Home Blog Page 416

โออาร์ จับมือไทยพาณิชย์ รุกเปิดร้าน คาเฟ่ อเมซอน ในสาขาธนาคาร

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่าได้มีการลงนามความร่วมมือระหว่าง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ กับ ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่จะเปิดบริการร้านคาเฟ่ อเมซอน ในสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่งสร้างระบบนิเวศด้านไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Ecosystem) เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการใช้บริการที่สาขาธนาคาร ก่อนต่อยอดสู่การสร้าง Customer Engagement เพื่อให้ลูกค้าเกิดความผูกพันกับองค์กรในระยะยาว

นายสุชาติ ระมาศ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีก บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มช่องทางทางการขายของร้านคาเฟ่อเมซอนอีกช่องทางหนึ่ง และยังเป็นการขยายฐานลูกค้าของคาเฟ่ อเมซอน อีกด้วย การเปิดให้บริการร้านคาเฟ่ อเมซอน ในสาขาของธนาคาร ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ของร้านกาแฟด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถซื้อเครื่องดื่ม และทำธุรกรรมทางการเงินได้ในที่เดียวแล้ว ยังเป็นการเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์ คาเฟ่ อเมซอน กับลูกค้า ทำให้ลูกค้ามี Engagement กับแบรนด์มากขึ้น โดยไม่เพียงแต่สามารถซื้อเพียงเครื่องดื่มและของว่าง หากแต่ยังสามารถทำธุรกรรมทางการเงิน หรือนั่งทำงานที่ SCB Business Center Co-Working Space ได้อีกด้วย

นางสาวอรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ธนาคาร ได้ร่วมมือกับ โออาร์ เดินหน้าสร้างระบบนิเวศน์ด้านไลฟ์สไตล์ ร่วมกันสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าด้วยบริการร้าน คาเฟ่ อเมซอน ในสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ จับแกนไลฟ์สไตล์พัฒนาพื้นที่สาขาธนาคารต่อยอดให้เป็นมากกว่าการให้บริการทางการเงิน มุ่งสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า เข้าถึงชีวิตและไลฟ์สไตล์ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความผูกพันระยะยาวกับองค์กร โดยนำร่องด้วย SCB Business Center สาขาสยามสแควร์ และที่จังหวัดเชียงใหม่ สาขาท่าแพ และสาขาตลาดวโรรส ก่อนขยายสู่สาขาอื่นต่อไป

“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น เราเห็นภาพโครงสร้างทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมผู้บริโภค ตลอดจนรูปแบบการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มี New Normal เกิดขึ้น เราเห็นการเปลี่ยนผ่านของลูกค้าที่หันมาใช้ช่องทางดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะการทำธุรกรรมการเงินผ่านโมบายแบงก์กิ้ง ธนาคารจึงมีแนวคิดในการนำพื้นที่สาขามาพัฒนาและต่อยอดให้เป็นมากกว่าพื้นที่ในการให้บริการทางการเงิน โดยได้ร่วมมือกับโออาร์ ที่มีความแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ “คาเฟ่ อเมซอน” ทั่วประเทศ มาร่วมกันสร้าง Lifestyle Ecosystem นำเอาแกนของไลฟ์สไตล์มาช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าและองค์กร ผ่านการเปิดให้บริการ “คาเฟ่ อเมซอน” ในสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อสร้างประสบการณ์การมาใช้บริการที่สาขาธนาคารในรูปแบบใหม่”

เอไอเอส ยกระดับเกาะสมุยเป็นสมาร์ทซิตี้ ใช้ 5G สร้างความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวและประชาชน

0

นางสาวอัศนีย์ วิภาตเวทย์ หัวหน้างานผลิตภัณฑ์ลูกค้าองค์กรและบริการระหว่างประเทศ เอไอเอส เปิดเผยว่า บริษัทยินดีที่ได้มีส่วนร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการเป็นเมืองอัจฉริยะ โดยร่วมมือกับ เทศบาลนครเกาะสมุย และ บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E พัฒนาโซลูชั่นส์ Smart Lighting บนเครือข่าย NB-IoT นวัตกรรมโคมไฟส่องสว่างอัจฉริยะ เพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยเมือง นำร่องใช้จริงแล้วในโครงการ “ปรับปรุงประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัย การลดและป้องกันอุบัติภัยทางถนน และอนุรักษ์พลังงาน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี”

อัศนีย์ วิภาตเวทย์ หัวหน้างานผลิตภัณฑ์ลูกค้าองค์กรและบริการระหว่างประเทศ เอไอเอส

โดยดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จ จำนวน 4,773 โคม ตามท้องถนนทั่วพื้นที่บนเกาะสมุย ยกระดับเกาะสมุยสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ “Samui Smart City” สร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางมายังเกาะสมุย ตลอดจนเสริมแกร่งภาคการท่องเที่ยว เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวบนเกาะสมุยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

นอกจากนี้ ยังเดินหน้าทดลองทดสอบเทคโนโลยี Smart Pole บนเครือข่าย 5G โดยเสา Smart Pole ประกอบด้วย Smart Lighting ที่สามารถควบคุมการเปิด ปิด หรือหรี่แสง ได้อัตโนมัติ สอดคล้องกับภูมิอากาศ และกล้องวงจรปิด CCTV เชื่อมต่อสัญญาณภาพบนเครือข่าย 5G ไปยังส่วนกลาง ซึ่งจะช่วยยกระดับความปลอดภัยเมืองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สำหรับ Smart Lighting เป็นนวัตกรรมโคมไฟส่องสว่างอัจฉริยะ ขับเคลื่อนการทำงานและเชื่อมต่อข้อมูลบนเทคโนโลยีเครือข่าย NB-IoT ที่สามารถทำงานได้อย่างไร้ข้อจำกัดด้านระยะทางและสิ่งกีดขวาง ทำให้ระบบมีความมั่นคง จึงช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเชื่อมต่อกับ Sensor ที่ฝังอยู่ในอุปกรณ์แสงสว่าง L&E ที่ติดตั้งทั่วพื้นที่เกาะสมุย ให้สามารถควบคุมการเปิด ปิด หรือหรี่แสง ได้อัตโนมัติ สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศ และยังสามารถตรวจสอบการส่องสว่างของโคมไฟในแต่ละพื้นที่ได้ผ่านห้องควบคุม Samui Smart City Command Center เสริมประสิทธิภาพการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านแสงสว่างของเทศบาลนครเกาะสมุย ให้สามารถใช้งานทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถดูแลความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวได้อย่างดีเยี่ยม ยกระดับเกาะสมุยสู่การเป็น Samui Smart City อย่างเต็มรูปแบบ และถือเป็นการนำเครือข่าย NB-IoT มาใช้งานอย่างเป็นรูปธรรมในระดับภูมิภาค เพื่อเสริมประสิทธิภาพให้กับโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และช่วยสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการของภาคเอกชน

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : เงินเดือนหมื่นห้า…มีเงินล้านได้ไม่ยาก!!

0

โดย คุณนายพารวย

คราวที่แล้ว เราได้เปิด “เส้นทางสู่การมีเงินล้าน” ของคนธรรมดาที่มีรายรับเพียงค่าแรงขั้นต่ำ วันละ 300 บาท ว่าต้องใช้จ่าย-เก็บออมและลงทุนอย่างไรเพื่อให้มี “เงินล้าน”

ครั้งนี้ เรามี “แผนพิชิตเงินล้าน” สำหรับมนุษย์เงินเดือน ที่ได้เงินเพียงเดือนละ 15,000 บาท ที่พี่ก้อย…วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กูรูนักวางแผนการเงินตัวจริงเสียงจริง ได้จัดทำไว้ให้ มาเริ่มปฏิบัติภารกิจพิชิตเงินล้านกันเลยดีกว่า

วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ นักวางแผนการเงิน

เงินเดือน 15,000 บาท เมื่อหักประกันสังคม 750 บาทออกแล้ว จะเหลือ 14,250 บาท ให้กันเงินออมออกไปก่อนเลย เดือนละ 1,000 บาท ตามคำภีร์ “ออมก่อนใช้” เงินที่เหลือ 13,250 บาท ให้วางแผนการใช้จ่ายไม่ให้เกินวงเงินนี้

หากไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ จะมีภาระค่าเช่าบ้าน+น้ำไฟ กำหนดไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท, ค่าเดินทางวันละ 50 บาท = 1,500 บาทต่อเดือน, ค่าอาหารวันละ 200 บาท 30 วัน = 6,000 บาท (เช้า-กลางวัน มื้อละ 50 บาท-เย็นมื้อละ 75 บาท), ค่าเสื้อผ้าโทรศัพท์และอื่นๆ เดือนละ 1,750 บาท

และให้นำเงินออมเดือนละ 1,000 บาทนี้ไปลงทุน ถ้าเริ่มทำงานและลงทุนทุกเดือนสม่ำเสมอตั้งแต่อายุ 20 ถึง 60 ปี หากได้ผลตอบแทนจากการลงทุนปีละ 3% ภายใน 40 ปี จะมีเงินออม 931,960 บาท แต่ถ้าได้ผลตอบแทน 5% ต่อปี เงินออมจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,522,077 บาท

และถ้าได้ผลตอบแทน 10% เงินออมจะพอกพูนเป็น 5,842,222 บาท ในเวลา 40 ปีเท่ากัน!!

แต่หากอยู่กับพ่อแม่ ไม่มีค่าเช่าบ้าน-ค่าน้ำไฟ ค่าอาหารเช้า-เย็นฝากท้องไว้ที่บ้าน ให้งบข้าวกลางวันได้วันละ 100 บาท รวม 30 วัน = 3,000 บาท ให้ใช้จ่ายค่าเสื้อผ้า โทรศัพท์ และอื่นๆ ได้เดือนละ 3,250 ถึง 5,250 บาท ก็จะออมได้เดือนละ 3,000 ถึง 5,000 บาท ขึ้นกับจะใช้จ่ายส่วนนี้เท่าไร

ถ้านำเงินออมเดือนละ 3,000 บาทนี้ ไปลงทุนและได้ผลตอบแทนเพียง 3% ต่อปี จะมีเงิน 2,795,879 บาท แต่หากได้ผลตอบแทน 5% เงินออมจะเพิ่มพรวดเป็น 4,566,231 บาท และถ้าได้ผลตอบแทนปีละ 10% เงินออมจะกระโดดขึ้นไปถึง 17,526,665 บาท!!!

แต่หากออมได้เดือนละ 5,000 บาท และลงทุนทุกเดือน 40 ปีเท่ากันที่ผลตอบแทน 3% ต่อปี จะมีเงิน 4,659,798 บาท หากได้ผลตอบแทน 5% จะได้เงินมากถึง 7,610,386บาท และถ้าได้ 10% เงินออมทะยานขึ้นเป็น 29,211,109 บาท โอ้ววววว!!!

นี่ขนาดยังไม่ได้เก็บเพิ่มนะ เพราะในความเป็นจริง เงินเดือนคงไม่อยู่ที่แค่ 15,000 บาท จนอายุ 60 ปี เมื่อมีเงินเดือนเพิ่ม เราต้องออมและลงทุนเพิ่มขึ้น

“พี่ก้อย” เน้นว่า 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้เรามีเงินออมเยอะขึ้นอย่างมหาศาลนั่นคือ 1.ระยะเวลา ยิ่งออมยาว–ลงทุนยาว–ยิ่งเพิ่ม 2.จำนวนเงินที่ออม ยิ่งเก็บออมมาก เงินก็จะได้ก้อนใหญ่ 3.อัตราผลตอบแทนจากการนำเงินออมไปลงทุน ยิ่งได้ผลตอบแทนสูงก็ยิ่งได้เงินเยอะขึ้น

ภารกิจพิชิตเงินล้าน…ทำได้ไม่ยาก…ขอแค่ให้รู้จักใช้เงิน มีวินัยในการออม และรู้จักนำเงินออมไปลงทุนเท่านั้นเลย…ออมก่อนรวยกว่า…ไม่รอแล้วนะ!!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ นสพ.ไทยรัฐ

เอไอเอส ครองตำแหน่ง แบรนด์โทรคมนาคมที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก สองปีซ้อน

0

           นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส เปิดเผยว่า บริษัทได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับหนึ่ง แบรนด์โทรคมนาคมที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก – World’s Strongest Telecoms Brand ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 (2019 – 2020) จากผลสำรวจและจัดอันดับโดย Brand Finance องค์กรอิสระที่ดำเนินการวัดคุณค่าและความแข็งแกร่งของแบรนด์ รวมถึงเป็นที่ปรึกษาการวางกลยุทธ์ของแบรนด์ก่อตั้งขึ้นเพื่อเชื่อมโยงระหว่างการตลาดและการเงิน โดยพิจารณาความแข็งแกร่งในหลายมิติผ่าน Balance Scorecard อาทิ งบการตลาด หุ้นของบริษัท ผลประกอบการ รายได้ และการดูแลผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยล่าสุด เอไอเอส มีค่าดัชนีความแข็งแกร่งของแบรนด์หรือ Brand Strength Index (BSI) อยู่ที่ 92.1 คะแนน จาก 100 คะแนน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 2.3% และยังคงเป็นแบรนด์โทรคมนาคมเพียงรายเดียวที่สามารถรักษาระดับ Brand Strength Rating ที่ระดับ AAA+ ถึง 2 ปีซ้อน

           เนื่องจาก บริษัทมีการใช้งบประมาณที่สมเหตุสมผล การบริหารจัดการผลประโยชน์ตอบโจทย์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถในการบริหารองค์กร รวมไปถึงการสนับสนุนพันธมิตรในภาคส่วนต่างๆ ที่เด่นชัดเป็นรูปธรรม ด้วยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ภาพรวมมูลค่าของแบรนด์ เอไอเอส มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับ 1 ของโลก ในกลุ่มโทรคมนาคม

          การได้รับรางวัลครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจของ เอไอเอส ที่เชื่อว่าการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จจะต้องสร้างประโยชน์ให้กับทุกภาคส่วนตลอดจนประชาชนคนไทยทั้งประเทศอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านโทรคมนาคมที่พัฒนาเครือข่าย สินค้า บริการ และทิศทางการดำเนินการขององค์กรที่มุ่งนำเสนอสิ่งใหม่ๆ และดีที่สุดให้กับคนไทย ไม่ใช่แค่กับผู้บริโภค แต่รวมถึงผู้ลงทุนหรือ Stakeholders ทุกกลุ่ม เพื่อผลักดัน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และช่วยประเทศพิชิตวิกฤตได้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

AIS จับมือ อมตะ ยกระดับนิคมอุตสาหกรรม เป็น Smart City ดึงนักลงทุนมา EEC

0

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส และอมตะ ได้ร่่วมงานอย่างใกล้ชิดในการนำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญและนำนวัตกรรม IoT เข้าไปสนับสนุนการบริหารงาน การผลิต และระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่อมตะซิตี้ ชลบุรี มาตั้งแต่ปี 2559 ล่าสุด ได้ขยายความร่วมมือกับอมตะ คอร์ปอเรชัน เพื่อสร้างเมืองอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบ โดยนำเทคโนโลยี 5G ทั้ง 5G Stand Alone (5G SA) และ 5G Network Slicing รวมถึงโครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) และ ICT Infrastructure เข้าไปยกระดับการทำงานในอมตะซิตี้ ชลบุรี ซึ่งมีโรงงานตั้งอยู่มากกว่า 750 แห่ง เพื่อเสริมขีดความสามารถด้านผลิตให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยให้ทัดเทียมเวทีโลก ตลอดจนพัฒนาโซลูชั่นส์ที่เอื้อต่อการสร้างเมืองอัจฉริยะที่ทันสมัย ทั้งด้านการบริหารจัดการการใช้ทรัพยากร การขนส่ง และระบบการดูแลรักษาความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าด้วยความแข็งแกร่งของทั้งสองบริษัท จะช่วยสร้างข้อได้เปรียบทางการผลิตและแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรม พร้อมดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC และผลักดันให้พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษแห่งนี้กลายเป็นฮับอุตสาหกรรม 4.0 หลักของภูมิภาคได้อย่างแน่นอน

ด้านนายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการ และ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชัน กล่าวว่า ที่ผ่านมา อมตะได้ร่วมกับเอไอเอส จัดตั้งบริษัท อมตะ เน็ทเวอร์ค ดำเนินธุรกิจการวางโครงข่ายใยแก้วนำแสง ที่อมตะซิตี้ ชลบุรี  ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญ สำหรับอมตะในการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมให้ก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะหรือ AMATA Smart City การลงนามขยายความร่วมมือครั้งนี้ เป็นโอกาสที่ดีในการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้เพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งขยายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไปยังนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ ใน EEC

พื้นที่ EEC ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่จะเชื่อมโยงเส้นทางการค้า – การลงทุนของภูมิภาคอาเซียนเข้ากับตลาดโลก อมตะจึงมีความตั้งใจที่จะพัฒนาอมตะซิตี้ ชลบุรี ไปสู่มาตรฐานสากล และก้าวสู่การเป็น Smart City อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมทั้งเป็นต้นแบบให้กับนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกให้สนใจมาสร้างฐานการผลิตในพื้นที่ EEC วันนี้ เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ขยายความร่วมมือกับเอไอเอส นำเทคโนโลยีอัจฉริยะ 5G และนวัตกรรมใหม่ๆ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และความสามารถในการแข่งขันให้โรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้พลังงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทยก้าวทันประเทศชั้นนำอย่าง จีน เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ที่ได้นำ 5G มาเพิ่มมูลค่าไปแล้ว

ทั้งนี้ บริษัท อมตะ เน็ทเวอร์ค เป็นบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านหุ้น เป็นเงิน 100 ล้านบาท โดย บริษัท แอดวานซ์ บรอดแบนด์ เน็ทเวอร์ค จำกัด (ABN) ถือหุ้น 60% คิดเป็นเงินลงทุนรวม 60 ล้านบาท และ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (AMATA) ถือหุ้น 40% คิดเป็นเงินลงทุนรวม 40 ล้านบาท

บีทีเอส กางแผนลงทุนแสนล้านปี 2020 ลุยขยายเส้นทางรถไฟฟ้า สร้างงาน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ

0

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา “ลงทุน 2020 ฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างชาติ สร้างงาน” ว่า ในปี 2020 บริษัทวางแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ มูลค่านับแสนล้านบาท ประกอบด้วย

1. โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ดำเนินงานโดยบีทีเอสซี มีสถานีรถไฟฟ้าให้บริการประชาชนทั้งสิ้น 52 สถานี จากสถานีเคหะฯ จ.สมุทรปราการ-สถานีคูคต จ.ปทุมธานี และจากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ-สถานีบางหว้า รวมระยะทางให้บริการ 58.32 กม. และปลายปีนี้ จะเปิดเพิ่มถึงสถานีคูคต รวมระยะทาง 68.25 กม. มีสถานีให้บริการทั้งสิ้น 59 สถานี ส่วนอัตราค่าโดยสาร ทางกรุงเทพมหานคร (กทม.)

2. โครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง ระยะที่ 1 จำนวน 3 สถานี คือ สถานีกรุงธนบุรี สถานีเจริญนคร และสถานีคลองสาน ระยะทาง 1.80 กิโลเมตร ขณะนี้งานโยธาเสร็จแล้ว 96 เปอร์เซ็นต์ งานระบบอาณัติสัญญาณดำเนินการแล้ว 80 เปอร์เซ็นต์ จะเปิดให้บริการภายในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งจะรองรับการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ฝั่งธนบุรีที่มีการพัฒนาเป็นย่านเศรษฐกิจใหม่

3. โครงการรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี วงเงินโครงการ 31,680 ล้านบาท ระยะทางประมาณ 34.5 กิโลเมตร รวม 30 สถานี 4.โครงการรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง วงเงิน 31,680 ล้านบาท ระยะทางประมาณ 30.4 กิโลเมตร รวม 23 สถานี ซึ่งขณะนี้การก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ คาดว่าจะเปิดให้บริการปลายปี 2564 ทั้ง 2 สาย

นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก โดย บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด เป็นการร่วมกันของ 3 บริษัท บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ลงทุนประมาณกว่า 290,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพการบินของประเทศไทย

และยังมีการประมูลก่อสร้างมอเตอร์เวย์ของกรมทางหลวง อีก 2 สาย ได้แก่ 1.โครงการมอเตอร์เวย์ สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา มูลค่าโครงการกว่า 21,329 ล้านบาท และโครงการมอเตอร์เวย์ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี มูลค่าโครงการกว่า 17,809 ล้านบาท ระยะทาง 96 กม. ดำเนินการโดย กิจการร่วมค้า BGSR ประกอบด้วย บมจ.บีทีเอสกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ บมจ.ซิโน-ไทยเอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น และบมจ.ราชกรุ๊ป ทั้งสองโครงการคาดว่าจะลงนามสัญญาได้ในเดือนสิงหาคมนี้

ในส่วนของมอเตอร์เวย์ บางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา อยู่ระหว่างติดตั้งด่าน ระบบการจัดเก็บค่าผ่านทาง คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี จะเริ่มให้บริการได้ ส่วนมอเตอร์เวย์ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี คาดว่าจะเปิดให้บริการหลังจากสาย บางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา เปิดให้บริการแล้ว 1 ปี

อย่างไรก็ตามบริษัทพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการที่จะช่วยให้ประเทศพัฒนา การส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศที่เกี่ยวข้องกับระบบราง ซึ่งบริษัทได้ไปลงนามเอ็มโอยูไว้กับกรมการขนส่งทางรางที่พยายามจะใช้วัสดุในประเทศให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกจากนี้บริษัทจะเน้นการสร้างงาน ซึ่งเชื่อว่าโครงการของบีทีเอสจะทำให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในประเทศ เฉพาะช่วงก่อสร้างโครงการก็เป็นแสนล้านบาท ยังมีช่วงเดินระบบอีก ที่สำคัญพนักงานเกือบ 100% เป็นคนไทย ปัจจุบัน พนักงานของบีทีเอส เฉพาะในส่วนให้บริการรถไฟฟ้าก็มีประมาณเกือบ 3,000 คน ตรงนี้ก็ทำให้เกิดเม็ดเงิน สร้างงาน และจะโตไปเรื่อยๆ และบริษัทฯ พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตของภาครัฐอย่างเต็มที่

เตรียมเดินหน้ามอเตอร์เวย์ 6 สาย วงเงิน 2.9 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ

0

นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวในการสัมมนา “ลงทุน 2020 ฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างชาติ สร้างงาน” ว่า ปัจจุบันกรมทางหลวงมีโครงการขนาดใหญ่ พร้อมดำเนินการ และอยู่ระหว่างนำเสนอขออนุมัติโครงการ (แผนดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2562-70) รวมวงเงินลงทุน 297,313 ล้านบาท จำนวน 6โครงการ ได้แก่

1.สายนครปฐม-ชะอำ วงเงินลงทุน 79,006 ล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณาอยู่ระหว่างการเสนอขออนุมัติโครงการ แผนดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2565-68

2.สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว วงเงินลงทุน 32,187 ล้านบาท ได้แก่ ช่วงบางขุนเทียน-เอกชัย ดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2563-65 และช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว แผนดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2564-66

3.ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต-บางปะอิน วงเงินลงทุน 28,000 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบเอกชนร่วมลงทุน (พีพีพี) แผนดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2565-68 

4.สายหาดใหญ่-ชายแดนไทย/มาเลเซีย วงเงินลงทุน 42,620 ล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณารูปแบบการร่วมลงทุนที่เหมาะสม แผนดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2567-70

5.สายวงแหวนรอบนอก กทม. ด้านตะวันตก วงเงินลงทุน 78,000 ล้านบาท ได้แก่ ช่วงบางขุนเทียน-บางบัวทอง อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบเอกชนร่วมลงทุน (พีพีพี) และช่วงบางบัวทอง-บางปะอิน แผนดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2566-68 และ

6.สายศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ วงเงินลงทุน 37,500 ล้านบาท อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบพีพีพี แผนดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2565-68 

นอกจากนี้ ยังมีงบลงทุนอีกปีละประมาณ 100,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการมากกว่า 5,000 โครงการต่อปี โดยจะเป็นการลงทุนด้านการวางโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ตั้งแต่โครงการมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท ถึง 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่มีระยะเวลาในการดำเนินโครงการ 1 ปี และโครงการที่ทำต่อเนื่องในงบประมาณผูกพันใหม่ ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่โดยใช้เวลาในการก่อสร้างไม่เกิน 3 ปี โดยปีแรกสำนักงบประมาณจะให้งบประมาณ 20% 

สำหรับส่วนการจ้างเหมา ไม่ได้อยู่แค่บริษัทที่เข้ามาจ้างเหมา แต่ห่วงโซ่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง เพราะมีการซื้อวัสดุอุปกรณ์จากผู้ประกอบการด้านอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการ  ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบหลายรอบ แค่ช่วงแรกของการทำงานจะหมุนไปไม่ต่ำกว่า 3-4 รอบ หรือคิดเป็น 3 เท่า ของมูลค่าการลงทุนที่ลงทุนไปทั้งหมด

วีจีไอ แจกกล่องปันน้ำใจ 1 หมื่นกล่อง บรรเทาความเดือดร้อนโควิด-19

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) ได้จัดโครงการ “กล่องปันน้ำใจ เพื่อช่วยคนไทยอย่างต่อเนื่อง” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดเชื้อ covid-19 โดยทางบริษัทได้เชิญกลุ่มลูกค้าของทางบริษัท ร่วมกันมอบผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพ เช่น ข้าวสาร ,น้ำดื่ม,และของใช้จำเป็นบรรจุในกล่อง kerry เพื่อส่งต่อให้กับผู้เดือดร้อน จำนวน 10,000 กล่อง

โดยขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมรับบริจาค “กล่องปันน้ำใจ” ได้ในวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 18.00 น. บริเวณลานกิจกรรมหน้าวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

ภายในกล่องปันน้ำใจ ประกอบไปด้วย เครื่องอุปโภค บริโภคที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพ อาทิ ข้าวสาร,น้ำดื่ม และของใช้จำเป็น เพื่อส่งต่อให้กับผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19

สำหรับ ขั้นตอนในการรับ “กล่องปันน้ำใจ”

  • เข้าคิวตามลำดับ
  • สแกน QR Code หากไม่สามารถสแกนได้ ให้กรอกชื่อ-นามสกุล และเบอร์โทร
  • ประทับลายนิ้วมือเพื่อยืนยัน
  • ยืนรับประจำจุดที่ได้จัดเตรียมไว้ เจ้าหน้าที่จะนำกล่องมามอบให้

โดยจำกัด 1 กล่อง / 1 สิทธิ์ เท่านั้น

บริษัทขอความร่วมมือ ผู้มารับบริจาค สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา พร้อมตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้ารับกล่องปันน้ำใจ

สิงห์อาสาสร้างอาชีพโดนใจ สอนทำอาหาร delivery เต็มทุกรอบ

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ได้เปิดอบรมหลักสูตร “สร้างตัวกับเมนูเดลิเวอรี่” ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 63 ที่ศูนย์นวัตกรรมด้านอาหาร Food Innovations Center จ.ปทุมธานี สิงห์อาสา เพื่อช่วยเสริมทักษะให้กับผู้เข้าอบรมนำไปต่อยอดสร้างอาชีพ สร้างรายได้ โดยมี “เชฟป้อม” ธนรักษ์ ชูโต เชฟกะทะเหล็กอาหารจีน และ “เชฟปิ๊ก” สรมย์เวท ธีระพจน์ ครีเอทีฟเชฟ จากร้าน EST. 33 สอนทักษะการทำอาหารพร้อมให้ความรู้ด้านการเพิ่มมูลค่าของอาหารเดลิเวอรี่เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

ปรากฏว่า ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้น จนมีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการอย่างจำนวนมาก และเต็มในทุกคลาสตั้งแต่เปิดกิจกรรมมาในช่วงกลางเดือนมิถุนายนเป็นต้นมา

ทั้งนี้ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้มีนโยบายเร่งด่วนในการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤติโควิด-19 ด้วยการเร่งจ้างงานและสร้างอาชีพ ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ โดยการเปิดอบรมกลุ่มทักษะด้านอาหาร 3 หลักสูตรคือ หลักสูตร 10 เมนูยอดนิยม อร่อยง่ายๆ สำหรับร้านอาหารตามสั่งทั่วไป กับ “เชฟบุ๊ค” บุญสมิทธิ์ พุกกะณะสุต, หลักสูตรสร้างตัวกับเมนูเดลิเวอรี่ กับ “เชฟปิ๊ก” สรมย์เวท ธีระพจน์ ครีเอทีฟเชฟ จากร้าน EST. 33 และ หลักสูตรเครื่องดื่มร้อน-เย็น เต็มสูตร โดย ทีมอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทีม R&D จากร้าน Farm Design และทีมบาริสต้า จากสิงห์ปาร์คเชียงราย ทั้งนี้มี เชฟชุมพล แจ้งไพร เชฟรางวัลมิชลิน 2 ดาว จากร้าน R.HAAN และ “เชฟป้อม” ธนรักษ์ ชูโต เชฟกะทะเหล็กอาหารจีน ร่วมวางหลักสูตร ซึ่งการอบรมครั้งนี้นับเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการอบรมกลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านอาหาร โดยตลอดทั้งโครงการมีผู้สมัครเข้ารับการอบรมจำนวนมากและต่างมีความเห็นว่าโครงการสามารถนำไปต่อยอดได้จริง

สำหรับ เดือนสิงหาคมนี้ บุญรอดบริวเวอรี่ เตรียมเปิดอบรมในกลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านงานช่าง ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับความร่วมมือกับเครือข่ายของสิงห์อาสาทุกภูมิภาคทั่วประเทศ อาทิ มหาวิทยาลัย, สถาบันอาชีวศึกษา, หน่วยงานชั้นนำ นำองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการสร้างอาชีพ เปิดคอร์สอบรมฟรีให้กับผู้ที่สนใจ โดยสามารถติดตามได้ที่เฟสบุ๊ค : Singha R-SA สิงห์อาสา นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาด บริษัทได้ดำเนินการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ ในรูปแบบของการจ้างงานและสร้างอาชีพ เป็นมูลค่าการช่วยเหลือรวมกว่า 200 ล้านบาท ทั้งการจ้างงานเร่งด่วนผ่านโครงการสิงห์อาสาในการร่วมเป็นอาสาสมัครดูแลท้องถิ่นตัวเองทั่วประเทศ คือ โครงการสิงห์อาสาสู้ไฟป่า, โครงการสิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง และ โครงการสิงห์อาสาสู้น้ำท่วม และอื่นๆ อีกมากมาย

โออาร์ ผนึกททท. ชวนคนไทยเที่ยวไทย ให้คะแนน Blue Card 2 เท่า พร้อมลุ้นรางวัลกว่า 9 ล้านบาท

0

          นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) และ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมเพื่อเชิญชวนคนไทย ให้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และร่วมส่งเสริมนโยบายของ ททท. หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 เริ่มคลี่คลาย ด้วย 2 กิจกรรม มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบลูการ์ด (Blue Card) เมื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ร้านค้าในเครือของโออาร์ทั่วประเทศ

          นางสาวจิราพร เปิดเผยว่า โออาร์ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนนโยบายส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของ ททท. เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายขึ้น 2 กิจกรรม เพื่อมอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบลูการ์ด เมื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ร้านค้าในเครือของโออาร์ทั่วประเทศ ได้แก่

  • แคมเปญ “เที่ยวนี้ สุข x2”  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม Amazing Thailand Grand Sales 2020 ของ ททท. ที่มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกบลูการ์ดรับคะแนนสะสม 2 เท่าจากคะแนนสะสมปกติ เมื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการร้านค้าในเครือโออาร์ทั่วประเทศ ได้แก่ สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ร้านคาเฟ่ อเมซอน เท็กซัส ชิคเก้น ศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้ ร้านฮั่วเซงฮงติ่มซำ ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น พีทีที ลูบริแคนท์ส ร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ และ ร้าน เพิร์ลลี่ ที ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 – 15 สิงหาคม 2563
  •  แคมเปญ “เที่ยว เลี้ยว ลุ้น” มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบลูการ์ด รับสิทธิลุ้นรับรางวัลใหญ่ รถยนต์ BMW X1 sDrive 18i (Iconic) 3 รางวัล และของรางวัลอื่นๆ รวมกว่า 1,500 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 9 ล้านบาท เมื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการร้านค้าในเครือโออาร์ ระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม 2563 – 31 ตุลาคม 2563 ตามเงื่อนไขดังนี้ 
    • เมื่อเติมน้ำมันเชื้อเพลิง ที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ริการยานยนต์ฟิต ออโต้600 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ หรือ
    • เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น PTT Lubricants ที่ PTT Station หรือ ร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ ตั้งแต่  600 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ หรือ
    • เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่ ร้าน Café Amazon ตั้งแต่ 60 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ หรือ
    • เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่ ร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ หรือ
    • เมื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto ตั้งแต่ 600 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ หรือ
    • เมื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ ร้าน Texas Chicken ตั้งแต่ 160 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ หรือ
    • เมื่อซื้อสินค้าที่ ร้านฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ ตั้งแต่ 80 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ หรือ
    • เมื่อซื้อสินค้าที่ ร้านเพิร์ลลี่ ที ตั้งแต่ 60 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ

โดยสามารถรับสิทธิพิเศษจากทั้ง 2 กิจกรรม ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสมัครเป็นสมาชิกบลูการ์ดได้ทาง บลูการ์ด แอปพลิเคชัน หรือ เว็บไซต์ www.pttbluecard.com

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ โออาร์ กล่าวอีกว่า ขอเชิญชวนคนไทยออกเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวระยะสั้น โดยเดินทางเป็นกลุ่มเล็กด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล และยังต้องให้ความสำคัญกับการรักษาสุขอนามัย รวมทั้งปฏิบัติตนตามแนวทางปกติในรูปแบบใหม่ (New Normal) ที่นอกจากจะเป็นการร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาแล้ว ในขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสให้ประชาชนได้ผ่อนคลายความตึงเครียดหลังจากช่วงเวลาล็อกดาวน์

นอกจากนี้ โออาร์ยังได้สนับสนุนพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น 40 แห่งบนเส้นทางสายหลักเป็นจุดแจกคู่มือ SAFETY & HYGIENIC ROADTRIP ของ ททท. ซึ่งเป็นคู่มือการเดินทางที่จะแนะนำแนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยภายใต้มาตรฐาน SHA (Amazing Thailand Safety & Health Administration) สำหรับการขับรถท่องเที่ยวในพื้นที่ 5 ภาคทั่วประเทศอีกด้วย

ด้าน นายยุทธศักดิ์  เปิดเผยว่า  ททท. ร่วมกับโออาร์จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2  ทั้งนี้ เป็นหนึ่งในความร่วมมือที่ ททท. ร่วมกับพันธมิตรต่างๆ ภายใต้แผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ภายหลังการระบาดของโควิด-19 อยู่ในระยะที่ปลอดภัยสำหรับการเดินทาง ททท. ได้มุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว กล่าวคือ ได้มีการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA) ภายใต้การท่องเที่ยวรูปแบบ New Normal ให้กับสินค้าทางการท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐานการบริการและมีมาตรการความปลอดภัยทางสุขอนามัย  เนื่องจากนักท่องเที่ยวจะให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเป็นอันดับแรก ๆ และจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวเปลี่ยนเป็นกลุ่มขนาดเล็ก ออกแบบการเดินทางด้วยตัวเอง และนิยมขับรถท่องเที่ยว เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ     ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มผู้ถือบัตรสมาชิกบลูการ์ด ถือเป็นกลุ่มศักยภาพที่เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญสามารถกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวได้