Home Blog Page 89

ซีพีเอฟ ย้ำม.ป้องกันโรคสัตว์ปีกระดับสูงสุด ผลิตเนื้อสัตว์ปลอดภัย

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ผลิตเนื้อไก่คุณภาพปลอดภัย ใช้เทคโนโลยีป้องกันและเฝ้าระวังโรคในสัตว์ปีก ลดความเสี่ยงการติดโรคจากคนสู่สัตว์ ส่งมอบเนื้อไก่ปลอดการปนเปื้อนเชื้อ ปลอดภัยต่อผู้บริโภค

สพ.ญ.ดร.นิอร บุญประเสริฐ ผู้บริหารสูงสุด สายงานบริการวิชาการสัตว์ปีกและศูนย์วินิจฉัยโรคสัตว์บก กล่าวว่า ซีพีเอฟ มุ่งเน้นในคุณภาพและความปลอดภัยทางอาหาร ดำเนินมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มงวดที่อาจปนเปื้อนตลอดกระบวนการเลี้ยงสัตว์ปีกทุกขั้นตอนและกระบวนการผลิต มีการตรวจสอบคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยได้รับการรับรองจากหน่วยงานตรวจสอบมาตรฐานระดับสากล

สพ.ญ.ดร.นิอร บุญประเสริฐ

สำหรับวัตถุดิบอาหารสัตว์ ที่จะนำมาให้สัตว์กินต้องมีความปลอดภัย ไม่มีเชื้อปนเปื้อน มีการคัดวัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยต้องมาจากวัตถุดิบที่สะอาด มีคุณภาพ มีสารอาหารครบถ้วน ขณะเดียวกันมีการทวนสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ต้องเป็นแหล่งที่มั่นใจได้ ไม่มีการปนเปื้อนของสารต่างๆ ที่จะส่งผลต่อตัวสัตว์และผู้บริโภค รวมทั้งต้องถูกต้องตามกฎหมาย

ด้านโรงเรือนเลี้ยงไก่ เป็นโรงเรือนระบบปิด (Evaporative Cooling System) สามารถปรับการระบายอากาศที่เหมาะสม ซึ่งในการเลี้ยงไก่สิ่งที่สำคัญคือ ไก่ต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีอากาศถ่ายเท ซึ่งระบบนี้ทำความเย็นด้วยการระเหยของน้ำ สามารถควบคุมอุณหภูมิ สภาพอากาศ ความชื้น ให้เหมาะสมกับสัตว์แต่ละช่วงวัย ทำให้สัตว์อยู่สบายและไม่เครียด

สพ.ญ.ดร.นิอร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน ในโรงเรือนมีการใช้ Internet of things (IOT) โดยนำระบบอินเตอร์เน็ตและระบบไวเลสมาใช้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้คนปฏิบัติงานได้ง่ายขึ้น มีการใช้คอมพิวเตอร์จากส่วนกลาง ที่สามารถมอนิเตอร์จากห้องควบคุมกลางได้เลย ซึ่งช่วยลดการเข้าไปภายในโรงเรือนของมนุษย์

ในขณะเดียวกัน มีการใช้กล้องติดตามสภาพแวดล้อมภายในโรงเรือน รวมถึงความเป็นอยู่ของสัตว์ให้อยู่อย่างสุขสบาย ได้แสดงพฤติกรรมของสัตว์อย่างมีความสุข อยู่สบาย จะกินน้ำกินอาหารดี และมีการนอนอาบแกลบ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งบอกว่า สัตว์อยู่สบาย เมื่อสัตว์มีความสุข สุขภาพดี สวัสดิภาพสัตว์จะดีตามด้วย ส่งผลทำให้สัตว์เจริญเติบโตได้ดี และได้เนื้อไก่ที่มีคุณภาพปลอดภัยต่อผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังมีระบบการให้อาหารแบบอัตโนมัติ โดยรถขนส่งอาหารจากภายนอกต้องผ่านมาตรการป้องกันโรคตามมาตรฐาน เช่น การพ่นยาฆ่าเชื้อทุกครั้งก่อนเข้าฟาร์ม จากนั้นจะนำอาหารไปโหลดใส่ไซโลหน้าโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ เพื่อเข้าสู่ระบบให้อาหารแบบอัตโนมัติของฟาร์ม (Auto Feeding System) โดยที่คนไม่จำเป็นต้องเข้าไปเทอาหารภายในโรงเรือนซึ่งลดความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่องโรคที่จะติดจากคนสู่สัตว์ได้

ซีพีเอฟ ยังมีทีมสัตวแพทย์บริการวิชาการด้านสัตว์ปีกในการเฝ้าระวังโรค โดยสัตวแพทย์จะเข้าไปตรวจติดตามสุขภาพของสัตว์ระหว่างการเลี้ยง มีการออกโปรแกรมการเก็บตัวอย่าง เพื่อตรวจติดตามสถานะการติดเชื้อโรค โดยเฉพาะโรคที่มีความสำคัญ เช่น โรคไข้หวัดนก โรคนิวคาสเซิล รวมถึงโรคแซลโมเนลล่า ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรคอาหารเป็นพิษให้กับผู้บริโภค ซึ่งมาตรการเฝ้าระวังเหล่านี้ จะยืนยันได้ว่าผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ ซีพีเอฟ ปลอดจากการปนเปื้อนของเชื้อที่กล่าวมาทั้งหมด

AXONS ร่วมระดมสมองนำเทคโนโลยีการเกษตรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในงาน Horizon 2030

0

AXONS ชี้ เทคโนโลยีการเกษตร (AgriTech) เป็นคำตอบและโอกาสของการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เป็นตัวขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ช่วยให้เกษตรกร และผู้ประกอบการสามารถเพิ่มผลผลิต สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น และสามารถปรับตัวทันต่อสภาวะตลาดและกฎการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

นายธีรพงษ์ วิชญเรืองรมย์ รองกรรมการผู้จัดการ ด้าน Strategic and Digital Transformation เป็นผู้แทนของ AXONS ร่วมแบ่งปันข้อมูล ความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะการนำโซลูชันด้านเทคโนโลยีทางการเกษตรเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของภาคเกษตรกรรมไทยร่วมกับเอกชนในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลของไทย ในงานประชุมเชิงปฏิบัติการ Horizon 2030 Collaborating for Digital Tomorrow จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีตัวแทนจากกว่า 100 องค์กรชั้นนำทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนจากแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมมาร่วมระดมสมองและให้ข้อเสนอแนะ ในรูปแบบ Round Table Discussion นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ใน 10 หัวข้อ เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

นายธีรพงษ์ กล่าวว่า AXONS ได้ร่วมให้ความคิดเห็นและคำแนะนำในหัวข้อ Agriculture Tech เพื่อเห็นความจำเป็นในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรและความท้าทายที่เกิดขึ้น ตลอดจนแนวทางการแก้ไขเพื่อสนับสนุนให้ภาคเกษตรกรรมของไทยมีความทันสมัย คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และข้อสรุปเบื้องต้นจากการระดมสมอง มีความเห็นร่วมกันว่าประเทศไทยมีภูมิประเทศและสภาพอากาศที่เอื้อต่อการทำการเกษตรมาก มีการผลิตสินค้าเกษตรที่หลากหลายทั้งภาคการเพาะปลูกและภาคปศุสัตว์ ซึ่ง AgriTech หรือ เทคโนโลยีทางการเกษตร จะเป็นคำตอบของการเกษตรไทยในอนาคต ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการผลิตทั้งเรื่องปริมาณและคุณภาพของผลผลิต เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันเพื่อรองรับจำนวนประชากรที่มีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึงการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่อาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงาน มีการใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งน้ำ ปุ๋ย พื้นที่เพาะปลูก ช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้า ช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับตัวรับกับเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในปัจจุบัน ประเทศที่พัฒนาแล้วที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ โดรน หุ่นยนต์ เทคโนโลยี IoT สำหรับประเทศไทยแม้ว่าเริ่มนำเทคโนโลยีทางการเกษตรมาใช้แล้ว แต่ยังไม่แพร่หลาย จากความท้าทายคือ ต้นทุนค่อนข้างสูง ยังไม่คุ้มกับการลงทุน และที่สำคัญเกษตรกรยังเข้าถึงแหล่งทุนได้จำกัด

นายธีรพงษ์ กล่าวเสริมว่า AXONS เป็นผู้นำด้านการพัฒนา AgriTech ในระดับสากล ตระหนักดีว่า AgriTech มาช่วยยกระดับมาตรฐานการผลิตและการทำงานของบริษัทชั้นนำอย่าง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ตลอดจนบริษัทในเครือซีพี และภาคเกษตรไทยสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ได้หลากหลายรูปแบบ อาทิ การใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมร่วมกับการใช้ IoT ช่วยวิเคราะห์ธาตุอาหารดิน นำไปสู่การเลือกปลูกพืชที่เหมาะสม การใช้โดรนถ่ายภาพช่วยการวิเคราะห์ปัญหาแปลงปลูกเพื่อใช้ปัจจัยทางการผลิตได้แม่นยำ การพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นผู้ช่วยเกษตรกร ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อช่วยแก้ปัญหาต่างๆ วิเคราะห์อาการโรคของพืชและสัตว์ หรือควบคุมกระบวนการผลิตประหยัดแรงงาน และค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นต้น

ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมฯ จะรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาของผู้เข้าร่วมงานไปสรุปแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเพื่อนำเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” หนุนน้องๆ สร้างคลังอาหารที่ยั่งยืน

0

การมีโภชนาการที่ดี สุขภาพแข็งแรง เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กในวัยเรียน โดยเฉพาะเยาชนในพื้นที่ทุรกันดารและชนบทห่างไกล ที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกายช้า ไม่สมวัยแล้ว ยังกระทบต่อพัฒนาการทางสมองด้วยเด็กๆ ด้วย

เป็นเวลา 36 ปีแล้ว ที่เครือซีพี ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF และ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ดำเนิน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” เพื่อสนับสนุนให้น้องๆ มีภาวะโภชนาการที่ดี สุขภาพแข็งแรง ห่างไกลจากภาวะทุพโภชนาการ เพราะได้รับประทานไข่ไก่ ที่มีโปรตีนสูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และเป็นไข่ไก่ ที่ได้จากจากฝีมือการดูแลของพวกเขาเอง

ขณะเดียวกัน โรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ ยังเปรียบเสมือนห้องเรียนอาชีพ ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร การจัดการผลผลิต นำไปสู่ความยั่งยืนของโครงการฯ นักเรียนทุกคนได้ศึกษานอกห้องเรียน ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ จากโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ ได้ลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอน กลายเป็นพื้นฐานความรู้ติดตัวพวกเขาตลอดไป นอกจากนี้ ไข่ไก่ สด สะอาด ปลอดภัย ส่วนที่เหลือ ยังกลายเป็น “คลังอาหารให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน” อีกด้วย

นับตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบัน มีโรงเรียนร่วมโครงการ 959 แห่งทั่วประเทศ ที่ CPF ให้การสนับสนุน ทั้งโรงเรือน พันธุ์ไก่ไข่ อาหารและอุปกรณ์ พร้อมทั้งส่งสัตวบาลผู้เชี่ยวชาญมาถ่ายทอดความรู้ เทคนิควิธีการเลี้ยงที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ การบริหารการเงิน การตลาดและจัดจำหน่าย ที่น้องๆ สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันและต่อยอดสู่อาชีพในอนาคตได้

ปัจจุบัน มีนักเรียน 213,794 แสนคน ครูและบุคลากรทางการศึกษา 16,086 คน และชุมชนอีก 2,374 แห่ง ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ นี้ และยังคงขยายความสำเร็จของโครงการฯอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการที่ดีให้แก่เด็กนักเรียน สร้างคลังอาหารในโรงเรียนและชุมชนอย่างยั่งยืน./

เมืองไทยประกันชีวิต เปิดตัว“66 Tower” ทำเลทองย่านสุขุมวิท รุกธุรกิจอาคารออฟฟิศให้เช่า

0

เมืองไทยประกันชีวิต จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ เปิด “66 TowerThe Living Workplace Solution อาคารออฟฟิศ  เกรดเอ สูง 28 ชั้น ย่านสุขุมวิท สร้างขึ้นภายใต้แนวคิด “Human Centric Living Workplace” ที่เน้นการออกแบบพื้นที่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง พร้อมโดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพ และง่ายต่อการเชื่อมต่อเศรษฐกิจชั้นในไปสู่ CBD Area  ตอบโจทย์ออฟฟิศสำหรับคนยุคใหม่  

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า อาคาร 66 TowerThe Living Workplace Solution  เป็นโครงการอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอ ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท ใกล้ซอยสุขุมวิท 66 ภายใต้คอนเซปต์ Human Centric Living Workplace  มุ่งเน้นออกแบบพื้นที่โดยเน้นผู้ใช้งานอาคารเป็นศูนย์กลาง บนเนื้อที่ 4-2-32  ไร่ สูง 28 ชั้น พื้นที่เช่าทั้งหมดประมาณ 30,000 ตารางเมตร  โครงการได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนตุลาคม ในปี 2564 ที่ผ่านมา โดยมีบริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CBRE เป็นตัวแทนในการปล่อยเช่าพื้นที่สำนักงานหลักของโครงการ ปัจจุบันมีอัตราการปล่อยเช่า (Occupancy Rate)    อยู่ที่ระดับ 60%  

โดย 66 Tower มีจุดเด่นที่หลากหลาย ทั้งด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมที่เน้นความทันสมัยควบคู่ไปกับความยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์การใช้พื้นที่ของผู้เช่า โดยโครงการเลือกใช้วัสดุที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและจัดให้มีพื้นที่สีเขียวในโครงการ สถานที่ตั้งซึ่งอยู่บนทำเลถนนสุขุมวิท ใกล้ซอยสุขุมวิท 66 ทำเลศักยภาพง่ายต่อการเชื่อมต่อย่านธุรกิจเศรษฐกิจชั้นใน  (CBD: Central Business District) โซนธุรกิจอุตสาหกรรม รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC: Eastern Economic Corridor) อีกทั้งสะดวกต่อการเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้าที่มีการสร้างสะพานเชื่อมโดยตรงกับรถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) สถานีอุดมสุข เข้ามายังตัวตึก รถโดยสารประจำทาง รวมถึงยังใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน ทั้ง 3 สาย (ทางด่วนเฉลิมมหานคร ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนบูรพาวิถี) และสามารถเดินทางไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้อย่างรวดเร็ว

ในโครงการยังเน้นความสำคัญของความสะดวกสบายในโครงการเพื่อให้การดำเนินธุรกิจของผู้เช่าเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด ได้แก่ การออกแบบพื้นที่เช่าในรูปแบบ Column Free Design  หรือพื้นที่เช่าแบบเปิดโล่งไม่มีเสากั้นกลางระหว่างพื้นที่      ทำให้ใช้พื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเกือบเต็ม 100% เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งาน และรองรับการเติบโตของธุรกิจของผู้เช่า มีสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางเมื่อเทียบกับขนาดพื้นที่ที่มากกว่าอาคารสำนักงานทั่วไป     เช่น จำนวนห้องน้ำ จำนวนลิฟท์โดยสาร เป็นต้น เพื่อให้ผู้เช่าได้รับความสะดวก รวดเร็ว ลดความแออัดในการใช้สอยพื้นที่ส่วนกลาง โครงการมีพื้นที่ Co-Working Space และห้องประชุมให้เช่าไว้อำนวยความสะดวก ภายในอาคารยังได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย การจัดการพลังงาน และระบบการควบคุมคุณภาพอากาศภายในอาคารทั้งการกรองฝุ่น PM 2.5 และการฆ่าเชื้อโรคด้วยเทคโนโลยี UVGI (Ultraviolet Germicidal Irradiation)      ในระบบปรับอากาศ มาตรฐานเดียวกันกับที่ใช้ในโรงพยาบาลชั้นนำ และสนามบิน มาใช้อีกด้วย

นอกจากนี้  66 Tower  ได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการอสังหาริมทรัพย์ การันตีด้วยรางวัลต่างๆ ที่ได้รับอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ จนถึงปัจจุบัน ประกอบด้วย รางวัล “Award Winner Office Development Thailand และ Best Office Architecture Thailand จากงาน  Asia Pacific Property Awards ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นเลิศในด้านการพัฒนาและการออกแบบอาคารสำนักงาน  ในปี 2562-2563  ได้รับการรับรองมาตฐานสากลเป็นอาคารสีเขียว LEED Green Building Certification with Gold standard ที่เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นในด้านความยั่งยืนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในปี 2564  รางวัล  BSA Building Safety Awards 2022” ระดับ Gold โดยสมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร จากโครงการประกวดอาคารโดดเด่นด้านความปลอดภัย ในปี 2565 และได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารด้านเทคโนโลยี “WiredScore” ระดับ GOLD เป็นกลุ่มแรกของประเทศไทย เพื่อยืนยันความเป็นเลิศด้านการเชื่อมโยงดิจิทัลทั่วโลกที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล วัดจากความสามารถในการเชื่อมต่อ (Connectivity) โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ความพร้อม (Readiness) และ นวัตกรรม (Innovation) ซึ่งได้รับในปี 2566

“เราเข้าใจพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ใช้พื้นที่สำนักงาน ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งในแง่ของการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานแบบ hybrid-workplace และการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยในการทำงาน  และหาแนวทางในการประยุกต์ใช้ระบบบริหารอาคารให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งยังปรับเงื่อนไขการให้บริการต่างๆ ให้มีความยืดหยุ่นเพื่อสอดคล้องกับความต้องการของผู้เช่ามากขึ้น  ดังนั้น 66 Tower ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสะดวกต่อการเข้าถึงในเมืองและออกนอกเมืองได้สะดวก เหมาะกับทุกขนาดธุรกิจ ตั้งแต่ Start Up ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ต้องการพื้นที่อาคารสำนักงานที่มีคุณภาพและใส่ใจในการออกแบบเพราะเราคำนึงถึงผู้ใช้งานอาคารเป็นหลัก”   นายสาระ กล่าว

นางสาวรุ่งรัตน์ วีระภาคย์การุณ กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า “สถานการณ์ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯเริ่มมีความคึกคักในปีที่ผ่านมา และในอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่สำนักงานให้เช่าในตลาดเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 830,836 ตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสของผู้เช่าในการเลือกสำนักงานที่ตอบโจทย์ความต้องการ อีกทั้งจะทำให้ผู้เช่าได้เปรียบเป็นอย่างมากในการต่อรองหาเงื่อนไขการเช่าที่ดี อย่างไรก็ตาม อาคารสำนักงานยุคใหม่ที่ได้มาตรฐานระดับสากล คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 94% ของอาคารสำนักงานใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น มีเป้าหมายที่จะพัฒนาเพื่อให้เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่คำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รวมถึงมุ่งเน้นสุขภาวะที่ดีของผู้เช่าพื้นที่สำนักงานและผู้ใช้อาคารเป็นสำคัญ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มแรงกระตุ้นไปยังอาคารสำนักงานเก่าที่มีอายุมากกว่า 25 ปี ซึ่งมีอยู่มากกว่า 60% หากอาคารเดิมที่ได้รับการดูแลอย่างดีผ่านการซ่อมแซมปรับปรุงใหม่ให้รองรับกับมาตรฐานสากลจะสามารถรักษาจำนวนผู้เช่าบางส่วนไว้ได้ ทั้งนี้เรายังเห็นว่าในช่วงปลายปีที่ผ่านมามีความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่า      เทรนด์น่าจะดำเนินต่อไปอีกในปีนี้”

“ในส่วนของเทรนด์ที่ต้องจับตามองของตลาดอาคารสำนักงานยุคใหม่ คือการให้ความสำคัญกับนวัตกรรมที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน และให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและนำเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาใช้ เราจะเห็นได้ว่า บริษัททั้งไทยและต่างชาติจะยึดหลัก ESG (Environment, Social and Governance) และข้อกำหนดของสำนักงานเพื่อความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งให้ความสำคัญและมีแนวโน้มผลักดันแนวคิดการดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน หรือ ESG (Environmental, Social, and Governance) ด้วยการเลือกอาคารสำนักงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล สำหรับโครงการ 66 Tower มีการออกแบบพื้นที่สำนักงานตามมาตรฐานอาคารสำนักงานระดับเกรดเอ ซึ่งไม่เพียงแต่ได้รับการรับรองมาตฐานสากลเป็นอาคารสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ LEED ระดับ Gold แต่ยังได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารด้านเทคโนโลยี หรือ WiredScore ระดับ GOLD อีกด้วย ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สำคัญอีกประการหนึ่งของอาคารสำนักงาน”

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของอาคาร 66 Tower  สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.66-tower.com หรือติดต่อ ณ สำนักงานขาย หรือหากต้องการสอบถามเกี่ยวกับการเช่าอาคารสำนักงานหรือพื้นที่ค้าปลีก สามารถติดต่อได้ทางโทรศัพท์ 02-119-1500 หรือ 02-119-2712 วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 08.30 – 17.00 น. 

ครั้งแรกกับบัตรเดบิตที่คุ้มครองชีวิตกับบัตรเดบิตออมสินอุ่นใจ สมัครได้แล้วที่ออมสินทุกสาขา

0

? บัตรเดบิตออมสินอุ่นใจ..บัตรเดบิตใบแรกและใบเดียวที่คุ้มครองชีวิต! ค่าเบี้ยจิ๋ว ๆ เพียงวันละ 4.38 บาท แต่คุ้มครองครบ ผลประโยชน์คุ้ม✨
? สมัครเลยที่ธนาคารออมสินทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
รายละเอียดเพิ่มเติม > https://shorturl.asia/1wHFo

? คุ้มครองชีวิตสูงสุด 600,000 บาท
? คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ 30,000 บาท/อุบัติเหตุแต่ละครั้ง (ไม่จำกัดจำนวนครั้ง)
? ค่าธรรมเนียมคุ้มค่า 4.38 บาท/วัน
? คุ้มครองต่อเนื่องจนถึงอายุ 80 ปี

*เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารและบริษัทฯ กำหนด
⚠️ รับประกันภัยโดย บมจ.ทิพยประกันชีวิต
⚠️ ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

รู้เก็บรู้ออม : ESG ยั่งยืนยง!!

0

เดี๋ยวนี้ เรื่องของ ESG เป็นที่รับรู้และยอมรับของนักลงทุนในวงกว้าง การตัดสินใจเลือกลงทุนหุ้นตัวไหน ก็จะพิจารณาดูว่ากิจการนั้นมีการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG คือมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลมากน้อยเพียงใด เพราะการลงทุนในหุ้นยั่งยืนเดี๋ยวนี้ไม่ได้แปลว่ากิจการนั้นจะได้รับแค่คำชื่นชมจากการมีความรับผิดชอบเพียงอย่างเดียว แต่ยังแสดงถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีกลับมาอีกด้วย

ที่ผ่านมา “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” มีบทบาทสำคัญด้านการส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) เปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของกิจการ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ถือเป็นงานสำคัญที่จะสร้างความแข็งแรงให้กับตลาดทุนในระยะยาว

ข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของรายงานด้านความยั่งยืน เมื่อเร็วๆนี้ มีการเปิดเผยตัวเลขที่น่าสนใจจากฐานข้อมูลของ SET ESG data platform ระบบจัดการข้อมูลที่ตลาดหลักทรัพย์ฯพัฒนาขึ้นเพื่อให้เข้าถึงข้อมูลด้าน ESG พบว่าในปี 2023 มี บจ.ที่รายงานปริมาณการปล่อย GHG จำนวน 445 บริษัท (เท่ากับครึ่งหนึ่งของ บจ.ทั้งหมดใน SET และ mai ที่มีอยู่รวม 835 บริษัท) โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 30%

ส่วนปริมาณการปล่อย GHG ในปีล่าสุด มีตัวเลขลดลง 6.1% จากปีก่อน คิดเป็น 634 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีปริมาณการปล่อย GHG สูง ได้แก่ กลุ่มพลังงาน, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มบริการ และยังพบว่าปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะมีสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกับการใช้พลังงานไฟฟ้าอีกด้วย

เป็นเรื่องน่ายินดีที่จำนวน บจ.ที่รายงานปริมาณการปล่อย GHG เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ตัวเลขปริมาณการปล่อย GHG ก็ต่ำลง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้มีจำนวน บจ.เปิดเผยข้อมูลนี้เพิ่มมากขึ้นนั้น มาจากมาตรการสนับสนุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวระบบจัดการข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ เองที่อำนวยความสะดวกให้กับ บจ.ในการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ต่างๆ, มาตรการจูงใจอื่นๆ เช่น การลดค่าธรรมเนียม, การมอบรางวัลให้บริษัทที่มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ตลอดจนการให้ความรู้ และความร่วมมือกับองค์กรรัฐ/เอกชนที่เกี่ยวข้อง

รวมถึงมาตรการของภาครัฐที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ทำให้มี บจ.ที่ไม่ได้อยู่ใน SET ESG มีแรงจูงใจในการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG มากขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 43% เท่ากับจำนวน 339 บริษัท และล่าสุดกับการปรับเงื่อนไขของ TESG โดยเพิ่มเพดานลดหย่อนภาษีเป็น 3 แสนบาท กับลดระยะเวลาถือครองเป็น 5 ปี น่าจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้กับ บจ.มากขึ้นอีก

จากผลสำเร็จที่เกิดขึ้น สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ในการสร้างความโปร่งใส, ตระหนักรู้ และการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG ให้มากขึ้น ซึ่งอนาคตสามารถต่อยอดไปถึงธุรกิจใหม่ๆ เช่น ตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่จะทำให้ผู้ประกอบการบริหารจัดการการปล่อยมลพิษให้สอดคล้องกับแผนการลดภาวะโลกร้อนได้ดียิ่งขึ้น!

คุณนายพารวย

กรุงเทพโปรดิ๊วส และ อีอาร์เอ็ม-สยาม ร่วมยกระดับมาตรฐานจัดซื้อสินค้าเกษตรสู่สากล ไม่รุกป่า ไม่เผา ยึดหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมรับกฎระเบียบการค้าโลก

0

บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) และ บริษัท อีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนระดับโลก จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “การยกระดับห่วงโซ่อุปทานด้านการเกษตรของไทยสู่ระบบการผลิตอาหารที่ยั่งยืน” โดยมีผู้แทนเกษตรกร ผู้แทนภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานภาครัฐสถาบันการศึกษา ผู้ตรวจสอบอิสระ รวมถึงองค์กรอิสระทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมแบ่งปันมุมมองและข้อเสนอแนะ เพื่อทวนสอบยืนยันความถูกต้องของระเบียบการใช้มาตรฐานการจัดซื้อวัตถุดิบทางการเกษตรอย่างยั่งยืน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ของ ISEAL Alliance หน่วยงานที่กำหนดบรรทัดฐานระหว่างประเทศในการพัฒนามาตรฐานความยั่งยืนรับระเบียบการค้าโลก

ไพศาล เครือวงศ์วานิช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในฐานะผู้จัดหาวัตถุดิบหลักทางการเกษตรสำหรับการผลิตอาหารสัตว์ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทดำเนินการทวนสอบยืนยันความถูกต้องของมาตรฐานการจัดชื้อวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารสัตว์ คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน และมันสำปะหลัง ที่จำเป็นต้องมีองค์กรกลาง (Third party) มาตรวจรับรองความโปร่งใส พร้อมกับรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม มั่นใจว่าหลักเกณฑ์ของมาตรฐานครอบคลุมทั้งด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ปราศจากการบุกรุกพื้นที่ป่าและการเผาแปลงเพาะปลูก บริหารจัดการแรงงานที่ดี เคารพหลักสิทธิมนุษยชน โปร่งใสและตรวจสอบได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs)

“การขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนจำเป็นต้องสานพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้การดำเนินจัดทำและการใช้มาตรฐานการจัดซื้อสินค้าเกษตร ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อเกษตรกร ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง สิ่งแวดล้อม สังคมไทยและสังคมโลก” ไพศาลกล่าว

อรรณพ ยังวนิชเศรษฐ ผู้แทนเกษตรกรสมาชิก RSPO องค์กรเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยปาล์มน้ำมันยั่งยืน จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า วันนี้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเกษตรกรกลุ่มต่างๆทั้ง มันสำปะหลัง ข้าวโพด ในประเด็นกาารปรับตัวกับมาตรฐานการจัดซื้อสินค้าเกษตร และความจำเป็นของระบบตรวจสอบย้อนกลับ และสนับสนุนว่ามาตรฐานควรได้รับการทวนสอบโดย Third party ปีละครั้ง

ด้าน ดร.สมคิด ดำน้อย ผอ.กองวิจัยพัฒนาพืชเศรษฐกิจใหม่และการจัดการก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคเกษตร กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ภาคเอกชนริเริ่มกำหนดมาตรฐานดังกล่าว ที่ผ่านมามาตรฐานในลักษณะนี้ใช้กับ ปาล์มน้ำมัน และ เกษตรอินทรีย์สร้างผลเชิงบวกกับทั้งเกษตรกร สังคมและสิ่งแวดล้อม ส่วนมาตรฐานตัวนี้กำหนดชัดเจนว่าไม่รุกป่า ไม่เผาทำลาย รวมถึงประเด็นด้านแรงงาน จึงมั่นใจว่าจะเป็นมาตรฐานที่ดีตัวหนึ่ง

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารของไทยกำลังปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ โดยเฉพาะกฎระเบียบทางการค้าสากล ทั้ง EU-CBAM (มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน)
EU-DR (กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่าของอียู) รวมถึง EU-CSRDDD (ข้อกำหนดให้ทุกบริษัทมีการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานอย่างรอบด้านความรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม) ทำให้ผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบทางการค้าและหลักเกณฑ์ด้านความยั่งยืนในระดับสากล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าเกษตรของไทยบนเวทีการค้าโลก

เจอร์ไฮ ผนึกพลังสัตวแพทย์ 12 สถาบัน สานต่อหมอหมาใจหล่อปี 5 ส่งต่อความรักให้สุนัขจรทั่วไทย

0

เจอร์ไฮ ส่งต่อความรักให้น้องหมาจรจัดกับโครงการ “หมอหมาใจหล่อ ส่งต่อความรักให้หมาจร” ปีที่ 5 จับมือนิสิตและนักศึกษาสัตวแพทย์ 12 ท่าน 12 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ ช่วยเหลือน้องสุนัขจรในมูลนิธิและสถานสงเคราะห์ 12 แห่งทั่วไทย

เจอร์ไฮ (Jerhigh) แบรนด์ผลิตภัณฑ์ขนมสุนัขอันดับ 1 และอาหารสุนัขชั้นนำ โดย บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลเพ็ทฟู้ด จำกัด ภายใต้บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ สานต่อโครงการหมอหมาใจหล่อ ส่งต่อความรักให้หมาจร ปีที่ 5 จับมือกับสัตวแพทย์ 12 ท่านจาก 12 สถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วประเทศ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนในสังคมเล็งเห็นสำคัญของการช่วยเหลือสุนัขจรจัด เช่น ลดปัญหาสุนัขจรจัดตั้งแต่ต้นเหตุ การดูแลสวัสดิภาพ รวมไปถึงการมอบอาหารและเพิ่มโอกาสให้สุนัขจรได้รับการดูแลและมีบ้านที่อบอุ่น

นายกิติศักดิ์ ลิ้มอำไพ กรรมการผู้จัดการ อินเตอร์เนชั่นแนลเพ็ทฟู้ด กล่าวว่า โครงการหมอหมาใจหล่อฯ จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดย 4 ครั้งที่ผ่านมา เจอร์ไฮได้มีส่วนช่วยดูแลน้องสุนัขอิ่มท้องมากกว่า 40,000 ตัว จาก 32 มูลนิธิและสถานสงเคราะห์ ทั้งนี้ยังมีส่วนกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างมีความรับผิดชอบ เหมือนสมาชิกในครอบครัว ให้ความรักตลอดชีวิต แม้รูปลักษณะและอุปนิสัยอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ความรักความซื่อสัตย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพื่อช่วยแก้ปัญหาสุนัขถูกทอดทิ้ง

โครงการ หมอหมาใจ หล่อส่งต่อความรักให้หมาจร ได้เชิญชวนผู้รักสุนัขร่วมทำบุญด้วยการเปิดโหวต ‘หมอหมาไอดอล’ ใน www.jerhigh.com ระหว่างวันที่ 6 ธันวาคม 2566 – 31 มีนาคม 2567 จากนั้นนำคะแนนโหวตทั้งหมดมาแปลงเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสุนัขเจอร์ไฮ (1 โหวต = Jerhigh จำนวน 10 กรัม มูลค่า 7 บาท) ซึ่งเจอร์ไฮสมทบเพิ่มให้เป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 5,000,000 บาท พร้อมส่งมอบผ่านหมอหมาใจหล่อทั้ง 12 ท่าน ไปยัง 12 มูลนิธิและสถานสงเคราะห์สัตว์จรทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังถือโอกาสเปิดโรงงานผลิตอาหารสุนัขเจอร์ไฮ ให้หมอหมาใจหล่อได้เยี่ยมชม เพื่อศึกษาและเห็นกระบวนการผลิตอาหารสุนัขที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับโลกอีกด้วย

สำหรับในปีนี้ มูลนิธิและสถานสงเคราะห์สัตว์จรที่ได้รับคัดเลือก เพื่อส่งต่อความรักจาก โครงการหมอหมาใจหล่อฯ จำนวน 12 แห่งในจังหวัดต่างๆ ได้แก่ มูลนิธิ The ARK Chiangmai จ.เชียงใหม่, มูลนิธิบ้านหมายิ้ม Smiledog Home Foundation อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา, กองทุนเพื่อน้องหมาไร้บ้านนครขอนแก่น จ.ขอนแก่น, สถานสงเคราะห์ บ้านเอเอฟสี่ขา จ.มหาสารคาม, บ้านนางฟ้าของสัตว์จร จ.สระบุรี, บ้านรักหมาศาลายา มหาวิทยาลัยมหิดล จ.นครปฐม, โครงการบ้านรักสุนัข มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช, กาญจนบุรีสี่ขา จ.กาญจนบุรี, เกาะสุนัข สวนพุทธมณฑล จ.นครปฐม, ศูนย์พักพิงสุนัข ป้าเล็ก จ.ชลบุรี, Khanom welfare ขนอมสงเคราะห์สัตว์ และมูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ (สาขาบางเลน) จ.นครปฐม

เจอร์ไฮ พร้อมเป็นสื่อกลางที่เติมเต็มความรักระหว่างผู้เลี้ยงกับสุนัข ภายใต้แนวคิด ‘Feed me with love’ หรือมองสุนัขดั่งมนุษย์ มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง ผ่านกระบวนการผลิตตามมาตรฐาน AAFCO เทียบเท่ากับอาหารมนุษย์ ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ตลอดจนการคัดสรรวัตถุดิบชั้นดี มีคุณภาพ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอน มาเป็นส่วนประกอบหลัก เพื่อให้สัตว์เลี้ยงสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาว

AIS ทุ่มเทพัฒนา 5G ครอบคลุมเป็นอันดับ 1 พร้อมพาลูกค้าสัมผัสประสบการณ์เครือข่ายที่จริงใจกับแคมเปญ “จริงๆ อุ่นใจ ทั่วไทยเน็ตแรง”

0

AIS เดินเครื่อง จัดหนักต่อเนื่องกับการตอกย้ำความเร็ว แรง และครอบคลุมของโครงข่าย AIS 5G พาลูกค้าเดินทางไปสัมผัสกับสัญญาณเน็ต 5G ที่จริงใจ ครอบคลุมแล้วกว่า 95% พร้อมมอบสิทธิพิเศษ เอไอเอส พอยท์ แบบทำถึง ทั่วไทย ยิ่งใช้ยิ่งได้ ยิ่งโอน ยิ่งเพิ่ม แลกได้ทั่วไทย จริงๆ เหนือ ใต้ ออก ตก ปล่อยแคมเปญแห่งปี “จริงๆ อุ่นใจ ทั่วไทยเน็ตแรง” ชวน 2 หนุ่มเกาหลีหัวใจไทย พี่จอง-คัลแลน จากผู้ใช้งานจริง สู่การเป็นพรีเซนเตอร์สมาชิกครอบครัว AIS ร่วมยืนยันเครือข่ายที่ 1 ตัวจริง

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “วันนี้พฤติกรรมของทุกคนล้วนเกี่ยวข้องกับการใช้งานบนดิจิทัลทั้งหมด โดยมิใช่เพียงแค่การสื่อสารเท่านั้น แต่ยังรวมถึง การใช้จ่าย การซื้อ สั่งสินค้าออนไลน์ การจองโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร หรือแม้แต่การท่องเที่ยวเดินทาง ดังนั้นกว่า 34 ปีที่ผ่านมา AIS จึงพร้อมทุ่มเทพัฒนาโครงข่ายสู่การเป็นถนน Super High Way ที่เข้าถึงทุกพื้นที่ เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์ ให้ทุกคนได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดในทุกมิติ ทั้งโครงข่ายสื่อสารที่เร็วแรงที่สุด สิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์มากที่สุด และงานบริการที่จริงใจจาก AIS”

วันนี้ลูกค้าจึงได้รับความพิเศษที่ดีที่สุดจากเครือข่าย AIS 5G ในทุกพื้นที่ทั่วไทย ที่ได้รับการการันตีจาก Ookla® ในปี 2023 และ Open Signal ในปี 2024 สององค์กรที่ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลอิสระต่อประสบการณ์ของผู้บริโภคบนมือถือที่มีมาตรฐานระดับโลกให้ AIS 5G เป็นเครือข่าย 5G ที่เร็วแรง และที่ดีที่สุดของไทยในทุกมิติ ทำให้วันนี้เราสามารถให้บริการ 5G ได้ครอบคลุมแล้วกว่า 95% ของพื้นที่ประชากร ด้วยการถือครองคลื่นความถี่มากที่สุด ครบทั้งย่านความถี่ต่ำ กลาง และสูง รวมกว่า 1460 MHz

นอกเหนือจากการใช้งานดิจิทัลที่ดีเยี่ยมทั้งทั่วไทยเน็ตแรงแล้ว เรายังส่งมอบสิทธิพิเศษผ่านพอยท์แพลตฟอร์มที่เชื่อมพลังของพาร์ทเนอร์ ทั้งร้านค้ารายย่อย และแบรนด์ชั้นนำ ที่ทำถึงทั่วไทย เริ่มต้น 1 คะแนน แลกรับความพิเศษทั้ง ฟรี ลด อัปไซส์ ตอกย้ำคอนเซ็ปต์ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” จากการจ่ายบิล ซื้อสมาร์ทโฟนและดีไวซ์ “ยิ่งโอนยิ่งเพิ่ม” โอนคะแนนจากพาร์ทเนอร์ “แลกได้ทั่วไทย จริงๆ” เหนือ ใต้ ออก ตก

ตอบโจทย์ลูกค้าเอไอเอส ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ทั้ง “ทีมเดินห้าง” กิน ดื่ม ช้อป แบรนด์ดังแบบจุใจ “ทีมอยู่บ้าน” แลกพอยท์ง่ายสะดวก จะโค้ดส่วนลดช้อปปิ้ง หรือฟู้ดดิลิเวอรี่ ก็ได้หมด และ “ทีมทั่วไทย” กินคุ้ม ช้อปฟิน ที่ร้านถุงเงินในทุกช่วงเวลาและการเดินทางทั่วประเทศ ปักหมุดใช้เอไอเอส พอยท์ 1 คะแนน มีค่ามากกว่าที่เคย ประเดิมแลกรับส่วนลดสูงสุด 20 บาท ที่ร้านกาแฟท้องถิ่นกว่า 800 ร้าน จาก 70 จังหวัดทั่วไทย นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถใช้เพียง 1 คะแนนติดสปีดมือถือให้เร็วกว่าเดิมด้วยแพ็กเสริม 5G BOOST Mode จำนวน 5GB ใช้ได้ 3 ชั่วโมง

นายปรัธนา กล่าวในช่วงท้ายว่า “ล่าสุดเปิดตัวแคมเปญ “จริงๆ อุ่นใจ ทั่วไทยเน็ตแรง” ที่ตั้งใจสื่อสารไปยังลูกค้าและคนไทยให้เห็นถึงคำมั่นสัญญาของ AIS ผ่านความตั้งใจ และจริงใจในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการเพื่อส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลให้กับลูกค้า ทั้งคุณภาพของเครือข่าย สิทธิประโยชน์ และงานบริการที่ดีที่สุด โดยชาว AIS รู้สึกดีใจที่ได้ต้อนรับ พี่จอง – คัลแลน เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน ในฐานะผู้ใช้งานจริงสู่การร่วมกัน Co-Create ผ่านรูปแบบของ Content ที่สามารถสื่อสาร บอกต่อการทำกิจกรรมที่ชื่นชอบผ่านประสบการณ์ใช้งานเครือข่ายที่ดี สัญญาณเน็ตที่จริงใจในทุกการใช้งาน รวมถึงความพิเศษจากร้านค้าพาร์ทเนอร์ของ AIS Points ด้วยเช่นกัน”

สามารถรับชมคอนเทนต์จาก AIS 5G จริง ๆ อุ่นใจ ทั่วไทยเน็ตแรง ได้ที่ https://m.ais.co.th/VYHzp9Dh9

หลังม่านความสำเร็จ

0

“หลังม่านความสำเร็จ” ของบริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จํากัด (มหาชน) หรือ SPA ที่เติบโตผ่านตลาดทุน ขยายกิจการ เพิ่มความสามารถการแข่งขัน และดำเนินธุรกิจอย่างเป็นระบบ

ในสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 กระทบโดยตรงต่อธุรกิจ SPA ต้องหยุดกิจการนานถึง 14 เดือน การเป็นบริษัทจดทะเบียน เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริหารกิจการผ่านวิกฤตในครั้งนี้ได้สำเร็จ

เรื่องราวความสำเร็จของ SPA ติดตามในคลิปนี้