Home Blog Page 72

ซีพีเอฟ – จิตอาสาเครือซีพี หน่วยงานรัฐ และชุมชน ผนึกพลังเก็บขยะชายหาด ร่วมปกป้องท้องทะเล

0

จิตอาสาซีพีเอฟและจิตอาสาเครือซีพี พร้อมกับหน่วยงานในพื้นที่ ร่วมจัดกิจกรรม “CPF Restore the Ocean” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เพื่อเก็บขยะตามชายหาด 7 จังหวัดชายฝั่งทะเลของประเทศไทย ได้แก่ ระยอง สงขลา ตราด พังงา สมุทรสาคร ตรัง และชุมพร ในโอกาสสัปดาห์วันเก็บขยะชายหาดสากล (International Coastal Cleanup Day) ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 3 ของเดือนกันยายนของทุกปี โดยในปีนี้ตรงกับวันที่ 21 กันยายน 2567 กิจกรรมดังกล่าว มีเป้าหมายช่่วยปกป้องระบบนิเวศทางทะเลและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของท้องทะเล

CPF Restore the Ocean 2024 เริ่มกิจกรรมเก็บขยะชายหาด มาตั้งแต่ 13 ก.ย.- 21 ก.ย. ที่ผ่านมา ปิดท้ายกิจกรรมในประเทศไทยที่ จ.สมุทรสาคร โดยมีจิตอาสาซีพีเอฟและจิตอาสาบริษัทในเครือซีพี ประกอบด้วย ซีพีออลล์ ซีพีแอ็กซ์ตร้า ซีพีแลนด์ พร้อมด้วยตัวแทนของหน่วยงานในพื้นที่ร่วมกิจกรรม นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการให้ความรู้ถึงผลกระทบของขยะทะเล กิจกรรมปลูกซ่อมแซมต้นไม้ป่าชายเลน เช่น ต้นโกงกางใบเล็ก ต้นฝาดดอกขาว ต้นตะบูน ต้นตะบัน ต้นถั่วขาว ต้นพังกา ณ บริเวณพื้นที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 2 ต. บางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร

ทั้งนี้ ขยะที่เก็บได้ตลอดสัปดาห์ CPF Restore the Ocean จาก 7 จังหวัด (13-21 ก.ย. 2567) รวมปริมาณ 4.5 ตัน จะถูกนำไปจัดการอย่างเหมาะสม ซึ่งส่วนหนึ่งจะถูกนำกลับมารีไซเคิลหรืออัปไซเคิล สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เช่น กระถางต้นไม้ แผ่นปูพื้นตกแต่งสวน และภาชนะต่าง ๆ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะ แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์อีกด้วย

ในปีนี้ ซีพีเอฟได้ขยายความร่วมมือทำกิจกรรมเก็บขยะชายหาด โดย บริษัท ซี.พี. เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น (CPV) ร่วมกับศูนย์บริการสังคมเยาวชนโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Youth Social Work Center: YSW) จัดกิจกรรมเก็บขยะชายฝั่ง ณ จังหวัดบ่าเรีย-หวุงเต่า บนพื้นที่ชายหาดยาว 300 เมตร มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 150 คน ประกอบด้วยอาสาสมัครจากซี.พี. เวียดนามตัวแทนจากองค์กรธุรกิจ และชุมชนท้องถิ่น กิจกรรมนี้ถือเป็นหนึ่งในโครงการประจำปีของ CPV ที่มีเป้าหมายสนับสนุนจังหวัดบ่าเรีย-หวุงเต่า ในการลดปริมาณขยะพลาสติกในทะเล รักษาความสะอาดของชายหาด และมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยขยะที่เก็บมีทั้งขยะที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ ขยะรีไซเคิล ขยะอันตราย และขยะอื่น ๆ ซึ่งขยะทั้งหมดจะถูกส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดการและรีไซเคิลอย่างเหมาะสมต่อไป.

ส.ผู้ผลิตอาหารสัตว์ เตือนสัญญานอันตราย “บอนไซภาคปศุสัตว์ทั้งระบบ” จี้รัฐแก้นโยบายวัตถุดิบทันที

0

สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ชี้เกิดภาวะบอนไซภาคปศุสัตว์ไทยทั้งระบบ ไม่มีทางเติบโตไปกว่าที่เป็นอยู่ หลังถูกจำกัดปริมาณวัตถุดิบอาหารสัตว์ทุกทิศทาง ซ้ำเติมด้วยปริมาณข้าวโพดที่จะหายไปจากระบบอีก 2 ล้านตัน/ปีจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ย้ำรัฐจำเป็นต้องตัดสินใจแก้นโยบายวัตถุดิบอาหารสัตว์ทันที ก่อน SME ตายกราวด์รูดเป็นกลุ่มแรก

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ตั้งข้อสังเกตจากข้อเรียกร้องของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดหลังสมาคมการค้าพืชไร่เพชรบูรณ์ประกาศหยุดรับซื้อข้าวโพดจากเกษตรกรเป็นเวลา 3 วัน โดยอ้างราคาขายตกต่ำเกินกว่าจะทำกำไรว่า ปัจจุบันราคาข้าวโพดที่โรงงานอาหารสัตว์ซื้อจากผู้รวบรวมอยู่ที่ 10.50 บาท/กก.(ความชื้น14.5%) ราคาที่ผู้รวบรวมควรรับซื้อจากเกษตรกรควรอยู่ที่ 9.70 บาท/กก. (ความชื้น14.5%) และ 7.50 บาท(ความชื้น 30%) แต่ในข้อเท็จจริงเกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวความชื้นสูงกว่า 35% จึงถูกผู้รวบรวมซื้อในราคาเหมาที่ 6-6.5 บาท/กก. หรืออาจจะต่ำกว่านั้นถ้าขายทั้งฝัก นับเป็นเรื่องน่าเห็นใจเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดอย่างยิ่ง

“นี่จึงเป็นความจำเป็นของโครงการประกันรายได้เกษตรกรที่สมาคมฯ ได้หารือกับรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ในสมัยที่ยังเป็นเจ้ากระทรวงพาณิชย์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่เกษตรกรว่าราคาข้าวโพดจะไม่ต่ำไปกว่าที่ประกัน โดยไม่ต้องคำนึงถึงการนำเข้าวัตถุดิบทดแทนชนิดอื่นๆเลย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือรัฐต้องกำกับดูแลให้ความเป็นธรรมแก่เกษตรกรที่ไปขายตามลานรับซื้อต่างๆ ให้เป็นไปตามโครงสร้างการประกันราคาที่กำหนด อย่าปล่อยให้มีการกดราคาซึ่งผู้รวบรวมจะคงส่วนต่างกำไรไว้เสมอ ดังคำพูดติดปากกันว่า ข้าวโพดแพงเกษตรกรปศุสัตว์ได้รับผลกระทบ แต่เกษตรกรข้าวโพดกลับไม่ได้ราคาที่สูงตามที่ควรได้” นายพรศิลป์กล่าว

ราคาที่โรงงานอาหารสัตว์จ่ายให้แก่ผู้รวบรวมที่ 10.50 บาท/กก. นี้สูงกว่าราคาที่ประกันรายได้ให้เกษตรไทยที่ได้หารือกับกรมการค้าภายในไว้ที่ 9.80 บาท/กก. (ความชื้น14.5%) ณ หน้าโรงงานกรุงเทพปริมณฑล และยังสูงกว่าที่เกษตรกรเวียดนามจ่ายให้ข้าวโพดนำเข้าจากบราซิล อาเจนติน่า และสหรัฐอเมริกาที่มีราคาเพียง 8-9 บาทเท่านั้น ตรงนี้สะท้อนปัญหาโครงสร้างนโยบายวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่บิดเบี้ยวจนทำให้เกษตรกรถูกเอาเปรียบและทำให้ต้นทุนการผลิตภาคปศุสัตว์ของไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่ง

นายพรศิลป์ยังชี้ให้เห็นสัญญาณอันตรายที่เป็นข้อจำกัดไม่ให้ภาคปศุสัตว์ของไทยเติบโต จากข้อเรียกร้องหลายข้อที่แสดงให้เห็นแนวคิดที่จะจำกัดจำนวนวัตถุดิบให้ขาดแคลน เพื่อจุดประสงค์ในการยกราคาข้าวโพดให้สูงขึ้น อาทิ การจำกัดเวลานำเข้าข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้าน การกำหนดโควตาภาษีนำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบ WTO รวมถึงมาตรการควบคุมนำเข้าข้าวสาลี ซึ่งส่งผลกระทบอย่างชัดเจน เช่น “อุตสาหกรรมไก่เนื้อ” เดิมมีอัตราการส่งออกเติบโตเฉลี่ยปีละ 3-4% แต่หลังจากมีมาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลีในช่วงปลายปี 2559 ทำให้อัตราการเติบโตของการส่งออกไก่เนื้อรวมถึงการผลิตอาหารไก่เนื้อลดลงเหลือปีละ 1% เนื่องจากวัตถุดิบมีไม่เพียงพอและต้นทุนปรับสูงขึ้น หากยังคงแนวคิดนี้ต่อไป ปริมาณส่งออกไก่เนื้อและผลิตภัณฑ์ปีละ 1.1 ล้านตัน สร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยปีละไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนล้านบาท จะหยุดนิ่งที่ตรงนี้ นอกเสียจะลดการบริโภคภายในประเทศเพื่อให้ได้จำนวนไปส่งออกเพิ่ม แต่ก็จะเกิดปัญหาขาดแคลนภายในประเทศแทน ราคาเนื้อไก่ที่ผู้บริโภคต้องซื้อก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

“จำนวนข้าวโพดจะไม่มีเพิ่มขึ้นแล้วเพราะผู้รวบรวมไม่ยอมให้เพิ่ม จะให้ไปใช้พืชชนิดอื่นก็ไม่ได้เพราะสารอาหารไม่เท่าข้าวโพด เมื่อการผลิตอาหารสัตว์ต้องสะดุดเพราะไม่มีวัตถุดิบ จำนวนอาหารสัตว์ไม่พอป้อนตัวสัตว์ ราคาอาหารสัตว์จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ราคาเนื้อสัตว์ก็สูงตาม ปัญหานี้ใหญ่มาก ลองมองดูตลอด Supply Chain ก็จะเห็นว่าไก่ส่งออกก็จะติดขัด ไม่สามารถขยายตลาดได้ ยอดขายกว่าแสนล้านไม่โต กลุ่ม SME จะเป็นกลุ่มแรกที่ไปต่อไม่ไหว หลังจากนั้นภาคปศุสัตว์ของประเทศจะล้มพับทั้งระบบ นับเป็นเรื่องอันตรายมากสำหรับพวกเราทุกคน”

นอกเหนือจากเงื่อนไขต่างๆที่เป็นอุปสรรคจากกลุ่มผู้รวบรวมแล้ว ยังมีมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ ปัญหา PM2.5 ที่ล้วนเป็นตัวทับถมให้ทำให้ปริมาณข้าวโพดที่จะใช้ได้นั้นลดลง เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ต้องลดการซื้อข้าวโพดรุกป่าและข้าวโพดที่ผ่านการเผาซึ่งหากคิดตัวเลขที่ซื้อไม่สามารถซื้อได้ 10% เท่ากับข้าวโพดในประเทศจะหายไป 5 แสนตัน นอกจากนี้ข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีหลักฐานแสดงว่าปลอดการเผาและรุกป่าก็จะไม่สามารถนำเข้ามาได้ ซึ่งจำนวนนำเข้าเฉลี่ยปีละ 1.5 ล้านตันจะหายไป รวมปริมาณข้าวโพดที่จะหายไปทั้งระบบ 2 ล้านตันต่อปี

“สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐต้องเตรียมตัวและเร่งแก้ปัญหาทันที อย่ามัวแต่สนใจพฤติกรรมของคนบางกลุ่มที่มีวิสัยทัศน์เพียงขอบเขตทำกำไรของตน ห่วงแค่ว่าถ้าข้าวโพดเข้ามาเยอะแล้วราคาจะตก จะห่วงทำไมในเมื่อมีการประกันรายได้ให้เกษตรกรแล้ว ผมจึงอยากให้รัฐมีวิสัยทัศน์ให้กว้างไกลกว่าคนกลุ่มนี้ และเร่งพิจารณาแก้ไขโครงสร้างทั้งหมดทันทีก่อนจะสายเกินแก้” นายพรศิลป์กล่าว

อนึ่ง สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย มีหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยเสนอให้มีการประกันรายได้เกษตรกรในราคาที่เหมาะสมเป็นธรรม และเปิดให้มีการนำเข้าวัตถุดิบทดแทนเสรีให้เพียงพอต่อความต้องการในราคาที่แข่งขันได้ จะทำให้เกษตรกรข้าวโพดได้รับการดูแลไปพร้อมกับเกษตรกรปศุสัตว์ ซึ่งถือเป็นห่วงโซ่เดียวกัน เพราะหากประเทศไทยไม่สามารถส่งออกเนื้อสัตว์ไปแข่งขันได้ ปัญหาจะย้อนกลับมากระทบทุกข้อต่อในห่วงโซ่ รวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดด้วย ขณะเดียวกัน ขอให้ภาครัฐให้ความสำคัญกับการผลิตวัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อรักษาตลาดส่งออกสินค้าปศุสัตว์อย่างยั่งยืนต่อไป “หากไม่เปลี่ยนนโยบายวัตถุดิบเตรียมรอรับวิกฤตที่จะเกิดกับภาคปศุสัตว์ต่อไปได้เลย” นายพรศิลป์กล่าวทิ้งท้าย

ออมสินร่วมแชร์ความห่วงใย เตือนภัยมิจฉาชีพ

0

“หยุด! อย่าเชื่อ! ก่อนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพรายต่อไป
ร่วมแชร์ความห่วงใย เตือนภัยมิจฉาชีพ

❌ เบอร์แปลก
❌ หลอกคุย
❌ ตัดสายทิ้ง
❌ ลิงก์ไม่กด

ด้วยความห่วงใยจากธนาคารออมสิน ให้เงินในบัญชีของคุณปลอดภัยมากขึ้น แนะนำเลือกเปิดโหมด MyMo Secure Plus

ธนาคารออมสินไม่มีนโยบายให้ผู้บริหารและพนักงานธนาคารออมสิน โทรสอบถามข้อมูลส่วนตัวหรือให้ทำธุรกรรมผ่านทางโทรศัพท์

ด้วยความห่วงใย ?
จากธนาคารออมสิน

สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับเฮ! เมืองไทยประกันชีวิต มอบชุดขนมไหว้พระจันทร์ ส่งแบบพรีเมียมให้ถึงบ้าน

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต โดยเมืองไทยสไมล์คลับ ส่งมอบความสุข ความโชคดี พร้อมเสริมความสมบูรณ์และมั่งคั่งในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์แด่สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับระดับสถานะ The Ultimate¹ จำนวน 1 ชุด/ท่าน ด้วยการมอบชุดขนมไหว้พระจันทร์ จากโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ (Intercontinental Bangkok) จำนวน 8 ชิ้น 6 รสชาติ ได้แก่ รสเม็ดบัวไข่เค็ม, รสทุเรียนไข่เค็ม, รสชาเขียวไข่เค็ม, รสคัสตาร์ด, รสคัสตาร์ดชาไทย และ รสชาเอิร์ลเกรย์กับถั่วแมคคาเดเมียและผิวส้ม โดยการจัดส่งแบบพรีเมียมถึงบ้านผ่านบริการจาก White Glove Delivery By Silver Voyage Club ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ Courier Service (Inter Express) ในเขตต่างจังหวัด

นอกจากนี้ เมืองไทยสไมล์คลับ พร้อมยืนเคียงข้างและดูแลทุกเทศกาล หรือวันสำคัญของสมาชิกฯ โดยสามารถติดตามกิจกรรมรวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่เมืองไทยสไมล์คลับคัดสรรมาพิเศษแบบครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ และตอบโจทย์ความหลากหลายทุกความต้องการเพิ่มเติม ได้ที่ MTL Click Application สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือเว็บไซต์ www.muangthai.co.th ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1766 กด 4 เมืองไทยประกันชีวิต หรือศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ

“เมืองไทยสไมล์คลับ ยังคงเดินหน้าคัดสรรประสบการณ์แห่งการดูแล การสร้างสรรค์กิจกรรม สิทธิประโยชน์ ที่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของสมาชิกฯ ทุกระดับ ทั้งการรับสิทธิพิเศษฟรี ส่วนลดร้านค้า และการแลกคะแนนสะสม Smile Point เพื่อให้สมาชิกฯ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกคุ้มค่ามากกว่าแค่คุ้มครอง ผ่านสิทธิประโยชน์ และกิจกรรมที่ตอบโจทย์ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับสมาชิกฯ ทุกคน” นายสาระ กล่าว

ข้อกำหนดและเงื่อนไข

การรับสิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ระดับสถานะ The Ultimate ซึ่งเป็นไปตามระดับสถานะสมาชิกฯ สิทธิ์ Privilege ประจำปี 2567 ณ วันที่ 31 มกราคม 2567 โดยพิจารณาจากเบี้ยประกันภัยที่ถึงกำหนดชำระ และชำระเบี้ยประกันภัยเข้ามาตามปีปฏิทิน 2566 รับชุดขนมไหว้พระจันทร์ 1 ชุด/ท่าน

ระยะเวลาการจัดส่ง ตั้งแต่วันที่ 5 – 15 กันยายน 2567 โดยบริษัท เวิลด์ รีวอร์ด โซลูชั่น จำกัด จะทำการโทรนัดหมายวัน – เวลา ในการจัดส่งชุดขนมไหว้พระจันทร์ ล่วงหน้า 1 วัน ก่อนวันจัดส่ง ตามที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่ได้ให้ข้อมูลไว้ในระบบสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ

เมืองไทยสไมล์คลับ โดย บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต เป็นเพียงผู้ให้สิทธิพิเศษแก่สมาชิกฯเท่านั้น ทั้งนี้ บริษัทฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้บริการดังกล่าว

เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษและการเข้าร่วมกิจกรรม จะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี ตามเงื่อนไขที่ บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต กำหนด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1766 เมืองไทยประกันชีวิตทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

สินเชื่อเคหะจากธนาคารออมสิน ดบ.ต่ำ ผ่อนนาน พร้อมเงื่อนไขพิเศษ

0

ธนาคารออมสินออกโปรโมชัน “สินเชื่อเคหะ” เอาใจคนอยากมีบ้าน ดอกเบี้ยปีแรกถูกลง ผ่อนสบาย
? ดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 2.290% ต่อปี
? วงเงินกู้สูงสุด 110%
?*สนับสนุนค่าประเมินราคาหลักทรัพย์
? อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญา ภายใน 15 ธันวาคม 2567
? สมัครขอสินเชื่อ คลิก > https://fwuj.short.gy/uAtBL7
หรือที่ธนาคารออมสินทุกสาขา

  • สำหรับกรณีซื้อ/ปลูกสร้าง/ต่อเติมซ่อมแซม ที่มีวงเงินกู้สินเชื่อเคหะตั้งแต่ 3.00 ล้านบาทขึ้นไป
  • อาชีพรายได้ประจำ หรืออาชีพรายได้อิสระ ที่มีรายได้ ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป
  • ปัจจุบัน MRR เท่ากับ 6.595% ต่อปี (ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป) ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้
  • อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) อยู่ระหว่าง 2.290% – 6.345% ต่อปี
  • อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) กรณีวงเงินกู้สินเชื่อเคหะตั้งแต่ 3.00 ล้านบาท ไม่ถึง 10.00 ล้านบาท อยู่ระหว่าง 4.891% – 5.374% ต่อปี คำนวณจากวงเงินกู้ 3.00 ล้านบาท ระยะเวลา 20 ปี แบบผ่อนชำระเท่ากันทุกงวด กรณีวงเงินกู้สินเชื่อเคหะตั้งแต่ 10.00 ล้านบาทขึ้นไป อยู่ระหว่าง 4.800% – 5.281% ต่อปี คำนวณจากวงเงินกู้ 10.00 ล้านบาท ระยะเวลา 20 ปี แบบผ่อนชำระเท่ากันทุกงวด
    •*สนับสนุนค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ ตามที่จ่ายจริง ไม่เกินรายละ 5,000 บาท (สำหรับลูกค้าที่วงเงินกู้สินเชื่อเคหะตั้งแต่ 3.00 ล้านบาทขึ้นไป)
  • หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
  • ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2567 – 15 พฤศจิกายน 2567 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญา ภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2567
  • รายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ที่เว็บไซต์ www.gsb.or.th
    ⚠️ รู้ก่อนกู้…กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
    ⚠️ เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

กองทัพบก-ม.แม่ฟ้าหลวง-ซีพี-ซีพีเอฟ ร่วมภารกิจส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วมเชียงราย

0

พลเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก ผู้ช่วยศาตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และนายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ พร้อมด้วยจิตอาสาเครือซีพี ได้แก่ ซีพีเอฟ, ซีพีออลล์, ซีพี แอ็กซ์ตร้า แม็คโคร โลตัส, และข้าวตราฉัตร ลงพื้นที่ให้กำลังใจและส่งมอบอาหาร รวมถึงถุงยังชีพ ภายใต้โครงการ ‘CP-CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม’ โดยมีกำลังพลของกองทัพบก นำทีมกระจายอาหารและสิ่งของจำเป็น ส่งถึงผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย

ผู้บัญชาการทหารบก ตรวจเยี่ยมความพร้อมของโรงพยาบาลสนาม กองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช บริเวณด่านพรมแดนแม่สาย ที่ให้บริการทางการแพทย์กับประชาชน มีผู้ป่วยทั้งชาวไทยและเมียนมาเข้ารับการอย่างต่อเนื่อง จากนั้นตรวจเยี่ยมกิจกรรมทำความสะอาด รวมถึงการซ่อมแซมเขื่อนป้องกันน้ำท่วมฝั่งประเทศไทย บริเวณสะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 1 พร้อมมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ ยังเดินทางไปเยี่ยมบ้านพักอาศัยของกำลังพล ในหน่วย ร.17 พัน.3 ค่ายเม็งรายมหาราช ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัยเช่นเดียวกัน เพื่อให้กำลังใจพลทหารและมอบถุงยังชีพ ตลอดจนสิ่งของจำเป็น

ดร.มัชฌิมา นราดิศร กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย ตั้งแต่ปลายเดือนส.ค.ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยเป็นสะพานเชื่อมความช่วยเหลือจากทุกสารทิศเปิดรับเงินบริจาค สิ่งของจำเป็น ทั้งจากนักศึกษา ผู้ปกครอง ศิษย์เก่า พนักงาน และประชาชนทั่วไป รวมถึงเปิดอาคารต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยฯ อาทิ สเตเดียม ให้เป็นศูนย์พักพิงให้แก่ผู้ประสบภัย ขณะเดียวกัน ยังจัดตั้งโรงครัว 2 แห่ง คือ เรือนริมน้ำ ซึ่งเป็นร้านอาหารของมหาวิทยาลัยฯ และห้องปฏิบัติการของนักศึกษา สำนักวิชาการจัดการ ในการปรุงอาหารสุกพร้อมรับประทานส่งมอบแก่ประชาชนจำนวน 1,500 กล่องต่อวัน

“ด้วยข้อจำกัดของการจัดหาวัตถุดิบปรุงอาหารที่ค่อนข้างขาดแคลนในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับกระบวนการส่งมอบอาหารถึงมือผู้ประสบภัย ที่ทำได้ล่าช้า เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงบางพื้นที่ จึงได้รับการสนุบสนุนจากกองทัพบก รวมถึงเครือซีพีและซีพีเอฟ ในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ นับตั้งแต่การนำวัตถุดิบมามอบให้มหาวิทยาลัย เพื่อเสริมกำลังผลิตของโรงครัวปรุงเป็นอาหารสุก และส่งต่อให้กำลังพลไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย ร่วมกับจิตอาสาซีพีและซีพีเอฟ ตลอดจนนักศึกษาจิตอาสาของมหาวิทยาลัยฯ นับว่าเป็นความร่วมแรงร่วมใจของ 3 ภาคส่วน ในการกระจายความช่วยเหลือไปสู่ผู้ประสบภัยอย่างแท้จริง” ผศ.ดร.ณัฐพรพรรณ กล่าว

ด้าน นายจอมกิตติ ศิริกุล กล่าวว่า จากดำริของ ประธานสุภกิต เจียรวนนท์ ในการเร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุน้ำท่วมอย่างทันท่วงที ด้วยการระดมสรรพกำลังและขีดความสามารถของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ในเครือซีพี โดยซีพี ซีพีเอฟ ร่วมกับกองทัพบกและมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายอย่างเร่งด่วน แม้ว่าสถานการณ์น้ำท่วมที่เชียงรายจะลดระดับลงแล้ว แต่การฟื้นฟูภายหลังน้ำท่วมถือเป็นสิ่งสำคัญ บริษัทฯ ยังคงสนับสนุนวัตถุดิบแก่โรงครัวที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สำหรับปรุงเป็นอาหารสุก โดยได้รับความร่วมมือจากฝ่ายกำลังพลในจังหวัดเชียงราย นำอาหารและสิ่งของจำเป็นไปแจกจ่ายให้ถึงมือพี่น้องประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ที่ยากจะเข้าถึงให้ได้มากที่สุด

ที่ผ่านมา เครือซีพีและซีพีเอฟ ได้ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน 6 จังหวัด ทั้งเชียงราย พะเยา แพร่ น่าน สุโขทัย และหนองคาย รวมถึงสนับสนุนกองบัญชาการทัพไทยในการปฏิบัติภารกิจบรรเทาความเดือดร้อน และยังคงส่งมอบความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย .

AIS เปิดตัวพรีเซนเตอร์คนใหม่ “วิว-กุลวุฒิ” ฮีโร่เหรียญเงินแบตมินตันโอลิมปิค 2024

0

AIS เดินเครื่องแบบจัดหนัก จัดเต็ม ต่อเนื่อง ตอกย้ำความเร็ว แรง และครอบคลุมของโครงข่าย AIS 5G พร้อมควงฮีโร่เหรียญเงิน จากโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักกีฬาแบดมินตันชายเดี่ยวทีมชาติไทย ร่วมเป็นสมาชิกครอบครัว AIS พรีเซนเตอร์คนใหม่ ที่จะมาตอกย้ำความมุ่งมั่นการพัฒนาโครงข่าย 5G ที่ดีที่ของไทย พร้อมเป็นแบรนด์ที่จะช่วยผลักดันให้เป้าหมายของทุกคนเป็นจริง สามารถเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด BE THE BEST – AIS 5G ดีที่สุด

            นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “พวกเรารู้สึกดีใจที่ได้ร่วมต้อนรับ ขวัญใจชาวไทย น้องวิว กุลวุฒิ เจ้าของเหรียญเงินจากการแข่งขันแบตมินตัน ในโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 ที่ผ่านมา เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน จากความทุ่มเท พัฒนาตัวเอง และไม่ยอมแพ้จนสามารถสร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญรางวัลมาฝากพี่น้องชาวไทยได้สำเร็จ นั่นสะท้อนให้เห็นถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ของความมุ่งมั่น ความมีวินัยในการฝึกซ้อม ความตั้งใจในการตั้งเป้าหมายจนสามารถทำให้เส้นทางความฝันของน้องวิวเป็นจริงได้

การทำงานร่วมกับน้องวิว กุลวุฒิ จึงนับเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของ AIS ที่ต้องการสื่อสารไปยังลูกค้าและคนไทย ให้เห็นความตั้งใจในการพัฒนาโครงข่าย 5G ที่ดีที่สุด เพื่อส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลให้กับลูกค้าในทุกด้าน เราพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของลูกค้าและคนไทยที่จะนำศักยภาพของโครงข่าย 5G ที่ดีที่สุด มาสนับสนุน ผลักดัน และสร้างประโยชน์ในทุกช่วงเวลาให้กับทุกคนได้ทำตามเป้าหมาย สามารถเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดได้โดยไม่มีข้อจำกัดเช่นเดียวกับ น้องวิว กุลวุฒิ”

            ติดตาม BE THE BEST – AIS 5G ดีที่สุด ได้แล้วที่ https://www.youtube.com/watch?v=mS6CEngToeY

AIS จับมือ Bridge Alliance ต่อยอด Open API เชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างประเทศผ่านแพลตฟอร์ม BAEx

0

รายงานข่าวเปิดเผยว่า จากการเปิดตัว AIS Open API แพลตฟอร์มชุดบริการการเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่น ที่เป็นมาตรฐานสากลจาก GSMA สำหรับนักพัฒนาในองค์กรธุรกิจต่างๆ เพื่อเข้าใช้บริการและทรัพยากรจากผู้ให้บริการเครือข่าย ในการสร้างสรรค์บริการและนวัตกรรม AIS ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างความสะดวกให้องค์กรผู้ใช้บริการโดยการขยายขอบเขตการให้บริการไปสู่ระดับภูมิภาค ด้วยการต่อยอดความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อเสริมเครือข่ายและเร่งการใช้งาน API ในระดับสากล

ล่าสุด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ได้ร่วมมือกับ Bridge Alliance เพื่อเชื่อมต่อ AIS Open API กับแพลตฟอร์ม Bridge Alliance’s API Exchange (BAEx) ซึ่งมีผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำอีก 12 ราย ประกอบด้วย Airtel, China Unicom, CSL, CTM, Globe, Maxis, Mobifone, Optus, Singtel, SK Telecom, Taiwan Mobile และ Telkomsel ร่วมให้การสนับสนุนโครงการนี้ ความร่วมมือจากผู้ให้บริการเหล่านี้ทำให้ AIS สามารถให้บริการ APIs ผ่าน BAEx ถึงบริการโทรคมนาคมจากผู้ให้บริการต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น และครอบคลุมพื้นที่ให้บริการได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเร่งทำให้เกิดการใช้งาน APIs เหล่านี้ โดยนักพัฒนา ผู้ให้บริการโซลูชัน และธุรกิจต่างๆจะสามารถเข้าถึงการใช้งานบริการโทรคมนาคมในหลายตลาดได้อย่างไร้รอยต่อ เพื่อสร้างนวัตกรรมร่วมกันและพัฒนาการใช้งานในรูปแบบใหม่ๆ

นายภูผา เอกะวิภาต รักษาการหัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายใหม่เพื่อขยายศักยภาพการแข่งขันให้กับธุรกิจไทยในระดับภูมิภาคด้วยเทคโนโลยีของการให้บริการโทรคมนาคม ด้วยการสร้างพันธมิตรทางเทคโนโลยีกับสมาชิกในกลุ่ม Bridge Alliance ทำให้การแบ่งปันและการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆเป็นไปอย่างก้าวกระโดด ช่วยลดความยุ่งยาก รวมถึงสร้างความปลอดภัยและประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้งาน ผ่าน BAEx ซึ่งเป็นมาตรฐานกลางสำหรับ API โดยทำให้ภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีของ AIS และผู้ให้บริการโทรคมนาคมในเครือพันธมิตรได้อย่างง่ายดายเพียงเชื่อมต่อที่ระบบเดียว

โดย AIS เปิดให้บริการการเชื่อมต่อเพื่อเข้าถึง และใช้งานบริการโทรคมนาคมนี้ผ่านแพลตฟอร์ม AIS Open API ที่ทำงานและเชื่อมต่ออยู่บน BAEx โดยพร้อมให้บริการได้แล้ววันนี้กับ Number Verify API ที่ช่วยเพิ่มความสะดวก และปลอดภัยสำหรับการยืนยันตัวตนผ่านหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ SIM Swap API ที่ช่วยตรวจสอบการใช้งาน SIM ให้ถูกต้องตามเงื่อนไข และ Device Location API ที่ช่วยตรวจสอบพื้นที่ติดตั้งของอุปกรณ์ต่างๆได้อย่างสะดวกและแม่นยำ เทคโนโลยีเหล่านี้จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคธุรกิจและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลทั้งในประเทศไทยและระดับภูมิภาค”

Dr Ong Geok Chwee , CEO of Bridge Alliance กล่าวว่า ”เรารู้สึกตื่นเต้น และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความร่วมมือจากผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมจำนวนมากที่เข้าร่วมโครงการ และช่วยพัฒนา BAEx ให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังความแข็งแกร่งของพันธมิตร และความร่วมมือกันใน Bridge Alliance อย่างแท้จริง ด้วยความร่วมมือจากผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมจำนวนมากจากหลากหลายภูมิภาคนี้ ที่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จในการสร้างแพลตฟอร์มมาตรฐานเพื่อเป็นตัวกลางสำหรับการใช้งาน APIs ด้านบริการโทรคมนาคม ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถใช้งาน APIs เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจในระดับภูมิภาคได้อย่างง่ายดาย ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์จากกรอบทางเทคนิค และเชิงพาณิชย์ที่มีการปรับปรุงให้สะดวกยิ่งขึ้นเมื่อทำงานร่วมกับ BAEx เรายังยินดีต้อนรับผู้ให้บริการโทรคมนาคม และภาคธุรกิจต่างๆให้เชื่อมต่อกับ BAEx เพื่อสร้างนวัตกรรมร่วมกัน”

BAEx จะทำให้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อเข้ากับ APIs ของผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายต่างๆผ่านการเชื่อมต่อเพียงระบบเดียวและภายใต้สัญญาเดียวซึ่งเป็นไปได้ด้วยความสามารถของ PARAGON Platform จาก Singtel ซึ่งจะช่วยลดความยุ่งยาก ซับซ้อน จากเดิมที่ต้องเชื่อมต่อเข้ากับผู้ให้บริการโทรคมนาคมหลายๆรายลงได้ BAEx ได้รับการพัฒนาจากโครงการ GSMA’s Open Gateway และ Project CAMARA ที่มุ่งสร้างกรอบการทำงานของ APIs ด้านเครือข่ายร่วมกัน เพื่อให้นักพัฒนาสามารถเข้าถึงการใช้งาน APIs สำหรับผู้ให้บริการต่างๆ ได้อย่างเป็นสากล ปัจจุบัน BAEx ให้บริการ Silent Network Authentication API* อาทิ Number Verify และ SIM Swap ซึ่งใช้ประโยชน์จากข้อมูลเรียลไทม์ของผู้ให้บริการโทรคมนาคมในการตรวจสอบการยืนยันตัวตน และการป้องกันการฉ้อโกง APIs เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Fintech, e-commerce และบริการสื่อออนไลน์ สามารถมีกระบวนการตรวจสอบตัวตนผ่านโทรศัพท์มือถืออย่างปลอดภัย และราบรื่นเพื่อประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้งาน

ในลำดับถัดไป BAEx จะเปิดตัว APIs เพิ่มเติม อาทิ eKYC (electronic know your customer) หรือ การยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ และ QOD (Quality-of-Service on Demand) APIs หรือ การปรับคุณภาพของบริการตามความต้องการ โดยลดความซับซ้อนของโมเดลเชิงพาณิชย์ทางธุรกิจ และขั้นตอนทางเทคนิคสำหรับการใช้งาน APIs ต่างๆ ซึ่งจะช่วยปลดล็อคความยุ่งยาก สร้างโอกาส และรายได้ใหม่ๆ ให้กับธุรกิจผ่านการเข้าถึงความสามารถของการให้บริการทางโทรคมนาคมได้

GSMA สนับสนุน BAEx โดยกล่าวว่า “เราเชื่อว่าโครงการนี้จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้นักพัฒนาธุรกิจทั่วโลกสร้างความสามารถใหม่ๆ และบริการสำหรับภาคธุรกิจ และผู้บริโภค โครงการอย่าง BAEx มีความสำคัญในการรวบรวมความสามารถของบริการทางโทรคมนาคมให้แก่นักพัฒนา ด้วยการปรับให้สอดคล้องกับกรอบมาตรฐาน และผ่าน CAMARA APIs โครงการนี้สามารถช่วยให้ธุรกิจลดระยะเวลาพัฒนา และเร่งเวลาเข้าสู่ตลาดสำหรับบริการใหม่ๆ และมอบแอปพลิเคชันที่มีความปลอดภัย และมีประสิทธิผลมากขึ้นให้กับสังคม” กล่าวโดย Henry Calvert, Head of Networks, GSMA.

หนึ่งในองค์กรแรกที่เริ่มใช้งาน BAEx แล้วคือ V-Key ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการโซลูชันด้านความปลอดภัยดิจิทัล ซึ่งใช้งานอย่างแพร่หลายในกลุ่มภาครัฐ ธนาคาร และลูกค้าผู้พัฒนาแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ในระดับภูมิภาค และอีกหนึ่งองค์กที่ใช้งาน BAEx ในช่วงแรกคือ Unmanned Life บริษัทจาก สหราชอาณาจักรที่มีสำนักงานเทคโนโลยีในบาร์เซโลนา ซึ่งให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับการจัดการการทำงานของหุ่นยนต์อัตโนมัติ

Joseph Gan, CEO and co-founder at V-Key กล่าวว่า “V-key รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นผู้นำในการใช้งานโซลูชันด้านความปลอดภัยนี้ โดยการทำงานร่วมกับ Bridge Alliance บนแพลตฟอร์ม BAEx Silent Network Authentication APIs จะเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับประสบการณ์ผู้ใช้ที่ปลอดภัยและไร้รอยต่อ การรวม V-Key ID ซึ่งเป็นโซลูชันการยืนยันตัวตนดิจิทัล ที่เน้นความเป็นส่วนตัวเข้ากับ API จะไม่เพียงเพิ่มความปลอดภัย แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจด้วย”

Jorge Muñoz, Chief Commercial Officer at Unmanned Life กล่าวว่า “ เรารู้สึกตื่นเต้นกับความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Bridge Alliance ในโครงการ BAEx ความร่วมมือนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสำหรับอุตสาหกรรมด้านหุ่นยนต์อัตโนมัติเพื่อส่งต่อเทคโนโลยีขั้นสูงของเราไปใช้ทั่วเอเชีย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ความปลอดภัย และความยั่งยืนในด้านโลจิสติกส์ ด้วยการใช้ประโยชน์จาก CAMARA APIs เช่น QoD ทำให้เราพร้อมที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรมและขยายการดำเนินงานของเรา เพื่อปฏิวัติโซลูชันหุ่นยนต์อัตโนมัติในภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก”

AIS ร่วมกับ Bridge Alliance และผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่เข้าร่วมใน BAEx จะร่วมกันทำกิจกรรมด้านการตลาดและการพัฒนาธุรกิจเพื่อส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการใช้งาน APIs ในกลุ่มธุรกิจ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมและธุรกิจทั่วโลก สามารถเยี่ยมชม https://www.bridgealliance.com/baex/ เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมสำหรับ BAEx และ https://www.ais.th/business/enterprise/technology-and-solution/communication/ais-open-api เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ AIS Open API

ชวนร่วมงาน “The 2nd SET Annual Conference on Family Business: Family Business in the Globalized Asia” เจาะลึกเคล็ดลับสร้างธุรกิจครอบครัวให้แข็งแกร่ง

0

สร้างธุรกิจครอบครัวให้แข็งแกร่งและส่งต่อความสำเร็จจากรุ่นสู่รุ่น! ?✨

เจาะลึกเคล็ดลับจากงานสัมมนาธุรกิจครอบครัวครั้งสำคัญ “The 2nd SET Annual Conference on Family Business: Family Business in the Globalized Asia” เวทีรวมผู้เชี่ยวชาญระดับโลกและเจ้าของธุรกิจครอบครัวชั้นนำของไทย
.
?สำหรับผู้ที่พลาดเข้าร่วมงาน สามารถซื้อบัตรรับชมย้อนหลังได้แล้ววันนี้!
.
? หัวข้อไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด

✅ กลยุทธ์ธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืน: หัวใจสำคัญของความสำเร็จจากรุ่นสู่รุ่น
✅ ความท้าทายของธุรกิจครอบครัวไทยและโอกาสของการอยู่รอด
✅ การวางโครงสร้างธุรกิจครอบครัวเพื่อทะยานสู่การเติบโต
✅ ธรรมนูญครอบครัว เครื่องมือแห่งการขจัดความขัดแย้งในครอบครัว
✅ ต่อยอดความมั่งคั่งให้ยั่งยืนจากรุ่นสู่รุ่น
.
?บัตรรับชมย้อนหลัง มี 2 Package
?Package A ราคา 3,900 บาท (รวม VAT) รับชมได้ 5 Sessions
?Package B ราคา 1,900 บาท (รวม VAT) รับชมได้ 1 Session
.
?ซื้อบัตรได้ที่ https://setfamilybusinessconference.com/
(เปิดจำหน่ายบัตรวันนี้ ถึงวันที่ 10 พ.ย 67 เท่านั้น)
.

ซีพีเอฟ นำ 2 สถานประกอบกิจการ รับถ้วยรางวัลพระราชทานฯ ด้านการบริหารแรงงานยอดเยี่ยมปี 2567  

0

 
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดยสถานประกอบกิจการในธุรกิจสัตว์น้ำ 2 แห่ง ได้แก่ โรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำบ้านบึง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี และ โรงเพาะฟักลูกกุ้งท่าบอน อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา รับถ้วยรางวัลพระราชทานฯ สถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยม ประจำปี 2567 (Thailand Labour Management Excellence Award 2024) ในประเภทสถานประกอบกิจการขนาดกลาง และขนาดเล็กตามลำดับ รางวัลเกียรติยศสูงสุดของสถานประกอบกิจการที่มีการบริหารจัดการแรงงานที่สอดคล้องตามมาตรฐานแรงงานของไทยและระดับสากลอย่างต่อเนื่อง เป็นต้นแบบการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงาน
 
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดพิธีมอบถ้วยรางวัลพระราชทานฯ  เพื่อยกย่องสถานประกอบกิจการที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการบริหารจัดการแรงงานประสบความสำเร็จจนเป็นที่ประจักษ์ โดยมีคุณพิสิฐ  ดีสุวรรณ ผู้จัดการโรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำบ้านบึง และคุณชนิดา ศรีใหม่ ผู้จัดการโรงเพาะฟักลูกกุ้งท่าบอน เป็นผู้แทนขึ้นรับถ้วยรางวัลพระราชทาน ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงาน นอกจากนี้ โรงเพาะฟักลูกกุ้ง เจอาร์ 2-3 จังหวัดตราดได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดยิ่งสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงานระดับประเทศปีที่ 20 ติดต่อกัน
 
โรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำบ้านบึง และโรงเพาะฟักลูกกุ้งท่าบอน ได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดครั้งนี้  เป็นผลจากความประสบความสำเร็จในการบริหารด้านแรงงานได้มาตรฐานครบทั้ง 3 ด้าน ประกอบด้วย การได้รับรองมาตรฐานแรงงานไทย (มรท. 8001) ระดับสมบูรณ์  ได้รับรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน และด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ในระยะเวลา 1 ปีสามารถป้องกันการเกิดอุบัติเหตุเป็นศูนย์ ส่งผลแรงงานได้ทำงานที่มีคุณค่าและมั่นคง มีคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ดีขึ้นนำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มเป็นต้นแบบให้กับสถานประกอบกิจการอื่นๆ ต่อไป
 
ซีพีเอฟ ตระหนักดีว่าพนักงานเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จและการเติบโตอย่างยั่งยืน บริษัทดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงาน ปฏิบัติต่อพนักงานทุกคนอย่างเสมอภาคและเป็นธรรมบนพื้นฐานของหลักสิทธิมนุษยชน โดยได้ส่งเสริมให้โรงงานและฟาร์มเลี้ยงสัตว์ได้พัฒนาการบริหารจัดการแรงงานสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานแรงงานไทยและหลักสากล  ทั้งนี้ สถานประกอบกิจการในธุรกิจกุ้งทุกแห่งของซีพีเอฟ รวมทั้ง โรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำบ้านบึง และโรงเพาะฟักลูกกุ้งท่าบอนได้รับรองมาตรฐานแรงงานไทย มรท.8001 : 2563 ตั้งแต่ปี 2564 ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของบุคลากร ด้านแรงงาน ด้านความปลอดภัย และมีสวัสดิการที่ดี ซึ่งสามารถธำรงรักษามาตรฐานและมีการทวนสอบเทียบเท่ามาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
 
ก่อนหน้านี้ สถานประกอบกิจการของซีพีเอฟ 2 แห่งได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานฯ สถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยม ได้แก่ โรงเพาะฟักลูกกุ้งเจอาร์ 2-3 จังหวัดตราด ได้รับในปี 2562 และโรงเพาะฟักลูกกุ้งปะทิว จังหวัดชุมพร ได้รับในปี 2564 ตามลำดับ./ซีพีเอฟนำ 2 สถานประกอบกิจการรับถ้วยรางวัลพระราชทานฯ ด้านการบริหารแรงงานยอดเยี่ยมปี 2567  
 
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดยสถานประกอบกิจการในธุรกิจสัตว์น้ำ 2 แห่ง ได้แก่ โรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำบ้านบึง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี และ โรงเพาะฟักลูกกุ้งท่าบอน อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา รับถ้วยรางวัลพระราชทานฯ สถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยม ประจำปี 2567 (Thailand Labour Management Excellence Award 2024) ในประเภทสถานประกอบกิจการขนาดกลาง และขนาดเล็กตามลำดับ รางวัลเกียรติยศสูงสุดของสถานประกอบกิจการที่มีการบริหารจัดการแรงงานที่สอดคล้องตามมาตรฐานแรงงานของไทยและระดับสากลอย่างต่อเนื่อง เป็นต้นแบบการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงาน
 
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดพิธีมอบถ้วยรางวัลพระราชทานฯ  เพื่อยกย่องสถานประกอบกิจการที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการบริหารจัดการแรงงานประสบความสำเร็จจนเป็นที่ประจักษ์ โดยมีคุณพิสิฐ  ดีสุวรรณ ผู้จัดการโรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำบ้านบึง และคุณชนิดา ศรีใหม่ ผู้จัดการโรงเพาะฟักลูกกุ้งท่าบอน เป็นผู้แทนขึ้นรับถ้วยรางวัลพระราชทาน ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงาน นอกจากนี้ โรงเพาะฟักลูกกุ้ง เจอาร์ 2-3 จังหวัดตราดได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดยิ่งสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงานระดับประเทศปีที่ 20 ติดต่อกัน
 
โรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำบ้านบึง และโรงเพาะฟักลูกกุ้งท่าบอน ได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดครั้งนี้  เป็นผลจากความประสบความสำเร็จในการบริหารด้านแรงงานได้มาตรฐานครบทั้ง 3 ด้าน ประกอบด้วย การได้รับรองมาตรฐานแรงงานไทย (มรท. 8001) ระดับสมบูรณ์  ได้รับรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน และด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ในระยะเวลา 1 ปีสามารถป้องกันการเกิดอุบัติเหตุเป็นศูนย์ ส่งผลแรงงานได้ทำงานที่มีคุณค่าและมั่นคง มีคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ดีขึ้นนำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มเป็นต้นแบบให้กับสถานประกอบกิจการอื่นๆ ต่อไป
 
ซีพีเอฟ ตระหนักดีว่าพนักงานเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จและการเติบโตอย่างยั่งยืน บริษัทดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงาน ปฏิบัติต่อพนักงานทุกคนอย่างเสมอภาคและเป็นธรรมบนพื้นฐานของหลักสิทธิมนุษยชน โดยได้ส่งเสริมให้โรงงานและฟาร์มเลี้ยงสัตว์ได้พัฒนาการบริหารจัดการแรงงานสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานแรงงานไทยและหลักสากล  ทั้งนี้ สถานประกอบกิจการในธุรกิจกุ้งทุกแห่งของซีพีเอฟ รวมทั้ง โรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำบ้านบึง และโรงเพาะฟักลูกกุ้งท่าบอนได้รับรองมาตรฐานแรงงานไทย มรท.8001 : 2563 ตั้งแต่ปี 2564 ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของบุคลากร ด้านแรงงาน ด้านความปลอดภัย และมีสวัสดิการที่ดี ซึ่งสามารถธำรงรักษามาตรฐานและมีการทวนสอบเทียบเท่ามาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
 
ก่อนหน้านี้ สถานประกอบกิจการของซีพีเอฟ 2 แห่งได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานฯ สถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยม ได้แก่ โรงเพาะฟักลูกกุ้งเจอาร์ 2-3 จังหวัดตราด ได้รับในปี 2562 และโรงเพาะฟักลูกกุ้งปะทิว จังหวัดชุมพร ได้รับในปี 2564 ตามลำดับ.