Home Blog Page 422

ซีพีเอฟ เดินหน้า “ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” เฟสสอง รักษาระบบนิเวศทางทะเล

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าโครงการ”ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้องป่าชายเลน” ระยะที่สอง ปี 2562-2566 จับมือกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อนุรักษ์ ฟื้นฟู ระบบนิเวศป่าชายเลนและชายฝั่งทะเล พื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าพันท้ายนรสิงห์ ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร หลังผลสำเร็จของโครงการระยะที่ 1 เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ สัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา ในพื้นที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ กล่าวว่า ภายใต้วิสัยทัศน์ของบริษัทฯ สู่การเป็น“ครัวโลก” ซีพีเอฟมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่กับให้ความสำคัญในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทางของวัตถุดิบในกระบวนการผลิตอาหาร โดยได้ดำเนินโครงการเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลัก คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่ สามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศไทยมากกว่า 1 หมื่นไร่ ผ่านการดำเนินโครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง 5,971 ไร่ โครงการ ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน 2,388 ไร่ และโครงการซีพีเอฟรักษ์นิเวศ ปลูกต้นไม้ในสถานประกอบการทั่วประเทศรวม 1,720 ไร่

“ เป้าหมายของโครงการด้านสิ่งแวดล้อมในระยะต่อไป คือ มีส่วนร่วมลดภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้ เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ปรับปรุงสภาพป่าชายเลนที่เสื่อมโทรมให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหารของชุมชน และช่วยรักษาสมดุลระบบนิเวศ
ทางทะเลและชายฝั่ง” นายวุฒิชัย กล่าว

ทั้งนี้ ปี 2562-2566 เป็นการสานต่อโครงการ”ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” ระยะที่หนึ่ง ซึ่งบริษัทฯ ร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อนุรักษ์ ปกป้อง และฟื้นฟู ความหลากหลายทางชึวภาพของระบบนิเวศบนบกและทะเล ที่ ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร บนเนื้อที่รวม 266 ไร่ เป็นแปลงปลูกป่าต่อเนื่องจากแปลงที่มีการอนุรักษ์และฟื้นฟูในระยะแรก (ปี 2557-2561) ซึ่งซีพีเอฟร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) และชุมชน ฟื้นฟูป่าชายเลนในพื้นที่ ต.บางหญ้าแพรก ปลูกป่าใหม่ 104 ไร่ ดูแลและอนุรักษ์ป่าเดิม 500 ไร่ โดยในช่วง 5 ปีของโครงการระยะแรกสามารถอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนไปแล้วรวม 2,388 ไร่ ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ 5 จังหวัด คือ ระยอง สมุทรสาคร สงขลา พังงาและชุมพร

นายวุฒิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือในลักษณะ 3 ประสาน โดยภาครัฐ เอกชน และชุมชน ในโครงการ ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้องป่าชายเลน ช่วยฟื้นฟูสมดุลระบบนิเวศป่าชายเลน 2,388 ไร่ อาทิ ป่าชายเลนที่ ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร หลังการอนุรักษ์และฟื้นฟูพบว่ามีการตกตะกอนของชั้นดินสูงขึ้น ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง ผืนป่าที่กลับมาอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน ปริมาณสัตว์น้ำกลับเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น เช่น ปูแสม ปูก้ามดาบ หอยแครง หอยเสียบ หอยกระปุก เป็นต้น รวมทั้ง
สัตว์ที่หายไปจากพื้นที่เป็นเวลาหลายปี เช่น หอยพิม ชุมชนโดยรอบสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ได้รับการฟื้นฟู

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังได้สนับสนุนกิจกรรมที่มีเป้าหมายสร้างความเข้มแข็งของชุมชน โดยมอบเงินสำหรับเป็นกองทุนหมุนเวียนที่ดูแลและบริหารโดยชุมชนเอง สามารถนำไปส่งเสริมด้านอาชีพของชาวบ้านในชุมชนให้มีรายได้ และได้พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวิถีชุมชน 2 พื้นที่ คือ เส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร และเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ต. ปากน้ำประแส อ.แกลง จ.ระยอง เพื่อให้ชุมชนมีรายได้จากการท่องเที่ยวและนำเงินส่วนหนึ่งเข้ากองทุนฯ ใช้ในการอนุรักษ์และดูแลป่าอย่างยั่งยืน

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้นต่อเนื่อง หลังคลายล็อคเฟส 3-4

0

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จากการสำรวจความเห็นประชาชน 2,241 คนทั่วประเทศว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 หลังจากที่รัฐบาลได้ผ่อนคลายให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้ในเฟสที่ 3-4 รวมถึงการที่รัฐบาลออกมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งมาตรการด้านการเงินและการคลัง เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.63 อยู่ที่ระดับ 49.2 เพิ่มขึ้นจาก 48.2 ในเดือนพ.ค.63 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 แต่ยังอยู่ในช่วงของระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ทำการสำรวจมาในรอบ 21 ปี 9 เดือนตั้งแต่เดือนต.ค.41 เป็นต้นมา ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน อยู่ที่ 33.2 เพิ่มขึ้นจาก 32.2 และดัชนีความเชื่อมันผู้บริโภคในอนาคต อยู่ที่ 56.8 เพิ่มขึ้นจาก 55.7 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 41.4 เพิ่มจาก 40.2 ดัชนีความเชื่อมันเกี่ยวกับโอกาสหางาน อยู่ที่ 47.6 เพิ่มขึ้น 46.6 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 58.6 เพิ่มจาก 57.7

ดัชนีความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น มาจากการที่รัฐบาลออกมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3 และ 4 ต่อเนื่อง การยกเลิกคำสั่งห้ามออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) เพื่อให้กิจการ ร้านค้า กลับมาดำเนินธุรกิจได้ รวมทั้งมาตรการดูแลเยียวยาผลกระทบจากการสถานการณ์โควิด-19

อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลของประชาชน เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและว่างงานในอนาคตจากผลกระทบโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป ทั้งนี้ คาดว่าผู้บริโภคจะยังชะลอการใช้จ่ายอีกอย่างน้อย 3-6 เดือน จนกว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลง และเปิดกิจกรรมเศรษฐกิจและธุรกิจอย่างกว้างขวาง รวมถึงตวามกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง ที่มีจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ และปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ

คาดว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 จะติดลบหนักสุดที่ 10-15% เพราะตรงกับช่วงล็อกดาวน์ ทำให้ธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทั้งด้านยอดขายสินค้า ยอดการใช้จ่ายของประชาชน และการท่องเที่ยวน้อยมาก ทำให้ศูนย์ คาดว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้ น่าจะติดลบมากถึง 8-10% และจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 64 หากการระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย

เมืองพัทยา ติดประกาศห้ามใช้อาคารบ้านสุขาวดี หลังเสียหายจากเพลิงไหม้

0

พร้อมประสานโยธาธิการจังหวัดตรวจสอบโครงสร้างแล้ว

กรณี เกิดเพลิงไหม้ อาคารพุทธบารมี บ้านสุขาวดี เลขที่ 228 ม.2 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

มูลค่าความเสียหายของอาคาร คาดประมาณ 200 ล้านบาท ขณะที่ทรัพย์สินภายในจำนวนมากนั้นยังไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าได้

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่​ 2 กรกฎาคม​ พ.ศ.2563 เจ้าหน้าที่สำนักบรรเทาสาธารณภัยเมืองพัทยา ต้องฉีดน้ำเลี้ยงบริเวณชั้นใต้ดินของอาคารตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เพลิงลุกไหม้ขึ้นมาอีก

ต่อมา​ ช่วงบ่าย นายเกียรติศักดิ์ คงเขียว นายตรวจเขต สำนักการช่างเมืองพัทยา นำประกาศเมืองพัทยา เรื่อง เขตเพลิงไหม้อาคาร (บ้านสุขาวดี) ไปติดไว้ด้านหน้าอาคาร

ระบุว่า ตามที่ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นบริเวณบ้านสุขาวดี บ้านเลขที่ 228 ม.2 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นอาคาร ค.ส.ล.ชั้นเดียว (ห้องใต้ดิน) ขนาด 65.50×100 เมตร จำนวน 1 หลัง

อาคารดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นเขตเพลิงไหม้​ ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารมาตรา 56และมาตรา 57

ห้ามผู้ใดกระทำการในเขตเพลิงไหม้และบริเวณติดต่อกันภายในระยะ 30 เมตร โดยรอบบริเวณที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ ห้ามมิให้ผู้ใดก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอนหรือเคลื่อนย้ายอาคารภายใน 45 วัน นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุเพลิงไหม้

หากมีการฝ่าฝืนจะมีความผิด ตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 และประกาศคำสั่งแบบ ค.23 ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารมาตรา 46 วรรคหนึ่ง กรณีอาคารมีสภาพหรือดารใข้ที่เป็นภยันตรายต่อสุขภาพ ชีวิตร่างกายและทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย

ซีพีเอฟ เดินหน้าจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน มุ่งสู่แนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน

0
กิตติ หวังวิวัฒน์ศิลป์ ประธานคณะทำงานบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ซีพีเอฟ

นายกิตติ หวังวิวัฒน์ศิลป์ ในฐานะประธานคณะทำงานบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)​ หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟมีนโยบายและแนวทางปฏิบัติด้านบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน เพื่อที่จะร่วมขับเคลื่อนการลดปริมาณขยะพลาสติกจากกระบวนการผลิตและบริโภคอาหาร บนพื้นฐานแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนตลอดห่วงโซ่ ยึดหลัก Reduce-Reuse-Recycle มาใช้ตั้งแต่เริ่มออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ พยายามลดการใช้พลาสติกในแต่ละบรรจุภัณฑ์มากที่สุด ควบคู่กับการคำนึงถึงคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร หรือ เลือกใช้พลาสติกที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้ และวัสดุที่เอื้อต่อการนำกลับมาใช้ใหม่ โดยมีเป้าหมายที่ให้มีวัสดุเหลือทิ้งหลังการบริโภคให้น้อยที่สุด

ปัจจุบัน บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารของซีพีเอฟส่วนใหญ่เป็นพลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Recyclable plastic) ส่วนที่เหลือ เป็นพลาสติกนำกลับมาใช้ซ้ำได้ (Reusable plastic) และพลาสติกที่ย่อยสลายได้ คิดเป็นร้อยละ 99.99 ของปริมาณวัสดุที่ใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟยังเดินหน้าศึกษาและออกแบบบรรจุภัณฑ์อาหารที่ใช้วัสดุชนิดเดียว (mono material) ตลอดทั้งชิ้น เพื่อให้สามารถนำบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้สะดวกขึ้น โดยไม่ปล่อยให้เป็นของเหลือทิ้งสู่สิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษที่ผ่านมา แต่ขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นภายหลังจากการบริโภคถูกนำกลับเข้ามาใช้ประโยชน์ใหม่เพียงร้อยละ 20 เท่านั้น ส่วนใหญ่ถูกทิ้งปนอยู่กับขยะทั่วไป สะท้อนให้เห็นว่า แม้ว่า บรรจุภัณฑ์เป็นพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลได้ แต่การนำกลับมาใช้ใหม่ไม่ว่าจะเป็น recycle และ reuse จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนรวมทั้งผู้บริโภค ในการลดการใช้พลาสติก และคัดแยกประเภทขยะพลาสติกให้ถูกวิธีก่อนทิ้ง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดวงจรการจัดการขยะที่สมบูรณ์ และเกิดการใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด

โครงการหนึ่งที่ซีพีเอฟได้ดำเนินการเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมให้ประชาชนคัดแยกขยะก่อนทิ้ง โดย ร้าน ซีพี เฟรชมาร์ท ได้ร่วมกับ GEPP ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพไทยที่เชี่ยวชาญในการทำระบบจัดการขยะ ดำเนินโครงการ “CP Fresh Mart มาเก็บ” ในเดือนตุลาคม ปี 2562 ที่ผ่านมา มีเป้าหมายสร้างชุมชนต้นแบบในการรีไซเคิลขยะ โดยส่งเสริมให้ประชาชนที่อยู่รอบๆ ร้านซีพี เฟรชมาร์ทเข้ามีส่วนร่วมในการคัดแยกขยะให้ถูกต้อง โดยให้ผู้บริโภคนำขยะพลาสติก 50 ชิ้นมาแสดงต่อพนักงานเพื่อรับไข่ไก่สด 10 ฟอง โดยนำร่องกับร้านซีพี เฟรชมาร์ทในกรุงเทพมหานครจำนวน 8 สาขา จากการดำเนินโครงการในระยะเวลาร่วม 6 เดือน สามารถรวบรวมขยะพลาสติกนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ประมาณ 180,000 ชิ้น เป็นความพยายามที่ช่วยกันลดปริมาณขยะในชุมชน และนำไปสู่การจัดการขยะพลาสติกที่สอดคล้องกับแนวทางของระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนต่อไป

การจัดการพลาสติกที่มุ่งสู่แนวทาง “เศรษฐกิจหมุนเวียน”​ ไม่เพียงเป็นหนทางที่จะช่วยสนับสนุนการใช้พลาสติกหมุนเวียนแล้ว ยังนับเป็นโอกาสทางธุรกิจในการเปลี่ยนไปสู่ทิศทางการค้าแบบยั่งยืน ส่งเสริมการปกป้องสิ่งแวดล้อม และช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับห่วงโซ่อาหารของมนุษยชาติควบคู่กัน

ซีพีเอฟ เพิ่มการผลิตไข่ไก่จากแม่ไก่เลี้ยงแบบไม่ใช้กรง รองรับความต้องการลูกค้า

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด หรือ ซีพีเอฟ ยกระดับมาตรฐานการผลิตไข่ไก่รับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคที่สนใจอาหารที่คำนึงหลักสวัสดิภาพสัตว์ ขยายการผลิตไข่ไก่จากแม่ไก่ที่เลี้ยงแบบปล่อยอิสระในโรงเรือนระบบปิด

นายสมคิด วรรณลุกขี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัท มีจุดยืนอย่างชัดเจนในการผลิตอาหารด้วยความรับผิดชอบ เพื่อขับเคลื่อนการเลี้ยงสัตว์มีจริยธรรม ตามนโยบายด้านสวัสดิภาพสัตว์​ (Animal Welfare Policy) ที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2561 ยกระดับมาตรฐานอาหารปลอดภัยให้กับคนไทยอย่างต่อเนื่อง ตอบสนองแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคที่ตระหนักถึงอาหารที่มาจากกระบวนการผลิตที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ซีพีเอฟเดินหน้าขยายความสำเร็จเพิ่มปริมาณการผลิตไข่ไก่จากแม่ไก่ไข่ที่เลี้ยงแบบปล่อยอิสระในโรงเรือนระบบปิด หรือ แบบไม่ใช้กรง 10 ล้านฟองต่อปีภายในปี 2563

“ซีพีเอฟกำลังมุ่งไปสู่ระบบการผลิตไข่ไก่ ที่คำนึงถึงด้านสวัสดิภาพสัตว์อย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนสู่การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของสัตว์และช่วยยกระดับมาตรฐานอาหารปลอดภัยตามหลักสากลให้กับผู้บริโภค และการขยายการผลิตไข่ไก่ระบบเคจฟรี สะท้อนถึงความต้องการของคนไทยที่เติบโตขึ้นอีกด้วย และตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสัตว์ตามแนวปฏิบัติสากล ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของอาหาร”​ นายสมคิดกล่าว

ในปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่จากการเลี้ยงแบบปล่อยอิสระ -เคจฟรี (CP Selection Cage Free Egg) ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากผู้บริโภค โรงแรม และร้านอาหาร ชั้นนำ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ รวมทั้ง ร้านเจ๊ไฝ สตรีทฟู้ดชื่อดังเลือกใช้ไข่ไก่เคจฟรี ของซีพีเอฟ เสิร์ฟลูกค้า โดยเฉพาะ “ไข่เจียวปู” เมนูที่มีชื่อเสียงของร้าน นอกจากนี้ ไข่ไก่เคจฟรี ซีพี ยังได้รับการคัดเลือกเป็นสินค้าไข่ไก่ที่วางจำหน่ายของห้างดองกิ ดองกิ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่เน้นจำหน่ายอาหารคุณภาพสูง มาจากกระบวนการผลิตมาตรฐานสากล

ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่เคจฟรีของซีพีเอฟ มาจากแม่ไก่ไข่สายพันธุ์พิเศษจากอเมริกา เลี้ยงแบบปล่อยอิสระในโรงเรือน ควบคุมกระบวนการผลิตด้วยคอมพิวเตอร์ โรงเรือนระบบปิดขนาดใหญ่ที่ควบคุมอุณหภูมิและการระบายอากาศให้เหมาะสมตลอดเวลา ได้เลี้ยงแม่ไก่ที่ความหนาแน่น 7 ตัวต่อตารางเมตร ซึ่งดีกว่ามาตรฐานสากลกำหนดไว้ และใช้เทคโนโลยีโรงฟักลูกไก่ไข่ที่ทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีโรงคัดไข่ที่ทันสมัย ถูกสุขอนามัย ตามมาตรฐานการส่งออก

ซีพีเอฟเริ่มนำร่องการเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อยอิสระในโรงเรือนระบปิด ให้ผลผลิตรุ่นแรกตั้งแต่ปี 2562 ที่ฟาร์มวังสมบูรณ์​ จังหวัดสระบุรี เป็นฟาร์มต้นแบบ โดยเลี้ยงตามแนวทาง Biosecurity Hi-Tech Farming ยึดหลักอิสระ 5 ประการ แม่ไก่ไข่สามารถดำรงชีวิตแบบอิสระในสภาวะที่เหมาะสม ได้รับน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ มีระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ เพื่อป้องกันโรค และมีพื้นที่อย่างเพียงพอ เอื้อให้แม่ไก่ไข่ได้แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้อย่างอิสระ อาทิ การคุ้ยเขี่ย การเกาะคอน การวางไข่ การไซร้ขน ส่งผลให้ไก่ไข่อยู่สบาย ลดความเครียด มีสุขภาพที่แข็งแรง จึงไม่มีการใช้ยาปฎิชีวนะหรือสารเคมีอื่นๆ ตลอดการเลี้ยงดู เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถมั่นใจและวางใจได้ทุกครั้งที่เลือก ไข่ไก่ Cage Free ของ ซีพีเอฟ

อยู่คอนโด อยากปลูกผักกินเอง ทำยังไงได้บ้าง

0

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์
ตอน “อยู่คอนโด อยากปลูกผักกินเอง ทำยังไงได้บ้าง”

“อายักษ์” ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย
กูรูสวนนาป่าน้ำ แนะให้ลองปลูกผักลอยฟ้าเช่นตำลึง บ้านเล็กๆ หรือคอนโดก็ทำได้

เครือซีพี ร่วมบริจาคเลือดให้สภากาชาดไทย ฝ่าวิกฤติโควิด-19

0

เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ขอบคุณคนไทยที่ไม่ทิ้งกัน ร่วมบริจาคโลหิต รวม 606 ยูนิต ให้สภากาชาดไทย กับกิจกรรมรับบริจาคโลหิต ครั้งที่ 2 ประจำปี 2563 ภายใต้โครงการ “เครือเจริญโภคภัณฑ์ มุ่งสู่ 100 ปี ทำความดี ด้วยการบริจาคโลหิต” ในปีนี้ เครือซีพี ยังเดินหน้าจัดกิจกรรมอีก 2 ครั้ง เพื่อช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์

วัลลภ เจียรวนนท์ รองประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์

นายวัลลภ เจียรวนนท์ รองประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ในฐานะประธานโครงการ “เครือเจริญโภคภัณฑ์ มุ่งสู่ 100 ปี ทำความดี ด้วยการบริจาคโลหิต” กล่าวว่า หลังจากที่มีการประกาศผ่อนคลายล็อกดาวน์สถานการณ์โควิด-19 ได้เชิญชวนชาวซีพีจิตอาสา รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจ เข้าร่วมบริจาคโลหิต ประจำปี 2563 เป็นครั้งที่ 2 ภายใต้แนวคิด “Plus1 เพิ่มจำนวนครั้ง เพิ่มโลหิต เพิ่มชีวิต” (Plus One Blood Donation, More Blood More Lives) กระตุ้นให้ประชาชนเพิ่มจำนวนการบริจาคอีกเพียงคนละ 1 ครั้งต่อปี เพื่อจัดหาโลหิตให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยในภาวะขาดแคลน โดยกิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้น 2 วัน มีผู้บริจาคโลหิต จำนวน 671 ราย และโลหิตที่ได้รับ จำนวน 606 ยูนิต ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย จึงขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมทำบุญช่วยเหลือสังคมในครั้งนี้

“การบริจาคโลหิตนับเป็นการทำความดีที่ง่าย ถือเป็นการให้โอกาสตัวเองได้ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ อีกทั้งหากบริจาคโลหิตต่อเนื่องทุก 3 เดือน จะส่งผลดีต่อร่างกายช่วยกระตุ้นไขกระดูกผลิตโลหิตขึ้นมาใหม่ ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น” นายวัลลภ กล่าว

เครือซีพี จัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิตมาอย่างต่อเนื่องสู่ปีที่ 30 สามารถจัดหาโลหิตส่งมอบให้กับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ได้มากกว่า 180 ล้านซี.ซี. เพื่อนำไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ในปีนี้เครือซีพีจะจัดกิจกรรม 4 ครั้ง โดย 2 ครั้งที่จัดขึ้นสามารถรับบริจาคโลหิตได้ 1,118 ยูนิต หรือ 447,200 ซี.ซี. เพื่อร่วมสนับสนุนให้กับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย บรรลุเป้าหมายในการรับบริจาคโลหิตที่ 3,000 ยูนิต หรือ จำนวน 1.2 ล้านซี.ซี.

สำหรับการจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในครั้งต่อไป จะจัดในวันพุธที่ 16 – วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2563 และในวันพุธที่ 16 – วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563 เวลา 09.00-16.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 11 อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ ถนนสีลม กรุงเทพฯ จึงขอเชิญชวนประชาชนผู้ที่สนใจ รวมถึงผู้บริหาร และเพื่อนพนักงานเครือซีพี ร่วมกิจกรรมดังกล่าว

เอไอเอส จับมือ 9 องค์กร ระดมพนักงาน 2 หมื่นชีวิต เดินหน้า “คนไทยไร้ E-Waste”

0

            นางสาวนัฐิยา พัวพงศกร หัวหน้าแผนกงานพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน เอไอเอส กล่าวว่า เอไอเอสให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจแบบเติบโตไปพร้อมกันทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในประเด็นของสิ่งแวดล้อม ต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้สานต่อภารกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยขยายผลแคมเปญใหญ่ “คนไทยไร้ E-Waste” จับมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วนทั่วประเทศ เพื่อสร้างการตระหนักรู้เรื่องภัยอันตรายที่แฝงมากับขยะอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมขยายจุดรับทิ้งขยะทั่วประเทศ อำนวยความสะดวกให้คนไทยสามารถเข้าถึงจุดรับทิ้งขยะ E-Waste ได้ง่าย ใกล้บ้านคุณ”

นัฐิยา พัวพงศกร หัวหน้าแผนกงานพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน เอไอเอส

ทั้งนี้ เอไอเอส จับมือกับ ภาคีเครือข่ายความเพื่อยั่งยืนแห่งประเทศไทย TRBN โดยความร่วมมือของกลุ่มบริษัทจดทะเบียน ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้ง 9 องค์กร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์,บางกอกแอร์เวย์ส, ไทยออพติคอล, อีสท์ วอเตอร์, การบินไทย, ยูนีซัน, เอสซี แอสเสท, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ สิงห์ เอสเตท ดึงพลังจากพนักงานคนรุ่นใหม่ในองค์กรกว่า 20,000 คน ร่วมรณรงค์และบอกต่อการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี ให้แพร่หลายไปยังครอบครัวและคนรอบข้าง ได้ตระหนักรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง พร้อมทั้งขยายจุดรับทิ้งขยะ E-Waste ไปวางที่สำนักงานของบริษัทต่างๆ รับคลายล็อกดาวน์ ที่พนักงานบริษัทเริ่มทยอยกลับเข้าทำงานตามปกติ และจะได้นำขยะ E-waste มาทิ้งที่ออฟฟิศได้อย่างสะดวก พร้อมทั้งเชิญชวนคนไทยร่วมใจคัดแยก E-Waste และนำไปทิ้งในจุดรับทิ้งซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 1,806 จุด

           ด้าน นางพิมพรรณ ดิสกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เครือข่าย TRBN มีเป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อนให้บริษัทเอกชนไทย คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมถึงการมีธรรมาภิบาลที่ดีในการดำเนินธุรกิจหรือเป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจ เพราะการเข้าใจถึงความเกี่ยวข้องกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล จะทำให้บริษัทรู้จักการบริหารจัดการความเสี่ยง และสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมถึงร่วมสร้างคุณค่าให้กับสังคมไปพร้อมกันด้วย และสิ่งเหล่านี้คือพันธกิจของ TRBN อีกหนึ่งพันธกิจสำคัญของเครือข่ายคือการสร้างแพลตฟอร์ม หรือ ความร่วมมือของธุรกิจต่างๆ ที่อยากให้บริษัทตนเองมีส่วนในการสร้างสิ่งความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในสังคม

           “สิ่งที่ เอไอเอสทำอยู่นี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากและเป็นสิ่งที่ช่วยได้มาก และคิดว่าเป็นเรื่องที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ยังไม่เข้าใจ ซึ่งเอไอเอสไม่ได้ทำคนเดียว มีการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ บริษัทเอกชนและหน่วยงานราชการลุกขึ้นมาเก็บคืนเรียกคืน โดยใช้เครือข่ายร่วมกันทำมันก็จะกระจายความตระหนักตรงนี้ออกไปและที่สำคัญคือทำให้ง่ายต่อการเข้าถึง ง่ายต่อการมีส่วนร่วม  และถ้าทุกคนช่วยกันบอกต่อให้ทุกคนเข้าใจว่ามันคือภัยเงียบ คือภัยใกล้ตัวที่เราส่วนมากมักจะมองข้าม”

           โดยขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่แคมเปญนี้ มุ่งเน้นมีทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต, แบตเตอรี่มือถือ, พาวเวอร์แบงก์, สายชาร์จ หูฟัง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก อาทิ กล้องถ่ายรูป เครื่องเล่น MP3 โดยขยะ E-Waste ทั้งหมดที่เข้าสู่โครงการจะถูกรวบรวมและนำไปกำจัดแบบถูกวิธีด้วยกระบวนการ Zero Landfilled 

ปัจจุบัน “คนไทยไร้ E-Waste” มีจุดรับทิ้งขยะ E-waste รวมทั้งสิ้น 1,806 จุด อาทิ ที่ทำการไปรษณีย์ 160 แห่ง, AIS Shop จำนวน 136 สาขาทั่วประเทศ, AIS Telewiz, ศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัล 34 แห่ง, มหาวิทยาลัยต่างๆ และอาคารชุด คอนโด ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ

โออาร์ ร่วมกับ ก.ล.ต. เปิดร้าน Café Amazon for Chance สร้างโอกาสให้กับผู้บกพร่องทางการได้ยิน

0

ก.ล.ต. มุ่งมั่นดำเนินนโยบายด้าน ESG อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมสนับสนุนกลุ่มผู้เปราะบางและวิสาหกิจเพื่อสังคมได้พัฒนาอาชีพเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี จึงร่วมมือกับบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และบริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด เปิดร้าน Café Amazon for Chance ที่ให้บริการโดยผู้บกพร่องทางการได้ยิน ณ อาคารสำนักงาน ก.ล.ต. โดยมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต. สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนในตลาดทุนดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESG) ขณะเดียวกัน ก.ล.ต. มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายด้าน ESG อย่างเป็นรูปธรรมภายในองค์กร โดยหนึ่งในการดำเนินการ คือ การสนับสนุน ส่งเสริม และให้โอกาสกลุ่มผู้เปราะบางและวิสาหกิจเพื่อสังคมได้พัฒนาอาชีพเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี 

ก.ล.ต. จึงได้ร่วมมือกับบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และบริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด เปิดร้าน Café Amazon for Chance ที่ให้บริการโดยผู้บกพร่องทางการได้ยิน ณ สำนักงาน ก.ล.ต. ตามที่ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างกันเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2562

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 63 มีพิธีเปิดร้าน Café Amazon for Chance สาขาสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งเป็นสาขาที่ 9 อย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจากนางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เข้าร่วมพิธีเปิด ซึ่งมีนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยนางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและค้าปลีก จำกัด (มหาชน) นางอัจฉริยา เจริญศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ผู้บริหารกลุ่ม ปตท. และผู้บริหาร ก.ล.ต. เข้าร่วมพิธีเปิด 

นอกจากนี้ ทางร้าน Café Amazon for Chance ได้จัดหาเบเกอรี่จากร้าน 60+ Bakery and Chocolate Café โดยมูลนิธิศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APCD) มาขายในร้านเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มีส่วนร่วมของคนพิการเพื่อคนทั้งมวล (disability-inclusive business) อีกด้วย

บีทีเอส ต้อนรับเปิดเทอมใหม่ สร้างความมั่นใจในการเดินทาง

0

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส เปิดเผยว่า ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา กำหนดให้วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นวันเปิดภาคการศึกษา ของสถานศึกษาทั่วประเทศ

ดังนั้น บริษัท จึงได้เตรียมความพร้อมด้านการให้บริการ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มมากขึ้น และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร บริษัทฯ ได้เน้นย้ำมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามที่กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ได้เสนอศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ดังนี้

1. ขอยกเลิก การเว้นที่นั่ง และที่ยืนในขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารช่วงเปิดเทอมที่เพิ่มสูงขึ้น

2. ควบคุมความหนาแน่นของผู้โดยสารที่จะเข้าสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ชั้นชานชาลา และภายในขบวนรถไฟฟ้า ไม่เกินร้อยละ 70 พร้อมทั้งจำกัดจำนวนผู้โดยสารเข้าใช้บริการเป็นกลุ่ม (Group Release) ในชั่วโมงเร่งด่วน ช่วงเวลาเช้า และช่วงเวลาเย็น

3. เน้นย้ำให้ผู้โดยสารทุกท่าน สวมหน้ากากอนามัย / หน้ากากผ้าทุกครั้ง ระหว่างการเดินทาง งดการพูดคุยภายในขบวนรถไฟฟ้า และงดคุยโทรศัพท์ในขบวนรถไฟฟ้า 100 % พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการหันหน้าเข้าหากันในขบวนรถไฟฟ้า

4. คัดกรองอุณหภูมิของผู้โดยสารก่อนเข้าใช้บริการในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส อุณหภูมิต้องไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส และคัดกรองสุขภาพของเจ้าหน้าที่ ทุกครั้งก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่

5. จัดจุดบริการแอลกอฮอล์ ทุกทางเข้า-ออกสถานี เพิ่มความถี่ในการฉีดพ่น เช็ดทำความสะอาด ภายในขบวนรถไฟฟ้า จุดสัมผัสร่วมภายในสถานี และบริเวณรอบสถานีด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

6. บริษัทฯ ยังคงเดินรถในความถี่สูงสุด 2 นาที 25 วินาที ในสายสุขุมวิท และในสายสีลมความถี่ 3 นาที 45 วินาที ในช่วงเวลาเร่งด่วน เพื่อให้ลดปริมาณความหนาแน่นของผู้โดยสารที่มาใช้บริการ และขอให้ผู้โดยสารทุกท่านโปรดเผื่อเวลาในการใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส

7. ขอความร่วมมือผู้โดยสารทุกท่านลงทะเบียน “ไทยชนะ” เมื่อเข้า และออกจากขบวนรถไฟฟ้าขบวนนั้น ๆ ด้วยการพิมพ์หมายเลขขบวนรถไฟฟ้า 4 หลัก ลงใน Application ‘BTS SkyTrain’ หรือ Line official : @btsskytrain

ทั้งนี้ บริษัทจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อรักษามาตรฐานในการป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมทั้งอำนวยความสะดวก ความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจแก่ผู้มาใช้บริการทุกท่าน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บีทีเอส โทรศัพท์ 0 2 – 617- 6000 Line official : @btsskytrain หรือเช็คสถานะการเดินรถได้ที่ Application ‘BTS SkyTrain’ และFacebook Page : รถไฟฟ้าบีทีเอส