Home Blog Page 77

AIS ผนึก Singtel และ Bridge Alliance เตรียมเปิดให้บริการหน่วยประมวลผลกราฟิก รายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

0

AIS ประกาศความพร้อมในการนำบริการหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU-as-a-Service – GPUaaS ) มาให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรธุรกิจ ผ่านการร่วมผนึกกำลังกับ Singtel และ Bridge Alliance ที่มีสมาชิกกว่า 34 รายทั่วโลกโดยร่วมมือกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ได้แก่ Maxis และ Telkomsel ซึ่งถือเป็นกลุ่มแรกที่เห็นโอกาสการเติบโตและความต้องการใช้งานการประมวลผลด้าน AI ของแต่ละองค์กรเป็นรายแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ความร่วมมือนี้เป็นการต่อยอดจากการประกาศของ Singtel ในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า จะเริ่มเปิดให้บริการ GPUaaS ในช่วงปลายปีนี้ โดยจะเปิดให้ลูกค้าองค์กรธุรกิจ ได้เข้าถึงการใช้งานการประมวลผลด้าน AI จาก NVIDIA ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน AI ได้รวดเร็วขึ้น ด้วยต้นทุนที่คุ้มค่า อันจะทำให้เป็นประโยชน์ต่อการเติบโตและการพัฒนานวัตกรรม ทั้งนี้พบว่า การนำ AI เข้ามาประยุกต์ใช้จะสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับกลุ่มภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สูงถึง US$1 trillion ในปี 2030 อีกทั้งยังสะท้อนการให้ความสำคัญของ AI ผ่านนโยบายของภาครัฐในภูมิภาคนี้ ที่มีการเปิดตัวแผนงาน AI ระดับชาติ พร้อมกับการกำหนดแผนการใช้เทคโนโลยีอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อส่งเสริมการใช้งานให้ได้เต็มประสิทธิภาพ

ภายใต้ข้อตกลงนี้ สมาชิกผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมภายใต้ Bridge Alliance จะสามารถเข้าถึงบริการ GPUaaS จาก Singtel และด้วยความต้องการ GPU ในภูมิภาคที่เพิ่มสูงขึ้น การขยายกลุ่มการใช้ GPU ก็จะเท่ากับเป็นการเร่งการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศเหล่านี้ด้วย

นายภูผา เอกะวิภาต รักษาการหัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS กล่าวว่า “เทคโนโลยี AI ได้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ถูกใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อยกระดับและเร่งการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ รูปแบบการให้บริการ AI ด้วยการประมวลผล ‘GPU as-a-Service’ จะสนับสนุนให้องค์กรเหล่านี้ ได้เข้าใช้งานเทคโนโลยีในการขยายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ AIS เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า GPUaaS จาก Singtel และ Bridge Alliance จะเสริมขีดความสามารถด้านเครือข่ายและดิจิทัลจาก AIS พร้อมช่วยสร้างคุณค่าและเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืนให้กับองค์กรภาคธุรกิจในประเทศไทย”

Mr. Bill Chang, CEO of Singtel’s Digital InfraCo unit กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมากจาก AIS, Maxis และ Telkomsel ในการร่วมให้บริการ GPUaaS กับเราตั้งแต่การเปิดตัว ความร่วมมือของ Bridge Alliance และ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในภูมิภาค จะช่วยให้เข้าถึงเทคโนโลยีและใช้งาน AI ได้เร็วขึ้นสำหรับภาคองค์กรธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม เป็นการมอบเครื่องมือที่จะช่วยสร้างผลิตภาพและคุณค่าให้แก่ธุรกิจ พร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและโซลูชันส์ยุคใหม่ นี่เป็นการเสริมเป้าหมายของเราที่ต้องการเป็นตัวกระตุ้นสำหรับนวัตกรรมและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและเศรษฐกิจดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Singtel ยังถือเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายแรกที่ได้นำ AI มาสู่ 5G Edge ผ่านแพลตฟอร์ม Paragon ซึ่งให้บริการภายใต้สิทธิบัตรของ Singtel ในการทดสอบโครงการ 5G@Sentosa สำหรับหน่วยงานรัฐบาลสิงคโปร์ โดยแพลตฟอร์ม Paragon ช่วยเชื่อมโยงและบริหารการทำงานของการประมวลผลแบบ Multi-edge ร่วมกับ NVIDIA GPU เพื่อเปิดให้ลูกค้าองค์กรธุรกิจสามารถพัฒนาการใช้งานร่วมกับ 5G พร้อมรองรับการขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว “ด้วยจำนวนผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่ให้บริการ 5G เพิ่มขึ้น เราเห็นการนำเสนอการใช้งาน AI แบบ real-time โดยใช้ความสามารถของ GPUaaS ร่วมกับ 5G edge ที่มีความหน่วงต่ำ ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ” Mr. Chang กล่าวเสริม

Dr. Ong Geok Chwee, CEO of Bridge Alliance กล่าว “ในฐานะกลุ่มพันธมิตรผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำซึ่งรวบรวมขีดความสามารถของสมาชิกในกลุ่มเข้าด้วยกัน เพื่อส่งมอบการริเริ่มของบริการใหม่ๆ ระดับภูมิภาค เรามีความดีใจและภูมิใจ ในความร่วมมือเพื่อนำประโยชน์จาก GPUaaS และการประมวลผลด้าน AI มาสู่กลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจ ด้วยความครอบคลุมที่กว้างขวางและความสามารถของเราในการบูรณาการบริการในประเทศต่างๆ การริเริ่มนี้ถือเป็นหนึ่งในหลายโครงการที่พิสูจน์คุณค่าของระบบนิเวศของ Bridge Alliance ในฐานะพันธมิตรด้านโซลูชันส์ที่ได้รับการยอมรับ สำหรับการขับเคลื่อนนวัตกรรมที่เหมาะสมและคุ้มค่า โดยเฉพาะสำหรับองค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจในหลายประเทศ”

Mr.Goh Seow Eng, CEO of Maxis กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่จะเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายแรกที่นำเสนอ GPUaaS ให้กับภาคธุรกิจในมาเลเซีย ข้อเสนอนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงระบบการประมวลผล และการจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงได้อย่างคุ้มค่า อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นในการปรับขนาดทรัพยากรตามความต้องการสำหรับงานที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น AI, Machine Learning, การสร้างแบบจำลอง 3 มิติ และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ในฐานะผู้นำด้านการสื่อสารโทรคมนาคมครบวงจรชั้นนำของมาเลเซีย เรายังคงมุ่งมั่นทำให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อ และดิจิทัลโซลูชันส์ที่ดีที่สุดได้อย่างง่ายดาย เพื่อให้ลูกค้าสามารถมุ่งเน้นไปที่การเติบโตทางธุรกิจของตนเองได้ต่อไป”

Mr. Wong Soon Nam, Director Planning and Transformation at Telkomsel กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้ช่วยให้ภาคธุรกิจในอินโดนีเซียสามารถเร่งการนำ AI มาใช้ได้อย่างง่ายดาย โดยการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานล้ำสมัยที่ให้ความมั่นใจได้ทั้งความสามารถในการปรับขนาดทรัพยากร รวมไปถึงความคุ้มค่าในการใช้งาน ด้วยการให้บริการจากแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่ครอบคลุมการทำงานในหลายตลาด และมอบความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจในการใช้ AI พร้อมการปรับแต่งให้เหมาะสมกับโครงข่าย 5G เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้วยการวางแผนเส้นทาง การยกระดับประสบการณ์ลูกค้าผ่านการแนะนำผลิตภัณฑ์ การเสริมสร้างความปลอดภัยด้วยการตรวจจับความผิดปกติหรือการทุจริต หรือการปรับปรุงการตัดสินใจด้วยการวิเคราะห์วิดิโอขั้นสูง ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องการมีการลงทุนล่วงหน้า ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของอินโดนีเซีย และเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ”

เมื่อเริ่มเปิดให้บริการ บริการ GPUaaS ของ Singtel จะใช้ H100 Tensor Core GPU-powered clusters ของ NVIDIA ซึ่งจะให้บริการจาก data center ที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งแห่ง Singtel จะเป็นกลุ่มผู้ให้บริการรายแรกๆ ที่ใช้เครื่องประมวลผลรุ่นใหม่ GB200 AI Server จาก NVIDIA บริการนี้จะขยายความสามารถในการให้บริการด้วย data center ที่พร้อมสำหรับ AI, มีการเชื่อมต่อความเร็วสูง, และมีความยั่งยืนโดย Nxera ธุรกิจให้บริการ data center ระดับภูมิภาคหลายแห่ง ทั้งในประเทศสิงคโปร์, ประเทศอินโดนีเซีย, ประเทศมาเลเซีย และในประเทศไทย (ได้แก่ GSA DC ร่วมกับ Gulf และ AIS) โดยจะเริ่มให้บริการได้ตั้งแต่กลางปี 2025 เป็นต้นไป

คอนเน็กซ์ อีดี ปูทางอาชีพนักเรียน รร.บ้านโนนสูงน้อย บุรีรัมย์ ดันร้านกาแฟ “CP สานฝันเด็กไทย”

0

การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันไม่ได้มุ่งเพียงเนื้อหาวิชาการเท่านั้น หลายโรงเรียนยังให้ความสำคัญกับแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” โดยจัดให้มีการสอนที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวันหรือชีวิตจริงของเด็กนักเรียนมากยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับการพัฒนาทักษะความสามารถรให้กับเด็กและเยาวชน

นายวินิต ศิริสันติเมธาคม ผู้อำนวยการ โรงเรียนบ้านโนนสูงน้อย ต.หนองชัยศรี อ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ เล่าว่า โรงเรียนบ้านโนนสูงน้อย เป็นโรงเรียนขนาดกลาง เปิดสอนระดับอนุบาล 2 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีนักเรียน 246 คน การเรียนการสอนของโรงเรียนบ้านโนนสูงน้อย มุ่งให้ “นักเรียนเป็นศูนย์กลาง” นอกจากด้านวิชาการที่เป็นพื้นฐานแล้ว ยังเน้นการเพิ่มเวลารู้ ด้วยการเพิ่มเวลาและโอกาสให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง เพื่อให้มีประสบการณ์ตรง รู้จักคิดวิเคราะห์ ฝึกการทำงานเป็นทีม และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีความสุข จากกิจกรรมสร้างสรรค์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน โรงเรียนบ้านโนนสูงน้อย ที่เป็นโรงเรียนดีประจำตำบล และเป็นหนึ่งในสถานศึกษาในโครงการ สานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) อยู่แล้ว จึงตัดสินใจเสนอโครงงานเรื่อง ร้านการแฟเด็กน้อย ร้อยเรียงสู่อาชีพ เพื่อสร้างทักษะในการประกอบอาชีพให้กับนักเรียน ถือเป็นการฝึกกระบวนการทำงาน และยังช่วยสนับสนุนการสร้างงาน สร้างอาชีพเสริม แลเพิ่มรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวของนักเรียน หลังจากเสนอโครงการแล้ว ก็ได้รับการอนุมัติและการสนับสนุนจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ให้จัดทำร้านจำหน่ายกาแฟและเครื่องดื่ม ภายใต้ชื่อร้าน “CP สานฝันเด็กไทย”

“ร้านกาแฟ “CP สานฝันเด็กไทย” เป็นโครงการที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชน และสอดคล้องกับนโยบายการดำเนินงานของโรงเรียน ที่ต้องการเสริมทักษะความรู้และอาชีพให้กับเด็กนักเรียน เพื่อปูพื้นฐานอาชีพให้กับพวกเขาในอนาคต ซึ่งร้านจำหน่ายกาแฟและเครื่องดื่มชงนั้นใช้เงินลงทุนไม่มาก หากนักเรียนจะนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดเป็นอาชีพของตนเองและครอบครัวก็สามารถทำได้ โรงเรียนก็อยากให้เด็กๆ ได้เป็นเจ้าของกิจการ โครงการฯ นี้จึงช่วยสานฝันการประกอบอาชีพของพวกเขาได้ สำหรับนักเรียนจะมีรายได้จากส่วนแบ่งการขาย และร้านเปิดเป็นบัญชีร้านเพื่อควบคุมรายรับรายจ่าย มีการทำบัญชีควบคู่ เพื่อให้ร้านดำเนินงานได้อย่างยั่งยืน มีคุณครูดูแล 4 คน มีนักเรียน 10 คนเป็นคนดูแลประจำร้าน โดยเด็กๆมีโอกาสเข้าเรียนรู้ทุกคน” ผอ.วินิต กล่าว

สำหรับน้องๆ นักเรียนที่ผ่านการฝึกประกอบอาชีพจากร้านกาแฟ ที่ผ่านมาจำนวนหนึ่งรุ่น เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 จำนวน 40 คน ซึ่งเป็นการเพิ่มเวลารู้ในที่คาบชุมนุมที่ ในช่วงบ่ายสามถึงสี่โมง ทุกวันจันทร์ จึงไม่กระทบกับการเรียนการสอน โดยมีน้องๆ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 24 คน ที่จบการศึกษาและได้ไปศึกษาต่อในลำดับชั้นที่สูงขึ้น ในจำนวนนี้ได้ใช้ความรู้จากการได้ศึกษาลงมือปฏิบัติจากโรงเรียน ไปใช้ในงาน Part Time ได้ทันที

ดญ.ฑิมพิกา ผมพันธุ์ หรือน้องแก้ม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หนึ่งในแกนนำนักเรียน บอกว่า ดีใจมากและขอขอบคุณที่ซีพีเอฟ สนับสนุนการเปิดร้านกาแฟ ทำให้มีร้านกาแฟและวัตถุดิบในการเปิดร้านกาแฟอย่างครบถ้วน และยังมีพี่ๆจากร้านสตาร์คอฟฟีมาเป็นวิทยาการช่วยสอน ฝึกอบรมการชงกาแฟสด และเครื่องดื่มต่างๆทำให้มีสูตรชงที่แน่นอน จนลูกค้าต่างติดใจในรสชาติที่อร่อย โครงการนี้ทำให้เรามีความรู้สามารถนำไปต่อยอดสร้างรายได้ให้ตัวเองและครอบครัวได้หลังจากจบการศึกษา หรือแม้แต่ช่วงวันหยุดปิดภาคเรียนก็สามารถแล้ว ทำเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ ที่สำคัญทักษะเหล่านี้ยังทำให้คว้ารางวัลในการประกวดโครงงานสร้างความภูมิใจให้กับพวกเรา

เช่นเดียวกับ ดช.ทีทายุ เทินสะเกษ หรือน้องอชิ นักเรียนชั้นเดียวกัน กล่าวว่า การได้ฝึกทักษะอาชีพร้านกาแฟ ทำให้มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ รู้เทคนิคการขาย การพบปะผู้คน สร้างความมั่นใจให้กับตนเองและเพื่อนๆ นอกจากการจำหน่ายกาแฟและเครื่องดื่มต่างๆที่หน้าร้าน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านข้างสหกรณ์โรงเรียนแล้ว เรายังขยายการจำหน่ายเป็นเครื่องดื่มชงบรรจุขวด ราคาย่อมเยาเพียงขวดละ 5 บาท ทำให้สะดวกต่อการดื่มและสามารถซื้อหาไปฝากครอบครัวได้ ถือเป็นอีกช่องทางการจำหน่ายที่สร้างรายได้เพิ่มให้กับโครงการ ขณะเดียวกัน ยังมีการรับคำสั่งซื้อสินค้าสำหรับงานต่างๆ รวมถึงการออกบูธในงานแสดงสินค้าต่างๆ อย่างเช่น งานของดีลำปลายมาศ ซึ่งบูธของเราได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และยังได้วางแผนต่อยอดสู่การทำเบเกอรี่ในอนาคตด้วย

โครงการ สานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี และซีพีเอฟ ภูมิใจที่ได้มีส่วนสนับสนุนนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ให้กับเด็กไทย และเป็นอีกพลังในการสนับสนุนให้น้องๆนักเรียนมีวิชาความรู้ติดตัวสู่อนาต และเปิดโลกกว้างทางการศึกษาและการยกระดับพัฒนาเด็กๆ มาอย่างต่อเนื่อง.

จิตอาสาซีพีเอฟ-เครือซีพี ลงพื้นที่ช่วยชาวบ้านประสบภัยน้ำท่วมจ.สุโขทัย

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เดินหน้าโครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม” ร่วมกับบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้แก่ ซีพีออลล์, ซีพี แอ็กซ์ตร้า แม็คโคร โลตัส, ข้าวตราฉัตร, ซีพีแรม, เจียไต๋ และทรู คอร์ปอเรชั่น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน พร้อมส่งกำลังใจให้พี่น้องผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือต่อเนื่อง

ล่าสุด นายสุชาติ ทีคะสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย รับมอบเนื้อหมูสด 100 กิโลกรัม และไข่ไก่สด 5,000 ฟอง จากซีพีเอฟ เพื่อส่งต่อให้แก่ โรงครัว ศูนย์ประสานการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 จ.สุโขทัย สำหรับไข่ไก่จำนวนนี้ 500 ฟอง พร้อมหมูบด 40 กิโลกรัม นำไปมอบแก่โรงครัวมูลนิธิเพชรเกษม วัดคลองกระโจง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย และอีก 1,500 ฟอง มอบให้แก่เพจอีจันช่วยน้ำท่วม

ก่อนหน้านี้ จิตอาสาได้ลงพื้นที่ จ.เชียงราย มอบอาหารสด ได้แก่ เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อเป็ด ไข่ไก่ และน้ำดื่ม สนับสนุนโรงครัวพระราชทาน กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 ในองค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

ขณะเดียวกัน ที่ จ.น่าน บริษัทฯ มอบวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหาร ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อหมู ไข่ไก่ น้ำดื่มซีพี ข้าวตราฉัตร อาหารพร้อมรับประทาน รวมถึงสิ่งของที่จำเป็น อาทิ ถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคบริโภค รถโมบายสัญญาณทรู 5G สำหรับโรงครัว 10 แห่ง ของกลุ่มแม่บ้านจิตอาสา เพื่อแจกจ่ายให้ผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใน 4 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองน่าน อ.ภูเพียง อ.ท่าวังผา และ อ.เวียงสา

ด้าน จิตอาสากลุ่มธุรกิจห้าดาวภาคเหนือ ลงพื้นที่มอบข้าวสารและน้ำดื่ม แก่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย และผู้แทนนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองดอกคำใต้ จ.พะเยา

โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม” ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อคลายความเดือดร้อนของประชาชน โดยจิตอาสาซีพีเอฟระดมสรรพกำลังกับบริษัทในเครือซีพี ร่วมกับหลายภาคส่วนเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้เข้าถึงอาหารและของใช้ที่จำเป็นอย่างเพียงพอ .

AIS และ กสทช. เคียงข้างผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ พร้อมดูแลเครือข่ายสื่อสาร 24 ชม.

0

AIS และ กสทช. เคียงข้างผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ พร้อมดูแลเครือข่ายสื่อสาร 24 ชั่วโมง ขยายเวลาชำระค่าบริการสำหรับลูกค้ารายเดือนและลูกค้า AIS 3BB FIBRE 3 เพิ่มวันใช้งานสำหรับลูกค้าเติมเงิน เพื่อให้สื่อสารได้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดลงพื้นที่มอบสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.ศรีสำโรง และ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย

จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ AIS และ กสทช. มีความห่วงใยต่อประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกท่านที่กำลังช่วยเหลือผู้ประสบภัยในขณะนี้ พร้อมอยู่เคียงข้างจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ โดยมีมาตรการดังนี้

ด้านการดูแลสัญญาณเครือข่ายเปิด War Room ตลอด 24 ชั่วโมง โดยกระจายทีมวิศวกร ไปยังพื้นที่เสี่ยงต่างๆ พร้อมมอนิเตอร์สถานีฐานในพื้นที่ประสบภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องปั่นไฟและน้ำมันให้พร้อมสำหรับสถานีฐานในจุดเสี่ยง รวมถึงส่งรถสถานีฐานเคลื่อนที่ (COW) เข้าไปในพื้นที่เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้บริการสื่อสารได้ต่อเนื่องอย่างดีที่สุด

ด้านการอำนวยความสะดวก เพื่อให้ติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างต่อเนื่อง AIS ได้ขยายระยะเวลาการชำระค่าบริการสำหรับลูกค้ารายเดือนและลูกค้า AIS 3BB FIBRE 3 และขยายระยะเวลาการใช้งานให้กับลูกค้าระบบเติมเงินในพื้นที่ประสบภัย ได้แก่ จังหวัดเชียงราย, พะเยา, แพร่, น่าน และสุโขทัย โดยลูกค้าที่ได้รับสิทธิดังกล่าว จะได้รับ SMS ยืนยัน
ด้านการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัย เข้าสนับสนุนสิ่งของจำเป็นต่อประชาชนในพื้นที่ประสบภัย โดยทีมงานเอไอเอสอาสา ได้ลงพื้นที่ปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องไปแล้วในพื้นที่ อาทิ จังหวัดพะเยา, เชียงราย, น่าน และแพร่

AIS และ กสทช. ขอยืนยันว่าเราจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไปเพื่อให้มั่นใจว่าเครือข่ายสื่อสารสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง และพร้อมเคียงข้างประชาชนในการผ่านพ้นวิกฤตภัยธรรมชาติครั้งนี้ไปด้วยกัน

เมืองไทยประกันชีวิต ปลื้มตัวแทนคุณภาพรับรางวัลระดับเอเชีย เวที Asia Trusted Life Agents & Advisers Awards 2024

0

เมืองไทยประกันชีวิต ประกาศความสำเร็จด้านคุณภาพตัวแทนของบริษัท รับรางวัลระดับเอเชีย คว้ารางวัล “ที่ปรึกษาการเงินแห่งปี” (Financial Advisor of the Year) ในงาน 9th Asia Trusted Life Agents & Advisers Awards 2024 เวทีประกวดระดับเอเชียของธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร Asia Insurance Review และ Asia Advisers Network รวมถึงตัวแทนคุณภาพที่ได้รับการผ่านคัดเลือกเข้าสู่รอบสุดท้าย (The Finalist)

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากความมุ่งมั่นทุ่มเทของบริษัท ในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพของบุคลากรฝ่ายขายอย่างต่อเนื่อง บริษัทได้ลงทุนในโปรแกรมการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะที่ทันสมัย เพื่อให้ที่ปรึกษาด้านการประกันชีวิตทุกคนมีความเชี่ยวชาญในด้านการให้คำปรึกษาและการบริการลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพมาโดยตลอด ตลอดจนด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการสร้างทีมขายที่มีคุณภาพและมีความเป็นมืออาชีพ บริษัทได้สนับสนุนให้บุคลากรทุกคนเติบโตในอาชีพอย่างยั่งยืนและสามารถให้คำแนะนำทางการเงินที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในทุกสถานการณ์ ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญของบริษัทที่จะยกระดับเป็น “คู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ” (No.1 Most Trusted Partner in Life & Health Planning)

ในโอกาสนี้ บริษัทขอประกาศถึงความสำเร็จของตัวแทนคุณภาพในระดับเอเชียที่เป็นที่ได้รับการยอมรับในฐานะที่ปรึกษาด้านการประกันชีวิตชั้นนำระดับภูมิภาค คือ คุณกรณ์ธินันท์ ดำรงเวชวาณิชย์ ที่สามารถคว้ารางวัล “ที่ปรึกษาการเงินแห่งปี” (Financial Adviser of the Year) ในงาน 9th Asia Trusted Life Agents & Advisers Awards 2024 งานใหญ่ประจำปีของวงการประกันชีวิต ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร Asia Insurance Review และ Asia Advisers Network โดยงานประกาศรางวัลดังกล่าวได้รับ การยกย่องว่าเป็นงานที่ทรงเกียรติและสำคัญที่สุดของวงการประกันชีวิตในเอเชีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องบุคคลและองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการให้บริการด้านการประกันชีวิตและการให้คำปรึกษาทางการเงิน

ทั้งนี้คุณกรณ์ธินันท์ ดำรงเวชวาณิชย์ เป็นผู้ได้รับรางวัล “ที่ปรึกษาการเงินแห่งปี” (Financial Adviser of the Year) เริ่มต้นเข้าสู่อาชีพ โดยไม่มีพื้นความรู้ทางด้านการเงินและประกันชีวิตแต่อย่างใด แต่ด้วยเป็นผู้ที่มีใจรักทางด้านการอ่านและพร้อมที่จะเรียนรู้ จึงพยายามค้นคว้าศึกษาความรู้เพิ่มเติมทั้งจากหลักสูตรที่ได้เข้าเรียนของบริษัทและหนังสือด้านการเงิน จนสามารถทำให้พิชิตคุณวุฒิ MDRT ในปี 2014-2016 (3 ปีติดต่อกัน) ทำให้ได้รับโอกาสสำคัญในการเข้าร่วมงานสัมมนาประจำปี MDRT ที่มีการจัดขึ้นที่เมือง Vancouver และ Toronto ที่ประเทศแคนาดา และเมือง New Orleans ที่สหรัฐอเมริกา จึงได้รับแรงบันดาลใจและเกิดความสนใจในสาขาที่ปรึกษาการเงิน และใช้เวลาหลายปีต่อจากนั้น เพื่อเรียนรู้จนสามารถได้รับคุณวุฒินักวางแผนทางการเงินที่เป็นที่ยอมรับในเอเชียแปซิฟิก (FChFP) และคุณวุฒิที่ปรึกษาการเงิน AFPT ในระยะเวลาต่อมา

ในช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ผ่านมา คุณกรณ์ธินันท์ได้เริ่มเปลี่ยนวิธีการทำงานโดยใช้ “พีระมิดการเงิน” เพื่อให้ข้อมูลและความรู้แก่ลูกค้า โดยเริ่มจากการคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ การวางแผนภาษี การวางแผนการลงทุน และการวางแผนมรดก โดยใช้กระบวนการ Face to Face ในการนำเสนอขาย รวมถึงมีการสร้างช่องทางดิจิทัล TikTok ในการให้ข้อมูลแบบสรุปสั้นกระชับและตรงประเด็นในรูปแบบคลิปสั้น ซึ่งเป็นที่ถูกใจคนใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวอย่างมาก จนสามารถมีผู้ติดตามสูงถึง 28,000 คน
นอกจากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและตัวแทนของเมืองไทยประกันชีวิตแล้ว คุณกรณ์ธินันท์ยังเป็นผู้ฝึกอบรมขั้นสูงและวิทยากรพิเศษของบริษัทที่สามารถฝึกอบรมตัวแทนใหม่ ตัวแทนปัจจุบัน และผู้จัดการฝ่ายขายมากกว่า 100 รุ่นทั่วประเทศ คุณกรณ์ธินันท์ ดำรงเวชวาณิชย์ และทีมที่ปรึกษาของเขามีเป้าหมายที่จะเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนการประกันชีวิตและการเงินให้แก่คนไทยทุกคน ผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งนับว่าเป็นบุคลากรฝ่ายขายที่มีคุณภาพตรงตามที่บริษัทได้ตั้งเป้าหมายไว้อย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ภายในงานมอบรางวัลดังกล่าว มีที่ปรึกษาประกันชีวิตของบริษัทที่สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้าย (Finalist) จำนวน 2 ท่าน ได้แก่ คุณมินาซ่าส์ บุญมาเลิศ ในหมวดรางวัล “Insurance Agent of the Year”และ คุณกัญญารัตน์ ยมนา ในหมวดรางวัล YOUNG EXECUTIVE OF THE YEAR โดยในงานนี้มีผู้บริหารบริษัทเข้าร่วมแสดงความยินดี ณ PARKROYAL COLLECTION Marina Bay ประเทศสิงคโปร์

“บริษัทขอชื่นชมตัวแทนคุณภาพทั้ง 3 ท่าน ที่ได้สร้างชื่อเสียงในครั้งนี้ ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่น ความเป็นเลิศในวิชาชีพ และการทุ่มเทในการให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความสามารถในการพัฒนาความรู้และทักษะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนร่วมอาชีพทุกคนของเมืองไทยประกันชีวิตจะก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จในฐานะที่ปรึกษาประกันชีวิต ตลอดจนเป็นแบบอย่างสู่ความสำเร็จของบุคลากรคุณภาพ เพื่อที่ตัวแทนท่านอื่นจะได้ประยุกต์ต่อยอดเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง” นายสาระกล่าวสรุป

ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกร่วมรับฟังข้อมูลสร้างความเชื่อมั่นเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ในงาน Thailand Focus 2024

0
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวสู่ปีที่ 50 จัดงาน “Thailand Focus 2024 : Adapting to a Changing World” เชิญผู้บริหารจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ ตลาดเงิน ตลาดทุน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 112 บริษัท จากทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ร่วมให้ข้อมูลสร้างความเชื่อมั่น เชื่อมโยงโอกาสการลงทุนแก่ผู้ลงทุนสถาบัน 178 ราย จาก 80สถาบันทั่วโลก สะท้อนตลาดทุนไทยยังเป็นเป้าหมายการลงทุนในสายตาผู้ลงทุนต่างประเทศ

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงการจัดงาน Thailand Focus 2024 ครั้งที่ 18 ภายใต้แนวคิด “Adapting to a Changing World” ว่า งาน Thailand Focus เป็นเวทีสำคัญที่แสดงถึงศักยภาพการลงทุนในไทยแก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลก โดยปีนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกร่วมงาน 178 ราย จาก 80 สถาบันทั่วโลก และในจำนวนนี้มีผู้ลงทุนจากกลุ่มประเทศหลัก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสวีเดน ที่ให้ความสนใจเข้าร่วมงาน รับฟังความพร้อมและศักยภาพของภาคเอกชน ตลาดทุน และเศรษฐกิจไทย ซึ่งหนุนความเชื่อมั่นและดึงดูดความสนใจลงทุนในประเทศไทย โดยมีผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน 112 บริษัท จากทุกกลุ่มอุตสาหกรรมร่วมให้ข้อมูลความแข็งแกร่งธุรกิจและทิศทางการเติบโตผ่านการประชุมทั้งรูปแบบ one-on-one และ group meeting

ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ

งาน Thailand Focus 2024 จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นเชื่อมโยงโอกาสการลงทุนแก่ผู้ลงทุนสถาบันต่างชาติ พร้อมนำเสนอให้เห็นถึงการปรับตัวและก้าวไปข้างหน้าของภาครัฐ ภาคตลาดทุน รวมถึงภาคเอกชนไทย โดยได้รับเกียรติจากหน่วยงานภาครัฐ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงนโยบายและโครงการภาครัฐที่จะขับคลื่อนเศรษฐกิจของไทยสู่การเติบโตในอนาคต และนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทย รวมถึงสถานการณ์ด้านสินเชื่อในภาคการเงิน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงในวงการธุรกิจและตลาดทุนที่ให้ข้อมูลการปรับตัวของตลาดทุนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่ปรับตัวต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศไทย และศักยภาพในการที่จะคว้าโอกาสจากบริบทใหม่ของโลก

“ผู้ลงทุนต่างชาติยังให้ความสนใจและติดตามการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย การขับเคลื่อนนโยบายที่มีอยู่เดิมให้เดินหน้าและแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต ที่จะส่งผลอย่างยิ่งต่อการลงทุนและการเติบโตของประเทศและตลาดทุนไทย ในส่วนของการประชุมร่วมระหว่างบริษัทจดทะเบียนกับผู้ลงทุนสถาบัน ก็ยังคงได้รับความสนใจเช่นกัน ทั้งบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในภาคธุรกิจที่เป็นจุดแข็งของประเทศและบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ให้ความใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการก้าวเข้าสู่ธุรกิจที่เป็น New Economy” นายภากรกล่าว

AIS ชู Secure Net+ Protected by MSIG บริการป้องกันการเข้าถึงเว็บไซต์หลอกลวง แถมประกันภัยเพอร์ซัลนัลไซเบอร์จาก MSIG 

0

AIS ตอกย้ำภารกิจปกป้องการใช้งานของลูกค้าให้อุ่นใจปลอดภัยจากแก๊งมิจฉาชีพ เปิดตัวบริการ Secure Net+ Protected by MSIG ชูจุดเด่นปกป้องการใช้งานและภัยคุกคามทางไซเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นไวรัส มัลแวร์ เว็บไซต์ปลอมหลอกลวง พร้อมแถมประกันภัยเพอร์ซัลนัลไซเบอร์ จาก MSIG ผู้นำธุรกิจประกันภัยและบริการด้านการเงินระดับโลก ที่มอบความคุ้มครอง อาทิ การโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล และโจรกรรมเงิน หรือการถูกหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ ทางออนไลน์ ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุด 50,000 บาท ภายในระยะเวลา 12 เดือน เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานออนไลน์ในโลกไซเบอร์ได้อย่างมั่นใจ

นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าธุรกิจโมบาย และสินค้าคอนซูเมอร์ AIS กล่าวว่า “ประกันภัยเพอร์ซัลนัลไซเบอร์ Secure Net+ Protected by MSIG เป็นการยกระดับและเพิ่มทางเลือกจากบริการ  AIS Secure Net โดย แถมประกันภัยคุ้มครองจาก MSIG ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุด 50,000 บาท ภายในระยะเวลา 12 เดือน นับแต่เมื่อสมัครบริการ เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการเข้าถึงเว็บไซต์อันตรายหรือหลอกลวง และยังคุ้มครองจากภัยไซเบอร์ที่แฝงมากับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ นับเป็นอีกหนึ่งบริการที่ตอกย้ำถึงเป้าหมายการทำงานของ AIS ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลที่มุ่งสร้างสังคมการใช้ดิจิทัลให้มีความเหมาะสมและสร้างสรรค์ เป็นโครงข่ายอัจฉริยะที่มีปลอดภัยในทุกการใช้งานสำหรับของลูกค้าและคนไทย”

นายรัฐพล กิติศักดิ์ไชยกุล กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ทาง MSIG รู้สึกดีใจที่ได้ผนึกกำลังกับทาง AIS มอบผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพอร์ซัลนัลไซเบอร์ที่ตอบโจทย์ป้องกันความเสี่ยงทางไซเบอร์ในปัจจุบัน สำหรับบริการ Secure Net+ Protected by MSIG เป็นบริการประกันภัยที่มอบความคุ้มครองจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นไวรัส มัลแวร์ หรือเว็บไซต์หลอกลวง ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาทที่มอบความคุ้มครองใน 4 รูปแบบหลัก

  • การคุ้มครองการสูญเสียเงินจากการถูกโจรกรรมทางการเงินออนไลน์ (Theft of Funds) ให้ความคุ้มครองไม่เกิน 50,000 บาท
  • การคุ้มครองความเสียหายจากการถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคล (Identity Theft) ให้ความคุ้มครองไม่เกิน 50,000 บาท
  • การคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการกู้คืนข้อมูลที่สูญหายหรือเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์ (Data Restoration) ให้ความคุ้มครองไม่เกิน 25,000 บาท
  • การคุ้มครองความเสียหายจากการซื้อสินค้าหรือบริการออนไลน์ที่ไม่ได้รับสินค้า (E-Commerce Shopping) ให้ความคุ้มครองไม่เกิน 25,000 บาท

ทั้งนี้ วงเงินคุ้มครองข้อ 1-4 รวมกันจะไม่เกิน 50,000 บาท ตลอดระยะเวลาประกันภัย 12 เดือน”

โดยวันนี้ลูกค้าสามารถสมัครบริการ Secure Net+ Protected by MSIG จะแถมประกันภัยไซเบอร์จาก MSIG ในราคาสุดคุ้มเดือนละ 39 บาทเท่านั้น สมัครง่ายๆ เพียงกด *689*10# โทรออก หรือรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.ais.th/consumers/lifestyle/apps-and-services/aunjai-cyber/securenet-plus

AIS ชวนคนไทยเชียร์ทัพนักกีฬาไทย คว้าเหรียญรางวัลในศึกพาราลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024 ดูฟรีทุกเครือข่ายบน AIS PLAY

0

AIS เตรียมส่งมอบความสุขให้กับคนไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำความบันเทิงด้านความหลากหลายของคอนเทนต์ กับการถ่ายทอดสดมหกรรมกีฬาระดับโลก พาราลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024 ในฐานะ Official Broadcaster อย่างเป็นทางการ พร้อมชวนคนไทยร่วมส่งแรงใจเชียร์ทัพนักกีฬาไทยหัวใจเหล็กทั้ง 79 คนใน 15 ประเภทกีฬา ยิงสด มากที่สุด จากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ให้คนไทยได้รับชมผ่าน AIS PLAY ในทุกช่องทาง รับชมฟรี! ทุกเครือข่าย พร้อมจัดเต็มทั้งไฮไลท์และการรับชมย้อนหลังให้ลูกค้า AIS รับชมฟรี

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าส่วนงาน AIS PLAY กล่าวว่า “หลังจากที่ AIS ทำหน้าที่สำคัญในการถ่ายทอดสดการแข่งขันโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 ในฐานะ Official Broadcaster ซึ่งได้ผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีถึงการนำความสุขมาให้คนไทยได้รับชมโดยเฉพาะการคว้าเหรียญรางวัลของทัพนักกีฬาไทยทั้ง เทควันโด แบดมินตัน มวยสากล ยกน้ำหนัก รวมถึงการแข่งขันในกีฬาชนิดต่างๆ ที่สร้างความประทับใจมากมาย และเพื่อเป็นการตอกย้ำการนำคอนเทนต์ระดับโลกที่สร้างความสุขมาให้คนไทยได้รับชม AIS ขอเป็นส่วนหนึ่งในส่งต่อความทรงจำความสำเร็จของนักกีฬาไทยอีกครั้งกับการถ่ายทอดสดการแข่งขัน พาราลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 ในฐานะ Official Broadcaster มหกรรมกีฬาคนหัวใจเหล็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกมาให้คนไทยได้รับชมฟรีทุกเครือข่ายผ่าน AIS PLAY แบบจัดเต็มอีกครั้ง”

สำหรับทีมชาติไทยในปีนี้ มีนักกีฬาพาราลิมปิกเข้าร่วมการแข่งขันจำนวน 79 คนใน 15 ประเภทกีฬา การแข่งขันครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงถึงความเข้มแข็งและศักยภาพของนักกีฬาหัวใจเหล็กของไทย แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนไทยทุกคนได้รับชมและร่วมส่งแรงใจเชียร์ทัพนักกีฬาไทยให้คว้าเหรียญรางวัลมาฝากคนไทย

AIS PLAY พร้อมประเดิมการถ่ายทอดสดพิธีเปิดในวันที่ 29 ส.ค. 2567 เวลา 01.00 น. (คืนวันที่ 28 ส.ค. 2567) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พิธีเปิดถูกจัดขึ้นนอกสนามกีฬาเช่นเดียวกับพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกของปีนี้ โดยขบวนพาเหรดจะเคลื่อนผ่านถนนช็องเซลีเซ ไปจนถึงจัตุรัสคองคอร์ด ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญและเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส โดยมีหอไอเฟลเป็นฉากหลัง พร้อมยิงยาวการถ่ายทอดการแข่งขันแบบจัดเต็มถึง 8 กันยายน 2567

โดยการถ่ายทอดสดครั้งนี้ AIS PLAY ได้เตรียมถึง 10 ช่องกีฬา มากที่สุดในไทย พิเศษบรรยายไทย 2 ช่อง แบบ FULL HD ให้คนไทยดูฟรีทุกเครือข่าย พร้อมไฮไลท์และรีรันให้ลูกค้าเอไอเอสชมฟรี รับชมได้ในทุกช่องทางของ AIS PLAY ทั้งแอปพลิเคชันบนมือถือ กล่อง AIS PLAYBOX, SAMSUNG Smart TV, Apple TV และเว็บไซต์ https://aisplay.ais.co.th/portal/ สามารถดูตารางการแข่งขัน ได้ที่ www.ais.th/paralympic

นอกจากนี้ AIS ยังส่งต่อประสบการณ์การรับชมการถ่ายทอดสดโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 ให้ลูกค้า 3BB Fibre3 ได้รับชมผ่านกล่อง GIGA TV และ GIGA TV App แบบส่งผ่านสัญญาณจาก AIS PLAY ถึง 10 ช่อง พร้อมไฮไลท์ และรีรัน

กินอาหารปลอดภัย ใส่ใจสุขภาพ ในภาวะอุทกภัย

0

ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำผู้ประสบอุทกภัย ควรคำนึงถึงความปลอดภัยในอาหารเป็นสำคัญ เพื่อป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ ควบคู่กับการกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นและพลังงานเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เป็นการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงในช่วงสถานการณ์น้ำท่วม ด้านหน่วยงานช่วยเหลือ ควรหลีกเลี่ยงมอบอาหารที่บูดง่าย ให้เลือกอาหารที่สามารถเก็บได้นาน และตรวจสอบคุณภาพอาหารก่อนนำไปมอบทุกครั้ง

ดร.วนะพร ทองโฉม

ดร.วนะพร ทองโฉม นักสุขศึกษา (นักกำหนดอาหารวิชาชีพ) งานสร้างเสริมสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ทำให้ประชาชนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อน ทั้งในเรื่องที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภคต่างๆ และที่สำคัญคือเรื่องของอาหารการกิน เนื่องจากอาหารเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิต

“ในภาวะน้ำท่วม ผู้ประสบภัยไม่สามารถประกอบอาหารเองได้ และไม่สะดวกในการออกไปซื้ออาหาร จึงจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เข้ามาดูแล ทั้งในรูปแบบอาหารที่ปรุงสำเร็จ และอาหารแห้งที่สามารถกักตุนไว้กินได้หลายวัน ทั้งนี้ เรื่องอาหารการกิน ยังคงจำเป็นต้องใส่ใจความสะอาด และความปลอดภัยเป็นหลัก ที่สำคัญวัตถุดิบอาหารต้องมีคุณภาพดี เนื่องจากอาหารเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิต ต้องระมัดระวังและตรวจสอบคุณภาพตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงผู้รับ เพื่อให้อาหารปลอดภัยต่อการบริโภคและดีต่อสุขภาพ” ดร.วนะพร กล่าว

สำหรับอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในการนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย คือ อาหารที่เสียง่ายหรือบูดง่าย ได้แก่

  1. อาหารที่ปรุงด้วยกะทิ เพราะอาหารไทยหลายเมนูมักใช้กะทิเป็นส่วนประกอบหลัก ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาว เช่น แกงเขียวหวาน แกงพะแนง และอาหารหวาน ที่มีส่วนผสมของกะทิ ซึ่งกะทิมีองค์ประกอบของสารอาหารที่เอื้อต่อการเจริญของจุลินทรีย์ที่เป็นตัวการทำให้อาหารเสียง่าย
  2. อาหารประเภทลาบหรือยำ เนื่องจากวัตถุดิบผ่านการลวกหรือรวนซึ่งเป็นการผ่านความร้อนเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่สามารถทำลายจุลินทรีย์ก่อโรคได้
  3. อาหารที่ใส่ผักลวก ในเมนูน้ำพริกต่าง ๆ มีการใส่ผักลวกหรือผักต้มไปในกับข้าวอื่น ๆ จะทำให้อาหารมีความชื้น และเสียง่าย
  4. ข้าวผัด เนื่องจากข้าวผัดจะมีความชื้นและข้าวเป็นอาหารกลุ่มที่มีความเป็นกรดต่ำ เอื้อต่อการเจริญของแบคทีเรียก่อโรค

ส่วนอาหารปรุงสดที่ควรเลือก คือ อาหารที่ไม่เสียง่ายหรือบูดยาก เก็บไว้ได้นาน และมีคุณค่าโภชนาการ โดยแนะนำให้แยกข้าวออกจากกับข้าว เพื่อทำให้อาหารบูดช้าลง อาทิ

  1. ข้าวสวย หรือ ข้าวเหนียว + เนื้อสัตว์ (หมู/ไก่/เนื้อ/ปลา) ทอด ย่างหรืออบ หรือ ไข่เจียว/ไข่ต้ม + ผัดผัก
  2. ข้าวสวย + กับข้าวประเภทผัดหรือต้มที่ใส่เนื้อสัตว์และผัก (ไม่มีส่วนผสมของแป้งและกะทิ)
  3. ผลไม้ที่ยังไม่ได้ปลอกเปลือกหรือยังไม่หั่น เช่น กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล ฝรั่ง มะม่วง แตงโม

สำหรับอาหารที่เก็บไว้ได้นาน และเหมาะสำหรับนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย อาทิ

  1. ปลากระป๋อง เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล
  2. อาหารปรุงสำเร็จบรรจุกระป๋อง
  3. ไข่
  4. ผักสดที่เก็บได้นาน เช่น กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว แตงกวา มะเขือ
  5. นมพลาสเจอร์ไรซ์
  6. ขนมปังกรอบหรือเครกเกอร์

ดร.วนะพร แนะนำว่า ลักษณะอาหารที่ไม่ควรกิน เสี่ยงเป็นอาหารที่เสีย สามารถสังเกตจาก 3 สัญญาณต่อไปนี้

  1. กลิ่นของอาหารเปลี่ยน เช่น กลิ่นเปรี้ยว กลิ่นหืน กลิ่นบูด
  2. เนื้อสัมผัสอาหารเปลี่ยนไป เช่น เป็นเมือก เป็นฟอง
  3. รสชาติเปลี่ยน เช่น เปรี้ยว ขม

สำหรับข้อสังเกตอาหารปรุงสำเร็จ หรืออาหารบรรจุกระป๋อง ที่ไม่ควรรับประทาน ได้แก่

  1. อาหารที่หมดอายุแล้ว
  2. อาหารที่บรรจุภัณฑ์อยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย เช่น กระป๋องเป็นสนิม ถุงฉีกขาดมีรอยรั่ว
  3. อาหารที่ขึ้นรา เช่น มีใยสีขาว มีจุดสีดำบนอาหาร

ในขณะที่ น้ำดื่ม ควรเลือกจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ส่วนน้ำใช้ แนะนำใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่มั่นใจได้ในความสะอาด กวนสารส้ม หยดคอรีน ป้องกันเชื้อโรคที่มากับน้ำ

ดร.วนะพร กล่าวย้ำว่า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม สุขภาพยังเป็นสิ่งที่ทุกคนควรคำนึงอยู่เสมอ หากเจ็บป่วยในขณะที่อยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมยิ่งจะสร้างความลำบากในการเดินทางไปสถานพยาบาลเพื่อรับการรักษา ดังนั้น จึงต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของอาหารที่รับประทานเป็นลำดับแรก ควบคู่กับคุณค่าทางโภชนาการของอาหารที่กินในแต่ละวันเพื่อให้ได้รับพลังงานและสารอาหารที่จำเป็นเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย.

ซีพีเอฟ  หนุนกรมประมงปราบปลาหมอคางดำ ลงแขกลงคลองใน 13 จังหวัด กำจัดปลาได้กว่า 15,000 กก.

0

ประมงจังหวัดราชบุรี ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมประมง หน่วยงานในพื้นที่ ผู้นำชุมชน ชาวบ้านในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ลงพื้นที่ทำกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” กำจัดปลาหมอคางดำออกจากลำคลอง ในตำบลโพหัก อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ประมงราชบุรีย้ำสถานการณ์ปลาหมอคางดำในจังหวัดพบปลาไม่หนาแน่น

จนถึงวันนี้ ซีพีเอฟเดินหน้าสนับสนุนกรมประมงปฏิบัติการจับปลาหมอคางดำในกิจกรรม ลงแขกลงคลองในพื้นที่ต่างๆ แล้วรวม 13 จังหวัด ช่วยล่าปลาออกจากแหล่งน้ำได้ร่วม 15,000 กิโลกรัมแล้ว พร้อมมอบปลานักล่าปล่อยสู่แหล่งน้ำตามแนวทางกรมประมงแล้ว 64,000 ตัว

นายอนันต์ สุนทร ประมงจังหวัดราชบุรี กล่าวว่า สถานการณ์ปลาหมอคางดำในราชบุรีพบใน 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง โพธาราม ดำเนินสะดวก ปากท่อ บางแพ และวัดเพลง สำหรับกิจกรรมที่จัดขึ้นครั้งนี้ ที่คลองในตำบลโพหัก อ.บางแพ ได้รับความร่วมมือจากชุมชนและซีพีเอฟใช้แหและตาข่ายจับปลาหมอคางดำขึ้นมาได้ 20 กิโลกรัม จึงแบ่งปันให้ชุมชนนำกลับไปบริโภค

“ในราชบุรียังพบปลาหมอคางดำไม่หนาแน่น มีการแพร่กระจายประมาณ 10% ของสัตว์น้ำทั้งหมด ประมงราชบุรีกำหนดแผนกำจัดปลาในแหล่งน้ำอย่างจริงจัง มีทีมเฉพาะกิจออกไปจับปลาในคลองต่างๆ ทันทีที่ได้รับแจ้งเบาะแส และมอบเครื่องมือประมงให้ผู้นำชุมชนเพื่อช่วยกันจับปลาขึ้นจากแหล่งน้ำให้มากที่สุด เตรียมปล่อยปลาผู้ล่าลงไปเพื่อควบคุมประชากรปลาหมอคางดำ” นายอนันต์กล่าว  

ด้านนายอดิศร์ กฤษณวงศ์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานรัฐกิจและเอกชนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทเดินหน้าบูรณาการกรมประมง ขับเคลื่อน 5 โครงการเชิงรุกจัดการปัญหาปลาหมอคางดำอย่างเต็มกำลัง ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม โครงการรับซื้อปลาเพื่อทำปลาป่น 2,000,000 กิโลกรัมในราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม ที่วันนี้สามารถรับซื้อได้มากกว่า 800,000 กิโลกรัมแล้ว  โครงการสนับสนุนปล่อยปลานักล่าลงสู่แหล่งน้ำตามแนวทางกรมระมง ซึ่งมอบปลาเพื่อปล่อยแล้ว 64,000 ตัว ในสมุทรสงคราม สมุทรสาคร จันทบุรี และระยอง  โครงการสนับสนุนการจับปลาออกจากแหล่งน้ำ ที่ซีพีเอฟได้เดินหน้าสนับสนุนกรมประมงจัดกิจกรรมลงแขกลงคลองแล้วใน 13 จังหวัด ช่วยจับปลาออกจากแหล่งน้ำได้มากกว่า 15,000 กิโลกรัมแล้ว นอกจากนี้  โครงการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนำปลาไปใช้ประโยชน์  และโครงการสนับสนุนสถาบันการศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมหรือเทคโนโลยีเพื่อตัดวงจรและควบคุมการแพร่พันธุ์ของปลาชนิดนี้ในระยะยาว

สำหรับกิจกรรมลงแขกลงคลองปลาหมอคางดำโดยเร็วที่สุด  ซึ่งจนถึงวันนี้ บริษัทได้สนับสนุนการจัด “ลงแขกลงคลอง” ในพื้นที่รวม 13 จังหวัด ประกอบด้วย สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สมุทรปราการฉะเชิงเทรา ชลบุรี จันทบุรี ระยอง เพชรบุรี นครปฐม ชุมพร สุราษฎร์ธานี  นครศรีธรรมราช ล่าสุดราชบุรี  สามารถจับปลาออกจากแหล่งน้ำได้แล้วมากกว่า 15,000 กิโลกรัม และพร้อมขยายความร่วมมือกับจังหวัดอื่นๆ ต่อเนื่อง เพื่อร่วมมือฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำ.