Home Blog Page 5

ชาวซีพีเอฟ ระดมสรรพกำลัง ฝ่าน้ำช่วยพี่น้องชาวใต้

0

เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ทวีความรุนแรง ซีพีเอฟรุดให้ความช่วยเหลือจาก “อาหาร” สู่ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยเชิงรุก

กองเรือและหน่วยเคลื่อนที่เร็วของซีพีเอฟ นำเรือท้องแบน 3 ลำ พร้อมทีมเจ็ตสกีภูเก็ต ของเครือซีพี ลงพื้นที่หาดใหญ่ ร่วมภารกิจกับทหาร ตำรวจ และทีมกู้ภัยทางน้ำ เร่งอพยพผู้คนที่ติดค้างในบ้าน พร้อมส่งมอบอาหารและน้ำดื่มให้ถึงมือประชาชนโดยเร็วที่สุด

ทีมจิตอาสา ร่วมกันแพ็ค “ถุงกำลังใจ” บรรจุข้าวสาร อาหารแห้ง ไฟแช็ก เทียน ยากันยุง และของใช้จำเป็น เพื่อกระจายไปยังชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ทุกถุงจัดเตรียมอย่างเร่งด่วน เพราะทุกความเดือดร้อนรอไม่ได้

เสียงจากผู้ได้รับความช่วยเหลือสะท้อนความเดือดร้อน “ขอบคุณที่มาช่วย… หลายบ้านติดอยู่ 5-6 วัน บางคนเพิ่งได้กินมื้ออิ่มที่สุดเป็นครั้งแรกในหลายวัน” ข้อความสั้น ๆ นี้ย้ำว่าอาหารและการอพยพออกจากพื้นที่เป็นเรื่องเร่งด่วนเพียงใด

นอกจากช่วยคนแล้ว ซีพีเอฟยังไม่ทิ้งเพื่อนสี่ขา บริษัทมอบอาหารสุนัข ‘เจอร์ไฮ’ และอาหารแมว ‘จินนี่’ รวม 3.2 ตัน ผ่านกรมปศุสัตว์ เพื่อช่วยสัตว์เลี้ยงที่ประสบปัญหาอาหารขาดแคลนในพื้นที่ด้วย

ซีพีเอฟ ยืนหยัด “เคียงข้างทุกวิกฤต” โดยร่วมมือกับภาครัฐ ภาคประชาสังคม มูลนิธิ และชุมชนต่างๆ ทั้งในจังหวัดสงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช ชุมพร และสุราษฎร์ธานี เพื่อความช่วยเหลือครอบคลุม จนกว่าวิกฤตจะผ่านพ้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มอบเงิน 1 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ ผ่านสภากาชาดไทย

0

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ และคุณอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ พร้อมด้วยผู้บริหาร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มอบเงินสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ จำนวน 1,000,000 บาท ผ่านสภากาชาดไทย โดยมี คุณขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วนตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอส่งกำลังใจและความห่วงใยไปยังพี่น้องประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ที่กำลังประสบอุทกภัย ขอให้ทุกท่านปลอดภัย และผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้โดยเร็ว และขอขอบคุณอาสาสมัครและทุกหน่วยงานที่ร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในครั้งนี้

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ร่วมกับสภากาชาดไทย ขอเชิญชวนร่วมบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ผ่านการสแกน QR e-Donation (ลดหย่อนภาษี 2 เท่า) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook SET Thailand คลิก https://www.facebook.com/share/p/1GEZkWDwnA/

ลุ้น! แอนิเมชั่นสัญชาติไทย “Out of the Nest องครักษ์พิทักษ์เจี๊ยบ” เข้ารอบ 15 เรื่องสุดท้ายชิงออสการ์ ครั้งที่ 98

0

ภาพยนตร์แอนิเมชันสัญชาติไทย”Out of the Nest องครักษ์พิทักษ์เจี๊ยบ” ติด 1 ใน 35 รายชื่อภาพยนตร์ทางการที่มีสิทธิ์เข้าร่วมประกวดเพื่อชิงรางวัลสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม (Best Animated Feature Film) อะคาเดมี อวอร์ดส หรือ รางวัลออสการ์ ครั้งที่ 98 นับเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันสัญชาติไทยเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่ผ่านเกณฑ์ในการเข้าประกวดของสาขานี้ได้สำเร็จ โดย “Out of the Nest องครักษ์พิทักษ์เจี๊ยบ” ได้เข้าฉายอย่างเป็นทางการในประเทศสหรัฐอเมริกาแบบจำกัดโรง เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นเกณฑ์ข้อสำคัญสำหรับการเข้าร่วมประกวดรางวัลออสการ์

ทั้งนี้ ทางสมาพันธ์ภาพยนตร์ฯ พร้อมประชาชนชาวไทยขอร่วมส่งกำลังใจให้ “Out of the Nest องครักษ์พิทักษ์เจี๊ยบ” เดินทางเข้าสู่รอบ 15 เรื่องสุดท้าย (Shortlists) ที่จะประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ในวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคมนี้

ตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาศักยภาพ 7 ผู้ประกอบการเพื่อสังคมสู่ SE ต้นแบบ ผ่านโปรแกรม “Refreshing SE for Growth”

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยความสำเร็จของโปรแกรม “Refreshing SE for Growth” หลังผู้ประกอบการเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) 7 ราย ได้รับการพัฒนาเป็น SE ต้นแบบ พร้อมสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อธุรกิจที่ชัดเจน และแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการยกระดับศักยภาพและต่อยอดการเติบโตของ SE ได้อย่างเข้มแข็ง โดยโปรแกรมที่ดำเนินตลอด 4 เดือน (สิงหาคม – พฤศจิกายน 2568) เป็นการจับคู่ SE กับผู้บริหารระดับ CEO จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เพื่อให้คำปรึกษาเชิงลึกและผลักดันแนวทางในการขยายธุรกิจให้สามารถเติบโตได้อย่างเป็นรูปธรรม

นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกฎหมายและบริหารกิจกรรมเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงสะท้อนให้เห็นความก้าวหน้าทางธุรกิจที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้ผู้ประกอบการเพื่อสังคม (SE) ทั้ง 7 รายได้เห็นโอกาส และช่องทางการเติบโตที่ชัดเจน รวมถึงแนวทางในการลดต้นทุน การเพิ่มกำไร การยกระดับมาตรฐานการดำเนินงาน ตลอดจนวิธีการพัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างเป็นระบบ แม้ว่ากิจกรรมดังกล่าวจะเสร็จสิ้นลง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงจะมีการติดตามและให้คำปรึกษาทั้ง 7 SE อย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมั่นว่าการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ SE นอกจากจะช่วยผลักดันการทำงานด้าน ESG ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดทุนแล้วยังจะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนอีกด้วยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อสังคมมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 9 ปี และในปีนี้ปรับรูปแบบเป็นการจัดโปรแกรม “Refreshing SE for Growth” โดยได้ทำงานร่วมกับ 5 พันธมิตร ได้แก่ สมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (maiA) บริษัท PwC ประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) บริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และสำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำหรับโปรแกรมในปีนี้แบ่งเป็น 2 Modules ได้แก่ 1) การอบรมเชิงปฏิบัติการด้านธุรกิจ และ 2) การโค้ชแบบตัวต่อตัวกับผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ

ทั้งนี้ โปรแกรม “Refreshing SE for Growth” มีผู้ประกอบการเพื่อสังคมเข้าร่วมใน Module 1 ทั้งหมด 18 ราย ก่อนจะคัดเลือก 7 ราย ที่มีโมเดลธุรกิจและแผนการขยายธุรกิจชัดเจนเข้าสู่ Module 2 เพื่อเข้ารับการโค้ชแบบตัวต่อตัวจนจบโปรแกรม ซึ่ง 7 รายดังกล่าว ได้แก่ บริษัท ครีเอทีฟ มูฟ จำกัด บริษัท จิตตะ วิมังสา จำกัด บริษัท เซฟ ไลฟ์ โปรดักส์ จำกัด บริษัท ตั้งต้นดี เพื่อสังคม จำกัด บริษัท โนบูโร แพลตฟอร์ม จำกัด บริษัท วรรณรักษ์ หัวหิน จำกัด และบริษัท เฮซ ฟรี จำกัดสำหรับผู้ประกอบการเพื่อสังคมที่สนใจ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.setsocialimpact.com

DR “CHNXT5023” ออกโดย INVX เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก

0

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ รินใจ ชาครพิพัฒน์ และ สรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย พยนต์ พงศาวรี Chief Investment Officer บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด Tan Yonghui, Director of Fund Supervision Department, Shenzhen Stock Exchange Martin Franc, Chief Executive Officer, Asia ex Japan, Invesco และ Ken Kang, CEO of Invesco Great Wall ร่วมพิธีเปิดการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ DR “CHNXT5023” อ้างอิงกองทุน Invesco Great Wall ChiNext 50 ETF ที่ลงทุนตามดัชนี SZSE ChiNext 50

สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น 50 บริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมยุคใหม่ของจีนที่มีสภาพคล่องสูงสุดในกระดาน ChiNext ของตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น ในวันที่ 25 พ.ย. 2568 ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูล DR ใหม่ได้ที่ www.innovestx.co.th หรือศึกษาผลิตภัณฑ์ DR เพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/dr

AIS ระดมพลังอุ่นใจอาสาส่งมอบถุงยังชีพ ช่วยเหลือน้ำท่วมภาคใต้ต่อเนื่อง เสริมระบบสื่อสาร เปิดจุดบริการโทร-WiFi ฟรีในศูนย์อพยพ พร้อมมาตรการดูแลลูกค้าอย่างเต็มกำลัง

0

ท่ามกลางสถานการณ์อุทกภัยจากฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของภาคใต้ เอไอเอสในฐานะเครือข่ายที่พร้อมเคียงข้างคนไทยในทุกวิกฤต ยังคงเร่งขับเคลื่อนภารกิจในการสนับสนุนและดูแลลูกค้า ตลอดจนประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง โดยระดมพลังพนักงานอุ่นใจอาสา พร้อมนำศักยภาพโครงข่ายอัจฉริยะ สนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่สามารถติดต่อสื่อสาร พร้อมส่งต่อความห่วงใยและกำลังใจให้ทุกคนร่วมก้าวผ่านสถานการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกัน โดยมี นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านธุรกิจองค์กร เอไอเอส พร้อมด้วยพนักงานอุ่นใจอาสา ได้ส่งมอบสิ่งของช่วยเหลือให้แก่กองทัพอากาศ โดยมี พลอากาศตรี อภิรัตน์ รังสิมาการ  รองเจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำไปส่งต่อให้กับประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยในภาคใต้ต่อไป

ทั้งนี้ เอไอเอส ยังคงเดินหน้าดูแลลูกค้าและคนไทย ในสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ภาคใต้อย่างต่อเนื่องด้วยความช่วยเหลือทุกด้าน

1. ระดมพนักงานเอไอเอส “อุ่นใจอาสา” ส่งต่อความห่วงใย โดยร่วมกันจัดเตรียมสิ่งของจำเป็น ทั้งถุงยังชีพ จำนวน 1,000 ชุด น้ำดื่ม 1,000 โหล อุปกรณ์อะแดปเตอร์ชาร์จมือถือ 1,100 ชิ้น และเพาเวอร์แบงก์ 1,100 ชิ้น ส่งต่อความห่วงใยผ่านความร่วมมือกับกองทัพอากาศ เพื่อส่งมอบให้ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ เป็นอีกหนึ่งพลังเล็ก ๆ ที่สะท้อนเจตนารมณ์ขององค์กรในการยืนหยัดเคียงข้างสังคมในทุกวิกฤต

2. สนับสนุนระบบสื่อสารอย่างเต็มกำลังในพื้นที่และศูนย์อพยพ อำนวยความสะดวกเพิ่มจุดให้บริการโทรฟรี และบริการ AIS Free WiFi สำหรับผู้ที่อยู่ศูนย์อพยพ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อติดต่อสื่อสารไปยังครอบครัวหรือผู้ที่ห่วงใย พร้อมขยายสัญญาณเครือข่ายอย่างเต็มกำลัง และสแตนบายรถโมบาย โดยมีทีมวิศวกรมอนิเตอร์และดูแลเครือข่าย 24 ชั่วโมง

3. ดูแลลูกค้าเอไอเอสที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วม

  • มอบค่าโทร 100 นาที และอินเทอร์เน็ต 10GB ให้ลูกค้ามือถือทั้งระบบเติมเงินและรายเดือน ใช้งานได้ 7 วัน โดยมอบสิทธิ์ให้อัตโนมัติสำหรับลูกค้าในพื้นที่ประสบภัย โดยไม่ต้องกดรับสิทธิ์ และจะมี SMS แจ้งยืนยัน
  • ขยายเวลาชำระค่าบริการลูกค้าเอไอเอสรายเดือน และ AIS FIBRE3 และขยายเวลาการใช้งานให้ลูกค้าระบบเติมเงิน
  • แม้ว่าจากสถานการณ์ดังกล่าว จะมี AIS Shop และตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบที่ต้องปิดให้บริการ แต่ลูกค้ายังคงสามารถทำธุรกรรมและรับบริการได้ด้วยตนเองผ่านแอป myAIS

เอไอเอสยืนยันความพร้อมของทุกหน่วยงานในการดูแลประชาชนให้สามารถใช้บริการสื่อสารและเน็ตบ้านได้ต่อเนื่องอย่างดีที่สุด พร้อมยืนหยัดอยู่เคียงข้างคนไทยตลอดช่วงสถานการณ์อุทกภัย และพร้อมสนับสนุนการสื่อสารในพื้นที่ที่จำเป็นอย่างเต็มกำลัง

เอไอเอส เคียงข้างผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ มอบค่าโทร–เน็ตฟรี ขยายวันใช้งานและเวลาจ่ายค่ามือถือ–เน็ตบ้าน พร้อมดูแลเครือข่าย 24 ชม.

0

ท่ามกลางสถานการณ์อุทกภัยจากฝนตกหนักในหลายพื้นที่ภาคใต้ ที่ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายจังหวัด ได้แก่ สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เอไอเอสในฐานะเครือข่ายดิจิทัลที่พร้อมเคียงข้างคนไทยในทุกสถานการณ์วิกฤต ได้ร่วมทำงานกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อยกระดับบริการสื่อสารช่วงเวลาอันท้าทายครั้งนี้ โดยระดมศักยภาพโครงข่ายและทีมงานลงพื้นที่ดูแลลูกค้าและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ให้การติดต่อสื่อสารและการเข้าถึงบริการดิจิทัลเป็นไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือแบบรอบด้าน ดังนี้

  • มอบค่าโทร 100 นาที และอินเทอร์เน็ต 10GB ให้ลูกค้ามือถือทั้งระบบเติมเงินและรายเดือน ใช้งานได้ 7 วัน โดยเอไอเอสอำนวยความสะดวกในการมอบสิทธิ์ให้โดยอัตโนมัติสำหรับลูกค้าในพื้นที่ประสบภัย โดยไม่ต้องกดรับสิทธิ์ และจะมี SMS แจ้งยืนยัน
  • ขยายระยะเวลาชำระค่าบริการให้ลูกค้ามือถือรายเดือน และลูกค้า AIS 3BB FIBRE3 รวมถึงขยายวันใช้งานให้กับลูกค้าระบบเติมเงินในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
  • เสริมบริการ AIS Free WiFi ที่ศูนย์อพยพมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อให้ประชาชนยังสามารถเข้าถึงการติดต่อสื่อสารและข้อมูลข่าวสารได้อย่างต่อเนื่อง

พร้อมกันนี้ เอไอเอสยังดูแลเสถียรภาพโครงข่ายอย่างใกล้ชิด ติดตามสถานการณ์และพร้อมปรับแผนรองรับตลอด 24 ชั่วโมง เอไอเอสขอยืนยันว่าจะยืนหยัดเคียงข้างพี่น้องชาวใต้และคนไทยทุกคน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

AIS สร้างปรากฏการณ์ระดับจักรวาล ดึง Miss Universe 2025 กระทบไหล่แฟนๆ ที่ AIS SIAM พร้อมรีรันทุกโมเมนต์การประกวด บน AIS PLAY ที่เดียวในไทย

0

AIS เครือข่ายที่เข้าใจลูกค้าทุกกลุ่มและทุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์อย่างดีที่สุด เดินหน้าสร้างประสบการณ์ความบันเทิงระดับโลกให้แฟนนางงามฟินกว่าทุกปี ผ่านกิจกรรมงาน MEET THE CROWNS” สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เปิดโอกาสให้แฟน ๆ ได้ใกล้ชิดผู้ครองมงกุฎเวทีจักรวาลทั้ง ฟาติมา บอสช์ ผู้คว้ามงกุฎ Miss Universe 2025 และ
ปวีนา ซิงห์ รองอันดับ 1 
แบบใกล้ชิด ต่อเนื่องจากการรับชมถ่ายทอดสด The 74th Miss Universe 2025 ผ่านหน้าจอ AIS PLAY พร้อมเปิดสิทธิ์ให้ลูกค้าที่สมัครแพ็กเกจสามารถรับชมการประกวดย้อนหลังแบบเอ็กซ์คลูซีฟได้ก่อนใคร เฉพาะบน AIS PLAY เพียงแพลตฟอร์มเดียวในประเทศไทยที่ได้รับลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการ ตอกย้ำพลังเครือข่ายอัจฉริยะ AIS 5G และความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มดิจิทัลคอนเทนต์ระดับประเทศ โดยมี นางเบญจพร กำเพ็ชร หัวหน้าส่วนงานการตลาดกลุ่มลูกค้าพรีเพด เอไอเอส ร่วมจัดกิจกรรม ณ AIS SIAM

AIS PLAY ผู้ถ่ายทอดสดการประกวดนางงามระดับโลกเวที The 74th Miss Universe 2025 อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ซึ่งมีความพิเศษด้วยการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการประกวด เอไอเอสจึงตั้งใจต่อยอดประสบการณ์จากบนหน้าจอสู่ประสบการณ์ตรงบนเวทีระดับจักรวาล ผ่านกิจกรรมลุ้นบัตรเข้าร่วม Meet & Greet สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ใจกลางสยามสแควร์ โดยลูกค้าเอไอเอสผู้โชคดีจากการสมัครเล่นกิจกรรมตามกติกาต่าง ๆ จนได้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ สัมผัสออร่าระดับจักรวาลแบบใกล้ชิด ชมลีลาการตอบคำถามเสมือนอยู่บนเวที Miss Universe 2025 พร้อมเคล็ดลับพิชิตใจกรรมการ ทั้งการวางตัว การใช้สายตาและน้ำเสียง รอยยิ้ม การโพสท่า ไปจนถึงการโบกมืออย่างมั่นใจ ก่อนปิดท้ายด้วยการถ่ายภาพร่วมกับเหล่านางงามแบบเอ็กซ์คลูซีฟเป็นที่ระลึก เติมเต็มประสบการณ์แฟนนางงามให้ฟินกว่าใครอย่างแท้จริง

สำหรับแฟนนางงามที่อยากชมรีรันทุกช็อตก่อนมงลง สามารถชมการประกวดย้อนหลังได้ทั้งลูกค้าระบบรายเดือน ระบบเติมเงิน และลูกค้า AIS 3BB FIBRE3 เพียงสมัครแพ็กเกจ PLAY PASS ราคา 49 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สมัครแพ็กเกจได้ง่าย ๆ แค่กด *678*74# โทรออก หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ AIS เพื่ออินทุกอารมณ์ ทุกโมเมนต์บนเวที Miss Universe 2025 แบบจัดเต็ม เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบน AIS PLAY เท่านั้น

เมืองไทยประกันชีวิต จัดกิจกรรม “Muang Thai Smile LivWell Day สุขทุกวัย ใส่ใจทุกวัน” ส่งมอบความสุขและสุขภาพดีให้สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  โดยเมืองไทยสไมล์คลับ เดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ล่าสุดได้ร่วมมือกับ นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล (Naya Residence by LivWell)  จัดกิจกรรม  “Muang Thai Smile LivWell Day สุขทุกวัย ใส่ใจทุกวัน” เพื่อให้สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับและครอบครัว ได้ยกระดับความรู้การดูแลสุขภาพแบบครบมิติจากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมโปรโมชันพิเศษรับสิทธิ์เข้าพักห้องพักที่ นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล ราคาพิเศษทั้งแบบรายเดือน และรายสัปดาห์  โดยมี นางสาวนิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)ร่วมให้การต้อนรับ กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล (Naya Residence by LivWell) 

สำหรับ “Muang Thai Smile LivWell Day สุขทุกวัย ใส่ใจทุกวัน” เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมได้เพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพด้วยตัวเองแบบครบมิติ เพื่อให้ชีวิตยืนยาว แข็งแรง และมีความสุขในทุกวัน เริ่มต้นด้วยการประเมินสัดส่วนร่างกาย Body Composition และทดสอบสมรรถนะของร่างกาย ต่อด้วยกิจกรรมบรรยาย “Lifestyle Medicine” หรือ “เวชศาสตร์วิถีชีวิต” ศาสตร์ทางการแพทย์ที่เน้นการดูแลสุขภาพด้วยวิธีธรรมชาติ โดยไม่พึ่งยาเป็นหลัก โดย พญ.นาฏ ฟองสมุทร กรรมการบริหาร บริษัท ลิฟเวล ลิฟวิ่ง จำกัด  กิจกรรม Workshop ทำอาหารสุขภาพ Healthspan & Enjoymentspan  กินอร่อย จอยขนาด ไม่พลาด 100 ปี ว่าด้วยเคล็ดลับอายุยืนแบบสุขภาพดี โดยนักกำหนดอาหารจากเพจ 2P’s in their pot คุณกฤษฎี โพธิทัต และคุณอัจจิมา ศรีปรัชญาอนันต์

นอกจากนี้ ผู้ร่วมกิจกรรมยังได้เพลิดเพลินกับการรับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้าน Taracotta River Terrace ร้านอาหารบรรยากาศคลาสสิก อบอุ่น ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อาหารไทยต้นตำรับที่ใส่ใจในทุกเมนู และผ่อนคลายไปกับการเยี่ยมชมสถานที่ นายาเรสซิเดนซ์ และปิดท้ายด้วย กิจกรรม Mindful Drawing วาดอย่างมีสติ ใจสงบผ่านเส้นสาย ผสาน “ศิลปะ” เข้ากับ “สมาธิ” ช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย ลดความเครียดและความวิตกกังวลฝึกสมาธิ โดย พญ.สุขจันทร์ พงษ์ประไพ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู

สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ยังสามารถติดตามกิจกรรมรวมถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่เมืองไทยสไมล์คลับคัดสรรมาพิเศษแบบครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ และตอบโจทย์ความหลากหลายทุกความต้องการเพิ่มเติม ได้ที่ MTL Click Application สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือเว็บไซต์ www.muangthai.co.th ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1766 กด 4 เมืองไทยประกันชีวิต หรือศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ

ตัดวงจรการลักลอบนำเข้าสัตว์ต่างถิ่น…ต้องทวนสอบข้อมูลให้ชัดและโปร่งใส

0

สังคมไทยและนักวิชาการทางสิ่งแวดล้อมจำนวนไม่น้อย ยังติดตามปัญหาการส่งออกปลาหมอคางดำ (Sarotherodon melanotheron) จากประเทศไทยสู่ต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพราะปลาในกลุ่มนี้ถือเป็นชนิดพันธุ์รุกราน (Invasive Species) ที่สามารถส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศในพื้นที่ต่างๆ ข้อมูลการส่งออกสัตว์น้ำของกรมประมงระหว่างปี 2556-2559 มีบริษัทไทยทั้งหมด 11 แห่ง ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกปลาหมอคางดำ แต่การตรวจสอบและติดตามผลของบริษัทเหล่านี้ยังไม่ครบถ้วนและไม่ชัดเจน โดยเฉพาะ 6 บริษัทที่เหลือยังไม่ได้ให้ข้อมูลหรือเอกสารที่สนับสนุนการส่งออก

คำถามสำคัญ คือ ทำไมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ตรวจสอบบริษัททั้งหมด ทั้งที่มีความเสี่ยงทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและกฎหมาย การละเว้นนี้ไม่เพียงสร้างความไม่ยุติธรรมต่อ 5 บริษัทที่เข้ามาให้ข้อมูลแล้ว แต่ยังเปิดช่องว่างให้เกิดการลักลอบการค้าสัตว์น้ำผิดกฎหมายต่อเนื่อง ส่งผลต่อระบบการตรวจสอบของประเทศ

หลักการในตลาดค้าปลาทั่วโลก คือ การใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ (scientific name) เป็นตัวระบุชนิดพันธุ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายและมาตรฐานทางวิชาการ เนื่องจากชื่อสามัญ (common name) อาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศหรือท้องถิ่น และหลายชนิดพันธุ์มีลักษณะคล้ายคลึงกัน

กรณีของ 11 บริษัทส่งออก ที่อ้างว่าเกิดจาก “การกรอกเอกสารผิดพลาด” เหมือนกันทั้งหมด เกิดคำถามว่า “เป็นไปได้อย่างไร?” เพราะการส่งออกสัตว์น้ำต้องผ่านหลายขั้นตอนตรวจสอบ เช่น การตรวจรับจากฟาร์ม การออกใบรับรองสุขภาพสัตว์น้ำ การตรวจเอกสารส่งออก และการควบคุมโดยเจ้าหน้าที่ หากเกิดข้อผิดพลาดซ้ำกันในบริษัทดังกล่าวทั้งหมดเป็นเวลา 4 ปีต่อเนื่อง แสดงว่าไม่ได้เป็นเพียง “ข้อผิดพลาดเล็กน้อย” แต่เป็นปัญหาการตรวจสอบทั้งระบบ และการจัดการที่ถูกต้อง

รายงานการส่งออกสัตว์น้ำของกรมประมงระหว่างปี 2556-2559 พบว่า ทั้ง 11 บริษัท ไม่ปรากฏประวัติการนำเข้าปลาหมอคางดำ แต่กลับมีประวัติการส่งออกไปถึง 17 ประเทศ คำถามคือ หากไม่มีการนำเข้าที่ถูกต้อง ปลาที่ส่งออกนำมาจากไหน และทำไมสามารถผ่าน การตรวจสอบและรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้

มีเพียงคำชี้แจงว่าเป็น “ข้อผิดพลาดในการกรอกข้อมูล” ซึ่งขัดกับหลักการตรวจสอบหลายชั้น รวมถึงการรับรองจากหน่วยงานที่กำกับดูแล จึงควรมีการสอบทานเพิ่มเติม เพราะระบบการส่งออกกำหนดไว้เงื่อนไขไว้อย่างรัดกุม การที่ปลายทางได้รับสินค้าโดยไม่เกิดข้อสงสัย แสดงว่าข้อผิดพลาดนี้เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับระบบตรวจสอบทั้งหมด

หนึ่งในข้อสงสัยอีกประการ คือ บริษัททั้ง 11 แห่ง กรอกเอกสารผิดแบบเดียวกันเป็นเวลา 4 ปีต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีหน่วยงานใดตรวจพบหรือเรียกแก้ไข การผิดพลาดซ้ำหลายครั้งในลักษณะเดียวกันโดยไม่มีการสังเกตเห็น สะท้อนความหละหลวมของระบบการกำกับดูแล และสร้างข้อสงสัยว่าเกิดจากความประมาทหรือการละเลยอย่างเป็นระบบ

ทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังสามารถประสานข้อมูลกับกรมศุลกากร เพื่อตรวจสอบประวัติการส่งออกของแต่ละบริษัท ซึ่งจะช่วยยืนยันว่าเอกสารและสินค้าที่ส่งออกตรงกับรายงานจริง และติดตามที่มาของปลา ยังเป็นคำถามว่าได้ดำเนินการหรือไม่?
อีกคำถามสำคัญ คือ ทำไมหน่วยงานของรัฐจึงไม่ใช้วิธีการประสานข้ามหน่วยงานเพื่อตรวจสอบบริษัท 11 แห่ง โดยเฉพาะ 6 บริษัทที่ยังไม่ให้ข้อมูล การไม่ใช้มาตรการเชิงรุกเช่นนี้ไม่เพียงสร้างความไม่ยุติธรรมต่อ 5 บริษัทที่ให้ข้อมูลแล้ว แต่ยังเปิดโอกาสให้เกิดมีการค้าสัตว์น้ำผิดกฎหมาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

การตรวจสอบเอกสารและประวัติการส่งออกของบริษัททั้งหมด มีความจำเป็นต่อการพิสูจน์ทางพันธุกรรม (DNA) ของปลาที่แพร่ระบาดในปัจจุบัน การระบุสายพันธุ์และแหล่งที่มาผ่าน DNA เป็นหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์สำคัญในการยืนยันว่าปลาที่แพร่ระบาดเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ส่งออกหรือไม่

การไม่ตรวจสอบบริษัททั้งหมด อาจทำให้ข้อมูลพันธุกรรมคลาดเคลื่อน และไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าปัญหาการแพร่พันธุ์เกิดจากแหล่งใด จึงจำเป็นมากที่ต้องมีการตรวจสอบให้ครบทุกบริษัท

การละเว้นการตรวจสอบไม่เพียงสร้างความไม่ยุติธรรมต่อบริษัทที่ให้ข้อมูลแล้ว แต่ยังเป็นช่องว่างให้เกิดการค้าสัตว์น้ำผิดกฎหมาย อีกทั้งการนำเข้าและส่งออกปลาที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพรุนแรงปลาที่ไม่ได้รับการควบคุมสามารถแพร่เข้าสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ก่อให้เกิดการเบียดเบียนพันธุ์ปลาท้องถิ่นและทำลายระบบนิเวศ

นอกจากนี้ การปล่อยให้ช่องว่างเกิดขึ้น ยังทำลายความน่าเชื่อถือต่อมาตรฐานการค้าและการตรวจสอบสัตว์น้ำของประเทศไทยในอนาคต

กรณีการส่งออกปลาหมอคางดำของบริษัท 11 แห่ง สะท้อนถึงปัญหาระบบการตรวจสอบและกำกับดูแลอย่างเป็นระบบ ความไม่ชัดเจนและการละเว้นการตรวจสอบ ฝากคำถามที่ยังรอคำตอบ เพื่อช่วยกันหยุดวงจรการลักลอบนำเข้าปลา:

  1. ทำไมบริษัท 11 แห่ง จึงสามารถระบุชื่อวิทยาศาสตร์ผิดซ้ำกันต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ปี โดยไม่ถูกตรวจสอบหรือแก้ไข?
  2. ทำไมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงไม่ประสานข้อมูลกับศุลกากรเพื่อตรวจสอบประวัติการส่งออก?
  3. ทำไมเอกสารและการตรวจสอบของอีก 6 บริษัท ที่ยังไม่ให้ข้อมูลจึงไม่ถูกเรียกให้ชี้แจง?
  4. การไม่ตรวจสอบครบทุกบริษัท ส่งผลต่อการพิสูจน์ DNA ของปลาที่แพร่ระบาดหรือไม่?
  5. การละเว้นการตรวจสอบเสี่ยงให้มีการค้าสัตว์น้ำผิดกฎหมายและกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างไร?

กรณีปลาหมอคางดำเป็นตัวอย่างชัดเจนของปัญหาการกำกับดูแลเชิงระบบ การละเว้นการตรวจสอบและการไม่เรียกให้บริษัททั้ง 11 แห่ง ไปชี้แจงข้อมูลให้ครบถ้วนก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความน่าเชื่อถือของประเทศ การตรวจสอบเชิงรุกอย่างเข้มงวดและการพิสูจน์ DNA ไม่ใช่เพียงมาตรการวิชาการ แต่เป็นความจำเป็นเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของระบบการค้าไทยและปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และยังเป็นป้องกันการค้าสัตว์น้ำผิดกฎหมายและการแพร่พันธุ์ของสายพันธุ์รุกราน ซึ่งเป็นความรับผิดชอบต่อสาธารณะและอนาคตของระบบนิเวศไทย.