Home Blog Page 99

ตลาดหลักทรัพย์ฯ-CMDF เปิดแคมเปญ Money Syndromes ให้คนรุ่นใหม่รู้ทันโรคทรัพย์วาย เสริมภูมิการลงทุน

0

กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญ  “Money Syndromes รู้ทันโรคทรัพย์วาย เสริมภูมิการลงทุน” รณรงค์แนวคิดวางแผนการเงิน ปลูกฝังมุมมองให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ เรื่องการลงทุนว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว ควรเริ่มตั้งแต่อายุน้อย โดยแคมเปญมุ่งเน้นการทำความเข้าใจเรื่องการเตรียมความพร้อมด้านการเงิน และการทำความเข้าใจเรื่องการลงทุนในตลาดทุนเพื่อต่อยอดเงินออม ผ่านแคมเปญการตลาดครบวงจร

ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนการเงินและการลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาได้ร่วมกับกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) และหน่วยงานพันธมิตรภายใต้โครงการ “ร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน” รณรงค์ให้ความรู้ประชาชนป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพจากการหลอกลงทุน และในวาระที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 ในปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้ร่วมกับ CMDF จัดโครงการส่งเสริมความรู้การลงทุนแก่ประชาชนในวงกว้าง ผ่านแคมเปญ “Money Syndromes” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและให้มุมมองว่าการลงทุนไม่ใช่เรื่องไกลตัวและควรเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแต่ละคนในอนาคต โดยแคมเปญมุ่งเน้นการสื่อสารไปยังคนรุ่นใหม่ Generation Y ที่เป็นวัยทำงานช่วงต้น และ Generation Z ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีสัดส่วนสูงถึงประมาณร้อยละ 80 ของกลุ่มผู้ลงทุนใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ

นายจักรชัย บุญยะวัตร ผู้จัดการ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) เปิดเผยว่า กองทุน CMDF มีความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดทุน การลงทุน และการพัฒนาตลาดทุน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นพันธกิจสำคัญของ CMDF จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการดำเนินโครงการส่งเสริมความรู้การลงทุนภายใต้แนวคิด “เรื่องต้องรู้ก่อนลงทุน” ผ่านแคมเปญ “Money Syndromes รู้ทันโรคทรัพย์วาย เสริมภูมิการลงทุน” ครอบคลุมการสื่อสารที่ครบวงจร เน้นช่องทางและวิธีการสื่อสารที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ สอดรับกับไลฟ์สไตล์ อาทิ การใช้สื่อดนตรีหรือการ์ตูนในการถ่ายทอดเรื่องราวผสานองค์ความรู้ เชื่อว่าจะช่วยเปลี่ยนมุมมองการลงทุนจากเรื่องที่ซับซ้อนสู่ความเข้าใจที่ถูกต้อง สร้างกรอบความคิดในการเริ่มวางแผนการเงิน และเตรียมความพร้อมการลงทุนเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนแก่คนรุ่นใหม่

โดยองค์กรหรือหน่วยงานที่สนใจสามารถร่วมรณรงค์เผยแพร่ได้ และสามารถติดตามข้อมูลของแคมเปญได้ที่ www.setinvestnow.com/money-syndrome  

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าสร้างครูกระบวนกร ส่งต่อความรู้การลงทุนสู่โรงเรียน

0
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มุ่งมั่นส่งเสริม financial literacy เยาวชนไทย จัดโครงการ “INVESTORY Investment Learning Design Bootcamp” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สนับสนุนให้ครูระดับมัธยมศึกษาออกแบบโมเดลการเรียนรู้การเงินการลงทุน เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียนในรูปแบบ active learning หวังต่อยอดเป็นหลักสูตรการลงทุนสำหรับนักเรียนมัธยมให้แก่ระบบการศึกษาของประเทศ โดยที่ผ่านมาสร้างครูกระบวนกรแล้วใน 66 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งเสริมความรู้ด้านการเงินและการลงทุน หรือ financial literacy ให้แก่คนไทยมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน เพราะตระหนักดีว่าองค์ความรู้ที่ถูกต้องจะช่วยสร้างทักษะในการบริหารจัดการเงินซึ่งเยาวชนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ พร้อมเล็งเห็นว่าผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังและถ่ายทอดความรู้ดังกล่าวก็คือครูผู้สอน เนื่องจากมีความใกล้ชิด รู้จักและเข้าใจนักเรียนของตนเป็นอย่างดี ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงให้พื้นที่เรียนรู้แก่ครูในการนำองค์ความรู้จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปออกแบบการเรียนการสอนด้านการลงทุนให้เหมาะสมสำหรับนักเรียนในแต่ละโรงเรียนต่อไป

ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ

“โครงการ INVESTORY Investment Learning Design Bootcamp เน้นการสนับสนุนและเตรียมความพร้อมแก่ครูระดับมัธยม เนื่องจากพบว่านักเรียนมัธยมเริ่มมีความสนใจใฝ่รู้เรื่องการลงทุน การปูพื้นฐานตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มจึงเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำหน้าที่เป็นโค้ชของครู ให้องค์ความรู้ เครื่องมือ และสื่อความรู้ เพื่อให้ครูทำหน้าที่เป็นครูกระบวนกร สร้างสรรค์กระบวนการเรียนรู้แบบ active learning และพัฒนาสื่อการสอนที่ตรงกับความต้องการของนักเรียนและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละห้องเรียน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาโครงการนี้ได้สร้างครูกระบวนกรสอนการลงทุนแล้วใน 66 สถาบันการศึกษา จาก 24 จังหวัดทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ขยายผลสู่นักเรียนรวม 11,422 คน ปัจจุบันมีห้องเรียนลงทุนตัวอย่างแล้ว 19 ห้องเรียน พร้อมกันนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะพัฒนาชุดความรู้การลงทุนสำหรับนักเรียนมัธยมที่ครูสามารถนำไปใช้ต่อได้โดยสะดวก คาดหวังว่าความรู้การลงทุนจะเข้าสู่ระบบการศึกษาได้กว้างขวางยิ่งขึ้น” นายภากรกล่าว

กิจกรรม “Show & Share” ในโครงการ INVESTORY Investment Learning Design Bootcamp ปีนี้ เปิดเวทีให้ครูนำกิจกรรมและกระบวนการสอนที่ได้พัฒนาขึ้นและได้ทดลองสอนในห้องเรียนจริงแล้ว มาเผยแพร่เป็นโมเดลการเรียนรู้และแบ่งปันให้แก่ครูท่านอื่น ๆ รวมถึงสาธารณชน และยังมีครูกระบวนกรสอนการลงทุน 3 คน จาก 2 โรงเรียนได้นำประสบการณ์มาแบ่งปันด้วย

นางสาวกมลชนก สกนธวัฒน์ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม เจ้าของผลงาน “ห้องเรียนพารวย” กล่าวว่า การได้เข้าร่วมโครงการในรุ่น 1 ทำให้เข้าใจชัดเจนขึ้นในประเด็นการลงทุนที่เคยเข้าใจผิด มีความมั่นใจมากขึ้นที่จะสอนการลงทุนในห้องเรียน รวมทั้งได้รู้จักพี่ ๆ เพื่อน ๆ ทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทีมงานของ BlackBox และเพื่อนครูต่างโรงเรียน ทำให้มีเครือข่ายที่ดีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไอเดียการสอน ทีมงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัท BlackBox คอยให้คำปรึกษา ให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการสอนเรื่องการลงทุน แม้ว่าจะจบ

การอบรมในรุ่นที่ 1 ไปแล้ว ก็ยังสามารถมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับรุ่นอื่น ๆ ได้เสมอ เรียกได้ว่าอบรมจบแต่ความเป็นกลุ่ม Bootcamp ไม่มีวันจบ

นายรัตนชาติ สาระโป โรงเรียนบ้านแม่งอนขี้เหล็ก อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เจ้าของผลงาน “แสงไฟในดงดอย” กล่าวว่า เรื่องการเงินการลงทุนเป็นสิ่งท้าทายไม่ใช่แค่กับนักเรียน แม้แต่ครูเองก็ยังต้องลองผิดลองถูกและยังไม่สามารถจัดการให้ดีได้ มันจะดีกว่าไหมถ้าเราได้ลองผิดพลาด ลองเรียนรู้ร่วมกันในห้องเรียน เพื่อปรับเปลี่ยนชีวิตและอนาคตของเราและนักเรียน ด้วยความรู้ด้านการเงินและการลงทุน ด้าน นางสาวเฉลิมขวัญ วงศ์พานิช โรงเรียนบ้านแม่งอนขี้เหล็ก เจ้าของผลงาน “แสงไฟในดงดอย” เช่นกัน กล่าวเสริมว่า โครงการนี้เป็นเพื่อนที่จริงใจกับครูในการออกแบบห้องเรียนการเงินการลงทุนให้แก่เด็ก ๆ ที่โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ไอเดียการสอน และการเสริมแรงกายแรงใจทุก ๆ อย่าง โครงการนี้ช่วยให้เรื่องการเงินและการลงทุนเข้าใกล้เด็ก ๆ ของเรามากขึ้น รวมทั้งยังช่วยเปลี่ยนทัศนคติการใช้เงินของตัวครูเองด้วย

ครูอาจารย์ที่สนใจสามารถติดตามโครงการ INVESTORY Investment Learning Design Bootcamp ได้ที่เว็บไซต์พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน INVESTORY https://investory.setgroup.or.th

10 พ.ค. วันป่าชายเลนแห่งชาติ “ซีพีเอฟ”ร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ

0

ป่าชายเลน เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญ สร้างประโยชน์ต่อระบบนิเวศของพื้นที่ชายฝั่งทะเล สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีกว่าพื้นที่ป่าปกติ
อีกทั้งยังเป็นต้นทางของการสร้างความมั่นคงทางอาหาร

ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลน “บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ” มุ่งมั่นสานต่อความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ อาทิ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) ภาคประชาสังคม ชุมชนในพื้นที่ พนักงานในองค์กร ร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกป่าใหม่เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนให้กับประเทศ เดินหน้าสร้างสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ซีพีเอฟดำเนินโครงการ “ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน”อนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกป่าใหม่เพิ่มเติมจำนวน 4,000 ไร่ คิดเป็นจำนวนต้นไม้ที่ปลูกมากกว่า 1.6 ล้านต้น ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ 5 จังหวัด คือ ระยอง สมุทรสาคร ชุมพร สงขลา และพังงา

ปัจจุบันมีเป้าหมายอนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกป่าชายเลนเพิ่มเติม ในพื้นที่ตำบลบางหญ้าแพรก จังหวัดสมุทรสาคร ตำบลปากน้ำประแส จ.ระยอง และต.ท่าพริก จ.ตราด นอกจากสนับสนุนยุทธศาสตร์ประเทศไทยเพิ่มผืนป่าชายเลนแล้ว ยังสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ(SDGs) ข้อ 13 Climate Change รับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น ข้อ14 อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน และข้อ 17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และยังตอบโจทย์กลยุทธ์ความยั่งยืนของซีพีเอฟ ที่มุ่งมั่นมีส่วนร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ

ผลสัมฤทธิ์ของโครงการ”ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” ไม่ใช่แค่เพียงจำนวนพื้นที่สีเขียวที่เพิ่มขึ้น แต่ส่งผลเชิงบวก ทั้งมิติด้านสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนที่ช่วยรักษาระบบนิเวศชายฝั่ง ด้านเศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมการสร้างอาชีพ สนับสนุนการรวมตัวที่เข้มแข็งของชุมชนพัฒนาพื้นที่สู่การเป็นวิสาหกิจท่องเที่ยวชุมชนที่มีอัตลักษณ์ของตนเอง อาทิ วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยววิถีชุมชนตำบลปากน้ำประแส จังหวัดระยอง วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่าง ตำบลคลองใหญ่ อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยววิถีชุมชน ต.บางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร

พร้อมกันนี้ ซีพีเอฟ ปลูกฝังความตระหนักรู้สู่เด็กและเยาวชนในสถานศึกษา มีส่วนร่วมดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากการทำโครงการ “ปันรู้ ปลูกรักษ์” นำนักเรียนลงพื้นที่และลงมือปฏิบัติจริง สร้างผู้นำหรือตัวแทนเยาวชนที่สามารถสื่อสาร คิดสร้างสรรค์และต่อยอดในการร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ต่อไป

10 พฤษภาคมของทุกปี ตรงกับ “วันป่าชายเลนแห่งชาติ” ซึ่งในปี 2567 นี้ ภาครัฐได้รณรงค์ให้ภาคเอกชนและชุมชน มีส่วนร่วมและมีบทบาทในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการจัดการขยะ ลดผลกระทบจากขยะทะเล ตลอดจนส่งเสริมการรวมตัวของชุมชน ให้มีอาชีพและรายได้ที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการปกป้อง ดูแล รักษา ปลูกและฟื้นฟู ทรัพยากรป่าชายเลน กลับสู่ระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ซี่งซีพีเอฟเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุน เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวไปด้วยกัน

กรมประมง “ลงแขกลงคลอง” ไม่หยุด จับจริง “ปลาหมอคางดำ”

0

กรมประมงและประมงจังหวัดสมุทรสงคราม จัดกิจกรรม “ลงแขก-ลงคลอง” ครั้งที่ 3 เดินหน้าต่อเนื่องแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำและลดผลกระทบต่อสัตว์น้ำพื้นถิ่นให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของคนในชุมชนและเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

นายบัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า กรมประมง เดินหน้าต่อเนื่องในการจัดกิจกรรม “ลงแขก-ลงคลอง” กำจัดปลาหมอคางดำ ตามนโยบายของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำและพร้อมยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อบูรณาการการดำเนินงานอย่างเป็นระบบด้วยการผนึกกำลังความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชน ให้การดำเนินงานอย่างจริงจังและเห็นผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด

ในวันนี้ เป็นการจัดกิจกรรม ลงแขก-ลงคลอง ครั้งที่ 3 ณ คลองหมื่นหาญ หมู่ 6 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม มีเป้าหมายในการหยุดวงจรการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำสาธารณะในจังหวัดตลอดจนช่วยลดผลกระทบต่อระบบนิเวศและลดการทำลายสัตว์น้ำพื้นถิ่น โดยมีการเลือกใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำอย่างเหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจังหวัดสมุทรสงครามตั้งเป้าจะจัดกิจกรรมนี้เป็นประจำทุกเดือนตลอดปี 2567

“การลดปริมาณปลาหมอคางดำในจังหวัดนำร่อง 5 จังหวัด คือ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ เพชรบุรี และกรุงเทพมหานคร เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ มอบหมายให้กรมประมงขับเคลื่อนอย่างจริงจัง และให้ระดมสรรพกำลังมาร่วมกันแก้ไขให้เกิดผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของคนในพื้นที่ ช่วยฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและความอุดมสมบูรณ์ให้กับคืนสู่แหล่งน้ำในระยะยาว” นายบัณฑิต กล่าว

นายบัณฑิต กล่าวว่า จากการจัดกิจกรรม “ลงแขก-ลงคลอง” 2 ครั้งที่ผ่านมา สามารถจับปลาได้เกือบ 700 กิโลกรัม โดยส่งต่อไปเพิ่มมูลค่าเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น ปุ๋ยชีวภาพ เมนูอาหารและผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น ข้าวเกรียบ ไส้อั่ว น้ำปลา ปลาแดดเดียว ฯลฯ เพื่อเป็นต้นแบบการส่งเสริมให้ชุมชนจับและแปรรูปปลาหมอคางดำนำไปสร้างเป็นรายได้ ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนเรียนรู้วิธีจัดการและอยู่ร่วมกับปลาหมอคางดำได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดการแพร่ระบาดไปในพื้นที่ต่าง ๆ

สำหรับมาตรการในการลดและควบคุมปริมาณปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ประกอบด้วย 1.พัฒนาเครื่องมือประมงที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดปลาหมอคางดำ 2.ปล่อยปลาผู้ล่า เช่น ปลากะพง ปลาอีกง ต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2567 มีเป้าหมายปล่อยปลาผู้ล่า 154,000 ตัว 3.นำปลาหมอคางดำไปใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า เช่น ผลิตปลาป่น นำไปเป็นเหยื่อสำหรับเลี้ยงปลากะพงขาวและทำน้ำหมักชีวภาพ 4. สำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจายประชากรปลาหมอคางดำในพื้นที่เขตกันชนที่มีลำน้ำเชื่อมต่อกับจังหวัดที่มีการแพร่ระบาด 5.สร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอคางดำให้กับชุมชนสร้างความพร้อมในการป้องกันและรับมือการแพร่ระบาด และ 6. ติดตาม ประเมินผล และบริหารโครงการ เพื่อนำสู่การพัฒนาแผนการกำจัดปลาหมอคางดำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัล 2023-2024 Thailand’s Most Admired Company ตัวจริงบริษัทประกันที่น่าเชื่อถือที่สุด

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำบริษัทประกันแห่งปี  คว้ารางวัล 2023-2024 Thailand’s Most Admired Company จาก BrandAge  ผู้นำสื่อนิตยสารการตลาดของเมืองไทย  ร่วมกับคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ในการดำเนินการเก็บแบบสอบถามและประเมินผล เพื่อศึกษาเรื่องความน่าเชื่อถือขององค์กร ในเรื่องของการมีภาพลักษณ์ที่ดีในงานวิจัย โดยมีการจัดอันดับบริษัทต่างๆ โดยใช้หลักการการชี้วัดความชื่นชอบของผู้บริโภคที่มีต่อบริษัทที่มีความโดดเด่นในด้านความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovation) ความสามารถในการดำเนินธุรกิจ (Business Performance) ภาพลักษณ์ (Corporate Image) การบริหารการจัดการ (Management) ความรับผิดชอบต่อสังคม (Sustainable Development) และการบริการ (Excellence Service)

โดน นางสาวนิรัตน์  บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เข้ารับรางวัล 2023-2024 Thailand’s Most Admired Company บริษัทที่มีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือสูงสุด กลุ่มธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า เมืองไทยประกันชีวิต เป็นองค์กรที่มีความแข็งแกร่ง เป็นบริษัทที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นเลิศ  มีการนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ในการดำเนินงานอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม  เป็นองค์กรที่ลูกค้าเกิดความรู้สึกที่ดีอย่างต่อเนื่อง มีความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อองค์กร  ลูกค้าให้ความไว้วางใจ ทั้งนี้บริษัทฯ มุ่งมั่นเป็นบริษัทคู่คิดที่ลูกค้าวางใจ ผ่านนวัตกรรมเพื่อตอบสนองทุกความต้องการด้วยการทำงานที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ตลอดจนให้ความสำคัญของการพัฒนาองค์กรให้มีการเติบโตอย่างมั่งคงและยั่งยืน (Sustainable Growth)  โดยบริษัทฯ ได้มีการบูรณาการแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนผนวกเข้ากับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ทุกหน่วยงานในบริษัทฯ ได้นำไปเป็นแนวปฏิบัติ ในการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมมีการกำหนดโครงสร้างการบริหารงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนและถ่ายทอดเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน.

AIS และ 9 โอเปอเรเตอร์กลุ่ม Bridge Alliance จับมือกลุ่มเซ็นทรัล เอาใจนักท่องเที่ยวต่างชาติกับแคมเปญ “Welcome to Thailand Privileges”

0

AIS พร้อมผู้ให้บริการโครงข่ายสื่อสารในกลุ่ม Bridge Alliance ทั้ง 9 โอเปอเรเตอร์ ได้แก่ China Unicom จีน, csl. และ 1O1O ฮ่องกง, CTM มาเก๊า, Globe ฟิลิปปินส์, Maxis มาเลเซีย, MobiFone เวียดนาม, Singtel สิงคโปร์, Taiwan Mobile ไต้หวัน และ Telkomsel อินโดนีเซีย ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ ครั้งแรกในเอเชีย ร่วมกับยักษ์ใหญ่แห่งวงการรีเทล กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ได้แก่ ห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสันทั่วประเทศ และศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี ผสานจุดแข็งมอบประสบการณ์พิเศษอย่างไร้รอยต่อให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย รับการกลับมาของภาคการท่องเที่ยว ด้วยความร่วมมือแบบ “Asia’s First Cross Border Privilege Program for Tourism” ให้ลูกค้านักเดินทางจากผู้ให้บริการในกลุ่ม Bridge Alliance กว่า 600 ล้านราย ที่เปิดใช้บริการข้ามแดนอัตโนมัติหรือโรมมิ่งกับ AIS เมื่อเดินทางมายังประเทศไทย นอกจากจะได้รับประสบการณ์การใช้งานบนโครงข่าย AIS 5G ที่ดีที่สุดในไทยแล้ว ยังได้รับการดูแลในระดับโกลบอลสแตนดาร์ด จากห้างสรรพสินค้าชั้นนำของเมืองไทย ทั้งห้างเซ็นทรัล และห้างโรบินสัน และศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี มอบสิทธิประโยชน์สุดพรีเมียมที่ตอบโจทย์ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งแฟชั่น สินค้าแบรนด์ดังทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศ รวมถึงร้านอาหารชั้นนำรสเลิศ และอื่นๆ อีกมากมาย กับ แคมเปญ “Welcome to Thailand Privileges” ช้อปสนุก ท่องเที่ยวไทยสบาย (วันนี้ – 28 ก.พ. 68)

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวส่งสัญญาณการเติบโตและการกลับมาอย่างชัดเจน โดยในไตรมาสแรกของปี มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยแล้วกว่า 9.3 ล้านคน นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจในภาพรวมกลับมาพลิกฟื้นอีกครั้ง ด้วยพลังของทุกภาคส่วน ดังนั้น AIS ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลอันดับ 1 ของไทย ที่เชื่อมั่นในการส่งมอบประสบการณ์คุณภาพจากเครือข่ายของเราพร้อมมีเป้าหมายในการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้าร่วมกัน พร้อมๆ กับสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม จึงได้ริเริ่มให้เกิดโครงการพิเศษเพื่อตอบสนองเป้าหมายดังกล่าว

ทั้งนี้ ความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่างกลุ่ม Bridge Alliance ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำจากหลากหลายภูมิภาค เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมบริการด้านดิจิทัลให้ลูกค้าของแต่ละแห่ง และส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษของโครงข่าย AIS 5G ผ่านบริการโรมมิ่งที่ลูกค้าในกลุ่ม Bridge Alliance จะได้รับเมื่อเดินทางมายังประเทศไทย รวมไปถึงยังเป็นครั้งแรกที่ AIS และกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ในฐานะ Strategic Partner ได้ประกาศความร่วมมือในการมอบสิทธิพิเศษสุดพรีเมียมที่คัดสรรมาแล้วอย่างดีที่สุด ให้ลูกค้ามือถือในกลุ่ม Bridge Alliance จากทั้ง 9 โอเปอเรเตอร์

นางสาวรวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ความร่วมมือกับ AIS และพันธมิตร Bridge Alliance ผ่านแคมเปญ “Welcome to Thailand Privileges” เป็นการร่วมต้อนรับลูกค้าชาวต่างชาติจากพันธมิตรกลุ่ม Bridge Alliance ตั้งแต่ก้าวแรกจากบ้านที่ประเทศต้นทางผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือชั้นนำ พร้อมสร้างความประทับใจแบบไร้รอยต่อด้วยแพ็คเกจสิทธิประโยชน์มากมาย จากกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ไม่ว่าจะเป็นคูปองจากแบรนด์ชั้นนำ ตลอดจนบริการพรีเมียมอย่าง Personal Shopper ผู้ช่วยช้อปส่วนตัว ที่จะคอยช่วยดูแลลูกค้าแต่ละท่าน คอยแนะนำโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษตลอดการช้อป พร้อมการอำนวยความสะดวกลูกค้าต่างชาติด้วยบริการ Vat Refund ภายในห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสัน และบริการส่งสินค้าฟรีถึงโรงแรม รวมถึงการได้ลิ้มลองความอร่อยจากร้านอาหารชั้นนำที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี ที่นับเป็นการดูแลแบบครบครัน 360 องศาให้นักท่องเที่ยวทุกท่านได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สมบูรณ์แบบและพิเศษที่สุดจนจบทริป

สำหรับลูกค้าในกลุ่ม Bridge Alliance ทั้ง 9 โอเปอเรเตอร์ ที่เปิดบริการโรมมิ่งเมื่อเดินทางมายังประเทศไทยจะได้รับความพิเศษแบบจัดเต็มกับแคมเปญ “Welcome to Thailand Privileges” ให้ได้ช้อปสนุก ท่องเที่ยวสบาย ตลอดเวลาที่อยู่ในประเทศไทย โดยเริ่มแคมเปญเฟสแรกกับ China Unicom จีน และ CTM มาเก๊า แล้ววันนี้ และเดินหน้ามอบพริวิเลจแบบจัดเต็มอย่างต่อเนื่องกับลูกค้ามือถือในกลุ่ม Bridge Alliance อีก 7 โอเปอเรเตอร์ ภายในปีนี้ ให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินกับสิทธิประโยชน์สุดพรีเมียมมากมายจนถึง 28 ก.พ. 68 ไม่ว่าจะเป็น

· รับคูปองรวมมูลค่าสูงสุดถึง 3,600 บาท ใช้เป็นส่วนลดแทนเงินสดเมื่อช้อปครบตามเงื่อนไข ที่ห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสันทุกสาขา (โปรดตรวจสอบเงื่อนไข ณ จุดขาย)

· รับคูปองรวมมูลค่าสูงสุดถึง 140 บาท ใช้เป็นส่วนลดแทนเงินสดเมื่อช้อปครบตามเงื่อนไข ที่ Tops Supermarket, Tops Food Hall, Tops Fine Food สาขาที่ร่วมรายการ (โปรดตรวจสอบเงื่อนไข ณ จุดขาย)

· สิทธิพิเศษและส่วนลด ที่คัดสรรพิเศษกว่าที่เคยเอาใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกกว่า 45 แบรนด์ รวมมูลค่ากว่า 12,000 บาท อาทิ La Mer, Estée Lauder, Tom Ford Beauty, MAC, Sabina, Guy Laroche, Marks & Spencer, Sanrio, Smiggle, Adidas, Sunglass Hut, Tissot, Zwilling, PAÑPURI, Dyson เป็นต้น (โปรดตรวจสอบเงื่อนไข ณ จุดขาย)

· โปรโมชันสุดพิเศษจากเดสติเนชั่นความอร่อยใจกลางเมือง ขวัญใจคนไทยและต่างชาติอย่างโซน Public Lane และ Public Market ชั้น 1 ห้างเซ็นทรัลชิดลม, ร้านอาหารดังทั่วกรุงฯ ตั้งแต่สตรีทฟู้ดจนถึงร้านระดับมิชลินไกด์ที่ Lofter ชั้น 6 ห้างเซ็นทรัลชิดลม, Living House ชั้น 7 ห้างเซ็นทรัล แอท เซ็นทรัลเวิลด์, ไปจนถึงที่สุดแห่งอาณาจักรอาหารไทย Eathai ชั้น LG ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี (โปรดตรวจสอบเงื่อนไข ณ จุดขาย)

โดยลูกค้าของแต่ละผู้ให้บริการสามารถรับสิทธิ์และคูปองได้ที่จุดบริการลูกค้าสัมพันธ์ ณ ห้างเซ็นทรัล 8 สาขาที่ร่วมรายการ และ ห้างโรบินสัน 9 สาขาที่ร่วมรายการ ดังนี้

จุดบริการลูกค้าสัมพันธ์ ห้างเซ็นทรัลสาขาที่ร่วมรายการ ได้แก่ ห้างเซ็นทรัลชิดลม, ห้างเซ็นทรัล แอท เซ็นทรัลเวิลด์, ห้างเซ็นทรัลเชียงใหม่, ห้างเซ็นทรัลพัทยา, ห้างเซ็นทรัลป่าตอง, ห้างเซ็นทรัลภูเก็ต ฟลอเรสต้า, ห้างเซ็นทรัลสมุย, ห้างเซ็นทรัลหาดใหญ่

จุดบริการลูกค้าสัมพันธ์ ห้างโรบินสันสาขาที่ร่วมรายการ ได้แก่ ห้างโรบินสันพระราม 9, ห้างโรบินสันสุขุมวิท, ห้างโรบินสันบางรัก, ห้างโรบินสันเชียงใหม่, ห้างโรบินสันแม่สอด, ห้างโรบินสันจังซีลอน, ห้างโรบินสันฉลอง, ห้างโรบินสันถลาง, ห้างโรบินสันหาดใหญ่

เพียงแสดงข้อความหรือหลักฐานที่ได้รับจากโอเปอเรเตอร์ที่ใช้งานอยู่พร้อมกับพาสปอร์ต ซึ่งลูกค้าต่างชาติสามารถนำสิทธิ์ไปใช้ได้ที่ห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสันกว่า 77 สาขา ทั่วประเทศไทย รวมถึงร้านที่ร่วมรายการในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – 28 ก.พ. 68

นายปรัธนา กล่าวในช่วงท้ายว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ของ AIS และพาร์ทเนอร์จากกลุ่ม Bridge Alliance รวมถึง กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เป็นสิ่งที่ยืนยันให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของภาคเอกชนในการนำจุดแข็งและศักยภาพของแต่ละองค์กรมาช่วยและสนับสนุนเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของประเทศด้านการท่องเที่ยวให้เกิดการขับเคลื่อนและสร้างการเติบโตให้ภาคส่วนต่างๆ ใน Ecosystem ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถมอบความประทับใจ ส่งต่อเสน่ห์ของไทยให้นักท่องเที่ยวกลับมาเยือนอีกครั้งได้อย่างแน่นอน”

จี้รัฐเร่งกำกับดูแลบริการสตรีมมิ่งวิดีโอผ่านเน็ต ให้เป็นธรรมกับปชช.​ หลังพบมีโฆษณาคั่นทั้งที่เก็บค่าสมาชิก

0

ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,114 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 7 – 10 เมษายน 2567 กลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่า ประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่าง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ผลการสำรวจในครั้งนี้เรื่องการให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) คือการให้บริการเนื้อหาสื่อรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ วีดิโอ ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต การบริการผ่าน แพลตฟอร์ม และเป็นแบบin app purchase คือ การดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น แล้วมีการจ่ายค่าบริการเพิ่มเติม หรือ ที่บอกรับสมาชิกและเรียกเก็บเงินโดยแพลตฟอร์ม ในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) เป็นจำนวนมากเนื่องจากสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคจากความสะดวกสบายในการรับฟังและรับชมได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านหลากหลายอุปกรณ์ โดยผู้ให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) มีทั้งที่จดทะเบียนบริษัทในประเทศไทยที่เสียภาษีให้กับประเทศแบบถูกต้อง และแบบที่ไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทยโดยเงินของคนไทยที่ใช้บริการไหลออกไปยังต่างประเทศ โดยที่ประเทศไทยไม่ได้รับภาษีจากการชำระค่าบริการนั้นๆ

ในปัจจุบัน พบว่า กสทช.มีอำนาจกำกับดูแลเฉพาะบริการไอพีทีวี (IPTV) หรือโทรทัศน์ผ่านอินเตอร์เน็ต แต่สำหรับการให้บริการ OTT นั้น กสทช. ยังไม่มีกฎหมายที่ชัดเจนมากำกับดูแลโดยเฉพาะ ทำให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ส่วนใหญ่ คือ ไม่สามารถควบคุมเนื้อหาที่เหมาะสม การกำหนดราคาที่เหมาะสมกับผู้บริโภค การมีโฆษณาคั่นในการรับชมผ่าน OTT แม้จะมีการชำระค่าสมาชิกก็หรือค่ารับชมแล้วก็ตาม เหล่านี้ คือปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคที่ไม่ได้รับการคุ้มครองเท่าที่ควร รวมถึงความเหลื่อมล้ำจากการถูกกำกับดูแลและการเสียภาษี ระหว่างผู้ให้บริการ IPTV และผู้ให้บริการ OTT ทั้งๆ ที่ลักษณะและรูปแบบของการให้บริการมิได้แตกต่างกัน กสทช. ควรหาแนวทางกำกับดูแลกิจการ OTT ให้เป็นธรรมและเหมาะสมเพื่อประชาชน

โดยผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อเรื่องการให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) มีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ร้อยละ 91.3 มีการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) แบบเสียค่าสมาชิก ร้อยละ 87.1 และมีการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) มากกว่า 1 แพลตฟอร์ม ร้อยละ 90.1
มีการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) จากผู้ให้บริการที่เจ้าของเป็นบริษัทในประเทศไทย อันดับที่หนึ่ง คือ TRUEID ร้อยละ 49 อันดับที่สอง คือ AISPLAY ร้อยละ 44.3 อันดับที่สาม คือ 3 PLUS ร้อยละ 18 อันดับที่สี่ คือ MONOMAX ร้อยละ 13.3 และอันดับที่ห้า คือ Bugaboo inter ร้อยละ 8.4
และมีการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) จากผู้ให้บริการที่เจ้าของเป็นบริษัทอยู่ในต่างประเทศ อันดับที่หนึ่ง คือ Netflix ร้อยละ 67 อันดับที่สอง คือ Youtube ร้อยละ 48.7 อันดับที่สาม คือ Disney plus Hotstar ร้อยละ 15.3 อันดับที่สี่ คือ Viu ร้อยละ 13.3 และอันดับที่ห้า คือ iQIYI ร้อยละ 12.2

ปัจจุบันมีการเสียค่าใช้จ่ายในการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ต่อเดือน เดือนละ 1 – 500 บาท ร้อยละ 75.5 มากที่สุด โดยคิดว่าค่าใช้จ่ายในการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ในปัจจุบันมีความเหมาะสม ร้อยละ 65.8 และคิดว่าค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมในการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) 1 – 500 บาท ต่อเดือน ร้อยละ 74.7 มากที่สุด

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ที่ใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) แบบเสียค่าสมาชิก คิดว่าไม่ควรมีโฆษณาคั่นในแพกเกจแบบเสียค่าสมาชิก ร้อยละ 73.8 และ 1 ใน 4 ของผู้ชม หรือราว 25.6% เคยพบโฆษณาคั่นในแพกเกจแบบเสียค่าสมาชิก
โดยเหตุผลที่ใช้บริการแพกเกจแบบเสียค่าสมาชิก อันดับที่หนึ่ง คือ ต้องการรับชมเนื้อหาที่สนใจ ร้อยละ 72.2 อันดับที่สอง คือ ไม่ต้องการรับชมโฆษณา ร้อยละ 19.4 อันดับที่สาม คือ ต้องการติดตามดาราที่ชื่นชอบ ร้อยละ 6.8

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ คิดว่าภาครัฐควรจัดเก็บภาษีของผู้ให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ร้อยละ 42.3 ภาครัฐไม่ควรมีการกำกับเนื้อหา ร้อยละ 51 ของผู้ให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) และภาครัฐควรมีการกำกับราคาค่าสมาชิกของผู้ให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ร้อยละ 70.2 โดยอยากให้ทางภาครัฐ มีการกำหนดบทลงโทษกับผู้ให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ที่ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ อันดับที่หนึ่ง คือ จ่ายค่าปรับ ร้อยละ 76.4 อันดับที่สอง คือ ปิดการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต ร้อยละ 42.1 อันดับที่สาม คือ ยึดใบอนุญาต ร้อยละ 1.9

หากพบเห็นปัญหาในการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) จะร้องเรียน อันดับที่หนึ่ง คือ คอลเซ็นเตอร์ของผู้ให้บริการ (OTT) ร้อยละ 54.4 อันดับที่สอง คือ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ) ร้อยละ 16 อันดับที่สาม คือ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช) ร้อยละ 13.6 อันดับที่สี่ คือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 6.6 และอันดับที่ห้า คือ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และ สภาองค์กรของผู้บริโภค ร้อยละ 4.7

เมืองไทยประกันชีวิต ส่งแคมเปญ “ShieldLife ประกันชีวิตตัวช่วยให้คุณเบาใจ ในวันที่คุณจากไป…” ตอบโจทย์ชีวิตแบบ Worry Free

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เดินหน้านโยบายสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คนในสังคม (Democratizing Insurance) พร้อมการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างได้อย่างเข้าใจ และเข้าถึงได้จริง เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคนได้มีหลักประกันที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน เพื่อตอกย้ำการเป็นคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ ที่พร้อมเดินเคียงข้างในทุกจังหวะของชีวิต

ล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัวแคมเปญ “ShieldLife ประกันชีวิต – ตัวช่วยให้คุณเบาใจ ในวันที่คุณจากไป…” ตอบโจทย์ผู้ซื้อได้ใช้ชีวิตอย่าง Worry Free ถ่ายทอดมุมมองการสร้างความสุขให้ตัวเองในวันที่อายุเปลี่ยน แต่จิตใจไม่เคยเปลี่ยน โดยได้ซีอีโอสุดแกร่ง “นายสาระ ล่ำซำ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมนำเสนอมุมคิดที่แตกต่างของการทำประกันชีวิต จากภาพของ “คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ” เป็นการซื้อประกันชีวิตที่จะทำให้คนซื้อได้ใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ ใช้เงินที่ตัวเองหามาให้กับตัวเอง สู่การสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้กับคนข้างหลัง

โดย นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ShieldLife ประกันชีวิต (ชีลด์ไลฟ์ ประกันชีวิต) จะเป็นตัวช่วยให้คุณเบาใจ ในวันที่คุณจากไป โดยไม่เป็นภาระคนข้างหลัง ด้วยการสร้างและส่งต่อมรดกให้ครอบครัวเป็นตัวช่วยสภาพคล่องทางการเงิน หรือเป็นทุนการศึกษาสำหรับลูก หรือเป็นทุนเริ่มต้นทำธุรกิจ ให้ใช้ชีวิตต่อ ได้แบบที่ต้องการ หากมีหนี้สิน จะเป็นตัวช่วยผ่อนภาระหนี้สิ้น ไม่ว่าจะเป็น หนี้บ้าน หนี้รถ หนี้ธุรกิจ หรือหนี้อื่น ๆ ที่สุดคือการได้สร้างความสุขให้ตัวเองและไม่ทิ้งภาระให้กับใคร เริ่มต้นวางแผนการสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้คนที่คุณรัก ที่คุ้มครองกรณีเสียชีวิต

จากอุบัติเหตุและเจ็บป่วย ด้วยแบบประกันชีวิตที่คุณเลือกได้ ทั้งประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life) ประกันชีวิตแบบคุ้มครองภายในระยะเวลา (Term) หรือประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) เลือกจ่ายเบี้ยแบบชิล ๆ จะแบบสั้นหรือแบบยาว ๆ วงเงินความคุ้มครองที่เลือกได้ตามความต้องการ และเบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

โดยทุกท่านสามารถติดตามโฆษณาดังกล่าวได้จากช่องทาง ได้แก่ โทรทัศน์ วิทยุ เว็บไซต์ www.muangthai.co.th, YouTube, Facebook, Instagram, X, LINE Official Account และ TikTok ของเมืองไทยประกันชีวิต ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป

สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์แคมเปญ “ShieldLife ประกันชีวิต” จากเมืองไทยประกันชีวิต” สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th หรือโทร.1766 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อตัวแทนจากเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ หรือ สาขา ธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์

กรุงเทพโปรดิ๊วส ใช้ห้องปฏิบัติการตรวจสอบย้อนกลับ ชี้จุดเผาแปลงข้าวโพดแบบเรียลไทม์ ส่งจนท.คุยเกษตรกรหยุดเผา

0

บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ยั่งยืน ให้กับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ใช้ห้องปฏิบัติการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability Operations Room) เชื่อมภาพถ่ายดาวเทียม 3 ดวง กับ พิกัดจีพีเอสระบุตำแหน่งแปลงปลูก ประมวลและแสดงผลด้วย Power BI  ติดตามการเผาแปลงในพื้นที่ปลูกข้าวโพดในห่วงโซ่อุปทานซีพีแบบเรียลไทม์ รายงานสถานะรายวัน เมื่อพบจุดเผาเจ้าหน้าที่ลงพื้นพูดคุยกับเกษตรกรทันที ตอกย้ำความมุ่งมั่นจัดหาข้าวโพดตามนโยบายเครือเจริญโภคภัณฑ์ “ไม่รับซื้อ และไม่นำเข้าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จากพื้นที่รุกป่า และพื้นที่ที่มาจากการเผา”

นายวรพจน์ สุรัตวิศิษฏ์ รองกรรมการผู้จัดการ กรุงเทพโปรดิ๊วส กล่าวว่า “ พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในห่วงโซ่อุปทานกรุงเทพโปรดิ๊วสครอบคลุมพื้นที่ปลูก กว่า 2 ล้านไร่ และเกษตรกรกว่า 40,000 ราย ลงทะเบียนในระบบตรวจสอบย้อนกลับของบริษัทฯ ในช่วงเตรียมพื้นที่เพื่อเพาะปลูกข้าวโพดฤดูกาลใหม่ตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ ถึง มิถุนายน บริษัทและพ่อค้าในเครือข่ายลงพื้นที่พูดคุยกับเกษตรกรทุกรายที่พบจุดความร้อนทั่วประเทศ ติดตามการเผาแปลงแบบทันท่วงทีภายใน 7 วัน  หลังพบรายงานจุดความร้อนแบบรายวัน ที่ได้จากห้องปฎิบัติการตรวจสอบย้อนกลับ

ห้องปฎิบัติการดังกล่าว ใช้ เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม 3 ดวง ผนวกกับฐานข้อมูลแผนที่พิกัดแปลงปลูกข้าวโพดที่เกษตรกรลงทะเบียนไว้ในระบบตรวจสอบย้อนกลับ โดยประมวลและแสดงผลการเผาด้วย Power BI  ช่วยให้บริษัทตรวจจับการเผาแปลงและทราบชื่อเกษตรกรเต้าของแปลงได้แบบเรียลไทม์ สามารถติดตามสถานะการเผาได้ทุกวัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทและคู่ค้าสามารถลงพื้นที่สื่อสารกับเกษตรกรได้ทันท่วงทีเพื่อแจ้งถึงมาตรการการหยุดรับซื้อในพื้นที่ที่มีการเผาซ้ำ รวมถึงปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการตอซังหลังการเก็บเกี่ยว

นายวรพจน์ กล่าวเสริมว่า กว่า 8 ปีที่เรานำระบบตรวจสอบย้อนกลับมาใช้ ปัจจุบันคู่ค้าและเกษตรกร ปรับตัวลงทะเบียนเข้าสู่ระบบตรวจสอบย้อนกลับได้ดี หลังจากการลงพื้นสร้างความเข้าใจในระบบ และความตระหนักถึงปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ในพื้นที่ และสนับสนุนให้ทุกบริษัทหรือพ่อค้าคนกลางรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับถึงแปลงปลูก เพื่อช่วยให้สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าสามารถจัดการปัญหาหมอกควัน PM 2.5 ที่มาจากการเผาพื้นที่เกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพและกำกับการหยุดเผาในแปลงข้าวโพดได้อย่างจริงจัง ทั้งนี้ กรุงเทพโปรดิ๊วสพร้อมเป็นต้นแบบและถ่ายทอดประสบการณ์การนำเทคโนโลยีตรวจสอบย้อนกลับมาใช้ในการหยุดยั้งการเผาแปลงข้าวโพด ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของฝุ่น PM2.5

งานวิจัยใหม่พบ “ไข่ไก่” ลดความเสี่ยงกระดูกพรุน​ แนะกินวันละ​ 1​-2 ฟอง​ ดีต่อหัวใจและกระดูก

0

แพทย์ เผยผลงานวิจัยชิ้นใหม่ พบ “การกินไข่” ช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนได้ กระตุ้นเอนไซม์ในร่างกาย เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง พร้อมแนะกินไข่วันละ 1 – 2 ฟองต่อวัน ดีต่อหัวใจและกระดูก

รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวช มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เปิดเผยว่า การศึกษาวิจัยในวารสาร Food and Function ของสหรัฐอเมริกา เผยแพร่เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา พบว่า การบริโภคไข่ไก่มีความสัมพันธ์กับความหนาแน่นของมวลกระดูกที่มากขึ้นในคนอเมริกัน

ในงานวิจัยฉบับนี้ได้เพิ่ม “ไข่ไก่” ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการบริโภค เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) เพิ่มจากรายการอาหารอื่นๆ ที่อุดมด้วยแคลเซียมอย่าง ผักใบเขียว หรือผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งถือเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพกระดูกมาอย่างยาวนาน

การวิเคราะห์ของทีมนักวิจัย เปิดเผยว่า ผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยที่บริโภคไข่ทั้งฟองอย่างน้อย 3.53 ออนซ์ต่อวัน (ประมาณไข่ขนาดใหญ่ 2 ฟอง) มีระดับความหนาแน่นของมวลกระดูก (BMD :Bone Mineral Density) ในกระดูกโคนขาและกระดูกสันหลัง เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยการศึกษาระยะยาวนี้ใช้ข้อมูลที่รวบรวมระหว่างปี 2548-2553, 2556-2557 และ 2560-2561 และมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 19,000 คน

ไข่ไก่ โปรตีนคุณภาพดี มีโปรตีน (ประมาณ 6 กรัมต่อไข่ไก่ขนาดใหญ่ 1 ฟอง) และแคลอรีต่ำ แม้ไข่ไก่ไม่ได้อุดมไปด้วยแคลเซียม และมีเพียง 24 มิลลิกรัม หรือประมาณ 2% ของปริมาณที่แนะนำต่อวันของผู้ใหญ่ แต่จากการศึกษา พบว่าไข่ช่วยกระตุ้นกลุ่มของเอนไซม์ในร่างกายที่เรียกว่า อัลคาไลน์ฟอสฟาเตส (ALP) ซึ่งสามารถเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงได้

ไข่ไก่ นอกจากจะช่วยกระตุ้นเอนไซม์ที่เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงได้แล้ว ยังอุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิดที่ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรงอีกด้วย เช่น วิตามินดี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรง นอกจากนี้ ไข่ยังเต็มไปด้วยโปรตีน สังกะสี และแร่ธาตุอื่นๆ ที่ช่วยดูแลสุขภาพกระดูกโดยรวม ที่สำคัญยังช่วยในการสร้างกระดูกอีกด้วย

แม้มีการอภิปรายกันเป็นเวลาหลายปีเกี่ยวกับประเด็นความกังวลว่าไข่เป็นสาเหตุที่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงหรือโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่การศึกษาได้ชี้ให้เห็นว่าการบริโภคไข่ในระดับปานกลาง (ประมาณ 1 – 2 ฟองต่อวัน) ไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อระดับคอเลสเตอรอลในบุคคลที่มีสุขภาพดี

สำหรับผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว ควรปรึกษาเรื่องการบริโภคไข่กับแพทย์ แต่โดยทั่วไปแล้ว การรับประทานไข่ไก่ประมาณ 1 – 2 ฟองต่อวัน จะช่วยรักษาสุขภาพของหัวใจและกระดูกได้ ซึ่งการวิจัยได้ระบุให้เห็นว่าไข่เป็นส่วนหนึ่งของอาหารเพื่อสุขภาพหัวใจ และ สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) ยังสนับสนุนให้ชาวอเมริกันรับประทานไข่ทุกวันเพราะเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง