Home Blog Page 415

กรมปศุสัตว์-ซีพีเอฟ ร่วมแบ่งปันความรู้ ยกระดับมาตรฐานผลิตไข่ไก่เคจฟรี

0

นายสมคิด วรรณลุกขี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า กรมปศุสัตว์ ได้เข้าเยี่ยมชมฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่วังสมบูรณ์ จ.สระบุรี เพื่อศึกษาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และเทคโนโลยีการเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อยอิสระในโรงเรือนระบบปิด ของซีพีเอฟ นำไปปรับเป็นข้อกำหนดมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่แบบไม่ใช้กรงตามหลักสวัสดิภาพสัตว์สากล และถ่ายทอดให้เกษตรกรที่สนใจนำไปใช้ เพื่อพัฒนาเพิ่มมูลค่าสินค้าปศุสัตว์ต่อไป

ซีพีเอฟ ได้พัฒนา ฟาร์มวังสมบูรณ์ ขึ้นตั้งแต่ปี 2561 ให้เป็นฟาร์มต้นแบบเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อยอิสระในโรงเรือนระบบปิด หรือ แบบไม่ใช้กรง ยึดตามมาตรฐานของสหภาพยุโรป แม่ไก่ไข่สามารถดำรงชีวิตแบบอิสระบนพื้นที่ 1 ตารางเมตรต่อแม่ไก่ 7 ตัว ซึ่งน้อยกว่ามาตรฐานทั่วไปที่กำหนดไว้ที่แม่ไก่ 9 ตัวต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร จัดสภาพแวดล้อมให้ถูกต้องตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ส่งเสริมให้แม่ไก่ไข่ได้แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติอย่างเต็มที่ในโรงเรือนระบบปิดขนาดใหญ่ที่มีการควบคุมอุณหภูมิและการระบายอากาศอย่างเหมาะสมตลอดเวลา มีคอนสำหรับเกาะพักผ่อน มีวัสดุปูรองพื้นเพื่อใช้สำหรับคุ้ยเขี่ยและไซร้ขนทำความสะอาดตัวเอง มีจุดสำหรับวางไข่ และแม่ไก่มีอิสระในการปฏิสัมพันธ์กันเอง ส่งผลให้แม่ไก่ไข่มีสุขภาพดีและมีอารมณ์ดี มีความสุขสบาย แข็งแรง ที่สำคัญไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยง

นอกจากนี้ ยังควบคุมการผลิตด้วยคอมพิวเตอร์ ใช้สายพานลำเลียงไข่จากจุดวางไข่ของแม่ไก่ไปยังห้องเก็บไข่โดยอัตโนมัติ มีระบบความปลอดภัยทางชีวภาพตามแนวทาง Biosecurity Hi-tech Farming ขณะเดียวกัน การเลือกใช้แม่ไก่ไข่สายพันธุ์พิเศษ F100ของ CPF รวมถึงพัฒนาสูตรอาหารผลิตจากธัญพืช 100% ช่วยให้ไก่ที่มีสุขภาพพื้นฐานดี สามารถเติบโตตามศักยภาพของพันธุกรรมธรรมชาติ ส่งผลให้ไข่ไก่เคจฟรีมีความสดกว่าไข่ไก่ทั่วไป ไม่มีกลิ่นคาว ไข่แดงมีสีส้มสด นูนสวย เป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อสุขภาพของผู้บริโภค ตอกย้ำความใส่ใจถึงที่มาของผลิตภัณฑ์ที่รับผิดชอบต่อสัตว์ เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ ไข่เคจฟรี ของซีพีเอฟ CP Selection Cage Free Egg ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากธุรกิจโรงแรม และร้านอาหารชั้นนำ อย่าง ร้านชาบูชาบู โมโม พาราไดซ์ ร้าน TO TO Sama ตลอดจน ร้านเจ๊ไฝ สตรีทฟู้ดชื่อดัง นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังสามารถหาซื้อไข่ไก่เคจฟรี ซีพีเอฟ ได้ที่ ร้านซีพี เฟรชมาร์ท 7-Eleven ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ริมปิง จ.เชียงใหม่ และเป็นผลิตภัณฑ์ไข่ไก่เคจฟรีที่ได้วางจำหน่ายของห้างดองกิ ดองกิ และในเร็วๆ นี้จะมีวางจำหน่ายใน The Mall ฟู้ดส์แลนด์ วิลล่ามาร์เก็ต แม็กซ์แวลู โกลเด้นเพลส อีกด้วย

ซีพีเอฟ ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการเลี้ยงสัตว์และการผลิตอาหารด้วยความรับผิดชอบ (Responsible Farming and Food Production) มีการพัฒนาและยกระดับการเลี้ยงสัตว์ตามแนวปฏิบัติสวัสดิภาพสัตว์สากลภายใต้ “หลักอิสระ 5 ประการ” หรือ Five Freedoms อย่างต่อเนื่องทั้งในฟาร์มไก่เนื้อ หมู กุ้ง และไก่ไข่ เพื่อยกระดับมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ และความปลอดภัยด้านอาหารในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ของไทยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

GSMA ประกาศรับรอง AIS ผู้ให้บริการ 5G Fixed Wireless Access เชิงพาณิชย์ รายแรกและรายเดียวของไทย

0

GSMA สมาคมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมที่มีสมาชิกมากกว่า 800 รายทั่วโลก ประกาศรับรองให้ AIS เป็นผู้ให้บริการรายแรกและรายเดียวในไทยที่ให้บริการ 5G Fixed Wireless Access เชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ  ด้วย 4 ศักยภาพที่โดดเด่น ประกอบด้วย 1. อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Higher Speed) 2. การตอบสนองอย่างรวดเร็ว (Better Latency) 3. การติดตั้งพร้อมใช้งานทันที (Fast to Set Up) และ 4. สะดวกในการใช้งานได้ทุกที่ที่มีสัญญาณ 5G (Easy to Relocate)

วสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าฝ่ายงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ เอไอเอส

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าฝ่ายงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ เอไอเอส กล่าวว่า เอไอเอสมีเป้าหมายในการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่สำคัญของประเทศ ที่ผ่านมา ได้ขยายเครือข่ายครบ 77 จังหวัด และครอบคลุมเต็มพื้นที่ 100% นิคมอุตสาหกรรมใน EEC แล้ว พร้อมร่วมทำงานกับพาร์ทเนอร์ทุกภาคส่วนในการนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดออกแบบโซลูชั่นที่เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งนี้ 5G FWA ถือเป็นบริการแรกของ AIS 5G ที่ออกมาตอบโจทย์ลูกค้าองค์กรและผู้ประกอบการ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการรับส่งข้อมูลองค์กรบนเครือข่ายแบบไร้สาย ด้วยคุณสมบัติของ 5G ในการรองรับการใช้งานได้หลากหลาย นอกจากนี้ เรายังมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเครือข่าย 5G ในมิติต่างๆ เพื่อเสริมศักยภาพการใช้งานเครือข่าย 5G ในประเทศไทย ประกอบด้วย

  • 5G Dual Mode NSA / SA เต็มรูปแบบกับเครือข่าย 5G ที่รองรับการใช้งานได้ทุกโหมดไม่ว่าจะเป็น 5G NSA (Non-Stand Alone) หรือ 5G SA (Stand Alone) เพื่อการใช้การใช้งาน 5G ทุกรูปแบบและพร้อมรับการใช้งาน 5G ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการใช้งาน 5G ที่ใช้กับลูกค้ามือถือทั่วไป และ 5G ในรูปแบบอื่นที่เป็น Massive IoT และ Massion Critical เช่นในภาคอุตสหกรรมต่างๆ เป็นต้น
  • 5G Network Slicing เทคโนโลยีของเครือข่าย AIS 5G ที่มีศักยภาพในการปรับแต่งคุณสมบัติเครือข่ายและทรัพยากร เพื่อให้สอดคล้องและยืดหยุ่นกับลักษณะการใช้งานแต่ละรูปแบบในแต่ละพื้นที่ของธุรกิจได้อย่างคล่องตัว ทำให้สามารถรับประกันคุณภาพของการเชื่อมต่อและความเร็วได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
  • 5G Multi – access Edge Computing (MEC) สร้างระบบคลาวด์ให้เข้าใกล้ผู้ใช้งานมากที่สุด ช่วยให้สามารถใช้งานเครือข่ายด้วยการเข้าถึงแบบไร้สาย เพื่อให้บริการประมวลผลผ่านระบบคลาวด์ได้ในปริมาณมากและมีความปลอดภัยสูงสุด
  • 5G Massive MIMO 64T64R เป็นเทคโนโลยีใน 5G ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถ ของการรับส่งข้อมูล(Capacity)ได้ดีขึ้นจากมากกว่า 4G ช่วยลดสัญญาณรบกวน และสามารถปรับแต่งสัญญาณให้เหมาะสมในการสื่อสารกับอุปกรณ์ที่มีจำนวนมากและแตกต่างกัน (Beamforming)

 “เทคโนโลยี 5G จะเป็นต้นแบบของการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีที่สำคัญ เราพร้อมสนับสนุน Digital Infrastructure เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม การลงทุนและพัฒนาด้านเครือข่ายอย่างต่อเนื่องในวันนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาในระยะสั้นๆ เท่านั้น แต่เราต้องการให้เทคโนโลยี 5G เป็น Digital Infrastructure ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนไทยในทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืนตลอดไป” นายวสิษฐ์ กล่าวสรุป

คุณนายพารวย : ลงทุนกองทุนรวมผสม

0

หลังเปิด “แผนพิชิตเงินล้าน” สำหรับผู้มีรายได้ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท และมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ 15,000 บาท ทำให้มีผู้สนใจสอบถามมาจำนวนมากว่า ต้องนำเงินออมไปลงทุนอะไรที่จะได้เงินล้านและผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากธนาคาร ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากต่ำมากแค่ 1-2% เท่านั้น

“พี่ก้อย…วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ” นักวางแผนการเงิน (CFP) จึงได้จัดพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ไว้ให้ โดยปีนี้ถือเป็นปีที่มีเหตุหรือมีกรณีพิเศษที่ไม่คาดคิดมากมาย!!

ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯที่นับวันจะทวีความตึงเครียดมากขึ้นจากสงครามการค้าสู่สงครามเทคโนโลยี ขยายวงสู่สงครามการทูต ซึ่งมีผลต่อทิศทางการลงทุน รวมทั้งผลตอบแทนการลงทุนทั้งสิ้น

ดังนั้น ก่อนอื่นสำหรับผู้ที่เริ่มออมเงิน “พี่ก้อย” แนะนำว่าควรลงทุนด้วยการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวม โดยให้เลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนแบบผสม คือ มีการลงทุนหลากหลายประเภทสินทรัพย์ ทั้งลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้-หุ้นกู้ ซึ่งมีให้เลือกมากมายหลายกองทุน

หากต้องการผลตอบแทนสูงและมีเวลาในการลงทุนนาน ให้เลือกกองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นมากหน่อย แต่ต้องทำความเข้าใจว่า การลงทุนในหุ้นต้องแลกกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย

ดังนั้น ต้องชั่งน้ำหนักและพิจารณาให้ดีว่าจะเป็นกองทุนผสมที่เสี่ยงมากแต่คาดหวังผลตอบแทนสูง หรือเสี่ยงน้อยแต่คาดหวังผลตอบแทนต่ำ สามารถสอบถามข้อมูลได้จากทุกบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) เลย หรือสอบถามพนักงานแบงก์ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้แนะนำการลงทุนได้

ส่วนวิธีการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมจะใช้วิธีซื้อแบบหักบัญชีรายเดือนกับ บลจ.เลยก็ได้ หากตั้งใจที่จะออมเงินและลงทุนแล้วก็ทำให้ได้ทุกเดือน ซึ่งเกือบทุก บลจ.น่าจะมีบริการเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว

แต่สำหรับคนที่พอมีเงินออมเป็นก้อนบ้างแล้ว หากให้เลือกกระจายการลงทุนเอง “พี่ก้อย” ได้จัดพอร์ตลงทุนที่อัปเดตไว้ให้ โดยแยกเป็น 5 พอร์ต คือ พอร์ตอนุรักษนิยมคือ ไม่ต้องการความเสี่ยงเลย หรือเสี่ยงน้อยสุด

อีก 4 พอร์ตที่เหลือก็จะเป็นพอร์ตปานกลาง-พอร์ตเสี่ยงได้เพิ่ม-พอร์ตเสี่ยงสูง-พอร์ตเสี่ยงได้สูงมาก โดยความเสี่ยงและโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนก็จะขึ้นลงตามสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท

สัปดาห์หน้าจะเปิดรายละเอียด 5 พอร์ตลงทุนที่ “พี่ก้อย” จัดทำและให้คำแนะนำไว้ค่ะ

ส่วนราคาทองคำที่วันนี้ขึ้นไปเยอะมากแล้ว (เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ขึ้นไปสูงสุดที่ 1,980 เหรียญต่อออนซ์) “พี่ก้อย” แนะนำว่า คนที่จะเข้าลงทุนใหม่คงต้องระมัดระวัง ควรรอเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ส่วนคนที่ถืออยู่เดิมแล้ว อาจรอให้กำไรเพิ่มขึ้นได้ (let profit run) ก่อนขายทำกำไรในภายหลัง

โดยเครดิตสวิสมองว่าราคาจะขึ้นไปถึง 2,300 เหรียญต่อออนซ์โน่นเลย!!

ระหว่างนี้ก็เข้าไปศึกษาหาข้อมูลความรู้เรื่องการออมการลงทุน ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th แล้วกดต่อไปที่หน้า “ความรู้การลงทุน” จะพบแนวทางที่เป็นประโยชน์สำหรับทุกคน!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครือซีพี จับมือภาครัฐและชุมชน ปลูกป่าต้นน้ำภาคเหนือ ช่วยลดโลกร้อน

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ร่วมกับภาครัฐ และชุมชนในพื้นที่ต้นน้ำ ปิง วัง ยม และ น่าน จัดกิจกรรม “WE GROW ปลูกเพื่อความยั่งยืน พื้นที่ต้นน้ำ ปิง วัง ยม น่าน” ดำเนินการปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 508,224 ต้น พื้นที่ประมาณ 6,000 ไร่ ในช่วงปี 2559-2562 และในปี 2563 นี้ เริ่มต้นด้วยการปลูกต้นไม้พื้นที่ต้นน้ำยมเป็นแห่งแรก ในพื้นที่บ้านดอนไชยป่าแขม อ.ปง จ.พะเยา เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว

กิจกรรมครั้งนี้ มีนายกมล เชียงวงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้บริหารเครือซีพี โดยนายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืน บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด นำพนักงานซีพีอาสา หน่วยงานภาครัฐ ภาคการศึกษา และชาวบ้านในชุมชนกว่า 250 คน ร่วมกันปลูกต้นไม้ ได้แก่ ต้นเเคนา ราชพฤกษ์ ต้นหว้า พยุง ตะเคียนทอง สารภี ยางนา สัก ไผ่ และมะม่วง ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เติบโตได้ดีและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่

นายจอมกิตติ เปิดเผยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ ดำเนินการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ต้นน้ำ ปิง วัง ยม น่าน มาตั้งแต่ปี 2559–2562 โดยปีนี้ได้จัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ในพื้นที่ต้นน้ำยม ณ บ้านดอนไชยป่าแขม อ.ปง จ.พะเยา เป็นการเริ่มต้นโครงการในพื้นที่ต้นน้ำภาคเหนือ ประจำปี 2563 เป็นแห่งแรก และจะทยอยปลูกต้นไม้ในพื้นที่ต้นน้ำปิง วัง และน่าน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและปกป้องฟื้นฟูระบบนิเวศน์

ป่าต้นน้ำแห่งนี้ ยังช่วยสร้างรายได้ให้แก่ คนในชุมชน โดยส่งเสริมการปลูกไผ่และพืชมูลค่าสูง เช่น กาแฟโรบัสต้า เป็นการเพิ่มอาชีพทางเลือก ปรับเปลี่ยนวิถีการเกษตรและเกิดการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

กิจกรรม “WE GROW ปลูกเพื่อความยั่งยืน พื้นที่ต้นน้ำ ปิง วัง ยม น่าน” ยังคงเดินหน้าปลูกต้นไม้อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายในปีนี้ทั้งหมดรวม 100,000 ต้น

ขายของ OTOP ทำยังไงให้แตกต่าง

0

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ ตอน “ขายของ OTOP ทำยังไงให้แตกต่าง”

“อาซ้ง” ทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน)

กูรูค้าขายบอกว่า ถ้าทำสินค้าให้แตกต่างมันยากนัก ก็ลองหาวิธีขายที่แตกต่าง!แสดงน้อยลง

โออาร์ ปลื้ม 3 ธุรกิจในเครือ คว้ารางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับหนึ่ง 9 ปีซ้อน

0

พีทีที สเตชั่น พีทีที ลูบริแคนท์ส และ คาเฟ่ อเมซอน คว้ารางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand 2019-2020 ครองใจผู้บริโภคต่อเนื่องนานถึง 9 ปี

นายบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน นายชุมพล สุรพิทยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจหล่อลื่น และนายสุชาติ ระมาศ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีก บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ร่วมรับรางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย No.1 Brand Thailand 2019-2020 จัดขึ้นโดยนิตยสาร Marketeer นิตยสารด้านการตลาดอันดับหนึ่งของประเทศ

บุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน โออาร์

ทั้งนี้ สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น (PTT Station) น้ำมันเครื่อง พีทีที ลูบริแคนท์ส (PTT Lubricants) และคาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon) ได้รับคัดเลือกจากการจัดทำแบบสำรวจพฤติกรรมการบริโภคสินค้าและรับสื่อของประชาชนทั่วไปในประเทศให้เป็นแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ในหมวดสถานีบริการน้ำมัน น้ำมันหล่อลื่นรถยนต์ และร้านกาแฟ ตามลำดับ เป็นระยะเวลา 9 ปีติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงการเป็นแบรนด์ยอดนิยมที่มีคุณภาพและยังคงสร้างความประทับใจ ตลอดจนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคชาวไทยเสมอมา

ชุมพล สุรพิทยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจหล่อลื่น โออาร์
สุชาติ ระมาศ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีก โออาร์

โดย โออาร์ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และการบริการที่ดีขึ้น เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน เพื่อสร้างความแตกต่างและคงความเป็น No.1 Brand ในใจผู้บริโภคทุกคนตลอดไป

รมว.ดีอีเอส ผิดหวังท่าที เฟสบุ๊ก ร่วมมือจัดการโพสผิดกม.ไม่เต็มที่

0

นาย พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โพสในเฟสบุ๊คส่วนตัว แสดงความผิดหวังต่อ “เฟสบุ๊ก” ในการร่วมมือกับกับทางการไทยโดยได้โพสในเฟสบุ๊กส่วนตัว มีเนื้อหาว่า

“ตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา เราทำงานกันอย่างหนักไม่เคยนิ่งเฉยต่อโพสต์หรือเว็บที่ผิดกฎหมาย ทั้งกระทรวงดิจิทัลฯ และอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถรวบรวมพยานหลักฐาน ยื่นขอคำสั่งศาลเพื่อสั่งปิดเว็บผิดกฎหมาย/ลบข้อมูล จำนวน 7,164 ยูอาร์แอล (สถิติ ณ วันที่ 23 ก.ค.2563) จากจำนวนที่กระทรวงฯ ได้รับแจ้งทั้งสิ้น 8,715 ยูอาร์แอล

การกระทำผิดส่วนใหญ่เกิดขึ้นผ่าน ‘เฟซบุ๊ก’ มากสุดถึง 4,767 ยูอาร์แอล แต่เมื่อเราประสานงานแจ้งไปตามคำสั่งศาล กลับมีการลบข้อมูลไปเพียง 1,316 ยูอาร์แอล (ประมาณ 20%) เมื่อเทียบกับ youtube ซึ่งได้รับแจ้งไปจำนวน 1,616 ยูอาร์แอล ได้เร่งดำเนินการปิดเว็บ/ลบข้อมูลให้แล้วจำนวน 1,507 ยูอาร์แอล หรือคิดเป็นตัวเลขเกือบ 90%

ดูจากตัวเลขนี้แล้วผม “ผิดหวัง!!!” กับเฟซบุ๊กอย่างมาก ต่อการให้ความร่วมมือที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย ในการเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เมื่อมีคำสั่งศาลให้เอาข้อมูลออกหรือลบข้อมูล ไม่ได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทางกระทรวงดิจิทัลฯ จะมีมาตรการที่เด็ดขาด เพื่อจัดการปัญหานี้”

โควิดฉุดยอดใช้น้ำมันครึ่งปีแรก ลดฮวบ 13% ไตรมาสสองมีปั๊มน้ำมันปิดตัวเกือบ 200 แห่ง

0

นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยถึงภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยต่อวันครึ่งแรกของปี 2563 (มกราคม – มิถุนายน) ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 13.8% โดยกลุ่มเบนซิน ลดลง 7.6% กลุ่มดีเซล ลดลง 4.9% น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) ลดลง 49.5% น้ำมันเตา ลดลง 21.9% น้ำมันก๊าด ลดลง 16.8% LPG ลดลง 16% และ NGV ลดลง 28.4%

สาเหตุสำคัญมาจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่มี.ค. 63 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2563 ภาครัฐได้ประกาศมาตรการผ่อนคลาย ระยะที่ 4 ทำให้ภาพรวมความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดือนก่อนหน้า เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มมีการฟื้นตัว การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 29.7 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 7.6% โดยกลุ่ม แก๊สโซฮอล์มีปริมาณการใช้ลดลง เฉลี่ยอยู่ที่ 28.9 ล้านลิตร/วัน คิดเป็น 7.2% และน้ำมันเบนซินมีการใช้ลดลงเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 0.8 ล้านลิตร/วัน คิดเป็น 21.1%

ภาพรวมการใช้น้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ พบว่า แก๊สโซฮอล์ อี85 มีปริมาณการใช้ลดลงมากที่สุดเฉลี่ยอยู่ที่ 0.9 ล้านลิตร/วัน คิดเป็น 29.6% รองลงมาเป็นแก๊สโซฮอล์ 91 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 8.0 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 16.8% และแก๊สโซฮอล์อี 20 มีปริมาณการใช้ลดลงน้อยที่สุดเฉลี่ยอยู่ที่ 6.0 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 6.1% ขณะที่แก๊สโซฮอล์ 95 มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 13.9 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 1.2%

การใช้น้ำมันกลุ่มดีเซล เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 65.6 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนคิดเป็น 4.9% โดยน้ำมันดีเซล หมุนเร็วธรรมดา (บี7) มีปริมาณการใช้ลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 46.7 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 27.5% น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 11.5 ล้านลิตร/วัน (เริ่มมีการจำหน่ายตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม 2562) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 4.9 ล้านลิตร/วัน ซึ่งสถานการณ์การใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลหมุนเร็วอยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ตามนโยบายภาครัฐที่กำหนดให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 เป็นน้ำมันดีเซลฐานของประเทศ จึงส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

การใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 9.9 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 49.5% เนื่องด้วยยังคงอยู่ในช่วงสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ประกาศห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ไปจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย.63 จึงส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

การใช้ LPG เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 15.0 ล้านกก./วัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนคิดเป็น 16% โดยปริมาณการใช้ภาคขนส่งลดลงมากที่สุด มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 2.0 ล้านกก./วัน คิดเป็นอัตราลดลง 30.6% รองลงมาเป็นภาคปิโตรเคมี มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 6.0 ล้านกก./วัน คิดเป็นอัตราลดลง 19.3% ถัดมาเป็นภาคอุตสาหกรรมมีปริมาณการใช้ลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 1.6 ล้านกก./วัน คิดเป็นอัตราลดลง 10.4% และภาคครัวเรือนมีปริมาณการใช้ลดลงน้อยที่สุดเฉลี่ยอยู่ที่ 5.4 ล้านกก./วัน คิดเป็นอัตราลดลง 6.4%

การใช้ NGV เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 4.0 ล้านกก./วัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 28.4 เนื่องจากยังคงอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ จึงทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการรถโดยสารหันไปใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 ทดแทน อีกทั้งยังมีนโยบายการปรับราคาขายปลีก NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไปเพื่อสะท้อนต้นทุน จึงทำให้ราคา NGV ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคหันไปใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์หรือน้ำมันดีเซลหมุนเร็วแทน

การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง มีปริมาณรวมลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เฉลี่ยอยู่ที่ 918,547 บาร์เรล/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 9.5% โดยมีปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 893,508 บาร์เรล/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 4.3% คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 40,269 ล้านบาท/เดือน เนื่องจากในเดือน มิ.ย. 63 ยังคงอยู่ในช่วงหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่น และโรงแยกก๊าซธรรมชาติ รวมถึงมาตรการ Lockdown อย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศลดลง จึงส่งผลให้ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบลดลงไปด้วย สำหรับน้ำมันสำเร็จรูป เป็นการนำเข้าน้ำมันเบนซินพื้นฐาน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยาน และ LPG โดยมีปริมาณนำเข้าลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 25,039 บาร์เรล/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 69.4% คิดเป็นมูลค่านำเข้าเฉลี่ยรวม 1,253 ล้านบาท/เดือน การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป เป็นการส่งออกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยานและก๊าด และ LPG โดยมีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เฉลี่ยอยู่ที่ 203,647 บาร์เรล/วัน คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 18.7% คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวมเฉลี่ย 8,891 ล้านบาท/เดือน

อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวอีกว่า สถานีบริการน้ำมัน เดือน มิ.ย. 63 อยู่ที่ 2.67 หมื่นแห่ง ปั๊ม NGV รวม 446 แห่ง ปั๊ม LPG อยู่ที่ 1,940 แห่ง โดยจำนวนสถานีบริการน้ำมันไตรมาส 2 ปิดตัวลงไป 198 แห่ง และ NGV ปิด 2 แห่งเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 และแนวโน้มการปิดตัวครึ่งปีหลัง คาดว่าจะทรงตัวระดับนี้เพราะเริ่มคลายล็อกดาวน์ ทำให้การใช้มีทิศทางเพิ่มขึ้น

เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูภาคใต้ ย้ำราคาขายหน้าฟาร์มไม่เกิน 80 บาท มองสถานการณ์ราคาเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ

0

พร้อมจับมือพาณิชย์-สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ จัด “มหกรรมหมูธงฟ้า” ที่พัทลุง 30 ก.ค. นี้

นายปรีชา กิจถาวร กรรมการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และนายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนไทย ทำให้สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรทุกภูมิภาค ตลอดจนพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศ ร่วมใจกันดูแลปกป้องประชาชนไม่ให้เดือดร้อนด้านค่าครองชีพ ด้วยการให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในการตรึงราคาขายหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มซึ่งเป็นต้นทางไม่ให้เกิน 80 บาทต่อกิโลกรัม มาโดยตลอด เพื่อให้ราคาจำหน่ายหมูหน้าเขียงที่ปลายทางอยู่ที่ 150-160 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับผู้บริโภค และที่ผ่านมาเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรต่างร่วมกันบริหารจัดการการผลิตตลอดห่วงโซ่เพื่อให้มีปริมาณสุกรเพื่อการบริโภคในประเทศอย่างเพียงพอ

ปรีชา กิจถาวร  นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้

ราคาสุกรในปัจจุบันเป็นไปตามกลไกตลาด จากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งจากการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ส่งผลให้กิจการและกิจกรรมหลายส่วนเริ่มเปิดดำเนินการ การจับจ่ายใช้สอยกลับมาคึกคัก ประกอบกับสถานศึกษาทั่วประเทศเปิดทำการเรียนการสอนแล้ว ยิ่งทำให้การบริโภคเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามผู้เลี้ยงทุกคนจะยืนหยัดในการผลิตสุกรให้เพียงพอกับการบริโภค ย้ำว่าประเทศไทยจะไม่ประสบปัญหาขาดแคลนสุกรอย่างแน่นอน ที่สำคัญจากโครงการ “เนื้อหมู…สู้โควิด” ของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรที่เริ่มดำเนินการแล้วในจังหวัดชลบุรี ด้วยการขายเนื้อหมูกิโลกรัมละ 130 บาท จากฟาร์มถึงมือผู้บริโภคไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง รวมถึงห้างค้าส่ง ค้าปลีก ต่างร่วมกิจกรรมทั่วประเทศ ส่งผลให้สถานการณ์ราคากลับสู่ภาวะปกติแล้ว

ทั้งนี้ จากปัญหาโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ หรือ ASF ในสุกร ที่มีการระบาดอย่างหนักโดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านทั้งจีน เวียดนาม เมียนมา ฯลฯ ทำให้อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรในประเทศดังกล่าวเสียหายอย่างหนัก ปริมาณสุกรหายไปจากระบบเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อราคาเนื้อสุกรในประเทศเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว เช่น  จีนราคาหมูหน้าเขียงกิโลกรัมละ 350 บาท เวียดนาม 250 บาท และกัมพูชา 200 บาท เป็นต้น โรค ASF ส่งผลให้เกษตรกรผู้เลี้ยงเกิดความวิตกกังวล และตัดสินใจเลิกอาชีพเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยเกษตรกรในภาคใต้หายออกไปจากระบบถึงร้อยละ 20 ส่งผลให้ปริมาณแม่พันธุ์รวมเหลืออยู่ประมาณ 80,000 ตัว จากเดิมที่มีแม่พันธุ์มากกว่า 100,000 ตัว อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังสามารถป้องกันโรค ASF ไว้ได้ ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมนี้ และคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ประสบปัญหาขาดแคลนและเดือดร้อนจากภาวะราคาดังเช่นประเทศเพื่อนบ้าน

ทั้งนี้ สมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ จะร่วมกับสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และกระทรวงพาณิชย์ จัด “มหกรรมหมูธงฟ้า” ส่งตรงหมูสดจากฟาร์มเกษตรกรผู้เลี้ยงสู่ผู้บริโภค เพื่อสนับสนุนนโยบายการช่วยเหลือผู้บริโภค ในวันที่ 30 กรกฎาคม ศกนี้ ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดพัทลุง และจัดพร้อมกันทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ในวันที่ 7 สิงหาคม โดยพื้นที่ภาคใต้เบื้องต้นจะจัดที่ จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครศรีธรรมราช อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทยอยจัดจำหน่ายประมาณ 1,000 กิโลกรัมต่อวัน

ชมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันเด็กนักเรียน ที่รร.บ้านแสนสุข จ.สระแก้ว

0

เปิดเทอมใหม่หลังโควิด 19 น้องๆ โรงเรียนบ้านแสนสุข ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กลับมาเรียนและทำกิจกรรมตามวิถีปกติใหม่ (New Normal) โดยที่โรงเรียนยังระมัดระวังการเว้นระยะห่างในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ขณะที่เช้าวันนี้ เด็กๆ ชวนกันไปที่โรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ที่พวกเขาช่วยกันเลี้ยง ดูแล และช่วยกันเก็บผลผลิตไข่ไก่เพื่อมาเป็นอาหารกลางวัน

โรงเรียนบ้านแสนสุข เป็นโรงเรียนอีกแห่งหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน และยังเป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่จากโครงการ ฯ ได้รับการสนับสนุนและถ่ายทอดความรู้การเลี้ยงไก่ไข่ จาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ส่งเสริมนักเรียนเลี้ยงไก่ไข่เพื่อนำผลผลิตไข่ไก่ส่งเข้าโครงการอาหารกลางวัน และผลผลิตไข่ไก่อีกส่วนหนึ่งจำหน่ายให้กับชุมชน โดยซีพีเอฟสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่และปัจจัยการผลิต ทั้งพันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ ให้แก่โรงเรียน ผ่านระบบสมาชิกโครงการ รวมทั้งส่งเจ้าหน้าที่สัตวบาลให้ความรู้ คำปรึกษาในการเลี้ยงและการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ถูกต้องตามหลักวิชาการและการสุขาภิบาล

โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิดซึ่งตรงกับช่วงปิดเทอม โรงเรียนไม่ต้องนำไข่ไก่มาทำอาหารกลางวันให้นักเรียน แต่นักเรียนยังได้รับประทานเมนูที่นำไข่ไก่มาปรุงอาหาร เนื่องจากโรงเรียนทำอาหารเพื่อแจกจ่ายให้แก่เด็กนักเรียนและชุมชนวันเว้นวัน โดยแจกจ่ายให้เด็กนักเรียนกัมพูชา และเด็กนักเรียนไทยซึ่งบางคนมาทานที่โรงเรียน บางคนมารับข้าวห่อกลับไปทานที่บ้าน รวมไปถึงคนในชุมชนที่ยากไร้ คนที่ตกงานจากการถูกเลิกจ้าง ก็สามารถมาทานอาหารที่โรงเรียนทำไว้เพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่เดือดร้อน

บรรจรงค์ วรเศรษฐสุขศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแสนสุข เล่าว่า ในช่วงที่เกิดสถานการณ์ระบาดของโควิด 19 โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ช่วยโรงเรียนและชุมชนได้มากที่สุด เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่จากโครงการฯ ซึ่งเก็บผลผลิตได้วันละ 4 แผง (120 ฟอง) จะถูกนำมาจัดสรรเพื่อจำหน่ายให้แก่ชุมชน 3 แผง ในราคาย่อมเยาแผงละ 80 บาท ส่วนอีก 1 แผง เตรียมไว้สำหรับใส่ตู้ปันสุขของชุมชน โดยทุกๆ 5 วัน โรงเรียนจะนำไข่ไก่ใส่ถุง ๆละ 5 ฟอง พร้อมข้าวสาร 1 กิโลกรัม จำนวน 30 ชุด ไปใส่ตู้ปันสุข ซึ่งในช่วงโควิดสามารถนำผลผลิตไข่ไก่และข้าวสารไปใส่ตู้ปันสุขทั้งหมด 7 ครั้ง เป็นการบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่ในโครงการฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในช่วงวิกฤติ และยังเป็นการจัดการการสูญเสียอาหาร ที่จะนำไปสู่การบริโภคอย่างยั่งยืน

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันช่วยนักเรียนและชุมชนได้มากที่สุด เห็นได้ชัดเจนในช่วงสถานการณ์ระบาดของโควิด โรงเรียนนำเงินสำรองจากการจำหน่ายไข่ไก่มาซื้อวัตถุดิบ เช่น ข้าวสาร เพื่อใส่ในตู้ปันสุขของชุมชนช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน และซื้อเนื้อหมูมาปรุงอาหารเพื่อแจกจ่ายให้แก่เด็กนักเรียนและคนในชุมชนที่เดือดร้อน ” ผอ.โรงเรียนบ้านแสนสุข กล่าว

ด.ญ.ชมพูนุช เพ็งบุญโสม หรือ น้องกล้วยหอม นร.ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 รร.บ้านแสนสุข เล่าอย่างอารมณ์ดีว่า ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาซึ่งมีการระบาดของโควิด19 ทางโรงเรียนได้ช่วยเหลือชุมชนและนักเรียน โดยนำผลผลิตไข่ไก่ขายให้ชุมชนในราคาแผงละ 80 บาท และทำอาหารเพื่อแจกจ่ายให้นักเรียนและชาวบ้าน เช่น ข้าวผัดไข่ ไข่พะโล้ ผัดบวบใส่ไข่ โดยโรงเรียนจะทำอาหารแจกทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ หนูได้ทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง และผลผลิตไข่ไก่ที่เหลือ โรงเรียนได้นำไปใส่ในตู้อิ่มสุขตามจุดต่างๆของอำเภอ ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนช่วงโควิดด้วย

โรงเรียนบ้านแสนสุข เป็นโรงเรียนขนาดเล็กอยู่ในถิ่นทุรกันดารติดแนวชายแดนกัมพูชา เปิดการเรียนการสอนระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 เด็กนักเรียน 70% เป็นชาวกัมพูชา และ 30 % เป็นเด็กนักเรียนไทย โรงเรียนเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ เมื่อปี 2562มีเป้าหมายส่งเสริมเด็กและเยาวชนเข้าถึงอาหารและโภชนาการที่ดี บรรเทาปัญหาทุพโภชนาการ และเด็กๆ สามารถเรียนรู้ทักษะอาชีพเลี้ยงไก่ไข่เพื่อนำไปใช้ได้ปฏิบัติได้จริง รวมทั้งต่อยอดให้โรงเรียนเป็นแหล่งอาหารที่ยั่งยืน โดยปัจจุบันมีโรงเรียนทั่วประเทศที่
ร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนแล้วจำนวน 855 โรงเรียน