Home Blog Page 76

‘CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม’ …ส่งต่อความห่วงใย ช่วยผู้ประสบภัยภาคเหนือ

0

สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ เป็นอีกครั้งที่ทำให้เห็นธารน้ำใจของคนไทยและหลายๆ หน่วยงานต่างหลั่งไหลไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย เช่นเดียวกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ในการเดินหน้า โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม” ผนึกกำลังร่วมกับบริษัทในเครือซีพี ได้แก่ ซีพีออลล์, ซีพี แอ็กซ์ตร้า แม็คโคร โลตัส, ข้าวตราฉัตร, ซีพีแรม, เจียไต๋ และทรู คอร์ปอเรชั่น ระดมพนักงานจิตอาสาลงพื้นที่ 7 ครั้ง ใน 6 จังหวัด ส่งอาหารและสิ่งของที่จำเป็นถึงมือพี่น้องประชาชน รวมถึงเกษตรกร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

ล่าสุด จิตอาสา ซีพีเอฟ ส่งมอบอาหารเป็ดไข่ จำนวน 330 ถุง ให้แก่ นายอำเภอภูกามยาว และสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพะเยา เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงเป็ดไข่ นอกจากนี้ จิตอาสา กลุ่มธุรกิจห้าดาว ภาคเหนือ ยังมอบผลิตภัณฑ์เมนูห้าดาว เพื่อช่วยเหลือคู่ค้าธุรกิจแฟรนไชส์ที่ได้รับผลกระทบอุทกภัยครั้งนี้ ตลอดจนช่วยทำความสะอาดร้านค้าที่ได้รับเสียหาย ซ่อมแซ่มอุปกรณ์ต่างๆ ภายในร้าน บริเวณชุมชนมหาโพธิ์และศรีชุม อ.เมือง จ.แพร่

นายภูริทัศน์ พอใจ พนักงานจิตอาสา ซีพีเอฟ เล่าว่า น้ำท่วมครั้งนี้ นับว่ารุนแรงและสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ขณะลงพื้นที่ได้เห็นถึงความยากลำบากของผู้ประสบภัย บางจุดน้ำท่วมสูงมากกว่า 2 เมตร เกือบถึงชั้นสองของบ้าน จำเป็นต้องใช้เรือในการเดินทาง บางหลังมีผู้สูงอายุอยู่เพียงลำพัง เพื่อนบ้านต้องช่วยดูแล หาอาหารประทังชีวิตในแต่ละมื้อ

“ในช่วงยากลำบากของชาวบ้านหลายๆ ครัวเรือน แต่สิ่งที่ไม่เคยขาดคือ การแบ่งปัน ตลอดเส้นทางความช่วยเหลือ รอยยิ้มที่ได้พบเห็น สร้างพลังบวกแก่เหล่าจิตอาสาเป็นอย่างมาก การพบปะพูดคุย เป็นการส่งกำลังใจให้แก่กัน รวมถึงน้ำใจของจิตอาสาแต่ละหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ร่วมมือร่วมใจลงพื้นที่ สนับสนุนข้อมูล ที่พักพิง รวมถึงอาหารให้เข้าถึงผู้ที่เดือดร้อนให้ครอบคลุมมากที่สุด”

ความช่วยเหลือของเครือซีพีและซีพีเอฟ ถูกส่งไปยังพื้นที่ต่างๆ ตั้งแต่จังหวัดสุโขทัย มอบเนื้อหมูสดและไข่ไก่สด แก่ศูนย์ประสานการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เพื่อนำไปประกอบอาหารแจกจ่ายแก่ผู้ประสบอุทกภัย โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย สุชาติ ทีคะสุข เป็นผู้รับมอบ ขณะเดียวกัน ยังนำหมูบดและไข่ไก่ เสริมทัพโรงครัวมูลนิธิเพชรเกษม วัดคลองกระโจง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย

สำหรับ จังหวัดน่าน ซีพีเอฟมอบวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหาร ส่วนบริษัทในเครือซีพี ได้นำข้าวตราฉัตร อาหารพร้อมรับประทาน ถุงยังชีพ เครื่องอุปโภคบริโภค พร้อมทั้งรถโมบายสัญญาณทรู 5 จี เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใน 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองน่าน อำเภอภูเพียง อำเภอท่าวังผา และอำเภอเวียงสา ก่อนหน้านี้ จิตอาสายังลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ร่วมมอบอาหารสด สนับสนุนโรงครัวพระราชทาน กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 ในองค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี รวมถึงนำข้าวสารและน้ำดื่ม แก่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย พร้อมทั้งมอบแก่ผู้แทนนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองดอกคำใต้จังหวัดพะเยา

ซีพีเอฟ ดำเนินโครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบอุทกภัย โดยจิตอาสาซีพีเอฟระดมสรรพกำลังกับบริษัทในเครือซีพี ร่วมกับหลายภาคส่วนลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนได้เข้าถึงอาหารและของใช้ที่จำเป็นอย่างเพียงพอ

ปิดตาพังพระกาฬ พังทุกอุปสรรค ร้ายกลายเป็นดี ดียิ่งดีขึ้น

0

ตามรอยเซียน โดย เจี๊ยบ บางกรวย

วันจันทร์ที่ผ่านมามีโอกาศเป็นพลขับพาพระอาจารย์ไปงานศพ ช่วงนี้เจอกันงานศพบ่อยบอกได้ว่า สูงอายุกันแล้วใก้ลตายกันแล้วพระอาจารย์บอกเซียนเจี๊ยบ อย่างน้อยก็หมดห่วง เธอดูพระเป็นแล้วเอาตัวรอดได้ จะได้ไม่อดเมื่อพระอาจารย์ไม่อยู่ และเป็นธรรมเนียมเจอพระอาจารย์ ต้องนำเสนอพระ หลังเสร็จงานขากลับแวะร้านกาแฟ ดูพระกันจัดให้พระอาจารย์1กล่องใหญ่ ประมาณเกือบ30องค์เลือกไม่ได้ซักองค์ เสร็จกันเราจะเอาทุนที่ไหนไปซื้อพระต่อ ตาเราตกเลือกพระไม่เข้าตาพระอาจารย์ ขึ้นรถกลับก่อนส่งหยิบพระสมเด็จที่ตากไว้หน้ารถนำเสนออีก2องค์ แก้หน้าตาเซียนเจี๊ยบได้หน่อย พระอาจารย์เลือกได้1องค์ ใจชื้นขึ้น “นึกว่าวันนี้จะหมดฟอร์มซะแล้วเราตามพระเก๊ไม่ทัน“

มาดูเหรียญปิดตาพังพระกาฬผู้ชนะทุกอุปสรรคกัน เซียนเจี้ยบมีโอกาสพบ เสี่ยเบิร์ดวโรดม สายตรงสายองค์พ่อจตุคามรามเทพ ได้นำเหรียญปิดตาพังพระกาฬ ปี 32 เนื้อเงินองค์สวย บล็อคทองคำ มาให้ชม ( อันที่จริงสร้างพร้อมกับพระผงสุริยัน–จันทราในปี 30 แต่ได้นำออกให้บูชาในปี 32 )  สร้างขึ้นเนื่องจากพระประสงค์ขององค์พ่อจตุคามรามเทพ ให้สร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง นับจากครั้งอดีตเมื่อราวพันกว่าปีที่แล้ว โดยมีท่าน พล.ต.ท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล (ขออนุญาตเอ่ยนาม)

ซึ่งในสมัยนั้นท่านเป็นผู้กำกับที่ สภ.อ.เมืองนครศรีธรรมราช เป็นผู้รับมอบหมายจากองค์พ่อผ่านร่างทรงคนแรก คือ โกผ่อง(ขออนุญาตเอ่ยนาม)  แรกเริ่มตอนจะสร้างนั้นไม่มีต้นแบบเลย และไม่สามารถจินตนาการขึ้นมาเองได้ แต่องค์พ่อจตุคามรามเทพบอกว่า “เมื่อถึงเวลาจะมีคนนำมาให้เอง”  ท่านสรรเพชญได้ยินเช่นนั้นก็นึกในใจว่าพระโบราณหายากขนาดนั้นอยู่ดีๆ ใครจะเอามาให้

ต่อมาท่านผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ขณะนั้น คุณกำจร สถิรกุล มีเหตุด่วนต้องกลับบ้านที่อำเภอปากพนัง ซึ่งท่านเป็นผู้มีสัมผัสพิเศษและรู้สึกได้ว่าจะต้องทำธุระสำคัญอะไรบางอย่าง จนมาพบชาวประมงที่ลากอวนติดสิ่งของบางอย่างมาด้วย เป็นพระปิดตาโบราณที่มีลักษณะพิเศษ 1 องค์ในวันนั้น คือ พระปิดตาพังพระกาฬนั่นเอง จึงซื้อไว้ทั้ง2 องค์ในราคาองค์ละ 250 บาท และมีสิ่งดลจิตดลใจให้ต้องนำพระปิดตาพังพระกาฬองค์นี้ไปให้ท่านสรรเพชญในตัวจังหวัด ในวันที่ท่านกำจรนัดนำพระไปให้ ท่านสรรเพชญก็ได้จัดเตรียมบายศรีปากชามรอต้อนรับไว้แล้ว เป็นไปตามที่องค์พ่อจตุคามรามเทพบอกไว้ทุกประการ

ในการจัดสร้างเหรียญปิดตาพังพระกาฬรุ่นแรกนี้ มีเนื้อทองคำ 24 องค์ , เนื้อเงิน 120 องค์ , เนื้อนวโลหะ 12,000 องค์ มีบล็อกทองคำ , เคราสั้น และเครายาว ที่เล่นหากันเนื้อลายๆยิ่งชอบ ตอนนี้ราคาเริ่มต้นกันหลักแสนขึ้นไปจนถึงหลักล้าน  ซึ่งเป็นที่เสาะแสวงหากันเป็นอย่างมาก ขาวต่างชาติเชื้อสายจีนก็มีความศรัทธามาก เกิดประสบการณ์และปาฏิหาริย์มากมาย พิสดารสุดจะบรรยาย สมพระนาม“ พระโพธิสัตว์พังพระกาฬ ราชันย์แห่งอาณาจักรสุวรรณภูมิ ”  ผู้ประทานแสงสว่างแก้ไขอุปสรรคทุกปัญหา หากต้องการได้ไว้บูชา

“คิดดี ทำดี เป็นคนดีมีศีลมีธรรม“  แค่ระลึกถึงองค์พ่อ อธิษฐานดีดี ท่านก็จะได้พบความสำเร็จสมความปรารถนาครับ

เจี๊ยบบางกรวยเดินตามรอยพระอาจารย์ 087 0030897

ซีพีเอฟ จับมือ สจล. ใช้เทคโนโลยี “eDNA” ควบคุมปลาหมอคางดำให้อยู่ในพื้นที่จำกัด

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จับมือกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เตรียมใช้เทคโนโลยี Environmental DNA (eDNA) ในการจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ (Sarotherodon melanotheron) ในแหล่งน้ำและพื้นที่กันชน ร่วมสนับสนุนภาครัฐแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

นายเปรมศักดิ์ วนัชสุนทร ผู้บริหารสูงสุดด้านการวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้กำหนดแผนปฏิบัติการเชิงรุก 5 โครงการ เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำอย่างเร่งด่วนของรัฐบาล เช่น การจับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำให้มากที่สุดและเร็วที่สุด เพื่ออำนวยความสะดวกในการปล่อยปลาผู้ล่า ตามขั้นตอนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ซึ่งความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเป็นหนึ่งในแผนปฏิบัติงานเชิงรุกของบริษัทฯ ภายใต้โครงการที่ 5 ที่มุ่งมั่นร่วมทำวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญในการหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว

ผศ.ดร.ธงชัย พุฒทองศิริ คณบดีคณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า สจล. เป็นมหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ได้นำเทคโนโลยี eDNA มาวิเคราะห์ DNA ของปลาหมอคางดำที่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีในการประเมินสุขภาพโดยรวมของระบบนิเวศทางน้ำ จากการเก็บรวบรวมร่องรอยพันธุกรรมที่สัตว์ปล่อยออกมาสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยให้สามารถระบุความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ และเข้าใจว่าจำนวนประชากรของปลามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร การวิเคราะห์และประเมินผลด้วยวิธีนี้จะช่วยป้องกันการระบาด และโอกาสเสี่ยงในการแพร่กระจายไปยังแหล่งน้ำอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผศ.ดร.วัลย์ลดา กลางนุรักษ์ ผู้ช่วยคณบดีคณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. กล่าวว่า เทคโนโลยี eDNA เป็นวิธีการใหม่ในการสำรวจสัตว์น้ำและประเมินความหลากหลายทางชีวภาพที่มีความแม่นยำสูง สามารถตรวจพบร่องรอยดีเอ็นเอที่สัตว์น้ำปล่อยออกมาในน้ำ ช่วยระบุการมีอยู่ของสัตว์น้ำชนิดนั้นได้ แม้ในปริมาณหรือจำนวนตัวที่น้อยมาก หรือในบริเวณที่ยากต่อการสำรวจแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้การสุ่มตัวอย่างด้วยเครื่องมือประมง

“การใช้ eDNA สำรวจการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้สามารถระบุขอบเขตพื้นที่ที่มีการระบาดได้ชัดเจน กำหนดพื้นที่กันชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด สามารถนำข้อมูลมาประกอบการพัฒนาการจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำได้อย่างยั่งยืน” ผศ.ดร.วัลย์ลดา กล่าว

สำหรับโครงการความร่วมมือระหว่าง สจล. กับซีพีเอฟ จะทำการศึกษาในลุ่มน้ำสำคัญของประเทศไทย โดยเริ่มต้นเก็บน้ำในพื้นที่ที่มีรายงานการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ จากนั้นนำตัวอย่างน้ำที่เก็บได้ไปทำการวิเคราะห์ eDNA ในห้องปฏิบัติการ เพื่อระบุการมีอยู่และความหนาแน่นของปลาหมอคางดำในแต่ละพื้นที่ รวมถึงแหล่งน้ำที่ยังไม่ระบาดแต่มีโอกาสเสี่ยงของการแพร่กระจาย (พื้นที่กันชน) นำมาช่วยให้การวางแนวทางการเฝ้าระวังและกำหนดมาตรการควบคุมไม่ให้มีการแพร่กระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพและทราบผลได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ในการศึกษายังครอบคลุมถึงการหาความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ของสัตว์น้ำประจำถิ่นชนิดอื่นๆ อาทิ ปลาผู้ล่าในธรรมชาติ ซึ่งทำได้โดยการจับปลาด้วยตาข่ายหรือเครื่องมือประมงที่เหมาะสม จากนั้นนับจำนวนและระบุชนิดของปลาที่จับได้ในพื้นที่ที่กำหนด เพื่อนำมาร่วมพิจารณาหาแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดได้อย่างยั่งยืน

ผศ.ดร.วัลย์ลดา กล่าวต่อไปว่า การวิเคราะห์ผลจากเทคโนโลยี eDNA จะสนับสนุนการวางแผนและกำหนดวิธีการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถปล่อยปลาผู้ล่าที่เป็นชนิดเดียวกับที่มีอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติได้อย่างเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องนำปลาผู้ล่าชนิดอื่นที่อาจเป็นเอเลียนสปีชีส์เข้าไปในพื้นที่

สำหรับแผนปฏิบัติการเชิงรุกของซีพีเอฟ ในการแก้ปัญหาการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ ประกอบด้วย โครงการที่ 1 สนับสนุนการรับซื้อปลาหมอคางดำจากทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีการระบาด ราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 2,000,000 กิโลกรัม โครงการที่ 2 ร่วมสนับสนุนภาครัฐและชุมชน ปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำ จำนวน 200,000 ตัว โครงการที่ 3 ร่วมสนับสนุนการจัดกิจกรรมจับปลา อุปกรณ์จับปลาและกำลังคน ในทุกพื้นที่ที่ประสบปัญหา โครงการที่ 4 ร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาหมอคางดำ และโครงการที่ 5 ทำวิจัยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในการหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว.

เอไอเอส คว้ารางวัลสุดยอดโปรแกรมบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าระดับเอเชียแปซิฟิก จากเวที Twimbit Telecom Awards 2024 อวดศักยภาพตัวจริงงานบริการและดูแลลูกค้า

0

AIS ยังคงตอกย้ำความเป็นที่ 1 ตัวจริงในโปรแกรมการดูแลลูกค้า ทั้งการบริการและสิทธิประโยชน์ ล่าสุดคว้ารางวัลสุดยอดโปรแกรมบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าหรือ Winner of Telco to Ace Loyalty Program จากเวทีระดับเอเชียแปซิฟิก Twimbit Telecom Awards 2024 นับเป็นองค์กรโทรคมนาคมจากประเทศไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับรางวัล สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดในทุกด้านจนได้รับการยอมรับจากลูกค้าผ่านงานบริการ และสิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์อย่างเป็นรูปธรรม

นางสาวโอปอล เลิศอุทัย หัวหน้าฝ่ายงานบริหารข้อเสนอและความผูกพันลูกค้า AIS กล่าวว่า “ที่เอไอเอส เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจในการดูแลลูกค้าผ่านคุณภาพโครงข่ายทั้งมือถือและเน็ตบ้าน การให้บริการ พร้อมมอบประสบการณ์ด้วยสิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์และสนับสนุนการใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัลได้อย่างดีที่สุด ทำให้เราได้รับการยอมรับจากลูกค้าและคงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย รวมถึงครั้งนี้เราได้รับการยืนยันจาก Twimbit บริษัทด้านงานวิจัยและที่ปรึกษาชั้นนำระดับสากลจากสิงคโปร์กับรางวัล Winner of Telco to Ace Loyalty Program ที่นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของพวกเราชาว AIS ในฐานะบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการทำงานเพื่อส่งมอบความพิเศษให้กับลูกค้าในทุกมิติอีกด้วย”

สำหรับรางวัล “สุดยอดโปรแกรมบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า หรือ Winner of Telco to Ace Loyalty Program” เป็นการคัดเลือกจากองค์กรที่สามารถสร้างสรรค์โปรแกรมการดูแลลูกค้าจากเกณฑ์ต่างๆ อาทิ การตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายและครอบคลุม (Comprehensiveness of the program), การมีนวัตกรรมและความแปลกใหม่ในการนำเสนอ (Degree of Innovation), และการได้รับการยอมรับจากลูกค้า (Customer Adoption) ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าหรือ Net Promoter Score (NPS) ของ AIS เป็นบวกมาอย่างต่อเนื่อง

“ขอขอบคุณ Twimbit ที่มอบรางวัลอันน่าภาคภูมิใจนี้ให้กับ AIS ซึ่งจะเป็นเครื่องย้ำเตือนให้พวกเราทำงานอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจลูกค้าให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น รวมถึงนำเครื่องมือด้านดิจิทัลเทคโนโลยีมาช่วยในการออกแบบการส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้ลูกค้าสัมผัสและใช้งานได้จริงต่อไป” นางสาวโอปอล กล่าวทิ้งท้าย

“สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ หลังทื่อ”

0

ตามรอยเซียน โดย เจี๊ยบ บางกรวย

สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่หลังทื่อ มีมากกว่าหลังปริแยก หรือที่พระอาจารย์เรียกหลังถูกโฉลกมีน้อยนัก ด้วยเหตุนี้เซียนเลยใช้เป็นจุดตัดสินใจในการซื้อขายกัน สเปคเซียนต้องครบเต็มสูบ รอยยุบรอยแยก หลุมบ่อน้ำตา ก้อนดำเม็ดแดง มวลสารต้องครบ ผิวสะอาด คมชัดแจ๋ว ดูสบายตา หลังจากล้างผิวออกแล้ว แต่ตอนซื้อเข้าต้องสภาพเดิมๆไม่ล้างไม่แต่ง เซียนจะได้ดูง่ายๆ แล้วมาล้างกันทีหลัง ให้สวยแจ่มอย่างที่เห็นกันในหน้าหนังสือ พระองค์ดังล้วนแล้วแต่ล้างมาทั้งนั้น ตอนแรกมาเดิมๆผิวเนื้อพระไม่สว่างสะอาดขาวนวลสวยเหมือนที่เห็นในรูปกัน เพราะพระผ่านมาหลายมือ การเก็บรักษาสภาพแวดล้อม ร้อนบ้าง ชื้นบ้างพระมีฝุ่นเกาะ โดนน้ำโดนลมผ่านกาลเวลามาเป็นร้อยร้อยปี พระไม่ขาวผ่องหรอก ด้วยเหตุนี้เวลาเราเดินซื้อพระ ให้เลือกพระดำด่าง มีรักเกาะคลุมเนื้อ ดีกว่าเลือกพระขาวๆสะอาดตา เพราะนั่นพึ่งออกมาจากโรงงาน เพึ่งเอามาขาย “ที่สำคัญขอบตัองตัดนะ สไตส์เซียนเจี๊ยบบางกรวยต้องขอบตัดเท่านั้นจะได้พระแท้“

มาดูสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่หลังทื่อวันนี้ ของเสี่ยธนิต พรรคพวกกัน ส่งมาให้ชม สวยดูง่ายองค์ใหญ่กว่าพิมพ์พระประธานนิดนึง องค์นี้มีเส้นผ้าทิพย์ใต้ฐานเรียกได้พิมพ์เอสวยคมลึก เนื้อแกร่งจัด รอยแยกบนผิวพระเสริมให้ดูง่ายกว่าพระเนื้อแน่น หลังไม่มีรอยปริ ทำให้เสี่ยธนิดได้พระองค์นี้มาอวดให้เราชมกัน แต่หลังแบบนี้เซียนเจี๊ยบชอบมากกว่าหลังปรินะ เพราะตอนนี้เดินดู ซื้อในเวป มีหลังปริกันทั้งนั้น หาง่ายกว่าหลังทื่อเยอะ เพราะหลังปริสเปคเซียนซื้อขายกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีพระหล่นมาถึงพวกเราให้เดินเก็บพระได้สบาย เดินบ่อยๆเดี๋ยวก็เจอ อดทนยังไม่มีก็ “สวดคาถาชินบัญชรไปก่อนเดี๋ยวสมเด็จท่านก็มาหาเราเอง“

เดินหาพระสมเด็จหลังที่อนะ สเปคหลุดเซียนมีเยอะ ส่องดูกับแสงแดด ขยับไปขยับมาจะเห็นรอยคลื่นบนผิวหลังพระสมเด็จ “ถ้าเรียบสนิทวางเลยนะ พระพึ่งทำมา ไม่ได้อายุนะท่าน“

เจี๊ยบบางกรวยเดินตามรอยพระอาจารย์ 087 0030897

AIS – สพฐ. – มจธ. ปลื้ม นร.ไทยโชว์ไอเดียสร้างสรรค์ VDO ต้านภัยไซเบอร์ พร้อมมอบรางวัลกิจกรรม อุ่นใจไซเบอร์ Young Creator Challenge 2024

0

AIS ร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จัดกิจกรรม ‘อุ่นใจไซเบอร์ Young Creator Challenge 2024’ เวทีสร้างสรรค์ที่ส่งเสริมความสามารถด้านคอนเทนต์ครีเอเตอร์ โดยให้น้องๆ นักเรียนในสังกัด สพฐ. ได้โชว์ไอเดียผลิตผลงานในรูปแบบคลิปวิดีโอสั้น ภายใต้หัวข้อการใช้งานออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ โดยเล่าเรื่องจากเนื้อหาหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ งานนี้ได้รับความสนใจจากโรงเรียนทั่วประเทศเข้าร่วมการแข่งขัน นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมศักยภาพของน้องๆ นักเรียนให้มีพื้นที่ในการแสดงความสามารถควบคู่ไปกับการเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมองค์ความรู้และเพิ่มพูนทักษะดิจิทัล สามารถต่อยอดผลงานสู่สื่อการเรียนรู้ที่จะช่วยแก้ปัญหาภัยไซเบอร์ได้อย่างยั่งยืน

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า “กิจกรรม อุ่นใจไซเบอร์ Young Creator Challenge 2024 นับเป็นกิจกรรมตัวอย่างที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ และเอกชน เพื่อใช้ขีดความสามารถร่วมกันเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนและเยาวชนได้ตระหนักถึงการใช้งานออนไลน์อย่างปลอดภัย และสร้างทักษะที่สำคัญสำหรับอนาคตของพวกเขา ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวไม่เพียงแต่จะช่วยให้กลุ่มนักเรียนได้เข้าใจถึงความเสี่ยงจากการใช้งานบนโลกออกไลน์ แต่ยังเป็นการช่วยสร้างสรรค์สื่อการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบเพื่อส่งต่อไปยังเพื่อนๆ ผู้ปกครอง และชุมชนได้อีกด้วย ขอขอบคุณทุกโรงเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม และขอแสดงความยินดีกับทีมที่ได้รับรางวัลจากกิจกรรมในครั้งนี้ ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าพลังของพวกเราทุกคนจะช่วยทำให้เราก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี เข้าใจทักษะดิจิทัลสามารถรับมือกับภัยออนไลน์ที่อยู่ใกล้ตัวในชีวิตประจำวัน”

ดร.วิษณุ ทรัพย์สมบัติ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา สพฐ. กล่าวว่า “กิจกรรม ‘อุ่นใจไซเบอร์ Young Creator Challenge 2024’ เป็นกิจกรรมส่งเสริมความเป็นพลเมืองดิจิทัลและความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ ผ่านการประกวดคลิปวิดีโอที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์และความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งในปัจจุบันทักษะดิจิทัลและความปลอดภัยในโลกไซเบอร์เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา โดยการแข่งขันครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนทั่วประเทศได้สร้างสรรค์ผลงานคลิปวิดีโอที่สะท้อนถึงการใช้ทักษะและความรู้ที่ได้รับจากหลักสูตร “อุ่นใจไซเบอร์”เพื่อเสนอแนะและเตือนสังคมถึงการใช้พื้นที่ออนไลน์อย่างมีคุณภาพและสร้างสรรค์ และนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ที่สามารถถ่ายทอดไปยังเพื่อน ๆ และครอบครัวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างสมาชิกทีมทั้ง 5 คน ซึ่งได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้ดูแลทีม และนักเรียนทีมละ 3 คน โดยทุกคนผ่านการอบรมหลักสูตร “อุ่นใจไซเบอร์” และเปลี่ยนจากผู้เรียนรู้ สู่ผู้สร้างสรรค์เนื้อหาเพื่อสังคม

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “กิจกรรม ‘อุ่นใจไซเบอร์ Young Creator Challenge 2024’ ถือเป็นการต่อยอดความรู้ความเข้าใจหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ที่วันนี้ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเรียนของโรงเรียนในสังกัด สพฐ. นับเป็นกิจกรรมต้นแบบที่ช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนในการแก้ไขปัญหาภัยไซเบอร์ได้อย่างสร้างสรรค์ เพราะจากความสนใจของโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ ทำให้เราเห็นถึงวิธีการเล่าเรื่องเพื่อส่งเสริมทักษะดิจิทัลในวิธีการที่หลากหลาย ขอขอบคุณ กระทรวงศึกษาธิการ, สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี รวมถึงบุคลากรทางการศึกษา คณะครู จากทุกโรงเรียนที่ส่งผลงานเข้าร่วมการแข่งขัน ในกิจกรรมครั้งนี้ ทำให้น้องๆ นักเรียนได้มีพื้นที่ในการแสดงความสามารถควบคู่ไปการเติมเต็มความรู้เพื่อให้เด็กนักเรียนไทย ไม่ตกเป็นเหยื่อจากภัยไซเบอร์”

รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวเสริมว่า “จากกิจกรรมการแข่งขันคลิปวิดีโอสั้นอุ่นใจไซเบอร์ Young Creator Challenge 2024 ในครั้งนี้ ทำให้เราเห็นถึงศักยภาพของนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจากทั่วประเทศ ในการผลิตผลงานที่เรียกว่าเป็นสื่อการสอนเพื่อเสริมสร้างทักษะดิจิทัลที่ยอดเยี่ยม เพราะเกิดจากกระบวนการคิด ออกแบบ และผลิตเนื้อหาโดยน้องๆ ที่ศึกษาจากหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ซึ่งในขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยหล่อหลอมให้นักเรียนมีความเข้าใจจนสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานที่ช่วยสร้างประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาภัยไซเบอร์ได้อย่างแน่นอน”

สำหรับกิจกรรมอุ่นใจไซเบอร์ Young Creator Challenge 2024 เป็นการแข่งขันผลิตผลงานในรูปแบบคลิปวิดีโอสั้น บอกเล่าเรื่องราวเพื่อเน้นย้ำ ให้ความรู้ หรือแนะนำการใช้งานออนไลน์ได้อย่างเหมาะสมจากหัวข้อการใช้งานออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ ภายใต้เนื้อหาหลักของหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ 4P4ป ประกอบไปด้วย 1) Practice: ปลูกฝังการใช้งานความเข้าใจในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้องและเหมาะสม 2) Personality : ปกป้องความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ 3) Protection : ป้องกันภัยออนไลน์บนโลกออนไลน์ 4) Participation : ปฏิสัมพันธ์ที่ดีด้วยทักษะและพฤติกรรมการสื่อสารบนออนไลน์อย่างเหมาะสม โดยแบ่งออกเป็นระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา จากโรงเรียนในสังกัด สพฐ.ทั่วประเทศ ชิงทุนการศึกษารวมกว่า 150,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร โดยตัดสินจากความสมบูรณ์ของข้อมูลและความน่าเชื่อถือ, ความชัดเจนและความเข้าใจในเนื้อหา, ความเหมาะสมและการเชื่อมโยงกับหัวข้อ, ความคิดสร้างสรรค์ และคุณภาพของการผลิตสื่อโดยได้ทีมโรงเรียนชนะเลิศดังนี้

ระดับประถมศึกษา

หัวข้อ Practice โรงเรียนบ้านหนองเมืองกลาง สพป.ยโสธร เขต 2
หัวข้อ Personality โรงเรียนสังข์อ่ำวิทยา สพป.ปทุมธานี เขต 1
หัวข้อ Protection โรงเรียนบ้านละหานทราย (คุรุราษฎร์บํารุงวิทยา) สพป.บุรีรัมย์ เขต 3
หัวข้อ Participation โรงเรียนวัดปากน้ำ (ประสาทวิทยาคาร) สพป.จันทบุรี เขต 2

ระดับมัธยมศึกษา

หัวข้อ Practice โรงเรียนนาสาร สพป.สุราษฎร์ธานี เขต 3
หัวข้อ Personality โรงเรียนระหานวิทยา สพม.กำแพงเพชร
หัวข้อ Protection โรงเรียนบ้านนา “นายกพิทยากร” สพม.ปราจีนบุรี นครนายก
หัวข้อ Participation โรงเรียนปางมะค่าวิทยาคม สพม.กำแพงเพชร
รางวัล Popular Vote โรงเรียนหนองกุงวิทยาคม สพป.กาฬสินธุ์ เขต 1

โรงงานปลาป่นจ.สมุทรสาคร – ซีพีเอฟ รับซื้อปลาหมอคางดำ ทะลุ 1 ล้านกก. เดินหน้ารับซื้อต่อเนื่อง

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)​ หรือ ซีพีเอฟ โชว์ผลการดำเนินโครงการเชิงรุกสนับสนุนกรมประมงกำจัดปลาหมอคางดำมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดร่วมมือโรงงานปลาป่น จ.สมุทรสาครรับซื้อปลาหมอคางดำผลิตปลาป่นได้มากกว่า 1 ล้านกิโลกรัมแล้ว และยังเดินหน้ารับซื้ออย่างต่อเนื่องที่เป้าหมาย 2,000,000 กิโลกรัม พร้อมบูรณาการกับทุกภาคส่วนเพื่อช่วยกันกำจัดปลาหมอคางดำให้หมดไป

นายอดิศร์ กฤษณวงศ์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานรัฐกิจและเอกชนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟร่วมมือกับโรงงานศิริแสงอารำพีเปิดรับปลาหมอคางดำเพื่อผลิตปลาป่นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคม และรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 15 บาทเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา จนถึงวันนี้ โรงงานสามารถรับซื้อปลาหมอคางดำได้แล้วมากกว่า 1,000,000 กิโลกรัม (1,000 ตัน) ขณะเดียวกันซีพีเอฟยังได้ร่วมสนับสนุนประมงจังหวัดหลายพื้นที่จัดกิจกรรมจับปลาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สนับสนุนกรมประมงใน 13 จังหวัดจับปลาได้กว่า 12,000 กิโลกรัมแล้ว และบริษัทยังเดินหน้าร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการลดจำนวนปลาหมอคางดำในทุกพื้นที่

นายปรีชา ศิริแสงอารำพี เจ้าของบริษัท ศิริแสงอารำพี จำกัด โรงงานผลิตปลาป่นมาตรฐานระดับสากล จังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า การแก้ปัญหาปลาหมอคางดำเชิงรุกในจังหวัดสมุทรสาคร บูรณาการของหลายภาคส่วน ตั้งแต่ประมงจังหวัด ประมงพื้นบ้าน แพปลา เกษตรกร และซีพีเอฟ มีแหล่งรับซื้อในราคารับซื้อที่เหมาะสม ช่วยสนับสนุนให้ประมงพื้นบ้าน และเกษตรกรช่วยกันจับปลากันออกจากแหล่งน้ำอย่างจริงจัง โดยได้รับความร่วมมือที่ดีจากแพปลาทั้งในสมุทรสาคร รวมทั้งกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำช่วยกันเปิดจุดรับซื้อให้สามารถครอบคลุมทั้งจังหวัด และยังได้ประสานความร่วมมือกับประมงจังหวัดรับซื้อปลาหมอคางดำจากจังหวัดใกล้เคียงทั้งสมุทรปราการ สมุทรสงคราม เพชรบุรี และกรุงเทพ สะท้อนให้เห็นถึงความคืบหน้าของการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะแหล่งน้ำธรรมชาติในจังหวัดสมุทรสาครมีจำนวนปลาหมอคางดำลดลงอย่างเป็นรูปธรรม

“ความร่วมมือกับซีพีเอฟในการรับซื้อปลาหมอคางดำเพื่อผลิตปลาป่นเป็นแนวทางที่ช่วยลดปริมาณของปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ชาวประมงพื้นบ้านในสมุทรสาครเป็นกำลังสำคัญในการกำจัดปลาหมอคางดำสามารถมีรายได้จากการจับปลาชนิดนี้ ซึ่งส่งผลให้จำนวนปลาหมอคางดำลดลงในแหล่งน้ำหลายแห่ง” นายปรีชากล่าว

นายวิชาญ เหล็กดี เจ้าของแพปลาวิชาญ จังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า แพปลาวิชาญร่วมเป็นจุดรับซื้อปลาหมอคางดำจากชาวประมงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสมุทรสาครมีประมงพื้นบ้านที่สามารถใช้อวนรุนเคยมาประยุกต์จับปลาได้ เมื่อมีโครงการรับซื้อปลา 15 บาทต่อกิโลกรัมของซีพีเอฟมีส่วนช่วยสนับสนุนชาวประมงพื้นบ้านเร่งจับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำ ทำให้แหล่งน้ำหลายจุดปลาหมอคางดำลดลง เห็นได้จากชาวประมงต้องย้ายจุดจับปลา

ด้านนายสนิท แดงพยนต์ ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรทำประมงพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง บ้านแพ้ว กล่าวว่า ในพื้นที่บ้านแพ้วมีเกษตรกรเลี้ยงสัตว์น้ำจำนวนมากแต่อยู่ห่างจากแพปลาที่รับซื้อ ดังนั้นการเปิดจุดรับซื้อปลาหมอคางดำขึ้นในอำเภอบ้านแพ้ว และช่วยรวบรวมปลามาส่งให้โรงงานปลาป่นศิริแสงอารำพี เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่บ้านแพ้วมีจุดรับซื้อใกล้แหล่งจับ ซึ่งมีส่วนช่วยแก้ปัญหาจำนวนปลาหมอคางดำในจังหวัดสมุทรสาครสามารถกำจัดปลาได้ครอบคลุมทั้งแหล่งน้ำในธรรมชาติและบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร

ซีพีเอฟดำเนิน 5 โครงการเชิงรุก เป็นส่วนหนึ่งสนับสนุนกรมประมงจัดการปัญหาปลาหมอคางดำ ได้แก่ ร่วมมือกับโรงงานปลาป่นช่วยรับซื้อเพื่อผลิตปลาป่น การสนับสนุนปลานักล่าเพื่อปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ การสนับสนุนประมงจังหวัดต่างๆ จัดกิจกรรมจับปลา ตลอดจนความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญและมหาวิทยาลัยในการศึกษาการใช้ประโยชน์ปลาหมอคางดำ และการวิจัยและพัฒนาแนวทางการควบคุมประชากรปลาในระยะยาว.

เชสเตอร์ สานต่อ ‘ปันรัก ปันน้ำใจ’ ปีที่ 11 ส่งมอบมื้อกลางวันให้น้องๆ ที่มูลนิธิอนุเคราะห์ผู้พิการฯ นนทบุรี

0

บริษัท เชสเตอร์ ฟู้ด จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร เชสเตอร์ (Chester’s) ในกลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เดินหน้าโครงการ “เชสเตอร์ ปันรัก ปันน้ำใจ” ต่อเนื่องปีที่ 11 นำพนักงานจิตอาสาจำนวน 70 คน พร้อมด้วยเมนูคุณภาพของเชสเตอร์ส่งมอบมื้อกลางวันให้แก่เด็กๆ และเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี รวมกว่า 380 คน เพื่อส่งเสริมให้พนักงานตระหนักรู้ถึงความสำคัญของคุณภาพชีวิตและการศึกษา ตลอดจนมีความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ ภายใต้หลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์

นางสาวลลนา บุญงามศรี กรรมการผู้จัดการ เชสเตอร์ ฟู้ด กล่าวว่า พนักงานทุกคนมีความยินดีเป็นอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพื่อสังคมนี้ ซึ่งมากกว่า 1 ทศวรรษ และในปีนี้ได้ร่วมกับมูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการฯ เติมเต็มมื้อกลางวันด้วยเมนูเชสเตอร์ ได้แก่ ข้าวอบไก่ย่างและข้าวไก่เผ็ดเชสเตอร์ นักเก็ตไก่ และไอศกรีม รวมถึงทำกิจกรรมสันทนาการ จัดกลุ่มเล่นดนตรีโฟลค์ซอง เพื่อสร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้ทุกคน และนับเป็นโอกาสที่ดี พนักงานทุกคนได้ทำหน้าที่คุณครูผู้ช่วยสอนเด็กๆ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 2 อีกด้วย

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้แก่มูลนิธิฯ รวมมูลค่า 156,000 บาท ซึ่งมาจากเงินบริจาคของพนักงานเชสเตอร์ทุกท่านและลูกค้าที่มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทุนผ่านกล่องรับบริจาคร้านเชสเตอร์สาขาทั่วประเทศ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่าย ตลอดจนสร้างประโยชน์ต่อไป

“เชสเตอร์ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม สานต่อโครงการ ‘เชสเตอร์ ปันรัก ปันน้ำใจ’ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนองค์กรหรือมูลนิธิต่างๆ ที่ช่วยเหลือสังคม ด้วยการส่งมอบอาหารผ่านเมนูคุณภาพของเชสเตอร์ เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยได้เข้าถึงอาหารอร่อย มีคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการที่ดี” นางสาวลลนา กล่าว

โครงการ “เชสเตอร์ ปันรัก ปันน้ำใจ” ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน ผนึกกำลังพันธมิตร อาทิ โรงพยาบาล มูลนิธิ และสถานสงเคราะห์ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มอบอาหารพร้อมรับประทาน และจัดกิจกรรมสันทนาการ เพื่อสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันแก่พนักงาน ร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน .

หุ้นหลุมหลบภัย

0

บทความ “รู้เก็บรู้ออมฯ ” โดย คุณนายพารวย

ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ช่วงนี้แม้จะปรับตัวดีขึ้นมาบ้าง แต่ในภาพรวมถือว่ายังขึ้นมาได้ไม่มากเมื่อเทียบกับการปรับตัวลงมาตลอดทั้งปีนี้ และปัจจัยภายนอกประเทศก็ยังมีความผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯและความขัดแย้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์ แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯจะมีทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยลงที่ชัดเจนขึ้นก็ตาม

ทางออกที่ดีที่สุดของนักลงทุนช่วงนี้คือ การมองหา “หุ้นปลอดภัย” หรือ Defensive Stock ซึ่งเป็นหุ้นที่มีภูมิต้านทานสูง ทนทานต่อทุกสภาพตลาด โดยคุณสมบัติของหุ้นประเภทนี้ จะเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแรง ธุรกิจเติบโตสม่ำเสมอ ความเสี่ยงต่ำ และที่สำคัญสามารถจ่ายเงินปันผลได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ

แต่ข้อเสียคือ เป็นหุ้นที่ไม่หวือหวา มีกำไรแต่เติบโตไปได้เรื่อยๆ เมื่อเป็นหุ้นที่อึด ถึก ทน แบบนี้ จึงเหมาะกับการลงทุนในช่วงนี้โดยเฉพาะกับนักลงทุนที่ใจบาง รับความเสี่ยงได้ต่ำ เน้นรับเงินปันผล แบบเอาชัวร์ไว้ก่อน!!

เว็บ SET investnow มีทริคคัดหุ้นปลอดภัยมาเป็นของฝากนักลงทุนสำหรับเลือกซื้อหุ้นกลุ่มนี้มาเก็บเข้าพอร์ต ดังนี้ คือ 1.ควรเลือกหุ้นที่มีมาร์เกตแคปใหญ่ เป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีฐานะการเงินมั่นคง ผลกำไรเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปแต่ต่อเนื่อง 2.ผันผวนต่ำ หุ้นกลุ่มนี้จะเป็นหุ้นที่มีความผันผวนน้อยกว่าตลาด คือหุ้นที่มีความผันผวนของราคาเมื่อเทียบกับความผันผวนของดัชนีตลาด หรือค่า beta ต่ำ

3.มีหนี้น้อย เลือกหุ้นที่ไม่มีภาระหนี้สินหรือมีหนี้สินต่ำกว่าทุน (D/E Ratio) 4.กำไรสม่ำเสมอ สะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการไม่ว่าจะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจแบบใด 5.จ่ายปันผลตลอด พิจารณาหุ้นที่จ่ายปันผลติดต่อกันหลายปี และ 6.ราคาไม่แพง สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ไม่ควรเกิน 15 เท่า และราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท (P/BV Ratio) ไม่ควรเกิน 1.5 เท่า

การเลือกหุ้นปลอดภัยก็เหมือนกับตัวเรารู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หรือจะเรียกว่าเป็นหุ้น “หลุมหลบภัย” ของนักลงทุน เพราะช่วงตลาดขาลง ราคาหุ้นปลอดภัยจะปรับลงน้อยกว่าตลาด

อย่างไรก็ตาม เมื่อตลาดหุ้นเปลี่ยนแปลง ปรับตัวเป็นขาขึ้น หรือกลับมาร้อนแรง นักลงทุนก็ต้องกล้าปีนขึ้นจากหลุมหลบภัย ก้าวออกจาก safe zone เพื่อไปลงทุนในหุ้นเติบโต หรือหุ้นที่มีราคาผันผวนมากกว่า แม้จะมีทริคคัดหุ้นปลอดภัยแล้ว แต่นักลงทุนก็ยังจำเป็นต้องทำความเข้าใจธุรกิจจากรายงานประจำปีและวิเคราะห์งบการเงินอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ เพื่อจะได้เลือกหุ้นได้ถูกตัวและประสบความสำเร็จในการลงทุน

ปิดท้ายวันนี้ “คุณนายพารวย” ขอความเมตตาคุณผู้อ่าน ช่วยเสียสละเวลาทำแบบสอบถาม เพื่อนำไปพัฒนาปรับปรุงเนื้อหาให้ตรงใจคุณผู้อ่านมากยิ่งขึ้น และเป็นกำลังใจให้ตัวเองด้วยที่ลิงก์นี้นะคะ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSethmYMCkhlikRR7z-Flk0XkuPd1vR4RnIGNmpHQWFlx1rSlg/viewform?pli=1 

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ประมงสมุทรสงครามเดินหน้าจับปลาหมอคางดำไม่หยุด จัดลงแขกลงคลองต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 8

0

กรมประมง โดย สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งสมุทรสงคราม คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกรมประมง (FC) สมุทรสงคราม น.อ.อชิตะสิน กำมะณี รอง ศรชล.จว.สส. สภ.ลาดใหญ่ กอ.รมน.จว.สส. ภาคเอกชน ผู้นำชุมชน เดินหน้าต่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ จัดกิจกรรมลงแขกลงคลองต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 8/2567 ลงพื้นที่สำรวจความหนาแน่นปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำและจับปลาหมอคางดำ

นายบัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมกับคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกรมประมง (FC) สมุทรสงคราม หน่วยงานราชการภาคีที่เกี่ยวข้อง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่เปิดปฏิบัติการจับปลาหมอคางดำ ณ คลองลาดใหญ่ (บริเวณหน้าวัดลาดใหญ่) หมู่ที่ 11 ตำบลลาดใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมแรงร่วมใจจับปลาหมอคางดำพร้อมทั้งบูรณาการทำงานร่วมศูนย์วิจัยพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งสมุทรสงครามเพื่อศึกษาความหนาแน่นของปริมาณปลาในหมอคางดำในแหล่งน้ำเพื่อกำหนดแผนการจัดการปลาชนิดนี้อย่างเป็นระบบ และรวบรวมปลาหมอคางดำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อนำมาเป็นพ่อแม่พันธุ์โครงการวิจัยการเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม 4n ของ ศพช.สมุทรสงครามดัดแปลงโครโมโซมปลาหมอคางดำ ทำให้เป็นหมัน แพร่พันธุ์ไม่ได้ นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนแห กากชา รวมทั้งอาหารและเครื่องดื่มสำหรับผู้ร่วมงาน จากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) อีกด้วย

นายบัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า กิจกรรมลงแขกลงคลอง เป็นหนึ่งในแนวทางการลดและควบคุมประชากรปลาหมอคางด ไม่ให้ทำลายสัตว์น้ำพื้นถิ่นในแหล่งน้ำสาธารณะ รวมถึงบ่อเพาะเลี้ยงของเกษตรกร และเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนและเกษตรกรได้มาร่วมมือกันหยุดยั้งการแพร่พันธุ์ของปลาชนิดนี้ ทั้งนี้ สมุทรสงครามจัดกิจกรรม “ลงแขก-ลงคลอง” 7 ครั้งที่ผ่านมา สามารถจับปลาได้มากกว่า 3,300 กิโลกรัม มีการสนับสนุนปลานักล่า (ปลากะพงขาว) ให้กับกลุ่มเกษตรกรเครือข่าย จำนวน 8,000 ตัว เพื่อนำไปอนุบาลหรือเลี้ยงให้มีขนาดโตขึ้น มีความแข็งแรงสามารถไล่ล่าได้ดี จากนั้นนำมาวางแผนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำเพื่อกำจัดปลาหมอคางดำร่วมกัน พร้อมทั้งติดตามประเมินผลอย่างจริงจัง

การจัดกิจกรรมลงแขก-ลงคลองในครั้งนี้ มีการดำเนินการใน 3 พื้นที่ ดังนี้

  1. บริเวณคลองย่อยคลองลาดใหญ่ (หน้าวัดลาดใหญ่) ต.ลาดใหญ่ อ.เมืองสมุทรสงคราม ดำเนินการโดยสำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกรมประมง (FC) สมุทรสงคราม หน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง สามารถจับสัตว์น้ำได้จำนวน 408.20 กิโลกรัม แบ่งเป็นปลาหมอคางดำ จำนวน 267.10 กิโลกรัม และปลากระบอก จำนวน 141.10 กิโลกรัม
  2. บริเวณคลองเลียบถนนเอกชัย ต.ลาดใหญ่ อ.เมืองสมุทรสงคราม ดำเนินการโดย สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกรมประมง (FC) สมุทรสงคราม สามารถจับปลาหมอคางดำได้ 100 กิโลกรัม
  3. บริเวณคลองสาม ต.บางแก้ว อ.เมืองสมุทรสงคราม ดำเนินการโดยผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ตำบลบางแก้ว การดำเนินงานอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่ประมง สามารถจับปลาหมอคางดำได้ จำนวน 6,240 กิโลกรัม.

รวมยอดการกำจัดปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติจากกิจกรรมที่จัดขึ้นในวันนี้ (30 สิงหาคม 2567) ทั้งสิ้น 6,607.10 กิโลกรัม และมีการนำปลาหมอคางดำที่ถูกกำจัดออกจากระบบนิเวศไปใช้ประโยชน์ 3 ช่องทาง คือ นำไปเป็นเหยื่อเลี้ยงปูทะเล นำไปเป็นอาหารเลี้ยงเป็ด และนำส่งโรงงานปลาป่น

นอกจากนี้ จังหวัดยังได้ร่วมมือกับหลายภาคส่วนเพื่อส่งเสริมให้มีการจับปลาหมอคางดำมากขึ้น ต่อเนื่องจากการดำเนินโครงการผลิตน้ำหมักชีวภาพเพื่อเกษตรกรชาวสวนยาง ของการยางแห่งประเทศไทย ซึ่งสำนักงานประมงสมุทรสงครามได้ดำเนินการรับซื้อปลาหมอคางดำในพื้นที่ได้ครบตามโควต้าที่ได้รับการจัดสรรเรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนี้ ประมงสมุทรสงครามได้ประสานกับโรงงานปลาป่น บริษัท ศิริแสงอารำพี จำกัด ในจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อขายปลาหมอคางดำทำปลาป่นในราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม (โดยผู้ขายได้ 12 บาท แพปลาได้ 3 บาท) แพปลาในจังหวัดสมุทรสงครามได้นำส่งปลาหมอคางดำเข้าโรงงานศิริแสงอารำพี ในระหว่างวันที่ 20-29 สิงหาคม 2567 แล้ว 53,070 กิโลกรัม

การแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ ต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจจากทุกภาคส่วนช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อให้ปริมาณปลาในจังหวัดสมุทรสงครามลดลงอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ประมงสมุทรสงคราม ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันแจ้งเบาะแสการพบปลาหมอคางดำให้กับกรมประมง เพื่อจัดทีมไล่ล่าปลาหมอคางดำในครั้งถัดไป