Home Blog Page 70

ซีพีเอฟ ดัน “ฟาร์มพอเพียง” สร้างรายได้เสริม เพิ่มเงินออมให้พนักงาน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งส่งเสริมพนักงานสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน หนุนการอยู่ดีกินดี ดันโครงการ “ฟาร์มพอเพียง” สร้างรายได้จากอาชีพเสริมควบคู่อาชีพหลัก เน้นทำบัญชีครัวเรือน สร้างวินัยการเงิน พร้อมตั้งสหกรณ์ให้พนักงานในฟาร์มหมู มีเงินปันผลทุกปี ช่วยสร้างความสุขจากการไม่มีหนี้สินและมีเงินออม

นายสมพร เจิมพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างความสุขในการทำงานแก่พนักงาน โดยต้องดูแลพนักงานให้ดีที่สุด สายธุรกิจสุกร จึงริเริ่มดำเนิน โครงการ “ปลดหนี้ สร้างสุข และส่งเสริมการออม” มาตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน พร้อมต่อยอดสู่โครงการ “ฟาร์มพอเพียง” ในฟาร์มสุกรของบริษัทรวม 100 ฟาร์ม ที่นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นต้นแบบสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการทำฟาร์มเกษตรผสมผสานไม่ใช้สารเคมี สร้างรายได้เสริมและส่งเสริมการออมเงินแก่พนักงาน ช่วยปลดภาระหนี้สินและยังมีเงินปันผลจากการร่วมหุ้นสหกรณ์ของพนักงาน ขณะเดียวกัน ยังส่งเสริมการมีสุขภาพดีจากการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย จากฝีมือของพนักงานเอง พร้อมรณรงค์ฟาร์มสุกรสีขาวเพื่อให้พนักงานทุกคนห่างไกลบุหรี่และยาเสพติด

“โครงการฟาร์มพอเพียง เป็นการสนับสนุนการสร้างรายได้เสริมและเพิ่มเงินออมให้พนักงาน โดยนำขีดความสามารถของฟาร์มที่มีพื้นที่สามารถทำการเกษตรได้ ทั้งการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ฟาร์มมีมูลสุกรและน้ำปุ๋ยสำหรับใช้ในการเพาะปลูกได้ โดยนำแนวคิดฟาร์มเกษตรผสมผสานไม่ใช้สารเคมี เลี้ยงปลา เลี้ยงกบ พร้อมจัดตั้งสหกรณ์ของพนักงานฟาร์ม เพื่อจำหน่ายสินค้าเกษตร ก่อเกิดรายได้เสริมและมีเงินปันผล และยังมีความรู้ด้านการออมเงินและทำบัญชีครัวเรือน นำไปสู่การวางแผนทางการเงินที่เหมาะสม ทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน เนื่องจากไม่ต้องกังวลกับภาระหนี้และมีรากฐานทางการเงินที่ดีให้กับตนเองและครอบครัว” นายสมพร กล่าว

ตัวอย่างความสำเร็จของฟาร์มสังกัดธุรกิจสุกรภาคอีสาน ที่ดำเนินโครงการต่างๆเพื่อพนักงาน ภายใต้แนวคิด “ฟาร์มสุกรภาคอีสานกับการสร้างชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับพนักงาน” ที่ไม่เพียงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของพนักงาน ยังเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กร อาทิ “โรงครัวอิ่มสุข” ที่มีการเลี้ยงไก่ไข่และปลา ปลูกผักปลอดสารพิษ เพื่อให้พนักงานได้รับอาหารที่สดใหม่และมีคุณภาพในทุกมื้ออาหาร ส่วนโครงการ “ร้านค้าอิ่มสุข” ที่ช่วยให้พนักงานได้ซื้อสินค้าคุณภาพในราคาย่อมเยา โดยในปีนี้เกิดยอดขายสะสมแล้วกว่า 12 ล้านบาท ใน 23 ฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการ ผลกำไรที่ได้จากการขายจะถูกนำมาปันผลคืนให้กับพนักงานที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด 100% เกิดเป็นเงินออม เฉลี่ย 3,600 บาท/คน/ปี ความรู้สึกนี้ช่วยเพิ่มขวัญและกำลังใจในการทำงาน และเสริมสร้างความมั่นคงในชีวิตประจำวัน และอีกหนึ่งโครงการที่มีความสำคัญ คือ โครงการ “ปลดหนี้สร้างสุข บัญชีครัวเรือน และออมเงิน” ซึ่งมุ่งช่วยพนักงานที่ประสบปัญหาหนี้นอกระบบ ที่ทั้งช่วยปลดหนี้ และยังให้ความรู้ในการบริหารการเงิน สนับสนุนพนักงานเก็บออมเงินสำหรับเอาไว้ใช้ในอนาคตอีกด้วย ตลอดระยะเวลา 8 เดือน ในปี 2567 มีพนักงานเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,500 คน

นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างความสำเร็จของฟาร์มสังกัดธุรกิจสุกรภาคตะวันออก ในปี 2566 มีพนักงานจำนวน 616 คน จาก 14 ฟาร์ม เข้าร่วมโครงการฯ คิดเป็น 100% ของทั้งหมด ที่สามารถแก้ปัญหาหนี้นอกระบบได้และปลอดจากปัญหายาเสพติด 100% ทุกคนมีรายได้เสริมจากผลผลิตด้านเกษตรที่ช่วยกันดูแล เพื่อจำหน่ายให้กับโรงครัวของฟาร์ม ส่งผลให้มีเงินออมและมีเงินปันผลจากสหกรณ์ฟาร์มทุกไตรมาส ที่สำคัญเงินลงทุนในโครงการยังเป็นเงินหมุนเวียนที่เกิดจากการดำเนินโครงการเองทั้งหมด สะท้อนความยั่งยืนของโครงการอย่างแท้จริง.

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงเกณฑ์รองรับการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง มีผลใช้บังคับ 1 ต.ค. 67

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปรับปรุงเกณฑ์รองรับการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวม และกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง (VAYU1) ให้มีความเหมาะสม และเป็นประโยชน์แก่ผู้ลงทุน โดยปรับปรุงระยะเวลาการเปิดเผย NAV และวัน Book Closing Date / Record Date พร้อมทั้งปรับปรุงเกณฑ์ราคาขายชอร์ตให้แก่ Market Maker ของ VAYU1 และช่วงราคา (Tick Size) ในการซื้อขาย VAYU1 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

  1. ปรับปรุงระยะเวลาในการเปิดเผยข้อมูลของกองทุนรวมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะของกองทุนรวม เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างเพียงพอ
    • 1.1 ปรับปรุงให้ บลจ. เปิดเผยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ทุกวันทำการ
    • 1.2 ปรับปรุงการแจ้งวัน Book Closing Date หรือ Record Date รวมทั้งการแจ้งเปลี่ยนแปลงวันให้สิทธิดังกล่าว แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ไม่น้อยกว่า 5 วันทำการก่อนวันให้สิทธิ
  2. ปรับปรุงเกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายหน่วยลงทุนของ VAYU1 เพื่อผู้ลงทุนสามารถซื้อขายได้ในราคาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับราคาหลักทรัพย์อ้างอิง
    • 2.1 ให้ Market Maker ที่ขึ้นทะเบียนของ VAYU1 สามารถขายชอร์ต VAYU1 ได้โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องราคาขายชอร์ต เพื่อสนับสนุนการทำหน้าที่ดูแลสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขาย VAYU1 ได้ในราคาที่สอดคล้องกับหลักทรัพย์อ้างอิง
    • 2.2 ปรับปรุง Tick Size สำหรับการซื้อขาย VAYU1 ให้เป็นขั้นบันไดเช่นเดียวกับหุ้น เช่น ราคาเสนอซื้อขาย 10 บาท แต่ไม่ถึง 25 บาท มี Tick Size 0.10 บาท และราคาเสนอซื้อขาย 25 บาท แต่ไม่ถึง 100 บาท มี Tick Size 0.25 บาท เป็นต้น

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเกณฑ์ที่มีการปรับปรุงได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th ภายใต้หัวข้อ “กฎเกณฑ์และการกำกับ” และ “หนังสือเวียนส่วนที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์จดทะเบียน”   

‘เทนนิส-พาณิภัค’ รับมอบไข่ไก่ต้มสุก 1 แสนฟอง สักการะหลวงพ่อโสธร พร้อมส่งต่อความอิ่มให้น้องๆ 20 รร.ในฉะเชิงเทรา

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘เทนนิส-พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ’ นักกีฬาเทควันโดเหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัย ขวัญใจชาวไทย และครอบครัว เดินทางมาสักการะพระพุทธโสธร วัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมถวายไข่ไก่ต้มสุก จำนวน 100,000 ฟอง ซึ่ง ซีพี-ซีพีเอฟ ร่วมสนับสนุน

โดยหลังจากนี้ น้องเทนนิสจะมอบไข่ไก่ต้มสุกแก่ผู้แทนสถานศึกษา เพื่อส่งต่อให้น้องๆ นักเรียนในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 20 โรงเรียน โดยมี นายชลธี ยังตรง ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา นางวรรณทนีย์ ชำนาญเศรษฐการณ์ ผู้บริหารสูงสุดธุรกิจแปรรูปไข่ ขนมปัง และอาหารสำเร็จรูป รวมถึงนางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ ร่วมด้วย .

เมืองไทยประกันชีวิต ปลื้มรับรางวัลสูงสุดในเอเชีย “Enterprise Asia Linchpin of Asia Awards”

0

เมืองไทยประกันชีวิต ปลื้มรับรางวัลสูงสุดในเอเชีย “Enterprise Asia Linchpin of Asia Awards 2024” พร้อมด้วยรางวัล “Corporate Excellence Award” รับรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และ “สาระ ล่ำซำ” คว้ารางวัลสุดยอดผู้นำองค์กร Master Entrepreneur Award ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ในงาน Asia Pacific Enterprise Awards (APEA) 2024 จากองค์กรระดับภูมิภาค Enterprise Asia

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงาน Asia Pacific Enterprise Awards (APEA) 2024 ของ Enterprise Asia และได้รับรางวัล “Enterprise Asia Linchpin of Asia Awards 2024” ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่มอบให้กับองค์กรที่เป็นเลิศในอุตสาหกรรม มีการบริหารจัดการองค์กรที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมที่สุดและเป็นองค์กรที่โดดเด่นที่สุดในเอเชีย ตลอดจนจนประสบความสำเร็จในธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และสร้างความสำเร็จในอุตสาหกรรมประกันภัย โดยพิจารณาจาก 16 ประเทศและใน 24 อุตสาหกรรม ที่มีผลงานโดดเด่นและมีความมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจจนประสบความสำเร็จในระดับภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมเพื่อสร้างการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน

รางวัลดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าเมืองไทยประกันชีวิต มีวิสัยทัศน์ พันธกิจ ตลอดจนแนวนโยบายในการดำเนินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้บริษัทฯ ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมภาคประกันภัย ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความ ต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า มุ่งมั่นที่จะเป็น “พันธมิตรด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่เชื่อถือได้อันดับหนึ่งในใจลูกค้า” และประสบความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ เพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับการประกันภัยในทุกกลุ่ม สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมผู้สูงอายุที่มีความรู้ทางดิจิทัลและปัจจัยอื่นที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำเทคโนโลยีมาใช้และใช้ประโยชน์จากเครือ ข่ายพันธมิตรที่หลากหลายในอุตสาหกรรม อาทิ โรงพยาบาล การดูแลสุขภาพ ธนาคาร อีคอมเมิร์ซ และอสังหาริมทรัพย์ จึงทำให้เมืองไทยประกันชีวิตเป็นผู้นำตลาดที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

และบริษัทฯ ยังได้รับรางวัล “Corporate Excellence Award” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่องค์กรที่แสดงถึงความเป็นเลิศในการดำเนินธุรกิจในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การสร้างนวัตกรรม การพัฒนาทรัพยากรบุคคล รวมถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม การได้รับรางวัล Corporate Excellence Award เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันนั้น แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความทุ่มเทของบริษัทในการรักษามาตรฐานสูงสุดในการดำเนินธุรกิจ การเติบโตอย่างยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ นายสาระ ยังคว้ารางวัล Master Entrepreneur Award ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ซึ่งเป็นรางวัลที่ยกย่องความเป็นผู้นำที่โดดเด่นและความสามารถในการมุ่งสร้างสรรค์ธุรกิจที่มีนวัตกรรม รวมถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รางวัลนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความทุ่มเทในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงและมีผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรม รวมทั้งเป็นรางวัลที่ยกย่องคุณสมบัติของผู้บริหารที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการธุรกิจ โดยเฉพาะในด้านการเป็นผู้นำที่สร้างความเปลี่ยนแปลงและความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรม

โดย Enterprise Asia ถือเป็นองค์กรเพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการทั่วภูมิภาคเอเชีย มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการสร้างสังคมที่มีความรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ตลอดจนการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและยังมีบทบาทสำคัญในการมอบรางวัลที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ อาทิ Asia Pacific Enterprise Awards (APEA) ซึ่งเป็นรางวัลที่ยกย่องบริษัทและผู้บริหารที่มีความโดดเด่นในด้านการบริหารจัดการ การเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม นอกจากนี้ Enterprise Asia ยังจัดกิจกรรมและโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาทักษะของผู้ประกอบการและสร้างเครือข่ายระหว่างบริษัทและผู้นำทางธุรกิจในภูมิภาค

“รางวัลดังกล่าวนับเป็นความภาคภูมิใจของบริษัทฯ และทีมงานทุกคนที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จนี้ ความมุ่งมั่นในการสร้างนวัตกรรม การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน และการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมจะยังคงเป็นเป้าหมายหลักของบริษัทฯ ในการก้าวต่อไปสู่ความสำเร็จในอนาคต บริษัทขอขอบคุณลูกค้า พันธมิตรธุรกิจ และพนักงานทุกคนที่ร่วมสนับสนุนและเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จของเรา” นายสาระกล่าวสรุป

AIS หนุน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดยุทธการปราบซิมผี บัญชีม้า พร้อมปกป้องการใช้งานของลูกค้าทุกรูปแบบ

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ปัจจุบันคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ “คดีออนไลน์” มีสถิติการรับแจ้งความประมาณ 1,000 เรื่องต่อวัน คนร้ายมีการพัฒนารูปแบบและกลโกงที่แปลกใหม่และหลากหลาย ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก จากสถิติในระบบรับแจ้งความออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 ถึง 31 สิงหาคม 2567 (รวม 2 ปี 6 เดือน) มีผู้เสียหายแจ้งความประมาณ 6 แสนเรื่อง มูลค่าความเสียหายกว่า 7 หมื่นล้านบาท โดยคดีประเภทหลอกลวงซื้อขายสินค้าเป็นคดีที่เกิดขึ้นมากที่สุด

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จึงสั่งการให้ พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร.) จัดทำ “โครงการสืบสวนหาข่าวในยุทธการปราบซิมผี ล่าบัญชีม้า” โดยระดมกำลังตำรวจทั้งนครบาล ตำรวจภูธรภาค 1 – 9 ตำรวจสอบสวนกลาง และตำรวจไซเบอร์ เปิดปฏิบัติการระดมกวาดล้างจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมทั้งการกระทำความผิดเกี่ยวกับซิมผี บัญชีม้า ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 10 – 27 กันยายน 2567 (รวม 18 วัน) ตามนโยบายของรัฐบาล

วันที่ 26 กันยายน 2567 เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. ได้เรียกประชุมหน่วยงานในสังกัด ตร. เพื่อติดตามผลการปฏิบัติงาน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย รวมทั้งบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และร่วมแถลงผลการปฏิบัติร่วมกัน ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจังในทุกมิติ ทั้งด้านการป้องกันปราบปราม การสืบสวนสอบสวน การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (ศูนย์ Anti Online Scam Operation Center หรือศูนย์ AOC) ซึ่งบูรณาการการทำงานแบบ One Stop Service และการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อของคนร้าย รวมทั้งกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง สำหรับการระดมกวาดล้างในยุทธการ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิด ในความผิด 3 ประเภท โดยมีผลการระดมกวาดล้างจับกุมในช่วงวันที่ 10 – 25 กันยายน 2567 (รวม 16 วัน) สรุปได้ดังนี้ ความผิดในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีประเภทต่างๆ จับได้รวม 874 ราย ความผิดเกี่ยวกับซิมผี บัญชีม้า จับได้รวม 544 ราย ความผิดการพนันออนไลน์ จับได้รวม 690 ราย

 นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล เรามีความพร้อมและยินดีเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ อย่างศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติในยุทธการปราบซิมผี ล่าบัญชีม้า รวมถึงภัยที่เกิดจากมิจฉาชีพที่หลอกลวงประชาชน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก

โดยวันนี้ AIS ทำงานอย่างสอดประสานเพื่อปกป้องการใช้งานให้กับลูกค้าและคนไทยภายใต้ภารกิจอุ่นใจไซเบอร์ ซึ่งแบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วน ทั้งการสนับสนุนการติดตาม จับกุม จากการทำงานด้านวิศวกรรมเครือข่ายของทีมวิศวกรทุกภาคทั่วประเทศ ที่พร้อมอำนวยความสะดวกให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปอย่างรวดเร็ว ตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการเข้าจับกุมตามแหล่งกบดานของมิจฉาชีพ, การจับสัญญาณ False Base ในย่านชุมชน เป็นต้น รวมไปถึง การเข้าร่วมภารกิจปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดน ด้วยการบริหารจัดการกำลังส่งของสัญญาณสื่อสาร เพื่อทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขาดช่องทางที่จะเข้ามาหลอกลวงคนไทย

ส่วนต่อมาคือ การรณรงค์ให้ประชาชนยืนยันตัวตนอย่างถูกต้องเมื่อใช้บริการระบบสื่อสาร ไม่นำบัตรประชาชนไปให้มิจฉาชีพสวมสิทธิ์ โดยได้ทำงานร่วมกับ กสทช. ในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างช่องทางในการลงทะเบียนและการตรวจสอบการถือครองเลขหมายผ่าน myAIS app ซึ่งหากพบความผิดปกติ ก็สามารถไป AIS Shop เพื่อตรวจสอบและดำเนินการแก้ไข หรือจะตรวจสอบว่าบัตรประชาชนของเรามีการลงทะเบียนกับมือถือค่ายไหนบ้าง สามารถทำได้ผ่าน app 3 ชั้น ของทาง กสทช. และติดต่อไปยังผู้ให้บริการแต่ละค่ายได้ทันทีเช่นกัน รวมถึงหากต้องการทราบว่าเบอร์นี้ลงทะเบียนไว้กับหมายเลขบัตรประชาชนของท่านหรือไม่ สามารถกด *179*ตามด้วยเลข ID#แล้วโทรออก จากเบอร์นั้น ๆ เพื่อตรวจสอบได้เช่นกันด้วย

และสุดท้ายซึ่งสำคัญไม่ต่างกัน คือ การรณรงค์สร้างทักษะดิจิทัล ให้รู้เท่าทัน และมีภูมิคุ้มกันในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบัน ผ่านโครงการ “อุ่นใจไซเบอร์” ที่มีทั้งหลักสูตรให้เรียนรู้ พร้อมเครื่องมือด้านดิจิทัล อย่าง Digital Health Check ตรวจวัดสุขภาพด้านดิจิทัลของเราว่าอยู่ในระดับไหน, ช่องทางให้แจ้งเบอร์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 1185 หรือ บริการ AIS Secure Net ที่เป็นเครื่องมือป้องกันภัยไซเบอร์ ด้วยการกรองเว็บไซต์อันตรายทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น โดยพวกเราชาว AIS ขอยืนยันถึงความพร้อมในการสนับสนุนทุกภารกิจของภาครัฐและสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างเต็มที่ เพื่อร่วมกันสร้างความมั่นคงทางไซเบอร์ให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม”

“หมูเด้ง” สุดฮอต AIS เผยทุบสถิติยอดแลกส่วนลดเข้าชมพุ่ง 400%

0

พร้อมเอาใจแฟนคลับเพิ่มสิทธิ์ ส่วนลด 50% ให้ลูกค้า AIS ไปเด้งกับน้อนหมูเด้งที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว

กระแสความฮอตของน้องหมูเด้งดันสถิติการรับสิทธิ์ส่วนลด 50% เมื่อซื้อบัตรผ่านประตูสวนสัตว์เปิดเขาเขียวของลูกค้า AIS โตพุ่งกว่า 400% ในวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา และคาดว่ายอดการรับสิทธิ์ส่วนลดค่าเข้าชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียวจะโตขึ้นถึง 3.5 เท่าในเดือนกันยายน ล่าสุด AIS เอาใจแฟนคลับน้องหมูเด้งพร้อมเพิ่มสิทธิ์ให้ลูกค้ารับส่วนลด 50% เมื่อซื้อบัตรผ่านประตูสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเพื่อเข้าไปรับชมความน่ารักของน้องหมูเด้ง จาก 5,000 สิทธิ์ต่อเดือน เป็น 10,000 สิทธิ์ต่อเดือน จัดเต็มถึงสิ้นปี พิเศษสำหรับลูกค้า AIS เท่านั้น

นางสาวโอปอล เลิศอุทัย หัวหน้าฝ่ายงานบริหารข้อเสนอและความผูกพันลูกค้า AIS กล่าวว่า “ช่วงเดือนที่ผ่านมา เราคงได้เห็นปรากฎการณ์ความน่ารักของเจ้าหมูเด้ง ลูกฮิปโปแคระวัย 2 เดือน ดาวดวงใหม่ของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว รวมถึงการเฝ้าติดตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้าจากการใช้สิทธิพิเศษรับส่วนลดในกลุ่มสวนสัตว์ก็มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียวที่มียอดการแลกรับส่วนลดของลูกค้าโตถึง 400% จากค่าเฉลี่ยของช่วงเวลาปกติ และเพื่อเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ารวมถึงความร้อนแรงของน้องหมูเด้ง ประกอบกับการทำงานร่วมกับพาร์เนอร์อย่างใกล้ชิดกับ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในการเพิ่มสิทธิ์ในการรับส่วนลด 50% เมื่อซื้อบัตรผ่านประตูสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเป็น 10,000 สิทธิ์ต่อเดือน ให้ลูกค้าได้รับความพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟเข้าไปชมความน่ารักของเจ้าหมูเด้งได้กันแบบจัดเต็ม”

นางสาวโอปอล เลิศอุทัย หัวหน้าฝ่ายงานบริหารข้อเสนอและความผูกพันลูกค้า AIS

นอกเหนือจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ลูกค้า AIS สามารถรับความพิเศษส่วนลดบัตรผ่านประตู 50% ที่สวนสัตว์ในความดูแลขององค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ทั้ง 6 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเข้าชมความน่ารักของบรรดาเครือญาติน้องหมูเด้งได้ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น พี่หมูมะนาว ญาติใกล้ชิดที่สวนสัตว์นครราชสีมา, น้องแก่นคูน น้าน้องหมูเด้งสวนสัตว์เชียงใหม่, น้องหมูด้วง ตัวตึงที่สวนสัตว์ขอนแก่น, น้องคากิ หลานของน้องหมูเด้ง ที่สวนสัตว์อุบลราชธานี และความน่ารักของน้องๆ สุดน่ารักที่สวนสัตว์สงขลา

เตรียมตัวไปเด้งกับน้องหมูเด้ง พร้อมรับส่วนลด 50% ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียวเมื่อซื้อบัตรผ่านประตูผ่านทางแอป
my AIS รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://m.ais.co.th/QYHAY4ofx

AIS พร้อมร่วมมือ กสทช.และ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ใช้เทคโนโลยี Location Base SMS – LBS แจ้งเตือนปชช.ในพื้นที่เสี่ยงภัย

0

AIS เดินหน้าทำงานร่วมกับ กสทช. และ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ. นำเทคโนโลยี Location Base SMS – LBS ส่งแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยแบบเจาะจง ถึงระดับตำบล/หมู่บ้าน เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยได้อย่างทันท่วงที และตรงจุด โดยข้อความ SMS จะใช้ชื่อผู้ส่งคือ “DDPM” ซึ่งย่อมาจาก Department of Disaster Prevention and Mitigation หรือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่ง SMS ที่ส่งแจ้งเตือนประชาชนจะได้รับยืนยันความถูกต้องของข้อมูล จากศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะหน่วยงานเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ ก่อนส่ง SMS แบบเจาะจงพื้นที่ไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยทุกครั้ง ย้ำ! ระวังมิจฉาชีพแอบอ้าง ทั้งนี้จะไม่มีการแนบลิ้งค์ใน SMS ให้กดเพื่อกรอกข้อมูลส่วนบุคคลแต่อย่างใด

นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจในการนำศักยภาพของโครงข่ายอัจฉริยะมาสร้างประโยชน์ให้กับคนไทย โดยจากการทำงานร่วมกับ กสทช. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ. ในครั้งนี้ จะเป็นการนำขีดความสามารถของ Location Base SMS ที่จะเป็นการส่ง SMS ให้เข้าถึงประชาชนได้แบบเจาะจงพื้นที่เข้ามาใช้”

วรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS

โดย ปภ. จะเป็นผู้กำหนดรูปแบบของข้อความการแจ้งเตือนภัย ประกอบไปด้วยข้อมูล อาทิ วัน เวลา สถานที่ ระดับความรุนแรง และการปฏิบัติตนให้ปลอดภัยที่ได้รับการยืนยันและตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว มายังผู้ให้บริการเครือข่ายเพื่อส่ง SMS ไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนเฉพาะที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยมีการแจ้งเตือนภัยใน 2 รูปแบบ คือการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า 12- 24 ชั่วโมง และการแจ้งเตือนภัยแบบฉุกเฉิน 6 -12 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยทำให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้รับข้อมูลการแจ้งเตือนภัยและสามารถเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อย่างทันท่วงทีและลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น

ทั้งนี้ขอย้ำเตือนประชาชนระมัดระวังมิจฉาชีพอาจแอบอ้างข้อความแจ้งเตือน พร้อมหลอกให้กดลิ้งค์ เพราะลักษณะของ SMS แจ้งเตือนภัยในกรณีนี้จะไม่มีการแนบลิ้งค์ให้กรอกข้อมูลแต่อย่างใด โดยหากประชาชนต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถโทรสายด่วนนิรภัย 1784 ของ ปภ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

AIS แรงไม่หยุดดึง “หลัว อวิ๋น ซี” นักแสดงจีนชื่อดัง นั่งแบรนด์แอมบาสเดอร์

0

AIS ภายใต้ความร่วมมือกับ บริษัท มิลเลี่ยน คอนเน็คท์ จำกัด ควง “หลัว อวิ๋น ซี” นักแสดงชื่อดังจากแดนมังกร เข้าสู่ครอบครัวการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนล่าสุด ที่จะมาร่วมส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลเชื่อมต่อทุกการสื่อสารด้วยโครงข่าย AIS 5G ที่ดีที่สุด ตอบโจทย์ทุกการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวจีน กับ ‘AIS LUCKY TOURIST SIM CARD’ ที่เป็นการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่าง Trip.com Group ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยวแบบครบวงจรระดับโลก ตั้งแต่การจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม แพ็กเกจท่องเที่ยว ไปจนถึงบริการจาก AIS 5G พร้อมร่วมกันปักหมุด Thailand Destination อันดับหนึ่งในใจชาวจีน หนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยรับช่วงไฮซีซั่น

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ หลัว อวิ๋น ซี นักแสดงชาวจีนชื่อดัง และขอต้อนรับเข้าสู่การเป็นสมาชิกแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ของ AIS ที่จะมาช่วยถ่ายทอดความตั้งใจของ AIS ไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน ให้ได้รับรู้และสัมผัสกับโครงข่าย 5G ที่ดีที่สุดตอบโจทย์การใช้งานสื่อสารและดิจิทัลไลฟ์สไตล์กับ AIS LUCKY TOURIST SIM CARD ที่มาพร้อมสิทธิพิเศษที่จะอำนวยความสะดวกและช่วยสร้างความอุ่นใจทั้ง ประกันชีวิต ส่วนลดโรงแรมร้านอาหารและช้อปปิ้งแบรนด์ดังเมื่อเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย”

“สำหรับการทำงานร่วมกับ หลัว อวิ๋น ซี ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีที่สุดให้กับกลุ่มนักเดินทางนักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้น แต่ถือเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สนับสนุนและโปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติ มนต์เสน่ห์ด้าน Thailand Soft Power วัฒนธรรม เทศกาล อาหาร และความเป็นมิตรของคนไทย รวมถึงตอกย้ำความมั่นใจ ความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อการรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวจีน ต้อนรับช่วงไฮซีซั่นที่กำลังมาถึงในทุกมิติ”

สำหรับแฟนคลับ หลัว อวิ๋น ซี และนักท่องเที่ยวชาวจีน สามารถสัมผัสประสบการณ์ดิจิทัลบนโครงข่าย 5G ที่ดีที่สุดเมื่อเดินทางมายังประเทศไทย เพียงเลือกใช้ AIS LUCKY TOURIST SIM CARD ที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์ม Trip.com ในราคา 249 บาท ใช้งานได้ 7 วัน กับเน็ตเต็มสปีด 15GB และโทรภายในประเทศไทยฟรี 30 นาที และเนื่องด้วยเทศกาลโกลเด้นวีคของชาวจีนที่จะมาถึงในต้นเดือนตุลาคมนี้ ทาง AIS มอบฟรีอินเทอร์เนตเพิ่มให้อีก 2GB 7 วัน เพื่อตอนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะเดินทางเข้ามานอกจากนี้ ยังได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ อีกมากมาย ฟรีประกันอุบัติเหตุคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาทจากกรุงเทพประกันภัย, สามารถรับ Welcome Privileges, คูปองส่วนลดพิเศษ, Personal shopper ในห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสันสาขาที่ร่วมรายการ, ส่วนลดห้องพักเครือCentaraสูงสุด 35% และ รับทันทีโปรแกรมตรวจสุขภาพมูลค่า 5,700 บาทจากโรงพยาบาลพญาไท โดยสำหรับนักท่องเที่ยวที่ซื้อ AIS LUCKY TOURIST SIM CARD มูลค่า 699 บาทขึ้นไป ที่ AIS Shop สนามบินสุวรรณภูมิ ยังจะได้รับฟรี บัตรกำนัลเงินสดมูลค่า 300 บาทต่อท่าน สำหรับบริการ Telecare ของโรงพยาบาลพญาไทอีกด้วย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง https://www.ais.th/en/consumers/package/international/tourist-plan/privilege หรือ AIS Weibo Official Account

ประมงนครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ฯ โชว์ปราบปลาหมอคางดำได้ผล พบจำนวนเบาบางลง

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช และประมงจังหวัดสุราษฎร์ธานี โชว์มาตรการปราบปลาหมอคางดำได้ผลดีทั้งสองจังหวัด หลังสำรวจพบปลาหมอคางดำเบาบางลง พร้อมเดินหน้ามาตรการต่อเนื่องทันที ด้านบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ หนุนอีก 3 จังหวัดปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ช่วยกำจัดและตัดวงจรปลาหมอคางดำในระยะยาว

นายกอบศักดิ์ เกตุเหมือน ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า จังหวัดนครศรีธรรมราชมีการสำรวจปริมาณปลาอย่างต่อเนื่อง โดยพบปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติลดน้อยลง ล่าสุด พบเพียง 25 ตัวต่อ 100 ตารางเมตร ลดลงจากการสำรวจครั้งแรกที่พบ 60 ตัวต่อ 100 ตารางเมตร ทั้งนี้ จังหวัดยังบูรณาการกับทุกภาคส่วน ดำเนินมาตรการกำจัดปลาหมอคางดำต่อเนื่อง โดยการปล่อยปลาผู้ล่าลงแหล่งน้ำ และเน้นรณรงค์ให้ประชาชนได้ตระหนักรู้ รวมถึงส่งเสริมให้เกิดการบริโภคปลาชนิดนี้มากขึ้น

ในวันนี้จังหวัดนครศรีธรรมราช ดำเนินการปล่อยปลาผู้ล่าเป็นครั้งแรก ในพื้นที่อำเภอปากพนัง หลังทำการจับปลาหมอคางดำขนาดใหญ่ออกจากแหล่งน้ำ จนกระทั่งเหลือเพียงปลาขนาดเล็กในปริมาณน้อยลงแล้ว โดยประมงจังหวัดได้รับการสนับสนุนปลากะพงขาวขนาด 4 นิ้ว จำนวน 4,000 ตัวจากซีพีเอฟ เพื่อปล่อยลงแหล่งน้ำ การปล่อยปลาผู้ล่าเป็นวิธีการควบคุมประชากรปลาหมอคางดำแบบชีววิธี ซึ่งได้รับการยอมรับในหลายประเทศว่า เป็นวิธีกำจัดปลาหมอคางดำขนาดเล็ก และเป็นมิตรต่อระบบนิเวศในระยะยาว

นายกอบศักดิ์ กล่าวต่อว่า ประมงนครศรีธรรมราชยังร่วมมือกับทางจังหวัด และโรงแรมทวินโลตัส นครศรีธรรมราช จัดกิจกรรมประกวด “ค้นหาสุดยอดเมนูปลาหมอคางดำ” โดยมีชาวชุมชน 10 หมู่บ้านส่งเมนูอาหารและเชฟจากโรงแรมต่างๆ ในจังหวัด ส่งเมนูเข้าประกวดรวม 14 เมนู อาทิ ฉู่ฉี่ ต้มแซ่บ ทอดมัน ลุยสวน แซนวิช เป็นต้น โดยโรงแรมจะนำเมนูที่ชนะการประกวด บรรจุในรายการอาหารของโรงแรม เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้รับประทานสะดวกขึ้น

ด้านจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายธัชชัย อุบลไพศาล ประมงจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า สถานการณ์ปลาหมอคางดำในจังหวัดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากการระดมพลังจากทุกภาคส่วน จัดกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” มากกว่า 10 ครั้ง สามารถจับปลาหมอคางดำตัวโตออกจากแหล่งน้ำได้มากที่สุด และในวันนี้ได้ปล่อยปลากะพงขาวในลำคลอง 2 จุด ซึ่งเป็นการปล่อยปลาผู้ล่าเป็นครั้งแรก เพื่อให้ช่วยจับกินปลาตัวเล็กๆ ที่อยู่ในแหล่งน้ำ โดยปลาผู้ล่าที่ปล่อยในวันนี้รวม 4,000 ตัว ได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟ

ประมงสุราษฎร์ธานี ยังดำเนินมาตรการกำจัดปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง โดยจัดหาอุปกรณ์จับปลาให้เพียงพอสำหรับการส่งเสริมชุมชนในการช่วยกันจับปลาตัวนี้ขึ้นมาได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องรอการจัดกิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐ นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานในพื้นที่ และผู้นำชุมชนช่วยรับซื้อปลาหมอคางดำ นำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ “ปลาแดดเดียว” ซึ่งเป็นอีกแนวทางที่ช่วยส่งเสริมอาชีพสร้างรายได้ให้ชุมชน และควบคุมจำนวนปลาควบคู่กัน

ด้าน นายนพดล จินดาพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ศูนย์วิจัยฯ ได้สำรวจปริมาณปลาในแหล่งน้ำมาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้พบว่า ปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติมีจำนวนเบาบางลง และระบบนิเวศในสุราษฎร์ธานียังมีความสมดุลในระดับที่ดี เพราะยังพบปลาพื้นถิ่นอยู่ในแหล่งน้ำ รวมทั้งปลาผู้ล่าในธรรมชาติ เช่น ปลาอีกง มีส่วนช่วยควบคุมจำนวนปลาหมอคางดำได้ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยฯ ยังคงติดตามสำรวจปลาหมอคางดำอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและทุกภาคส่วนว่ามาตรการกำจัดปลาหมอคางดำมีประสิทธิผล สามารถปกป้องระบบนิเวศในแหล่งน้ำของจังหวัดให้มีความสมดุลในระยะยาว

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังได้ร่วมสนับสนุนปลากะพงขาว 2,000 ตัว แก่ประมงจังหวัดสงขลา เพื่อปล่อยลงสู่แหล่งน้ำในพื้นที่อำเภอระโนด ช่วยควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำต่อไป

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ ได้ดำเนินโครงการสนับสนุนปลาผู้ล่าให้แก่กรมประมงปล่อยลงสู่แหล่งน้ำรวม 200,000 ตัว จนถึงวันนี้ บริษัทได้ส่งมอบปลาผู้ล่าให้แก่กรมประมงไปแล้ว รวม 90,000 ตัว โดยนำไปปล่อยลงสู่แหล่งน้ำในจังหวัดสมุทรสงคราม สมุทรสาคร สมุทรปราการ ระยอง จันทบุรี นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และสงขลา ทั้งนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าสนับสนุนกรมประมงในขับเคลื่อนมาตรการเร่งกำจัดปลาหมอคางดำ ทั้ง การร่วมรับซื้อปลาเพื่อผลิตเป็นปลาป่น และสนับสนุนการจัดกิจกรรมการจับปลาในทุกพื้นที่ เพื่อร่วมกันลดปริมาณปลาหมอคางดำในทุกพื้นที่ให้มากที่สุด.

แพทย์เตือน กินผักน้ำจืดแบบสดๆ เนื้อสัตว์ดิบ ระวังเป็นโรคพยาธิใบไม้ปอด-ตับ

0

นพ.มนูญ พบเคสผู้ป่วยชาย สุขภาพกายปกติ ตรวจพบฝีในตับจากพยาธิใบไม้ ชี้ชอบกินพืชน้ำแบบสดๆ ขณะที่ ฝั่งสหรัฐฯ ชายติดเชื้อพยาธิตัวตืดหมู จากพฤติกรรมกินหมูไม่สุก เตือนกินผักน้ำจืดและเนื้อสัตว์ควรต้องปรุงสุก

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เปิดเผยว่า การกินอาหารดิบ หรือกึ่งสุกกึ่งดิบ โดยเฉพาะพืชผักน้ำจืดหรือเนื้อสัตว์ อาจก่อให้เป็นแหล่งสะสมของพยาธิและเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด “โรคพยาธิใบไม้ปอด” และ “พยาธิใบไม้ในตับ”

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์

โรคพยาธิใบไม้ปอด เกิดจากการกินของดิบบ่อยๆ อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ ที่มีตัวอ่อนของพยาธิ เมื่อพยาธิเข้าสู่ร่างกายจะชอนไชทะลุผนังลำไส้และเข้าไปฝังตัวที่ปอด ทำให้ปอดอักเสบ หากทะลุออกไปที่ช่องท้องจะทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน

เมื่อพยาธิที่ปอดออกไข่ ไข่จะออกมาทางหลอดลม ส่งผลให้เกิดอาการไอ มีเสมหะ หลอดลมเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อ ผู้ป่วยระยะนี้มักมีอาการเจ็บหน้าอก ไอเรื้อรัง หรือมีเลือดปนออกมากับเสมหะ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง พยาธิอาจชอนไชเข้าไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น ดวงตา กล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง ตับ แต่ที่พบบ่อย คือ พยาธิในสมอง ทำให้ผู้ป่วยระยะนี้มีไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน ตาพร่า เป็นอัมพาตได้

สำหรับผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ในตับ ระยะแรกมักจะไม่มีอาการ เมื่อมีพยาธิสะสมมากเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการ ท้องอืด แน่นท้อง เจ็บบริเวณชายโครงขวา ออกร้อนบริเวณหน้าท้อง หากปล่อยไว้นานจะมีอาการอักเสบของท่อน้ำดี ตัวเหลือง ตาเหลือง ตับโต ต่อมน้ำเหลืองโต มีไข้ บางรายอาจกลายเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ และอาจเสียชีวิตได้

นพ.มนูญ กล่าวว่า ล่าสุด มีผู้ป่วยชาย อายุ 64 ปี เป็นคนในพื้นที่ภาคเหนือ มาตรวจสุขภาพประจำปี ไม่มีไข้ ไม่ปวดท้อง ไม่คลื่นไส้ ไม่อาเจียน กินอาหารได้ปกติ น้ำหนักไม่ลด ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการกินพืชน้ำ เช่น สายบัว ผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักแว่น ตะไคร่น้ำ แบบสดๆ เป็นประจำโดยไม่ได้ปรุงให้สุกก่อน เมื่อตรวจร่างกาย ไม่เจ็บใต้ชายโครงข้างขวา ตับไม่โต ทำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า MRI ที่ตับ พบก้อนในตับข้างขวา จึงได้เจาะชิ้นเนื้อตับ ส่งตรวจพยาธิวิทยา ผลคือ เป็นฝีในตับจากพยาธิใบไม้ในตับฟาสซิโอลา (Fascioliasis)

ในขณะที่ เมื่อเร็วๆ นี้ มีรายงานข่าวว่า ดร.แซม กาลี แพทย์ประจำแผนกฉุกเฉิน มหาวิทยาลัยฟลอริดา สหรัฐฯ ได้ออกมาเผยภาพซีทีสแกนของคนไข้รายหนึ่ง เพื่อแชร์เป็นอุทาหรณ์คนชอบทานเนื้อหมูที่ไม่สุก ส่งผลให้ติดเชื้อซิสติเซอร์โคซิส ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากตัวอ่อนของปรสิต แทเนีย โซเลียม (Taenia solium) หรือ “พยาธิตัวตืดหมู”

นพ.มนูญ กล่าวย้ำว่า โรคพยาธิและโรคจากปรสิตต่างๆ สามารถป้องกันได้ โดยรับประทานอาหารที่สุกและสะอาด หลีกเลี่ยงอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ โดยเฉพาะคนเหนือและคนอีสานที่มีพฤติกรรมชอบรับประทานอาหารดิบ ให้ปรุงพืชผักน้ำจืด รวมถึง เนื้อสัตว์ ให้สุกไม่ควรรับประทานสดๆ.