Home Blog Page 407

ซีพีเอฟ เดินหน้าโครงการ ‘อิ่ม สุข ปลูกอนาคต’ สร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียน

0

“อิ่ม สุข ปลูกอนาคต” สร้างความมั่นคงทางอาหาร เพื่อน้องๆ รร. บ้านบึงกระโดน (ศิริสิงห์อุปถัมภ์)

โรงเรียนบ้านบึงกระโดน (ศิริสิงห์อุปถัมภ์) เป็นโรงเรียนเล็กๆ ตั้งอยู่ที่ ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จ. ชลบุรี เปิดการเรียนการสอนชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ปัจจุบันมีจำนวนนักเรียน 60 คน เป็นเด็กนักเรียนไทย 30 คน และเด็กต่างด้าว 30 คน ประกอบด้วยเด็กพม่า 20 คน และเด็กกัมพูชา 10 คน ผู้ปกครองนักเรียนส่วนใหญ่ฐานะยากจน หาเช้ากินค่ำ จากอาชีพรับจ้างทำไร่อ้อย ตัดอ้อย รับจ้างแยกขยะ และหาของเก่าเพื่อนำไปขายต่อ

ด้วยฐานะและสภาพความเป็นอยู่ทำให้เด็กหลายครอบครัวขาดโอกาสในการเข้าถึงอาหารที่มีโภชนาการที่ดี โรงเรียนจึงเป็นแหล่งที่จะส่งเสริมให้เด็กๆ ได้บริโภคอาหารคุณภาพอย่างเพียงพอ ซึ่งโรงเรียนบ้านบึงกระโดน ฯ ได้รับการสนับสนุนจากโรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำบ้านบึง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน ) หรือ ซีพีเอฟ ให้เข้าร่วม “โครงการซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต” ตั้งแต่ปี 2558 เริ่มต้นจากกกิจกรรมปลูกผักปลอดสาร เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง กวางตุ้ง ตะไคร้ พริก มะเขือ ซึ่งที่ผ่านมา ผลผลิตจากแปลงผักสวนครัวของโรงเรียน นำส่งเข้าโครงการอาหารกลางวันและจำหน่ายให้ชุมชน

ปีนี้ โรงเรียนต่อยอดกิจกรรมในโครงการซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต ทำโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวัน ทำให้นักเรียนมีแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพดีจากไข่ไก่ไว้รับประทาน บรรเทาภาวะทุพโภชนาการในเด็ก ยกระดับความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ ส่งเสริมอาชีพ และทักษะให้นักเรียน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ของโรงเรียน เป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียน และยังสามารถถ่ายทอดความรู้ไปสู่ชุมชนได้

คุณครูอภิสรา แซ่เตียว ผู้อำนวยการโรงเรียน เล่าว่า การสร้างความมั่นคงทางอาหารเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก โรงเรียนเข้าร่วมโครงการซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ด้านการเกษตร เช่น การปลูกผักสวนครัว และการเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวัน ก็เป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารอีกรูปแบบหนึ่ง ทำให้นักเรียนมีแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพดีจากไข่ไก่ไว้รับประทาน และยังเป็นกิจกรรมที่สอดรับกับกิจกรรมการเรียนรู้ของโรงเรียน

ผู้อำนวยการโรงเรียน กล่าวด้วยว่า โรงเรียนฯเป็นสถานศึกษาแบบอย่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และการบริหารจัดการตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของกระทรวงศึกษาธิการ และจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการในกิจกรรมชุมนุมของโรงเรียนในชั่วโมงสุดท้ายของวันพุธของทุกสัปดาห์ โดยจัดกิจกรรมเชิงนวัตกรรม“หนึ่งห้องเรียนหนึ่งโครงการอาชีพ : ONE CLASS ONE PROJECT” โดยชั้น ป. 1 ทำโครงงานแปรรูปจากกล้วย เป็นผลผลิตจากต้นกล้วยที่ปลูกในรั้วโรงเรียน ชั้น ป.2 และ ป.3 จัดทำโครงการปลูกผักสวนครัว
ผลผลิตจำหน่ายให้โครงการอาหารกลางวันและชุมชน ชั้นป.4 ทำโครงงานทำไข่เค็ม ชั้น ป.5 จัดทำโครงการทำน้ำสมุนไพร และชั้น ป.6. จัดทำโครงงาน งานประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้ เช่น กล่องนม ถุงนม

ผลสัมฤทธิ์จากการส่งเสริมเด็กๆ เข้าถึงอาหารและโภชนาการที่ดี ช่วยบรรเทาปัญหาทุพโภชนาการในเด็ก จากข้อมูล ปี 2562 พบว่าจำนวนนักเรียน 83 % ไม่มีภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งดีขึ้นกว่าปี 2561 ที่มีจำนวนของนักเรียนที่ไม่มีภาวะทุพโภชนาการอยู่ที่ประมาณ 75 %

ด.ญ.วรัญญา ทองจันทร์ หรือน้องบุ๋มบิ๋ม อายุ 11 ปี เรียนอยู่ชั้น ป. 5 และเป็นรองประธานนักเรียน ตื่นเต้นดีใจกับโรงเรือนเลี้ยงไก่ของโรงเรียนและแม่พันธุ์ไก่ไข่ 30 ตัว ที่โรงเรียนเริ่มทดลองเลี้ยงเป็นครั้งแรก บุ๋มบิ๋ม เล่าว่า ตั้งแต่โรงเรียนได้สนับสนุนแม่พันธุ์ไก่ไข่มาได้ 1 สัปดาห์ เธอเข้ามาช่วยดูแลให้อาหารไก่ ดูแลเรื่องน้ำ และเก็บไข่ มีพี่ๆ จากซีพีเอฟมาให้ความรู้เรื่องการเลี้ยงไก่ไข่ การสังเกตไก่ป่วย การเก็บไข่ จากวันแรกที่เก็บผลผลิตไข่ไก่ได้ 3 ฟอง เพิ่มมาเป็น 7 ฟอง และเช้าวันนี้ เธอรู้สึกดีใจที่เก็บไข่ไก่ได้เพิ่มขึ้นเป็น
12 ฟอง ผลผลิตไข่ไก่ที่เก็บได้ส่งขายเข้าโครงการอาหารกลางวัน บุ๋มบิ๋ม เล่าต่อว่า การที่โรงเรียนปลูกผักสวนครัวไว้รับประทานเอง และเลี้่ยงไก่ไข่ ทำให้นักเรียนได้บริโภคผักที่สะอาด ปลอดสารพิษ และมีผลผลิตไข่ไก่ไว้ทำเป็นอาหารกลางวัน นอกจากนี้ นักเรียนสามารถนำความรู้จากการเลี้ยงไก่ไปเป็นอาชีพได้เมื่อโตขึ้น

ด้าน ด.ญ.นัฐลดา ยืนหยัดชัย หรือน้องออม อายุ 8 ปี นักเรียนชั้น ป.3 เล่าว่า เธอมีหน้าที่ช่วยรดน้ำในกิจกรรมปลูกผักสวนครัวทุกวันพุธก่อนเลิกเรียน ที่แปลงผักของโรงเรียน จะมีทั้งผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ผักกาดขาว พริก ตะไคร้ มะเขือ ซึ่งโรงเรียนจะนำผักที่ปลูกไปทำอาหารกลางวันให้นักเรียน เมนูที่น้องออมชื่นชอบ ก็คือ แกงเขียวหวานใส่มะเขือที่โรงเรียนปลูก และ ที่บ้านของออมยังเคยซื้อผักกวางตุ้งของโรงเรียนไปทำกับข้าว ออมบอกว่า ดีใจที่วันนี้ โรงเรียนมีโครงการเลี้ยงไก่ด้วย เด็กๆจะได้มีไข่ไก่ไว้กิน ซึ่งนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยบำรุงสมอง และคุณครูยังเตรียมนำผลผลิตไข่ไก่มาแปรรูปเป็นไข่สมุนไพรด้วย

“ซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต” มุ่งมั่นร่วมส่งเสริมเด็กและเยาวชนบริโภคอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน สร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียน เพื่อให้เด็กๆ ในโรงเรียนทั้งในเขตเมืองและในพื้นที่ห่างไกลมีโอกาสเท่าเทียมในการเข้าถึงอาหาร เติบโตอย่างสมวัยทั้งทางร่างกาย และสติปัญญา


ตลาดหลักทรัพย์ฯ ลดโลกร้อน เดินหน้าโครงการ Care the Wild ผนึกกำลังพันธมิตรปลูกป้องป่า

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผนึกกำลังพันธมิตรรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เดินหน้าโครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect” สร้างพื้นที่ป่า และติดตามการเติบโตของไม้ที่ปลูกตลอดโครงการ ช่วยลดโลกร้อน ตั้งเป้า 1 ปี ปลูกป่า 500 ไร่ ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก 900,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

นาย ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาแพลตฟอร์ม “SET Social Impact” ส่งเสริมการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยริเริ่มโครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect” ถือเป็นแพลตฟอร์มความร่วมมือ (Collaboration Platform) ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่า โดยมีกลไกการดำเนินงานด้วยการระดมทุนในการปลูกต้นไม้ใหม่ ปลูกต้นไม้เสริม และส่งเสริมการดูแลต้นไม้ ร่วมกับภาคีองค์กรเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน มีสัญลักษณ์ช้างรักษ์ป่า “พี่ปลูกป้อง” เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมเรียนรู้เรื่องระบบนิเวศ พืช สัตว์ สิ่งแวดล้อม และร่วมระดมทุน “ปลูก” ต้นไม้ รวมทั้งเน้นการร่วมดูแลต้นไม้ที่ปลูกให้เติบโตบนหลักการธรรมาภิบาล จนกลายเป็นผืนป่าอย่างแท้จริง ภายใต้แนวคิด “ป้อง” กล่าวคือ ผู้ระดมทุนปลูก ร่วมติดตามการเติบโตของต้นไม้ การทำงานของชุมชน การมีส่วนร่วมในการขยายผลเพื่อพัฒนาชุมชน และร่วมดูแลเอาใจใส่ไม้ปลูกให้เติบโตเป็นส่วนสำคัญของการขยายแนวผืนป่าของประเทศ ผ่าน Application “Care the Wild”

โดยกรมป่าไม้ ได้นำเสนอพื้นที่ป่าชุมชนร่วมโครงการ รวม 717 ไร่ ในพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย ป่าชุมชนบ้านเขาหัวคน จ.ราชบุรี, ป่าชุมชนบ้านพุตูม จ.เพชรบุรี, ป่าชุมชนบ้านใหม่ จ.เชียงราย, ป่าชุมชนบ้านนาหวาย จ.น่าน, ป่าชุมชนบ้านหนองปิง จ.กาญจนบุรี, ป่าชุมชนบ้านโคกพลวง จ.นครราชสีมา และป่าชุมชนบ้านหนองทิศสอน จ.มหาสารคาม โดยแต่ละพื้นที่ของป่าชุมชนจะมีเอกลักษณ์ จุดเด่น ด้านระบบนิเวศและการพัฒนาชุมชนที่แตกต่างกัน องค์กรธุรกิจสามารถเลือกพื้นที่ในการสนับสนุนการปลูกไม้ได้หลากหลาย และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน เรียนรู้ระบบนิเวศร่วมกับชาวบ้านผู้รักษาป่าได้อีกด้วย

“โครงการ Care the Wild มีเป้าหมายที่จะปลูกป่าจำนวน 500 ไร่ (100,000 ต้น) ร่วมกับองค์กรธุรกิจพันธมิตรในระยะเวลา 1 ปีแรกหลังเปิดโครงการ ซึ่งการปลูกป่าจะสร้างผลลัพธ์ในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 900,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี องค์กรที่เข้าร่วมโครงการนอกจากจะเป็นภาคีในความร่วมมือเพื่อลดโลกร้อนแล้ว ยังสามารถร่วมทำงานพัฒนาชุมชนได้อย่างยั่งยืน” ภากรกล่าว

แถลงข่าวเปิดโครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect”

ปัจจุบันโครงการ Care the Wild มีองค์กรพันธมิตรที่เข้าร่วม ได้แก่ บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน ชมรมคัสโตเดียน ชมรมปฏิบัติการหลักทรัพย์ บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) และบริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด (TCH) ทั้งนี้ องค์กรที่สนใจเข้าร่วมโครงการติดต่อได้ที่ [email protected] ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.setsocialimpact.com สำหรับบุคคลทั่วไปสามารถร่วมปลูกป่าผ่าน Application “Care the Wild” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบปฏิบัติการ IOS และ Android เพื่อติดตามข้อมูลและกิจกรรม

กลุ่มปตท. เตรียมจ้างแรงงาน/นศ.จบใหม่ 2.5 หมื่นอัตรา

0

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือปตท. เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. เตรียมจ้างแรงงานและนักศึกษาจบใหม่รวม 25,000 อัตรา ระหว่างปีพ.ศ. 2563 – 2564 ภายใต้โครงการ “Restart Thailand”  เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างทักษะอาชีพให้กับคนรุ่นใหม่ในทุกภูมิภาค และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนท้องถิ่นและระบบเศรษฐกิจไทย 

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

โดยประกอบด้วย   การจ้างแรงงานผ่านเครือข่ายกลุ่ม ปตท. เพื่อขยายธุรกิจและโครงการก่อสร้างต่างๆ จำนวน 22,000 อัตรา และ การจัดจ้างนักศึกษาจบใหม่ ระดับ  ปวช. ปวส. อาชีวศึกษา และปริญญาตรี ที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือกและมีภูมิลำเนาในพื้นที่ปฏิบัติงาน 2,630อัตรา ให้มีรายได้และโอกาสในการฝึกฝนทักษะอาชีพ ภายใต้สัญญาจ้างระยะเวลา 12 เดือน

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดรับพนักงานเพิ่มเติมในตำแหน่งที่ว่างในช่วงปี 2563 – 2564 อีก 1,000 อัตรา เพื่อผลักดันการดำเนินธุรกิจให้เดินหน้าตามเป้าหมาย   โดยในส่วนของการจัดจ้างนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานเสริมทักษะอาชีพในปี 2564  กลุ่ม ปตท.จะจัดอบรมเพื่อเสริมทักษะความรู้ให้กับนักศึกษาที่ผ่านการคัดเลือก ก่อนลงพื้นที่ปฏิบัติงานตามภูมิลำเนาของตน ผ่านโครงการพัฒนาสังคมชุมชนท้องถิ่น รวม3 ด้าน ประกอบด้วย

1.ด้านพัฒนาคุณภาพการศึกษาสำหรับเยาวชน  ผ่านงานครูผู้ช่วยสอน เพื่อยกระดับการเรียนรู้วิชาสามัญพื้นฐาน ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม คณิตศาสตร์ รวมถึงวิชาภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีสารสนเทศ 

2.ด้านพัฒนาศักยภาพชุมชนท้องถิ่น โดยฝึกอบรมผู้เข้าร่วมโครงการ ให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานเพื่อการเกษตร (SMART Farming) และฝึกอบรมทักษะการพัฒนายกระดับเศรษฐกิจชุมชน (SMART Marketing) อาทิ สินค้า แหล่งท่องเที่ยวและการบริการ ผ่านการสำรวจและเก็บข้อมูลศักยภาพพื้นที่และความพร้อมของชุมชน

3. ด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อม เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลในโครงการ Ocean for Life ของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เช่น การสร้างศูนย์เพาะพันธุ์ลูกปู การจัดตั้งศูนย์เพื่ออนุรักษ์และเพาะพันธุ์เต่าทะเล รวมทั้ง โครงการเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ประเทศ ผ่านงานพัฒนาและการวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการวิจัยป่าไม้และระบบนิเวศ  โครงการพัฒนาสวนป่าครัวเรือน เป็นต้น

ทั้งนี้ โครงการ “Restart Thailand” ยังมีโปรแกรมส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยให้หน่วยงานภายในองค์กรจัดกิจกรรมสัมนานอกสถานที่สำหรับพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า เพื่อสนับสนุนให้เกิดการกระจายเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้ง กำลังจัดทำโครงการให้ ปตท. และพนักงาน ร่วมกันกระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอีกทางหนึ่ง

ส.กุ้งตะวันออกไทย จัดงาน Thai Aqua Expo 2020 นำสัตว์น้ำไทย ก้าวอย่างยั่งยืน

0

สมาคมกุ้งตะวันออกไทย โดยนางสาวพัชรินทร์ จินดาพรรณ นายกสมาคมฯ พร้อมด้วย นายบรรจง นิสภวาณิชย์ ประธานสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย นายอุดร ส่งเสริม รองประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งคุณภาพ (COC) จังหวัดระยอง แถลงข่าวจัดงาน “สัตว์น้ำไทย 2020” (Thai Aqua Expo 2020) ภายใต้แนวความคิด “สัตว์น้ำไทย ก้าวอย่างไร ให้ยั่งยืน” ระหว่างวันที่ 2-4 ธันวาคม 2563 ณ โรงแรมซันไรส์ ลากูน โฮเทล แอนด์กอล์ฟ บางคล้า ฉะเชิงเทรา

นายอุดร เปิดเผยว่า ในงานยังมีการเผยแพร่ความรู้ข้อมูลทางวิชาการ นวัตกรรม และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องให้กับเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย เพื่อยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย ส่งเสริมการผลิตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการตลาดสัตว์น้ำในประเทศและตลาดโลก สู่การผลิตอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกรและผู้สนใจ

และเป็นโอกาสดีที่เกษตร​กรผู้เพาะเลี้ยง​สัตว์​น้ำจะได้รับรู้​ข้อมูลและรับทราบสถานการณ์​หลังโควิด-19 ซึ่งจะช่วยในการปรับตัวและปรับปรุงฟาร์ม การบริหารจัดการและผลผลิต​ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

นอกจากนี้ จะมีการแสดงนิทรรศการจากผู้ค้าปัจจัยการผลิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 70 บูธ มาร่วมนำเสนอนวัตกรรมการเลี้ยงสัตว์ทั้งกุ้งและปลา รวมถึงความรู้ทางวิชาการ การลดต้นทุน การขาย การตลาด รวมถึงปัญหาอุปสรรคการนำเข้า-ส่งออก เพื่อถ่ายทอดให้กับเกษตรกรและผู้สนใจในงานด้วย

ซีพีเอฟ เปิดตัว ‘กุ้งซีพี แปซิฟิก’ อร่อย ดีต่อสุขภาพ

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จัดกิจกรรมชวนชิมผลิตภัณฑ์ “กุ้งซีพี แปซิฟิก” สายพันธุ์คัดพิเศษ ต้นกำเนิดจากทะเลแปซิฟิก ผลิตจากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยง พร้อมส่งตรงความสดสะอาดจากฟาร์มถึงมือผู้บริโภคด้วยระบบการขนส่งที่รวดเร็ว เพื่อรักษาความหวานจากธรรมชาติ เนื้อแน่นสัมผัสกุ้งได้เต็มคำ ทั้งในรูปแบบของกุ้งสด และ กุ้งต้มสุก ให้ผู้บริโภค สามารถหาซื้อได้ที่ร้านซีพีเฟรชมาร์ท ทั่วประเทศ, ร้านซีพีเฟรช อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ

กุ้งซีพี แปซิฟิก ผ่านกระบวนการเลี้ยงที่ดี ด้วยระบบการเลี้ยงกุ้ง CPF Combine Model และการใช้โปรไบโอติก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยง ลดความเสี่ยงจากโรคของกุ้ง โดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะในระหว่างการเลี้ยงกุ้ง และ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานของความยั่งยืน สามารถส่งต่อผลผลิตกุ้งที่มีคุณภาพและปลอดภัยสู่ผู้บริโภค

นายสัตวแพทย์สุจินต์ ธรรมศาสตร์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ระบบการเลี้ยงกุ้งของซีพีเอฟ ให้ความสำคัญต่อการดูแลห่วงโซ่อุปทานอย่างรอบด้าน เริ่มตั้งแต่การส่งเสริมการใช้วัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ที่ตรวจสอบแหล่งที่มาได้ สู่ฟาร์มเลี้ยงตามหลักวิชาการและมาตรฐานสากล และการพัฒนาพันธุ์กุ้งที่โตไว สะอาด แข็งแรง ต้านทานโรค ไร้สารตกค้าง เป็นผลิตภัณฑ์สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต

“จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อการเลือกซื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ สะอาด ปลอดภัย ผ่านกระบวนการผลิตอาหารที่ได้มาตรฐานสากล จากผู้ผลิตที่ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิตและรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นใจอาหารปลอดภัยจากฟาร์มถึงโต๊ะอาหารอย่างยั่งยืน ซึ่งกุ้งซีพี แปซิฟิก ตอบทุกโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทั้งความสด รสหวาน เนื้อแน่น อร่อย และเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์รักษ์โลก ของซีพีเอฟ”

เปิดเทคนิค ช้อปยังไงไม่ให้กระเทือนเงินลงทุน

0

เงินลงทุนต่อเดือนมีความสำคัญ แต่แคมเปญ 9.9 มาทั้งทีก็อยากเอาเงินไปช้อปบ้าง แล้วแบบนี้จะทำยังไงให้ช้อปอย่างสบายใจ มีเงินเหลือไปลงทุน

มาดู 4 เทคนิคช่วยวางแผนการช้อปตามนี้

1. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
วิธีนี้จะช่วยให้คุณเห็นสถานะทางการเงินตอนนี้อย่างชัดเจน รู้ว่ารายรับมีเท่าไหร่และจ่ายไปกับอะไร จะได้จัดสรรเงินคงเหลือไว้สำหรับช้อปและลงทุนต่อได้นั่นเอง

2. ทำ Shopping List ก่อนช้อป
จดรายการที่อยากได้ออกมาให้หมด แล้วแบ่งว่ารายการไหนจำเป็นสุดต้องซื้อเดี๋ยวนี้หรือรายการไหนรอก่อนได้ วิธีนี้จะช่วยให้เราไม่จ่ายหนักเกินไปในเดือนเดียว ทำให้มีเงินเก็บไว้สำหรับลงทุน

3. ตั้งงบสำหรับช้อปปิ้ง
ข้อดีของการจำกัดงบในการช้อปแต่ละครั้งจะทำให้เราไม่ช้อปเพลินจนไปเบียดเบียนเงินลงทุน และได้เลือกซื้อของที่จำเป็นที่สุด รู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย เพราะของสินค้านั้นจะถูกหยิบมาใช้งานจริง

4. เงินที่ใช้ช้อป = เงินที่เก็บไปลงทุน
วิธีนี้เปิดเสรีการช้อป คุณจะช้อปเท่าไหร่ก็ได้ แต่ต้องนำเงินจำนวนเท่ากันไปลงทุนในกองทุนรวม หุ้น หรือสินทรัพย์อื่นตามความสนใจด้วย ใครจะนำเงินไปลงทุนมากกว่าที่ช้อปก็ได้นะ แต่ขอว่าห้ามน้อยกว่าเป็นพอ

การที่เราจะช้อปซื้อของให้รางวัลตัวเองบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ช้อปสนุกต้องไม่ทุกข์ทีหลัง แบ่งเงินไว้สำหรับลงทุนให้พร้อม และอย่าลืมดูก่อนว่าสินค้านั้นเราช้อปด้วยอารมณ์หรือเหตุผล ถ้ามีเหตุผลที่ต้องใช้ จะช้อปวันไหนก็ไม่ขาดทุน

ที่มา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

รู้ทันปากท้องกับตลาดหลักทรัพย์ : บัตรเครดิตถูกขโมยไปใช้ ใครรับภาระหนี้!

0

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ ตอน

“บัตรเครดิตถูกขโมยไปใช้ ใครรับภาระหนี้!”

“อาแปะ” สาธิต บวรสันติสุทธิ์กูรูปลดหนี้ แนะให้แจ้งอายัดบัตรทันที โดยเราไม่ต้องรับภาระหนี้ที่เราไม่ได้ก่อ

กรมปศุสัตว์ย้ำกินหมูปลอดภัย เตือนขบวนการปล่อยข่าว หวังกดราคาหมู

0

นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า กระบวนการผลิตเนื้อสุกรของไทย มีมาตรฐานกรมปศุสัตว์รองรับ ทำให้ได้เนื้อสุกรที่มีคุณภาพปลอดภัย ตรวจสอบย้อนกลับได้ ผู้บริโภคสามารถนำไปปรุงสุกและรับประทานได้อย่างมั่นใจ แต่ขณะนี้กลับพบข้อความข่าวลวงที่ส่งต่อกันในทำนองชวนคนงดบริโภค โดยใช้มุกเดิมเรื่องโรคในสุกร และภาพสุกรที่นำมาประกอบน่าจะเป็นของประเทศอื่น เนื่องจากตามหลักปฏิบัติของกรมปศุสัตว์แล้ว จะยึดหลักการพื้นฐานด้านการควบคุมและป้องกันโรคสัตว์ตามมาตรฐานสากลอย่างเข้มงวด

“หากท่านใดพบการส่งข้อความทางไลน์ให้งดรับประทานเนื้อหมู ขออย่าหลงเชื่อ คาดว่าอาจเป็นขบวนการปล่อยข่าวเพื่อกดราคาสุกรของพ่อค้าคนกลาง ซ้ำเติมเกษตรกรผู้เลี้ยงในช่วงโควิด เพราะการกล่าวอ้างถึงโรคระบาดสัตว์ มักสร้างความตระหนกแก่ประชาชนได้ง่าย…ขอประชาชนอย่าแชร์ อย่าตกเป็นเครื่องมือของขบวนการดังกล่าว”

ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์มีมาตรการในการป้องกัน และควบคุมโรคระบาดในสุกร ตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง ดังนั้น ขอเกษตรกรและประชาชนเชื่อมั่นในมาตรการดังกล่าว ซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญ เพียงซื้อสุกรจากแหล่งผลิตและผู้จำหน่ายที่ได้รับสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” โดยต้องปรุงสุกทุกครั้งเพื่อสุขอนามัยที่ดี

นอกจากนี้ ขอให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร และผู้พบเห็นความผิดปกติด้านสุขภาพสัตว์ สามารถแจ้งเหตุได้ที่แอพพลิเคชั่น DLD 4.0 เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดำเนินการตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคได้ทันที

เช็คอินพิจิตร ลองเที่ยวเมืองรอง แบบตั้งใจ ไม่ใช่แค่ทางผ่าน

0

แอดมินปัน มีโอกาสแวะไปเยือนเมืองพิจิตร จังหวัดที่สำหรับหลายคนแล้ว เป็นแค่ทางผ่านจากนครสวรรค์ เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางที่จังหวัดอื่น

พูดถึงพิจิตร หลายหลายคนต้องนึกถึงเมืองชาละวัน กับบีงสีไฟ แต่พิจิตร มีอะไรมากกว่านั้น ให้ค้นหา และเดินทางไปเยือน

ครั้งนี้ บิ๊กเกรียน โดยแอดมินปัน ติดสอยห้อยตามมากับคณะของบริษัท สยามร้าย ทราเวล โดยความร่วมมือกับ ททท. นครสวรรค์ จัดทริปไปเปิดประสบการณ์ในจังหวัดนครสวรรค์และพิจิตร

ทั้งสองจังหวัดนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพ แต่จะมีโอกาสไปเที่ยวที่นี่แบบจริงๆจังๆ ยาก เพราะ ทั้งสองจังหวัด โดยเฉพาะพิจิตร จัดว่าเป็นเมืองผ่านสำหรับนักเดินทางและท่องเที่ยว

ทริปนี้ใช้เวลา 2 วัน 1 คืน แต่อัดแน่นไปด้วยที่เที่ยวเชิงวิถีชุมชน ย่านตลาดเก่า พิพิธภัณฑ์ และวัดในพื้นที่ โดยเน้นประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนลองมาเที่ยวจังหวัดพิจิตรกัน

เราออกเดินทางจากกรุงเทพ แวะทานมื้อกลางวันที่นครสวรรค์ แล้วเดินทางต่อมาถึงพิจิตร ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ที่เที่ยวสถานที่แรก คือ พิพิธภัณฑ์บ้านดงโฮจิมิน หนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาวเวียตนาม เพราะโฮจิมินห์ หรือ ลุงโฮ บุคคลสำคัญของเวียดนาม เคยมาพักอาศัยอยูในพื้นที่นี้เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองในสมัยนั้น

พิพิธภัณฑ์บ้านดงโฮจิมินห์

พิพิธภัณฑ์บ้านดงโฮจิมินห์ ตั้งอยู่ที่ตำบลป่ามะคาบ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แบบชุมชน เป็นอาคาร 2 ชั้น บนพื้นที่ 6,400 ตารางเมตร เดิมเป็นสุสานของชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม ตั้งอยู่บริเวณใจกลางบ้านดง นอกอาคารยังมีการยังมีบ้านจำลองของประธานโฮจิมินห์ จัดแสดงเป็นบ้านยกพื้นสูง ภายในมีข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว และรูปปั้นของโฮนิมนห์จัดแสดงด้วย

หลังจากนั้น เราเดินทางต่อไปเดินย่านตลาดเก่าวังกรด ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของพิจิตร เพราะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟวังกรด แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป คนเดินทางด้วยรถยนต์มากขึ้นทำให้พื้นที่นี้ซบเทราลง แต่ปัจจุบัน คนในพื้นที่ก็พยายามอนุรักษ์ และฟิ้นคืนให้ตลาดวังกรดกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ที่นี่ เราจะได้พบกับเรือนแถวไม้ปลูกเป็นแถวเรียงยาว หอนาฬิกา สถานีรถไฟวังกรด ที่ได้บรรยากาศเก่าๆ ตอนเดินผ่าน

แวะอุดหนุนน้ำมะนาวดอง หอมชื่นใจ ดื่มแล้วสดชื่นมาก ราคาแค่แก้วละ 10 บาท

เราเดินลัดเลาะผ่านตลาดวังกรดไปถึงริมแม่น้ำด้านหลังตลาด เพื่อไหว้ศาลเจ้าพ่อ-เจ้าแม่วังกลม ศูนย์รวมจิตใจของชาวตลาดวังกรดที่เลื่อมใสศรัทธา

จากนั้น ถึงเวลาอาหารมื้อเย็น โดยชาวชุมชนจัดเลี้ยงอาหารพร้อมการแสดงต้อนรับนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนกันที่ บ้านหลวงประเทือง อาคารทรงตึก หลังแรกของตลาดวังกรด อายุประมาณ 80 ปี  โดยสมัยก่อนเป็นของหลวงประเทืองคดีและครอบครัว อาศัยอยู่ริมน้ำน่าน ปัจจุบันทางจังหวัดพิจิตร ได้จัดสรรงบประมาณในการปรับปรุงบ้านหลวงประเทืองคดี เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม 

เช้าวันถัดมา ตื่นแต่เช้าเพื่อไปตักบาตรพระทางน้ำกันที่วัดดงกลาง และทานมื้อเช้ากันที่ตลาดคลองข้าวตอก

จากนั้น เดินทางต่อไปเที่ยวชมบ้านเก่าเสาปั้นจั่น บ้านไม้ในชุมชนเสาปั้นจั่นที่เต็มไปด้วยของสะสมของเจ้าของบ้าน คุณสมบัติ อิสรากำพต ซึ่งภายในบ้านมีของเก่าและงานศิลปะที่ทรงคุณค่า และหายาก ให้พวกเราได้ชมกันอย่างจุใจ

เดินทอดน่องต่อไปดื่มกาแฟเย็นๆ ให้ชื่นใจที่ร้านกาแฟที่ห้ามพลาดของตลาดตะพานหิน ที่ร้านกาแฟโบราณโกยี

ร้านกาแฟโบราณโกยี

นั่งพักจนหายเหนื่อยแล้ว ก็ออกเดินทางต่อไปยังชุมชนวังหว้า แวะไหม้หลวงพ่อใหญ่ที่วัดยางคลี วัดคู่ชุมชน

แล้วเยี่ยมชมต้นหว้า100ปี (ต้นสุดท้าย) สัญลักษณ์สำคัญของชุมชน และดูงานกิจการของวิสาหกิจชุมชนวังหว้าที่นำ “ลูกหว้า” และพืชสมุนไพรมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จนสร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับชุมชนลูกหว้ามาจากแหล่งกำเนิด ต้นหว้า อายุ 100 กว่าปี ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของตำบลวังหว้า เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ของไทย ปัจจุบัน เมื่อมีการนำลูกหว้ามาสร้างมูลค่า ก็มีการอนุรักษ์ให้ชาวบ้านปลูกต้นหว้ามากขึ้น

หลังจากจบจากกิจกรรมที่ชุมชนวังหว้าแล้ว ก็ถึงเวลาเดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปว่า พิจิตร ไม่ใช่ทางผ่าน จากเดิมที่บอกชื่อ พิจิตร ขึ้นมา ก็นึกว่า จะมีอะไรให้เที่ยว หรืออย่างมากก็วันนึงเที่ยวหมดแล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ เราสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ โดยจัดเป็นทริปสองวันเต็มๆ ได้แบบสบายเลย เพราะที่เที่ยวมีหลากหลายมาก ทั้งในเชิงอนุรักษ์วิถีชุมชน ย่านตลาดเก่า วัดที่เป็นศรัทธาของคนในพื้นที่ อาหารการกินก็อร่อย เพียบ ราคาไม่แพง

สำหรับแอดมินแล้ว บอกได้เลยว่า หลังจากได้ “ลอง” มาสัมผัส “เมืองรอง” อย่างพิจิตรแล้ว แหล่งท่องเที่ยวของที่นี่ ไม่เป็นรองที่ไหนจริงๆครับ

ตบท้าย ขากลับเข้ากรุงเทพฯ เราแวะเที่ยว Landmark สำคัญของจ.นครสวรรค์ คือ วัดคีรีวงศ์ บนยอดเขาดาวดึงค์ ซึ่งสวยงาม และน่าประทับใจมาก จนอยากบอกต่อให้นักเดินทางต้องแวะชมความงามก่อนกลับกันครับ


รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : วางแผนจัดการหนี้ (2)

0

ครั้งที่แล้วได้เขียนถึงหลักการแยก “หนี้ดี” กับ “หนี้ไม่ดี” โดย “หนี้ดี” คือหนี้ที่ทำให้เรามีความมั่งคั่งขึ้น มีรายได้หรือมีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น และเป็นหนี้ที่ไม่กระทบต่อสภาพคล่องในการดำรงชีวิตประจำวัน!!

ส่วนหนี้ที่สร้างปัญหา คือหนี้ที่ไม่ได้สร้างความมั่งคั่ง แถมสร้างภาระให้ชีวิตประจำวันถึงขั้นต้องอดมื้อกินมื้อ อันนี้ถือเป็น “หนี้ไม่ดี”

หากวันนี้สำรวจตัวเองแล้วพบว่า อยู่ในภาวะหนี้สินรุมเร้า มีทั้ง “หนี้ดี” และ “หนี้ไม่ดี” ผสมปนเปสุขภาพการเงินย่ำแย่จนส่งผลต่อสุขภาพจิต

ตัวอย่างเช่น เงินเดือน 15,000 บาท พอเงินออกต้องจ่ายสารพัดหนี้รวมซะ 10,000-12,000 บาท ขนาดจ่ายหนี้บัตรเครดิตแค่ขั้นต่ำยังเหลือใช้แค่ 3,000 บาท เมื่อไม่พอต้องหยิบยืมหรือรูดบัตรเงินสดหรือกู้หนี้นอกระบบมากินอยู่ละก็…

มาเริ่มต้นตั้งใจตั้งสติ “ปลดล็อก” ชีวิตหนี้ ตั้งแต่วันนี้เลยดีกว่า ปฐมบทแรก ที่กูรูนักวางแผนการเงินแนะนำคือ 1.ต้อง “หยุดสร้างหนี้เพิ่ม” ซึ่ง“ข้อห้าม” เด็ดขาดเลย คือ ห้ามกู้หนี้นอกระบบหรือหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงกว่า เพื่อไปจ่ายหนี้ที่ดอกเบี้ยต่ำกว่า ปฏิบัติการต่อมา 2.ท่องให้ขึ้นใจ ประหยัด-ประหยัด-ประหยัด รัดเข็มขัดให้แน่น ใช้จ่ายแต่สิ่งจำเป็นเท่านั้น

หากประหยัดแล้วยังไม่พอ นี่เลย 3.ต้องหารายได้เพิ่ม รับจ็อบ-ทำโอที ขายของ ถ้าไม่รู้จะขายอะไรก็มองหาข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน อะไรที่ซื้อไว้แล้วไม่ได้ใช้ หรือใช้แล้วไม่คุ้ม ไม่มีความจำเป็นเอาออกมาขาย เริ่มขายกับเพื่อนฝูง คนใกล้ตัว เพื่อนร่วมงาน หรือขนไปวางขายตามตลาดนัดแถวบ้าน หรือโพสต์ออนไลน์ขายในไอจี-เฟซบุ๊ก

แค่นี้ก็มีเงินเพิ่มขึ้นจาก 2 ทางคือ เงินที่เหลือจากการใช้จ่ายประหยัดขึ้น และรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากรายได้พิเศษ ทำให้มีเงินมาจ่ายคืนหนี้มากขึ้น

ทีนี้เข้าสู่กระบวนการ “ปลดหนี้” ของจริงแล้ว เริ่มจากต้องวางแผน จัดลำดับเริ่มจากเจ้าหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงสุดก่อน ให้เข้าไปเจรจาทั้งเจ้าหนี้นอกระบบ (หากเจรจาได้) และเจ้าหนี้สถาบันการเงิน ทั้งแบงก์และนอน-แบงก์ หนี้บัตรเครดิต บัตรเงินสดทั้งหลาย เพื่อขอผ่อนผันลดดอกเบี้ยหรือขยายเวลาชำระหนี้

และให้เริ่มวางแผนผ่อนจ่ายหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงให้หมดก่อนโดยเร็วที่สุด หากมีสินทรัพย์อื่น เช่น มีบ้านหรือมีรถ นำไปจำนองหรือขอสินเชื่อเพิ่ม เพื่อนำเงินกู้ไป “ปลดล็อก” จ่ายคืนหนี้นอกระบบหรือหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงกว่าให้หมดในก้อนเดียว เพื่อให้เหลือหนี้ทางเดียวที่ดอกเบี้ยต่ำกว่า ภาระผ่อนหนี้ก็จะลดลง ทำให้ “หลุดพ้น” จาก “ชีวิตหนี้” ได้เร็วขึ้น และมีโอกาสมาเริ่มต้น “ออม” เพื่อสู่อิสรภาพทางการเงินได้เร็วขึ้น

ปิดท้ายขอแนะนำให้ใช้ “สำรับการเงินสามัญประจำบ้าน” รู้วิธีบริหารหนี้ มีเงินออม ช่วยแก้ปัญหาการเงินได้ถูกจุด ที่ www.set.or.th/happymoney


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุนสู่ความมั่งคั่ง โดยคุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ