Home Blog Page 6

AIS 5G โชว์แกร่งโครงข่ายที่ 1 ตัวจริง SEA COVERAGE ครอบคลุม 2 ฝั่งทะเลไทย ลึก สูง กว้าง ไกลล่องใต้ได้สุด อุ่นใจไม่หยุด ต้อนรับนักท่องเที่ยวช่วงไฮซีซัน

AIS ตอกย้ำที่ 1 ตัวจริง โครงข่ายอัจฉริยะ SEA COVERAGE ที่ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานกว่า 95% ของพื้นที่ประชากรในภาคใต้ ยืนยันความพร้อมของโครงข่ายสื่อสารทั้ง 5G, 4G ต้อนรับการใช้งานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงสิ้นปีและไฮซีซันด้านการท่องเที่ยวของภาคใต้ รวมถึงยังเดินหน้านำนวัตกรรมและสุดยอดเทคโนโลยีมายกระดับการทำงานของโครงข่ายดิจิทัลให้ตอบโจทย์การใช้งานทุกกลุ่ม ทั้งภาครัฐ ภาคบริการ ผู้ประกอบการประมง ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และจากทั่วโลก

นายกิตติ งามเจตนรมย์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี AIS กล่าวว่า “แนวคิดทำงานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในพื้นที่ภาคใต้ให้ ลึก สูง กว้าง ไกล ถูกเชื่อมโยงเข้ากับ Ecosystem Economy ในทุกมิติ นั่นหมายความว่าทุกตารางเมตรที่โครงข่ายสัญญาณ AIS เข้าถึงจะไม่ได้สร้างประโยชน์เพียงแค่การติดต่อสื่อสารในโลกดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังต้องช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจภาคใต้ทั้งระบบ ตั้งแต่การใช้งานของลูกค้าประชาชนในพื้นที่ ไปจนถึงภาคการท่องเที่ยว ภาคบริการ ธุรกิจทัวร์ โรงแรม ผู้ให้บริการท่าเรือเฟอรี่ เรือยอร์ช เรือสปีดโบ๊ท ร้านอาหาร หรือแม้แต่ภาคอุตสาหกรรมประมงชายฝั่งทะเล และประมงน้ำลึก”

นายไพบูลย์ รินทร์สกุล หัวหน้าส่วนงานปฏิบัติการภูมิภาค ภาคใต้ AIS กล่าวเสริมอีกว่า “ที่ผ่านมา AIS สามารถยกระดับคุณภาพการให้บริการ คุณภาพเครือข่ายในพื้นที่ภาคใต้ และโครงข่ายทางทะเลหรือ SEA COVERAGE ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ในบริเวณชายฝั่ง เกาะ กลางทะเล เส้นทางการเดินทาง ทั้งทางทะเล ทางบก และทางอากาศ ทั้งในแง่ของ Reliability หรือความเสถียรและต่อเนื่องของการใช้งาน และการขยาย Coverage อย่างต่อเนื่อง ด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมโครงข่าย การผสมผสานระบบสื่อสัญญาณ หรือ Transmission พร้อมนำนวัตกรรมการพัฒนาอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยี รวมถึงการพลังงานทดแทนจากธรรมชาติเข้ามาใช้งานให้สอดคล้องกับความท้าทายในเชิงของลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร์ ตั้งแต่ชายฝั่ง บนเกาะ ไปจนถึงพื้นที่กลางทะเลเพื่อให้โครงข่ายอัจฉริยะของ AIS มีความพร้อมในการใช้งานที่เป็นมากกว่าระบบสื่อสาร
ทำให้วันนี้ AIS มีโครงข่ายสัญญาณทั้ง 5G และ 4G ที่ครอบคลุมแล้วกว่า 95% ของพื้นที่ในภาคใต้ รวมถึงความมุ่งมั่นในการขยายโครงข่ายในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกให้เป็นหนึ่งใน Destination ด้านการท่องเที่ยว อาทิ เขื่อนรัชประภา จังหวัดสุราษฏร์ธานี, อ่าวมาหยา จังหวัดกระบี่, อ่าวช่องขาดและหาดไม้งาม อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ พังงา ให้ตอบโจทย์การใช้งานของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สามารถถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ ทำคอนเทนต์ เพื่ออัพและแชร์ในโซเชียลให้คนทั่วโลกได้เห็นกันแบบเรียลไทม์”

“เพื่อเป็นการต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติจากทั่วโลกที่กำลังจะเดินทางมาสัมผัสความสวยงามทางธรรมชาติของแหล่งท่องเที่ยวในภาตใต้ของประเทศไทยในช่วงไฮซีซั่น เราขอยืนยันถึงความพร้อมของโครงข่ายสื่อสาร AIS SEA COVERAGE ที่จะสามารถรองรับการใช้งานได้อย่างดีที่สุด และเราเชื่อว่าด้วยศักยภาพและขีดความสามารถของระบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลของ AIS จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่ช่วยส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัวกลับมาแข็งแกร่ง และสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจภาคพื้นทะเลให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายกิตติ กล่าวทิ้งท้าย

ตามรอยเซียน โดย เจี๊ยบ บางกรวย “วัดระฆังทรงเจดีย์พันเปอร์เซ็น”

ได้พบพระอาจารย์วันพฤหัส เอาของดีไปให้ ป่วยมาหลายวันซื้อกาแฟไปฝากกับกล้วยปิ้งของโปรดพระอาจารย์

ตามด้วยพระ2กล่อง พระอาจารย์เลือกได้13องค์ ได้ทุนคืนไปหาพระใหม่ ก่อนลากลับโชว์พระในกระเป๋า พระอาจารย์พูดองค์นี้ไม่ขายให้หรือ บอกไม่ขายครับได้ทุนพระอาจารย์แล้ว องค์ง่ายผมเก็บไว้ องค์ลุ้นผมแบ่งให้ แต่บางองค์ได้จากเซียนเจี๊ยบแท้ง่ายๆ มึงให้มาได้งัย ก็พระอาจารย์สอนผมให้เริ่มนับ1ได้ ดูพระแท้เป็นหาพระใช้ได้ ชาตินี้ผมไม่มีพระอาจารย์ก็ดูพระแท้ไม่เป็น หาพระใช้ไม่ได้ ผมต้องหาพระมาให้พระอาจารย์ ตอบแทนพระคุณชาตินี้ก็ใช้ไม่หมดครับ ทุนผมน้อยเอาทุนคืนจาพพระอาจารย์ไปหาองค์แจ่มๆ “ทรงเจดีย์องค์นี้เป็นยังงัยครับพระอาจารย์ แท้พันเปอร์เซ็นต์” ง่ายเนื้อจัดฉ่ำซึ้ง ใช้ติดตัวองค์เดียวพอ มีไว้ชีวิตไม่ตกต่ำนะเธอเชื่อเราซิ สมเด็จวัดระฆังไม่เคยห่างกายเรา จะใช้พระอะไรก็ต้องมีพระสมเด็จไว้คุ้มครองอีกที

วันนี้เซียนเจี๊ยบไม่อธิบายนะ นี่เป็นครั้งแรกที่พระอาจารย์ดูแล้วบอก แท้พันเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นไม่พูดมาก

“จำไว้นะจ๊ะเนื้อแท้จัดแบบนี้พันเปอร์เซ็นต์ สมเด็จวัดระฆังทรงเจดีย์ นะจ๊ะเธอ”
เจี๊ยบบางกรวยเดินตามรอยพระอาจารย์ 087 0030897

ปลดล็อกเรื่องภาษี!

ช่วงปลายปีแบบนี้เป็นเวลาที่คนทำงาน หรือมนุษย์เงินเดือนต้องเตรียมตัวสำหรับการยื่นเสียภาษีในปีหน้า คนที่มีประสบการณ์ยื่นภาษีมาแล้ว บางคนอาจจะมีการวางแผนภาษีและเตรียมตัวมาแต่เนิ่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อประกัน, ทยอยซื้อกองทุน เพื่อนำมาใช้ลดหย่อนภาษี

แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ชอบจะมาทำเอาตอนเวลาที่เหลือ 1-2 เดือนสุดท้ายก่อนหมดปี ซึ่งถ้าทำทันเวลา ก็คงไม่มีอะไรเสียหาย แต่หากเกิดเหตุสุดวิสัย เช่น เงินไม่พอ, หลงลืม ก็อาจทำให้ซื้อไม่ทัน, ไม่ครบจำนวน ทำให้ลดหย่อนได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ถึงเวลาจ่ายภาษี ก็ต้องก้มหน้าก้มตาชำระภาษีแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยกันไป

ยิ่งสำหรับมือใหม่จ่ายภาษี ขาดการวางแผนภาษีล่วงหน้า อาจทำให้ตัวเองต้องจ่าย ภาษีก้อนโตโดยไม่จำเป็น

“คุณนายพารวย” อยากให้ผู้มีภาระต้องเสียภาษีทั้งหลายศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องภาษีให้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกณฑ์รายได้ที่ต้องเสียภาษี, วิธีคำนวณภาษี และอื่นๆ เพื่อทำให้เรื่องภาษีไม่เป็นสิ่งที่ดูน่ากลัวหรือคิดว่ายุ่งยากอีกต่อไป

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้จัดทำหลักสูตร SET e–learning ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการภาษีอย่างมั่นใจ และตอบโจทย์ความต้องการของคนกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟรีแลนซ์, มนุษย์เงินเดือน, คู่สมรส และวัยเกษียณ โดยจัดทำออกมา 4 หลักสูตรในซีรีส์ “วางแผนภาษี” ได้แก่

1.หลักสูตร วางแผนภาษี สไตล์ Multi–Jobbers & Freelancers เหมาะสำหรับผู้มีอาชีพรับจ้างอิสระ (Freelancers) หรือผู้ที่มีรายได้หลายทาง (Multi-Jobbers) เรียนรู้เรื่องภาษีที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

2.หลักสูตร วางแผนภาษี สไตล์วัยหลังเกษียณ เหมาะกับคนวัยเกษียณ ให้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเงินได้และภาระภาษีที่เกิดขึ้นในวัยเกษียณและหลังเกษียณ การลดหย่อนภาษี สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อการวางแผนภาษีให้ถูกต้องและเหมาะสม

3.หลักสูตร วางแผนภาษี สไตล์ชาวออฟฟิศ เหมาะสำหรับมนุษย์เงินเดือนและผู้สนใจทั่วไป เรียนรู้เรื่องเงินได้ ค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อน และสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อวางแผนภาษีแบบง่ายๆสไตล์มนุษย์เงินเดือน และ 4.หลักสูตร วางแผนภาษี สไตล์คนมีคู่ เหมาะกับคู่สมรส ที่อยากเรียนรู้วิธีบริหารจัดการภาษี สำหรับคู่สมรส เข้าใจประเภทเงินได้ ค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อน สิทธิประโยชน์ทางภาษี และเทคนิคการเลือกยื่นภาษีอย่างชาญฉลาด เพื่อลดภาระภาษี พร้อมเพิ่มเงินออมให้ครอบครัว

สามารถเข้าเรียน SET e-learning ซีรีส์ “วางแผนภาษี” ได้ที่ www.set.or.th/elearning แต่ละหลักสูตรเรียนจบครบชั่วโมงมีวุฒิบัตรให้ ที่สำคัญคือ ตัวผู้เรียนจะได้แนวทางการวางแผนภาษีที่ถูกต้อง รับประกันว่า ปลดล็อกทุกความรู้เรื่องภาษีได้แน่นอน!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"   หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เมืองไทยประกันชีวิต ถวายผ้ากฐิน ปี 2567 วัดหนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมสืบสานวัฒนธรรมและศาสนา ถวายผ้ากฐินประจำปี 2567 เพื่อแสดงออกถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนา และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการรักษาประเพณีไทยที่งดงามให้คงอยู่ ณ วัดหนองแก ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยปัจจัยที่ได้จากการถวายผ้ากฐินจะนำไปใช้ในการบูรณะศาสนสถานและพัฒนาพื้นที่ภายในวัด เพื่อให้เป็นศูนย์กลางจิตใจของชุมชนบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ ประธานกรรมการ และ นางยุพา ล่ำซำ ร่วมเป็นประธานฝ่ายฆราวาส นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นางสลิล ล่ำซำ นายกนิช บุณยัษฐิติ กรรมการบริษัท นายภูมิชาย ล่ำซำ ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยนายสมคิด จันทมฤก ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายนพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรี พ.ต.อ. กัมปนาท ณ วิชัย ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหัวหิน ตลอดจนคณะผู้บริหารและพนักงาน บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัทคู่ค้า ลูกค้า และผู้มีจิตศรัทธา ร่วมน้อมถวายผ้ากฐิน ประจำปี 2567 แด่พระสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดหนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

ทั้งนี้ประเพณีถวายผ้ากฐินเป็นประเพณีสำคัญในพระพุทธศาสนาที่สืบทอดมายาวนาน โดยจะจัดขึ้นในช่วงเวลา 1 เดือนหลังออกพรรษา (ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12) ประเพณีนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อถวายผ้ากฐินให้แก่พระสงฆ์ที่จำพรรษาในวัดครบ 3 เดือน ตามพระวินัยปิฎก การถวายผ้ากฐินถือเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากผู้ถวายจะได้รับผลบุญจากการสนับสนุนศาสนกิจของพระสงฆ์และการบำรุงศาสนสถาน

การจัดพิธีถวายผ้ากฐินในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ยังเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมไทยและศาสนาพุทธที่เป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทย การจัดพิธีนี้จะช่วยส่งเสริมความสมัครสมานสามัคคีในองค์กรและชุมชน พร้อมทั้งสนับสนุนให้วัดยังคงเป็นพื้นที่แห่งความสงบสุขและการเรียนรู้ธรรมะสำหรับทุกคน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นให้พนักงานและผู้เข้าร่วมพิธีได้ตระหนักถึงคุณค่าของการสืบทอดพระพุทธศาสนา และการทำบุญร่วมกันเป็นโอกาสในการฝึกจิตใจให้มีเมตตาและเสียสละ ซึ่งเป็นหลักสำคัญที่ช่วยสร้างสังคมที่มีคุณธรรมและความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน “วัดหนองแก” ตั้งอยู่ใน ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย บนที่ดินเนื้อที่ 40 ไร่ ก่อสร้างเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2460 มี พระครูประสิทธิวรการ หรือ “หลวงปู่คำ สุวรรณโชโต” อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ยอดพระสงฆ์ 5 แผ่นดิน เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ตั้งแต่ พ.ศ. 2463 – 2540 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2544 มี พระครูสถิตญาณโสภณ เป็นเจ้าอาวาสจนถึงปัจจุบัน เป็นวัดที่มีความสำคัญทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของชุมชนในพื้นที่ รวมถึงเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชนใน อำเภอหัวหิน โดยมีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม อาทิ การทำบุญประจำปี งานเทศกาล และพิธีกรรมทางศาสนา ตลอดจนมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะวัดหนองแกเป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 100 ปี และมีความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของอำเภอหัวหิน มีสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงศิลปะไทยดั้งเดิม รวมถึงอุโบสถและพระพุทธรูปที่มีความงดงาม เช่น พระพุทธรูปปางมารวิชัยซึ่งเป็นพระประธานในอุโบสถ นอกจากนี้ ภาพจิตรกรรมฝาผนังยังเล่าเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทยที่สวยงาม

ในโอกาสนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ได้มอบทุนการศึกษา ให้แก่ โรงเรียนวัดหนองแก จำนวน 100,000 บาท โดยมี นางรุจิรา คำตลบ ผู้อำนวยการสถานศึกษา โรงเรียนเทศบาลวัดหนองแก (หลวงปู่คำอุปถัมภ์) เป็นผู้แทนรับมอบ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคมในทุกด้าน ให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ซีพีเอฟ ปลื้ม คว้า 2 รางวัล Excellence Awards 2024 เป็นเลิศด้านการตลาด-ด้านสินค้าและบริการ

นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี เป็นประธานพิธีมอบรางวัล Excellence Award 2024 เชิดชูองค์กรธุรกิจที่มีความเป็นเลิศและโดดเด่นในการบริหารงานด้านต่างๆ ครั้งนี้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ คว้า 2 รางวัล Thailand Corporate Excellence Award 2024 ประเภท Distinguished Awards ได้แก่ สาขาความเป็นเลิศด้านการตลาด (Marketing Excellence) และ สาขาความเป็นเลิศด้านสินค้า/การบริการ (Product / Service Excellence Award) โดยมี นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจสัตว์บก รับมอบ ซึ่งสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดขึ้น ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก

สำหรับ รางวัลความเป็นเลิศด้านการตลาดและด้านสินค้า/การบริการ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ “Kitchen of the World with Sustainovation” ของซีพีเอฟ ด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพสูง พร้อมทั้งให้ความสำคัญต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ทำให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพ ดีต่อสิ่งแวดล้อม และสังคม ยกระดับมาตรฐานสินค้าให้เข้าถึงผู้บริโภคทั่วโลก

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ นำนวัตกรรมเข้ามาพัฒนาคุณภาพของกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานระดับสากล สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เพิ่มมากขึ้น อาทิ หมูชีวาและไก่เบญจาที่มีโอเมก้า 3 ได้รับการรับรองมาตรฐานการเลี้ยงจาก NSF ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำจากสหรัฐอเมริกาในด้านการรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ในระดับนานาชาติ พร้อมทั้งเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์รายแรกและรายเดียวที่ได้รับการรับรองตรา ‘อาหารรักษ์หัวใจ’ จากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์

ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟยังเทคโนโลยีมาประยุกต์เข้ากับสื่อสารต่อผู้บริโภค เพื่อสร้างสรรค์แคมเปญที่แตกต่างและโดดเด่น จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่ทั่วโลกจับตามอง นั่นคือ ‘ไก่ไทยจะไปอวกาศ’ ที่จะได้รับมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารขั้นสูงระดับอวกาศขององค์การ NASA ที่นักบินอวกาศรับประทาน ต่อยอดสู่การทำงานร่วมกับคู่ค้าและพันธมิตรมากมาย เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารปลอดภัยอย่างแท้จริง รวมถึงการนำระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Digital Traceability) มาช่วยตอกย้ำความยั่งยืนด้านการตลาด โดยผู้บริโภคและคู่ค้าสามารถสแกน QR Code บนบรรจุภัณฑ์ เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังเป็นผู้ผลิตอาหารแห่งแรกในโลก ที่ได้รับอนุมัติทั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว สอดคล้องตามมาตรฐาน Forest, Land and Agriculture (FLAG) ซึ่งเป็นมาตรฐานเฉพาะสำหรับภาคเกษตรและอาหาร จากองค์กร the Science Based Targets initiative (SBTi) ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยนำนวัตกรรมระบบ SAP ที่ช่วยนับและคำนวณการปลดปล่อยคาร์บอนแบบ Real-time ทั้งห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเป้าหมาย Net-Zero ให้สำเร็จผลได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในงานนี้ หน่วยงานพัฒนาศักยภาพลูกค้า ร่วมกับทีมขายและสนับสนุนขาย ธุรกิจอาหารสัตว์บก โดย นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจอาหารสัตว์บก ยังได้ร่วมแสดงความยินดีกับคู่ค้า คือ บจ.เกาะแต้วฟู้ดส์ ผู้ดำเนินธุรกิจเลี้ยงไก่ไข่ใน จ.สงขลา มีฟาร์มไก่ไข่ได้มาตรฐาน GAP และศูนย์รวบรวมไข่มาตรฐาน GHPs & HACCP รวมถึงกระบวนการเลี้ยงและการจัดการที่ทันสมัย ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งซีพีเอฟได้สนับสนุนและส่งเสริมในการเข้าประกวดรางวัล TMA Excellence Awards 2024 และได้รับรางวัล SMEs Excellence Awards ประเภทธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing) ระดับ Silver โดยมี นายยศพงศ์ ถิระวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บจ.เกาะแต้วฟู้ดส์ รับมอบรางวัล .

CPF สานต่อความมุ่งมั่นสร้างงานมีคุณค่าสำหรับคนพิการ หนุนวัฒนธรรมเคารพความแตกต่างและหลากหลาย

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าสนับสนุนการสร้างงานที่มีคุณค่าสำหรับกลุ่มคนเปราะบาง รวมถึงกลุ่มคนพิการ ให้ความสำคัญกับความหลากหลายและแตกต่าง มีการปฏิบัติต่อพนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ ปัจจุบัน ซีพีเอฟจัดจ้างพนักงานคนพิการ 806 คน ทำงานในสถานประกอบการ ในชุมชน และเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลวีลแชร์ทีมชาติ

นางณฐอร อินทร์ดีศรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่เยี่ยมการทำงานของพนักงานพิการ 2 คนที่ปฏิบัติงานที่ร้านเชสเตอร์ สาขาสยามสแควร์ ธุรกิจร้านอาหารในกลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) โดยมีคุณพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหารทรัพยากรบุคคล เครือซีพี-ซีพีเอฟ และ คุณลลนา บุญงามศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ให้การต้อนรับ กิจกรรมครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าสถานประกอบการร้านเชสเตอร์ปฏิบัติต่อพนักงานคนพิการอย่างเท่าเทียม และมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้คนพิการและครอบครัว

นางณฐอร กล่าวว่า กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ​สนับสนุนนายจ้างและองค์กรให้โอกาสจ้างงานคนพิการทำงานในสถานประกอบการ ซึ่งนอกจากช่วยคนพิการมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยพัฒนาทักษะความรู้ของกลุ่มคนเปราะบางตอบรับความต้องการของตลาดแรงงาน และการที่กรมฯ เยี่ยมชมการปฏิบัติงานของคนพิการที่ร้านเชสเตอร์ สาขาสยามสแควร์ เป็นการสร้างความมั่นใจว่า คนพิการได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม สร้างโอกาสให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และตอกย้ำว่า คนพิการเป็นบุคลากรที่มีศักยภาพและเป็นกำลังสำคัญของสถานประกอบการ ร้านเชสเตอร์ สาขาสยามสแควร์ เป็นหนึ่งในสถานประกอบการมากกว่า 14,000 แห่งของไทยที่เป็นต้นแบบสถานประกอบการที่สนับสนุนให้โอกาสคนพิการได้ทำงานหาเลี้ยงชีพตนเอง และที่สำคัญทำให้เกิดภาคภูมิใจในตนเอง มีกำลังใจในการทำงาน สามารถยืนหยัดอยู่ในสังคมได้อย่างเท่าเทียม เห็นคุณค่าของคนพิการในสังคมมากขึ้น

ด้าน นางสาวพิมลรัตน์ กล่าวว่า ซีพีเอฟมีความร่วมมือกับกระทรวงพม.หลายมิติ การจัดจ้างคนพิการ ลดความเหลื่อมล้ำของคนพิการผ่านการสร้างงาน สร้างอาชีพ สนับสนุนให้คนพิการและครอบครัวมีความมั่นคงในชีวิต สามารถพึ่งพาตนเองได้ อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างมีความสุข และภาคภูมิใจ สอดคล้องกับ
หลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืนของเครือซีพี ที่บริษัทยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท จากการสนับสนุนการจัดจ้างงานคนพิการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ บริษัท ได้รับการยกย่องเป็นองค์กรต้นแบบความยั่งยืนในตลาดทุนไทยด้านสนับสนุนคนพิการ และรับรางวัลองค์กรที่ “รางวัลองค์กรที่ส่งเสริมการจ้างงานคนพิการระดับดีเยี่ยม ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7

ปัจจุบัน ซีพีเอฟ จัดจ้างคนพิการได้มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคงรวม 806 คน ซึงเป็นจำนวนการจ้างงานที่สูงกว่ากฎหมายกำหนด โดยแบ่งเป็นการจัดจ้างคนพิการ 3 รูปแบบ ประกอบด้วย รูปแบบแรก การจ้างงานทำงานในสถานประกอบการของซีพีเอฟ 210 คน รูปแบบที่สอง การจ้างงานทำงานให้ชุมชนที่คนพิการอาศัยอยู่ เช่น โรงเรียน วัด โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ทำงานเป็นผู้ช่วยงานโครงการ​ “เลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน”​ รวม 580 คน และรูปแบบที่สาม การให้สัมปทานพื้นที่คนพิการขายของในโรงงาน 1 คน รวมทั้งสนับสนุนนักกีฬาวีลแชร์บาสเกตบอลทีมชาติไทย 15 คน

สำหรับ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ดส์ จำกัด ดำเนินธุรกิจร้านอาหารเชสเตอร์ มีการจัดจ้างคนพิการ 17 คน และทำงานอยู่ที่ร้านเชสเตอร์ 3 คน และจัดจ้างให้ทำงานในชุมชนอีก 14 คน

นางสาวสุกัญญา “อีฟ” บุตรโคตร พนักงานคนพิการทางการเคลื่อนไหว เนื่องจากประสบอุบัติเหตุ ต้องใส่เท้าเทียม เล่าว่า ตนเองมาทำงานที่เชสเตอร์สาขาสยามสแควร์นาน 7 ปี ทำหน้าที่อยู่ในครัวเป็นพนักงานปรุงอาหาร ที่เชสเตอร์เป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 มีเพื่อนร่วมงานที่ดี ผู้จัดการดีคอยให้กำลังใจ และให้โอกาสทุกอย่าง มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว ตนเองยังได้รับการพัฒนาทักษะความสามารถปรับตำแหน่งและเงินเดือนมาตลอด ช่วยให้ตนและครอบครัวเข้าถึงสิทธิต่างๆ ที่สำคัญสามารถสนับสนุนให้ลูกได้เรียนหนังสือ

นายอธิวัฒน์ ​“ท๊อป” เดชะมาก เป็นพนักงานพิการทางสติปัญญาและการเรียนรู้ กล่าวว่า สมัครทำงานกับร้านเชสเตอร์ สาขาสยามสแควร์ มีหน้าที่เก็บโต๊ะ เก็บจาน ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ทำงานอยู่กับเชสเตอร์ ได้ทำงานอย่างมีความสุข หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานเข้าใจ คอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำตลอดเวลา สำหรับรายได้ทั้งหมดที่ได้รับจะมอบให้แม่ทั้งหมดเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายของที่บ้าน.

ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเวที Feed Sustainovation 2024 เสริมพลังบุคลากรสร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วย AI และนวัตกรรม

ธุรกิจอาหารสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผนึกกำลังบุคลากรขับเคลื่อนแนวคิด Sustainovation ผลักดันสู่เป้าหมายเกษตรเทคโนโลยี (Agri Tech) นำ AI และนวัตกรรม ปรับใช้ในทุกกระบวนการผลิต หนุน ‘นวัตกร’ สร้างสรรค์ผลงานที่สร้างคุณค่าเพิ่มให้องค์กรและสังคม ผ่านเวที Feed Sustainovation 2024 ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนทุกมิติ ทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ

นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจอาหารสัตว์บก เปิดเผยว่า ซีพีเอฟมุ่งมั่นส่งเสริมให้บุคลากรทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งอาหารสัตว์ (Feed) เลี้ยงสัตว์ (Farm) และอาหาร (Food) พัฒนาสู่การเป็น ‘นวัตกร’ ที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จขององค์กร บริษัทจึงจัดงานสัปดาห์นวัตกรรม Feed Sustainovation 2024 สอดรับแนวคิด “นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” ของซีพีเอฟ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์เครือเจริญโภคภัณฑ์ และค่านิยมองค์กร CPF WAY สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ก่อเกิดประโยชน์ต่อสังคม ตนเอง และองค์กรอย่างยั่งยืน

ปีนี้มีผลงานนวัตกรรมที่เข้าร่วมจัดแสดงรวม 83 ผลงาน โดยผลงานที่ได้รับรางวัล Feed Innovation Awards ชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ “Anti Blockage for Pellet Mill” เครื่องอัดเม็ดที่ไม่อุดตันและทำงานเต็มประสิทธิภาพ รองชนะเลิศอันดับ 1 คือ “Smart Boiler Model 3” หม้อผลิตไอน้ำที่ทำงานเต็มประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานด้วย AI และรองชนะเลิศอันดับ 2 คือ “พลิกโฉมธุรกิจเป็ดไข่ สร้างเส้นทางตลาดใหม่ไข่เป็ด” ที่สร้างโมเดลการขายรูปแบบใหม่ เพิ่มโอกาสและกำไร และมีรางวัลชมเชยอีก 7 ผลงาน

“การคิดสิ่งใหม่และทำเรื่องใหม่เพื่อให้ธุรกิจเติบโตควบคู่ไปกับสังคมอย่างยั่งยืน เป็นนโยบายที่เรายึดมั่นมาตลอด โดยมีบุคลากรเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อน เราจึงส่งเสริมและสร้างบรรยากาศให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ผ่านงานสัปดาห์นวัตกรรม ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 16 ทำให้บุคลากรได้นำเสนอผลงานนวัตกรรมที่สร้างคุณค่าเพิ่มให้องค์กร เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ” นายเรวัติ กล่าว.

ประมงจ.ตราดปล่อยปลานักล่า ตั้งด่านสกัดปลาหมอคางดำรุกพื้นที่ ยันไม่พบการระบาด

จังหวัดตราดดำเนินมาตรการป้องกันปลาหมอคางดำรุกพื้นที่ ผนึกกำลังทุกภาคส่วนติดตามสำรวจในทุกแหล่งน้ำสม่ำเสมอ ล่าสุด นายกุณสมบัติ ศิริสมบัติ ประมงจังหวัดตราด และ
นายจำนงค์ศักดิ์ ทิพย์เนตร ปลัดอำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด พร้อมกับหัวหน้าส่วนราชการจังหวัด ข้าราชการ และจิตอาสาร่วมปล่อยลูกปลากะพงขาว 3,000 ตัว ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ลงสู่แม่น้ำเวฬุ บริเวณใต้สะพานถ้าจอด ต.แสนตุ้ง อ.เขาสมิง จ.ตราด

นายกุณสมบัติ เปิดเผยว่า ปัจจุบันจังหวัดตราดยังไม่พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ แม้จะมีพื้นที่ติดกับจังหวัดจันทบุรี โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้ร่วมกับชาวประมงในท้องถิ่นติดตามเฝ้าระวังและสำรวจแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันนี้ จากการทอดแหในแหล่งน้ำต่างๆ ยังไม่พบปลาหมอคางดำ

“การปล่อยปลากะพงขาวเป็นมาตรการเชิงป้องกันตามแนวทางของกรมประมง เนื่องจากปลากะพงเป็นปลานักล่าสามารถช่วยควบคุมประชากรปลาหมอคางดำ โดยการช่วยกินตัวอ่อนของปลาหมอคางดำเป็นการตัดวงจรการแพร่ระบาดได้หากพบมีปลาหมอคางดำหลุดเข้ามาในแหล่งน้ำของตราด นอกจากนี้ ปลากะพงขาวยังเป็นปลาเศรษฐกิจที่ชาวบ้านสามารถจับไปบริโภคหรือจำหน่ายได้ ซึ่งจังหวัดตราดเน้นป้องกันผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและระบบนิเวศ” นายกุณสมบัติกล่าว

สำนักงานประมงจังหวัดได้รับการจัดสรรงบประมาณในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนมีส่วนร่วมช่วยกันเฝ้าระวังปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง และมีแผนสำรวจเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ และบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในอำเภอต่างๆ โดยใช้วิธีการทอดแห ตามแนวทาง “เจอ แจ้ง จับ”
จนถึงวันนี้ เจ้าหน้าที่รัฐ และชาวประมงที่จับปลาทุกวันยังยืนยันว่ายังไม่พบปลาหมอคางดำในตราดแต่อย่างใด

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 3 รางวัลใหญ่โครงการ “ตลาดทุนไทยร่วมใจส่งพลังความรู้สู่ประชาชน” เฟสที่ 2 จากสำนักงาน ก.ล.ต.

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 3 รางวัลใหญ่ จาก สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศผลรางวัลในโครงการ “ตลาดทุนไทยร่วมใจส่งพลังความรู้สู่ประชาชน” เฟสที่ 2 ซึ่งเป็นเวทีที่มอบรางวัลให้แก่บริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความรู้ด้านการเงินและการลงทุนแก่สังคมไทย  มุ่งเน้นการนำเสนอด้วยแนวทางการนำเสนอที่โดดเด่นและสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างยั่งยืน

นายสาระ ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  “บริษัทมีความมุ่งมั่นเสมอในการสร้างหลักประกันชีวิตและสุขภาพที่มั่นคงให้กับคนไทย และตระหนักถึงการให้ความรู้ด้านการเงินและการประกันชีวิตเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในบริบทของประเทศไทย ที่ได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ บริษัทได้ส่งเสริมความรู้ด้านการเงินและการประกันชีวิต ทั้งภายในองค์กรและสู่ประชาชนทั่วไป เพื่อให้ทุกคนสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ    โดยแนวทางการส่งเสริมความรู้ของเมืองไทยประกันชีวิตที่ผ่านมานั้นยึดมั่นในพันธกิจการเสริมสร้างรากฐานการเงินที่แข็งแกร่งให้กับสังคมไทย โดยดำเนินงานใน 2 มิติหลัก ดังนี้

  1. การพัฒนาพนักงาน: เมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะการบริหารการเงินส่วนบุคคลของพนักงาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความมั่นคงในอนาคต
  2. การให้ความรู้แก่ประชาชน: เมืองไทยประกันชีวิตใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ความรู้ด้านการเงินและการประกันชีวิตเข้าถึงได้ง่ายและเข้าใจได้ง่าย พร้อมจัดกิจกรรม Workshop ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถลงมือวางแผนการเงินของตนเองได้อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ในโอกาสที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  ได้จัดโครงการ “ตลาดทุนไทย ร่วมใจส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน เฟส 2” ผนึกกำลังผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะด้านการเงินการลงทุน (Financial Literacy) ให้แก่ผู้ลงทุนและประชาชน ในเฟส 2 ประจำปี 2567    โดยในปีนี้ เมืองไทยประกันชีวิต สามารถผ่านเกณฑ์การพิจารณา จาก ก.ล.ต.    ได้รับรางวัลเกียรติทั้ง 3 ประเภท  ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นองค์กรที่สร้างคุณค่าในการเป็น “ผู้ให้ความรู้” ด้านการเงินการลงทุนที่นอกเหนือจากการเสนอขายผลิตภัณฑ์ อันเป็นคุณประโยชน์แก่สังคมและประชาช   ได้แก่

  1. รางวัลขวัญใจมหาชน (Public Favorite Award): ESG: RakLearn Social Media by MTL
    โดยโครงการ “RakLearn” มุ่งเน้นการเผยแพร่ความรู้ด้านการเงิน การลงทุน และการประกันชีวิต ผ่านแพลตฟอร์ม TikTok และ Facebook โดยนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบวิดีโอสั้นและอินโฟกราฟิกส์ สื่อสารด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย  ช่วยให้การวางแผนการเงินกลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ทุกคน
  2. รางวัลการสร้างองค์ความรู้อย่างยั่งยืน (Sustainability Award): ESG: Financial Literacy “WORKSHOP”
    โครงการ “Financial Literacy Workshop” ปี 2567 ที่บริษัมุ่งเน้นเสริมสร้างความรู้ด้านการวางแผนการเงินส่วนบุคคลอย่างยั่งยืน ผ่านการจัดกิจกรรม Workshop ที่ช่วยพัฒนาทักษะการวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมตั้งแต่การจัดทำงบประมาณ การออม การลงทุน ไปจนถึงการประกันชีวิตและการจัดการความเสี่ยง โดย 95% ของผู้เข้าร่วมสามารถจัดทำแผนการเงินส่วนบุคคลได้สำเร็จ ทั้งนี้ภายหลังการอบรมบริษัทได้มีการติดตามผลเพื่อประเมินความเปลี่ยนแปลงทางการเงินของผู้เข้าร่วม
  3. รางวัลความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม (Creativity Award): MTL Retirement Check – ระบบคำนวณเงินทุนเพื่อการเกษียณ

“MTL Retirement Check” ซึ่งเครื่องมือการคำนวณและวางแผนการเงินสำหรับการเกษียณอายุเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อสร้างการตระหนักรู้ทางด้านการเงินสำหรับการวางแผนอนาคตที่ยั่งยืนให้พนักงาน ตัวแทนประกันชีวิต และบุคคลทั่วไป สามารถวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุได้อย่างง่ายดาย บริษัทยังได้วางแผนส่งมอบเครื่องมือนี้ให้ตัวแทนประกันชีวิตทั่วประเทศและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโซเชียลของ RakLearn เพื่อให้คนไทยสามารถคำนวณและวางแผนการเงินของตนเองได้ทุกที่ ทุกเวลา

ในโอกาสนี้ นางพรอนงค์ บุษราตระกูล  ท่านเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์  ให้เกียรติมอบรางวัลอันทรงเกียรติทั้ง 3 ประเภท แก่บริษัทฯ โดยมอบรางวัลขวัญใจมหาชน (Public Favorite Award)  ให้แก่ นายสาระ ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รางวัลการสร้างองค์ความรู้อย่างยั่งยืน (Sustainability Award) ให้แก่ ดร.สุธี  โมกขะเวส  กรรมการผู้จัดการ  และรางวัลความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม (Creativity Award)  ให้แก่  นางสาวอุมาพันธุ์  เจริญยิ่ง  รองกรรมการผู้จัดการ   

“เราตั้งเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนว่า เราจะช่วยสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งให้กับสังคมไทย ภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัท (ESG Strategy) เพื่อให้คนไทยมีความสุขและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ในทุกช่วงของชีวิต ในโอกาสนี้ ผมขอขอบคุณทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จของเรา และขอให้คำมั่นว่า เมืองไทยประกันชีวิต จะไม่หยุดยั้งในการพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดียิ่งขึ้น” นายสาระกล่าวสรุป

ชุมชน-เกษตรกร ร่วมชี้เป้าปลาหมอคางดำ รู้เร็ว คุมได้ไม่ขยายวง

บทความ โดย ชาญศึก ผดุงความดี นักวิชาการอิสระ

การแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-ตุลาคม 2567 ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ “Peak” ทั้งจับ แปรรูป ปล่อยปลาผู้ล่า ตามแนวปฏิบัติของกรมประมงและเป้าประสงค์ในการลดปริมาณปลาในแหล่งให้มากที่สุดและเร็วที่สุด ซึ่งกรมฯ ได้รายงานว่าจับปลาไปแล้วมากกว่า 3 ล้านกิโลกรัม และส่งไปแปรรูปเป็นปลาป่นเพื่อนำไปผลิตอาหารสัตว์และน้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้เป็นปุ๋ยในส่วนยางพารา ช่วงต่อจากนี้ไปจะเห็นการปล่อยปลาผู้ล่าทั้งปลากะพงและปลาอีกงในหลายพื้นที่ลงไปกำจัดลูกปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำ 

การเดินหน้าตามแนวทางปฎิบัติของกรมประมงส่งผลให้หลายจังหวัดมีปริมาณปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำลดลง จากผลของการสุ่มตรวจของประมงจังหวัดที่ทำการ “ลงแขก” จับปลาในแหล่งน้ำที่เคยจับไปแล้วซ้ำ พบปริมาณปลาหมอคางดำลดลงทั้งที่จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี นครศรีธรรมราช เป็นต้น และกำลังเดินหน้าปล่อยปลาผู้ล่าเพื่อลงไปกำจัดลูกปลาหมอคางดำเพื่อหยุดการแพร่พันธุ์ สำหรับการปล่อยปลาผู้ล่าต้องปล่อยในปริมาณที่เหมาะสมไม่ให้เกิดผลกระทบกับสัตว์น้ำชนิดอื่นในธรรมชาติ

ปัญหาใหญ่ในการกำจัดปลาหมอคางดำขณะนี้ คือ “บ่อร้าง” ที่ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาหมอคางดำที่สำคัญ ตลอดจนแหล่งน้ำที่ภาครัฐยังเข้าไปสำรวจไม่ถึง จำเป็นที่เจ้าของบ่อร้างและชุมชนทั้งหลายต้องร่วมกันแจ้งกรมประมง เพื่อกำจัดปลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่อาจมีปลาหมอคางดำหลุดรอดเข้ามาในบ่อเลี้ยง ต้องสุ่มตรวจปริมาณสัตว์น้ำหลัก (กุ้งหรือปลา) ในบ่อเปรียบเทียบกับปริมาณปลาหมอคางดำที่จับได้ และจับออกโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำหลักเพื่อหาทางป้องกันด้วยการตากบ่อและโรยกากชากำจัดปลาและลูกปลาที่ตกค้างในบ่อ ก่อนเลี้ยงสัตว์น้ำรุ่นใหม่ในบ่อเลี้ยง 

การชี้เป้าหมายแหล่งเพาะพันธุ์และแหล่งแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำให้กับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งกรมประมงและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องได้รับความร่วมมือทั้งจากภาคประชาชน ชุมชน และเกษตรกร ต้องช่วยกันแจ้งเบาะแสในฐานะเจ้าของพื้นที่ ตัวอย่างเช่นที่จังหวัดสงขลา พบการระบาดของปลาหมอคางดำที่อำเภอระโนด ส่วนที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พบที่อำเภอหัวไทรและอำเภอปากพนัง ขณะที่จังหวัดจันทบุรี พบที่อำเภอขลุง และอ่าวคุ้งกระเบน  หากมีการผนึกกำลังกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนอย่างเข้มแข็งเพื่อดำเนินการตามหลักวิชาการก็จะสามารถควบคุมให้ปลาอยู่ในพื้นที่จำกัดได้ และการดำเนินมาตรการแก้ปัญหาอย่างถูกต้องจะช่วยให้ปริมาณปลาลดลงอย่างมีนัยสำคัญได้

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชนและภาคเอกชน เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการไล่ล่าปลาหมอคางดำอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ไม่ให้ข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะ “บ่อร้าง” ควรจับปลาออกจากบ่อให้หมด และหากไม่ประสงค์จะเลี้ยงสัตว์น้ำต่อควรตากบ่อให้แห้งและกำจัดปลาที่ตกค้างตามหลักวิชาการ ซึ่งพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดใน19 จังหวัด จำเป็นต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

สำหรับภาครัฐจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณมาสนับสนุนการจับปลาและปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อจูงใจให้มีการจับปลาและนำไปแปรรูปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อน ตลอดจนการให้ความรู้กับชุมชนในการจับและกำจัดปลาหมอคางดำอย่างถูกต้อง ช่วยเฝ้าระวังและป้องกันระบบนิเวศไม่ให้ปลาแพร่ระบาดไปยังแหล่งน้ำอื่นๆ.