Home Blog Page 399

เครือซีพี ผนึกประชาคมโลก ประกาศเจตนารมณ์ Race to Zero นำองค์กรสู่ยุคเศรษฐกิจปลอดคาร์บอน

0

เว็บไซต์ UNFCCC   รายงานการประชุม Climate Week NYC ของสหประชาชาติ โดยระบุว่านายศุภชัย เจียรวนนท์ ซีอีโอ เครือซีพี ประกาศเจตนารมณ์ “Race to Zero” หรือ “ปฏิบัติการแข่งขันเพื่อคาร์บอนเป็นศูนย์” พาองค์กรธุรกิจก้าวสู่ยุค “เศรษฐกิจปลอดคาร์บอน” ตั้งเป้าหมายนำเครือซีพีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2030 พร้อมชูวิสัยทัศน์ใช้เทคโนโลยี-นวัตกรรมขั้นสูงในกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  

กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC ) เผยแพร่บทความ “Commitments to Net Zero Double in Less Than a Year” ในสัปดาห์ Climate Week NYC ระหว่างวันที่ 21 – 27 ก.ย. 2563 ซึ่งจัดโดยสหประชาชาติ โดยระบุว่า นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้กล่าวว่าในฐานะกลุ่มบรรษัทผู้นำของเอเชียที่มีธุรกิจหลักด้านอาหารและการเกษตร  เครือซีพีมีบทบาทในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคการเกษตร และส่งเสริมให้ผู้บริโภคเลือกรับประทานอาหารที่ยั่งยืนมากขึ้น ทั้งนี้เครือซีพีมีความมุ่งมั่นและมีเป้าหมายในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2573 โดยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและสร้างสรรค์นวัตกรรม รวมถึงการทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรและนักลงทุนทั้งหลายของเราจากหลากหลายธุรกิจในเครือทั่วโลก

นอกจากนี้ นายศุภชัยยังได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องการใช้พลังของเครือซีพีช่วยขับเคลื่อนภาคเกษตรลดโลกร้อน ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ และปรับใช้แนวทางการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ที่มีประสิทธิภาพและเร่งนำมาตรการประหยัดพลังงานมาใช้ ขณะที่การลดขยะอาหารจะต้องได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งผู้บริโภคและคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน อีกทั้งการสร้างความตระหนักรู้ผ่านระบบการศึกษา ความเป็นผู้นำทั้งในและนอกองค์กร และการทำงานร่วมกันจะช่วยทำให้สิ่งนี้เป็นจริง 

การปรับตัวไปสู่การเป็นองค์กรที่ดำเนินเศรษฐกิจด้วยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ได้นั้น จะต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิตจะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การนำระบบดิจิทัลมาใช้ในระบบจะทำให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งต้องนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับเกษตรกร ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของเครือซีพี ดังนั้นการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ถึงระดับเป็นศูนย์ ควรเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดความสามารถของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทุกบริษัทเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ขยายผลได้

ด้านความเห็นของซีอีโอชั้นนำของโลกคนอื่น ๆ ที่ได้ร่วมในงาน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น นายแบรด สมิธ กรรมการผู้จัดการของไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น บอกว่า ไมโครซอฟท์จะเป็นองค์กร Carbon Negative และ Water Positive ภายในปี 2030 คือจะต้องดูดซับคาร์บอนมากกว่าที่ปล่อยออกไป และสร้างน้ำสะอาดคืนสู่ธรรมชาติให้มากกว่าที่ใช้ไป , นายแจน เจ็นนิสช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาฟาร์จโฮลซิม เห็นว่า หลายประเทศมุ่งหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด การลงทุนก่อสร้างโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภคเป็นทางเลือกที่ดี แต่ต้องตระหนักถึงการพัฒนาการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอน และส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และนาย ฌอง-ปอลล์ เอกอน ซีอีโอ L’Oreal (ลอรีอัล) กล่าวว่า ลอรีอัลได้ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปี 2020 ได้ถึง 80% บริษัทได้ปรับปรุงกระบวนการผลิต การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ การกระจายสินค้า เพื่อให้สินค้าของบริษัทสร้างผลบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

สืบสานประเพณี “ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” วัดสุทธาโภชน์ ส่งเสริมการท่องเที่ยว

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2563 นายเกรียงยศ สุดลาภา รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เดินทางมาเป็นประธานเปิดงานประเพณี ”ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” พระภิกษุสงฆ์และสามเณร จำนวน 115 รูป วัดสุทธาโภชน์ ประจำปี 2563 โดยมี นายธนะสิทธิ์ เมธพันธ์เมือง ผู้อำนวยการเขตลาดกระบัง พร้อมด้วย ผู้บริหารเขตกลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัด ผู้แทนสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้แทนประธานสภาวัฒนธรรมเขตลาดกระบัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชน ร่วมพิธี ณ บริเวณริมฝั่งคลองลำปลาทิว ท่าน้ำวัดสุทธาโภชน์ เขตลาดกระบัง

งานประเพณี “ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” เป็นประเพณีของชาวไทยเชื้อสายรามัญที่ยังคงยึดถือและปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนานกว่า 100 ปี หลังวันออกพรรษาของทุกปี และเป็นประเพณีที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของคนไทยที่มีความเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนาด้วยการทำบุญตักบาตรมาแต่ครั้งอดีตกาลตลอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในสมัยก่อนนั้นยังไม่มีถนนหนทางที่สะดวก ยังคงใช้แม่น้ำลำคลองในการเดินทางไปมาหาสู่ติดต่อกัน รวมถึงการทำบุญตักบาตรของชาวบ้านในสมัยก่อนนั้น พระภิกษุสงฆ์จะออกรับบิณฑบาตโดยทางเรือ จึงกลายเป็นวัฒนธรรมของชาวลาดกระบังที่ยังคงเห็นความเป็นรากเหง้าแก่นแท้ของความเป็นไทย เพื่อสืบสานและอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามมาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับงาน “ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” ของวัดสุทธาโภชน์ มีประชาชนทั้งในพื้นที่เขตลาดกระบังและปริมณฑลตลอดจนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าร่วมงานทั้งสองฝั่งคลองลำปลาทิวหน้าวัดสุทธาโภชน์เป็นจำนวนมาก โดยผู้ร่วมงานจะแต่งกายด้วยชุดไทยรามัญ นับว่าเป็นประเพณีตักบาตรพระทางเรือแห่งเดียวของกรุงเทพมหานครที่ยังคงอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมดังกล่าว โดยกิจกรรมประเพณีตักบาตรพระร้อยทางเรือ ประกอบด้วย การตักบาตรพระภิกษุสงฆ์ในเรือจำนวน 115 รูป ในช่วงเช้า การถวายสำรับคาวหวานในช่วงสาย การถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ และการแข่งขันเรือพายพื้นบ้าน 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทเรือมาด 9 ฝีพาย และเรือมาด 12 ฝีพาย ชิงถ้วยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในช่วงบ่าย ซึ่งในแต่ละกิจกรรมที่จัดขึ้นนั้นได้มีการดำเนินการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 อย่างเข้มงวด อาทิ จัดให้มีจุดคัดกรองเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิผู้เข้าร่วมงาน จำนวน 8 จุด มีการรณรงค์ให้ผู้ร่วมงานสวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาในการจัดกิจกรรม รวมถึงมีจุดให้บริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือทั่วพื้นที่จัดกิจกรรม

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า งานประเพณี “ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” ของวัดสุทธาโภชน์ เป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวไทยเชื้อสายรามัญที่ยึดถือและปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์แรกหลังวันออกพรรษาของทุกปี มีพี่น้องประชาชนทั้งในพื้นที่เขตลาดกระบังและปริมณฑล รวมทั้งนักท่องเที่ยว ที่มีความเลื่อมใสและศรัทธาในพระพุทธศาสนาหลั่งไหลเข้ามาร่วมงานทำบุญตักบาตรพระร้อยทางเรือเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร ที่ยังคงอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมอันดีงาม อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ได้รู้ถึงขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามและมีความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน นอกจากนี้ในช่วงบ่ายยังมีการจัดการแข่งขันประเพณีเรือพายพื้นบ้าน ซึ่งแสดงออกถึงความรัก ความสามัคคีและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องท้องถิ่นลาดกระบัง ที่สมควรอนุรักษ์สืบสานให้อยู่คู่ลำน้ำลำปลาทิวตลอดไป ซึ่งกรุงเทพมหานครยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของชาวลาดกระบังให้คงอยู่คู่กับกรุงเทพมหานครสืบไป อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครตามนโยบายของพล.ต.อ อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ต้องการให้คนกรุงเทพฯ มีความภาคภูมิใจในรากฐานทางวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยสืบไป รวมถึงเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้รู้ถึงขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของกรุงเทพมหานครและประเทศไทยอีกด้วย

ที่มา สำนักงานประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร

เยี่ยมชมวิถีมอญ ถิ่นสามโคก ปทุมธานี

0

เกรียนพาเที่ยว มีโอกาสติดสอยห้อยตามทริปของเครือข่ายการท่องเที่ยวภาคประชาสังคม ที่จัดกิจกรรมวิถีถิ่นสัญจร เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมมอญ สัมผัสวิถีถิ่นสามโคก ชื่อเดิมของจังหวัดปทุมธานี

ถือเป็นชุมชนมอญ ที่ยังคงรักษาความเข้มแข็งด้านวิถีชีวิต การแต่งกาย ภาษา อยู่อย่างมาก สำหรับชุมชนมอญที่สามโคก โดยสถานที่แรกที่เราเดินทางไป คือ

วัดศาลาแดงเหนือ มีโอกาสได้ชมความงดงามของเจดีย์ศิลปะมอญ และศาลาการเปรียญที่อดีตเคยใช้เป็นโรงโขนหลวง นอกจากนี้ ภายในพื้นที่วัด ยังมีส่วนจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเครื่องใช้ข้าวของในอดีต รวมทั้งเรือโอ่งที่เคยล่องไปตามลำแม่น้ำทั่วสารทิศเพื่อทำมาค้าขาย

จากนั้น เราได้เดินสำรวจดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านชาวมอญ ซึ่งจากเดิมเกือบทุกบ้านที่จะมีการทำกระยาสารทขาย แต่ปัจจุบัน หลงเหลือบ้านที่ยังทำขายอยู่ไม่กี่หลัง แน่นอนว่า คณะที่เดินทางมาช่วยกันอุดหนุนขนม กลับบ้านติดไม้ติดมือกันไปคนละถุงสองถุง นอกจากกระยาสารทแล้ว หมี่กรอบของที่นี่ ก็รสชาติอร่อยดีทีเดียว

สถานที่ต่อไป คือ วัดสองพี่น้อง เป็นอีกวัดเก่าแก่ของเมืองปทุมฯ ได้มีโอกาสไหว้สักการะหลวงพ่อเพชร หลวงพ่อพลอย ตามประวัติแล้ว สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2410 และพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ 2 องค์คือ หลวงพ่อเพชร เป็นพระพุทธรูปศิลา ศิลปะอู่ทองปางมารวิชัย และหลวงพ่อพลอยเป็นพระพุทธรูปศิลปะอู่ทองจำหลักด้วยศิลาแต่ถูกขโมยไป ทางวัดได้จัดสร้างขึ้นมาใหม่เป็นที่เคารพนับถือของชาวเรือและประชาชนทั่วไป

เดินชมความงามของวัดแล้ว ใกล้ถึงเวลาเที่ยง เราเดินทางต่อไปทานอาหารมื้อกลางวันกันที่ตลาดโก้งโค้ง อ.บางปะอิน อยุธยา ซึ่งมีอาหารให้เลือกกินมากมาย โดยเฉพาะขนมไทย อร่อยมาก แอดมินเห็นขนมถ้วย อดไม่ได้ที่จะแคะทาน ราคาถาดละ 20 บาท ถาดนึงมี 5 ถ้วยให้แคะทาน

เมื่อเติมพลังแล้ว ก็ถึงเวลาเดินทางต่อไปสถานที่ต่อไป คือ ศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด ซึ่งมีส่วนของอาคารเรียนรู้เรื่องโขน รวบรวมทั้งฉาก ชุดแต่งกาย อุปกรณ์การแสดงที่เคยใช้ในการแสดงโขนพระราชทานตอนต่างๆ รวบรวมมาไว้ที่อาคารแห่งนี้ ไฮไลท์คือ ฉากหนุมานแปลงกายเป็นลิงยักษ์ตัวมหึมาขนาด 15 เมตร แถมยังขยับเขยื้อนได้ และฉากหนุมาอ้าปากอมพลับพลา ในตอนศึกไมยราพ ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าชมอย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีฉากต่างๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ท้องพระโรงกรุงลงกา ร่างนางผีเสื้อสมุทรขนาดใหญ่ จากการแสดงโขนพระราชทานตอนล่าสุด สืบมรรคา

อาคารเรียนรู้เรื่องโขน เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดทำการวันอังคาร-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา ๑๐.๐๐–๑๕.๓๐ น. (เปิดจำหน่ายบัตร ๐๙.๔๕ – ๑๕.๐๐ น.) หยุดทุกวันจันทร์

เมื่อชื่นชมกับความงามของศิลปะการแสดงโขน อันเป็นมรดกล้ำค่าของชาติเราแล้ว เราออกเดินทางต่อไปที่วัดโบสถ์ ที่อุโบสถประดิษฐาน “หลวงพ่อเหลือ” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองปทุมฯ นอกจากนี้ ในวัดยังมีหลวงพ่อโต องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศ กับหลวงพ่อโสธร องค์ใหญ่มาก ตั้งอยู่ภายในวัด ให้คนที่ศรัทธาได้กราบไหว้

วัดโบสถ์ ถือว่าเป็นวัดที่มีพื้นที่กว้างขวางทีเดียว ด้านที่ติดริมแม่น้ำ มีวังมัจฉาที่แอดมิน คิดว่า เป็นวังมัจฉาที่มีขนาดใหญ่มากกว่าที่อื่นที่เคยไปมาก่อน แถมปลาเยอะมาก เสียงปลาตีน้ำตอนคนที่มาเที่ยวโยนอาหารปลาให้กิน ดังฟังชัดมากมาแต่ไกล

จากท่าเรือที่วัดโบสถ์ เราได้ขึ้นเรือกระแชง เพื่อล่องไปตามคุ้งน้ำ ชมความงามของวิถีริมแม่น้ำเจ้าพระยาของสามโคก และวัดโบราณที่ตั้งอยู่เรียงรายตามริมน้ำ เพื่อเดินทางมายังจุดหมายปลายทางที่สุดท้ายของทริป คือ วัดสิงห์

วัดสิงห์ เป็นวัดโบราณ ในบันทึกพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเป็นวัดคู่เมืองสามโคก บริเวณนี้มีการอพยพเข้าออกมาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของชาวมอญมาหลายยุคสมัย ตามการสันนิษฐานวัดแห่งนี้น่าจะสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถหรือในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ช่วงปี พ.ศ.2202-2210

มีเจดีย์ โบสถ์ วิหารเก่าแก่ ทรงคุณค่าทางโบราณคดี ให้ได้เยี่ยมชมกัน พระพุทธรูปสำคัญของวัดคือหลวงพ่อโต พระพุทธรูปลงรักปิดทองปางมารวิชัย สมัยกรุงศรีอยุธยา

นอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าของวัด ยังมี โบราณสถานเตาโอ่งอ่าง ซึ่งถือเป็นหลักฐานการตั้งของชุมชนมอญที่นี่ ตั้งแต่สมัยปลายอยุธยา มีเตาเผาสามโคกตั้งเรียงราย ตุ่มสามโคก หม้อ ไห โอ่ง อ่าง มีลักษณะเด่นเป็นภาชนะบรรจุที่ขนาดใหญ่ เนื้อแกร่ง หนา สีแดง ไม่เคลือบผิว ซึ่งผลิตจากเตาแหล่งนี้ เตาสามโคกมีบทบาทหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ในปี ๒๓๑๐ ต่อเนื่องมาถึงกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ชาวมอญเมืองสามโคกได้เลิกการผลิตไป โดยส่วนใหญ่ย้ายการผลิตไปที่ เกาะเกร็ด เมืองนนทบุรีแทน เหลือเพียงโรงงานปั้นตุ่มสามโคกของนายคำนวณ เป็นคำ ที่ยังอยู่ที่สามโคก

ถือว่าเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวหาความรู้ทางประวัติศาสตร์โบราณคดีของเมืองสามโคกที่น่าเยี่ยมชมและน่าศึกษาอย่างยิ่งทีเดียว

แอดมินใช้เวลาอยู่ที่ปทุมฯ ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น เรียกได้ว่า รู้สึกประทับใจ และคุ้มค่ากับการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้อย่างมาก งานนี้ต้องขอขอบคุณ เครือข่ายการท่องเที่ยวภาคประชาสังคม ตลอดจนปราชญท้องถิ่นที่คอยให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของสถานที่ต่างๆ ที่เดินทางไป แน่นอนว่า ต้องหาโอกาส มาเที่ยวที่นี่อีกครั้ง เพราะยังมีอีกหลายที่ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะวัดเก่า วัดโบราณ แถบปทุมฯ มีเยอะมาก และการเดินทางมาเที่ยวแถบนี้ก็สะดวก ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ

การจัดการความเหลื่อมล้ำจากวิกฤตโควิด

0

บทความโดย ภาคภูมิ จตุพิธพรจันทร์
ไตรสรณ์ ถีรชีวานนท์

แม้ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ก็ยังเผชิญผลกระทบทางด้านสังคมและเศรษฐกิจอย่างรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี ประชาชนทุกภาคส่วนไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เพศใด รวยหรือจนล้วนได้รับผลกระทบกันหมด แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อกลุ่มคนจนและผู้ด้อยโอกาสมีความรุนแรงมากกว่า วิกฤตโควิด-19 จึงตอกย้ำความเหลื่อมล้ำที่เป็นปัญหาเรื้อรังของไทยให้มีความรุนแรงมากขึ้นในทุกมิติ

ตัวอย่างเช่น ในช่วงโควิด-19 หลายบริษัทได้ทำการปรับรูปแบบการทำงานมาเป็นการทำงานในรูปแบบทางไกล แต่คนจนและกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะระดับต่ำหรือทักษะระดับกลางมักประกอบอาชีพในภาคธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องทำงาน ณ สถานประกอบการ เช่น ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจอุตสาหกรรม หรือแม้ทำงานในธุรกิจที่สามารถทำงานทางไกลได้ แต่คนจนที่มีรายได้น้อยมักมีความไม่พร้อมด้านทักษะเทคโนโลยีดิจิทัลหรือการขาดเครื่องมืออุปกรณ์ ทำให้แรงงานกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการตกงานและรายได้ลดลงมากกว่ากลุ่มอื่น

นอกจากได้รับผลกระทบแรงกว่าแล้ว คนจนและกลุ่มเปราะบางมักมีความสามารถในการรับมือกับการขาดรายได้น้อยกว่าคนกลุ่มอื่น กล่าวคือมีเงินออมสะสมน้อยกว่า มีความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบน้อยกว่า การเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐก็เป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง ทำให้คนจนและกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก อาจจะต้องขายสินทรัพย์ หรือก่อหนี้สินเพิ่มขึ้น วิกฤตโควิดจึงได้เพิ่มความเสี่ยงให้คนที่จนอยู่แล้วสินทรัพย์หดหายรายได้ลดลงและทำให้ความเหลื่อมล้ำทางรายได้รุนแรงขึ้น

นอกจากความเหลื่อมล้ำทางรายได้จะสูงขึ้นแล้วความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาก็สูงขึ้นด้วย คนจนและกลุ่มเปราะบางเป็นกลุ่มที่ขาดความสามารถในการเรียนทางไกล เนื่องจากขาดอุปกรณ์ ขาดอินเทอร์เน็ตที่ดี และสถานที่อาจไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียน พ่อแม่ก็มักไม่พร้อมหรือไม่มีศักยภาพในการสอนหรือร่วมทำกิจกรรมกับลูกที่บ้าน และในบางกรณีที่พ่อแม่ขาดรายได้รุนแรง เด็กก็อาจต้องพักการเรียนเพื่อไปช่วยหารายได้อีกด้วย

ผลกระทบทางด้านสุขภาพต่อคนจนก็มากกว่าคนรวย เนื่องจากอาการป่วยจากโรคโควิด-19 มักร้ายแรงสำหรับผู้ป่วยที่มีสุขภาพไม่ดี ซึ่งโดยปกติคนจนก็มักเป็นกลุ่มที่มีสุขภาพและโภชนาการด้อยกว่าคนทั่วไป  และจากการสำรวจยังพบว่าประชาชนระบุว่าการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ทำได้ยากลำบากมากขึ้น ซึ่งคนที่มีทรัพยากรเพียงพอนั้นมีทางเลือกอื่นที่สามารถทดแทนการไปหาแพทย์ได้ในขณะที่คนจนนั้นทำไม่ได้ โดยรวมแล้วโควิด-19 จึงทำให้ช่องว่างความแตกต่างในทุนมนุษย์ห่างกันมากขึ้น

ความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นอาจไม่หายไปหรือกระทั่งเพิ่มสูงขึ้นหลังการระบาดของโควิด-19  กล่าวคือ วิกฤตครั้งนี้ขยายช่องว่างความแตกต่างในทุนมนุษย์และทุนกายภาพระหว่างคนจนและคนรวย และอาจส่งผลให้ระดับการผูกขาดในตลาดสูงขึ้นเนื่องจากการสูญหายของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในช่วงการระบาดตลอดจนเพิ่มระดับความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองทรัพย์สินให้สูงขึ้นอันมาจากผลพวงของการเพิ่มขึ้นของความเหลื่อมเหลื่อมล้ำทางรายได้ซึ่งอาจส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสและโครงสร้างอำนาจทางการเมืองอีกทอดหนึ่ง

อย่างไรก็ตามวิกฤตครั้งนี้ได้ทำให้ประชาชนจำนวนมากได้หันมามองเห็นปัญหาของความเหลื่อมล้ำและได้มีประสบการณ์ตรงกับระบบสวัสดิการของรัฐ ซึ่งอาจทำให้ทัศนคติของประชาชนเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เอื้อต่อการผลักดันนโยบายการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ดังนั้นวิกฤตครั้งนี้อาจเป็นโอกาสที่ดีในการลงมือผ่าตัดโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่และปัญหาเรื้อรังที่มีอยู่แล้วในคราวเดียวเพื่อนำไปสู่การฟื้นตัวและการเติบโตอย่างทั่วถึงในระยะยาว

เพื่อลดความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจากวิกฤตครั้งนี้ รัฐบาลควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนในสังคมมีโอกาสอย่างเท่าเทียม และมีการกระจายผลประโยชน์อย่างทั่วถึง เพื่อนำไปสู่การเติบโตอย่างมีส่วนร่วม (inclusive growth) โดยนโยบายที่สำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้แก่

  1. ส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนมีสุขภาพที่ดีให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้ารับบริการการรักษาที่มีคุณภาพ หนึ่งทางเลือกคือการนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้แพทย์สามารถทำการรักษาโรคแบบทางไกลได้ (telemedicine) พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้ทางสุขภาพให้ประชาชนฐานราก และพัฒนาคุณภาพการให้บริการของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของรัฐ
  2. ลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาพัฒนาคุณภาพบุคลากรครูอาจารย์และการเรียนการสอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนในชนบทและที่ห่างไกล นำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อส่งเสริมการเรียนทางไกล ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้ประชาชนได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะใหม่หรือพัฒนาทักษะเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันกับโลกยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล 
  3. พัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคมจากวิกฤตที่ผ่านมาทำให้เห็นว่าประชาชนจำนวนมากยังมีการตกหล่นจากความช่วยเหลือจากรัฐ นอกจากนั้นระบบการคุ้มครองทางสังคมยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างดี ฉะนั้นภาครัฐควรเร่งพัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคมให้สามารถคุ้มครองประชาชนได้อย่างถ้วนหน้า ให้ความช่วยเหลืออย่างทันถ่วงทีและเพียงพอ
  4. ส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน โดยสร้างกลไกจัดการความเสี่ยงเพื่อทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กและกลางสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงในยามวิกฤตได้ ออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับรายย่อยโดยอาศัยเทคโนโลยีที่กำลังเติบโต เช่น การนำ FinTech มาช่วยลดความอสมมาตรทางข้อมูล (asymmetric information) ระหว่างผู้ให้บริการทางการเงินและผู้ประกอบการ SMEs หรือ การสนับสนุนโครงสร้าง Microfinance ให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งจะเสริมการเข้าถึงสินเชื่อการประกอบการในอนาคต สร้างโอกาสสำหรับคนรายได้น้อยในการเป็นผู้ประกอบการ
  5. ปรับปรุงระบบภาษีให้สามารถกระจายรายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นมาตรการทางภาษีเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการกระจายรายได้ แต่ในปัจจุบันยังมีช่องโหว่ในระบบให้คนรวยจำนวนมากไม่ต้องเสียเงินได้หลายประเภท รัฐบาลควรแก้ไขกฎหมายเพื่อปิดช่องโหว่ต่างๆ ตลอดจนทบทวนมาตรการลดหย่อนภาษีที่เอื้อกับผู้มีรายได้สูง และพัฒนาการจัดเก็บภาษีที่ดินและทรัพย์สินให้มีความเหมาะสม
  6. ปรับปรุงปัจจัยเชิงสถาบันลดการผูกขาดของทุนใหญ่ในตลาดโดยการบังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าอย่างจริงจัง กระจายอำนาจการคลังและการเมืองสู่ท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งให้สื่อและภาคประชาชน รวมถึงปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเพื่อกำจัดปัญหาคอร์รัปชันและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการประชาธิปไตย อันนำไปสู่การออกแบบนโยบายที่มีการคำนึงถึงผลประโยชน์ของคนทุกกลุ่มในสังคม

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นหนึ่งในผลงานโครงการศึกษาผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19: กลไกการรับมือและมาตรการช่วยเหลือ โดยการสนับสนุนของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ภายใต้แผนงาน economic and social monitor เพื่อการจัดทำรายงานสถานการณ์และแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมโดยใช้ข้อมูลการสำรวจจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ

ที่มา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

บสย. ร่วมกับ กพร. ลงนามอุ้มแรงงาน 9.5 หมื่นคน สร้างอาชีพ และช่วยเข้าถึงแหล่งเงินทุน

0

บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ลงนามความร่วมมือ “โครงการพัฒนาทักษะและส่งเสริมการประกอบอาชีพ” สร้างอาชีพคนตกงาน คาด อุ้มแรงงาน 95,000 คน เกิดสินเชื่อในระบบสร้างอาชีพอิสระ 29,300 ล้านบาท

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. เปิดเผยว่า บสย. พร้อมให้ความสนับสนุนกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อช่วยเหลือตลาดแรงงานที่กำลังได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 ทั้งกลุ่มตกงาน ว่างงาน และแรงงานกลุ่มที่มีความสามารถด้านงานช่าง หรืออาชีพอื่นๆ ที่ต้องการก้าวสู่ชีวิตใหม่ เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ ภายใต้แนวคิด “บสย. เพื่อนแท้ SMEs ไทย ทางรอดใหม่ คู่ใจยามวิกฤต” มอบโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดย บสย. ให้การค้ำประกันสินเชื่อ จากกลุ่มธนาคารพันธมิตรที่เข้าร่วมโครงการ ให้กับกลุ่มแรงงานที่ได้พัฒนาเพิ่มทักษะและฝีมือจาก กพร.

การร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการมีพันธกิจใกล้เคียงกัน ในการช่วยเหลือของ บสย. และ กพร. ที่ช่วยเหลือแรงงานและกลุ่มคนตกงาน บัณฑิตจบใหม่ให้มีทางรอดโดยเข้าสู่การเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ

โครงการพัฒนาทักษะและส่งเสริมการประกอบอาชีพการจัดงานครั้งนี้ มีศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกระทรวงแรงงาน และ 4 ธนาคารพันธมิตร ที่มีโครงการสินเชื่อช่วยเหลือกลุ่มแรงงานและอาชีพอิสระต่างๆ

นอกจากนี้ บสย. ยังได้นำเสนอศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) ที่เป็นทั้งที่ปรึกษาทางการเงินและศูนย์ให้ข้อมูลความรู้ เข้าสู่การเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระในธุรกิจต่างๆ เพื่อเป็นการช่วยกันยกระดับฝีมือแรงงาน อาทิ ช่างชุมชน ช่างไฟฟ้า ช่างประปา ช่างซ่อมรถ ช่างแอร์ ช่างตัดผม ช่างก่อสร้าง เพื่อส่งเสริมแรงงานที่ตกงานให้เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ได้รับการสนับสนุนด้านสินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพแบบครบวงจร

การดำเนินโครงการความร่วมมือนี้จะนำไปสู่ผลสำเร็จ 3 สร้าง คือ 1.สร้างความรู้โดยพัฒนาองค์ความรู้เพื่อต่อยอดและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ 2.สร้างอนาคตโดยให้เข้าถึงแหล่งทุนง่ายขึ้น 3.สร้างโอกาสเชื่อมโยงธุรกิจต่อยอดด้านการขาย โดย บสย. ทำหน้าที่สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจให้สถาบันการเงินที่มีโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ว่างงานและผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ร่วมเข้ากับโครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. ซึ่งปัจจุบัน ได้แก่ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Micro 3 โครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs ไทยชนะ และ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Start up & Innobiz สอดคล้องกับแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบัน ดร.รักษ์ เป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

สำหรับธนาคารที่พร้อมให้การสนับสนุนสินเชื่อขณะนี้มี 4 ธนาคาร ได้เตรียมวงเงินสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบอาชีพอิสระ 8 โครงการ ประกอบด้วย

  • 1. ธนาคารออมสิน จำนวน 5 โครงการ ได้แก่
    • 1. โครงการสินเชื่อเพื่อ Street food วงเงิน 3 ล้านต่อราย
    • 2. โครงการสินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์ วงเงิน 1 ล้านบาทต่อราย
    • 3. โครงการสินเชื่อประชาชนสุขใจ วงเงิน 200,000 บาทต่อราย
    • 4. โครงการสินเชื่อสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงิน 50,000 บาทต่อราย
    • 5. โครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก วงเงิน 50,000 บาทต่อราย
  • 2.​ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการสินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อธุรกิจรายย่อย วงเงิน 200,0000 บาทต่อราย
  • 3.​ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ วงเงิน 200,000 บาทต่อราย
  • 4.​ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ สินเชื่อฮักบ้านเกิด

การร่วมมือของ กพร. บสย. และธนาคารพันธมิตรในครั้งนี้ คาดว่าจะก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบจากการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. จำนวน 29,300 ล้านบาท และ ช่วยอุ้มแรงงาน 95,000 คน ให้กลับมามีอาชีพและทางรอดในการฝ่าวิกฤต COVID-19

วันที่ 7 และ 11 ธ.ค. 2563 เป็นวันหยุดของบริษัทหลักทรัพย์ และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

0

ก.ล.ต. กำหนดให้วันที่ 7 และ 11 ธันวาคม 2563 เป็นวันหยุดทำการของบริษัทหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

ตามที่การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 มีมติเห็นชอบประกาศวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศทดแทนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยให้เลื่อนวันหยุดชดเชยวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ซึ่งจะหยุดชดเชยในวันที่ 7 ธันวาคม 2563 เป็นวันที่ 11 ธันวาคม 2563 นั้น

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณาแล้ว เห็นควรให้วันที่ 11 ธันวาคม 2563 เป็นวันหยุดทำการของบริษัทหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตามมติคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้วันที่ 7 ธันวาคม 2563 เป็นวันหยุดทำการเพิ่มเติมตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สธ. 63/2563 เรื่อง วันหยุดทำการของบริษัทหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประจำปี พ.ศ. 2563 เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศให้หยุดวันดังกล่าว

ดังนั้น ก.ล.ต. จึงกำหนดให้วันที่ 7 และ 11 ธันวาคม 2563 เป็นวันหยุดทำการของบริษัทหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

ก.ล.ต. ขอความร่วมมือป้องกันมัลแวร์เรียกค่าไถ่ สร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน

0

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แนะแนวปฏิบัติในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีโดยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) สำหรับผู้ประกอบธุรกิจในภาคตลาดทุน บริษัทจดทะเบียนและประชาชน เพื่อเป็นแนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กรได้อย่างเหมาะสม ซึ่งสอดรับกับพระราชบัญญัติการรักษาความปลอดภัยมั่นคงไซเบอร์ พ.ศ. 2562 และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการในตลาดทุน

การประสบปัญหาจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) ขององค์กรจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น เกิดความเสียหายต่อระบบคอมพิวเตอร์ ส่งผลกระทบต่อการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการ และก่อให้เกิดความเสียหายในเชิงภาพลักษณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ดังนั้น การเตรียมความพร้อมด้านบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กรในยุคปัจจุบันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ก.ล.ต. มุ่งหวังให้ผู้ประกอบธุรกิจในภาคตลาดทุนซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล เพื่อลดผลกระทบจากภัยไซเบอร์และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการในตลาดทุน

ก.ล.ต. จึงขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนเพิ่มความระมัดระวังและปฏิบัติตามแนวทางที่ ก.ล.ต. ได้จัดทำประกาศและแนวปฏิบัติในการจัดให้มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เมื่อปี 2559 เช่น ควรจัดเตรียมแผนรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ (Cyber Incident Plan) และหมั่นสำรองข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลที่สำรองไว้อย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งสร้างความตระหนักรู้และฝึกอบรม (Cybersecurity Awareness) ให้กับบุคลากรภายในองค์กรอย่างต่อเนื่องโดยให้รู้จักและเข้าใจวิธีป้องกันเบื้องต้นเพื่อลดความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นและพร้อมรับมือเมื่อเกิดเหตุ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ บริษัทจดทะเบียนหรือองค์กรในตลาดทุน และประชาชนทั่วไปที่สนใจ

ทั้งนี้ Ransomware คือ มัลแวร์ที่มุ่งหวังจะทำการเข้ารหัสไฟล์ข้อมูลของเหยื่อ ซึ่งจะส่งผลให้เหยื่อหรือเจ้าของข้อมูลไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ข้อมูลของตนเองได้ โดยหากต้องการเข้าถึงไฟล์ดังกล่าว เหยื่อจะต้องจ่ายเงินให้กับผู้ไม่ประสงค์ดี (hacker) เพื่อทำการถอดรหัสไฟล์ข้อมูลดังกล่าว โดยไม่สามารถรับรองได้ว่า hacker จะทำการถอดรหัสไฟล์ให้เหยื่อหรือไม่หลังได้รับค่าไถ่แล้ว ทั้งนี้ hacker มักจะให้ผู้เสียหายจ่ายค่าไถ่ผ่านสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin เนื่องจากเป็นช่องทางที่ยากต่อการตรวจสอบย้อนกลับไปยังผู้ไม่ประสงค์ดี

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : ห้องเรียนนักลงทุน (2)

0

คราวที่แล้วเราเห็นถึงความจำเป็นและความสำคัญในการลงทุนเพื่อให้เงินออมงอกเงย และเริ่มบทเรียนแรกที่ควรต้องรู้สำหรับ “มือใหม่เริ่มลงทุน” ว่า ต้อง “รู้จักตัวเอง” และกำหนดเป้าหมายการลงทุน เช่น เพื่อไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ เพื่อลดหย่อนภาษี หรือเพื่อทำกำไร

และกำหนดเวลาเพื่อบรรลุเป้าหมาย ซึ่งมีทั้งระยะสั้น-กลาง-ยาว รวมทั้งต้องการผลตอบแทนเท่าไร ทำใจยอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน!!

เมื่อรู้จักตัวเองดีแล้ว ก็ต้องมาวางแผนการลงทุนว่าควรจัดสรรการลงทุนอย่างไร ในเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th หัวข้อ “ความรู้การลงทุน” เข้าไปที่หน้า “มือใหม่เริ่มลงทุน” ได้แบ่งทางเลือกลงทุนหรือลายแทงขุมทรัพย์ไว้ 6 ประเภท ดังนี้

1.ลงทุนในหุ้น 2.อนุพันธ์ทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง 3.กองทุนรวม เงินลงทุนเติบโตโดยมืออาชีพ 4.DW ลงทุนน้อยกว่า โอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่า 5.อีทีเอฟซื้อง่ายขายคล่อง ผลตอบแทนตามดัชนี 6.ตราสารหนี้ เสี่ยงน้อยผลตอบแทนสม่ำเสมอ

แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือเราต้องเรียนรู้ ทำความรู้จักและเข้าใจถึงทางเลือกเหล่านี้ ว่ามีโอกาสได้ผลตอบแทนมาก-น้อยแค่ไหน มีความเสี่ยงสูง-ต่ำอย่างไร รวมทั้งข้อดี-ข้อเสีย เพื่อช่วยให้เราจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเองและสอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้!!

“มือใหม่เริ่มลงทุน” หน้านี้ มีตารางความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังของแต่ละทางเลือกลงทุน จากความเสี่ยงต่ำสุดและเสี่ยงสูงขึ้นให้เรียนรู้อย่างน่าสนใจ ทั้งการลงทุนเองและการลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างๆ

ครั้งหน้า “คุณนายพารวย” จะพาไปรู้จักการลงทุนในตลาดหุ้น ให้เราได้เป็นเจ้าของกิจการดีๆในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ง่ายๆ!!

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

เอไอเอส 30 ปี ก้าวสู่อนาคตที่แข็งแกร่ง ใช้ 5G พลิกโฉมประเทศ เตรียมทุ่มงบกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท

0

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส เปิดเผยว่าเ อไอเอสได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุค 1G จนถึง 5G และทำให้อุตสาหกรรมสื่อสารในภาพรวม ขยายตัวถึงกว่า  90 ล้านเลขหมาย ทั้งนี้ยังรวมถึงการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลที่สนับสนุนให้เกิดรูปแบบของธุรกิจใหม่ๆ การจ้างงาน สร้างให้เกิดการเติบโตของประเทศ ที่มีขีดความสามารถและแข่งขันได้อย่างสมศักดิ์ศรี

ความภาคภูมิใจของเอไอเอส นอกจากการสร้างดิจิทัลอินฟราสตรัคเจอร์ให้แก่คนไทยแล้ว ยังได้ส่งมอบเงินให้กับภาครัฐเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศ เป็นมูลค่ารวมกว่า 915,000 ล้านบาท พร้อมการลงทุนต่อเนื่องกว่า 1.1 ล้านล้านบาท และในปีนี้ได้เตรียมงบลงทุนไว้ที่ 35,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้แข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ  โดยในโอกาสครบรอบ 30 ปี เราตั้งใจอย่างยิ่งที่จะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศให้พลิกฟื้นเศรษฐกิจ ก้าวข้ามความท้าทายได้อย่างแข็งแรง  โดยจุดเริ่มต้นของทศวรรษใหม่ของเอไอเอส คือ เทคโนโลยี 5G ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ ทั้งในแง่ของการมอบประสบการณ์ด้านการสื่อสารในโลกเสมือนจริงให้แก่คนไทย และยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้แก่ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานให้ทุกภาคส่วน แม้แต่ภาคประชาสังคมเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ในโอกาสครบรอบ 30 ปี เอไอเอสพร้อมประกาศความตั้งใจผ่านการส่งมอบบริการคุณภาพและความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ประกอบด้วย

–          สร้างโอกาสและเสริมขีดความสามารถให้แก่ภาคอุตสาหกรรมของประเทศอย่างต่อเนื่อง จาก 5G

–          เปิดตัวบริการ 5G อย่างเต็มรูปแบบให้คนไทย ได้รับประสบการณ์ครบถ้วน จากแพ็คเกจและดิจิทัลคอนเทนท์

–          การอยู่เคียงข้างคนไทยและสังคม ให้พร้อมปรับตัวรับความท้าทาย รวมถึงการนำ 5G พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างให้เกิดการมีส่วนร่วมดูแล รักษาสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน

พร้อมกันนี้ เพื่อแสดงการขอบคุณและตอบแทนลูกค้าที่มอบความไว้วางใจใช้บริการมาอย่างต่อเนื่อง เอไอเอสจึงขอมอบความสุขด้วยเอไอเอส พอยท์ 150 ล้านพอยท์ ให้แลกรับความสุขจากพันธมิตรร้านค้าชั้นนำของไทย ตลอดเดือนตุลาคม เพื่อร่วมเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 30 ปี อีกด้วย

“ก้าวต่อไปของเอไอเอส ในขวบปีที่ 31 เรามุ่งหวังที่จะพลิกโฉมองค์กรสู่การเป็น Innovation Organization อย่างเต็มตัว ที่พร้อมสร้างสรรค์งานบริการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์กับความต้องการขององค์กรและลูกค้าทุกเจเนอเรชัน พร้อมทั้งใช้ขีดความสามารถ เทคโนโลยี ร่วมยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยต่อไป” นายสมชัย กล่าว

CPF โชว์ศักยภาพ “ครัวของโลก” ผลิตอาหารมั่นคง ปลอดภัย เพียงพอ สร้างสมดุลโลกอย่างยั่งยืน

0

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ เข้าร่วมงาน Thailand Sustainability Expo 2020 (TSX) ระหว่างวันที่ 1-4 ต.ค. 2563 จัดที่ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ โดยในงาน บริษัทจะแสดงนวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี จากกระบวนการผลิตที่ทันสมัยด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตและส่งเสริมโภชนาการของคนไทยอย่างยั่งยืน

วุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ

สำหรับการร่วมงาน TSX ในครั้งนี้ ซีพีเอฟ นำเสนอกิจกรรมต่างๆภายใต้แนวคิด “Put Our Heart into Food for the World : อาหารแห่งความห่วงใยเพื่อโลก” ตอกย้ำการเป็นผู้ผลิตอาหารด้วยความใส่ใจและรับผิดชอบ 3 ด้าน คือ 1.การใส่ใจสุขภาพ สุขใจผู้บริโภค 2. สังคมพึ่งตน สู่อาหารที่ยั่งยืน และ 3. ความมั่นคงทางอาหาร บนพื้นฐานของทรัพยากรที่ยั่งยืน สะท้อนการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมในการมีส่วนช่วยแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Climate Change)

ซีพีเอฟ มุ่งเน้นการสร้างองค์กรแห่งนวัตกรรม โดยมีค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนามากกว่า 2,964 ล้านบาท เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตให้ตอบสนองและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต โดยในปี 2563 บริษัทฯตั้งเป้าพัฒนานวัตกรรมเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น 30% ของผลิตภัณฑ์ใหม่

นอกจากนี้ การดำเนินธุรกิจของซีพีเอฟ ยังให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทั่วประเทศ ผ่านการสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้แก่เกษตรกรรายย่อยเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 42,090 ราย ตลอดจนส่งเสริมการเรียนรู้ด้านโภชนาการและทักษะเกี่ยวกับอาหารให้แก่เยาวชน 291,997 คน ในปี 2562 และมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนเป็น 1,300,000 คน ในปี 2563

รวมถึงการดำเนินโครงการร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามแนวทาง “ความมั่นคงทางอาหาร จากภูผาสู่ป่าชายเลน” โดยส่งเสริมให้พนักงานของบริษัทฯ ชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงสถานประกอบการและโรงงานปลูกต้นไม้ ร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน ซึ่งในระยะที่หนึ่ง (ปี 2557-2561 ) ช่วยอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายแลน 2,388 ไร่ และโครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง อนุรักษ์ ฟื้นฟูและเพิ่มพื้นที่ป่าต้นน้ำที่จังหวัดลพบุรี ระยะที่หนึ่ง (ปี 2559-2563) จำนวน 5,971 ไร่

โครงการต่างๆของซีพีเอฟ ช่วยสร้างชุมชนต้นแบบที่ส่งเสริมให้คนให้ชุมชนตระหนักถึงความสำค้ญของการอยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืน เช่น ชุมชนตำบลบางหญ้าแพรก จังหวัดสมุทรสาคร เป็นชุมชนต้นแบบความยั่งยืนที่ซีพีเอฟต่อยอดการพัฒนาไปสู่การชุมชนท่องเที่ยวเชิงนิเวศ มีผลิตภัณฑ์ของชุมชนที่เป็นเอกลักษณ์ อาทิ เกลือสปา เกลือหอม และบาธบอมม์ เป็นสินค้าสร้างรายได้เสริมให้คนในชุมชนมีความอยู่ดีกินดี ซี่งมีการนำผลิตภัณฑ์ของชุมชนมาจำหน่ายในงานด้วย

ที่ผ่านมา ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืน และได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกกลุ่มดัชนีความยั่งยืนของดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices : DJSI ) ต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี โดยนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน ประกอบด้วย อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่ ตลอดจนร่วมพัฒนาคู่ค้าให้เดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน