Home Blog Page 410

ซีพีเอฟ ร่วมสนับสนุนการทำฟาร์มกุ้งใส่ใจสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นใจให้กุ้งไทยในตลาดโลก

0

รายงานข่าวจากคณะพัฒนาระบบการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงไทย (Thai Sustainable Fisheries Roundtable : TSFR) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งขาวของไทยให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในปัจจุบัน มีการปรับปรุงการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่อาหารสัตว์ การปรับปรุงฟาร์มและกระบวนการเลี้ยง การบริหารจัดการน้ำและพลังงาน เพื่อลดการปล่อยของเสียสู่ธรรมชาติ โดยเฉพาะการผลิตอาหารสัตว์มีการใช้ปลาป่นที่มาจากการประมงที่รับผิดชอบและได้รับมาตรฐานสากลระดับโลก ขณะเดียวกันยังมีการพัฒนาระบบการเลี้ยงเพื่อบำบัดน้ำให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

และ ยังร่วมมือกับภาครัฐในการปรับปรุงการบริหารการประมงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งควบคุมเครื่องมือจับปลา วิธีการจับปลา ตลอดจนการพัฒนาระบบติดตามเรือประมง ให้สอดคล้องกับแนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลด้วยความรับผิดชอบที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการรายงาน และมีการควบคุมเป็นอย่างดี

คณะพัฒนาระบบการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงไทย ได้ร่วมดำเนินโครงการพัฒนาการประมงอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงสภาวะการประมงและการปฏิบัติต่างๆ ทั้งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทยเพื่อความยั่งยืนสูงสุด มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการทำประมงของไทยด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โปร่งใส ตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งห่วงโซ่อุปทาน

และได้ดำเนินการร่วมกับกรมประมง สนับสนุนและผลักดันให้เกิดการปรับปรุงการทำประมงเพื่อให้ได้วัตถุดิบในการผลิตอาหารกุ้งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและถูกต้องกฎหมาย ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบการทำฟาร์มกุ้งของไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อลดการปล่อยของเสีย นอกจากจะช่วยให้การประมงไทยได้รับการปลดใบเหลืองจากสหภาพยุโรปแล้ว ยังส่งผลให้อุตสาหกรรมกุ้งไทยได้รับการจัดอันดับล่าสุด จากโครงการ Seafood Watch ของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมอนเทอเรย์เบย์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดทำรายงานผลการการประเมินการทำฟาร์มกุ้งในประเทศไทยว่า มีความคืบหน้าและปรับปรุงได้ดีขึ้นหลายด้านโดยเฉพาะการจัดหาปลาป่นเพื่อนำไปผลิตเป็นอาหารสัตว์และลดผลกระทบต่อชุมชนได้คะแนนจากการประเมินดีกว่าที่ผ่านมา ทำให้การประเมินในภาพรวมของไทยอยู่ในระดับสีเหลือง ซึ่งหมายถึงกุ้งขาวของไทยเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้บริโภคในสหรัฐ

ทั้งนี้ คณะพัฒนาระบบการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงไทย ประกอบไปด้วย 8 สมาคม ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย สมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป มีเป้าหมายยกระดับสถานะกุ้งไทยในสหรัฐให้อยู่ในระดับสีเขียว (Best Choices หรือ Green) ซึ่งเป็นกุ้งที่มาจากการบริหารจัดการฟาร์มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และต้องเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภคทั่วโลก

น.สพ.สุจินต์ ธรรมศาสตร์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจสัตว์น้ำ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ  เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มีนโยบายและแนวทางการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน เพื่อให้การจัดหาปลาป่นเพื่อผลิตอาหารสัตว์น้ำของบริษัทฯ เป็นไปด้วยความรับผิดชอบ ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันซีพีเอฟใช้ปลาป่นที่ได้มาจากผลพลอยได้จากโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ปลาและเป็นปลาที่จับมาอย่างถูกต้องภายใต้มาตรฐานของ MarinTrust Standard Version 2.0 ซึ่งสอดคล้องกับ Code of Conduct for Responsible Fisheries ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)

นอกจากนี้ ยังได้มีส่วนร่วมริเริ่มโครงการ FIPs เพื่อร่วมพัฒนาการประมงในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ตลอดจนการร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับ MarinTrust ในการพัฒนาหลักเกณฑ์การประเมินการบริหารจัดการประมงอวนลากสำหรับสัตว์น้ำหลากหลายสายพันธุ์ (Mixed Trawl Fisheries) เพื่อนำร่องสร้างมาตรฐานการประมงอย่างรับผิดชอบมาตรฐานแรกของโลก ที่ใช้ได้กับอาเซียนอย่างเหมาะสม ซึ่งครอบคลุมการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทาน เช่น ภาคเอกชน ภาครัฐบาล ภาคประชาสังคม

เอไอเอส จับมือ TG FONE เพิ่มช่องทางจำหน่าย 200 สาขาทั่วประเทศ

0

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส ร่วมมือกับ TG FONE ผู้นำการจัดจำหน่ายมือถือและดีไวซ์ไอที ในฐานะเอ็กซ์คลูซีฟ พาร์ทเนอร์ ผสานความแข็งแกร่งในการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการดิจิทัลของเอไอเอส ผ่านร้าน TG FONE ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ, ปริมณฑล และจังหวัดหัวเมืองใหญ่ทุกภูมิภาคทั่วไทย

ทั้งนี้ ถือเป็นการขยายช่องทางการให้บริการ (Touch Point) แบบลงลึก เติมเต็มไลฟ์สไตล์คนเมือง ให้เข้าถึงสินค้าและบริการจาก AIS และ TG FONE ได้อย่างง่ายดาย สะดวกสบายยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยสร้างการเติบโตให้กับทั้งสองธุรกิจไปในตัว

ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว  จะร่วมกันจัดจำหน่ายสินค้าและบริการดิจิทัลจาก AIS แบบเอ็กซ์คลูซีฟ ในร้าน TG FONE และสาขาใน Big C  รวมกว่า 200 สาขาทุกภูมิภาคทั่วประเทศ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อลูกค้าของ AIS และ TG FONE โดยเฉพาะ รวมถึงการจัดดิสเพลย์ภายในร้าน ทั้งมุมโชว์เครื่องมือถือให้ลูกค้าได้ทดลองใช้งานจริง ตลอดจนการตกแต่งที่ให้ความรู้สึกเเหมือนมาใช้บริการที่ AIS Shop ตลอดจนการทำธุรกรรมให้ลูกค้าเอไอเอสได้ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายบิล เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่ายเบอร์เดิม หรือเปลี่ยนจากเติมเงินเป็นรายเดือน ที่ร้าน TG FONE

ซีพีเอฟ พัฒนาถาดพลาสติกใสชีวภาพ PLA ย่อยสลายง่าย ปลอดภัยต่อผู้บริโภค

0

นายกิตติ หวังวิวัฒน์ศิลป์ ในฐานะประธานคณะทำงานบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ  เปิดเผยว่า ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุแทนพลาสติก หรือ พลาสติกที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้ ควบคู่กับการพัฒนาบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เอื้อต่อการนำกลับมาใช้ใหม่ได้(Recycle) ให้มากที่สุด ทั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายและแนวทางปฏิบัติด้านบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนของบริษัท

กิตติ หวังวิวัฒน์ศิลป์ ประธานคณะทำงานบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ซีพีเอฟ

ที่ผ่านมา ซีพีเอฟ ริเริ่มการใช้พลาสติกชีวภาพ PLA ในประเทศไทยโดยเริ่มต้นใช้กับเนื้อหมู และไก่สดแช่เย็น ที่CP Butcher ทั่วประเทศในปี 2558 และได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น การปรับปรุงรูปแบบบรรจุภัณฑ์ในปี 2562ให้มีความหนาลดลงร้อยละ 17ช่วยลดการใช้พลาสติก โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการเก็บอาหาร และในปีนี้ ได้ต่อยอดโดยการเป็นผู้ริเริ่มในการเปลี่ยนมาใช้ฟิล์มยืดหุ้มถาดที่เป็นวัสดุ Non-PVCทำให้สามารถรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น และปลอดภัยกว่าการใช้ วัสดุ PVC ที่มีสารกลุ่มคลอรีนเป็นองค์ประกอบ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสารพิษเมื่อถูกเผาทำลาย หรือเข้าสู่กระบวนการที่มีความร้อนสูงมากๆ เพื่อให้เป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยด้านอาหารและความยั่งยืนอย่างสมบูรณ์

ในช่วง 5ที่ผ่านมา ซีพีเอฟ ได้ใช้ถาดชนิดนี้ไปแล้วกว่า 20ล้านชิ้น ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า  807,700กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากความสำเร็จนี้ นวัตกรรมถาดPLA ของซีพีเอฟ ยังได้รับรางวัลชมเชย จากกิจกรรม Thailand Research Expo 2020 Award ในมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2563

นอกจากถาดชีวภาพแล้ว ซีพีเอฟยังเดินหน้าศึกษาและออกแบบบรรจุภัณฑ์อาหารเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น การใช้วัสดุชนิดเดียว  (mono material) ตลอดทั้งชิ้นกับสินค้าไก่ปรุงสุกแช่แข็ง ตรา Kitchen Joy ที่วางจำหน่ายในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย เพื่อให้สามารถนำบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ 100% และมีการต่อยอดใช้กับสินค้าอื่น ๆ ต่อไป

จากเป้าหมายนโยบายบรรจุภัณฑ์พลาสติกของบริษัทฯที่นำมาใช้จะต้องสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ  (Reusable) นำมาใช้ใหม่  (Recyclable) นำไปผลิตเป็นสินค้าอื่นใหม่ได้  (Upcyclable) หรือ สามารถย่อยสลายได้  (Compostable) 100%สำหรับกิจการในประเทศไทย ในปี 2568 และกิจการในต่างประเทศจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี2573  ปัจจุบันซีพีเอฟได้ออกแบบบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารทำมาจากพลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่  (Recyclable plastic) คิดเป็นร้อยละ99.5 ของปริมาณบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ทั้งหมดสำหรับกิจการในประเทศ

เอไอเอส จับมือธนาคารออมสิน กำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน

0

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส ร่วมกับธนาคารออมสิน รณรงค์สร้างการตระหนักรู้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และบอกต่อการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี พร้อมเชิญชวนคนไทยร่วมใจคัดแยก E-Waste และนำไปทิ้งในจุดรับทิ้งซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 1,800 จุด รวมถึงจุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ ถนนพหลโยธินด้วย

โดยการร่วมมือครั้งนี้เป็นการต่อยอดจาก ความร่วมมือกับ “ภาคีเครือข่ายกรีนพหลโยธิน” เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้พนักงาน ครอบครัวพนักงาน รวมไปถึงประชาชนทั่วไป เข้าใจ รู้ถึงอันตรายที่แฝงมากับขยะอิเล็กทรอนิกส์

ทั้งนี้ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ที่แคมเปญ “คนไทยไร้ E-Waste” มุ่งเน้นมีทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต, แบตเตอรี่มือถือ, พาวเวอร์แบงก์, สายชาร์จ หูฟัง โดยขยะ E-Waste ทั้งหมดที่เข้าสู่โครงการจะถูกรวบรวมและนำไปกำจัดแบบถูกวิธีด้วยกระบวนการ Zero Landfilled ปัจจุบัน “คนไทยไร้ E-Waste” มีจุดรับทิ้งขยะ E-waste กระจายอยู่ทั่วประเทศ อาทิ ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่, เอไอเอสช็อป, ไปรษณีย์ไทย, ศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัล, อาคารชุดและคอนโด ฯลฯ
รวมทั้งสิ้นกว่า 1,800 จุด สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ E-Waste ได้ที่ https://ewastethailand.com

ทดสอบวิ่งรถไฟฟ้าสายสีทองแล้ว พร้อมเปิดบริการจริงปลายต.ค.นี้

0

รายงานข่าว เปิดเผยความคืบหน้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง (สถานีกรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน) ว่า ขบวนรถไฟฟ้า APM รุ่น Bombardier Innovia APM 300 ได้จัดส่งและขนย้ายมาที่โรงจอดรถไฟฟ้ากรุงธนบุรีครบทั้ง 3 ขบวนแล้ว และบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด ได้ทำการทดลองเดินรถไปเมื่อเร็วๆนี้ โดยวิ่งออกจากสถานีเป็นครั้งแรก และวิ่งทดสอบบนทางวิ่งจริง (Running Path) ครั้งแรก และการสับราง Track Switch โดยมีรถไฟฟ้า ในระยะทางสั้น ๆ ระหว่างชานชาลาที่ 1 และ 2

รถไฟฟ้าสายสีทองรุ่น Bombardier Innovia APM 300 เป็นระบบที่ใช้เป็นรถไฟฟ้ารูปแบบไร้คนขับโดยใช้รางนำทาง มีผิวสัมผัสระหว่างล้อและทางวิ่งเป็นยาง ซึ่งจะทำให้เกิดความนุ่มนวลและก่อให้เกิดเสียงรบกวนต่ำ ความเร็วการทำงานสูงสุดที่ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขบวนรถที่ใช้ในระบบมีทั้งหมด 3 ขบวน ขบวนละ 2 ตู้ โดยใช้รับส่งผู้โดยสารจำนวน 2 ขบวน และสำรองไว้ในระบบ 1 ขบวน ความจุผู้โดยสาร 137 คน/ขบวน รถไฟฟ้ามีความกว้าง 2.8 เมตร ความยาว 12.75 เมตร ความสูง 3.5 เมตร ประตูมีความกว้าง 1.9 เมตร ความสูงของพื้นรถ 1.1 เมตร น้ำหนัก 16.3 ตัน

ส่วนความก้าวหน้างานก่อสร้างโรงจอดและซ่อมบำรุง รวมถึงสถานีกรุงธนบุรี สถานีเจริญนคร และสถานีคลองสาน ในภาพรวม 94.84 % แบ่งเป็นงานโยธา มีความก้าวหน้า 97.36 % และงานติดตั้งระบบเดินรถ มีความก้าวหน้า 91.31 %

เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีทอง  ระยะทาง 1.8 กิโลมตร เฟสแรก  แบ่งออกเป็น 3 สถานี ได้แก่  1.สถานีกรุงธนบุรี 2.สถานีเจริญนคร 3. สถานีคลองสาน มีกำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ปลายเดือนตุลาคมนี้  โดยเส้นทางวิ่งของสายสีทอง จะเชื่อมถึงไอคอนสยาม ห้างสรรพสินค้าใหญ่ย่านฝั่งธนบุรี  และยังรองรับการเดินทางของผู้ใช้บริการข้ามไปยังฝั่งพระนครได้ โดยเชื่อมโยงเส้นทางกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่สถานีกรุงธนบุรี

ขอบคุณ ภาพจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง กรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน

ซีพีเอฟ จับมือกรมประมง กับชุมชนลุ่มน้ำป่าสัก ปล่อยพันธุ์ปลาลงเขื่อน

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับกรมประมง และชุมชนในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก สานต่อความร่วมมือฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ เติมความสมบูรณ์ของแหล่งอาหารชุมชน และส่งเสริมให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งนำองค์ความรู้อนุบาลปลาก่อนปล่อยลงเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ช่วยเพิ่มอัตราการรอดของปลาที่ปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ

นายธณพล สกุลวิวรรธน์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายธุรกิจเป็ดเนื้อ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า การดำเนินโครงการยุทธศาสตร์สร้างสุข ปล่อยปลาลงเขื่อน เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ เป็นกิจกรรมที่บริษัทฯ ร่วมมือกับกรมประมง และชุมชนพื้นที่เขตลุ่มน้ำป่าสัก ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มปริมาณปลาในแหล่งน้ำ สร้างความมั่งคงทางอาหารของชุมชน และเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนเชื่อมโยงกับโครงการด้านสิ่งแวดล้อมของซีพีเอฟในพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก ภายใต้โครงการซีพีเอฟรักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง ที่ร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 5,971 ไร่

นายถาวร จิระโภสณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กรมประมงมีนโยบายสร้างผลผลิตเพิ่มในแหล่งน้ำธรรมชาติ เหมือนธนาคารผลิตสัตว์น้ำ ที่ไหนมีน้ำ ที่นั่นมีปลา และสร้างความยั่งยืนด้านแหล่งอาหารของชุมชน ซึ่งความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน ต้องได้รับความร่วมมือจากคนในพื้นที่ ขณะเดียวกัน ความช่วยเหลือจากภาคเอกชนที่ให้ความร่วมมือในการดำเนินโครงการต่างๆ ถือว่าทุกภาคส่วนมีการบูรณาการกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อพื้นที่ ชุมชน และประชาชนต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2563 รองอธิบดีกรมประมง ได้เป็นประธานปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำออกจากกระชังอนุบาลลงสู่แหล่งน้ำ และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำลงสู่กระชังอนุบาลเพื่ออนุบาลต่อ โดยมี นายจุมพล สงวนสิน อดีตอธิบดีกรมประมง ในฐานะที่ปรึกษากรมป ระมง นายจรูญศักดิ์ เพชรศรี ผู้อำนวยการกองตรวจการประมง นายเขมชาติ จิวประสาท หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรมประมง ว่าที่ร้อยตรี ทรงพล แป้นแก้ว นายอำเภอพัฒนานิคม ชุมชนในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก ผู้บริหารสายธุรกิจเป็ดเนื้อของซีพีเอฟและพนักงาน ร่วมกิจกรรม ณ อ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี

เผยรายงานเตือนภัยร้ายโลกร้อน ละลายโลกขั้นวิกฤติ

0

รายงานพิเศษ ซึ่งจัดทำโดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) เมื่อช่วงปลายปี 2562 ได้เปิดเผยเนื้อหาเกี่ยวกับ ภาวะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง โดยระบุว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโดยฝีมือมนุษย์ กำลังส่งผลร้ายแรงต่อมหาสมุทร ทั้งในเรื่องของระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น การละลายของน้ำแข็ง และผลกระทบต่อสรรพชีวิตในทะเล

โดยรายงานฉบับนี้ ยังระบุด้วยว่า แผ่นน้ำแข็งของกรีนแลนด์กำลังละลายอย่างต่อเนื่อง และหากน้ำแข็งของกรีนแลนด์ละลายทั้งหมด จะทำให้น้ำทะเลอาจสูงขึ้นถึง 6 เมตร และระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นอีก 1.1 เมตรภายในปี 2100 หรืออีก 81 ปีข้างหน้า ส่งผลให้พื้นที่ต่ำตามแนวชายฝั่งต้องเผชิญกับน้ำท่วมอย่างน้อยปีละครั้งภายในปี 2050

เมืองใหญ่ทั่วโลกอย่าง จาการ์ตา ธากา เชนไน มุมไบ เซี่ยงไฮ้ ลอนดอน นิวยอร์ก รวมทั้ง กรุงเทพฯ เสี่ยงถูกน้ำท่วม และยังคาดการณ์ด้วยว่า น้ำแข็งในพื้นที่ต่างๆ ก็จะยังคงละลายเช่นเดียวกับธารน้ำแข็งอัลไพน์ของสวิตเซอร์แลนด์ โดยจากบันทึกของนักวิทยาศาสตร์ที่เริ่มติดตามธารน้ำแข็งในภูมิภาคนี้มาตั้งแต่ปี 2436 ระบุว่า บางจุดสูญเสียปริมาณน้ำแข็งไปแล้วถึง 90% และมีความเป็นไปได้อย่างมากที่ธารน้ำแข็งอัลไพน์ อาจหายไปทั้งหมดในช่วงปลายศตวรรษนี้ หากไม่ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้ง เทือกเขาแอลป์ อาจจะสูญเสียมวลน้ำแข็ง อย่างน้อยครึ่งหนึ่งภายในปี 2643

ความสูญเสีย โดยเฉพาะในรูปแบบของภัยพิบัติ ที่มีสาเหตุสืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือโลกร้อนไม่ใช่สถานการณ์เกินจริงที่พบได้เพียงในตำนาน งานเขียน หนังสือนิยาย หรือเป็นภาพที่จำลองขึ้นในภาพยนตร์ แต่กำลังปรากฏให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถระบุตัวเลขวันเวลาที่จะเกิดภัยพิบัติจากจากปรากฏการณ์นี้ได้ชัดเจนขึ้นทุกปี.

อ่านต่อ :

  • https://ngthai.com/environment/15214/the-myth-of-great-flood/2/
  • https://www.greenpeace.org/thailand/press/7774/ipcc-report-land-use-change/

รู้ทันปากท้อง : ถ้าเลิกหวยจะรวยมั้ย

0

“เลิกหวย” กับ “เล่นหวย” อย่างไหนจะรวยเร็วก่อนกัน

รู้ทันปากท้องกับตลาดหลักทรัพย์ ชวนมาหาคำตอบจากกูรูด้านวางแผนการเงิน

อาแปะ สาธิต บวรสันติสุทธิ์

ว่ากันเรื่อง ถ้าาเลิกหวยจะรวยมั้ย

มาบอกกันตรงๆ โอกาสถูกหวยรวยล้านของนักเสี่ยงโชคทั้งหลาย มีเท่าไร

คุ้มมั้ยที่จะเสีย และเสี่ยงงวดหน้า

กระทรวงคลัง แจงเหตุผลกู้เงิน 2.14 แสนล้าน เงินคงคลังยังพอ

0

กระทรวงการคลัง ได้ออกหนังสือเรื่อง คลังชี้แจงกรณีเงินคงคลัง เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 63 มีเนื้อหาว่า

ตามที่ได้มีกระแสข่าวว่าคลังถังแตก เงินคงคลังไม่พอใช้ จนคณะรัฐมนตรีต้องอนุมัติกู้เงินเพิ่มเติมอีก 2.14 แสนล้านบาทนั้น

กระทรวงการคลังขอเรียนชี้แจงว่า การขออนุมัติกรอบการกู้เงินกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 วงเงิน 214,093 ล้านบาท เป็นผลสืบเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเศรษฐกิจไทยซึ่งพึ่งพิงต่างประเทศค่อนข้างมากทั้งในด้านการส่งออกและการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง รวมทั้งผลที่เกิดขึ้นต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการประกอบอาชีพของประชาชนในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ COVID – 19 อย่างต่อเนื่อง

การหดตัวของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ตลอดจนการดำเนินมาตรการด้านการคลังต่างๆ ของรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ประกอบกับการเลื่อนระยะเวลาชำระภาษีได้ส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ดังนั้น เพื่อเตรียมการรองรับการใช้จ่ายของรัฐบาลในช่วงต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และเพื่อให้การดำเนินมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง กระทรวงการคลังจึงจำเป็นต้องขออนุมัติกรอบการกู้เงินเพื่อรองรับกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ วงเงิน 214,093 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังจะพิจารณากู้เงินตามความจำเป็นเท่านั้น

ทั้งนี้ ระดับเงินคงคลังของรัฐบาลในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยสถานะเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 282,141 ล้านบาท และคาดว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เงินคงคลังจะอยู่ในระดับที่เพียงพอที่จะรองรับการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ และดำเนินมาตรการที่จำเป็นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยในระยะต่อไป

ในกรณีที่รัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องกู้เงินเพิ่มเติมเต็มกรอบวงเงิน 2.14 แสนล้านบาท จะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้าง ต่อ GDP ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 อยู่ที่ระดับร้อยละ 51.64 ซึ่งไม่เกินร้อยละ 60 ตามกรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด

กระทรวงการคลังคาดว่ามาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาอนุมัติแล้วจะเริ่มส่งผลต่อการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจในช่วงต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และสามารถดูแลประชาชนและประคับประคองผู้ประกอบการให้ผ่านช่วงวิกฤติครั้งนี้ไปได้

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : เส้นทางสู่ความมั่งคั่ง!!

0

โดย คุณนายพารวย


ช่วงวันหยุดที่ผ่านมา “คุณนายพารวย” ได้เข้าไปหาข้อมูลความรู้เรื่องเงินๆทองๆใน เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ www.set.or.th  เมื่อกดไปในหัวข้อ “ความรู้การลงทุน” เข้าไปดูเรื่องการวางแผนการเงิน พบหลักการหลักคิดที่น่าสนใจในเส้นทางสู่ความมั่งคั่งที่ทุกคนควรนำมาปฏิบัติ

โดยเรื่อง “เงินทองต้องวางแผน” ได้กำหนดเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง โดยเริ่มต้นจาก การสร้างความมั่งคั่ง-การปกป้องความมั่งคั่ง-การเพิ่มพูนความมั่งคั่งและสุดท้ายคือ การส่งมอบความมั่งคั่ง

“การสร้างความมั่งคั่ง” ถือเป็นด่านแรกที่จะต้องฟันฝ่าไปให้ได้ หากอยากมั่งคั่ง ร่ำรวย หรือมีอิสรภาพทางการเงินอย่างที่ฝันไว้ ซึ่งคนที่จะสร้างความมั่งคั่งได้ต้อง “รู้หา รู้เก็บ รู้ใช้ และรู้ขยายดอกผล” อย่างสม่ำเสมอ เพราะบางคนหาเงินได้เยอะ-ใช้เยอะ ไม่ใส่ใจในการออม ก็คงมีความมั่งคั่งได้ยาก

หากเป็นเช่นนี้ ต้องรีบเปลี่ยนวิธีคิด หันมาสร้างความมั่งคั่งให้ตนเอง เริ่มด้วยการกำหนดเป้าหมายชีวิต เช่น ปีนี้จะออมเงินให้ได้เดือนละ 5,000 บาท หรือตั้งเป้าเก็บเงินเดือนละ 10,000 บาท เพื่อเป็นเงินดาวน์ซื้อบ้านให้ได้ภายใน 3 ปี หรือลงทุนซื้อกองทุนรวมเพื่อการเกษียณ หรือกองทุนรวมหุ้นให้ได้ทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท

เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วก็ต้อง “วางแผนใช้จ่ายและบริหารหนี้สิน” เพื่อให้มี “เงินออม” ให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้!!

ขั้นตอนต่อไปคือการ “ปกป้องความมั่งคั่ง” ให้อยู่กับเราไปนานๆ โดยบริหารจัดการความเสี่ยงกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น เกิดอุบัติเหตุ เจ็บไข้ได้ป่วย ดังนั้นจึงต้อง “วางแผนทำประกันภัย” เพื่อเป็นตัวช่วยบรรเทาความสูญเสียที่อาจจะมาทำลายความมั่งคั่งหรือเงินทองที่เราสะสมมาตลอดชีวิต

และที่สำคัญคือต้อง “วางแผนเกษียณ” เพื่อให้มีเงินพอใช้ในบั้นปลายชีวิตอย่างมีคุณภาพ ข้อนี้สำคัญมาก ต้องเริ่มลงมือตั้งแต่วันนี้อย่ามัวรอให้อายุมาก ไม่ว่าจะเป็นการสะสมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)

ขณะเดียวกันก็ต้อง “เพิ่มพูนความมั่งคั่ง” เพื่อให้เงินงอกเงยออกดอกผล เพราะการลงทุนเปรียบเสมือนทางด่วนสู่ความมั่งคั่ง การตั้งต้นออกตัวได้เร็วและเดินตามแผนจะช่วยให้ถึงเส้นชัยได้เร็วขึ้น

รวมทั้งยังต้อง “วางแผนภาษี” เพื่อช่วยลดภาระภาษีให้น้อยลง เมื่อเสียภาษีน้อยลง ก็จะมีเงินออมและเงินลงทุนมาเพิ่มความมั่งคั่งได้มากขึ้น ปัจจุบันมีช่องทางการออมการลงทุนหลายประเภทที่ให้สิทธิประโยชน์ภาษี ทั้งกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) หรือกองทุนรวม RMF หรือการทำประกันชีวิต เป็นต้น

และสุดท้ายคือการ “ส่งมอบความมั่งคั่ง” ให้กับลูกหลาน เป็นอีกขั้นตอนสำคัญในการบริหารจัดการความมั่งคั่ง เพราะจะช่วยให้สิ่งที่เราสร้างและเก็บรักษามาตลอดชีวิตถูกจัดสรรให้แก่คนที่เรารัก หัวใจหลักของการส่งมอบความมั่งคั่งก็คือ “การวางแผนมรดก” ที่จะช่วยส่งผ่านความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้มั่นใจได้ว่าทรัพย์สมบัติจะถูกสืบทอดไปตามเจตนารมณ์ของเรา!!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุนสู่ความมั่งคั่ง หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ