Home Blog Page 414

CP เตือน อย่าหลงเชื่อข่าวเท็จแอบอ้างชื่อเจ้าสัว เรื่องโปรแกรมเทรดบิทคอยน์

0

รายงานข่าวจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวปรากฎในสื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นกระบวนการหลอกลวง ผ่านแพลตฟอร์มการลงทุน Crypto Currency ที่ชื่อว่า Bitcoin Loophole โดยแอบอ้างชื่อนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ว่ามีการให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้

รวมถึงการพูดถึงการเป็นเศรษฐีได้ง่ายๆ ด้วยการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล Crypto Currency เพื่อหลอกลวงให้สังคมหลงเชื่อ และอ้างว่าเป็นรายงานพิเศษในเว็บไซต์ sanook.com ซึ่งมีการตรวจสอบพบว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข่าวปลอม และไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเว็บไซต์ sanook.com อีกทั้งเป็นการปลอมแปลงโลโก้ของเว็บไซต์ดังกล่าว เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือนั้น

ในการนี้ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือ ซีพี ยืนยันว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จ โดยนายธนินท์ เจียรวนนท์ ไม่เคยให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ตามที่มีการแอบอ้าง และไม่ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องการเทรดอัตโนมัติแต่อย่างใด ดังนั้น ขอให้อย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และไม่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงดังกล่าว โดยขอความร่วมมืออย่าแชร์ต่อ เพราะจะเกิดความเสียหาย และร่วมกันหยุดมิจฉาชีพในโลกออนไลน์

กรมการขนส่งทางบก ถอย ไม่ยึดคืน ไม่เรียกสอบใหม่ ใบขับขี่ตลอดชีพแล้ว

0

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกยืนยันว่าจะไม่ยึดคืนใบอนุญาตขับรถตลอดชีพและไม่เรียกผู้มีใบอนุญาตขับรถตลอดชีพทั้งหมดมาทดสอบสมรรถภาพของร่างกายใหม่หรือทดสอบขับรถใหม่ตามข้อมูลที่มีการแชร์กันในขณะนี้อย่างแน่นอน แต่จะมีการศึกษาว่าจะทำอย่างไรที่คัดกรองผู้ที่ร่างกายเสื่อมสมรรถภาพหรือมีสภาวะโรคที่แพทย์วินิจฉัยแล้วเห็นว่ามีผลต่อประสิทธิภาพการขับขี่อย่างปลอดภัย เช่น โรคทางสมอง โรคปัญหาการมองเห็นที่รักษาไม่หาย เป็นต้น เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน โดยการศึกษาดังกล่าวต้องหารือร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และแพทยสภา และต้องพิจารณาข้อกฎหมายประกอบอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้กระทบสิทธิผู้ถือใบอนุญาตขับรถตลอดชีพ

จิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก

ดังนั้น ที่มีการแชร์ข้อมูลว่าจะมีการยึดคืนใบอนุญาตขับรถตลอดชีพที่ออกให้แล้วหรือการให้เข้ามาทดสอบสมรรถภาพของร่างกายใหม่หรือทดสอบขับใหม่จึงไม่เป็นความจริง การดำเนินการเกี่ยวกับใบอนุญาตขับรถยังคงเป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามปกติ

ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกยังได้มีการนำสถิติการเกิดอุบัติเหตุและผลการศึกษาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางในการยกระดับมาตรฐานการออกใบอนุญาตขับรถ โดยแบ่งเป็น 7 มิติ ประกอบด้วย

  • 1.การกำหนดสภาวะโรค
  • 2.การทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย
  • 3.การอบรมและทดสอบความรู้ของผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถ (ภาคทฤษฎี) โดยจะมีการทบทวนและปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรการอบรม ให้สอดคล้องกับการขอรับใบอนุญาต พร้อมทั้งจัดทำระบบอบรมภาคทฤษฎีออนไลน์แบบ e-Learning
  • 4.การอบรมการขับรถและทดสอบความสามารถในการขับรถของผู้ขอรับใบอนุญาตภาคปฏิบัติ
  • 5.การบริหารจัดการ
  • 6.การปรับปรุงรูปแบบใบอนุญาตขับรถ โดยจะปรับปรุงให้สอดคล้องกับอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 และ
  • 7.การควบคุมพฤติกรรมการขับรถด้วยมาตรการตัดแต้ม (การติดตามประเมินผล) เพื่อพัฒนามาตรฐานใบอนุญาตขับรถของประเทศไทยให้ครอบคลุมทุกมิติ ยกระดับความปลอดภัยทางถนนของประเทศ

แนะกินหมูยุคนิวนอร์มอล ต้องใส่ใจเลือก และปรุงสุก

0

นายสัตวแพทย์ ปราโมทย์ ตาฬวัฒน์ กรรมการคณะกรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร และกรรมการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สก.) เปิดเผยว่า การเลี้ยงหมูของไทยทุกวันนี้ มีการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตตามหลักอาหารปลอดภัย (food safety) ได้มาตรฐานสากล มีการจัดการโรงเรือนตามมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ (animal welfare) เพื่อให้สัตว์อยู่สบาย เมื่อไม่ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อให้ผลิตเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากขึ้น

นายสัตวแพทย์ ปราโมทย์ ตาฬวัฒน์ กรรมการคณะกรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร และกรรมการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ในกระบวนการผลิตเนื้อหมูที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ปลอดภัย ปลอดสาร ตั้งแต่ต้นทางจนถึงมือผู้บริโภคนั้น เริ่มจากการผลิตสุกรพันธุ์ดี ที่เติบโตขึ้นท่ามกลางการจัดการฟาร์มที่ถูกสุขลักษณะ มีสภาพแวดล้อม ที่เหมาะสม และการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด หมูทุกตัวต้องผ่านการตรวจ วิเคราะห์รับรองว่าปลอดโรคและปลอดสารจากห้องปฏิบัติการของบริษัท ผ่านการรับรองของกรมปศุสัตว์

ก่อนถูกนำไปแปรรูปและตัดแต่งภายในโรงงานที่มีเทคโนโลยีการผลิตทันสมัย ได้มาตรฐานระดับโลกด้านความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) มีระบบควบคุมการตัดแต่ง เนื้อหมู และความปลอดภัย สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทันที เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพผลิตภัณฑ์เนื้อหมูสะอาด ปลอดสาร ปลอดภัย

นอกจากนี้ โรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ หรือ โรค ASF ในสุกร ที่กำลังคุกคามอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูในหลายประเทศนั้น โดยเฉพาะจีน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างเวียดนาม กัมพูชา เมียนมา และลาว สำหรับประเทศไทย จากความร่วมมือกับระหว่างรัฐ เอกชน และเกษตรกร ช่วยกันยกระดับการป้องกันโรค ASF อย่างแข็งแกร่ง จึงส่งผลให้ ไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคซีแอลเอ็มวีที (CLMVT) ที่สามารถปกป้องโรค ASF ได้จนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม โรค ASF เป็นโรคที่ติดต่อกันเฉพาะในหมูเท่านั้น ไม่ติดต่อสู่คน และสัตว์ชนิดอื่น ขออย่าเข้าใจผิด หรือ ตื่นตระหนกเกินไป กินเนื้อหมูได้ เป็นปกติ ปลอดภัย 100% ไม่มีอันตรายใดๆ ที่สำคัญเนื้อหมูยังเป็นเนื้อสัตว์ที่อร่อย และการปรุงสุกที่สาธารณสุขแนะนำมาตลอดก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงกระทำให้เป็นนิสัย หมูที่ปรุงสุกต้มในน้ำเดือด 20 นาที ก็ช่วยให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และยีสต์ทุกชนิด

นอกจากผู้ผลิตต้องให้ความสำคัญเรื่อง คุณภาพและความปลอดภัยของเนื้อหมู แล้ว ผู้บริโภคเองควรมีความรู้ในการเลือกบริโภคอาหารให้ถูกหลักอนามัย เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับสารเคมีอันตรายที่แฝงมากับอาหารที่มาจากการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน

ในการเลือกซื้อเนื้อหมู ผู้บริโภคควรเลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่ไว้ใจได้ น่าเชื่อถือ และสามารถ ตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ช่วยให้มั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์ที่เลือกซื้อไปปลอดสารเร่งเนื้อแดง และปลอดภัยจากยาปฏิชีวนะและสารตกค้างต่างๆ

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังสามารถสังเกตสินค้าได้จากตรารับรองจากหน่วยงานราชการ เช่น ตราสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์OK” ที่กรมปศุสัตว์ออกให้กับร้านจำหน่ายเนื้อสัตว์ที่ได้มาตรฐานการรับรองจากกรมปศุสัตว์ นอกจากนี้ ควรปรุงเนื้อหมูให้สุกก่อนรับประทาน เพียงเท่านี้ การบริโภคเนื้อหมูจะอร่อย และปลอดภัยหายห่วง

เชสเตอร์ ร่วมปลูกป่าโครงการซีพีเอฟรักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง ที่ลพบุรี

0

ผู้บริหารและพนักงานจิตอาสา บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด สานต่อกิจกรรม เชสเตอร์ ปันรัก ปันน้ำใจ ปีที่ 8 โดยร่วมกับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จัดกิจกรรมปลูกป่าร่วมปลูกป่าพลิกฟื้นความอุดมสมบูรณ์ ในโครงการ “ซีพีเอฟรักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” จ.ลพบุรี ต้นแบบของการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าของประเทศ ตอกย้ำนโยบายดำเนินธุรกิจควบคู่กับมีส่วนร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

นางรุ่งทิพย์ พรหมชาติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านเชสเตอร์ เปิดเผยว่า เชสเตอร์ฯ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม โดยปลูกฝังให้พนักงานมีจิตสาธารณะ รู้จักเกื้อกูล ร่วมดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยที่ผ่านมา ได้จัดกิจกรรมและโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ บริษัทได้นำพนักงานจิตอาสาร่วมดูแลและปลูกป่าในโครงการซีพีเอฟรักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง สอดรับกับนโยบายการดำเนินธุรกิจของเชสเตอร์ฟู้ดที่มีส่วนร่วมในการสร้างสมดุลธรรมชาติ โดยลดการใช้พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง และหันมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ด้าน นายสุธี สมุทระประภูต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ ในฐานะคณะทำงานยุทธศาสตร์รักษ์นิเวศฯ กล่าวว่า กิจกรรมปลูกป่าในครั้งนี้ เป็นการเรียนรู้การปลูกป่าแบบปราณีต ตั้งแต่ขั้นตอนการขุดหลุมขนาด 30x30x30 เซ็นติเมตร นำปุ๋ยใส่ที่ก้นหลุม เลือกชนิดของพันธุ์ไม้ โดยต้นกล้าที่จะปลูก จำนวน 200 ต้น บนพื้นที่ 1 ไร่ อาทิ มะค่าโมง ประดู่ป่า มะกอกป่า พยุง มะขามป้อม สมอภิเพก หว้า เป็นกล้าไม้ที่เติบโตได้ดีและเหมาะกับสภาพพื้นที่ จากนั้นคลุมด้วยฟาง รดด้วย EM รวมถึงมีการเก็บข้อมูลต้นไม้ด้วยการวัดความโต ความสูงของต้นไม้ และติดแท็กต้นไม้ เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการติดตามการปลูกอย่างต่อเนื่อง

โครงการ“ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” มีเป้าหมายอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า ภายใต้ความร่วมมือของกรมป่าไม้ ซีพีเอฟ และชุมชนรอบพื้นที่เขาพระยาเดินธง ซึ่งโครงการระยะที่หนึ่ง (ปี 2559-2563) สามารถอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า 5,971 ไร่ และเตรียมขยายผลการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกป่าเพิ่มเติม ในระยะที่ 2 (ปี 2564-2568) โดยมีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศ เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับการปลูกป่า และช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

นายถนอมพงษ์ สังข์ธูป หัวหน้าโครงการเขาพระยาเดินธง กรมป่าไม้ กล่าวว่า รัฐบาลกำหนดเป้าหมายส่งเสริมการปลูกป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวไว้ในแผนยุทธศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งทุกภาคส่วนมีบทบาทสำคัญในการร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟู ปลูกต้นไม้ และดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้ของชาติ โดยโครงการซีพีเอฟรักษ์นิเวศฯ สามารถเป็นต้นแบบการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าแบบมีส่วนร่วม คือ ความร่วมมือโดย ภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน และกิจกรรมในวันนี้ สะท้อนให้เห็นว่าภาคเอกชนตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรป่าไม้ กรมป่าไม้จึงขอเชิญชวนภาคเอกชนและประชาชน มาร่วมกันปลูกต้นไม้และมีส่วนร่วมดูแลทรัพยากรป่าไม้ของประเทศ

AIS โชว์แกร่ง ผลประกอบการไตรมาส 2 กำไรเพิ่ม แม้โควิด-19ทำรายได้ลดลง พร้อมทุ่มงบ 3.5 หมื่นล้าน ลงทุน 5G ต่อเนื่อง

0

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า ในภาพรวมของผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 ถือเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยอยู่ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ต่อเนื่องจากไตรมาสแรก โดยมาตรการล็อกดาวน์ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาวะเศรษฐกิจ ธุรกิจโทรคมนาคมได้รับผลกระทบจากการลดลงของนักท่องเที่ยวและการปิดบริการชั่วคราว AIS Shop, Serenade Club และ AIS Telewiz
ในพื้นที่ตามประกาศของภาครัฐ รวมถึง การสนับสนุนมาตรการของกสทช.เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายผู้ใช้บริการ ทั้งการมอบดาต้าและค่าโทรฟรีในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม เป็นอีกสาเหตุที่ส่งผลต่อรายได้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่ในส่วนธุรกิจเน็ตบ้านได้รับผลเชิงบวกจากการที่ลูกค้าต้องทำงานหรือเรียนหนังสือจากบ้าน ทำให้มีความต้องการติดเน็ตบ้านสูงขึ้นมาก ด้วยผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 บริษัทมุ่งเน้นที่จะบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพื่อคงความแข็งแรงของกระแสเงินสดให้สามารถลงทุนในธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุน 5G เพื่อการเติบโตในระยะยาว

ในไตรมาส 2 เอไอเอสมีรายได้รวม 42,256 ล้านบาท ลดลง 1.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 4.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สำหรับธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ เอไอเอสยังคงมีจำนวนลูกค้าโทรศัพท์มือถือสูงที่สุดในตลาดที่ 41 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็นลูกค้าระบบรายเดือน จำนวน 9.5 ล้านราย ซึ่งเพิ่มขึ้นจำนวน 395,600 ราย ในไตรมาสนี้ และมีลูกค้าระบบเติมเงินอยู่ที่ 31.4 ล้านราย ซึ่งลดลงจำนวน 531,900  ราย โดยมีสาเหตุหลักจากยอดขาย Sim2Fly ที่ได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดของการเดินทางระหว่างประเทศ ในขณะที่รายได้ต่อเลขหมายเฉลี่ยเท่ากับ 239 บาท/เลขหมาย/เดือน จากสภาพการแข่งขันในตลาดที่ยังคงสูงจากแพ็กเกจประเภท Fixed Speed Unlimited ซึ่งยังมีให้บริการในทุกโอเปอร์เรเตอร์ ขณะที่ COVID-19 ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไป ทั้งการทำงานที่บ้าน และเรียนที่บ้าน ส่งผลให้การใช้งานดาต้าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 15% เทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่เฉลี่ย 17 กิกะไบต์ต่อเดือน และสัดส่วนลูกค้าที่ใช้ 4G ยังเติบโตสูงขึ้นต่อเนื่อง 75%

ส่วนธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน เอไอเอส ไฟเบอร์ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีลูกค้าใหม่เพิ่มสูงที่สุดนับตั้งแต่เปิดให้บริการ จากความต้องการติดเน็ตบ้านในช่วงโควิด ส่งผลให้มีลูกค้ารวม 1.2 ล้านราย และมีรายได้จากธุรกิจเน็ตบ้าน 1,683 ล้านบาท เติบโต 22% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนธุรกิจลูกค้าองค์กรก็ยังคงเติบโตจากความต้องการใช้บริการโซลูชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Data Center, Cloud และ ICT solution เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

แม้ว่าธุรกิจจะได้รับผลกระทบในเชิงรายได้ บริษัทมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนและการควบคุมค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะกิจกรรมทางการตลาดที่น้อยลงในช่วงสถานการณ์โควิด ส่งผลให้เอไอเอสมีกำไรสุทธิ 7,235 ล้านบาท ลดลง 6.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เติบโต 3.3% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า รวมถึงมีการบริหารจัดการกระแสเงินสดให้เพียงพอต่อการลงทุนขยายโครงข่ายทั้งบริการ 5G และ 4G เพื่อรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม โดยมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในครึ่งปีแรกรวม 42,328 ล้านบาท และคงงบลงทุนทั้งปี 2563 ประมาณ 35,000 ล้านบาท เพื่อเดินหน้าสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งให้กับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน เอไอเอส ขยายเครือข่าย 5G ครบ 77 จังหวัด และครอบคลุมเต็มพื้นที่ 100% นิคมอุตสาหกรรมใน EEC แล้ว ทำให้ไทยเป็น ประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีเครือข่าย 5G ให้บริการเต็มพื้นที่ 100% ในนิคมอุตสาหกรรม ยกระดับประเทศสู่ผู้นำเครือข่าย 5G ในระดับภูมิภาค พร้อมดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC โดยเอไอเอสได้ประกาศวิสัยทัศน์ “AIS 5G – Forging Thailand’s Recovery” นำ 5G ร่วมฟื้นฟูประเทศไทยในทุกมิติ ภายใต้การผนึกกำลังกับผู้นำอุตสาหกรรมทุกภาคส่วน ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม

“เราเที่ยวด้วยกัน” ผลตอบรับดี ชวนผู้ประกอบการร่วมสร้างบรรยากาศดี หลังพบที่พักขนาดเล็กเข้าข่ายทุจริต

0

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากที่ได้เริ่มโครงการเราเที่ยวด้วยกันตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นมา ในภาพรวมมีผลตอบรับในทางที่ดี มีประชาชนสนใจลงทะเบียน 4.76 ล้านราย ลงทะเบียนสำเร็จ 4.51 ล้านราย มีโรงแรมสนใจเข้าร่วมโครงการ 6,815 แห่ง กระจายตัวอยู่ครบในทุกจังหวัดทั่วประเทศ

เมืองหลักที่มีโรงแรมสนใจเข้าร่วมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ กระบี่ ภูเก็ต และประจวบคีรีขันธ์ และเมืองรองที่มีโรงแรมสนใจเข้าร่วมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เชียงราย จันทบุรี น่าน นครศรีธรรมราช และตราด โดยมีการจองโรงแรมแล้ว 391,731 ห้อง จ่ายเงินจองเรียบร้อยแล้ว 388,461 ห้อง และโรงแรมที่มีการจองห้องพักแล้วมีจำนวน 3,465 แห่ง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งของจำนวนโรงแรมที่สนใจเข้าร่วมโครงการ ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืนอยู่ที่ 2,950 บาท นอกจากนี้ หลังจากได้เปิดให้ร้านค้า OTOP เข้ามาลงทะเบียนร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 พบว่า มีร้านค้า OTOP สนใจเข้าร่วม 453 แห่ง ทั้งนี้ ร้านค้า OTOP ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนจะสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ทุกวันที่เว็บไซต์ เราเที่ยวด้วยกัน.com

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตรวจสอบพบผู้ประกอบการที่พักขนาดเล็ก 1 แห่งมีพฤติกรรมต้องสงสัยอาจเข้าข่ายทุจริตจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน โดยที่พักดังกล่าวมียอดการจองห้องพักเต็มตลอดเวลาและเกินกว่าจำนวนห้องพักที่มีอยู่ รวมทั้งผู้เข้าพักมีประวัติการใช้ e-Voucher สำหรับการซื้ออาหารในที่พักโดยที่โรงแรมดังกล่าวไม่มีห้องอาหารไว้ให้บริการแก่ผู้เข้าพัก โดยขณะนี้ได้ระงับการจ่ายเงินสนับสนุนค่าที่พักในสัดส่วนร้อยละ 40 ของราคาที่พัก และ E-Voucher แล้ว และจะพิจารณาตัดสิทธิ การเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันต่อไป

โครงการเราเที่ยวด้วยกันมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแหล่งรายได้และการจ้างงานหลักของประเทศ เพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดังนั้น จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการที่พักปฏิบัติตามเงื่อนไขของโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เพื่อร่วมกันสร้างบรรยากาศที่ดีให้การท่องเที่ยวไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง

เลื่อนเก็บค่าเก็บขยะอัตราใหม่ 80 บาท/เดือน ไปอีก 1 ปี

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เฟสบุ๊คของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้โพสแจ้งว่า กทม.เลื่อนเก็บค่าธรรมเนียมขยะอัตราใหม่ 80 บาทต่อเดือน ไปเป็น 1 ต.ค.64 โดยมีเนื้อหาว่า

“เนื่องจากข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย ตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2562 ซึ่งกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจัดเก็บขยะ จากเดิม 20 บาทต่อเดือน เป็น 80 บาทต่อเดือน จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไปนั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บและการกำจัดขยะในพื้นที่กรุงเทพฯ

แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ อีกทั้งประชาชนได้รับผลกระทบทั้งด้านรายได้ อาชีพการงาน ชีวิตประจำวัน กทม.จึงได้เสนอร่างข้อบัญญัติฉบับใหม่ต่อสภากทม. เพื่อขอพิจารณาแก้ไขกำหนดเวลาการจัดเก็บค่าธรรมเนียมขยะในอัตราใหม่ออกไปอีก 1 ปี จากเดิมวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2564 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชน ซึ่งสภากทม.ได้เห็นชอบในร่างข้อบัญญัติดังกล่าวเรียบร้อยแล้วครับ

อย่างไรก็ตาม กทม.ต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในการร่วมกันลดปริมาณขยะตั้งแต่ต้นทาง มีการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง หันมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือนำมาใช้ซ้ำ และแปรรูปกลับมาใช้ใหม่ ตลอดจนทิ้งขยะในที่ที่กำหนดไว้ เพื่อให้บ้านเรือนสะอาด ไม่ให้มีขยะตกค้าง กรุงเทพฯ สะอาด และสิ่งแวดล้อมดีต่อไปครับ”

สิงห์อาสา จับมือกปน. และ 6 สถาบัน เปิดอบรมงานช่าง สร้างอาชีพ

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด  ประกาศเปิดโครงการ “สิงห์อาสาอบรมสร้างอาชีพ” กลุ่มทักษะทางด้านงานช่าง ในหลักสูตร Home service and office skills โดยร่วมกับ 6 สถาบันการศึกษาและหน่วยงานชั้นนำ ได้แก่ สถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 1 จ.ปทุมธานี, วิทยาลัยสารพัดช่างธนบุรี กรุงเทพฯ, วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี, มหาวิทยาเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จ.ปทุมธานี, มหาวิทยาเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จ.ขอนแก่น และมหาวิทยาเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.เชียงใหม่ และการประปานครหลวง (สำนักงานใหญ่)

การอบรมจะเน้นหลักสูตรเรียนรู้ง่าย เพื่อนำไปประกอบอาชีพได้ทันทีผ่านวิชาชีพด้านงานช่าง ได้แก่

  1. ช่างไฟฟ้าบ้าน
  2. ช่างแอร์ อบรมการดูแลและซ่อมบำรุงเครื่องปรับอากาศ
  3. ช่างประปา อบรมการซ่อมบำรุงและติดตั้งเบื้องต้น
  4. กราฟิกดีไซน์เบื้องต้น อบรมการใช้โปรแกรม Adobe Photoshop และ Adobe Illustrator เบื้องต้น
  5. ช่างคอมฯ อบรมการติดตั้งโปรแกรมเบื้องต้น การซ่อมบำรุงคอมพิวเตอร์เบื้องต้น
  6. อี-คอมเมิร์ซ ทำธุรกิจออนไลน์ อบรมเทคนิคการขายของออนไลน์ ช่องทางการจำหน่าย การถ่ายรูปโปรโมทสินค้า

ทั้งนี้ในแต่ละหลักสูตรรับผู้เข้าอบรมหลักสูตรละ 40 คน และอบรมหลักสูตรระยะสั้น 12 ชั่วโมง กระจายไปทั่วประเทศ ผู้สนใจสามารถสมัครเข้ารับการอบรม ได้ที่เฟสบุ๊ค singha r-sa สิงห์อาสา โดยจะเปิดอบรมหลักสูตรแรกคือ ช่างไฟบ้าน ในวันที่14-15 ส.ค.63 นี้ ที่สถาบันอาชีวศึกษาภาคกลาง 1 จังหวัดปทุมธานี

ที่ผ่านมา ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาด บริษัทบุญรอดฯ ดำเนินการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ ในรูปแบบของการจ้างงานและสร้างอาชีพ เป็นมูลค่าการช่วยเหลือรวมกว่า 200 ล้านบาท รวมทั้งการบริจาคเงินสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ให้แก่ 26 โรงพยาบาลหลักทั่วประเทศ และสนับสนุนอาหารและน้ำดื่มให้กับบุคลากรหลักๆ หลายแห่ง

ตามนโยบายเร่งด่วนในการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ โดยได้เริ่มโครงการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในโครงการจ้างงาน สร้างรายได้ ผ่านการร่วมเป็นอาสาสมัครดูแลท้องถิ่นตนเอง ทั้งไฟป่า, ภัยแล้ง, และน้ำท่วม รวม 37 จังหวัด ทั่วประเทศ ต่อด้วยโครงการสิงห์อาสาอบรมสร้างอาชีพ กลุ่มทักษะทางด้านอาหาร ในหลักสูตร 10 เมนูยอดนิยมอร่อยง่ายๆ, หลักสูตรเครื่องดื่มร้อนเย็นเต็มสูตร และหลักสูตรสร้างตัวกับเมนูเดลิเวอรี่ ได้รับความสนใจจากประชาชนเข้ามารับการอบรมจำนวนมาก จนเต็มทุกที่นั่งในแต่ละหลักสูตร โดยจัดอบรมฟรีไปเมื่อเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ที่ผ่านมา


สิงห์อาสา เดินเท้าลงพื้นที่ จ.เลย-เชียงราย ช่วยเหลือเร่งด่วนผู้ประสบภัยพายุซินลากู

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า สิงห์อาสา โดย บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และ มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ร่วมกับ 3 เครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย พร้อมด้วย ชมรมผู้ประกอบการร้านอาหารจังหวัดเลย และหจก.เฉลิมชัยพานิชจังหวัดเลย เร่งลงพื้นที่ประสบภัยแจกจ่ายข้าวสาร น้ำดื่มเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องชาวไทยที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนซินลากู ที่สร้างความเสียหายจากน้ำท่วมรุนแรงและน้ำป่าไหลหลากทะลักเข้าท่วมบ้านเรือน โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือและภาคอีสานมีผู้ประสบภัยแล้วนับพันครัวเรือน

เครือข่ายสิงห์อาสาทั้งในพื้นที่จังหวัดเลย และจังหวัดเชียงราย เดินหน้าเข้าสู่พื้นที่ประสบภัยทันทีในวันแรก เมื่อ 3 ส.ค. โดยใช้วิธีเดินเท้าลุยน้ำเข้าสู่พื้นที่ เพื่อเร่งนำน้ำดื่มสิงห์และข้าวสารพันดีแจกจ่ายให้แก่พี่น้องประชาชนก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อให้สามารถยังชีพได้เบื้องต้น ได้แก่ หมู่บ้านสูบ ตำบลน้ำสวย อำเภอเมือง จังหวัดเลย และบ้านบวกขอน ตำบลแม่เจดีย์ใหม่, บ้านหม้อ ตำบลป่างิ้ว และบ้านเฟือยไฮ ตำบลบ้านโป่ง โดยทั้ง 3 ตำบลตั้งอยู่ในพื้นที่ อำเวียงป่าเป้า  จังหวัดเชียงราย

นอกเหนือจากการนำน้ำดื่มและข้าวสารเข้าไปแจกจ่าย เครือข่ายสิงห์อาสายังได้สำรวจพื้นที่และเก็บข้อมูลผู้ประสบภัยเบื้องต้น พบว่าในพื้นที่ประสบภัยจ.เลย ยังคงมีระดับที่น้ำท่วมสูง จนทำให้สิ่งของเครื่องใช้ได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด ไม่มีไฟฟ้าใช้ และไม่สามารถประกอบอาหารไว้รับประทานเองได้ จึงได้เดินหน้าแผนการช่วยเหลือต่อเนื่องทันที ด้วยการเดินเท้าเข้าสู่พื้นที่เป็นวันที่ 2 โดยนำอาหารปรุงสุกใหม่ ที่มีความสดสะอาดพร้อมรับประทานพร้อมน้ำดื่มเข้าแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยอีกครั้งรวมกว่า 1,500 ชุด รวมมอบน้ำดื่มสิงห์กว่า 1,000 แพ๊ก ข้าวสารพันดีกว่า 200 ถุง

ทั้งนี้ จากการติดตามข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา และการประเมินสถานการณ์จริงในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อเฝ้าระวังภัยและเตรียมแผนการช่วยเหลืออย่างเป็นขั้นตอน ให้สามารถเข้าช่วยเหลือบรรเทาทุกข์พี่น้องประชาชนได้อย่างทันท่วงที โดยตลอด 2 วันที่ผ่านมา สิงห์อาสาได้เข้าช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่สองจังหวัดอย่างเต็มที่

CPF เดินหน้าโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนร.

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ โดยนายบุญธรรม กังแฮ รองกรรมการผู้จัดการ ได้เป็นตัวแทนส่งมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ให้โรงเรียนลำดับที่ 818 โรงเรียนบ้านดอนตะเคียน ตำบลบางสน อำเภอปะทิว จ.ชุมพร เป็นรายล่าสุด โดยมี เรืออากาศตรีโสภณ ภู่ขันเงิน นายอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เป็นประธานในพิธีส่งมอบ พร้อมกันนี้ นายประวิตร พุ่มสุวรรณ นายกเทศมนตรีตำบลบางสน ในฐานะผู้แทนคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนบ้านดอนตะเคียน นำผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครูและนักเรียนร่วมรับมอบโครงการ

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว มีเป้าหมายร่วมแก้ปัญหาทุพโภชนาการ ด้วยการส่งเสริมเด็กและเยาวชนบริโภคไข่ไก่ อาหารโปรตีนคุณภาพ และสนับสนุนการเลี้ยงไก่ไข่ในสถานศึกษา เพื่อนำผลผลิตไข่ไก่ส่งเข้าโครงการอาหารกลางวันของนักเรียน บริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่ส่วนเกินจากที่ส่งเข้าโครงการอาหารกลางวันเพื่อจำหน่ายให้แก่ชุมชน และสามารถต่อยอดถ่ายทอดประสบการณ์เลี้ยงไก่ไข่สู่การประกอบอาชีพในอนาคต ดำเนินโครงการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบันมากกว่า 30 ปี ภายใต้ความร่วมมือระหว่างซีพีเอฟ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีโรงเรียนจากทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการแล้ว 856 โรงเรียน

นายก้องสกล นพเก้า ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านดอนตะเคียน กล่าวว่า โรงเรียนบ้านดอนตะเคียนเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก จัดการเรียนการสอนสำหรับผู้เรียนในระดับชั้นเตรียมความพร้อมถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวนนักเรียน 146 คน และบุคลากรทางการศึกษา 12 คน โรงเรียนเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เริ่มเลี้ยงไก่ไข่รุ่นที่ 1 จำนวน 100 ตัว เมื่อเดือนมิถุนายน 2563 โดยมีซีพีเอฟสนับสนุนการสร้างโรงเรือนและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน พันธุ์ไก่ อาหารไก่ พร้อมส่งผู้เชี่ยวชาญของซีพีเอฟแนะนำวิธีการเลี้ยงและการดูแล และติดตามอย่างใกล้ชิด

” โรงเรียนมีโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ทำให้เด็กๆได้รับประทานไข่ไก่สด คุณภาพดี ส่งเสริมภาวะโภชนาการของนักเรียนให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง นักเรียนมีทักษะและประสบการณ์ในการประกอบอาชีพเลี้ยงไก่ไข่เมื่อจบการศึกษา ช่วยเหลือตนเองและครอบครัวได้ในอนาคต” ผอ.โรงเรียนบ้านดอนตะเคียน กล่าว

ซีพีเอฟ ใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการเลี้ยงไก่ไข่ ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่คุณครูและนักเรียน ส่งเสริมโรงเรียนเป็นแหล่งผลิตอาหารโปรตีนคุณภาพ โดยเฉพาะโรงเรียนในถิ่นทุรกันดารและพื้นที่ห่างไกล ซึ่งปัจจุบัน มีโรงเรียนในโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน พื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 228 โรงเรียน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 335 โรงเรียน ภาคกลาง 137 โรงเรียน ภาคตะวันออก 52 โรงเรียน และภาคใต้ 104 โรงเรียน

ภายใต้เจตนารมณ์ร่วมแก้ปัญหาทุพโภชนาการ ภาวะเด็กผอม เตี้ย เด็กอ้วน และส่งเสริมเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร พื้นที่ห่างไกล ได้บริโภคไข่ไก่ ทำให้หน่วยงานและองค์กรอื่นๆ เห็นความสำคัญของโครงการ และเข้าร่วมสนับสนุนโครงการ ได้แก่ หอการค้าญี่ปุ่น- กรุงเทพ ฯ และ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ร่วมสร้างเด็กและเยาวชนไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพทั้งทางร่างกายและสติปัญญา