Home Blog Page 421

ซีพีเอฟ เพิ่มประสิทธิภาพใช้น้ำตลอดกระบวนการผลิต หมุนเวียนใช้ใหม่ ร่วมแบ่งปันให้ชุมชน

0
บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งมั่นเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตสูงสุด เดินหน้าเป้าหมายลดการดึงน้ำมาใช้ 30% ในปี 2568 ลดความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำและมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

นายสุชาติ วิริยะอาภา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อมและพลังงาน ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทตระหนักดีถึงการใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทั้งพลังงานและน้ำ จึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนแผนการใช้ทรัพยากรและลดความเสี่ยงของธุรกิจ ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยในปี 2562 สามารถลดปริมาณการดึงน้ำมาใช้ต่อหน่วยการผลิตได้ 6% หรือ 9 ล้านลูกบาศก์เมตร และสามารถลดปริมาณการดึงน้ำโดยรวมได้ 36% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2558 ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายปี 2568 ที่กำหนดไว้ 30%

สุชาติ วิริยะอาภา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ

ซีพีเอฟ เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ โดยใช้เทคโนโลยีการบำบัด การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ และการแบ่งปันให้ชุมชน เช่น ธุรกิจฟาร์มเลี้ยงกุ้งของบริษัทที่บางสระเก้า จังหวัดจันทบุรี และฟาร์มร้อยเพชร จังหวัดตราด เป็นโครงการนำร่องในการติดตั้งเทคโนโลยีการบำบัดน้ำ เช่น ระบบไบโอฟลอค (Bio-Floc) โดยเติมจุลินทรีย์ลงในน้ำเพื่อบำบัดสารละลายไนโตรเจนที่เกิดจากของเสียที่กุ้งขับถ่ายออกมา ช่วยลดการเปลี่ยนถ่ายน้ำระหว่างการเลี้ยงกุ้งลงถึง 70% เทียบกับการเลี้ยงกุ้งโดยทั่วไป รวมถึงการนำเทคโนโลยี Ultra Filtration (UF) มากรองน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว หมุนเวียนนำกลับมาใช้เลี้ยงกุ้งได้มากกว่า 90% และกำลังเดินหน้านำความสำเร็จดังกล่าวไปขยายผลในฟาร์มอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ดำเนินธุรกิจสัตว์น้ำ

และ การนำเทคโนโลยี UF และ Reverse Osmosis มาใช้ในการกรองน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว เพื่อหมุนเวียนกลับมาใช้ในเครื่องทำระเหย ในระบบทำความเย็น ที่โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปหนอกจอก สามารถทดแทนน้ำจากแหล่งภายนอกได้ถึง 216,000 ลบ.ม. ต่อปี ลดค่าใช้จ่ายได้กว่า 1.7 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ ธุรกิจอาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์บก และธุรกิจอาหาร ยังช่วยลดการดึงน้ำจากธรรมชาติ โดยมีการนำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วหมุนเวียนกลับมาใช้ในกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิต เช่น รดน้ำต้นไม้ ล้างพื้นถนน และล้างโรงเรือนเลี้ยงสัตว์กว่า 30 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 21% ของการดึงน้ำมาใช้ทั้งหมด

สำหรับการแบ่งปันน้ำให้ชุมชน ธุรกิจสุกรได้นำน้ำที่ผ่านการบำบัดจากระบบผลิตก๊าซชีวภาพไปกระจายส่งเป็น “น้ำปุ๋ย” ให้แก่ชุมชนรอบฟาร์มกว่า 447,000 ลบ.ม. ครอบคลุมพื้นที่การเกษตร 3,650 ไร่ ช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ช่วยลดต้นทุนการเพาะปลูก และสร้างความมั่นคงให้กับชุมชน

นายสุชาติ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ยังประเมินความเสี่ยงด้านน้ำด้วยเครื่องมือ Aqueduct Water Risk Atlas 3.0 ซึ่งพัฒนาโดย World Resources Institute และเป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เพื่อลดความเสี่ยงในการขาดแคลนน้ำจากสถานที่ตั้งของธุรกิจบริษัทและธุรกิจของคู่ค้า ช่วยในการเลือกสถานที่ตั้งของธุรกิจและการทำแผนจัดการน้ำได้อย่างเหมาะสม

บริษัทฯ ยังสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะเกี่ยวกับใช้น้ำ รวมถึงการส่งบุคลากรลงพื้นที่เพื่อสนับสนุนคู่ค้าธุรกิจในการจัดทำแผนรองรับความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำ และผลกระทบจากภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนโดยรอบทั้งปัจจุบันและในอนาคต

เตือนปชช.อย่าหลงเชื่อเว็บปลอม อ้างชื่อ เอไอเอส แจกแบบสอบถามลุ้นรับมือถือ

0

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ เอไอเอส กล่าวว่า ตามที่ได้ปรากฏเว็บไซต์แอบอ้างชื่อบริษัท หลอกขอข้อมูลลูกค้า โดยให้ตอบแบบสอบถามเพื่อลุ้นรับของรางวัลเป็นสมาร์ทโฟนนั้น ทางบริษัทใคร่ขอเรียนชี้แจ้งว่า เอไอเอส ไม่ได้เป็นผู้จัดกิจกรรมดังกล่าวตามที่มีการแอบอ้างแต่อย่างใด จึงขอเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อและให้ข้อมูลกับเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ รวมถึงไม่คลิกลิงก์ ดาวน์โหลดไฟล์แนบ หรือส่งต่อ

สายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ เอไอเอส 

           ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา การหลอกลวงข้อมูล (Phishing) ได้มีการปรับเปลี่ยนกลวิธีการหลอกขอข้อมูลของเหยื่อได้แยบยลและหลากหลายมากยิ่งขึ้น  อาทิมาในรูปแบบของอีเมล จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรค โดยกล่าวอ้างถึงมาตรการการรักษา ซึ่งผู้ได้รับอีเมลดังกล่าวควรรีบปฏิบัติตามขั้นตอนโดยด่วน หรือการสร้างเว็บไซต์หลอกขอข้อมูลจากผู้ใช้ โดยใช้สิ่งของมีค่า เช่น บัตรกำนัล สมาร์ทโฟน มาเป็นแรงจูงใจ เมื่อผู้ใช้งานคลิกลิงก์ ดาวน์โหลดไฟล์แนบ หรือกรอกข้อมูลบนเว็บไซต์ดังกล่าว จะเป็นการเปิดช่องทางให้ผู้ไม่ประสงค์ดีติดตั้งซอฟต์แวร์อันตรายลงบนเครื่อง รวมถึงนำข้อมูลส่วนตัวสำคัญ อาทิ ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขบัตรเครดิต ไปกระทำการปลอมแปลงและโจรกรรมทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ ได้

           วิธีสังเกตอีเมลและเว็บไซต์ Phishing ให้เริ่มสังเกตชื่ออีเมล และชื่อเว็บไซต์ จะต้องเป็นชื่อผู้ส่งและชื่อเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ ลิงก์ที่เชื่อมโยง ควรสอดคล้องทั้งเนื้อหาและ Domain Name รวมไปถึงเนื้อหาภายในอีเมล หากมีลักษณะเร่งให้ดำเนินการ, เร่งให้ส่งข้อมูลส่วนตัวทันที และขอให้รีบเปลี่ยนรหัสผ่าน ให้ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอีเมลอันตรายไว้ก่อน

            วิธีป้องกัน ไม่คลิกลิงก์ ไม่เปิดไฟล์แนบ ไม่ส่งต่อ ไม่ให้ข้อมูลกับเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ  รวมถึงต้องหมั่นอัปเดตซอฟต์แวร์ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด  โดยประชาชนสามารถตรวจสอบว่าเป็นเว็บไซต์หรือลิงก์ปลอมหรือไม่ โดยสังเกตที่การสะกด Domain Name ทั้งนี้ หากเป็นเว็บไซต์ที่ถูกต้องของ AIS จะต้องมี Domain Name หรือ Sub Domain ระบุ ais.co.th เท่านั้น หรือสอบถามที่ AIS Contact Center 1175 ตลอด 24 ชั่วโมง

เตรียมเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระพุทธชินราช ส.ค.63

0

นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า โครงการปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองพิษณุโลก และความศรัทธาของสถาบันพระมหากษัตริย์ และประชาชนที่มีต่อพระพุทธชินราช  ทั้งนี้ เดิมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ในความดูแลของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ใช้พื้นที่ของพระวิหารพระพุทธชินสีห์และพระวิหารพระศรีศาสดาเป็นที่จัดแสดงโบราณวัตถุศิลปวัตถุ ต่อมากรมศิลปากรได้จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระพุทธชินราช เปิดให้ประชาชนเข้าชมมานานถึง 53 ปี จนถึงปี 2557 จึงก่อสร้างอาคารหลังใหม่เพื่อเก็บรวบรวมโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุพิษณุโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คาดว่าจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ในเดือนสิงหาคมปีนี้

ประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร

สำหรับการจัดแสดงนิทรรศการที่น่าสนใจ ประกอบด้วย วัตถุแห่งศรัทธาที่พระมหากษัตริย์ พระราชทานแด่พระพุทธชินราช เช่น ต้นไม้ทองตันไม้เงิน พัดรัตนาภรณ์ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนการิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อปี 2501 ต้นไม้ทองต้นไม้เงินของที่พระมหากษัตริย์เครื่องแก้ว เจียระไน เครื่องตามประทีป ประวัติศาสตร์โบราณคดีพิษณุโลก จัดแสดงเรื่องราวพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของพิษณุโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประวัติความเป็นมาของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เมืองพิษณุโลกและพระพุทธชินราช การเสด็จพระราชดำเนินมานมัสการพระพุทธชินราชของพระมหากษัตริย์ พุทธบูชาราชรัตนาภรณ์จัดแสดงสังวาลประดับองค์พระพุทธชินราช และสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ล้ำค่า ซึ่งพระมหากษัตริย์ถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธชินราช และความศรัทธาที่มีต่อพระพุทธชินราชของพระมหากษัตริย์ไทย รวมถึงโบราณวัตถุอื่นๆ ที่ขุดค้นได้ในเขตจังหวัดพิษณุโลกด้วย

ปริมาณการผลิตหน้ากากอนามัยในไทยมีเหลือเฟือ

0

นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้ การผลิตหน้ากากอนามัยของไทยเพิ่มขึ้นมาก อยู่ที่วันละประมาณ 4.2 ล้านชิ้น เนื่องจากมีโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยตั้งใหม่หลายแห่ง โดยล่าสุด มีโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐาน และจำหน่ายให้กับรัฐทั้งหมด 16 ราย ทั้งนี้ในจำนวน 4.2 ล้านชิ้นที่ผลิตได้ต่อวัน รัฐรับซื้อวันละ 3 ล้านชิ้น เพื่อนำมาจัดสรรให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) 1.8 ล้านชิ้น และกระทรวงมหาดไทย (มท.) 1.2 ล้านชิ้น ขณะเดียวกัน วัตถุดิบสำคัญ โดยเฉพาะเมลท์โบลน (แผ่นกรอง) สามารถหาซื้อได้ง่ายขึ้น และมีราคาถูกลง เพราะผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น จีน กลับมาส่งออกมากขึ้น

วิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน

ปริมาณการผลิตที่ดีขึ้น รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยเริ่มดีขึ้น ส่งผลให้มีหน้ากากอนามัยส่วนเกินมากถึงวันละ 1.2 ล้านชิ้น ดังนั้น คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงมีมติให้กรมการค้าภายใน หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หาแนวทางบริหารจัดการให้เหมาะสม

จากการหารือกับทั้งกรมบัญชีกลาง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข เห็นตรงกันว่า รัฐจะรับซื้อหน้ากากอนามัยส่วนเกินวันละ 1.2 ล้านชิ้น เพื่อนำมาขายให้กับหน่วยงานที่มีความจำเป็นต้องใช้ในราคาต้นทุน เช่น บริษัท การบินไทย, สายการบินต่างๆ, สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.), ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ฯลฯ ส่วน 3 ล้านชิ้นที่จัดสรรให้กระทรวงสาธารณสุข และมหาดไทย ได้รับแจ้งว่า ขณะนี้ สาธารณสุขมีสต๊อกตุนไว้เกิน 1 เดือนแล้ว ส่วนจังหวัดต่างๆ ก็มีสต๊อกไว้มากแล้ว

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการเฉพาะกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้เสนอให้คณะกรรมการเฉพาะกิจฯ ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ใหม่ จากการรับซื้อจากโรงงานทุกวัน ชิ้นละ 4.28 บาท มาเป็นวิธีการประมูล ทำให้การซื้อเดือนมิ.ย. ซื้อได้ในราคาต่ำลงที่ชิ้นละ 4-4.15 บาท ส่วนเดือนก.ค. เหลือเพียง ชิ้นละ 3.65 บาท คาดว่า ราคาในเดือนส.ค.นี้จะต่ำลงอีก

สำหรับการส่งออกหน้ากากอนามัย คณะกรรมการเฉพาะกิจฯ ได้เห็นชอบให้ต่ออายุการห้ามส่งออกต่อไปอีกจนถึงวันที่ 3 ก.พ.64 จากกำหนดเวลาเดิมคือ สิ้นเดือนมิ.ย.63 ยกเว้นหน้ากากอนามัยเฉพาะ เช่น หน้ากากป้องกันสารเคมี, หน้ากากอนามัยที่มีลิขสิทธิ์ ผลิตภายใต้แบรนด์เนมของผู้ว่าจ้าง, โรงงานได้รับการส่งเสริมการลงทุน จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ให้ผลิตเพื่อส่งออก, ส่งออกไปให้สถานทูตไทยในประเทศต่างๆ

เปิดใช้ทางเข้าโครงการธนาซิตี้ คันทรี คลับ รูปแบบใหม่

0

คีรี กาญจนพาสน์ พร้อมผู้บริหาร บีทีเอส กรุ๊ปฯ ร่วมพิธีเปิดทางเข้า โครงการ ธนาซิตี้ คันทรี คลับ โฉมใหม่ ใช้เทคโนโลยีทันสมัยระบบอ่านเลขทะเบียนรถ และการเชื่อมต่อกับระบบของบัตรแรบบิท อำนวยความสะดวกให้ผู้อยู่อาศัย

ผู้สื่อข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2563 นาย คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนา โครงการ ธนาซิตี้ คันทรี คลับ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารบริษัทฯ ได้แก่ นาย กวิน กาญจนพาสน์, นาย รังสิน กฤตลักษณ์, นาย สุรพงษ์ เลาหะอัญญา, นาย คง ชิ เคือง, ศ.พิเศษ เจริญ วรรธนะสิน, ดร.การุณ จันทรางศุ ร่วมทำพิธีเปิดทางเข้า โครงการ ธนาซิตี้ คันทรี คลับ รูปแบบใหม่อย่างเป็นทางการ ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยระบบอ่านเลขทะเบียนรถ และการเชื่อมต่อกับระบบของบัตรแรบบิท เพื่อเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยให้แก่ผู้พักอาศัย สามารถรองรับการขยายตัวของโครงการแห่งนี้มากยิ่งขึ้น โดยมี พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ วิบูลย์เวทย์บรมหงส์ พรหมพงศ์ พฤฒาจาริย์ ประธานพระครูพราหมณ์สำนักพระราชวัง ทำพิธีสักการะพระพรหมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้พักอาศัย ณ บริเวณทางเข้า โครงการ ธนาซิตี้ คันทรี คลับ ถนนบางนา-ตราด กม.14

ทั้งนี้ โครงการ ธนาซิตี้ คันทรี คลับ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ มากกว่า 1,600 ไร่ บนถนนบางนา-ตราด กม.14 จัดตั้งขึ้นมากว่า 30 ปี เป็นโครงการที่พักอาศัย ครบวงจร พร้อมทั้งมีการพัฒนาขยายโครงการมาอย่างต่อเนื่อง โดยชูแนวคิด อาณาจักรแห่งการพักผ่อนที่รวมทุกกิจกรรมไว้ในสถานที่เดียว ได้แก่ สปอร์ตคลับขนาดใหญ่ ฟิตเนสครบวงจร สระว่ายน้ำเกลือแบบลู่ และวิลล่า สนามฟุตซอล หญ้าเทียมมาตรฐานสากล สนามแบดมินตันในร่ม สนามสควอช สนามเทนนิสดินเทียมแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย สนามกอล์ฟระดับแชมเปี้ยนชิพ มาตรฐานโลก 18 หลุม 7008 หลา พาร์ 72 ซึ่งออกแบบโดย “เกร็ก นอร์แมน” และอีกหนึ่งโครงการยิ่งใหญ่ โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ (Verso) ก่อสร้างบนที่ดิน 168 ไร่ ถือเป็น โรงเรียนนานาชาติใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ จะเปิดสอนภาคการศึกษาแรกในเดือน ส.ค. 2563

ซีพีเอฟ พร้อมบริษัทเครือซีพี ยกระดับเข้มนโยบายรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไม่บุกรุกป่า

0


ตอกย้ำ ทำธุรกิจ ร่วมพัฒนาเกษตรกรและคู่ค้าโตไปด้วยกัน

นายไพศาล เครือวงศ์วานิช รองประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้ซีพีเอฟ กล่าวว่า การประกาศรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บนพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง และใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Corn Traceability) ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปี 2559 ที่ยืนยันเจตนารมย์การจัดหาวัตถุดิบทางการเกษตรที่มาจากแหล่งผลิตที่รับผิดชอบและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ มีฐานข้อมูลในระบบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง เพื่อให้สอดคล้องตามนโยบายการจัดหาอย่างยั่งยืน พร้อมทั้ง ยังเดินหน้าขับเคลื่อนนำระบบบริหาร และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ส่งเสริมการใช้ระบบ GPS เพื่อติดตามรถขนส่ง รวมถึงการพัฒนาเครื่องมือต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้มีความถูกต้องและชัดเจนยิ่งขึ้น

ไพศาล เครือวงศ์วานิช รองประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน)

เพื่อยกระดับระบบตรวจสอบย้อนกลับนี้ บริษัทได้รับความร่วมมือจากคู่ค้าธุรกิจและผู้รวบรวมข้าวโพดในการติดตั้งระบบ GPS Tracking บนรถขนส่งทุกคัน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา เพื่อใช้ในติดตามข้อมูลแบบ real time สำหรับการขนส่งข้าวโพดเข้าสู่โรงงานอาหารสัตว์ซีพีเอฟในเขตประเทศไทยได้ครบ 100% ทำให้ระบบตรวจสอบย้อนกลับมีความแม่นยำและโปร่งใสยิ่งขึ้น ทราบแหล่งที่มาที่ชัดเจน นอกจากนี้ระบบดังกล่าวยังจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถอำนวยความสะดวก เพิ่มความคล่องตัว และประสิทธิภาพการขนส่งให้แก่คู่ค้าอีกด้วย

ซีพีเอฟ ยังได้เริ่มนำระบบตรวจสอบย้อนกลับดังกล่าวไปขยายผลในประเทศเพื่อนบ้านของไทย โดยตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยซีพีเอฟ และกลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ประกาศรับซื้อผลผลิตข้าวโพดจากแหล่งผลิตที่มีเอกสารสิทธิถูกต้องในเขตประเทศเมียนมา ภายใต้ระบบตรวจสอบย้อนกลับเท่านั้น โดยเกษตรกรมอบความมั่นใจให้กับโรงงานอาหารสัตว์ซีพีเขตประเทศเมียนมาและร่วมลงชื่อเพื่อขึ้นทะเบียนตามการกำหนดมาตรฐานการรับซื้อจากแหล่งผลผลิตข้าวโพดที่มีเอกสารสิทธิ์ และเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังได้มุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรในห่วงโซ่การผลิตอาหารทั้งคู่ค้าธุรกิจต่อเนื่องจนถึงเกษตรกร เพื่อให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการ “เกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน” ตั้งแต่ปี 2558 ส่งเสริมเกษตรกรให้มีความรู้สมัยใหม่ในการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ต้นทุนการผลิตลดลง พัฒนาผลผลิตที่มีคุณภาพสามารถขายตรงให้กับโรงงานอาหารสัตว์ได้ ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ ตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูกที่ถูกต้อง การวิเคราะห์ดิน การใช้ปุ๋ย การใช้สารเคมีที่เหมาะสม รวมทั้งกระบวนการจัดการหลังเก็บเกี่ยวเพื่อรักษาคุณภาพของผลผลิต โดยในปี 2563 นี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะขยายผลโครงการในพื้นที่ อ.ด่านขุนทด อ.สีคิ้ว และ อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ตั้งเป้าส่งเสริมเกษตรกรทั้งสิ้น 1,000 ราย พื้นที่เพาะปลูก 30,000 ไร่

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ ยังได้ร่วมมือกับ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ดำเนินแผนงานโครงการ ความร่วมมือพัฒนาคู่ค้าสู่ระบบมาตรฐานแรงงานไทย เพื่อยกระดับขีดความสามารถของคู่ค้าในหลากหลายธุรกิจ และผู้รวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในห่วงโซ่อุปทานมีการบริหารจัดการแรงงานด้วยความรับผิดชอบและถูกต้องตามกฎหมาย และผลักดันให้ผู้ประกอบการได้การรับรองมาตรฐานแรงงานไทยอีกด้วย เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน ลดความเหลื่อมล้ำซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอีกองค์ประกอบหนึ่งของนโยบายการจัดหาอย่างยั่งยืน

เอไอเอส จับมือ HUAWEI เปิดตัวสุดยอดสมาร์ทโฟน 5G SA ที่แรกของโลก

0

AIS ปักหมุด “ไทย” ผู้นำนวัตกรรมเครือข่าย 5G SA ผนึก HUAWEI ให้คนไทยสัมผัสสมาร์ทโฟน 5G SA ครั้งแรกในโลก

เอไอเอส ยืนหนึ่งผู้นำเครือข่าย 5G ที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศ ด้วยคลื่นความถี่มากที่สุดและดีที่สุด เพื่อสร้างประโยชน์ให้คนไทยได้มากกว่า ประกาศความสำเร็จและความภาคภูมิใจครั้งสำคัญให้กับวงการโทรคมนาคมโลก โดยร่วมมือกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีชั้นนำ HUAWEI เปิดตัวสุดยอดสมาร์ทโฟน 5G SA แล้วเป็นประเทศแรกในโลก กับรุ่นเรือธง “HUAWEI P40 Pro และ HUAWEI P40 Pro+ อันเป็นการผนึกศักยภาพของ Best 5G Device กับ Best 5G Network เข้าด้วยกัน

มอบประสิทธิภาพการใช้งานเครือข่าย 5G SA ที่เหนือระดับยิ่งกว่า ใน 3 ประการ ได้แก่ Super High Upload Speed เชื่อมต่อโลกออนไลน์ได้อย่างเร็วกว่า แรงกว่า, Support 8K Ultra HD รับชมสตรีมมิ่งคอนเทนท์ความคมชัดสูงระดับ 8K ได้อย่างไม่มีสะดุด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนไทยยุคมิลเลนเนียล และ Ultra Low Latency ด้วยค่าความหน่วงต่ำกว่า 10 มิลลิเซก จึงตอบสนองได้เร็วยิ่งกว่า สามารถสั่งงานและควบคุมสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วด้วยความเสถียรสูงสุด

ลูกค้าเอไอเอส สามารถเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธง HUAWEI P40 Pro และ HUAWEI P40 Pro+ ได้แล้ววันนี้ ที่ AIS Shop ทุกสาขาทั่วประเทศ, AIS Online Store และร้านเทเลวิซที่ร่วมรายการ โดย HUAWEI P40 Pro ราคาเริ่มต้นที่ 17,490 บาท และ HUAWEI P40 Pro+ ราคาเริ่มต้นที่ 27,990 บาท

พิเศษ! ทดลองใช้บริการ AIS 5G ฟรี เมื่อซื้อ HUAWEI P40 Pro และ P40 Pro+ ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม – 10 สิงหาคม 2563 โดยลูกค้าที่สมัครแพ็กเกจรายเดือนต่ำกว่า 1,099 บาท ได้รับ Data 5G จำนวน 50GB/เดือน ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 (สมาร์ทโฟน 5G รุ่นอื่นๆ ได้รับเพียง 10 GB) และลูกค้าที่สมัครแพ็กเกจรายเดือน 1,099 บาท ขึ้นไป ได้รับ Data 5G แบบ Unlimited ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563

เที่ยวสวนสัตว์ ลดค่าเข้า 50 %

0

องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (อสส.) จัดโปรโมชั่นลดค่าบัตรประตูเข้าชมสวนสัตว์ 50% หวังสร้างสุข ให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ได้ผ่อนคลายในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

นายสุริยา แสงพงค์ รองผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เชิญชวนพี่น้องประชาชน เที่ยวชมสวนสัตว์ทั่วประเทศ ทั้ง 6 แห่ง ด้วยการจัดโปรโมชั่นส่วนลดค่าบัตรผ่านประตูเข้าชมสวนสัตว์ 50 % ตั้งแต่วันนี้ ไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะเป็นปกติ

สำหรับการเที่ยวชมสวนสัตว์ในวิถีใหม่ Zoo New Normal ในแต่ละแห่งมีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยววันละไม่เกิน 2,000 คน และเปิดช่องทางการจำหน่ายบัตรเข้าชมสวนสัตว์ออนไลน์ ในระบบ E-Ticket เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว พร้อมได้กำหนดมาตรการป้องกันต่างๆ ให้เป็นไปตามมาตรการควบคุมโรค

ผู้ที่สนสามารถจองบัตรเข้าชมล่วงหน้า ผ่านแอพพลิเคชั่น ของสวนสัตว์ www.eventpop.me หรือ​ ติดต่อผ่านทางโทรศัพท์​ ได้ที่
สวนสัตว์เปิดเขาเขียว​ โทร. 038 318 444
สวนสัตว์เชียงใหม่​ โทร.​ 053 221 179
สวนสัตว์นครราชสีมา​ โทร.​ 083 372 0404
สวนสัตว์สงขลา​ โทร.​ 074 598 555
สวนสัตว์อุบลราชธานี​ โทร. 045 252 761
สวนสัตว์ขอนแก่น​ โทร. 086 455 63​41

คุณนายพารวย : แม่บ้านเงินล้าน

0

คนหาเช้ากินค่ำ มนุษย์เดือนชนเดือน ที่ต้องกู้หนี้ยืมสินมากินมาใช้ มักมีเหตุผลว่ารายได้ต่ำ เงินเดือนน้อย ภาระเยอะ ค่าใช้จ่ายมาก จึงไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีเงินเก็บเงินออม

วันนี้อยากแนะนำให้รู้จัก “แม่บ้านเงินล้าน” เพื่อเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังทดท้อกับชีวิตว่า คนที่มีรายได้เพียงค่าแรงขั้นต่ำมาตลอดทั้งชีวิต เขาใช้จ่าย-เก็บออมจนมีเงินล้านได้อย่างไร!!

“คุณนายพารวย” ได้พูดคุยกับ “พี่หนู…ปาริชาติ พงษ์คำ” แม่บ้านประจำที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้มีโอกาสเข้าโครงการให้ความรู้ด้านการเงิน Happy Money, Happy Retirement ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯชักชวนพนักงาน เอาต์ซอร์ซ ทั้งแม่บ้านช่าง รปภ. ให้เข้าร่วมโครงการ

“พี่หนู” เล่าว่า เป็นคนต่างจังหวัด มาทำงานเป็นแม่บ้านในกรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 14 ปี ได้เงินเดือน เดือนละ 1,400 บาท ส่งเงินกลับบ้านให้พ่อแม่หมดทุกเดือน เพราะกินอยู่กับนายจ้าง ทำมาร่วม 10 ปี กระทั่งมีครอบครัวจึงลาออกด้วยเงินเดือนเดือนสุดท้าย 2,500 บาท!!

มาสมัครเป็นแม่บ้าน ก็ถูกส่งมาประจำที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ค่าจ้างรายวันค่าแรงขั้นต่ำเมื่อปี 2544 วันละ 165 บาท!! เมื่อรู้รายรับแล้ว “พี่หนู” ตั้งใจออมเงินตั้งแต่วันนั้น สิ่งแรกที่คิดคือ “ต้องใช้จ่ายให้น้อยกว่ารายรับ”

เมื่อได้เงินเดือนมา “พี่หนู” กันเงินที่ต้องเก็บทันที เงินที่เหลือนำมาหาร 30 วัน เพื่อเป็นค่าอาหาร 3 มื้อ เธอจดรายรับ-รายจ่ายประจำวันละเอียดยิบ ส่วนของใช้จำเป็น เธอเข้าห้างค้าปลีกซื้อเดือนละครั้ง ให้ใช้ได้ทั้งเดือน เพราะราคาถูกและคุมค่าใช้จ่ายได้มากกว่า สิ่งสำคัญคือย้ายมาหาที่พักราคาถูกใกล้ที่ทำงาน และเดินมาทำงานเพื่อประหยัดค่าเดินทาง!!

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีเบี้ยขยันให้คนที่ไม่ลา-ไม่สาย-ไม่ขาด อีกเดือนละ 1,000 บาท และบริษัทนายจ้างให้อีก 500 บาท แน่นอน “พี่หนู” ได้เบี้ยขยันทุกเดือน และหากมีงานล่วงเวลาที่ต้องทำ “พี่หนู” จะอาสาเป็นคนแรก

เมื่อได้เข้าโครงการปี 2554–2555 “พี่หนู” จึงได้รู้ว่าการจะขยายดอกผลเงินออมให้งอกเงย ต้องนำเงินไปลงทุน เพื่อให้เงินทำงาน ดังนั้นเงินเก็บจึงถูกโยกจากบัญชีเงินฝาก ไปกระจายซื้อหน่วยลงทุน 3 กอง เน้นกองทุนรวมหุ้น เพราะหวังผลตอบแทนสูง เธอรับความเสี่ยงได้ เพราะมีเวลาลงทุนระยะยาว

“พี่หนู” วันนี้ อายุ 47 ปี มีรายได้ตกวันละ 500 บาท เดือนละ 15,000 บาท ไม่นับเบี้ยขยันอีก 1,500 บาท เช่าที่พัก รวมค่าน้ำค่าไฟตกเดือนละ 2.8-2.9 พันบาท ใช้เงินแต่ละเดือนไม่ถึง 6,000 บาท ที่เหลือเก็บเข้ากองทุนให้เงินทำงาน

ทำให้วันนี้มีเงินออมเงินลงทุนรวมๆ ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท!! และมีที่ดินต่างจังหวัดให้ญาติพี่น้องแบ่งกันทำกินอีก 10 ไร่

“พี่หนู” บอกเคล็ดลับความสำเร็จคือต้องมีวินัย รู้รายรับ-รายจ่าย แล้วตั้งเป้าหมายว่าต้องการมีเงินเท่าไร ต้องเก็บเท่าไร เมื่อทำได้ก็ทำให้มีกำลังใจและมีแรงกระตุ้นมากขึ้น และจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเก็บเงินได้ไวกว่าคนอื่น เพราะไม่มีภาระหนี้ ไม่เคยใช้เงินมากกว่ารายรับที่ได้!!

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

5 ทริคเช็กสภาพรถให้พร้อมก่อนออกเดินทาง

0

ช่วงวันหยุดยาว ติดๆ กันหลายวัน ประกอบกับเป็นช่วงหลังปลดล็อกผ่อนคลายกันด้วย หลายบ้านหลายครอบครัวคงอยู่ระหว่างเดินทางเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ กัน
นอกจากเช็กเส้นทางเดินรถแล้ว การเช็กสภาพรถยนต์ก่อนออกใช้งานก็มีความสำคัญอย่างมาก

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ มาบอกทริคสำหรับเช็กสภาพรถ 5 ข้อสำคัญ ก่อนจะออกรถเดินทางกัน

1. น้ำมันเครื่อง
ควรตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องให้อยู่ในระดับปกติ หากระดับน้ำมันเครื่องลดลงไปต่ำกว่าระดับ MIN สงสัยไว้ก่อนว่าน่าจะมีจุดรั่วหรือผิดปกติเกิดขึ้น จากนั้นเช็กดูสีน้ำมันเครื่องด้วยว่ามีสีดำเกินไปหรือไม่ ถ้าพบว่าเป็นหมดทุกข้อที่กล่าวมา ให้รีบเขาศูนย์เช็ก หรืออาจจะต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องให้เรียบร้อย เพื่อให้เครื่องยนต์พร้อมใช้งานก่อนเดินทาง
2. แบตเตอรี่
หากเป็นแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่น ต้องหมั่นตรวจเช็กระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่มาตรฐานอยู่เสมอ หรือถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบแห้ง ควรหมั่นตรวจเช็กสภาพโดยรวมและระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ การทำเช่นนี้เป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันแบตเสื่อมขณะเดินทาง และยังทำให้รถคุณพร้อมใช้งานอยู่เสมอ
3. หม้อน้ำ
ตรวจเช็กเกจ์วัดระดับความร้อนที่หน้าปัด หรือระดับน้ำในหม้อพักน้ำ ว่าอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วงหรือไม่ หากเกิดความร้อนเกินขีดจำกัด จะได้หาทางซ่อมบำรุงก่อนที่จะส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้ทัน
4. ยางและลมยาง
ไม่เฉพาะแค่การเดินทางไกล แต่เป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ควรตรวจเช็กสภาพยางโดยรวมทุกสัปดาห์ เพื่อดูว่าดอกยางสึกหรอ หรือมีเศษอะไรทิ่มติดล้อหรือไม่ หากยางมีลักษณะอ่อนเกินไปข้างใดข้างหนึ่ง ให้เติมลมยางไว้ที่ระดับปกติทันที เพื่อการโดยสารที่ปลอดภัย ป้องกันการขับขี่ที่ไม่เสถียรในทางไกล
5. ของเหลวอื่น ๆ
ภายในรถยังมีของเหลวอื่น ๆ ที่สำคัญที่ผู้ใช้รถต้องเช็กดูความเรียบร้อยบ่อย ๆ อีกเช่นกัน คือ น้ำมันเบรก, น้ำมันครัช, น้ำมันเกียร์ หรือน้ำมันพาวเวอร์ (สำหรับควบคุมพวงมาลัย) ว่าของเหลวเหล่านี้อยู่ในสภาพพร้อมใช้หรือไม่

เพื่อการเดินทางที่ปลอดภัยและสบายใจที่สุด โออาร์ แนะนำให้แวะมาตรวจเช็กความพร้อมได้ที่ “ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto” เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ อาจเกิดปัญหากับรถได้ในอนาคต

ที่มา บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์