Home Blog Page 69

กินเจอย่างไร ให้อิ่มบุญ และมีสุขภาพดี

0

ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ แนะ กินเจ ให้คำนึงสารอาหารที่ครบถ้วน ดื่มน้ำให้เพียงพอ เน้นสุขอนามัย ความสะอาด และความปลอดภัยของอาหาร พร้อมชี้ แพลนต์เบส มีท โปรตีนจากพืช เป็นอีกทางเลือกของผู้บริโภคให้กินเจได้อย่างมีความสุข

ศาสตราจารย์ ดร.สิริชัย อดิศักดิ์วัฒนา ภาควิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เทศกาลกินเจ เป็นเทศกาลถือศีล งดการบริโภคเนื้อสัตว์ บางคนใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสในการลดน้ำหนักด้วย การกินเจให้มีสุขภาพที่ดี ควรคำนึงเรื่องของสารอาหารที่ครบถ้วน ซึ่งสารอาหารหลัก ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน รวมถึง วิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารจากผักและผลไม้ ที่สำคัญการกินเจต้องดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

ศาสตราจารย์ ดร.สิริชัย อดิศักดิ์วัฒนา

อาหารเจ ถึงแม้ไม่ได้ใช้เนื้อสัตว์ แต่ยังให้พลังงานสูง โดยเฉพาะ ข้าว แป้ง และ น้ำมัน หากต้องการรักษาสมดุลน้ำหนัก อาจหลีกเลี่ยง ข้าวแป้ง เส้นต่าง ๆ หรือรับประทานให้น้อยลงครึ่งหนึ่ง แล้วเพิ่มปริมาณผักและผลไม้ ซึ่งจะทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนและดีต่อสุขภาพ

สำหรับผักใบเขียวทุกประเภท สามารถรับประทานได้อย่างเต็มที่ อาทิ ผักบุ้ง ผักคะน้า กวางตุ้ง เนื่องจากผักเหล่านี้ให้พลังงานต่ำ มีวิตามิน เกลือแร่ และกากใยอาหาร ช่วยในเรื่องการขับถ่าย ดีต่อลำไส้ใหญ่ ส่วนผักประเภทที่อาจต้องระวัง เช่น ฟักทอง เพราะมีแป้งและน้ำตาลอยู่ อาจหลีกเลี่ยงหรือรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ส่วน ผลไม้หลักๆ ที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ หรือคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงน้ำตาล อาทิ ฝรั่ง ผลที่ยังไม่สุกเพราะน้ำตาลน้อย แอปเปิ้ล หรือแก้วมังกร เพราะมีใยอาหารเยอะและน้ำตาลต่ำ รวมทั้ง ส้ม แต่กินได้บางส่วน และมะละกอ กินได้ในปริมาณจำกัด

ขณะเดียวกัน โปรตีนที่ใช้ทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ อาทิ โปรตีนจากถั่ว โปรตีนจากพืช โดยถั่วที่มีโปรตีนสูง คือ ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วลิสง แต่ถั่วลิสงอาจต้องระวัง เพราะมีน้ำมันเป็นองค์ประกอบ แนะกินในปริมาณที่ไม่สูงมาก สำหรับถั่วจากต่างประเทศ อาทิ แมคคาเดเมีย วอลนัท อัลมอนด์ โปรตีนจะน้อยกว่า แต่มีน้ำมันที่เป็นองค์ประกอบที่ดีต่อร่างกาย เช่น โอเมก้า 6 ช่วยบำรุงหลอดเลือด ต้านอนุมูลอิสระ ถั่วจึงใช้เป็นตัวเลือกในการเพิ่มโปรตีนในช่วงเทศกาลกินเจได้

ศาสตราจารย์ ดร.สิริชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มอาหาร Plant-based diet ซึ่งทำมาจากพืช เป็นโปรตีนทางเลือกสำหรับผู้บริโภค โดยในกลุ่มนี้มี แพลนต์เบส มีท (Plant-based meant) ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเลียนแบบให้มีรูปลักษณ์หน้าตาคล้ายคลึงกับอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ ตัวอย่างเช่น ไส้กรอก เบอร์เกอร์ แต่ข้างในทำมาจากพืชทั้งหมด ถ้าเปรียบเทียบคุณภาพของโปรตีนแล้ว มีความคล้ายคลึงโปรตีนจากเนื้อสัตว์ค่อนข้างมาก ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ติดภาพลักษณ์ในการรับประทานอาหาร ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถรับประทานอาหารเจได้อย่างมีความสุข

สำหรับผู้ที่มีแนวคิดดูแลสุขภาพ และมีความกังวลในเรื่องปริมาณของโซเดียม ในผลิตภัณฑ์แพลนต์เบส มีท สามารถอ่านฉลากโภชนาการ ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ เพราะฉลากจะระบุปริมาณของเกลือ โซเดียม และส่วนประกอบหลักที่ใช้ บางผลิตภัณฑ์ใช้ปริมาณเกลือต่ำหรือสูงแตกต่างกัน หากมีปริมาณโซเดียมที่สูง ให้รับประทานเพียงครึ่งหนึ่งหรือลดปริมาณลง ไม่ควรรับประทานทั้งหมด

ด้านผู้ประกอบการร้านอาหาร ขอให้คำนึงถึงสุขบัญญัติ หลักโภชนาการ ความสะอาด และสุขอนามัยของอาหารปรุงสุก ในช่วงเทศกาล ผู้ประกอบการอาจต้องเตรียมวัตถุดิบและประกอบอาหารตั้งแต่เช้า ขายเสร็จในช่วงบ่ายถึงช่วงเย็น ดังนั้นควรตระหนักถึงอาหารประเภทที่เสียง่าย เพราะประเทศไทยอากาศค่อนข้างร้อน ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูฝน แต่ระหว่างวันก็มีความร้อนอยู่พอสมควร มีโอกาสที่จะทำให้อาหารบูดเสียได้ง่าย โดยเฉพาะอาหารที่เป็นแกงกะทิ แม้จะอุ่นซ้ำแต่ก็มีโอกาสที่จะเสีย ควรปรุงสุกใหม่ ไม่ควรทำไว้ในปริมาณมาก อาจแบ่งรอบการปรุงอาหาร เช่น ขายรอบเช้าเสร็จ ช่วงบ่ายอาจทำอีกรอบ นอกจากนี้ให้คำนึงถึงเรื่องความสะอาดของร้านและอาหาร นอกจากลูกค้าจะได้รับประทานอาหารที่ทั้งมีคุณภาพดี สะอาด ปลอดภัย ยังสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า และกลับมารับประทานซ้ำ ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับผู้ประกอบการได้

ทั้งนี้ การรับประทานอาหารเจ ผู้บริโภคต้องรู้วัตถุประสงค์หลักในการรับประทานเพื่ออะไร หากรับประทานตามเทศกาล ให้เน้นเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย และรับประทานให้มีความเหมาะสม หากต้องการเน้นรักษาสุขภาพ อาจต้องใส่ใจหาความรู้เพิ่มเติม เพราะอาหารเจมีทั้งพลังงานมาก พลังงานน้อย โซเดียมต่ำ โซเดียมสูง แตกต่างกัน เพื่อที่จะได้เลือกก่อนการตัดสินใจซื้อ และรับประทานอาหารเจได้อย่างมีสุขภาพดี ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ.

AIS ผนึก วัตสัน ให้ลูกค้าแลก AIS Points รับส่วนลดทุกสาขาทั่วประเทศ

0

AIS เดินเกมรุกหนักช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีพร้อมมอบประสบการณ์และสิทธิพิเศษโดนใจให้กับลูกค้า ตอกย้ำแนวคิด AIS Points ทำถึง ทั่วไทย พร้อมประกาศความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อันดับ 1 ในธุรกิจร้านเพื่อสุขภาพและความงามอย่าง วัตสัน ร่วมส่งมอบประสบการณ์ความพิเศษให้กับลูกค้าเพียงใช้ AIS Points 50 คะแนน แลกรับส่วนลด 50 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 500 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ ได้ที่ร้านวัตสันกว่า 700 สาขาทั่วประเทศ

นางสาวโอปอล เลิศอุทัย หัวหน้าฝ่ายงานบริหารข้อเสนอและความผูกพันลูกค้า AIS กล่าวว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศความร่วมมือกับอีกหนึ่งพาร์ทเนอร์ที่เป็นตัวจริงในธุรกิจร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับ 1 ของประเทศอย่างวัตสัน เพื่อขยายสิทธิพิเศษให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในทุกโมเมนต์ ซึ่งการทำงานร่วมกับวัตสันในฐานะ Strategic Partner ในครั้งนี้จะมาเชื่อมต่อการทำงานบนพอยท์แพลตฟอร์มทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งจากร้านวัตสัน 700 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงเป็นตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นตั้งใจทั้งการพัฒนาโครงข่ายสื่อสารที่เร็วแรงและครอบคลุมทุกพื้นที่ รวมถึงการส่งมอบสิทธิพิเศษผ่านโปรแกรม AIS Points ที่ทำถึง ทั่วไทย แลกได้ เหนือ ใต้ ออก ตก”

อิศราวดี มีป้อม Customer Controller วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า“วัตสันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจกับ AIS ผู้นำด้านเทคโนโลยีดิจิทัลระดับประเทศ ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผสานจุดแข็งของเราด้านเครือข่ายร้านค้าที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทย กับ AIS ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและพอยท์แพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังเป็นการเชื่อมโยงฐานลูกค้าขนาดใหญ่ของทั้งสองแบรนด์ที่มีไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกัน เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ และนำเสนอบริการที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ”

ลูกค้า AIS ทั้งมือถือและเน็ตบ้าน AIS FIBRE3 สามารถใช้ AIS Points 50 คะแนน แลกรับส่วนลด 50 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 500 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ ได้ที่ร้านวัตสันทุกสาขาทั่วประเทศ  ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2567 ผ่านแอป myAIS

ซีพีเอฟ คว้ารางวัลดีเด่นด้านพลังงานทดแทนระดับภูมิภาค ASEAN Energy Project Awards 2024

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy หรือ ACE) ได้มอบรางวัล ASEAN Renewable Energy Project Awards 2024 แก่ โครงการก๊าซชีวภาพจากมูลไก่สู่พลังงานทดแทน ของฟาร์มคอมเพล็กซ์ไก่ไข่วังทอง จ.พิษณุโลก ของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ชูฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใช้เทคโนโลยีในการพัฒนากระบวนการผลิตไข่ไก่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และจัดการของเสียอย่างยั่งยืน นับเป็นฟาร์มไก่ไข่แห่งที่ 2 ของซีพีเอฟที่คว้ารางวัลด้านพลังงานทดแทนในระดับสากล

นายสมคิด วรรณลุกขี ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและสร้างสรรค์นวัตกรรมพัฒนากระบวนการผลิตอาหารสะอาด ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดการจัดการฟาร์มที่ดีสู่การลดการเกิดของเสียเป็นศูนย์ โดยส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนนำของเสียกลับมาใช้ใหม่ ภายใต้โครงการ “การผลิตไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากมูลไก่” เพื่อจัดการมูลไก่และของเสียภายในฟาร์มที่ยั่งยืน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยใช้เทคโนโลยีการบำบัดของเสียทางชีวภาพในสภาวะไร้อากาศ (Anaerobic Covered Lagoon) นำก๊าซที่ได้มาปั่นกระแสไฟฟ้าสำหรับใช้ในกระบวนการผลิตในฟาร์ม โดยไม่มีการปล่อยน้ำเสียออกสู่ภายนอกฟาร์ม และช่วยลดสาเหตุของกลิ่น จากผลการดำเนินโครงการนี้ช่วยให้ฟาร์มคอมเพล็กซ์ใช้พลังงานทดแทนได้ร้อยละ 80 ของการใช้พลังงานทั้งหมด ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 1,947,698 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

“รางวัลที่ได้รับสะท้อนให้เห็นแนวปฏิบัติที่ดีของการพัฒนาห่วงโซ่การผลิตอาหารคาร์บอนต่ำ สร้างการเติบโตของธุรกิจ ควบคู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ธุรกิจไก่ไข่ยังเตรียมต่อยอดพัฒนาให้ฟาร์มคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% (Renewable Energy Farm หรือ RE100%) ร่วมสนับสนุนการมุ่งสู่เป้าหมายเป็นองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ Net-Zero ในปี 2050” นายสมคิดกล่าว

สำหรับกากของเหลือที่เกิดระบบก๊าซชีวภาพ(Biogas) บริษัทได้นำมาใช้เป็นปุ๋ยหรือวัสดุปรับปรุงคุณภาพดินสำหรับปลูกผักปลอดสารภายในฟาร์ม และฟาร์มยังได้แบ่งปันให้เกษตรกรที่อยู่รอบฟาร์มเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต และลดค่าใช้จ่ายจากการซื้อปุ๋ยเคมี ตลอดจนส่งกากตะกอนจากระบบไบโอแก๊สให้แก่ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชหลวง จังหวัดพิษณุโลกสนับสนุนการผลิตเมล็ดพันธุ์พืชปลอดสารเคมีอีกด้วย ทุกวันนี้ ฟาร์มคอมเพล็กซ์วังทองเป็นแหล่งเรียนรู้กระบวนการผลิตก๊าซชีวภาพที่มีประสิทธิภาพให้กับเกษตรกรหรือหน่วยงานที่สนใจ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำร่วมกัน

รางวัล ASEAN Energy Awards เป็นรางวัลสูงสุดด้านความเป็นเลิศในการดำเนินบริหารจัดการ และพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในกลุ่มประเทศอาเซียน จัดโดยศูนย์พลังงานอาเซียน องค์กรระหว่างรัฐบาลที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการใช้พลังงานทดแทนในกลุ่มประเทศอาเซียน สำหรับในปีนี้ กระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ สปป.ลาว เป็นเจ้าภาพจัดพิธีมอบรางวัลที่นครเวียงจันทน์ ฟาร์มคอมเพล็กซ์ไก่ไข่วังทอง นับเป็นฟาร์มไก่ไข่ของซีพีเอฟ แห่งที่ 2 ต่อจากฟาร์มคอมเพล็กซ์ไก่ไข่จักราช จังหวัดนครราชสีมาที่ได้รับรางวัลดังกล่าวด้านการพัฒนาพลังงานทดแทน ในปี 2565

AIS ปล่อยแพ็กเกจเสริม ‘AIS ZEED 5G Movie Lover’ ให้วัยทีนดูหนังฟรีในเครือเมเจอร์ฯ และคอนเทนต์แพลตฟอร์มระดับโลกบนโครงข่าย 5G

0

AIS ZEED 5G ที่ 1 ในใจวัยทีน เปิดโลกแห่งความบันเทิงสุดคุ้มกับ “AIS ZEED 5G Movie Lover” แพ็กเกจที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับวัยทีนที่ชื่นชอบรับชมภาพยนตร์และคอนเทนต์ความบันเทิงทั้งในและนอกโรงภาพยนตร์ กับสิทธิพิเศษรับบัตรชมภาพยนตร์ ฟรี! 1 เรื่องต่อเดือน เรื่องที่ 2 ราคาพิเศษเพียง 50 บาท ที่โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมรับเน็ตเต็มสปีด 10 GB สำหรับรับชมคอนเทนต์พรีเมี่ยมผ่าน 4 แอปดัง อย่าง Viu, WeTV และ iQiYi รวมถึงยังสามารถรับชม Exclusive content ชื่อดังจาก AIS PLAY ให้ลูกค้าสามารถรับชมคอนเทนต์พรีเมี่ยมความบันเทิง ที่ครอบคลุมทั้งภาพยนตร์ไทย, เกาหลี, จีน และเอเชีย ในราคาสุดคุ้มเพียง 299 บาทต่อเดือนเท่านั้น ให้วัยทีนสามารถรับชมคอนเทนต์ได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุด

นางเบญจพร กำเพ็ชร หัวหน้าส่วนงานการตลาดกลุ่มลูกค้าพรีเพด AIS กล่าวว่า “AIS ในฐานะแบรนด์ที่เข้าใจและตอบสนองไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่น เรามองเห็นความต้องการของกลุ่มลูกค้าวัยทีนที่ใช้ชีวิตประจำวันในการเชื่อมต่อโลกดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการสตรีมมิ่งเกม ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม หรือรับชมคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มต่างๆ โดยล่าสุดเราได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ด้านความบันเทิงชั้นนำอย่าง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, Viu, WeTV และ iQiYi เปิดตัวแพ็กเกจเสริมอย่าง AIS ZEED 5G Movie Lover เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานดิจิทัลบนโครงข่าย 5G พร้อมสุดยอดความบันเทิงที่ครอบครันให้กับลูกค้าวัยทีนอายุ 7-24 ปี  ทั้งการดูหนังในโรงภาพยนตร์และการรับชมคอนเทนต์จากทั้ง 4 แอป อย่าง Viu, WeTV และ iQiYi รวมถึงยังสามารถรับชม Exclusive content ชื่อดังจาก AIS PLAY ได้อีกด้วย”

นายสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสื่อโฆษณา บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การร่วมมือกับ AIS ในการเปิดตัวแคมเปญ ‘AIS ZEED 5G Movie Lover’ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้มอบประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์มาตรฐานระดับโลก แบบครบทุกอรรถรสให้กับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความชื่นชอบในความบันเทิงและเทคโนโลยีอย่างแท้จริง โดยลูกค้าจะได้รับสิทธิพิเศษในการชมภาพยนตร์ฟรี ในโรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ทุกสาขาทั่วประเทศ อีกทั้งแคมเปญนี้จะช่วยเสริมสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ได้อย่างยั่งยืน พร้อมยังเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของเมเจอร์ในการนำเสนอความบันเทิงที่หลากหลายและตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในทุกเจเนเรชันอีกด้วย”

“โดยความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือสำคัญที่ได้ผนึกกำลังกับผู้นำด้านความบันเทิงชั้นนำระดับโลกอย่าง นายสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสื่อโฆษณา บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน)พร้อมด้วยผู้บริหารจากทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น คุณกนกพร ปรัชญาเศรษฐ ผู้จัดการ WeTV ประจำประเทศไทย, คุณอรรถสิทธิ์ บูรณะธีรกิจ หัวหน้าฝ่ายกิจกรรมการค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ จาก Viu และ คุณผ่านศึก ธงรบ ผู้อำนวยการ iQiYi ประจำประเทศไทย ในการร่วมกันส่งมอบสิทธิพิเศษที่คุ้มค่าในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้วัยทีนได้สัมผัสความบันเทิงอย่างไม่มีสะดุด เรามั่นใจว่าการร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแค่ตอบโจทย์ความชื่นชอบ แต่ยังสะท้อนถึงการเป็นแบรนด์ที่เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของวัยรุ่นได้อย่างแท้จริง” นางเบญจพร กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับวัยทีนทุกแพ็กเกจทั้งแบบเติมเงินและแบบรายเดือน สามารถสมัครแพ็กเกจเสริม “AIS ZEED 5G Movie Lover” พร้อมสิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์ความบันเทิงครบวงจรทั้งในในโรงและรับชมคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มชั้นนำ บนโครงข่าย 5G เต็มสปีด 10 GB ในราคาเพียง 299 บาทต่อเดือน สมัครได้เลย! เพียงกด *824# กดโทรออก ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ais.th/zeedmovielover และติดตามโปรแกรมการรับชมภาพยนตร์ได้ที่ www.majorcineplex.com

ธุรกิจครอบครัว

0

คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมฯ” โดยคุณนายพารวย

การรักษาธุรกิจครอบครัวให้อยู่รอดสามารถสืบทอดส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากและซับซ้อนกว่าธุรกิจทั่วไป เพราะมีเรื่องของความสัมพันธ์และผลประโยชน์ที่ทับซ้อนกันของสมาชิกในครอบครัวที่ควบตำแหน่งหน้าที่การงานในธุรกิจ ซึ่งเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับพันธมิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจครอบครัวจากต่างประเทศ ทั้งเจ้าของธุรกิจ ทายาท ผู้บริหาร ได้จัดสัมมนาธุรกิจครอบครัวภายใต้ธีม Family Business in the globalized Asia ถอดบทเรียนการบริหารครอบครัวและธุรกิจของเอเชียและไทย

เนื้อหาสำคัญที่ได้จากสัมมนาครั้งนี้ คือ เจ้าของผู้เริ่มธุรกิจและทายาทเห็นตรงกันว่าสมาชิกในธุรกิจครอบครัวควรเริ่มจัดทำ “ธรรมนูญครอบครัว (Family Constitution หรือ Family Charter)” เพื่อเป็นเวทีเคลียร์ใจของทุกคนในครอบครัว กรณีไม่สามารถตกลงร่วมกันได้ อาจต้องอาศัยบุคคลที่สามมาเป็นคนกลางช่วยเจรจา

รุ่นแรก หรือรุ่นบุกเบิกธุรกิจครอบครัว ให้ความเห็นเรื่องการส่งต่อหรือสืบทอดธุรกิจว่า ควรเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจ (Passion) และความภาคภูมิใจ นอกจากนี้ยังต้องทำตัวเป็นตัวอย่างให้ทายาทและให้ความสำคัญเรื่องของการสื่อสารระหว่างรุ่น

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ธุรกิจครอบครัวมองว่า การเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยสร้างการเติบโตของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านการระดมทุน ตลอดจนการสร้างชื่อเสียงของบริษัท และการดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพเข้ามาร่วมงาน

ด้านนักลงทุนก็มีมุมมองว่าบริษัทจดทะเบียนที่เป็นธุรกิจครอบครัว เป็นทางเลือกหนึ่งในการตัดสินใจลงทุนเลือกซื้อหุ้น เหตุผลสำคัญคือ บจ.ที่เป็นธุรกิจครอบครัวมีการเติบโตสูงทั้งด้านสินทรัพย์และรายได้ โดยในปี 2560–2566 สินทรัพย์รวมของ บจ.ที่เป็นธุรกิจครอบครัวโตเฉลี่ยสูงถึงปีละ 12.9%

บจ.ที่เป็นธุรกิจครอบครัวยังมีการจ่ายเงินปันผลเพื่อเป็นรายได้ของสมาชิกครอบครัว จากการคัดกรอง “หุ้นปันผล” Dividend Universe โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า 71% ของ บจ.ในกลุ่มนี้เป็นธุรกิจครอบครัว นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญด้านการส่งต่อความยั่งยืน เห็นได้จากรายชื่อ บจ.ที่ได้รับการประเมินว่าเป็น “หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings” เป็นบจ.ธุรกิจครอบครัวอยู่ถึง 62.3% เรียกได้ว่าติดโผหุ้นน่าลงทุนทั้งสองประเภทเลยทีเดียว

สำหรับคนที่พลาดไม่ได้เข้าร่วมงานสัมมนาครั้งนี้ ไม่ต้องเสียใจ เพราะตอนนี้โอกาสดีกลับมาแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดให้ซื้อบัตรรับชมสัมมนาย้อนหลังทางเว็บไซต์ SETFamilyBusinessConference.com ตั้งแต่วันนี้จนถึง 10 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น

พบกับหัวข้อไฮไลต์สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืน หัวใจสำคัญของความสำเร็จจากรุ่นสู่รุ่น, ความท้าทายของธุรกิจครอบครัวไทยและโอกาสของการอยู่รอด, การวางโครงสร้างธุรกิจครอบครัวเพื่อทะยานสู่การเติบโต, ธรรมนูญครอบครัว เครื่องมือแห่งการขจัดความขัดแย้งในครอบครัว, การต่อยอดความมั่งคั่งให้ยั่งยืนจากรุ่นสู่รุ่น

ใครที่อยากสร้างธุรกิจครอบครัวให้แข็งแกร่งและส่งต่อความสำเร็จจากรุ่นสู่รุ่น ห้ามพลาด!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมฯ" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ซีพีเอฟ-กรมราชทัณฑ์-กรมประมง บูรณาการแปรรูปปลาหมอคางดำเป็นน้ำปลาแบรนด์ “หับเผย แม่กลอง”

0

กรมราชทัณฑ์ โดยเรือนจำกลางสมุทรสงคราม ร่วมมือกับประมงสมุทรสงคราม และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมมือคิกออฟโครงการบูรณาการความช่วยเหลือสังคมแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ ฝึกเป็นทักษะอาชีพให้ผู้ต้องขังแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ “น้ำปลา” ภายใต้แบรนด์ “หับเผย แม่กลอง” เพื่อส่งเสริมให้เกิดการบริโภคผลิตภัณฑ์จากปลาหมอคางดำในวงกว้างขึ้น และช่วยลดจำนวนของปลาหมอคางดำได้อย่างครบวงจร

นางจิตรา ประเสริฐโสภา ผู้บัญชาการเรือนจำกลางสมุทรสงคราม กล่าวว่า ที่ผ่านมาเรือนจำกลางสมุทรสงครามได้ร่วมสนับสนุนกรมประมงแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ และให้การสนับสนุนหน่วยงานของรัฐในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม ในการจัดกิจกรรมจับปลาหมอคางดำ ตามนโยบายของรัฐบาลซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ โดย พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ได้มีข้อสั่งการให้กรมราชทัณฑ์ ดำเนินการสนับสนุนแรงงานผู้ต้องขังเข้าช่วยเหลือสังคมจับปลาหมอคางดำ(ในรูปแบบ CSR)  เรือนจำกลางสมุทรสงคราม จึงได้ดำเนินการตามนโยบายกรมราชทัณฑ์ มิติที่ 7 ยกระดับการสร้างการยอมและสร้างความเชื่อมั่นของสังคมต่อผู้ต้องขังและผู้พ้นโทษ โดยได้ร่วมกันดำเนินการจัดกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” พร้อมทั้งนำปลาหมอคางดำ มาปรุงเป็นอาหารให้ผู้ต้องขัง ให้เป็นสวัสดิการเจ้าหน้าที่ของเรือนจำ รวมทั้งนำมาปลามาสับเป็นอาหารเลี้ยงเป็ดและปลากะพงซึ่งกิจกรรมสร้างเสริมอาชีพผู้ต้องขังของเรือนจำ ล่าสุด เรือนจำกลางได้บูรณาการกับประมงสมุทรสงคราม และซีพีเอฟ ต่อยอดนำปลาหมอคางดำที่จับได้มาแปรรูปเป็น “น้ำปลา” โดยกรมประมงจัดกิจกรรมจับปลาหมอคางดำ และซีพีเอฟช่วยจัดหาอุปกรณ์และเชิญวิทยากร “จิตรกร บัวดี”​ เกษตรกรต้นแบบจากเพชรบุรีเจ้าของไอเดียแปรรูปปลาหมอคางดำเป็นน้ำปลาและวางจำหน่ายภายใต้ตรา “ชาววัง” มาช่วยสอนวิธีแปรรูปปลาหมอคางดำมาทำน้ำปลาเพื่อเสริมสร้างเป็นทักษะอาชีพให้ผู้ต้องขังต่อไป 

“โครงการบูรณาการความช่วยเหลือสังคมแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ สอดคล้องกับแนวทางของกรมราชทัณฑ์ที่มีโครงการฝึกอาชีพช่วยให้ผู้ต้องขังได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงในการทำปลาที่อร่อยและปลอดภัย และนำทักษะอาชีพติดตัวไปต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ในอนาคต ซึ่งเป็นการส่งเสริมการบริโภคปลาหมอคางดำอีกทางหนึ่ง โดยเรือนจำกลางสมุทรสงครามจะนำน้ำปลาจากปลาหมอคางดำมาจำหน่ายเป็นสินค้าจากกรมราชทัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “หับเผย แม่กลอง” ซึ่งช่วยให้คนไทยเข้าถึงผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาคางดำในวงกว้างมากขึ้น” นางจิตรากล่าว 

นายบัณฑิต กุลละวณิชย์ ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า ประมงจังหวัดได้รับการสนับสนุนจากเรือนจำกลางสมุทรสงครามให้ผู้ต้องขังมาช่วยลงแรงจับปลาในกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” อย่างต่อเนื่อง สำหรับความร่วมมือในวันนี้เรือนจำกลางสมุทรสงครามนำปลาหมอคางดำไปผลิตเป็น “น้ำปลา”  เป็นแนวทางการบริหารจัดการปลาหมอคางดำที่จับได้อย่างเป็นระบบและได้ประสิทธิภาพสูง ด้านประมงจังหวัดสมุทรสงครามยังมีแผนการจับปลาออกจากแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับปล่อยปลานักล่าให้ช่วยกำจัดปลาหมอคางดำขนาดเล็กที่อยู่ในแหล่งน้ำ นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนปลานักล่าให้กับเกษตรกรในเครือข่ายได้นำไปช่วยกำจัดปลาหมอคางดำในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรอีกทางหนึ่งด้วย

สำหรับกิจกรรมล่าสุด ประมงสมุทรสงครามได้จัดกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง”​ ระดมความร่วมมือกับเรือนจำกลางสมุทรสงคราม ชุมชน และซีพีเอฟ ช่วยจับปลาหมอคางดำออกจากลำคลอง 3 จุด ได้แก่ คลองช่อง (คลองยี่สารเก่า)​ คลองเลียบถนนเอกชัย และคลองบางบ่อ สามารถจับปลาหมอคางดำได้ 509 กิโลกรัม  โดยจัดสรรปลาหมอคางดำที่จับได้ 450 กิโลกรัมไปใช้แปรรูปเป็นน้ำปลา และอีก 59 กิโลกรัมนำไปเลี้ยงเป็ดของเรือนจำกลางสมุทรสงคราม

“ประมงสมุทรสงครามได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนร่วมจัดกิจกรรมจับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำอย่างจริงจัง ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาจับปลาประมาณ​ 29 ครั้ง ส่งผลให้ปัจจุบัน ปลาหมอคางดำในพื้นที่มีแนวโน้มลดน้อยลงอย่างเป็นรูปธรรม เห็นได้จากปริมาณการจับปลาในแต่ละครั้งจับได้ลดลง รวมทั้งปลาที่จับได้ยังมีขนาดเล็กลงอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าปลาขนาดใหญ่หายไปช่วยตัดวงจรปลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายบัณฑิต กล่าว 

ความร่วมมือระหว่างกรมประมงและกรมราชทัณฑ์ เป็นหนึ่งในโครงการเชิงรุกของซีพีเอฟจัดการปัญหาปลาหมอคางดำ โดยส่งเสริมการใช้ประโยชน์ปลาหมอคางดำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อส่งเสริมให้มีการบริโภค ควบคู่กับการบริหารจัดการปลาที่จับมาได้โดยสร้างมูลค่าเพิ่ม ทุกวันนี้ ซีพีเอฟได้สนับสนุนกิจกรรมการจับปลาของกรมประมงใน 17 จังหวัดช่วยกำจัดปลาออกจากแหล่งน้ำได้ 90,000 กิโลกรัม  สนับสนุนการรับซื้อเพื่อผลิตปลาป่นแล้วมากกว่า 1,700,000 กิโลกรัม และสนับสนุนปลาผู้ล่าเพื่อปล่อยในแหล่งน้ำแล้ว 90,000 ตัว เพื่อช่วยลดปริมาณปลาหมอคางดำอย่างมีนัยสำคัญ.

“อีลิท เฮลท์ พลัส” จากเมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัลสุดยอดผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพเหมาจ่ายระดับพรีเมี่ยม ต่อเนื่องปีที่ 5

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) คว้ารางวัล ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพเหมาจ่ายระดับพรีเมี่ยม จากผลิตภัณฑ์ความคุ้มครองสุขภาพ “อีลิท เฮลท์ พลัส” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 จากงานมอบรางวัลสินค้าและบริการแห่งปี 2567 “BUSINESS+ PRODUCT OF THE YEAR AWARDS 2024” จัดโดย นิตยสาร Business+ ในเครือ บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีนายปาณัท สุทธินนท์ รองกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้แทนบริษัทฯ รับมอบรางวัลจาก ฯพณฯ นุรักษ์ มาประณีต องคมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล ณ ห้องบอลรูม โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา สำหรับการจัดงานมอบรางวัลในปีนี้ภายใต้แนวคิด “Our Planet Resurrection ฟื้นคืนโลกของทุกคน” เพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติให้แก่ผลิตภัณฑ์และบริการที่โดดเด่นในด้านความยั่งยืนแห่งปี 2567 ที่ผ่านการวิจัยและวิเคราะห์จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผ่านการโหวตคัดเลือกจากผู้บริโภค จนได้สุดยอดสินค้าและบริการแห่งปี

โดยความคุ้มครองสุขภาพ “อีลิท เฮลท์ พลัส (Elite Health Plus)” มีความโดดเด่นด้านการเป็นส่วนช่วยให้ทุกคนได้มีความอุ่นใจ มีหลักประกันที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคลได้อย่างเข้าใจ โดยสามารถให้ผู้เอาประกันภัยซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้ตามต้องการ เลือกวงเงินเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงถึง 20-100 ล้านบาทต่อปี คุ้มครองทั้งโรคระบาด โรคร้ายแรง โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ ครอบคลุมการรักษาแบบผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) ตามแผนความคุ้มครองที่ลูกค้าเลือก รวมถึงการล้างไตผ่านทางเส้นเลือด การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการเคมีบำบัด รวมถึงTargeted Therapy ให้ลูกค้ามั่นใจในการเข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การวินิจฉัยโรคแบบ CT Scan และ MRI โดยไม่ต้องแอดมิต หรือกรณีเจ็บป่วยต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยห้องเดี่ยวมาตรฐานได้ทุกโรงพยาบาล หรือค่าห้องเดี่ยวพิเศษ 10,000 – 25,000 บาทต่อวัน และห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) เหมาจ่ายตามจริง รวมสูงสุด 365 วัน เข้ารักษาได้ทุกโรงพยาบาลทั่วไทย หรืออยากรักษาที่ไหน สามารถเลือกพื้นที่ความคุ้มครองได้จาก 4 พื้นที่ทั่วโลก

สมัครได้ตั้งแต่อายุ 11- 90 ปี คุ้มครองยาวถึงอายุ 99 ปี หลังเกษียณแล้วก็อุ่นใจ เจ็บป่วยขึ้นมาก็มีผู้ช่วยดูแลค่ารักษา อีกทั้งยังสามารถพลัสความคุ้มครองเพิ่มได้ตามต้องการ อาทิ ความคุ้มครองการคลอดบุตร พลัส (Maternity Plus) และสุขภาพดี พลัส (Well-Being Plus) ซึ่งประกอบด้วย ตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีน ค่ารักษาทางทันตกรรม ค่ารักษาทางสายตา ก็พลัสเพิ่มได้ตามความต้องการอีกด้วย ทั้งนี้เงื่อนไขรายละเอียดต่างๆ เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

AIS คว้า 3 รางวัลส.นักวิเคราะห์การลงทุน เวที IAA Awards for Listed Companies 2024 ต่อเนื่องปีที่ 4

0

AIS ยืนหนึ่งในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย ตอกย้ำความแข็งแกร่งในทุกมิติ คว้ารางวัลจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ในการประกาศผล IAA Awards for Listed Companies 2024 ถึง 3 รางวัลใหญ่ ในหมวดอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสื่อสาร ได้แก่ รางวัล CEO ยอดเยี่ยม, รางวัล CFO ยอดเยี่ยม และรางวัล IR ยอดเยี่ยม ต่อเนื่องปีที่ 4 สะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นที่ได้รับจากนักวิเคราะห์ ผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนไทย

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เปิดเผยว่า“การได้รับรางวัลจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS ในการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับทุก Stakeholder โดยเฉพาะนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และผู้ลงทุนสถาบัน ที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อส่งต่อข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้องไปยังสาธารณชน โดยทั้ง 3 รางวัลที่ AIS ได้รับในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้พวกเราชาว AIS ทุ่มเทการทำงาน เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้มีความแข็งแรงและสร้างการเติบโตให้กับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติต่อไป”

ในปี 2567 นี้ AIS ยังคงได้รับ 3 รางวัลใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสื่อสาร ประกอบด้วย รางวัล CEO ยอดเยี่ยม ที่มอบให้แก่ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จ โดยเฉพาะด้านนวัตกรรมและการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ สะท้อนถึงการเป็นผู้นำที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าและผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน

รางวัล CFO ยอดเยี่ยม ที่แน่นอนว่า AIS ยังคงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วยการวางนโยบายและบริหารจัดการด้านการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีการจัดการความเสี่ยงที่รอบคอบ โปร่งใส มีความโดดเด่นในการวางแผนและจัดการการเงินเพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ตลอดจนสามารถนำองค์กรผ่านความท้าทายในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และรางวัล IR ยอดเยี่ยม มอบให้กับทีมงานนักลงทุนสัมพันธ์ที่มีการสื่อสารที่โปร่งใสและเชิงรุกกับนักลงทุน โดยให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ทันเวลา และสม่ำเสมอ สนับสนุนให้นักลงทุนมีมุมมองที่นำไปสู่โอกาสที่หลากหลาย

ซีพีเอฟ ปลื้ม “ถาดไข่พลาสติกรีไซเคิล 100%” คว้ารางวัลผลิตภัณฑ์ชนะเลิศสูงสุดเวที Thailand Plastics Awards 2024

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ คว้ารางวัลรางวัล ผู้ชนะเลิศสูงสุด (Supreme Winner) รางวัล และเหรียญทอง Gold Award สําหรับผลงานชนะเลิศในกลุ่มบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม จากการประกวดออกแบบผลิตภัณฑ์พลาสติก “The 5th Thailand Plastics Awards 2024” ด้วยบรรจุภัณฑ์ถาดไข่ไก่สดที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ซึ่งประกอบด้วยพลาสติก PCR (Post-Consumer Recycled) ถึง 55% โดยรับมอบจาก นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ความสำเร็จครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของซีพีเอฟในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

นายกิตติ หวังวิวัฒน์ศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ซีพีเอฟ กล่าวว่า บรรจุภัณฑ์ถาดไข่ไก่สดของบริษัทผลิตจากพลาสติก PET รีไซเคิล 100% โดยมีส่วนประกอบของพลาสติก PCR ถึง 55% ซึ่งเป็นพลาสติกที่มาจากการนำพลาสติกที่ผ่านการใช้งานจากผู้บริโภคกลับมารีไซเคิล ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิตพลาสติกใหม่

นอกจากการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ซีพีเอฟยังได้ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เอื้อต่อการคัดแยกขยะเพื่อการรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น โดยใช้ฉลากกระดาษสอดในบรรจุภัณฑ์ แทนการใช้สติกเกอร์พลาสติกที่มีแถบกาว ซึ่งช่วยลดการปนเปื้อนและทำให้กระบวนการรีไซเคิลมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผู้บริโภคสามารถหาซื้อไข่ไก่บรรจุในถาดพลาสติกรีไซเคิล 100% ได้แล้วที่ร้านค้าทั่วประเทศ โดยไม่มีการปรับขึ้นราคา เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการลดมลภาวะและสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

บรรจุภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลของซีพีเอฟได้รับการตรวจสอบคุณภาพและรับรองความปลอดภัยจากห้องปฏิบัติการขององค์กรรับรองภายนอก เพื่อให้มั่นใจว่าวัสดุพลาสติกรีไซเคิลที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ไข่ไก่สดนั้นปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของอาหาร

“การใช้บรรจุภัณฑ์ถาดไข่ไก่สดที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล ไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต เนื่องจากการใช้วัสดุพลาสติกรีไซเคิลมีคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำกว่าการใช้เม็ดพลาสติกใหม่ โดยเราสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงได้ถึง 29%” นายกิตติ กล่าวเพิ่มเติม

งาน “The 5th Thailand Plastics Awards 2024” จัดขึ้นโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกไทย, สถาบันพลาสติก, กรมควบคุมมลพิษ และ A-PLAS 2024 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออกแบบผลิตภัณฑ์ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเน้นแนวคิด 3R (Reduce, Reuse, Recycle) เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงความสำคัญของการลดมลภาวะจากพลาสติกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมพลาสติก

ผู้บริหารภาครัฐ-องค์กรชั้นนำ ร่วมชมนวัตกรรมความยั่งยืน บูธ CPF ในงาน SX2024

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นำนวัตกรรมความยั่งยืน ร่วมออกบูธในงานมหกรรมความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน Sustainability Expo 2024 (SX2024) โดยมี นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เข้าร่วมในพิธีเปิดงานฯ พร้อมทั้่งให้การต้อนรับ ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ประธานคณะกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานอำนวยการ SX2024 นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด ในฐานะ Co-Founder งาน SX2024 นายกลินทร์ สารสิน ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ นายกรณ์ จาติกวณิช Co-Founder แบรนด์ Shoo Shoke ให้เกียรติร่วมชมบูธของ CPF ในปีนี้ ซีพีเอฟ ใช้แนวคิด Sustainovation ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมผลิตอาหารที่ยั่งยืน ดีต่อกายและดีต่อใจ ก้าวสู่เป้าหมายเกษตรเทคโนโลยี (Agri Tech) ณ โซน Better Me ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ภายในงานนี้ ซีพีเอฟ ในฐานะ Co -Founder เครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย (Thailand Supply Chain Network หรือ TSCN) โชว์วิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” ร่วมจัดแสดงศักยภาพด้านความยั่งยืน ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ การผลิตอาหาร พร้อมทั้งร่วมติดตามภารกิจไก่ไทยจะไปอวกาศ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่แบรนด์ CP ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารขั้นสูงระดับเดียวกับที่นักบินอวกาศทานได้ (SPACE SAFETY STANDARD) รวมไปถึงเส้นทางการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของซีพีเอฟ

นายประสิทธิ์ กล่าวว่า งานในวันนี้ ซีพีเอฟ นำเทคโนโลยีใหม่ๆและนวัตกรรมมาจัดแสดง อาทิ นวัตกรรมที่เป็นสุดยอดที่สุดในยุคนี้ในการนำไก่ไทย ภายใต้แบรนด์ CP ส่งไปเป็นอาหารให้กับนักบินอวกาศได้รับประทานบนอวกาศ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าไก่ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมหลักของไทย มีขีดความสามารถเรื่องคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุดระดับอวกาศ นอกจากนี้ ยังนำบรรจุภัณฑ์ (Packaging) ต่างๆ ที่เราพยายามคิดค้นเพื่อให้มีความปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมพัฒนาสินค้า ให้เป็นสินค้าที่ดีที่สุดมอบแก่ผู้บริโภค โดยคำนึงถึงการมีส่วนช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม ดูแลโลกของเราควบคู่ไปด้วย

ที่บูธ CPF ยังได้สนุกและเพลิดเพลินกับกิจกรรม “ทดสอบตัวคุณเองกับความเข้าใจเรื่องของความยั่งยืน” พร้อมลุ้นรับของรางวัล กับเกมส์สนุกๆ ที่จะทำให้คุณได้รู้จักบรรจุภัณฑ์อาหาร (Packing) และผลิตภัณฑ์อาหารที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับนักบินอวกาศที่เสมือนได้เข้าไปอยู่ในอวกาศจริงๆ และในส่วนของเวทีกลาง โซน Better Living ซีพีเอฟจัดแสดงผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ อาทิ ผลิตภัณฑ์หมูชีวา แบรนด์ยูฟาร์ม ได้รับฉลากลดโลกร้อน ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ Space Food Safety Standard ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่เคจฟรี (Cage Free) แบรนด์ “ยูฟาร์ม” (U Farm) ได้รับฉลากคาร์บอนนิวทรัล (Carbon Neutral Product) รายแรกของทวีปเอเชีย

โซน SX Food Festival ชั้น LG พบกับธีม Back to the Future พาทุกคนไปสู่โลกแห่งอนาคต กับผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีต่อสุขภาพกายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์อาหารจาก FIVE STAR อาทิ น่องสะโพกไก่ทอดน้ำปลา ไก่จ๊อสูตรต้นตำรับ อกไก่รมควัน ผลิตภัณฑ์จาก STAR Coffee อาทิ กาแฟจากเมล็ดออร์แกนิค ชาโกโก้หอมมัน หมั่นโถวทอด ครัวซองต์อัลมอนด์กรอบนอก นุ่มใน ส่งมอบอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพ ในราคาเข้าถึงได้ ซึ่งทั้ง FIVE STAR และ STAR Coffee ยึดมั่นแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน สร้างคุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้เสีย ผ่านโครงการ “ทอดไม่ทิ้ง” ของ FIVE STAR ที่ส่งต่อน้ำมันใช้แล้ว ผลิตเป็นเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน และโครงการ “กาแฟดูแลป่า” ที่ปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ มีส่วนร่วมรักษาความสมบูรณ์ของธรรมชาติ

พบกันที่บูธ CPF โซน Better Me ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ระหว่างวันที่ 27 กันยายน – 6 ตุลาคม 2567 นี้ .