขนส่งปลอดภัย มีการตรวจอุณหภูมิร่างกายก่อนปฏิบัติงาน สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือก่อนและหลังการจัดส่ง และจัดส่งแบบไม่สัมผัส เป็นต้น

ปัจจุบัน ซีพีเอฟ ยังมีมาตรการเข้มงวดในการป้องกันโรคระบาด ASF ในสุกร สำหรับฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของบริษัทฯ และเกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ของบริษัท ด้วยการห้ามบุคคลภายนอกเข้าฟาร์ม ต้องรู้แหล่งที่มาของสุกร งดให้อาหารสุกรด้วยเศษอาหารจากคน เตรียมแผนฉุกเฉินกรณีกรณีเกิดการระบาด ตามมาตรฐานขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) เข้มงวดสุขอนามัยส่วนบุคคลทั้งก่อนและหลังเข้าฟาร์ม ตลอดจนพาหนะ เป็นต้น

ขณะนี้การปฏิบัติตามแนวทางการเว้นระยะห่าง การสวมหน้ากากอนามัย และการหมั่นล้างมือ และสุขอนามัยส่วนบุคคลอื่นๆ กลายเป็น “วิถีใหม่” ในชีวิตประจำวันของบุคลากรที่ปฏิบัติงานในฟาร์มของบริษัทฯ และมีการปรับกิจกรรมการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี เช่น การประชุมความพร้อมก่อนเริ่มงานในตอนเช้า มีการประชุมกันที่สนามหรือสถานที่โล่งแจ้งแทนห้องประชุมหรือภายในอาคารสำนักงาน การรับประทานอาหารโดยใช้ภาชนะส่วนตัวในที่ที่มีฉากป้องกัน รับประทานเฉพาะอาหารที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น การรักษาระยะห่าง 2 เมตรทุกกิจกรรมที่ทำ และการทำความสะอาดจุดสุมผัสร่วม เป็นต้น

ซีพีเอฟ ยังได้ร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ภายใต้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค ASF ในสุกร ในพื้นที่เสี่ยงของประเทศไทย โดยมีเกษตรกรรายย่อยที่ผ่านการอบรมแล้ว 450 ราย ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างเกราะป้องกันประเทศไทยจากโรคระบาดสัตว์

บทเรียนวิกฤติโควิด

0
บทความ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

รัฐบาลได้ปลดล็อกให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่กลับมาเปิดกิจการได้ตามปกติแล้ว หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย

ผู้คนส่วนใหญ่ได้กลับมาทำงาน ขณะที่เงินเยียวยาที่รัฐให้ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระ ที่อยู่นอกประกันสังคม เดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน (เม.ย.-มิ.ย.) ก็น่าจะหมดลงแล้ว

กลับมาสู่โลกของความเป็นจริง หลายคนต้องกลับมาตั้งหลักชีวิตกันใหม่ บางคนยังตกงาน บางคนยังคงถูกลดเงินเดือนและรายได้

คนตกงานก็ต้องรีบหางานใหม่ ซึ่งไม่ได้หาได้ง่ายๆในช่วงนี้ ดังนั้น มีงานอะไรเข้ามา ให้ยึดเอาไว้ก่อน เพื่อได้เงินมาเลี้ยงชีพ อย่าเลือกงาน ทำไปก่อน ระหว่างมองหางานอื่นๆ เพื่อหาประสบการณ์ และอย่าลืมเปิดโลก เปิดใจ เรียนรู้ทักษะการทำงานใหม่ๆ อย่ายึดติดกับงานเดิมๆ ความเชี่ยวชาญเดิมๆ

คนที่ไม่ตกงาน ก็อย่านิ่งนอนใจ ต้องมองหางาน…หารายได้พิเศษทำเพิ่ม เพื่อเพิ่มพูนรายได้ เพราะยุคสมัยนี้จะทำงานหาเงินทางเดียวไม่ได้แล้ว

ขณะนี้อาชีพขายออนไลน์กำลังเบ่งบาน หลายคนสร้างอาชีพสร้างรายได้จากการขายออนไลน์ในช่วงโควิดเป็นกอบเป็นกำ ทั้งที่ตอนแรกทำเพราะเหตุจำเป็น ทำเพื่อหารายได้เสริม หรือเพื่อฆ่าเวลา แต่สุดท้ายกลับพบขุมทรัพย์กองโตจากการขายสินค้าออนไลน์

ขณะเดียวกันผู้คนในยุคสมัยนี้ ยังนิยมชมชอบและสะดวกสบายกับการช็อปปิ้งซื้อของออนไลน์ ดูจากข้อมูลที่ Priceza ประเทศไทย เปิดเผยออกมาเมื่อเดือนที่แล้ว (พ.ค.63) พบว่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 62 มีมูลค่าสูงถึง 163,300 ล้านบาท

แต่จากวิกฤติโควิด–19 ปีนี้ ได้ผลักให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ประเมินว่า มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 63 อาจพุ่งขึ้นไปถึง 220,000 ล้านบาท

ขณะที่ตลาดอีคอมเมิร์ซของไทย ยังคงมีมูลค่าเพียง 3% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมดในประเทศเท่านั้น เทียบกับจีนซึ่งมีสัดส่วนของมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซสูงถึง 25% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมด, เกาหลีใต้ 22% และสหราชอาณาจักรมีสัดส่วน 22%

นั่นหมายความว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยยังเติบโตจาก 3% ได้อีกมาก!!

อย่าลืมว่า เศรษฐกิจปีนี้ยังมีความเสี่ยง โควิดยังอยู่กับเรา คนที่มีงานทำไม่รู้ว่าจะถูกลดเงินเดือนหรือให้ออกจากงานวันไหน ดังนั้นอย่าประมาท!!

วิกฤติโควิดครั้งนี้ สอนให้รู้คุณค่าของเงินมากขึ้น ใครยังไม่เริ่ม ควรเริ่มตั้งแต่วันนี้วางแผนการเงินจดบันทึกรายรับรายจ่าย เพิ่มรายได้-ลดรายจ่าย คาถา “ออมก่อนใช้” ใช้ได้ดีเสมอ แล้วอย่าลืมจัดสรรเงินออมไปลงทุน ให้เงินงอกเงย

ครั้งหน้า “คุณนายพารวย” จะพาไปรู้จัก “แม่บ้านเงินล้าน” ที่เข้าโครงการให้ความรู้ด้านการเงิน Happy Money Happy Retirement ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเป็นกำลังใจกันว่า คนที่มีรายได้เพียงค่าแรงขั้นต่ำ เขามีเงินล้านได้อย่างไร โปรดติดตาม!!

โลกละลายเพราะภัยร้ายโลกร้อน เตือนเมืองใหญ่ทั่วโลกเสี่ยงถูกน้ำท่วม

0

โลกละลายเพราะภัยร้ายโลกร้อน!!! ล่าสุด เมื่อช่วงปลายปี 2562 คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) ได้เปิดเผยไว้ในรายงานพิเศษว่าด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับ ภาวะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง โดยระบุว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโดยน้ำมือมนุษย์ กำลังส่งผลร้ายแรงต่อมหาสมุทร ทั้งในเรื่องของระดับน้ำทะเลสูงขึ้น น้ำแข็งละลาย และส่งผลต่อสรรพชีวิตในทะเล

รายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า แผ่นน้ำแข็งของกรีนแลนด์กำลังละลายอย่างต่อเนื่อง โดยหากน้ำแข็งของกรีนแลนด์ละลายทั้งหมด น้ำทะเลอาจสูงขึ้นถึง 6 เมตร และระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นอีก 1.1 เมตรภายในปี 2100 หรืออีก 81 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้พื้นที่ต่ำตามแนวชายฝั่งต้องเผชิญกับน้ำท่วมอย่างน้อยปีละครั้งภายในปี 2050 เมืองใหญ่ทั่วโลกอย่าง จาการ์ตา ธากา เชนไน มุมไบ เซี่ยงไฮ้ ลอนดอน นิวยอร์ก ฯลฯ หรือกระทั่ง กรุงเทพฯ เสี่ยงถูกน้ำท่วม นอกจากนี้ ยังคาดการณ์กันอีกด้วยว่า น้ำแข็งในพื้นที่ต่างๆ ก็จะยังคงละลายเช่นเดียวกับธารน้ำแข็งอัลไพน์ของสวิตเซอร์แลนด์ โดยจากบันทึกของนักวิทยาศาสตร์ที่เริ่มติดตามธารน้ำแข็งในภูมิภาคนี้มาตั้งแต่ปี 2436 ระบุว่า บางจุดสูญเสียปริมาณน้ำแข็งไปแล้วถึงร้อยละ 90 และระบุเช่นกันว่า เป็นไปได้อย่างยิ่งที่ธารน้ำแข็งอัลไพน์อาจหายไปทั้งหมดในช่วงปลายศตวรรษนี้หากไม่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แม้แต่เทือกเขาแอลป์ก็อาจจะสูญเสียมวลน้ำแข็งอย่างน้อยครึ่งหนึ่งภายในปี 2643

ความสูญเสีย โดยเฉพาะในรูปแบบของภัยพิบัติ ที่มีสาเหตุสืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือโลกร้อนไม่ใช่สถานการณ์เกินจริงที่พบได้เพียงในตำนาน งานเขียน หนังสือนิยาย หรือเป็นภาพที่จำลองขึ้นในภาพยนตร์ แต่กำลังปรากฏให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถระบุตัวเลขวันเวลาที่จะเกิดภัยพิบัติจากจากปรากฏการณ์นี้ได้ชัดเจนขึ้นทุกปี

ซีพีเอฟ สร้างเครือข่ายชุมชน ดูแลผืนป่า สร้างความมั่งคงทางอาหาร

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า วันที่ 26 มิ.ย. 2563 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และชุมชนรอบพื้นที่ อนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกป่าเพิ่มเติมในพื้นที่เขาพระยาเดินธง จ.ลพบุรี ได้จัดกิจกรรมร่วมกันติดตามดูแลในกิจกรรมซ่อมฝายชะลอน้ำ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ฤดูฝน

โครงการ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” เข้าสู่ปีที่ 5 ของระยะที่ 1 ช่วยฟื้นฟูและพลิกผืนป่าแห้งแล้งเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ สร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชน ช่วยกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ บรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อน พร้อมเดินหน้าสร้างเครือข่ายชุมชนรอบพื้นที่เขาพระยาเดินธง ต.พัฒนานิคม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี เพื่อปกป้องผืนป่าและคืนสมดุลธรรมชาติอย่างยั่งยืน

ตามความร่วมมือ 3 ประสาน โดยภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศ ในโครงการ “ ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” เข้าสู่ปีที่ 5 ของโครงการระยะที่ 1 (ปี 2559-2563)

นายดวงมนู ลีลาวณิชย์ รองประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์ ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง เปิดเผยว่า กิจกรรมในวันนี้ เป็นการรวมพลังของชุมชนรอบพื้นที่เขาพระยาเดินธง เพื่อซ่อมแซมฝายชะลอน้ำในพื้นที่ของโครงการฯ แสดงให้เห็นความสามัคคีและการตระหนักรู้ของคนในพื้นที่ ที่มีส่วนร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ยังประโยชน์กับชุมชนอย่างยั่งยืน

“สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ชุมชนในพื้นที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบในการมีส่วนร่วมดูแล อนุรักษ์ และฟื้นฟูผืนป่าในพื้นที่บ้านเกิดของตัวเอง เกิดจิตสำนึกหวงแหนป่า เพื่อส่งมอบทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ให้รุ่นลูกหลานต่อไป ” รองประธานคณะทำงานฯ กล่าว

ว่าที่ร้อยตรี ทรงพล แป้นแก้ว นายอำเภอพัฒนานิคม กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงาน และนำชุมชนรอบพื้นที่เขาพระยาเดินธง ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรม ว่า ผืนป่าเขาพระยาเดินธง เป็นผืนป่าสำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศ เป็นป่าต้นน้ำของภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ทำให้มั่นใจได้ว่าเป็นโครงการที่มีความยั่งยืน ขอขอบคุณภาคเอกชนที่ร่วมรับผิดชอบต่อสังคม และยิ่งน่ายินดีที่ชุมชนตระหนักรู้และเห็นความสำคัญของการช่วยกันปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่

นายชาตรี รักษาแผน ผู้อำนวยการส่วนภาคีเครือข่ายฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว สำนักส่งเสริมการปลูกป่า กรมป่าไม้ กล่าวว่า โครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง จ.ลพบุรี สามารถเป็นต้นแบบการพัฒนางานด้านป่าไม้และการฟื้นฟูป่าของประเทศไทย ด้วยรูปแบบการปลูกป่า 4 รูปแบบที่ถูกนำมาใช้อย่างเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และปีนี้เข้าสู่ปีที่ 5 ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมของผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้นจากเดิม ทั้งพันธุ์พืชและสัตว์ป่ากลับคืนสู่พื้นที่ นอกจากนี้ ชุมชนที่อยู่รอบผืนป่าของโครงการฯ ได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาผืนป่าแห่งนี้

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ในช่วง 5 ปีของโครงการระยะที่ 1 ซึ่งมีการติดตามดูแลและประเมินผลความสำเร็จตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง สภาพของผืนป่าแห่งนี้ มีความหลากหลายของพันธุ์พืชและสัตว์นานาชนิด เป็นแหล่งเรียนรู้ให้แก่ประชาชนทั่วไปและสถานศึกษาเกี่ยวกับการฟื้นฟูป่า ต้นไม้หลากหลายชนิดจากต้นกล้าเล็กๆ เติบโตขึ้น สามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยบรรเทาปัญหาสภาวะโลกร้อน โดยในปี 2562 ปริมาณการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ จากการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ 39,690 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

นอกจากนี้ ซีพีเอฟส่งเสริมกิจกรรมการมีส่วนร่วมของชุมชนรอบพื้นที่เขาพระยาเดินธง ดำเนินโครงการยุทธศาสตร์สร้างสุข ปลูกผักปลอดสาร (ปี 2562 -2566 ) มีเป้าหมายสร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชน โดยส่งเสริมให้คนในชุมชนปลูกผักปลอดสารไว้บริโภคเองและเก็บเมล็ดพันธุ์สำหรับการเพาะปลูกและแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านชุมชนใกล้เคียง และอนุบาลปลาลงแหล่งน้ำสาธารณะ ขณะเดียวกัน โครงการดังกล่าวสร้างจิตสำนึกให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมดูแลรักษาป่าและอยู่กับป่าอย่างยั่งยืน

เยี่ยมชมซีพีเอฟกรีนฟาร์ม ฟาร์มหมูรักษ์โลก

0

ด้วยภาพจำทั้งกลิ่นและสภาพแวดล้อมของฟาร์มที่ไม่สู้ดีนัก กลายเป็นหนึ่งในข้อจำกัดที่ทำให้การสร้างฟาร์มหมูเป็นเรื่องยาก การตั้งฟาร์มสักแห่ง ต้องผ่านการทำประชาพิจารณ์ จากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะชุมชนรอบข้างเสียก่อน ซึ่งจะผ่านได้ ก็ต่อเมื่อชุมชนให้การยอมรับและฟาร์มต้องมีการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมและมีระบบการจัดการฟาร์มที่ดีเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนรอบข้างได้

วันนี้มีโอกาสได้เข้าชมความสำเร็จของฟาร์มหมูที่สามารถร่วมกับชุมชนรอบข้างได้อย่างกลมกลืน จากการบริหารจัดการฟาร์มที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ฟาร์มสุกรโคกอุดม หมู่บ้านบุสูง ต.นาดี อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ

ฟาร์มแห่งนี้เป็นโมเดลความสำเร็จที่น่าถ่ายทอด จากความไม่เข้าใจและการปิดกั้นของชุมชน  สู่การเปิดใจและทำงานร่วมกันอย่างกลมเกลียว จากคำมั่นสัญญาของฟาร์มที่มีต่อชุมชนว่า จะร่วมพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการบริหารฟาร์มภายใต้มาตรฐานการผลิตที่เป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานฟาร์มสีเขียว หรือกรีนฟาร์ม  (CPF  Green Farm) ที่บริษัทยกระดับฟาร์มเลี้ยงหมูอย่างต่อเนื่อง

จนถึงวันนี้เป็นเวลา 10 ปีแล้ว ที่ฟาร์มโคกอุดม กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนแห่งนี้ เพราะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ทั้งการเดินหน้าฟาร์มสีเขียวแบบเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การวางระบบฟาร์มปิด เลี้ยงหมูในโรงเรือนระบบปิดที่ทำความเย็นด้วยการระเหยของน้ำ หรือ ระบบอีแวป (EVAP : Evaporative Cooling System) ควบคู่กับการใช้ระบบบำบัดด้วยไบโอแก๊ส ที่ช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์และแมลงวันที่อาจจะส่งผลกระทบต่อชุมชนรอบข้างแล้ว ระบบนี้ยังได้ก๊าซมีเทนเป็นผลพลอยได้ มาผลิตไฟฟ้าเป็นพลังงานสะอาดทดแทนเพื่อใช้ภายในฟาร์ม นอกจากนี้ ยังนำระบบฟอกอากาศท้ายโรงเรือนมาใช้อย่างได้ผล ทำให้ไม่มีกลิ่นเล็ดรอดไปรบกวนชุมชน ขณะเดียวกัน ก็ปรับภูมิทัศน์โดยรอบฟาร์มให้สวยงามน่าอยู่ จนดูแทบไม่ออกว่าที่นี่คือฟาร์มหมู

เรียกว่านอกจากจะไร้กลิ่น ไร้แมลงรบกวน ทำให้ฟาร์มอยู่กับชุมชนได้อย่างยั่งยืนแล้ว ระบบทั้งหมดที่กล่าวมายังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีผลต่อภาวะโลกร้อนด้วย ที่สำคัญน้ำในกระบวนการผลิตยังถูกนำเข้าระบบบำบัดตามมาตรฐาน ที่ยังคงมีแร่ธาตุที่เหมาะสมกับพืช จึงสามารถนำกลับไปใช้เป็นน้ำปุ๋ย ที่แบ่งปันให้กับชุมชนรอบข้าง เพื่อใช้ในการปลูกผักสวนครัว ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง สวนผลไม้ ฯลฯ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร

ขณะที่การบริหารจัดการฟาร์มมาตรฐาน เดินหน้าอย่างเป็นระบบ ซีพีเอฟและชาวชุมชนก็ร่วมกันพัฒนาหมู่บ้านให้เข้มแข็ง ด้วยการนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี และบุคลากรของบริษัท มาร่วมพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง เน้นทำงานร่วมกับสมาชิกในชุมชน ทั้งด้านการเกษตร การแปรรูปสินค้า รวมทั้งการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ สร้างความยั่งยืนให้กับทุกคนในชุมชน

ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของฟาร์มหมูที่กลายเป็นสมาชิกของชุมชน และสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข  จากการผนึกกำลังและสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับชุมชนของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฟาร์มของบริษัทดำเนินการเช่นเดียวกัน ไม่เพียงในฟาร์มหมู ยังต่อยอดไปถึงฟาร์มไก่เนื้อ ฟาร์มไก่ไข่ และฟาร์มกุ้ง เพื่อให้ “กรีนฟาร์ม” เป็นภาพสะท้อนถึง “ความเป็นมิตร” ที่มีต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม

โชคดีที่เราอยู่ในยุคแห่งการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่ ดังนั้นเรื่องการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การเลี้ยงสัตว์เป็นมิตรต่อชุมชน และไม่ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม จึงไม่ใช่ยาก ที่สำคัญทั้งบริษัทและเกษตรกรต่างตระหนักดีในเรื่องนี้ เพื่อให้ฟาร์มอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

ที่มา สื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ CPF

ขอชาวนาทำนาปีหลังหมดภาวะฝนทิ้งช่วง กลางก.ค. กรมชลฯ ยันบริหารจัดการน้ำเต็มที่ให้เพาะปลูกได้ตามเป้า

0

นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ ที่ประกอบด้วย กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมทรัพยากรน้ำ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกรมชลประทาน เตือนทุกฝ่ายใช้น้ำอย่างประหยัด เพราะตั้งแต่ ปลาย มิ.ย.-กลาง ก.ค.นี้ จะมีปริมาณฝนตกน้อย เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง หรือสถานการณ์แล้งในหน้าฝน

ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน


ล่าสุด ข้อมูล ณ วันที่ 17 มิ.ย.ผลการเพาะปลูกข้าวนาปี ทั้งประเทศมีการทำนาปีไปแล้วประมาณ 4.43 ล้านไร่ หรือ 26% ของแผนการปลูกข้าวทั้งหมดที่วางไว้ 16.79 ล้านไร่ น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 14.87 ล้านไร่ , ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทำนาแล้ว 1.88 ล้านไร่ คิดเป็น 23% ของแผนการปลูกข้าวที่วางไว้ 8.10 ล้านไร่ หรือน้อยกว่าปีก่อน 6.89 ล้านไร่ ภาคเหนือ ทำนาแล้ว 3.11 แสนไร่ หรือ 13.13% ของแผนการเพาะปลูกข้าว 2.37 ล้านไร่ ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำนาได้ 1.757 ล้านไร่ หรือ 50.46% จากแผนเพาะปลูกข้าว 3.48 ล้านไร่ ,ภาคกลางทำนาแล้วประมาณ 1,000 ไร่ หรือประมาณ 8.28% ของแผนเพาะปลูกข้าว 10,000 ไร่ , ภาคตะวันออก ทำนาแล้วประมาณ 4.59 แสนไร่ หรือประมาณ 49.75% ของแผนเพาะปลูกข้าว 9.2 แสนไร่ , ภาคตะวันตก ทำนาแล้วประมาณ 1,000 ไร่ หรือประมาณ 0.11% ของแผนเพาะปลูกข้าว 1.26 ล้านไร่ และภาคใต้ ทำนาแล้วประมาณ 1.6 หมื่นไร่ หรือประมาณ 2.57% ของแผนเพาะปลูกข้าว 6.4 แสนไร่


สำหรับกรณีที่เกษตรกรยังไม่ได้ทำนาปี ขอความร่วมมือให้เริ่มทำนาปีช่วงหลังกลางเดือน ก.ค.เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีฝนตกชุก และมีปริมาณน้ำเพียงพอในพื้นที่ จึงค่อยทำการเพาะปลูก เพราะกรมชลประทาน ได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการน้ำ ในภาวะที่เขื่อนต่าง ๆ มีน้ำอยู่ในเกณฑ์น้อย เน้นส่งน้ำเพื่อการ อุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศ เป็นหลัก ด้านการเกษตรจะใช้ปริมาณน้ำท่าในแม่น้ำ และลำน้ำสาขาให้เกิดประโยชน์สูงสุด เน้นเก็บกักน้ำในอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้มีปริมาณน้ำสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งหน้าอย่างไม่ขาดแคลน


ด้านนายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำในเขื่อน ปี 2563 มีปริมาตร 30,765 ล้าน ลบ.ม. หรือ 43% ของความจุอ่างฯ และมีปริมาตรน้ำที่ใช้การได้เพียง 7,484 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งปริมาตรน้ำน้อยกว่าปีก่อน 5,563 ล้าน ลบ.ม.ที่มีปริมาตรน้ำในเขื่อน 36,328 ล้าน ลบ.ม. หรือ 51% ของความจุอ่างฯ มีปริมาตรน้ำที่ใช้การได้ 12,786 ล้าน ลบ.ม. หรือ 27% ของความจุอ่างฯ

“การทำนาในปีนี้ทำได้น้อยกว่าปีก่อนค่อนข้างมาก เพราะปริมาณน้ำต้นทุนมีน้อย และกรมชลประทานเก็บน้ำสำรองไว้เพื่อการอุปโภคบริโภค ส่วนการทำการเกษตรสนับสนุนให้ใช้น้ำฝน ขณะนี้ฝนเริ่มทิ้งช่วง จึงขอความร่วมมือจากชาวนาและเกษตรกร ให้ชะลอทำการเกษตรจนกว่าจะมีฝนใหม่ลงมา เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อพืชเกษตร ขณะที่ปริมาณข้าวที่ปลูกได้ทั่วประเทศน้อยกว่าแผนมาก และหวังว่าหลังฝนทิ้งช่วง ชาวนาจะสามารถทำนาได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 16.79 ล้านไร่”


นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า จากการติดตามสภาพฝนที่ตกในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำพบว่าปริมาณฝนที่ตกในลุ่มน้ำปิง วัง ยม และน่าน ยังอยู่ในเกณฑ์ไม่มากนัก ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาน้อยตามไปด้วย ซึ่งตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา (17-23 มิ.ย.2563) 4 เขื่อนหลัก มีน้ำไหล ลงอ่างฯ รวมกันเพียง 119.94 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยน้ำไหลลงอ่างฯ รวมกันควรจะอยู่ที่ประมาณ 197 ล้าน ลบ.ม. แยกเป็น เขื่อนภูมิพล มีน้ำไหลลงอ่างฯ 5.44 ล้าน ลบ.ม. มีน้ำใช้การได้ 222 ล้าน ลบ.ม. หรือ 2% ของน้ำใช้การได้ เขื่อนสิริกิติ์ มีน้ำไหลลงอ่างฯ 101.19 ล้าน ลบ.ม. มีน้ำใช้การได้ 508 ล้าน ลบ.ม. หรือ 8% ของน้ำใช้การได้ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีน้ำไหลลงอ่างฯ 8.96 ล้าน ลบ.ม. มีน้ำใช้การได้ 150 ล้าน ลบ.ม. หรือ 17% ของน้ำใช้การได้ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีน้ำไหลลงอ่างฯ 4.35 ล้าน ลบ.ม. มีน้ำใช้การได้ 106 ล้าน ลบ.ม. หรือ 11% ของน้ำใช้การได้ นับได้ว่าอยู่ในเกณฑ์น้อยมาก