Home Blog Page 420

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : ถอดสมการความรวย

0
บทความโดย คุณนายพารวย

คราวที่แล้วเล่าถึง “แม่บ้านเงินล้าน” ลูกจ้างรายวันที่ได้ค่าจ้างเพียงค่าแรงขั้นต่ำ ปัจจุบันอายุ 47 ปี แต่มีเงินเก็บและเงินลงทุนในกองทุนรวมมากถึง 2 ล้านบาท!!

เรามาถอด “สมการความรวย” เพื่อหากุญแจความสำเร็จของ “พี่หนู…ปาริชาติ พงษ์คำ” แม่บ้านประจำตลาดหลักทรัพย์ฯกันอีกครั้ง เพื่อเป็นกำลังใจว่า ใครก็ทำได้…และเราก็ทำได้!!

นอกจากความขยันและอดออมแล้ว สิ่งที่ “พี่หนู” ยึดปฏิบัติ คือเธอจะไม่เป็นหนี้!! “ต้องใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้” เธอจึงประหยัดและไม่ใช้จ่ายเกินตัว!! ดังนั้นใครที่กำลังยึดหลัก “ของมันต้องมี” ใช้มากกว่าที่หาได้ ก็ต้องกลับมาประหยัด-ลดรายจ่าย หากลดจนสุดตัวแล้ว ก็ยังไม่พออีก ก็ต้องหางานพิเศษทำ เพิ่มรายได้

จุดเริ่มต้นของคนที่จะมีเงินออมได้คือ ต้องหาให้ได้มากกว่าจ่าย!!

กรณี “พี่หนู” เมื่อต้องออกจากบ้านนายจ้างที่อยู่มาตั้งแต่อายุ 14 ปี ซึ่งจะต้องกินอยู่ใช้จ่ายเอง บ้านต้องเช่า-ข้าวต้องซื้อ ด้วยค่าแรงขั้นต่ำเพียงวันละ 165 บาท!! สำหรับคนอื่นอาจมองว่าน้อย แต่สำหรับ “พี่หนู” กลับมองว่ามาก!! เพราะมากกว่าเงินเดือนสุดท้ายที่ 2,500 บาท เกือบเท่าตัว

พี่หนูจึงเลือกที่จะหาบ้านเช่าใกล้กับตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เดิมตั้งอยู่ย่านคลองเตยเพื่อประหยัดค่าเดินทาง และเมื่อตลาดหลักทรัพย์ฯย้ายมาอยู่ย่านรัชดาภิเษก พี่หนูก็ไม่ลังเลที่จะย้ายมาหาที่พักราคาถูกใกล้ที่ทำงานใหม่

ที่สำคัญ “พี่หนู” ยังมีวินัยทางการเงินมาก เธอยึดหลัก “จดแก้จน” การจดบันทึกรายรับรายจ่ายอย่างละเอียด ทำให้รู้พฤติกรรมตัวเองว่าจะประหยัดอะไรได้อีก ที่จะทำให้มีเงินเก็บเพิ่ม

ที่สำคัญทำให้วางแผนการใช้จ่ายและเก็บออมได้อย่างดี “พี่หนู” วางแผนใช้จ่ายค่าอาหาร วันละไม่เกิน 100 บาท อาหารมื้อเช้าเธอมีความสุขกับการชงกาแฟกินเอง พร้อมอาหารรองท้องเล็กน้อย ส่วนมื้อกลางวันจะซื้อเผื่อกินมื้อเย็นไปด้วยเลย แม้ราคาไม่แพง แต่อิ่มอร่อยและได้สารอาหารครบ

“พี่หนู” ยืนยันว่า รายได้วันละ 500 บาท บวกค่าล่วงเวลาเล็กน้อย สามารถใช้ชีวิตในเมืองที่มีค่าครองชีพสูงอย่างกรุงเทพฯ ได้อย่างพอเพียง หากประหยัดอดออมและมีวินัยทางการเงิน

ทุกวันนี้ “พี่หนู” ใช้จ่ายเดือนละไม่เกิน 6,000 บาท และมีเงินเหลือเก็บเพื่อนำไปลงทุนในกองทุนรวมหุ้น เพิ่มเดือนละไม่ต่ำกว่า 9,000 บาท

เธอบอกว่าทุกอย่างอยู่ที่การกำหนดเป้าหมายและวางแผน “พี่หนู” จะวางเป้าหมายการลงทุนของตัวเองไว้ทุกปี ซึ่งช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนปรับตัวลงหนักๆจากพิษโควิด-19 พี่หนูบอกว่า ยิ่งต้องลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ตลาดดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น ราคาหุ้นก็จะปรับขึ้นมาเอง เพราะเราเน้นลงทุนระยะยาว

“พี่หนู” รู้เรื่องการลงทุน นอกจากที่ได้รับอบรมในโครงการ Happy Money, Happy Retirement แล้ว เมื่อมีเวลาว่าง เธอจะหาความรู้เพิ่มเติมโดยอ่านหนังสือในห้องสมุดมารวย ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างเงินทองต้องวางแผน และออมก่อนรวยกว่า ถือเป็นเล่มแรกๆ ที่เธอหยิบอ่าน!!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

12 วิธีนักท่องเที่ยว หัวใจสีเขียว เที่ยววีถีใหม่ใส่ใจ สิ่งแวดล้อม

0

ทส. ชวนคนไทยท่องเที่ยว วีถีใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

สำหรับการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติวิถีใหม่  ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (New Normal ) จะจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับแต่ละขนาดอุทยาน โดยประชาชนสามารถจองคิวล่วงหน้า ผ่านแอพลิเคชั่น QueQ    โดยสามารถดาวน์โหลดแอพลิเคชั่น QueQ ได้ในระบบiOS : shorturl.at/mtFJ4  และ Android : shorturl.at/eHVY5

สำหรับใครที่ไม่สะดวกใช้แอพ ไม่ต้องกังวลใจไปว่าจะอดเที่ยวอุทยานฯอีกต่อไป โดยประชาชนยังสามารถโทรจองการท่องเที่ยวล่วงหน้า โดยตรงหรือวอล์คอินเข้ามาได้   โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เราจะแบ่งสัดส่วนโควต้าให้สำหรับการจองผ่านแอพพลิเคชั่น 70% และเผื่อสำหรับนักท่องเที่ยวที่วอล์คอิน 30%

อย่างไรก็ตามเน้นย้ำประชาชน อย่าลืมเช็คอิน เข้า-ออก อุทยานฯ ผ่านระบบไทยชนะ เพื่อบันทึกข้อมูล สำหรับมาตรการควบคุมโรคระบาด Covid-19 สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น รักษาระยะห่างระหว่างกัน และหมั่นล้างมือ / และเมื่อเข้าไปพักอาศัย หรือท่องเที่ยวในอุทยาน. ยังคงต้องปฎิบัติ ตนเป็นนักท่องเที่ยวหัวใจสีเขียว ด้วยวิธีง่ายๆดังนี้

  1. ไม่ส่งเสียงดัง
  2. ไม่ด่อกองไฟ
  3. ไม่นำสัตว์เลี้ยงเข้าพื้นที่อุทยาน
  4. ไม่นำบรรจุภัณฑ์ประเภทโฟมเข้าพื้นที่อุทยาน
  5. ไม่ให้อาหารสัตว์
  6. ไม่ตัดไม้มาทำเป็นฝืน
  7. ไม่ขีด้ขียนในที่ต่างๆ
  8. ไม่เก็บดอกไม้  หรือพืชชนืดต่างๆ ออดจากพื้นที่อุทยาน
  9. สูบบุหรี่ ในสถานที่ที่กำหนด
  10. ไม่นำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
  11. ทิ้งและแยกขยะ ลงถังที่จัดเตรียมไว้
  12. ช่วยกันนำขยะออกจากพื้นที่อุทยาน

การท่องเที่ยววิถีใหม่  หากทุกคนช่วยกันรักษาความสะอาด ทิ้งขยะในจุดที่จัดเตรียมให้  อุทยาน จะคงความสวยงาม  และไม่กระทบต่อสัตว์ป่า  เพราะตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาที่มีการปิดอุทยาน ไม่มีการตรวจพบสัตว์ป่าตายจากการกินขยะพลาสติกเลย   จึงขอให้ช่วยกันรักษามาตรฐานดีๆแบบนี้กันไว้

ทั้งนี้การท่องเที่ยวอุทยานฯ แบบ New Normal อาจไม่สะดวกสบายเหมือนแต่ก่อน เพราะมีมาตรการต่างๆ เข้ามาควบคุม อาจมีข้อผิดพลาดบ้าง ประชาชนสามารถตรวจสอบรายละเอียดการเปิด-ปิดอุทยานแห่งชาติ พร้อมจำนวนนักท่องเที่ยวที่รองรับในแต่ละแห่ง ได้ที่ https://www.facebook.com/prhotnews02/posts/2215857881893019 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช โทร 1362   ได้อีกช่องทางด้วย

นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือ ประชาชนที่ไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติ. หรือแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติทุกแห่งขอให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง จำกัดความเร็ว ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุต่อสัตว์ป่า   เพราะนอกจากจะทำลายทรัพยากรธรรมชาติแล้ว ยังมีความผิดตามกฏหมายด้วย โดยเข้าข่ายความผิด 2 มาตรา ได้แก่

– พรบ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562

มาตรา 19 (3) ภายในอุทยานแห่งชาติ ห้ามมิให้ผู้ใดล่าหรือนำสัตว์ป่าออกไป หรือกระทำให้เป็นอันตรายแก่สัตว์ป่าด้วยประการใดๆ หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

– พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562

มาตรา 12 ห้ามมิให้ผู้ใดล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง *** โดยคำว่า “ล่า” หมายรวมถึงทำอันตรายด้วยประการใดๆแก่สัตว์ป่า หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3-15 ปี ปรับ 300,000 – 1,500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

#ท่องเที่ยววิถีใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

#คุณภาพสิ่งแวดล้อมคือคุณภาพชีวิต

ขอบคุณ ภาพจากสำนักอุทยานแห่งชาติ

พาเที่ยวชมอุโมงค์เหมืองแร่เก่า ดร. ผล กลีบบัว

0

เกรียนพาเที่ยว ทริปนี้ อยากแนะนำให้จูงลูกจูงหลานไปเที่ยว แหล่งเรียนรู้..นอกห้องเรียน อุโมงค์เหมืองแร่ ดร.ผล กลีบบัว

อุโมงค์เหมืองแร่ตะกั่วเก่า ดร.ผล กลีบบัว (อุโมงค์ 3 มิติ)
ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่  ๒ บ้านป่าไม้สะพานลาว ต.สหกรณ์นิคม อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

อดีตเหมืองแร่ตะกั่ว ปัจจุบันเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และแหล่งเรียนรู้ของเด็กและนักศึกษา เป็นเส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยาและประวัติศาสตร์

ถ้าใครจะมาเที่ยว รถส่วนตัวก็ขับเข้าไปเที่ยวได้ แต่แอดมินกุ้งอยากแนะนำให้ติดต่อไกด์นำเที่ยว เพราะตลอดทาง เราจะได้ฟังข้อมูลเชิงลึกต่างๆมากมาย มีให้ศึกษาเรียนรู้ตั้งแต่ทางเข้า จนถึงปากทางออกอุโมงค์กันเลยทีเดียว

แอดมินกุ้ง มีโอกาสไปเที่ยวที่นี่กับครอบครัว ประทับใจมากจนต้องขอมาถ่ายทอดประสบการณ์ท่องเที่ยวครั้งนี้

การเที่ยวอุโมงค์ แอดใช้ชบริการรถกระบะนำเที่ยว พร้อมไกด์ พาเข้าไปเที่ยวชมอุโมงค์เหมืองแร่่เก่า พบว่า ด้วยความที่ภายในอุโมงค์ไม่ถูกรบกวน ธรรมชาติก็เริ่มสร้างสรรค์ความงามในตัว ปรากฏเป็นหินงอก หินย้อย ตามธรรมชาติ

ปลายทางอุโมงค์ นอกจากจะมีแสงสว่างรออยู่ข้างหน้า ไกด์เล่าให้ฟังว่า ตรงนี้เคยเป็นที่ตั้งของร้านเซเว่นอีเลฟเว่นเมื่อในอดีต คนงานในเหมืองเมื่อถึงเวลาพัก ก็จะพากันมาจับจ่ายใช้สอยกันที่ร้านนี้

เราเห็นต้นไม้สูงเด่นอยู่บนทางรถผ่าน มีสตอรี่ที่มาของชื่อที่คนในพื้นที่ตั้งชื่อว่า “ต้นผึ้ง” เพราะเป็นต้นที่ผึ้งชอบมาทำรังมากที่สุด

“ต้นผึ้ง” เพราะเป็นต้นที่ผึ้งชอบมาทำรังมากที่สุด

ออกจากอุโมงค์มา เราเดินทางต่อไปยังด้านบน พบกับจุดชมวิวที่สวยงาม เรียกว่า จุดชมวิวเนินสวรรค์ อ.ทองผาภูมิ เขตอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ พี่ไกด์บอกว่า สามารถขึ้นมานอนกางเต้นท์ได้ เพราะมีลานกางเต้นท์ และมีห้องน้ำรองรับ อากาศดีมากโดยเฉพาะปลายฝนต้นหนาว อากาศจะหนาวเย็นกันเลยทีเดียว ที่สำคัญ ยังมีทะเลหมอกให้ชมยามเช้าอีกด้วย

จุดชมวิวเนินสวรรค์

ยอดเขาที่เห็นนี้ ถูกเรียกกันว่ายอดเขาเอเวอร์เลส มีบริษัทรถหลายค่ายเลยเคยมาถ่ายทำโฆษณา

ยอดเขาเอเวอร์เลส ที่กาญจนบุรี

วันที่เราไป..ก็มีขบวนคาราวานรถออฟโรดมาขับลุยเข้าถ้ำกัน..แต่แอดฯ กุ้ง อยากแนะนำให้ติดต่อคนนำเที่ยวในพื้นที่ดีกว่า รับรองว่า ถ้าพาเด็กๆ มาด้วย จะได้ความรู้ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ฟังสนุกดีเชียวละ จะได้เห็นต้นไม้กวาด ที่เอามาทำไม้กวาด, ต้นปาล์ม, ต้นผึ้ง..ที่ผึ้งชอบทำรัง, แร่ต่างๆ ภายในถ้ำ, วิธีเจาะระเบิดหาแร่ ฟังกันเพลิน

ที่นี้มีกองถ่ายหนังมาถ่ายทำหลายเรื่องมาก สารคดีต่างประเทศก็มาถ่ายทำ เช่นญี่ปุ่น เพราะเค้าบอกว่าแร่ตะกั่วแห่งนี้ เป็นแร่ที่ใช้ทำลูกกะสุนของญี่ปุ่นสมัยก่อนนู้น

ติดต่อสอบถามไกด์นำทาง 08 1362 8857 เป็นจนท.รับจ้างของกรมป่าไม้ วันที่แอดกุ้งไปเช่ารถขึ้นเขาพร้อมไกด์ ตกลงราคากันที่ 1,500 บาท นั่งได้ 10 คน ใช้เวลารอบละประมาณ 3 ชม.

อย่าพลาดครับ วิวสวยแปลกตาของอุโมงค์ 3 มิติ รอให้เราออกเดินทางไปสัมผัสกันครับ

ซีพีเอฟ ร่วมคืนสมดุลระบบนิเวศป่าชายเลน สร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชน

0

“เมื่อก่อนพื้นที่แถวนี้ เรียกว่า ดอนหอยแครง แต่ในช่วงหลายสิบปีมานี้ หอยแครงหาได้น้อยมาก เรือดุน เรืออวน ต้องออกจากฝั่งไปไกลๆ เพื่อจับกุ้ง หอย ปู ปลา ถึงจะจับได้ แต่หลังปี 2561 เมื่อป่าชายเลนได้รับการฟื้นฟู มีต้นไม้เพิ่มขึ้น ป่ากลับมาสมบูรณ์ เห็นได้ชัดเจนว่าสัตว์หลายชนิดที่เคยหายไปก็กลับมา เช่น หอยแครง ปลากระบอก แมงดาจาน ทำให้สามารถจับสัตว์น้ำได้ใกล้ๆแนวป่าใหม่ โดยไม่ต้องออกไปไกลเหมือนที่ผ่านมา”

คำบอกเล่าจาก “น้าเหลิม” หรือ เฉลิมศักดิ์ ชินชำนาญ ชาวตำบลบางหญ้าแพรก ที่ยึดอาชีพประมงชายฝั่ง เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพป่าชายเลนในพื้นที่ ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร หลังจากที่มีโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าฯ เข้ามาดูแลและส่งเสริมให้ชุมชนเห็นความสำคัญของการรักษาป่าให้คงอยู่ ผลที่เกิดขึ้น คือ จำนวนต้นไม้ที่เพิ่มขึ้น สัตว์น้ำต่างๆ กลับเข้ามาในพื้นที่มากขึ้นด้วย

“น้าเหลิม” หรือ เฉลิมศักดิ์ ชินชำนาญ

ก่อนปี 2557 ผืนป่าชายเลน ต.บางหญ้าแพรก เป็นบริเวณที่ต้นไม้เติบโตได้ยาก อัตราการรอดของต้นไม้มีน้อย เนื่องจากอยู่ในพื้นที่อ่าวตัว ก. ที่มีอัตราการกัดเซาะชายฝั่งสูง มีปัญหาขยะที่ลอยมาติดชายฝั่ง เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของต้นไม้ แต่หลังจาก “โครงการปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” ที่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กำหนดเป็นหนึ่งพื้นที่เป้าหมายในการอนุรักษ์และฟื้นฟูสมดุลธรรมชาติป่าชายเลนในระยะ 5 ปี (2557-2561) ทำให้วันนี้ … ผืนป่าบริเวณนี้มีต้นแสมขึ้นเขียวครึ้มเต็มพื้นที่

ด้วยกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ภายใต้ความร่วมมือดำเนินโครงการในลักษณะ 3 ประสาน คือ ภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ที่มีเป้าหมายร่วมกันเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน ประกอบกับการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น อาทิ ปักไม้ไผ่ ล้อมอวนเพื่อป้องกันขยะ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์การปลูก การดูแล รวมถึงกระบวนการจัดการป่าชายเลนอย่างมีส่วนร่วมในระดับท้องถิ่น ทำให้ต้นไม้ที่ปลูกมีอัตรารอดเพิ่มขึ้นและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลับมาเป็นผืนป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ ช่วยรักษาสมดุลธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางบกและทางทะเล นำมาสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชน

“พลายงาม ชาวไร่ ” หรือน้าแขก อาชีพรับจ้างงมหอย พื้นเพเป็นคน ต.บางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร เล่าว่า สมัยก่อนไม่มีป่าชายเลน ต้นไม้ยังมีน้อย เมื่อมีคลื่นลมแรงซัดทำให้ดินบริเวณชายฝั่งถูกเซาะพังเข้ามาเรื่อยๆ สัตว์น้ำไม่มีเกราะกำบัง แต่ตอนนี้ป่าชายเลนงอกงามขึ้น ช่วยป้องกันคลื่นและลมที่ซัดเข้าฝั่ง และป้องกันการเซาะพังของชายฝั่ง ทำให้สัตว์น้ำเข้ามาในพื้นที่และอาศัยตามรากต้นแสม เช่น ปลากระบอก กุ้งฝอย แมงดาจาน ปลาตีน หอยชนิดต่างๆ ทั้งหอยแครง หอยเสียบ หอยพิม หอยกระปุก ชาวบ้านที่มีอาชีพทำประมงมีรายได้เพิ่มขึ้น

“พลายงาม ชาวไร่ ” หรือน้าแขก

“โทน อินกลับ ” วัย 57 ปี อาชีพประมงชายฝั่ง ชุมชนบางหญ้าแพรก บอกว่า ทำอาชีพนี้มาตั้งแต่อายุ 20 ปี ส่วนใหญ่หาปูแสม ซึ่งเมื่อก่อนหาได้วันละ 3-4 กิโลกรัม แต่ในช่วง 2-3 ปีนี้หลังจากที่มีโครงการอนุรักษ์ป่า มีปูแสมเพิ่มขึ้นเยอะมาก บางวันหาปูได้ถึง 10 กิโลกรัม หรือหอยพิมที่หายไปจากพื้นที่หลายปีกลับมา สัตว์น้ำต่างๆเข้ามาเยอะขึ้น เพราะป่ามากขึ้น ปูแสมที่อาศัยตามต้นแสมและกินใบแสมเป็นอาหาร ป่ามากขึ้น ก็ทำให้ชาวบ้านที่ทำอาชีพประมงชายฝั่งมีรายได้ดีขึ้น

โทน อินกลับ

“กุสุมา แซ่เล้า” อาชีพทำประมง เมื่อก่อนป่าชายเลนบริเวณนี้ ต้นไม้ตายเกือบหมด เพราะน้ำไม่ดี ดินก็ไม่ดีด้วย หลังจากที่มีโครงการปลุูกป่า ฯ ทำให้ดินและน้ำกลับมาดีขึ้น อยากให้ปลูกป่าอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพราะต้นไม้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้สัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ชาวบ้านที่มีอาชีพประมงมีรายได้เพิ่มขึ้น ดีใจที่ในพื้นที่มีป่าชายเลนกลับมาเหมือนเดิม พวกผมและชุมชนจะช่วยกันดูแลและรักษาป่าให้คงอยู่ตลอดไป

กุสุมา แซ่เล้า

สภาพธรรมชาติของป่าชายเลนที่กลับมาอุดมสมบูรณ์ ไม่เพียงทำให้อาชีพประมงชายฝั่งมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ธรรมชาติที่สวยงามของผืนป่าชายเลนแห่งนี้ ได้รับการพัฒนาสู่เส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมพื้นบ้านและวิถีชีวิตของคนในชุมชน สร้างอาชีพ สร้างรายได้สู่ชุมชนจากการท่องเที่ยว นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี

นอกจากนี้ รายได้ส่วนหนึ่งจากเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ถูกแบ่งปันเข้ากองทุนอนุรักษ์ป่าชายเลน เพื่อให้ชุมชนมีกองทุนหมุนเวียนสำหรับใช้ในการดูแลรักษาป่าชายเลน และชุมชนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบัน ต.บางหญ้าแพรก เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวแนวอนุรักษ์ธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรสาคร

ป่าชายเลน ต.บางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร เป็น 1 ใน 5 ของผืนป่าชายเลนที่ได้รับการอนุรักษ์และฟื้นฟู ในโครงการ “ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” ระยะที่ 1 (ปี 2557-2561 ) ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จับมือชุมชน และภาคเอกชน คือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมฟื้นฟูและรักษาความสมดุลของระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของป่าชายเลนที่มีส่วนต่อการรักษาและส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติอันเป็นพื้นฐานต่อการสร้างแหล่งอาหารที่มั่นคงให้กับทุกชีวิตอย่างยั่งยืน

ซีพีเอฟ เชื่อมั่นคอนแทร็คฟาร์มมิ่ง หนุนเศรษฐกิจ-สังคม-สิ่งแวดล้อมยั่งยืน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ปรับปรุงการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ของโครงการคอนแทร็คฟาร์มมิ่ง หลังจำนวนเกษตรกรเพิ่มขึ้น พบว่าให้ผลลัพธ์ดีขึ้นในทุกมิติ เกษตรกรมีคุณภาพชีวิต รายได้และสังคมที่ดีขึ้นตลอดจนช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมตอกย้ำการดำเนินงานด้านคอนแทร็คฟาร์มมิ่งของบริษัทช่วยสนับสนุนความยั่งยืนได้อย่างมีนัยสำคัญ

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า เมื่อปีก่อนบริษัทได้ทำการประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของโครงการคอนแทร็คฟาร์มมิ่งเพื่อให้เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนตามหลักการสากล โดยใช้วิธี Impact Valuationที่จะตีมูลค่าผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบของโครงการออกมาเป็นมูลค่าเงิน ต่อมาในปี 2562 เกษตรกรในโครงการคอนแทร็คฟาร์มมิ่งของบริษัทมีจำนวนเพิ่มขึ้น230 ราย จึงปรับปรุงวิธีการคำนวณให้ดีขึ้นจากครั้งก่อน โดยได้ผลประเมินมูลค่าที่แท้จริง (True Value) ถึงกว่า 390 ล้านบาท

วุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ

ทั้งนี้ การประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจของโครงการคอนแทร็คฟาร์มมิ่งนั้น พบว่าเกษตรกรมีรายได้ในปีที่ผ่านมาถึงกว่า 108 ล้านบาท สามารถลดสัดส่วนเกษตรกรที่มีค่าครองชีพต่ำกว่าเส้นความยากจนลงจาก 40% เหลือ 0%  ส่วนในด้านสังคมพบว่า เกษตรกร85% มีความสามารถส่งบุตรหลานให้ได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นกว่าการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตลอดจนมีเวลาว่างอยู่กับลูกและครอบครัวมากขึ้น 2.4 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปถึงการลดปัญหาสังคมอันเนื่องมาจากปัญหายาเสพติดในเยาวชน

นอกจากนี้ การที่ฟาร์มสุกรของเกษตรกรซีพีเอฟทุกแห่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และผ่านการทำประชาคมจากชุมชน โดยที่ตั้งฟาร์มต้องอยู่ในบริเวณที่มีแหล่งน้ำธรรมชาติเพียงพอเพื่อไม่สร้างผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ ตลอดจนมีการติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ(Biogas)เพื่อบำบัดมูลสุกรและน้ำใช้ภายในฟาร์ม จึงช่วยลดปัญหากลิ่นและลดก๊าซมีเทนที่ออกสู่ชั้นบรรยากาศ รวมถึงมีการนำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วไปมอบให้ชาวสวนชาวไร่ใช้รดพืชผล เป็นปุ๋ยชั้นดีให้กับพืชไร่ต่างๆ ทำให้ฟาร์มอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างมีความสุข สิ่งเหล่านี้ทำให้ผลการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมพบว่า แม้การใช้ไฟฟ้าและเชื้อเพลิงในการเลี้ยงสุกรจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในด้านก๊าซเรือนกระจกบ้าง แต่ฟาร์มเกือบทั้งหมดของเกษตรกรซีพีเอฟมีการทำระบบไบโอแก๊สซึ่งเมื่อนำมาคำนวณร่วมกันแล้ว พบว่าช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงกว่า 168,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

กล่าวโดยสรุปเมื่อนำผลกระทบต่อเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม มาคำนวณเป็นมูลค่าเงินตามหลักการสากล พบว่า Contract Farming’s True Value มีมูลค่าเป็นบวกและมีค่าสูงถึง 392,206,715 บาท/ปี

“การส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสุกรขุนแก่เกษตรกรรายย่อยด้วยระบบคอนแทร็คฟาร์มมิ่งนี้ สามารถสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอและยั่งยืนแก่เกษตรกรในโครงการ ลดอุปสรรคด้านการเข้าถึงแหล่งทุนของเกษตรกรซึ่งเป็นด่านแรกในการประกอบอาชีพ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนดำเนินโครงการ “ปลดหนี้ สร้างสุข และส่งเสริมการออม” เพื่อให้ความรู้ในการทำบัญชีครัวเรือนและการบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพในกลุ่มเกษตรกรด้วย หลังประสบความสำเร็จมาแล้วในกลุ่มพนักงาน  ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสังคมได้อีกทางหนึ่ง”

ทุกภาคส่วนทั่วโลกตื่นตัวแก้ไขโลกร้อน ความหวังลดอุณหภูมิโลก

0

ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตัวด้านความร่วมมือจากภาครัฐนานาชาติเท่านั้น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและภาคประชาชนทั่วโลกต่างก็ตื่นตัวในเรื่องนี้  การรณรงค์ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้กลายเป็นศูนย์ คือความท้าทายสำคัญที่หน่วยงานตั้งเป้าหมายไปพร้อม กับการดำเนินธุรกิจ

มีรายงานว่า ชาวอเมริกัน 6 ใน 10 คน ตื่นตัวแสดงข้อกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทเอกชนชั้นนำกว่า 500 แห่งทั่วโลก แสดงความมุ่งมั่นที่จะกำหนดเป้าหมายในการดูแล ปกป้องสภาพภูมิอากาศ โดยนำเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ยุคใหม่เข้ามาเป็นเครื่องมือที่ช่วยดูแลเรื่องนี้

บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลก อย่าง แอมะซอน (Amazon) ประกาศว่า จะทุ่มงบประมาณ 2,000ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 61,800 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งกองทุน ‘Climate Pledge Fund’ เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้กลายเป็นศูนย์สำหรับเศรษฐกิจในอนาคต รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์บนพื้นฐานการทำธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำสอดคล้องกับพันธกิจตามความตกลงปารีส (Paris Agreement)

ขณะเดียวกันแอมะซอน ยังตั้งเป้าที่จะใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ในสัดส่วน 100% ภายในปีปี พ.ศ.2568 ปัจจุบัน แอมะซอน มีโครงการด้านพลังงานหมุนเวียนอยู่ในบริษัทมากถึง 91 โครงการ ในจำนวนนี้ประกอบด้วยโปรเจกต์พลังงานลมและแสงอาทิตย์ 31 แห่ง และหลังคาโซลาร์เซลล์อีก 60 แห่ง ซึ่งสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ไม่ต่ำกว่าปีละประมาณ 7.6 ล้านเมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) มากเพียงพอที่จะผลิตกระแสไฟให้กับพลเมืองในสหรัฐอเมริกา ประมาณ 680,000 ครัวเรือน รวมถึงวางแผนซื้อรถตู้พลังงานไฟฟ้า100,000 คัน เพื่อนำมาใช้จัดส่งสินค้าให้กับผู้บริโภคเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยคาดว่าจะเริ่มใช้งานได้จริงวิ่งบนท้องถนนภายในปี 2564

เช่นเดียวกับมาร์ส  (Mars, Incorporated) บริษัทผู้ผลิตอาหารชั้นนำ ประกาศว่า จะใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในการดำเนินงานภายในปี 2583 และยืนยันว่า ปัจจุบัน ไฟฟ้ามากกว่าครึ่งหนึ่งที่บริษัทใช้มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน และบริษัทใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในหลายประเทศ ได้แก่ สหรัฐ สหราชอาณาจักร เม็กซิโก และออสเตรเลีย มาร์สได้ตั้งงบประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ในการดำเนินกลยุทธ์สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อเร่งให้เกิดความก้าวหน้าในการรับมือกับภัยคุกคามของโลก โดยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกกระบวนการผลิต ลง 27% ภายในปี 2568 และ 67% ภายในปี 2593

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2562  โซนี่อินเตอร์แอ็กทีฟเอ็นเตอร์เทนเมนต์ (Sony Interactive Entertainment) บริษัทอุตสาหกรรมเกมยักษ์ใหญ่ ประกาศนโยบายสำคัญโดยจับมือกับองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น ดำเนินโครงการทที่แสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมเกมและสิ่งแวดล้อม สามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้อย่างยั่งยืน โดยประกาศมาตรการแรก คือ ลดอัตราการใช้พลังงานของเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ให้น้อยลง โดยตั้งเป้าหมายให้สามารถหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้มากถึง 16 ล้านเมตริกตัน และคาดว่าจะลดได้ถึง 29 ล้านเมตริกตัน ในอีก 10 ปีข้างหน้า

การกำหนดให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการดูแลปัญหาโลกร้อน ไม่ได้เป็นมีเพียงภาครัฐหรือเอกชนเท่านั้น ภาควิชาการในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั่วโลก ก็เข้ามามีบทบาทนี้เช่นกัน

โดยมีรายงานข่าวว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ ของ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษได้ริเริ่ม ก่อตั้ง “ศูนย์เพื่อการฟื้นฟูสภาพภูมิอากาศโลก” (Centre for Climate) เพื่อหาแนวทางให้โลกมีระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นกลางในอนาคต โดยใช้เทคโนโลยีเข้าแทรกแซงและควบคุมระบบภูมิอากาศของโลกในวงกว้าง เพื่อหยุดยั้งภัยพิบัติที่เกิดจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นในทุกปี

ศูนย์ดังกล่าวได้จับมือกับ ทาทาสตีล บริษัทผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ ริเริ่มโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ถูกปล่อยจากโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินหรือแก๊ส หรือโรงงานผลิตเหล็ก แล้วกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ใต้ดิน รวมถึงหาแนวทางอื่น ๆ ในการขจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศโลก และช่วยลดอุณหภูมิโลกให้กลับคืนสู่ระดับที่ไม่เสี่ยงต่อภาวะโลกร้อน

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทุกภาคส่วนทั่วโลก ตื่นตัวขึ้นกำหนดบทบาทและตระหนักถึงวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อร่วมกันว่า หากในอนาคต เรื่องนี้ล้มเหลว ผลลัพธ์ของความล้มเหลวอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายที่ยากจะหลบเลี่ยงหรือคาดเดาได้ทั่วโลก

ไทยในบทการแก้ไขปัญหาโลกร้อน สู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

0

ภัยพิบัติทางธรรมชาติในรูปแบบต่าง ๆ ที่รุนแรงและเกิดบ่อยครั้งขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก สร้างความตะหนักเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น จนนำไปสู่การจัดตั้งรัฐภาคีว่าด้วยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change หรือ UNFCCC) ในปี พ.ศ. 2535

ประเทศไทย ในฐานะสมาชิกรัฐภาคี ได้ให้ร่วมมือกับประชาคมโลกต่อสู้กับปัญหานี้มาโดยตลอด แม้ประเทศไทยจะมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศอุตสาหกรรม หรือเป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณร้อยละ 1 ของโลก

ประเทศไทยได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำแผนแม่บทรับรองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2556–2593

ทั้งนี้ แผนแม่บทดังกล่าว เป็นแผนงานที่บูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ เอกชน และประชาสังคมให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมไทย และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนาความรู้และกลไกในการกระตุ้นให้เกิดแผนบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพในทุกระดับ รวมถึงส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนที่เข้มแข็ง ร่วมมือกับประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยไม่ทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของไทย หรือสร้างอุปสรรคต่อการพัฒนาและความสามารถในการแข่งขันของไทย

นอกจากนี้ ยังได้จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (2555–2559) ซึ่งกำหนดให้ปรับกระบวนทัศน์ และทิศทางการพัฒนาประเทศอย่างบูรณาการ และเตรียมพร้อมไปสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Low-carbon society) รวมทั้งการแก้ปัญหาความยากจน และเสริมสร้างความมั่นคง ทางอาหาร โดยแบ่งแผนปฏิบัติงานออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และเตรียมการสำหรับการติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน รวมถึงปรับปรุงแผนแม่บททุก ๆ 10 ปี เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมของแผนแม่บทและการดำเนินงาน

ขณะเดียวกัน ยังได้จัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ใน พ.ศ. 2550 เพื่อวิเคราะห์ กลั่นกรอง และให้ความเห็นเกี่ยวกับการให้คำรับรองโครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism หรือ CDM) โดยปัจจุบัน ได้รับรองโครงการ CDM กว่า 182 โครงการ โดยมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดย อบก. มีแผนที่จะพัฒนาตลาดคาร์บอนแบบสมัครใจของไทย (Domestic Voluntary Carbon Market) เพื่อสร้างกลไกสนับสนุนการดำเนินการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และเชื่อมโยงกับตลาดคาร์บอนในประเทศต่าง ๆ

นอกจากนั้น ที่ผ่านมาประเทศไทยยังได้ประกาศแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี (พ.ศ.2554–2573) โดยมีเป้าหมายลดความเข้มข้นการใช้พลังงาน (Energy Intensity) ลงร้อยละ 25 และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก 10 ปี(2555–2564) โดยมีเป้าหมายที่จะใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกให้ได้ร้อยละ 25 ใน พ.ศ. 2564

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ภายใน พ.ศ. 2573 ให้ได้ ร้อยละ 20 ถึง 25 หรือพยายามลดการปล่อยลงจาก 555 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ให้ได้ 111-139 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายใน พ.ศ. 2573

บทบาทของประเทศไทยในฐานะประธานกลุ่ม 77 ได้แสดงความพร้อม สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพ ที่จะประสานความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กระตุ้นให้นานาประเทศตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อนว่าต้องร่วมกันแก้ไขอย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งได้ดำเนินการเชิงยุทธศาสตร์ รณรงค์ประชาสัมพันธ์และสร้างจิตสำนึกในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ขยายผลออกไปยังกลุ่มเด็กและเยาวชนซึ่งจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบในอนาคต ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้ตระหนักรู้ถึงสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

#คุณภาพสิ่งแวดล้อมคือคุณภาพชีวิต

#กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม

อ้างอิง
http://www.voathai.com/content/paris-climate-agreement-ss/3101747.html
http://www.environnet.in.th/?page_id=3677Environnet.in.th
http://www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/cop21-5/blog/54884/

โออาร์ ผนึก อาคเนย์ประกันภัย เปิดตัว “อาคเนย์ สเตชั่น” ในสถานีบริการน้ำมัน ให้คำปรึกษาการเงินและประกันครบวงจร

0

นายสุชาติ ระมาศ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีก และ นายบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) พร้อมด้วย นางภฤตยา สัจจศิลา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมพิธีเปิดตัว “อาคเนย์ สเตชั่น” เพิ่มช่องทางให้บริการให้คำปรึกษา แนะนำ และอบรมด้านการเงินและประกัน

เพื่ออำนวยความสะดวกผู้บริโภคที่มาใช้บริการที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ด้วยบริการที่ครบครัน ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาสถานีบริการน้ำมันฯ ที่มุ่งให้ธุรกิจและสังคมเติบโตไปด้วยกัน สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างสถานีบริการน้ำมันฯ คู่ค้า และคนในพื้นที่ เพื่อสร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ ที่ตรงตามความต้องการและความคาดหวังของสังคมชุมชนและผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ ให้ทุกคนได้รับประโยชน์อย่างสมดุลและอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน 

นายสุชาติ เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีลูกค้าที่ใช้บริการให้ปั๊ม ปตท.ทั่วประเทศเฉลี่ยวันละ 1.2 ล้านคน และมีความต้องการสินค้าที่หลากหลาย ไม่ใช่เฉพาะแค่เติมน้ำมันเพียงอย่างเดียว ซึ่งในส่วนของสินค้าประกันภัยก็เป็นหนึ่งในความต้องการของลูกค้า

ทั้งนี้ ตามแนวทางการพัฒนาพื้นที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น (PTT Station) ที่มุ่งให้ธุรกิจและสังคมเติบโตไปด้วยกัน สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างสถานีบริการ คู่ค้า และคนในพื้นที่ เพื่อสร้างสรรค์บริการใหม่ๆ ที่ตรงตามความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ ให้ทุกคนได้รับประโยชน์และอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน โดย โออาร์ ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพ ความเชี่ยวชาญทางการเงิน (Financial Solutions) ของอาคเนย์ ที่มีความพร้อมทั้งผลิตภัณฑ์ บริการ บุคลากร ตลอดจนประสบการณ์กว่า 70 ปี จึงเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ร่วมกันเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินด้านบริการประกันและการเงิน ที่โดดเด่นทั้งในเรื่องของทำเล ความสะดวกสบาย มาพร้อมสิทธิประโยชน์มากมายจากการเข้าใช้บริการ

ด้านนางภฤตยา เปิดเผยว่า กลุ่มอาคเนย์ ธุรกิจประกันและการเงินได้ร่วมมือกับโออาร์ เพื่อเปิดตัว “อาคเนย์ Station” ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น (ปตท.) ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการให้บริการที่ปรึกษาทางเงินด้านประกันชีวิต ประกันวินาศภัย และสินเชื่อรถมือสองครบวงจรให้กับลูกค้า โดยสาขาแรกเปิดให้บริการที่ ปั๊ม ปตท. สาขาเจริญราษฎร์ กรุงเทพ และภายในปีนี้จะเปิดให้ครบ 10 สาขากระจายตามหัวเมืองใหญ่ไปทั่วประเทศ

ทั้งนี้ คาดว่า สาขารูปแบบใหม่นี้จะสร้างการรับรู้และเพิ่มฐานลูกค้าใหักับกลุ่มอาคเนย์ได้มากขึ้น เนื่่องจากปัจจุบันมีผู้ใช้บริการในสถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น ในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าและสินค้าประกันวินาศภัยจะมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนสินค้าประกันชีวิตก็จะเติบโตในส่วนของเบี้ยเป็นหลัก

“บิ๊กรัง” นั่งเก้าอี้นายกสมาคมกอล์ฟต่อสมัยที่ 7

0

“บิ๊กรัง” นายรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหาร บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้รับคะแนนเสียงโหวตจากสมาชิกอย่างท่วมท้นให้รับตำแหน่งนายกสมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทย ต่ออีกสมัย เป็นสมัยที่ 7 (วาระ 2563-2567) ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ณ โพธาลัย เลเชอร์ปาร์ค เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา ประกาศจะพากอล์ฟไทยพัฒนา และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยต่อไป หลังตลอดเวลาที่ผ่านมาได้สร้างรากฐานความมั่นคงให้กับวงการกอล์ฟเยาวชนมาอย่างยาวนาน

ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ.การกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ.2558 และข้อบังคับสมาคมกีฬากอล์ฟฯ ฉบับแก้ไข พ.ศ.2558 สมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทย ได้จัดงานประชุมใหญ่ขึ้น โดยที่มี นส.กมลวรรณ สุทธิบุตร หัวหน้างานทะเบียนกลางสมาคมกีฬา และ นางสุทิน ทองประไพ ผช.ปฏิบัติงานทะเบียนกลางสมาคมกีฬา กององค์กรและพัฒนากีฬาเป็นเลิศ เป็นผู้แทนการกีฬาแห่งประเทศไทยเข้าร่วมสังเกตการณ์ในการประชุม

โดยที่ประชุมได้เสนอให้ คุณภานุ อนามบุตร จากชมรมกอล์ฟสิงห์ขอนแก่น เป็นประธานชั่วคราว จากนั้น สมชาย แพรุ่งโรจน์ทวี ผู้แทนจากชมรมกอล์ฟสิงห์นนทบุรี ได้เสนอชื่อ นายรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ นายกสมาคมคนเก่าเข้ารับตำแหน่งอีกวาระ และมีมติเป็นเอกฉันท์โดยที่ไม่มีคู่แข่ง ซึ่งการดำรงตำแหน่งในครั้งนี้ มีวาระ 4 ปี ระหว่าง 2563-2567

นายรังสฤษดิ์ เผยหลังได้รับเลือกตั้งว่า “สมัยต่อไปก็เป็นสมัยที่ 7 สำหรับ 13 ปีที่ผ่านมา เราทำมา 420 กว่ารางวัล อีก 4 ปีข้างหน้าเราตั้งเป้าที่จะก้าวไปสู่ระดับโลกให้ได้ โดยเฉพาะกับ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ที่เราจะต้องก้าวข้ามต่อไปให้ได้ อีกทั้งเราเตรียมจะสร้างแมตช์ขึ้นอีกแมตช์ด้วย และเราก็ยังจะส่งนักกอล์ฟของเราไปแข่งยังต่างประเทศให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์”

ส่วนสถานการณ์ โควิด-19 ที่ทำให้มัแมตช์การแข่งขันน้อยลง ยอมรับว่าเป็นช่วงลำบากเหมือนกัน เพราะคงจะมีแมตช์การแข่งขันน้อยลง แต่ก็ยังคงให้นักกอล์ฟซ้อมกันอย่างเต็มที่ ส่วนกีฬา โอลิมปิก และ เอเชี่ยน เกมส์ ยังไม่ทราบว่าจะมีการแข่งขันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เราก็พร้อม และก็มีตัวแทนของเราอยู่แล้ว อยากจะฝากถึงภาครัฐในการสนับสนุน และรวมถึงภาคเอกชน ที่อยากจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาวงการ เรายังคงเปิดกว้าง เพราะกีฬากอล์ฟเป็นกีฬาที่ต้นทุนสูง และต้องซ้อมตลอดทั้งปี

ทั้งนี้ข้อกำหนดเดิมของการกีฬาแห่งประเทศไทย นายกสมาคมกีฬาต่างๆสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย โดยนายรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ เข้าเป็นสมาชิก และคณะกรรมการของสมาพันธ์กอล์ฟแห่งเอเชีย-แปซิฟิก (APGC) ตั้งแต่ปี 2553 ที่ผ่านมา ทำให้ได้รับข้อยกเว้นของการกีฬาแห่งประเทศไทย ในฐานะเป็นสมาชิกขององค์กรกีฬาในระดับนานาชาติ จึงสามารถรับตำแหน่งนายกสมาคมฯได้ต่อเนื่อง ถึง 6 สมัย ได้อย่างไม่มีปัญหา ขณะที่ครั้งนี้ซึ่งมีวาระ 4 ปี พ.ร.บ.การกีฬาแห่งประเทศไทย 2558 ไม่มีข้อกำหนดดังกล่าว

ผลงานที่ผ่านมา ได้แก่ สร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญรางวัลได้เป็นครั้งแรกของไทยในเอเชี่ยนเกมส์ โดยทำได้ 1 เหรียญทอง 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 2 เหรียญทองแดง ที่อินชอน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2557, ได้เหรียญทอง กีฬามหาวิทยาลัยโลก ครั้งที่ 24 ปี 2550, คว้าแชมป์โนมูระ คัพ เป็นครั้งแรกของทีมไทย เมื่อปี 2560 ซึ่งเป็นการแข่งขันกอล์ฟสมัครเล่นทีมชายที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จัดขึ้น 2 ปีครั้ง, ได้เหรียญทองทีมผสม ในการแข่งขันกีฬายูธโอลิมปิก ครั้งที่ 3 ประเทศอาร์เจนตินา ในปี 2561 รวมถึงการครองเจ้าเหรียญทองในกีฬากอล์ฟการแข่งขันซีเกมส์หลายสมัย

ขายของออนไลน์ ขายดิบขายดี แต่ไม่มีเงินเก็บ

0

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์
ตอน “ขายของออนไลน์ ขายดิบขายดี แต่ไม่มีเงินเก็บ”

“อาซ้ง” ทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน)
กูรูค้าขาย

แนะใช้หลัก 5 บรรทัด

และย้ำว่ากลับมาดูเรื่องค่าใช้จ่ายและสต๊อกสินค้าให้ดี แล้วจะแก้ปัญหาได้ถูกจุด