Home Blog Page 95

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นผลิตอาหารปลอดภัย-ร่วมคืนสมดุลธรรมชาติ

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งมั่นนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต คุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร ควบคู่ไปกับตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการดูแลระบบนิเวศ ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ คืนสมดุลสู่ธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทางความมั่นคงทางอาหาร สู่เป้าหมายเป็นครัวของโลก ที่ดูแลสุขภาพผู้บริโภคและรักษ์โลกไปด้วยกัน

องค์การสหประชาชาติ(UN)กำหนดให้วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day)ซึ่งในปีนี้ ใช้แนวคิด“Our land Our future We are #Generation Restoration” และในเดือนเดียวกันนี้ UN ยังได้กำหนดให้วันที่ 7 มิถุนายน เป็นวันความปลอดภัยอาหารโลก (World Food Safety Day)ด้วย

นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร มีเป้าหมายสร้างความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการส่งมอบอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย มีโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภคและสนับสนุนการเข้าถึงอาหารอย่างพอเพียงในทุกๆสถานการณ์ พร้อมกันนี้ บริษัทฯตระหนักและให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรับผิดชอบ รู้คุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด มุ่งมั่นมีส่วนร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและคืนสมดุลสู่ธรรมชาติ

ด้วยวิสัยทัศน์“ครัวของโลก”ของซีพีเอฟ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ผู้คนตระหนักถึงความปลอดภัยของอาหาร ด้วยการบริโภคอาหารเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยและเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ตลอดจนหาแนวทางและร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งด้านสุขภาพอนามัยและการผลิตอาหารที่ดี เพื่อยกระดับความปลอดภัยของอาหาร

ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟมีเป้าหมายของการดูแลสุขภาพผู้บริโภคและรักษ์โลกไปด้วยกัน โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ และการผลิตอาหาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต คุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร ลดการสูญเสียและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ นวัตกรรมอาหารสัตว์รักษ์โลก ที่สามารถลดปริมาณไนโตรเจนส่วนเกินในสิ่งที่ขับถ่าย การเลี้ยงสัตว์ตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) การจัดการของเสียในฟาร์มสุกรและคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ทั่วประเทศด้วยระบบไบโอแก๊ส(Biogas)เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน เป็นต้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปีนี้ บริษัทฯ เตรียมความพร้อมด้านน้ำเพื่อรับมือวิกฤติภัยแล้ง นอกเหนือจากการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำภายใต้หลัก 3Rs คือ ลดการใช้น้ำ (Reduce) นำน้ำกลับมาใช้ซ้ำโดยไม่ผ่านการบำบัด (Reuse) นำน้ำที่ผ่านการบำบัดกลับมาใช้ใหม่ (Recycle)แล้ว ยังได้นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ชุมชน อนุรักษ์และดูแลแหล่งน้ำ อาทิ โครงการรักษ์ลำน้ำมูลที่ดำเนินการมามากกว่า 15 ปี เพื่อดูแลลุ่มน้ำหลักที่ไหลผ่านจังหวัดในภาคอีสาน สำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร เช่นเดียวกับความมุ่งมั่นมีส่วนร่วมแก้ปัญหาฝุ่นมลพิษ PM2.5 ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานประกอบการ การอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ป่าชายเลน สนับสนุนเป้าหมายปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้นของกรุงเทพมหานคร ฯลฯ

เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืนในการดูแลสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ปลูกฝังความตระหนักให้กับพนักงานทุกสายธุรกิจรวมพลังและลงมือทำ ขยายเครือข่ายความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคประชาสังคม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งมอบความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ น้ำ ดิน และอากาศที่บริสุทธิ์ให้กับคนรุ่นต่อๆไป สำคัญที่สุด คือ สร้างการรับรู้ให้เด็กและเยาวชนเป็นแนวร่วมรักษ์โลก ผ่านการดำเนินโครงการ “ซีพีเอฟ ปันรู้ ปลูกรักษ์”เพราะเราตระหนักอยู่เสมอว่าการดูแลสิ่งแวดล้อม ไม่ได้หยุดอยู่แค่คนรุ่นเรา แต่เป็นการส่งต่อความรับผิดชอบจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า.

10 ข้อที่ชาว LGBTQ+ ควรนึกถึงเมื่อวางแผนการเงิน

0
บทความโดย  ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

โดยภาพรวมของการวางแผนทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน รวมถึงหลักการก็มีความคล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตาม อาจมีความต่างกับกลุ่ม LGBTQ+ ที่ควรพิจารณาสำหรับการเริ่มต้นวางแผนการเงิน ดังนี้

  1. ตั้งเป้าหมายทางการเงิน เริ่มต้นด้วยการระบุเป้าหมายทางการเงินของตัวเอง เช่น เก็บเงินดาวน์บ้าน เก็บเงินไปเที่ยว หรือเก็บเงินเพื่อใช้ตอนแก่ จากนั้นก็จัดลำดับความสำคัญของแต่ละเป้าหมายและกำหนดระยะเวลาในการบรรลุเป้าหมายนั้น เช่น เก็บเงินดาวน์บ้าน 2 แสนบาทภายในระยะเวลา 3 ปี หรือทุก ๆ เดือนจะแบ่งเงิน 2,000 บาท เพื่อลงทุนกองทุน RMF เพื่อเก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณ เป็นต้น
  2. จัดทำงบประมาณ เป็นการวางแผนประมาณการรายได้และรายจ่ายล่วงหน้า ด้วยการกำหนดที่มาของรายได้ จัดหมวดหมู่รายจ่าย และติดตามรายได้ ควบคุมรายจ่ายผ่านงบประมาณตามเหมาะสม และสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินของตัวเอง ลด ละ เลิก การซื้อของที่ไม่จำเป็น เพราะจะทำให้มีเงินเก็บน้อยลง

การจัดทำงบประมาณ เป็นการตรวจสอบสุขภาพทางการเงินตัวเองว่ามีความแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน ด้วยการดูว่ารายได้มากกว่าหรือน้อยกว่ารายจ่ายแค่ไหน มีเงินออม และเงินลงทุนพอที่จะนำไปสร้างความมั่งคั่งได้หรือไม่ ระหว่างสินทรัพย์กับหนี้สิน อย่างไหนมากกว่ากัน เพราะความสำคัญในการจัดทำงบการเงินส่วนบุคคล อยู่ที่การรวบรวมรายการสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมด จากนั้นนำมาคำนวณหาความมั่งคั่งสุทธิ ก่อนเริ่มจัดทำแผนการเงินเพื่อสร้าง ความมั่งคั่งระยะยาวด้วยการเพิ่มสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ อะไรบ้าง

  1. ตรวจสอบสถานะทางการเงิน ควรตรวจสอบสถานะทางการเงินของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ว่าปัจจุบันมีสินทรัพย์ (เช่น เงินสด เงินฝาก เงินลงทุน มูลค่าเงินสดกรมธรรม์ของประกันที่ทำไว้ บ้าน ทองคำ ของสะสม) และหนี้สิน (เช่น ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หนี้สินต่าง ๆ) อะไรบ้าง

จากนั้นก็นำมาคำนวณโดยใช้สูตร สินทรัพย์ทั้งหมดลบหนี้สินทั้งหมด หากผลลัพธ์ออกมาพบว่าสินทรัพย์มากกว่าหนี้สิน สะท้อนว่ามีสถานะทางการเงินที่ดี มีวินัยในการบริหารเงิน แต่หากหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์ สะท้อนถึงพฤติกรรมการใช้เงินในอดีต

  1. ออมเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน เงินออมก้อนแรกในชีวิตที่ควรมี คือ เงินออมสำรองเผื่อฉุกเฉิน โดยแต่ละคนควรมี 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน พูดง่าย ๆ หากไม่มีรายได้ก็สามารถมีเงินใช้จ่ายเพียงพอไปอีก 3 – 6 เดือน โดยเงินออมสำรองเผื่อฉุกเฉินนี้ จะนำออกมาใช้ก็ต่อเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ตกงาน หรือเจ็บป่วยกะทันหัน เป็นต้น โดยวิธีการเก็บเงินออมสำรองเผื่อฉุกเฉิน คือ หักเงินทุกเดือน เช่น 1,000 บาท แล้วไปเก็บไว้ที่สามารถถอนออกมาใช้ได้ทันทีและความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝากออมทรัพย์ กองทุนรวมตลาดเงิน เป็นต้น
  2. จัดการหนี้ เมื่อเป็นหนี้แล้วก็ต้องจ่ายหนี้ตามกำหนด แต่เมื่อมีหนี้สินพะรุงพะรังจนหนี้เริ่มท่วมหัวและต้องการปลดหนี้ให้เร็วที่สุด ควรมีแผนการชำระหนี้และปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัด เริ่มต้นด้วยการรวบรวมรายการหนี้ทั้งหมดเพื่อให้เห็นภาพรวม จากนั้นก็จัดอันดับหนี้ที่ต้องจ่าย เช่น จ่ายหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน หรือจ่ายหนี้ที่มียอดคงเหลือน้อยที่สุด ส่วนจะเลือกวิธีไหนก็ให้เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด จากนั้นก็หาเงินมาจ่ายหนี้ ที่สำคัญไม่ควรก่อหนี้ใหม่เพิ่ม
  3. วางแผนซื้อประกัน ปัจจุบัน LGBTQ+ สามารถทำประกันได้และประกันจะคุ้มครองทุกอย่างเหมือนปกติ 100% แต่อาจจะต้องแนบหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มน้ำหนักของความสัมพันธ์ เช่น หลักฐานการทำธุรกรรมร่วมกัน โดยเฉพาะเอกสารทางการเงิน เอกสารราชการ หรือกรณีที่แปลงเพศเรียบร้อยก็สามารถทำประกันได้ โดยต้องชี้แจงข้อมูลให้บริษัทประกันทราบตามเงื่อนไขที่กำหนด

โดยประกันชีวิตที่น่าสนใจทำเป็นฉบับแรก คือ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ซึ่งเป็นแบบประกันมีทั้งการออมเงินและความคุ้มครองชีวิต โดยการออมเงินจะมีเงินจ่ายคืนเป็นรายงวดตามเวลาที่กำหนด หรือคืนเป็นก้อนใหญ่ก้อนเดียวเมื่อครบสัญญา ส่วนความคุ้มครองชีวิต เมื่อผู้ถือกรมธรรม์เสียชีวิตระหว่างสัญญา ก็จะได้รับเงินก้อนให้คนข้างหลังไว้ใช้จ่ายเป็นจำนวนเงินตามที่กำหนดในสัญญาของแต่ละแบบประกัน

สำหรับแบบประกันสะสมทรัพย์ มีทั้งระยะเวลาออมเงินแบบระยะสั้น (2 – 5 ปี) ระยะปานกลาง (5 – 15 ปี) และระยะยาวเกิน 15 ปีขึ้นไป ที่สำคัญ สามารถซื้อสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพ เช่น คุ้มครองโรคมะเร็ง คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในได้ และในกรณีที่ต้องการซื้อการประกันสุขภาพเพิ่ม

  1. วางแผนซื้อที่อยู่อาศัย ปัจจุบันมีสถาบันการเงินบางแห่งที่เปิดโอกาสให้คู่รัก LGBTQ+ สามารถขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย อีกทั้ง สถาบันการเงินที่เปิดกว้างก็จะมีเงื่อนไขและนโยบายที่ต่างกันพอสมควร ดังนั้น ควรสอบถามข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อขอสินเชื่อให้เหมาะกับตัวเองและผู้กู้ร่วม เช่น สถาบันการเงินบางแห่งกำหนดเงื่อนไขว่าต้องมีรายได้ 50,000 ขึ้นไป ขณะที่บางแห่งกำหนดให้มีรายได้ตั้งแต่15,000 บาทขึ้นไป ทั้งผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมต้องเป็นพนักงานประจำและมีอายุงานรวมที่ทำงานเดิมและปัจจุบันตั้งแต่2 ปีขึ้นไป หรือผู้กู้ต้องมีเอกสารหรือหลักฐานแสดงความสัมพันธ์หรือการอยู่ร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี เช่น ทะเบียนบ้านที่อยู่ด้วยกัน
  2. ลงทุน นอกจากการเก็บออมเงินแล้ว ควรแบ่งเงินไปลงทุนเพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่งในระยะยาว ด้วยการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ลงทุนในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เช่น หุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ เป็นต้น
  3. วางแผนการเกษียณอายุ กลุ่ม LGBTQ+ มีโอกาสน้อยที่จะมีลูก จึงต้องดูแลตัวเองและคู่ชีวิตไปจนแก่เฒ่า ดังนั้น การวางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณจึงเป็นสิ่งสำคัญ ด้วยการเก็บออมเพื่อให้มีเงินใช้จ่ายอย่างสบาย ๆ ได้ตามต้องการ
  4. ติดตามข้อมูล นอกจากติดตามข้อมูลข่าวสารด้านการเงิน การลงทุนอย่างสม่ำเสมอแล้ว ก็ต้องติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิและการคุ้มครอง LGBTQ+ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการเงินด้วย เช่น การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ข้อบังคับที่อาจส่งผลต่อภาษี ผลประโยชน์ หรือการวางแผนทางการเงินร่วมกัน เป็นต้น

CPF คว้า 5 รางวัลยอดเยี่ยมระดับเอเชีย “Asian Excellence Award 2024”

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รับ 5 รางวัลเกียรติยศด้านความเป็นเลิศแห่งภูมิภาคเอเชีย จากเวที The 14th Asian Excellence Awards 2024 จัดขึ้นที่ โรงแรม JW Marriott ฮ่องกง เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จัดโดยนิตยสาร Corporate Governance Asia สื่อชั้นนำด้านการเงินของฮ่องกง และเอเชีย สะท้อนความเป็นองค์กรธุรกิจที่ยึดมั่นหลักธรรมาภิบาลที่ดี ควบคู่กับการสร้างความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนให้กับผู้บริโภคทั่วโลก ผ่านการพัฒนาชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs)

โดยรางวัลที่ซีพีเอฟได้รับ ประกอบด้วย รางวัลประเภทบุคคล 3 รางวัล ได้แก่ “รางวัลซีอีโอยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” (Asia’s Best CEO) มอบให้ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ จากความสำเร็จในการบริหารธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี บรรลุเป้าหมายในการเติบโต ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศ และสากล “รางวัลซีเอฟโอยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” (Asia’s Best CFO) มอบให้ นายไพศาล จิระกิจเจริญ ประธานผู้บริหารฝ่ายการเงิน จากความสำเร็จในการบริหารการเงิน การวางแผนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร และ “รางวัลนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” (Best Investor Relations Professional) มอบให้ นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุดสายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ จากความโดดเด่นด้านการเปิดเผยข้อมูลตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี

ขณะที่ รางวัลประเภทองค์กร 2 รางวัล ได้แก่ “รางวัลบริษัทนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” (Best Investor Relations Company) สะท้อนถึงมาตรฐานความโปร่งใสและเป็นธรรมในการเผยแพร่ข้อมูล นอกเหนือจากรายงานประจำที่ส่งไปยังหน่วยงานกำกับดูแลแล้ว ยังมีการสื่อสารกับผู้ลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และ “รางวัลความยั่งยืนแห่งเอเชีย 2024” (Sustainable Asia Award 2024) ในการยืนหยัดเพื่อธรรมาภิบาลสีเขียว โดยซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs) จนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

Asian Excellence Awards เป็นรางวัลที่สะท้อนถึงความสำเร็จและความเป็นเลิศในการบริหารจัดการทั้งด้านการเงิน ความรับผิดชอบดูแลสังคม แนวปฏิบัติที่ดีด้านสิ่งแวดล้อม และงานนักลงทุนสัมพันธ์ บนพื้นฐานธรรมาภิบาลสีเขียวที่ดี (Green Governance) ซึ่งในปีนี้ มีบุคคล และองค์กรที่ได้รับรางวัลจากหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย ทั้งจาก สาธารณรัฐประชาชนจีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง ไต้หวัน ไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย.

รู้เก็บรู้ออม : 50 ปีตลาดหลักทรัพย์ฯ

0

“ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” เปิดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2518 จวบจนถึงตอนนี้ ปี พ.ศ.2567 นักลงทุนได้รู้จักตลาดหลักทรัพย์ฯ มานานถึง 50 ปีแล้ว ถ้าเป็นคน ก็เรียกได้ว่า รู้จักคบกันมานานครึ่งค่อนชีวิตกันเลยทีเดียว

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯก็คงเหมือนกับเราๆ ท่านๆ ทุกคนที่ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว มีทั้งช่วงเวลาที่ดีและไม่ดี จนเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาขับเคี่ยวให้กลมกล่อม ผ่านการทบทวนและกลั่นกรองให้พร้อมสำหรับก้าวต่อไปสู่อนาคต

สำหรับก้าวย่างสู่ปีที่ 50 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กำหนดแนวคิด Make it “Work” for Every Future-ร่วมสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน ทั้งการสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่ตอบโจทย์เป้าหมายอนาคตของผู้ออมและผู้ลงทุน เป็นกลไกให้ภาคธุรกิจเข้าถึงโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว นำไปสู่การขับเคลื่อนประเทศอย่างแข็งแกร่ง พร้อมสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อม และอนาคตของสังคมไทยอย่างยั่งยืน

2.ขยายโอกาสระดมทุนให้บริษัททุกขนาดในภูมิภาค มุ่งเน้นบริษัทขนาดใหญ่ ธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่ บริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจในไทย บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ และ SMEs Startups

3.พัฒนาตลาดทุนแบบดิจิทัลเข้ามาเสริมตลาดทุนดั้งเดิมที่มีความเข้มแข็งในปัจจุบัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ระดมทุนและนักลงทุนยุคใหม่

4.เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานและการกำกับดูแล และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนที่แข็งแกร่ง โดยใช้ AI และ Generative AI เข้ามาช่วยพัฒนางาน

5.ขับเคลื่อนความยั่งยืน (Sustainability) ในทุกมิติ มุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมให้ บจ. นักลงทุน และบุคลากรตลาดทุน สามารถรับมือกับความท้าทายและโอกาสจากประเด็นความยั่งยืนรวมถึงกฎเกณฑ์ข้อบังคับใหม่ๆ ทั้งเรื่องวิกฤติสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ ตลอดปี 2567-68 จะได้พบกับการจัดกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนิทรรศการ 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ห้องสมุดมารวย ซึ่งเข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้, หนังสือ 50 ปี “5 Decades of SET” และจัดทำซีรีส์สื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ ตลอดจนกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG)

คอยติดตามอัปเดตข่าวสารและกิจกรรมต่างๆ ได้ที่นี่ จะได้ร่วมสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคนไปด้วยกัน!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS อยู่เคียงข้างนักขายออนไลน์ ดึง 5 กูรูขั้นเทพเผยไต๋ปั้นยอดขายให้ได้หลักล้าน ผ่านคลาสออนไลน์ฟรี

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ตอกย้ำการอยู่เคียงข้างกลุ่มผู้ประกอบรายย่อยและนักขายออนไลน์ ผ่านการส่งมอบสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ ไม่ว่าจะเป็นแพ็กเกจ โปรโมชั่น อินเทอร์เน็ตและตัวช่วยการขาย ล่าสุด เตรียมเปิดคลาสสอนสดออนไลน์ เจาะกลยุทธ์การขาย “AIS อัปเวล พร้อมอัปเซลให้นักขาย” ทั้งพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ นักขายมือใหม่ หรือ เจ้าของธุรกิจ บุคคลทั่วไป ที่อยากเริ่มหารายได้เสริมจากการค้าขาย หรือ ธุรกิจส่วนตัว หรือแม้แต่ องค์กร หรือ ทีมการตลาด ที่ต้องการอัปเดทเทรนด์การตลาดในปัจจุบัน พร้อมตามเทรนด์ฟีเจอร์ใหม่ให้ทัน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจและองค์กร

งานนี้อัดแน่นเนื้อหาสร้างยอดขายแบบพุ่งทะยานด้วยเครื่องมือการทำการตลาดยอดฮิต และฟังสุดยอดเทคนิคที่จะทำให้คุณกลายเป็นสุดยอดนักขาย พบกับ

  • ไอเดียการทำคอนเทนต์และการไลฟ์ให้ลูกค้ากดซื้อสินค้าจนหมดสต็อก จากกูรูมากประสบการณ์
    อย่าง คุณแอ๊ม จากช่องการตลาดการเตลิด ที่จะมาเผยไอเดียการทำคอนเทนต์แบบอัปเดตล่าสุด 2024
  • รู้จักกับ 5 ฟีเจอร์ใหม่แบบปังๆ จาก Microsoft 365 ที่ช่วยบริหารจัดการธุรกิจได้ง่ายๆแค่ปลายนิ้ว
  • เทคนิคส่งของแบบไหน ถูกใจคนรับ สบายใจคนส่ง จาก Line Man
  • วิธีการจัดการออเดอร์ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน จาก MyOrder

งานนี้ AIS ตั้งใจจัดหนักจัดเต็มในทุกเรื่องเทคนิคอัปเซลนักขายออนไลน์ ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายและรับจำนวนจำกัด สามารถลงทะเบียนได้ที่  https://m.ais.co.th/rxHr3oyfJ แล้วพบกันในวันอังคารที่ 25 มิถุนายน 2567 เวลา 13.00 – 17.30น. ผ่านระบบ ZOOM

5 เคล็ดลับวิเคราะห์หุ้น IPO ก่อนลงทุน

0
บทความโดย ภัทรธร ช่อวิชิต AISA นักลงทุนเน้นคุณค่า

ปัจจุบันนักลงทุนให้ความสนใจหุ้น IPO (หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายครั้งแรกแก่ประชาชนทั่วไป : IPO) หรือเรียกว่า หุ้นน้องใหม่ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยวิธีการวิเคราะห์หุ้น IPO ก็ไม่แตกต่างจากหุ้นทั่วไปที่ซื้อขายในตลาดหุ้น ซึ่งต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจซื้อขาย ซึ่งมีเคล็ดลับ ดังนี้

1. ศึกษาข้อมูลพื้นฐานของหุ้น IPO

การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ต่อสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ซึ่งแสดงข้อมูลพื้นฐานของบริษัท เช่น นโยบายและภาพรวมการประกอบธุรกิจ ลักษณะการประกอบธุรกิจ ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ โครงการในอนาคต ผลการดำเนินงาน ข้อมูลสำคัญทางการเงินและการวิเคราะห์แผนการดำเนินธุรกิจในอนาคต หรือข้อมูลการจอง จัดจำหน่าย และการจัดสรรหุ้น เป็นต้น จึงเป็นเอกสารสำคัญในการตรวจสอบข้อมูลหุ้น IPO ก่อนลงทุน ซึ่งนักลงทุนสามารถดูข้อมูลนี้ได้จากเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต.

นอกจากข้อมูลหนังสือชี้ชวนแล้ว ยังต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานจากเว็บไซต์ของบริษัท เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การนำเสนอข้อมูลรายละเอียดหลักทรัพย์แก่นักลงทุน (Roadshow) เพื่อนำเสนอข้อมูลของผู้บริหารบริษัท ที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้จัดการจัดจำหน่ายหุ้น และข่าวสารจากสำนักข่าวต่าง ๆ อีกด้วย

2. วิเคราะห์ธุรกิจและการแข่งขัน

ก่อนตัดสินใจลงทุนหุ้น IPO ควรเข้าใจธุรกิจนั้น ๆ ให้ลึกซึ้ง โดยดูข้อมูลจาก “โครงสร้างและการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท” เริ่มต้นจากการอ่านข้อมูลพื้นฐานของบริษัท เช่น ประวัติการก่อตั้ง การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการสำคัญ วิสัยทัศน์ โครงสร้างรายได้ เป็นต้น

จากนั้นให้พิจารณาข้อมูลอุตสาหกรรมและการแข่งขัน เพื่อทำความเข้าใจลักษณะการดำเนินธุรกิจ คู่แข่ง การเติบโตของอุตสาหกรรมในปัจจุบันและอนาคต โดยนำข้อมูลและตัวเลขมาประมาณการรายได้เพื่อนำไปประมาณการกระแสเงินสดที่จะได้รับในอนาคตสำหรับการประเมินมูลค่าหุ้น

3. วิเคราะห์งบการเงิน

เริ่มต้นจาก “ข้อมูลสรุป (Executive Summary)” และเข้าไปดูรายละเอียดที่ “การวิเคราะห์และคำอธิบายของฝ่ายจัดการ (MD&A)” ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหารต่อผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงินที่มีนัยสำคัญในงบการเงินงวดที่ผ่านมา รวมถึงปัจจัยหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ แนวโน้มที่จะมีผลกระทบต่อการดำเนินงาน ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่นักลงทุนนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน

นอกจากการอ่านงบการเงินสำหรับหุ้น IPO เพื่อตรวจสอบสุขภาพการเงินแล้ว ยังสามารถประเมินได้ว่ามีโอกาสเป็น “หุ้นเติบโต” หรือ “หุ้นปันผล” หากบริษัทมีนโยบายระดมทุนเพื่อนำไปเร่งขยายธุรกิจ จะพบว่าอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) จะอยู่ในระดับสูง (เช่น 20 – 30 เท่า) และยอดขายและกำไรจะเติบโตขึ้นต่อเนื่อง และหากต้องการดูว่าบริษัทนำเงินที่ระดมทุนได้ไปลงทุนโครงการใด ให้ดูข้อมูล “โครงการในอนาคต”

สำหรับบริษัทที่มีลักษณะเป็นหุ้นปันผล ก่อนเข้าซื้อขายในกระดาน จะพบว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงการลงทุนก็เป็นเพียงขยายตามอุตสาหกรรม และ D/E Ratio จะอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก

4. คาดการณ์การเติบโตจากโครงการในอนาคต

ข้อมูล “โครงการในอนาคต” จะอธิบายว่าบริษัทจะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปทำอะไรบ้าง หากนำไปขยายธุรกิจ (เช่น สร้างโรงงานแห่งใหม่) และนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียน ต้องสะท้อนให้เห็นได้ว่านำไปลงทุนขยายธุรกิจ จากนั้นก็ต้องติดตามข้อมูลว่า บริษัทจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มสร้างรายได้เมื่อไหร่

หากบริษัทนำเงินที่ระดมทุนไปใช้หนี้ หากเป็นหนี้สินที่กู้มาเพื่อขยายโรงงานก่อนเข้าจดทะเบียนก็ไม่มีปัญหา เพราะทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายจะปรับลดลงในไตรมาสถัดไป ผลลัพธ์ คือ กำไรจะเพิ่มขึ้น D/E Ratio ลดลง ในทางกลับกัน หากช่วงก่อนจดทะเบียน บริษัทไม่มีการขยายธุรกิจ สินทรัพย์เท่าเดิม ขณะที่หนี้สินเพิ่มขึ้น แต่กำไรสะสมลดลง ที่สำคัญข้อมูล “โครงการในอนาคต” ไม่ได้ระบุรายละเอียดว่านำเงินไปลงทุนอะไร นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น  

5. คำนวณราคาหุ้นที่เหมาะสม

ราคาหุ้น IPO ที่เหมาะสม สามารถดูจาก P/E Ratio ปัจจุบัน โดยพิจารณาในข้อมูลสรุป (Executive Summary) โดยคำนวณจากกำไรย้อนหลัง 4 ไตรมาสหารด้วยจำนวนหุ้นหลัง IPO หากหุ้นที่มีการเติบโตมักจะขายราคา IPO ในราคาค่อนข้างสูง ดังนั้น นักลงทุนต้องทำการบ้านเรื่องการเติบโตในอนาคตว่าบริษัทจะเติบโตจากปัจจัยอะไรบ้างและยาวนานแค่ไหน (สามารถใช้ข้อมูลบทวิเคราะห์เข้ามาประกอบด้วย)

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่าการประเมินมูลค่าธุรกิจทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจและข้อมูลที่มี เช่น เปรียบเทียบราคา IPO กับ มูลค่าตามบัญชี (P/BV) หรือกำไรต่อหุ้นที่คาดการณ์ของบริษัท แล้วนำมาเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดราคา IPO โดยบางครั้งบริษัทอาจตั้งราคาจองซื้อ IPO สูงเกินไป ทำให้นักลงทุนไม่มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี หรือประเมินมูลค่ากิจการเอง โดยนำค่า P/E, P/BV หรือ P/Sales ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมคูณกับ EPS, BVS หรือ Sales ที่คาดการณ์ของบริษัท หรือใช้วิธี DCF (เหมาะกับธุรกิจที่คาดการณ์กระแสเงินสดในอนาคตได้) เมื่อได้มูลค่าที่เหมาะสมของกิจการแล้วนำไปเทียบกับราคา IPO ว่ามี Upside Gain หรือไม่ และอยู่ในระดับที่น่าสนใจลงทุนไหม

ตามไปดูน้องๆ “รร.บ้านต่างตา” จ.นครราชสีมา ใช้ Active Learning เรียนรู้ควบคู่ลงมือปฏิบัติ

0

“ศตวรรษที่ 21” ยุคแห่งการนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆมาใช้ รวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเด็กไทย ซึ่งรูปแบบการเรียนรู้ Active Learning ถูกนำมาใช้ในสถานศึกษา เน้นการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ ตามแนวคิดผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้

เช่นเดียวกับ “โรงเรียนบ้านต่างตา” ตำบลหนองจะบก จังหวัดนครราชสีมา ที่เห็นความสำคัญของ Active Learning และได้รับโอกาสจากการเข้าร่วมโครงการของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED โดยปีการศึกษา 2565 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)หรือซีพีเอฟ ดำเนิน”โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเด็กไทยก้าวสู่ศตวรรษใหม่ที่ 21″

ถึงแม้ว่า”โรงเรียนบ้านต่างตา”จะเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีจำนวนนักเรียน 170 คน แต่นโยบายจากผู้อำนวยการโรงเรียน”นายประมวล สุวรรณบุบผา” ส่งเสริมการนำกระบวนการ Active Learning มาช่วยในการพัฒนานักเรียนตามความถนัดและความสามารถของผู้เรียน ฝึกทักษะกระบวนการคิด การทำงานร่วมกับผู้อื่น การประยุกต์และนำความรู้มาใช้ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ในวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์

รวมไปถึงการจัดค่ายวิชาการ ที่เป็นโอกาสให้คุณครูของโรงเรียนบ้านต่างตาซึ่งส่วนใหญ่เป็นครูบรรจุใหม่ ขาดประสบการณ์ในการทำค่ายวิชาการ ได้มีส่วนร่วมและสังเกตเทคนิคของวิทยากร เรียนรู้เทคนิควิชาการจากการจัดค่ายไปต่อยอดสร้างค่ายวิชาการได้เองในโอกาสต่อไป และประยุกต์ใช้กับการจัดการเรียนการสอนได้อย่างยั่งยืน และสิ่งที่นักเรียนได้รับ คือ เรียนรูุ้ในการหาคำตอบด้วยตนเองจากสิ่งที่สนใจ จนเกิดเป็นความรู้ ความเข้าใจ และนักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้

“น.ส.อริยา พรมบุตร” คุณครูผู้รับผิดชอบโครงการ CONNEXT ED ของรร.บ้านต่างตา กล่าวว่า กิจกรรมที่รร.จัดให้กับนักเรียนภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาฯ ทำให้นักเรียนได้รับความรู้และความสนุกสนานควบคู่กัน นักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียน มีความเข้าใจและเห็นความสำคัญของเนื้อหาวิชาการที่ถูกนำเสนอ ส่งผลต่อการเรียนและการใช้ชีวิตประจำวันของนักเรียน คุณครูสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการจัดการสอน ผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผลการทดสอบระดับชาติ O-NET สูงกว่าระดับประเทศทุกรายวิชา

ด.ช.เลิศศักดิ์ แก้วไตรรัตน์ นร.ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เล่าว่า กิจกรรม Active Learning ทำให้ผมเรียนด้วยความสุข สนุนสนาน ไม่เครียดกับการเรียน คุณครูใช้กิจกรรม Active Learning ผมสนุกกับกิจกรรมต่างๆ ที่ครูได้จัดให้ ตอนนี้ผมคิดว่าคณิตศาสตร์เป็นมากกว่าตัวเลข ขอขอบคุณโครงการคอนเน็กซ์ อีดี
และซีพีเอฟ ที่มอบโอกาสและสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ ให้กับโรงเรียนของเรา

ด.ญ.สุภัสสร เหี้ยมจะบก เพื่อนนักเรียนชั้นเดียวกัน กล่าวว่า หนูได้รับความสนุกสนานจากเกมต่างๆ ที่ครูจัดมาให้ และบูรณาการกับวิชาคณิตศาสตร์ การที่มีสื่อการ
สอน ทำให้มีความเข้าใจและรู้สึกสนุกกับการเรียนมากขึ้น เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่ม เกิดความสามัคคีในการทำงาน หนูเองได้ความรู้จากสูตรลัดน่ารู้มากมาย ขอขอบคุณ
คอนเน็กซ์ อีดี ที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมดีๆของโรงเรียนเรา

“โรงเรียนบ้านต่างตา” เป็น1 ใน 302 โรงเรียน ในโครงการคอนเน็กซ์ อีดี ภายใต้การดูแลของซีพีเอฟ ภาคเอกชนที่ร่วมก่อตั้งมูลนิธิคอนเน็กซ์ อีดี ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการปูพื้นฐานการศึกษาที่ดี และส่งมอบโอกาสดีๆให้กับเด็กและเยาวชนไทย เพื่อสร้างเด็กดี เด็กเก่ง และมีคุณธรรม เป็นกำลังที่แข็งแกร่งในการพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า พร้อมรับมือกับโลกแห่งอนาคต .

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยกระดับมาตรการกำกับดูแลบจ. ปรับปรุงเกณฑ์คุมเข้มห้ามประกอบธุรกิจลักษณะ Investment Company เริ่ม 1 ก.ค. 67

0
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้ายกระดับมาตรการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน ปรับปรุงเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนที่ต้องไม่มีลักษณะเป็น Investment Company ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ในประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน โดยเพิ่มความเข้มงวดและประสิทธิภาพในการกำกับดูแล ตลอดจนคุ้มครองประโยชน์ของผู้ลงทุน ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 1 ก.ค. 67 เป็นต้นไป                     

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ปรับปรุงเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนที่ต้องไม่มีลักษณะเป็นการบริหารจัดการเงินลงทุน (Investment Company) ตั้งแต่การรับบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียน จนถึงการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน ให้มีความสอดคล้องกันกับหลักเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. โดยกำหนดให้บริษัทที่ยื่นคำขอเข้าจดทะเบียน และบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ใน SET และ mai ต้องไม่มีการดำเนินงานในลักษณะที่เป็น Investment Company หากบริษัทจดทะเบียนมีลักษณะการดำเนินงานดังกล่าว ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย CC (Non-Compliance) เพื่อเตือนให้ผู้ลงทุนเพิ่มความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนของบริษัทดังกล่าว และหากบริษัทจดทะเบียนนั้นไม่สามารถแก้ไขลักษณะดังกล่าวได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย SP (Trading Suspension) ตามระยะเวลาที่กำหนด และอาจพิจารณาเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน ตามลำดับ ซึ่งการกำหนดมาตรการดังกล่าวเป็นการเพิ่มความเข้มงวดและประสิทธิภาพในการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน ตลอดจนเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ลงทุน ตามแผนกลยุทธ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้านยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน

ทั้งนี้ เกณฑ์ดังกล่าวได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. แล้ว โดยจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป

ผู้ลงทุนและผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเกณฑ์เกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนที่เป็น Investment Company ได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th ภายใต้หัวข้อ “กฎเกณฑ์/การกำกับ” และ “กฎเกณฑ์ – หนังสือเวียนส่วนที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์จดทะเบียน”

เชฟแคร์ส โชว์แนวคิด ‘กล่องนี้ดีที่สุข’ ส่งต่อความรัก-ความอร่อย ร่วมงานมหกรรมอาหาร THAIFEX – Anuga Asia 2024

0

เชฟแคร์ส (Chef Cares) นำเมนูอาหารพร้อมทานและขนมหวาน จัดแสดงบูธในงาน THAIFEX – Anuga Asia 2024 ด้วยแนวคิด “กล่องนี้ดีที่สุข” เพราะอาหารเป็นตัวแทนการส่งต่อความรักและความอร่อยที่่รังสรรค์ด้วยใจของเชฟแนวหน้า เพื่อสร้างความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ ร่วมสนับสนุนการเข้าถึงอาหารคุณภาพหลากหลาย พร้อมคุณค่าทางโภชนาการจากการใช้วัตถุดิบระดับพรีเมียม โดยกำไรทั้ง 100% จะนำคืนสู่สังคม ผ่านเชฟแคร์ส โปรเจกต์ วิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อสร้างโอกาสและมอบแนวทางประกอบอาชีพในวงการอาหารให้แก่เด็กและเยาวชนผู้ห่างไกลและด้อยโอกาสได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

ครั้งนี้ เชฟแคร์สนำเมนูไฮไลท์ของเชฟชื่อดังอย่าง 1.) กะเพราหมูคูโรบูตะและข้าวญี่ปุ่น โดย เจ๊ไฝ-สุภินยา ยกระดับเมนูผัดกะเพราที่หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเมนูธรรมดา เป็นเมนูสุดพรีเมียมให้ทุกคนได้อร่อยในราคาหลักสิบ 2.) แกงเผ็ดเป็ดย่าง โดย เชฟนูรอ เชฟอาหารไทย จากภัตตาคาร Blue Elephant ที่ครองใจคนทั่วโลก นำเนื้อเป็ด ชิ้นพอดีคำ เนื้อนุ่มละมุนลิ้น คลุกเคล้าผสมผสานกับแกงเผ็ดที่ปรุงอย่างพิถีพิถัน หอม รสชาติกลมกล่อม 3.) ไก่ทิกก้ามาซาล่าและข้าวหุงขมิ้น ฝีมือเชฟดีเค ร้าน HAOMA อาหารสัญชาติอินเดียที่อัดแน่นไปด้วยเครื่องเทศมาซาล่า ปรุงเข้ากับไก่เบญจา ได้รับการรับรองเครื่องหมายฮาลาล (Halal)

ทั้งนี้ พบกับผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ ‘เจ๊ไฝ’ ทั้งซอสพริกศรีราชา ซอสกะเพรา ซอสผัดขี้เมา ซอยหอยนางรม พริกเผา และแจ่ว มาร่วมจัดแสดงเป็นที่แรกอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีขนมหวาน อาทิ มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเสียบไม้แช่แข็ง มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเคลือบช็อกโกแลตแช่แข็ง เป็นต้น

บูธเชฟแคร์ส พร้อมแล้วที่จะส่งมอบกล่องอาหารสร้างความสุข ที่หมายเลข 3-O65 อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 3 ศูนย์การค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งเปิดให้ประชาชนเข้าร่วมและเลือกซื้อสินค้าคุณภาพราคาพิเศษ ในวันที่ 1 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00-20.00 น.

รู้เก็บรู้ออม : เคล็ดลับลงทุนหุ้น IPO

0

สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นแล้ว หลายคนมีทัศนคติเชิงบวกกับหุ้นน้องใหม่ หรือหุ้น IPO ซึ่งก็คือ หุ้นของกิจการที่เปิดเสนอซื้อขายให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกว่า มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดี จึงทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่พร้อมบวก เข้ามาลุยซื้อหุ้นในวันแรกที่หุ้นเข้าตลาด เพราะคาดหวังว่าจะทำกำไรได้ง่ายและเร็ว

ยิ่งหุ้น IPO ของบริษัทใหญ่ มียอดจองถล่มทลายจนต้องแย่งกันจอง ทำให้มีหุ้นไม่เพียงพอกับความต้องการ ก็จะยิ่งเป็นที่หมายปองของนักลงทุน เกิดการแห่ซื้อหุ้นตัวนั้นในวันแรกที่เข้าตลาด โดยที่นักลงทุนอาจจะไม่รู้จักหุ้นตัวนั้นเสียด้วยซ้ำ ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางการลงทุนที่ไม่ถูกต้องนักเพราะไม่ใช่หุ้น IPO ทุกตัวจะสร้างความสุขให้กับนักลงทุน บางตัวเปิดมาวันแรก ราคาต่ำจองก็มี หรือซื้อปุ๊บติดดอย ก็มีให้เห็นมาแล้วหลายตัว

SET investnow แหล่งรวบรวมความรู้เรื่องการลงทุน จะมาบอกเคล็ดลับให้กับนักลงทุนในการเลือกลงทุนหุ้น IPO เพื่อให้ได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งจริงแล้ว อาศัยพื้นฐานที่ไม่แตกต่างกับการลงทุนหุ้นทั่วไปที่ซื้อขายในตลาดหุ้น นั่นคือ การทำความรู้จักในหุ้นตัวนั้นให้ดีเสียก่อนตัดสินใจลงทุน อย่าจองซื้อหุ้น IPO แบบไม่รู้อะไรเลยเด็ดขาด เริ่มจาก

1.ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน นักลงทุนสามารถตรวจสอบข้อมูลหุ้น IPO ก่อนลงทุนได้จากเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต., หนังสือชี้ชวน, ข้อมูลกิจการจากเว็บไซต์ของบริษัท, ตลาดหลักทรัพย์ฯ และข่าวสารต่างๆ

2.วิเคราะห์ธุรกิจและการแข่งขัน รู้จักว่าบริษัททำธุรกิจ และอยู่ในอุตสาหกรรมอะไร มีคู่แข่งเป็นใครบ้าง และอนาคตของธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตอย่างไร น่าสนใจต่อการลงทุนหรือไม่

3.อ่านงบการเงิน จะเป็นตัวบอกสุขภาพการเงินของกิจการ และช่วยประเมินได้ด้วยว่า หุ้นตัวนี้มีโอกาสเป็น หุ้นปันผล ในอนาคตหรือไม่ โดยหุ้นที่เข้าข่ายนี้ มักจะมีผลการดำเนินงานที่โตแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงการลงทุนก็เป็นเพียงขยายตามอุตสาหกรรม และอัตราส่วนหนี้สินต่อผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) อยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก

4.ดูแผนงานในอนาคต บริษัทจะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปใช้ทำอะไร เช่น ใช้ขยายกิจการ, ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทำให้เราเห็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น

และ 5.ราคาหุ้น IPO เหมาะสมหรือไม่ เมื่อเทียบกับมูลค่ากิจการ ซึ่งมีวิธีดูหลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจและข้อมูลที่มี โดยใช้อัตราส่วนทางการเงินมาช่วยวิเคราะห์ได้ เช่น ราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) เพื่อประมาณการจุดคุ้มทุน, ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV), อัตราการจ่ายปันผล เป็นต้น

นักลงทุนจึงต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะทุกการลงทุนนั้น มีความเสี่ยง แต่การลงทุนแบบไม่รู้อะไรเลยนั้น เสี่ยงและอันตรายยิ่งกว่า

สำหรับมือใหม่หรือผู้ที่สนใจ อยากเรียนรู้เทคนิคการอ่านงบการเงินแบบง่ายๆ สามารถเข้าไปเรียนรู้ผ่าน e-Learning กับหลักสูตร “Financial Statement Analysis” ได้ฟรี ตามลิงก์นี้เลย https://elearning.set.or.th/SETGroup/courses/363/info

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง” หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ