Home Blog Page 361

‘เฉลิมชัย’ สั่งกรมชลประทาน เตรียมจัดการน้ำรับมือหน้าแล้งปี 64

0

ในแต่ละปี กรมชลประทาน หน่วยงานในสังกัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ปรับแผนการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และเกิดความสมดุลกับทุกภาคส่วน ปีนี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชลประทานทุกพื้นที่ จัดทำแผนบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมจัดเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ และรถบรรทุกน้ำ เคลื่อนขบวนเข้าช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยแล้ง ได้ทันที และกรมชลประทาน ยังได้จัดสรรงบประมาณ 5,662 ล้านบาท จัดจ้างแรงงานเกษตรกรในพื้นที่ชลประทานที่ไม่สามารถเพาะปลูกได้ จำนวน 94,000 คน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง

สำนักข่าวบิ๊กเกรียน มีรายละเอียด แผนงานการเตรียมความพร้อม รับมือภัยแล้ง ปี 2564 ของกรมชลประทาน เพื่อให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอตลอดแล้งนี้ ติดตามได้จากสกู้ปพิเศษ “กรมชลประทานเตรียมความพร้อมรับมือภัยแล้งปี 64”

บุญเติม เตือน ใช้แบงก์ปลอมที่ตู้บุญเติม ผิดกม. มีโทษหนักทั้งจำและปรับ

0

“บุญเติม” เตือนนำธนบัตรปลอม ใช้ที่ตู้บุญเติม ผิดกฎหมายอาญา มีโทษหนักทั้งจำและปรับ เผย”ตู้บุญเติม” มีซอฟท์แวร์สแกนและตรวจจับธนบัตรปลอมที่มีความแม่นยำสูง และบันทึกข้อมูลทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้น ทำให้สามารถติดตามเอาผิดได้ทุกกรณี

ณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ FSMART

นายณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ FSMART เปิดเผยถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้มีการจับกุมแก๊งปลอมธนบัตรที่ตระเวนนำธนบัตรปลอมไปทำธุรกรรม หรือใช้บริการผ่านตู้เติมเงินออนไลน์ต่าง ๆ ว่า บริษัทขอชี้แจงว่า “ตู้บุญเติม” ทุกเครื่อง มีระบบซอฟท์แวร์ในการสแกนและตรวจจับธนบัตรปลอมที่มีความแม่นยำสูง รวมทั้งทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นในตู้บุญเติม จะมีระบบบันทึกติดตามข้อมูล (tracking system) ไว้ทั้งหมดว่า ผู้ใดเป็นผู้ทำธุรกรรมต้นทาง และผู้ใดคือผู้รับเงินในบัญชีปลายทาง ซึ่งทำให้บริษัทสามารถติดตามระงับธุรกรรมที่ผิดปกติ-ผิดกฎหมายหรือธุรกรรมที่ไม่เหมาะสมได้ และสามารถติดตามดำเนินการกับผู้กระทำความผิดได้ทุกกรณี  

ทั้งนี้ ผู้กระทำความผิดจะถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหา “ความผิดฐานปลอม/แปลงเงินตรา และมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนบัตรปลอม” ต้องระวางโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิตและโทษปรับ

IRCP โชว์ผลดำเนินงานปี 63 กำไรพุ่ง 107.39 %

0
แดน เหตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IRCP

“IRCP” ตอกย้ำการเทิร์นอะราวด์ ผลการดำเนินงานงวดปี 63 พลิกกลับมามีกำไรเพิ่ม 107.39 % เดินหน้าปรับโครงสร้างทุน บอร์ดอนุมัติลดทุน-ลดพาร์ -เพิ่มทุน -ล้างขาดทุนสะสม หวังกลับมาจ่ายปันผลผู้ถือหุ้น ลุยประมูลงานใหม่ ขณะที่ “ประชา-แดน เหตระกูล” ลั่นพร้อมใส่เงินเพิ่มทุนเกินสิทธิ หากมีผู้ถือหุ้นใช้สิทธิไม่เต็มจำนวน มั่นใจเดินหน้าสร้างการเติบโตให้บริษัทอย่างมั่นคง มุ่งสู่ผู้ดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารครบวงจร   

นายแดน เหตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IRCP  เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ว่า  สามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ  7.5  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 107.39 % เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่ผลดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 101.45 ล้านบาท ขณะที่ผลดำเนินงานงวดไตรมาส 4 ปี 2563   มีกำไรสุทธิ 20.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 18.37 ล้านบาท  

“ บริษัทมีกำไรสุทธิติดต่อกัน 3 ไตรมาส จากไตรมาส 1 ปี 2563 ขาดทุนสุทธิ 34.60 ล้านบาท แต่ไตรมาส 2 กลับมามีกำไรสุทธิ 2.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,265% จากไตรมาส 1 และไตรมาส  3 มีกำไรสุทธิ 18.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 518% จากไตรมาส 2 สะท้อนให้เห็นถึงการกลับมาเทิร์นอะราวด์ อย่างชัดเจน”

สำหรับผลดำเนินงานที่ดีขึ้น มาจากบริษัทย่อยคือบริษัทไอทีกรีน หรือ ITG มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น  โดยมีรายได้ 486.51 ล้านบาท ควบคู่กับการควบคุมค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนที่ทำได้ดี โดยปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 942.26 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 952.59  ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายลดลง 11.22%  และมั่นใจว่าผลดำเนินงานจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจอุปกรณ์และโปรแกรม ระบบรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย ที่มีคำสั่งซื้อขนาดใหญ่ขึ้น และเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ดี  โดยมีมาร์จิ้น 15.43 %  เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน   ซึ่งอยู่ที่  15.40 % ซึ่งแนวโน้มของธุรกิจอุปกรณ์และโปรแกรมระบบรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย ยังเติบโตได้อีกมากตามธุรกรรมบนโลกออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนให้ปี 2564 มีรายได้เติบโตขึ้น คาดว่าปี 2564 จะมีรายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาท

และเพื่อให้บริษัทกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 18 ก.พ 2564  มีมติให้บริษัทปรับโครงสร้างทุนครั้งใหญ่ โดย

  1. อนุมัติให้ลดทุนจดทะเบียน โดยลดทุนส่วนที่ยังไม่ได้เรียกชำระจำนวน 66.23 ล้านหุ้น ส่งผลให้ทุนจดทะเบียนลดจาก 320.54 ล้านหุ้น ราคาตามมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท  เหลือ  254.30 ล้านหุ้น 
  2. มีมติให้ลดทุนด้วยการลดพาร์จาก 1 บาท เหลือ 0.50 บาท หรือลดไป 127.15 ล้านบาท ส่งผลให้ทุนจดทะเบียนลดจาก 254.30 ล้านบาท  เหลือ 127.15 ล้านบาท  โดยมีจำนวนหุ้นหลังลดทุนยังคงอยู่ที่ 254.30 ล้านหุ้น  
  3. บอร์ดมีมติให้นำส่วนเกินมูลค่าหุ้นที่มีอยู่กว่า 117.15 ล้านบาท และสำรองตามกฎหมาย 25.43 ล้านบาท มาล้างขาดทุนสะสม  ซึ่ง ณ สิ้นปี 2563 บริษัทมีผลขาดทุนสะสมอยู่ 297.20 ล้านบาท ภายหลังดำเนินการจะทำให้มีขาดทุนสะสมเหลือเพียง 27.47 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะล้างขาดทุนสะสมได้หมด เพื่อกลับมาจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เร็ว ๆ นี้   
  4. คณะกรรมการมีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 254.30 ล้านหุ้น เป็น 435.55 ล้านหุ้น โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 181.25 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ในสัดส่วน 1.4 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุนใหม่ เสนอขายในราคาหุ้นละ 0.80 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนจากการขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งสิ้น 145 ล้านบาท โดยจะเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 เมษายน 2564  

 “ขอย้ำกับผู้ถือหุ้นว่าไม่ต้องกังวลกับการเพิ่มทุนของบริษัท เพราะการรบกวนผู้ถือหุ้นครั้งนี้ ก็เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการเงินของบริษัท และเตรียมเงินทุนให้พร้อมในการขยายธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรับงานใหม่ ๆเพิ่มขึ้น สร้างการเติบโตอย่างมั่นคง รวมทั้งการกลับมาจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เร็วที่สุด” นายแดน กล่าว

นอกจากนี้ นายประชา เหตระกูล และตนเอง ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท  ได้ทำหนังสือแจ้งต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทว่า มีความประสงค์ที่จะใช้สิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามสัดส่วนเต็มจำนวน และพร้อมจองซื้อหุ้นส่วนเกินสิทธิอีก 155.78 ล้านหุ้น หากมีผู้ถือหุ้นอื่นใช้สิทธิไม่เต็มจำนวน ซึ่งอาจส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของ นายประชา เหตระกูล และตนเอง เพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน  49.82  % ซึ่งอาจเป็นผลทำให้ นายประชา เหตระกูล และตนเอง ถือหุ้นก้าวข้ามจุดที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทที่ 25 % จึงจะมีการขอผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด  (Tender Offer) ต่อ สำนักงาน ก.ล.ต.

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะขายหุ้นเพิ่มทุนได้ช่วงเดือน ก.ค. 2564 ส่วนเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน นอกจากทำให้โครงสร้างทุนแข็งแกร่งและสัดส่วนหนี้สินต่อทุนมีความเหมาะสมมากขึ้นแล้ว บริษัทจะนำไปขยายกิจการ รองรับการประมูลงานในโครงการ ต่าง ๆ ของภาครัฐเพิ่มมากขึ้น โดยปีนี้มีแผนเข้าร่วมประมูลงานรัฐมากกว่า 20 โครงการ เพื่อเพิ่มมูลค่างานในมือให้เพิ่มสูงขึ้นสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง  ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายว่า ปี 2564 รายได้จะโตขึ้นจากปี 2563  เกินกว่า 50 % โดยสิ้นปี 2563 บริษัทมีงานในมือที่เตรียมทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2564 ประมาณ  350 ล้านบาท

เอไอเอส ยันเครือข่ายรองรับลงทะเบียน “ม33 เรารักกัน” ได้ 100%

0

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร สายงานการตลาด กลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า วันนี้ภาครัฐได้เริ่มเปิดให้ประชาชน ผู้ประกันตนมาตรา 33   ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19  ลงทะเบียนรับสิทธิ์เงินช่วยเหลือค่าครองชีพ 4,000 บาท ผ่านโครงการ “ม.33 เรารักกัน” โดยเปิดให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์โครงการ ตั้งแต่ช่วงเวลา 06.00 น. ที่ผ่านมา  ซึ่งในภาพรวม พบว่าเครือข่ายของเอไอเอส ทั้งในส่วนของไร้สายและเน็ตบ้านได้เป็นช่องทางให้ประชาชนเชื่อมต่อการลงทะเบียนและส่งต่อการยืนยันสิทธิ์ได้ 100% อย่างราบรื่น ไม่ติดขัด เช่นเดียวกับการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือทั้งหมดของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามพบว่า มีมิจฉาชีพเปิดเว็บไซต์ หรือ แอพพลิเคชั่น ปลอม โดยใช้ชื่อเดียวกับโครงการช่วยเหลือของรัฐบาล เพื่อหลอกลวงให้ประชาชนกรอกข้อมูลส่วนตัว และนำไปใช้ในทางทุจริตที่จะส่งผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูลได้ในอนาคต  ดังนั้นจึงขอแจ้งเตือนและแนะนำประชาชนให้ตรวจสอบเว็บไซต์โครงการของรัฐบาลก่อนลงทะเบียนให้ดีทุกครั้ง ดังเช่นกรณีโครงการล่าสุด ม33 เรารักกัน  ที่ยังคงมีช่วงเวลาเปิดให้ลงทะเบียนถึงวันที่ 7 มีนาคม 2564 เวลา 23.00 น. หรือ หากไม่แน่ใจ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง

ซีพีเอฟ ผ่านการรับรองม.สุขอนามัยของ IPHA ตอกย้ำความปลอดภัยจากโควิด-19

0

นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการธุรกิจสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดในด้านอาหารปลอดภัย ตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 ที่บริษัทได้ยกระดับความปลอดภัยขั้นสูงสุด ป้องกันบุคลากร อาคารสถานที่ ตลอดจนกระบวนการผลิตทั้งหมด เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค และเมื่อสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันจัดทำ มาตรฐาน IPHA ขึ้นมา ซีพีเอฟโดย โรงงานอาหารสัตว์บก โรงงานแปรรูปอาหาร และโรงงานอาหารสำเร็จรูป จำนวน 9 โรงงาน จึงเป็นสถานประกอบการกลุ่มแรกที่ได้รับการรับรองดังกล่าว

สิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการธุรกิจสัตว์บก ซีพีเอฟ

“CPF มีการบริหารจัดการป้องกันโรคระบาดอย่างเข้มงวด มีการจัดตั้งทีมบริหารจัดการโรคระบาดทั้งในคนและในสัตว์ ภายใต้ศูนย์อำนวยการป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 ของบริษัท โดยมีการกำหนดมาตรการต่างๆ ที่สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคในอาหารปลอดภัยของบริษัทตั้งแต่ต้นทางจึงถึงปลายทาง ซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดกระบวนการ การได้รับการรับรอง IPHA ครั้งนี้จึงช่วยตอกย้ำความมั่นใจแก่ผู้บริโภคได้อีกทางหนึ่ง” นายสิริพงศ์กล่าว

มาตรฐาน IPHA เป็นมาตรฐานใหม่ที่ 3 หน่วยงานประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันวางกรอบการพิจารณา เพื่อมอบให้แก่สถานประกอบการที่มีการบริหารจัดการสถานที่ กระบวนการผลิต และบุคลากร ตามมาตรการร่วม และมาตรฐานด้านสุขอนามัย ที่มีการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการจัดการเพื่อป้องกัน COVID-19 อย่างชัดเจน

สำหรับซีพีเอฟ ได้วางมาตรการการทำงานด้านป้องกันโรคระบาดดังกล่าวใน 7 หมวดหมู่ ได้แก่ ด้านสาธารณสุข ด้านมาตรการป้องกัน ด้านการจัดซื้อ ด้านการสื่อสารพนักงาน ด้านการสื่อสารสาธารณะ ด้านประสานงานภาครัฐ และด้านการเยียวยา โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการป้องกันโรคให้ “พนักงาน” ด้วยตระหนักดีว่าเมื่อพนักงานปลอดภัยก็จะสามารถผลิตอาหารปลอดภัยเพื่อผู้บริโภคทุกคนได้อย่างราบรื่น

โดยกำหนดมาตรการสำคัญ เพื่อให้การบริหารจัดการธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุม 3 ประเด็นคือ 1.) ความมั่นคงทางด้านอาหาร ที่บริษัทต้องสามารถเดินสายพานการผลิตอาหารโดยไม่สะดุด เพื่อป้องกันอาหารขาดแคลน 2.) ระบบซัพพลายเชน และโลจิสติกส์ ที่มีการประสานความร่วมมือกับภาครัฐในการจัดการจราจรหากเกิดการล็อคดาวน์ โดยการขนส่งจะต้องสามารถดำเนินการต่อไปได้ ทั้งการขนส่งวัตถุดิบเข้าโรงงานผลิตอาหาร และการขนส่งจนถึงมือผู้บริโภค 3.) มาตรการป้องกันโรคในแต่ละขั้นตอน มีการออกประกาศเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติตัวของพนักงานทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนเตรียมความพร้อมด้านจัดซื้อแอลกอฮอล์และหน้ากาก รวมถึงการสั่งการพนักงานบางส่วนให้ Work From Home และกำหนดให้พนักงานที่เดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยงให้กักตัวเอง 14 วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา เป็นต้น

จากการระบาดรอบแรกจนถึงปัจจุบัน ซีพีเอฟยังคงทำหน้าที่ผลิตอาหารปลอดภัยเพื่อผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังแบ่งปันมาตรการและเทคนิคบริหารจัดการสถานการณ์ไปยัง บริษัทคู่ค้า เกษตรกร และผู้สนใจ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยที่จะร่วมกันก้าวข้ามสถานการณ์ไวรัสนี้ไปด้วยกัน

เมืองไทยประกันชีวิต ให้ลูกค้าตรวจสอบกรมธรรม์ผ่านแอปฯ MTL Click

0

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า MTL อำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามากขึ้นและใส่ใจ ห่วงใยลูกค้าในช่วงโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลกรมธรรม์ด้วยตัวเองผ่านแอปพลิเคชัน MTL Click เช่น ตรวจสอบรายละเอียดกรมธรรม์ ผลประโยชน์และความคุ้มครอง ข้อมูลการชำระเบี้ยประกันภัย ตรวจสอบสถานะ การเคลม ตรวจสอบและเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัว เปลี่ยนแปลงชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์และอีเมล รวมถึงการทำธุรกรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการชำระเบี้ยประกันภัยออนไลน์ การยื่นเคลมออนไลน์ การดาวน์โหลดหนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกันภัย โดยสามารถสอบถามข้อมูลบริการด้านกรมธรรม์กับเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญผ่านบริการ Video Call บนแอปพลิเคชันได้อีกด้วย พร้อมกันนี้ลูกค้ายังสามารถทำธุรกรรมได้แบบเรียลไทม์ผ่านบริการ Video Call อาทิ การซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ การชำระเบี้ยประกันภัยออนไลน์ บริการกู้ตามสิทธิกรมธรรม์ บริการต่ออายุกรมธรรม์ การสมัครรับเงินผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ผ่านบัญชีธนาคารอัตโนมัติ และบริการอื่น ๆ เหมือนยกศูนย์บริการลูกค้าของเมืองไทยประกันชีวิตมาไว้บนมือถือ

“การดำเนินธุรกิจในปีนี้แม้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย แต่เรายังคงมุ่งมั่นที่จะคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการให้ครบในทุกด้าน เพื่อตอกย้ำนโยบาย MTL Trusted Lifetime Partner สามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในทุกเพศทุกวัย พร้อมเชื่อมต่อกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแบบเฉพาะตัว มุ่งมั่นเติบโตและก้าวไปอย่างมั่นคงเคียงข้างไปกับลูกค้า”

ทั้งนี้ ลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน MTL Click ได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android

นายสาระ กล่าวอีกว่า บริษัท มุ่งมั่นในการเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจพร้อมดูแลและเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิต ภายใต้แนวคิด “MTL Trusted Lifetime Partner” ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ ช่องทางการขายที่หลากหลาย ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุก Journey ในแบบที่มีความเฉพาะตัวของบุคคล (Personalization) มากยิ่งขึ้น ผ่านแพลตฟอร์ม Digital และ Non-digital ที่สามารถเข้าถึงความต้องการในทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมยกระดับองค์กรสู่ความเป็นสากล และโดดเด่นด้วยภาพลักษณ์องค์กรที่มีความทันสมัย เป็นมืออาชีพ เดินหน้าเติมเต็มการให้บริการที่เหนือระดับ (Beyond Insurance Service) ด้วยรูปแบบการบริการที่หลากหลาย

ทิพยประกันภัย มอบชุด PPE และอุปกรณ์การแพทย์ ให้บุคลากรแพทย์รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ รับมือโควิด19

0

บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยคุณบุญจิรา  โสตถิทัต   ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทั่วไป, คุณชณิตพิณณ์ แก้วสวรรค์  ผู้จัดการส่วนสื่อสารการตลาด  ฝ่ายสื่อสารองค์กรและ CSR  ทิพยประกันภัย  เป็นตัวแทน มอบชุด PPE (Personal Protective Equipment) พร้อมด้วยชุดอุปกรณ์ป้องกันเพื่อความปลอดภัยส่วนบุคคล  ได้แก่ หน้ากากอนามัย ถุงมือยาง ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ  เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการติดเชื้อจากการดูแลรักษาผู้ป่วย  โดยมี รศ.นพ.พฤหัส  ต่ออุดม  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ  และ  คุณสุกัญญา  คุณกิตติ  หัวหน้างานการพยาบาลคัดกรองและรับผู้ป่วยใน   เป็นผู้รับมอบ ณ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ

แฟลช เอ็กซ์เพรส ผนึก บ.โทรคมนาคมแห่งชาติ เปิด “แฟลช เอ็กซ์เพรส Drop Off” ทั่วเหนือ-อีสาน

0

นางจรัสพักตร์ การปลื้มจิตต์ พาร์ทเนอร์กลุ่มธุรกิจ แฟลช ผู้ให้บริการ E – commerce และขนส่งพัสดุสัญชาติไทยแบบครบวงจร เปิดเผยว่า แฟลช เอ็กซ์เพรส ร่วมกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เปิดตัว “แฟลช เอ็กซ์เพรส Drop off” หรือจุดให้บริการรับส่งพัสดุด่วนทั่วประเทศ “ภายใต้โครงการ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) & Flash Express ส่งพัสดุด่วนทั่วไทย” ณ ศูนย์บริการลูกค้าบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) โดยเปิดศูนย์บริการรวมจำนวนกว่า 126 แห่งใน 35 จังหวัด แบ่งเป็นในเขตพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด จำนวน 75 แห่ง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18 จังหวัด จำนวน 51 แห่ง พร้อมยังตั้งเป้าขยายจุดบริการไปสู่ลูกค้าทั่วทุกภูมิภาคต่อไปในอนาคตอันใกล้

นางจรัสพักตร์ การปลื้มจิตต์ พาร์ทเนอร์กลุ่มธุรกิจ แฟลช

ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มโอกาส และความแข็งแกร่งในเรื่องจุดให้บริการรับ-ส่งพัสดุของแฟลช เอ็กซ์เพรส รวมทั่งเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการอย่างสูงสุด จากการมีสาขามากขึ้น อันจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน และลูกค้าผู้ใช้บริการ รวมไปถึงรองรับการเติบโตของตลาด e-Commerce ในประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดขนส่งพัสดุอีกด้วย โดยปัจจุบัน แฟลช เอ็กซ์เพรส นับเป็นผู้เล่น TOP 3 ของตลาด ซึ่งมียอดจัดส่งพัสดุเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 1.3 ล้านชิ้น พร้อมจุดให้บริการรับ-ส่งพัสดุทั่วประเทศกว่า 10,000 แห่ง สำหรับในส่วนรถขนส่งพัสดุประเภทต่างๆ แฟลชมีรถที่วิ่งอยู่ทั่วประเทศกว่า 15,000 คัน บริษัทฯ มีพนักงานมากกว่า 27,000 คน

ในปีนี้ แฟลชคาดการณ์ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยจะเติบโตเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยจากพฤติกรรมของประชาชนที่ยังเน้นซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆมากขึ้น เนื่องจากความกังวลสถานการณ์โควิด-19 และการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ “เป๋าตังค์” ซึ่งภาครัฐสนับสนุนให้คนไทยใช้งานผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการคนละครึ่ง เราชนะ และโครงการต่างๆ ด้วยเหตุนี้ผู้ให้บริการภาคขนส่งจึงต้องตื่นตัว และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้า หรือผู้ใช้บริการให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีอยู่เสมอ โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการใช้บริการขนส่งได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม

ด้าน นายเชาว์ พันธ์รุ่งจิตติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและปฏิบัติการลูกค้า 3 บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือNT กล่าวว่า ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจผ่านออนไลน์ หรือตลาด E – commerce มีบทบาทสำคัญในการค้าขายสินค้าทุกประเภท เป็นผลให้ธุรกิจด้านการขนส่งมีการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย โดยในส่วนของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์ นวัตกรรม และบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองการให้บริการที่หลากหลาย สะดวก รวดเร็ว ให้กับคนไทยในยุคดิจิทัล โดยได้เล็งเห็นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการช่วยเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจด้านโทรคมนาคม และด้านโลจิสติกส์เข้าด้วยกัน พร้อมทั้งจะช่วยเพิ่มทักษะ และขีดความสามารถให้กับบุคลากรของทั้งสององค์กร เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น อันส่งผลให้ลูกค้าของทั้ง 2 ธุรกิจได้รับความสะดวกในการใช้บริการมากยิ่งขึ้นด้วย จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด เปิด “แฟลช เอ็กซ์เพรส Drop off” หรือจุดให้บริการรับส่งพัสดุด่วนทั่วประเทศ ภายใต้โครงการบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) & Flash Express ส่งพัสดุด่วนทั่วไทย

นายเชาว์ พันธ์รุ่งจิตติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)

“แฟลช เอ็กซ์เพรส Drop off จะเป็นจุดให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนทั่วไทยที่ สะดวก รวดเร็ว ในราคาประหยัด เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน และลูกค้าที่ใช้บริการ ทั้งยังจะช่วยรองรับการค้าขายในสังคมออนไลน์ (Social Commerce) ที่มีอยู่อย่างแพร่หลายในยุคดิจิทัลที่การส่งของจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน โดยเฟสแรกจะเปิดให้บริการครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 126 แห่ง ครอบคลุม 35 จังหวัด”


เอไอเอส ยืนหนึ่งครองคลื่น 26 GHz มากที่สุด ผนึก SNC นำร่องในพื้นที่ EEC

0

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (เอดับบลิวเอ็น) ผู้ได้รับจัดสรรคลื่นความถี่ย่าน 26 GHz  ได้ชำระค่าคลื่นความถี่ย่าน 26 GHz เป็นเงินจำนวน 5,719,150,000.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เอไอเอสเป็นเพียงรายเดียวที่มีคลื่น 26 GHz ย่านความถี่สูง ในปริมาณแบนด์วิธมากที่สุดถึง 1200 MHz และพร้อมแล้วในการเปิดให้บริการทันที โดยคุณสมบัติของคลื่น 26 GHz ถือได้ว่าตอบโจทย์การดำเนินงานของภาคอุตสาหกรรมเป็นอย่างยิ่ง อาทิ

  •  เนื่องจากเป็นย่านความถี่สูงและมีปริมาณแบนด์วิธมากที่สุด มีความสามารถในการรองรับการใช้งานได้มหาศาล จึงทำให้ลงเครือข่ายได้อย่างเฉพาะเจาะจงในพื้นที่ของแต่ละโรงงาน อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องการกวนกันของคลื่นสัญญาณ
  • สามารถออกแบบเครือข่ายได้อย่างสอดรับกับลักษณะธุรกิจที่แตกต่างกันของแต่ละโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • มีความหน่วงที่ต่ำมาก สามารถตอบสนองการทำงานของอุปกรณ์ในสายพานการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • มีระดับความเร็วของการส่ง Data ไร้สายเสมือนวิ่งอยู่บนสายไฟเบอร์
  • ติดตั้งสถานีฐานได้ง่ายดายและรวดเร็ว เพราะอุปกรณ์มีขนาดเล็ก

ทั้งนี้ ส่งผลให้ เอไอเอส ถือครองคลื่นความถี่ 5G ครบทั้ง 3 ย่าน ได้แก่ คลื่น 700 MHz, 2600 MHz และ 26 GHz หากรวมเฉพาะคลื่นความถี่ที่จะนำมาให้บริการ 5G ทั้งหมดอยู่ที่ 1330* MHz และเมื่อรวมกับคลื่นความถี่เดิมที่มีจำนวนมากที่สุดอยู่แล้ว ส่งผลให้เอไอเอสเป็นผู้นำอันดับ 1 ที่มีคลื่นความถี่ในการให้บริการ 3G,4G และ 5G มากที่สุดในอุตสาหกรรม รวม 1420 MHz ที่จะสามารถนำไปพัฒนาเพื่อสร้างประโยชน์แก่คนไทยและภาคอุตสาหกรรมในระยะยาวต่อไป

และล่าสุด เอไอเอสได้ร่วมกับ เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ (SNC) ผู้ผลิตกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำของประเทศในพื้นที่ EEC นำเทคโนโลยี 5G มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตภายในโรงงาน โดยที่ผ่านมาได้ร่วมทดลองการใช้งานบนคลื่นความถี่ 26 GHz แล้วและประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง พร้อมเป็นต้นแบบของการยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยสู่การเป็น Digital Industrial  ต่อไป

ดร.สมชัย ไทยสงวนวรกุล ประธาน EEC Industrial Forum กล่าวถึงการผลักดันเทคโนโลยี 5G ในพื้นที่ EEC ว่า “จุดมุ่งหวังหนึ่งของอีอีซี อินดัสเทรียล ฟอรั่ม เราต้องการพัฒนา Recourses ทั้งทรัพยากรบุคคล และทรัพยากรด้านดิจิทัล โดยมีกลุ่มผู้นำจากภาคอุตสาหกรรมและภาคการศึกษาร่วมกันเชื่อมประสานพัฒนาความก้าวหน้าที่เป็นจริง สัมผัสจับต้องได้ ผมรู้สึกดีใจที่ในวันนี้ การพัฒนาเทคโนโลยี 5G เราไม่แพ้ชาติใดในโลก ไม่เพียงเท่านี้ ยังเป็นแกนหลักโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่จำเป็นสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุดใหม่ ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยเทคโนโลยี 5G จะถูกเชื่อมโยงเข้ามาในบทบาทของคลัสเตอร์อุตสาหกรรมดิจิทัล เพื่อการตอบสนองแบบ Real Time รองรับภาคการผลิต การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม เช่น ยานยนต์อัตโนมัติ (Autonomous Vehicle) ระบบโรงงานอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (High Precision Automatic Industry) การให้บริการด้าน Smart Logistic, IoT และนวัตกรรมต่างๆ การบริหารจัดการคมนาคมต่างๆ ทั้งทางเรือ หรือสนามบิน เป็นต้น เพื่อผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและปรับฐานอุตสาหกรรมเดิมในพื้นที่่ ผ่านการวิจัยและพัฒนาร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย และชุมชนในพื้นที่ ซึ่งจะทำให้เขตพื้นที่ EEC มีศักยภาพสูงด้านการลงทุน ทั้งในไทยและนักลงทุนจากทั่วโลก”

นายสมชาย งามกิจเจริญลาภ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสเอ็นซี ฟอร์เมอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ ในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เรามุ่งมั่นในการปรับระบบการผลิตให้มีความยืดหยุ่นทันต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะปี 2563 ที่ภาคอุตสาหกรรมไทยต่างได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยี จึงมีส่วนสำคัญอย่างมากในการเชื่อมต่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ โดยเอไอเอส ถือเป็นพาร์ทเนอร์ชั้นนำของประเทศที่มีความพร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล โดยเฉพาะเทคโนโลยี 5G ที่เข้ามาช่วยตอบโจทย์ภาคการผลิตได้อย่างลงตัว โดยปัจจุบัน ได้มีการประยุกต์ใช้ใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. 5G AGV เป็นการใช้ 5G ควบคุม และสั่งการรถ AGV (Automated Guided Vehicles) ที่ใช้สำหรับการขนส่งชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับสายการผลิตภายในโรงงาน และระหว่างโรงงาน เพื่อให้การขนส่งชิ้นส่วนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพ เพิ่มผลผลิตให้โรงงาน 2. 5G Smart Robot เป็นการใช้ 5G ควบคุม สั่งการ ในส่วนของ แขนกลหุ่นยนต์ (Robot) ที่ใช้งานในส่วนสายการผลิตที่เกี่ยวข้องเช่น Press, Brazing, CNC, Heat& Cool และ Assembly line เป็นต้น โดยเทคโนโลยี 5G จะนำมาช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากคน (Human error) และช่วยสร้างความปลอดภัย, ลดการเกิดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนได้ 3. 5G Active Dashboard การประยุกต์ใช้งาน 5G ในการเชื่อมต่อระหว่าง Server และ Machine เพื่อให้สามารถ Monitoring สายการผลิตต่างๆ นำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้โรงงานเป็น Smart factory อย่างแท้จริง”

CPF หนุนพนักงานร่วมขับเคลื่อน“คอนเน็กซ์ อีดี” ยกระดับการศึกษาของไทย สร้างเด็กดีและเก่ง

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ มุ่งมั่นร่วมสร้างอนาคตทางการศึกษาของเด็กไทยผ่านโครงการ CONNEXT ED ส่งมอบโอกาสสู่น้องๆ ในโรงเรียนทั่วประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างเด็กดีและเด็กเก่ง พร้อมส่งเสริมพนักงานจิตอาสาผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) ขององค์กร ทำงานร่วมกับผู้อำนวยการโรงเรียนและคุณครู ยกระดับคุณภาพการศึกษาของไทยอย่างยั่งยืน

นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ด้านทรัพยากรบุคคล ซีพีเอฟ ในฐานะประธานคณะบริหารโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ของซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในองค์กรนำร่องก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์ อีดี ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาเป็นพื้นฐานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่มาตรฐานสากล สร้างเด็กเก่งและเด็กดี และสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs)

“ในฐานะผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร บริษัทฯ นำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่นักเรียนและคุณครู โรงเรียนในโครงการคอนเน็กซ์ อีดี เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ การปฏิบัติจริง และเกิดทักษะ ผ่านการดำเนินกิจกรรมและโครงการต่าง อาทิ ด้านเกษตรกรรม การส่งเสริมอาชีพ โดยให้เด็กนักเรียนเป็นศูนย์กลาง ตามเป้าหมายการทำงาน คือ การสร้างเด็กดีและเด็กเก่ง การมีส่วนร่วมกับชุมชน และเป็นโครงการที่มีความยั่งยืน” ประธานคณะบริหารโครงการสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี ของ ซีพีเอฟ กล่าว

ตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเป็นปีแรกที่ซีพีเอฟร่วมสนับสนุนโรงเรียนคอนเน็กซ์ อีดี จนถึงปัจจุบัน มีโรงเรียนที่อยู่ภายใต้การดูแลและสนับสนุนของซีพีเอฟ 296 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และ สระบุรี พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความเป็นผู้นำของพนักงานจิตอาสาผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner :SP) ขององค์กร เพื่อทำงานร่วมกับผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครู วางแผนพัฒนาโรงเรียนและการจัดการศึกษาอย่างยั่งยืน ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและตอบโจทย์ความต้องการของท้องถิ่น โดยในปี 2564 ซีพีเอฟ ได้เปิดรับสมัคร SP เพิ่มเติม เพื่อร่วมติดตามงานและดูแลโรงเรียนคอนเน็กซ์ อีดี ที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทฯ

นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ได้เปิดตัวแพลทฟอร์ม CONNEXT ED Crowdfunding ซึ่งเป็นระบบบริจาคออนไลน์เพื่อระดมทุนด้านการศึกษาให้กับโรงเรียนที่ต้องการงบประมาณสนับสนุนการจัดกิจกรรมและโครงการต่างๆ โดยระบบได้รวบรวมโครงการตามแผนพัฒนาคุณภาพโรงเรียนที่ผ่านการคัดกรองจากคณะทำงานส่วนกลาง เพื่อให้บุคคลทั่วไปมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการศึกษา สามารถบริจาคโดยตรงให้กับโครงการพัฒนาการศึกษาด้านต่างๆของโรงเรียนทั่วประเทศผ่านเว็บไซต์ connexted.org และผู้บริจาคยังนำใบรับเงินบริจาคไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าอีกด้วย

ในส่วนของซีพีเอฟคัดเลือกโรงเรียนนำร่อง 3 แห่ง เข้าระบบ CONNEXT ED Crowdfunding คือ โรงเรียนนครราชสีมาปัญญานุกูล อ. เมือง จ. นครราชสีมา ดำเนินโครงการเติมพลังสานฝันสู่อาชีพเพื่อการมีงานทำ โรงเรียนหนองนกเขียนสามัคคี อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ดำเนินโครงการห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ในฝัน เพื่อให้มีอุปกรณ์การเรียนที่ทันสมัยและเพียงพอ เด็กๆ ได้รับโอกาสการเรียนรู้ด้วยการทดลองและปฏิบัติจริง และโรงเรียนบ้านหนองม่วงหวาน อ.ห้วยแถลง จ. นครราชสีมา ดำเนินโครงการผลิตภัณฑ์หม่อนไหมหนองม่วงหวานสู่ตลาดโลก

บริษัทฯ ยังได้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากความเชี่ยวชาญในสายธุรกิจต่างๆ เช่น โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน สู่การเรียนรู้และปฏิบัติจริงในระดับโรงเรียน ส่งเสริมให้เด็กมีความรู้นอกห้องเรียน ขณะเดียวกันสามารถเข้าถึงโปรตีนคุณภาพดีจากไข่ไก่อย่างเพียงพอต่อการเติบโตทั้งทางร่างกายและสติปัญญา มีทักษะวิชาชีพติดตัว ปลูกฝังความรับผิดชอบและการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ นำมาถอดโมเดลเพื่อเป็นต้นแบบให้กับโรงเรียนอื่นๆ ทั่วประเทศที่สนใจนำไปใช้ได้

ซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในองค์กรที่ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่าง 3 ภาคส่วน คือ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของไทยอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันมีโรงเรียนคอนเน็กซ์ อีดี ทั่วประเทศ 5,567 แห่ง