Home Blog Page 397

ทำบุญ 100 วัน อุทิศส่วนกุศลให้จ่าแซม และได้ทำบุญที่วัดพระธาตุดอยเวา อ.แม่สาย จ.เชียงราย

***13 หมูป่าเดินทางไปถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนเพื่อทำบุญ 100 วัน อุทิศส่วนกุศลให้พี่จ่าแซม และได้ทำบุญที่วัดพระธาตุดอยเวา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ก่อนที่ช่วงบ่ายวันนี้ (19ต.ค.) คณะจะเดินทางไปร่วมงานทำบุญ 100 วันที่บ้านเกิดจ่าแซม​ จ.ร้อยเอ็ด ด้วย***

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานวัฒธรรมจังหวัดเชียงราย สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เชียงราย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและครอบครัวของเด็ก ทีมหมูป่าอะคาเดมีจำนวน 13 คน ที่เคยประสบเหตุติดถ้ำหลวง วนอุทยานถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย ระหว่างวันที่ 23 มิ.ย.- 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้จัดให้มีพิธีทำบุญครบเวลา 100 วัน การเสียชีวิตของนาวาตรีสมาน กุนัน หรือจ่าแซม ในการปฏิบัติการช่วยเหลือทีมหมูป่าเมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่วัดพระธาตุดอยเวา ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย



พิธีเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้าโดย พระครูประยุตเจติยานุการ รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยเวา ได้นำนายเอกพล และเด็กๆ ทุกคน

เดินทางไปยังถ้ำหลวง โดยทางเจ้าหน้าที่วนอุทยานได้ทำการเปิดประตูรั้วกั้นปากถ้ำชั่วคราว เพื่อให้ทุกคนได้ถือดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปยืนไหว้บริเวณปากถ้ำที่เป็นห้องโถงแรก ซึ่งปัจจุบันระดับน้ำได้เริ่มลดลง เพื่อรำลึกถึงคุณความดีของจ่าแซม และเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่ได้ร่วมกันอุทิศแรงกายแรงใจเพื่อปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งพบว่าบรรยากาศหน้าถ้ำมีความร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้และโขดหินทำให้ทุกคนที่ไปร่วมพิธีต่างรำลึกถึงความเสียสละดังกล่าว

 

 

จากนั้นมีการประกอบพิธีสงฆ์ ณ พิพิธภัณฑ์หมูป่า 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง ตั้งอยู่ที่วัดพระธาตุดอยเวาซึ่งพึ่งเปิดให้บริการ ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เข้าชมภาพปฏิบัติการที่ถ้ำหลวงพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ของเด็กๆ โดยมีการถวายพระไตรจีวรและผังบังสกุลแด่พระสงฆ์ เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปถึงจ่าแซม ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์และพระสงฆ์ให้พรเป็นอันเสร็จพิธี

#บิ๊กเกรียน

อย่าลืม!! กดติดดาว⭐เพจบิ๊กเกรียนไว้และ www.bigkren.com ด้วยนะ

จะได้ไม่พลาดข่าวสารสำคัญจากบิ๊กเกรียน

ติดต่อลงประชาสัมพันธ์ได้ที่ โทร.080-959 9235 หรือ Line ID: bigkren และ LINE@ : @bigkren

 

“แม่น้องไทเกอร์สารภาพ” เป็นคนฆ่าลูกตัวเอง สาเหตุเพราะหงุดหงิดกับอาการติดเหล้า

***ประเด็นที่น่าสนใจคดีนี้​ จากคำพูดของสามีนางรุ่งทิพย์​ ก่อนหน้า​ ลูกคนแรกก็ตายตอนวัย 3เดือน​ พอลูกคนที่สองมาตายเพราะถูกฆ่า​ นึกย้อนไปว่านางรุ่งทิพย์​ ฆ่าลูกตายด้วยหรือเปล่า​***

 

 

 

หลังจากตำรวจ​ สภ.ภาชี​ ควบคุมตัวสอบสวนตลอดทั้งคืน​ จนกระทั่งสายวันนี้(19ต.ค.)​นางรุ่งทิพย์ ยอมรับสารภาพแล้วว่า เป็นคนลงมือฆ่าน้องไทเกอร์ สาเหตุเพราะหงุดหงิด กับอาการติดเหล้า​

 

 

เนื่องจากดื่มเหล้ามานานกว่า 6 ปี ถ้าไม่ได้ดื่มจะอาการสั่นและสมองเบลอ​ จิตหลอน (ส่วนรายละเอียดรอการแถลงข่าว)​

 

 

นายบุญมี ศรีคง อายุ 43 ปี พ่อน้องไทเกอร์ ช็อกพูดไม่ออก พูดเพียงว่า เสียลูกไป 2 คนเเล้ว ไม่เอาเมียคนนี้เเล้ว ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายได้เลย

 

 

เจ้าหน้าที่เตรียมส่งนางรุ่งทิพย์ ผู้ต้องหาฆ่าลูกไปตรวจสภาพจิต ที่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา พร้อมรอผลการผ่าชันสูตรพลิกศพน้องไทเกอร์มาประกอบสำน​วน​ก่อนแจ้งข้อหาฆ่าอำพรางลูกในไส้ตัวเอง​ และนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ

 

 

 

ล่าสุด​ พ.ต.อ.สง่า ธีรศรัณยานนท์ รองผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยถึงผลการชันสูตรของน้องไทเกอร์มาจากจมน้ำและขาดอากาศหายใจ ต้องสอบสวนอีกครั้งและยังบอกสาเหตุการเสียชีวิตไม่ได้ ในช่วงบ่ายวันนี้เตรียมคุมตัวแม่ไปชี้จุดตั้งแต่ริมทางรถไฟ ถึงจุดที่พบศพ พร้อมเตรียมแจ้งข้อหาทำการประมาทเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต

พ่อสุดทนลูกติดยา แจ้งตำรวจจับ เสียใจที่ต้องกราบตีนลูก

นายเจริญศักดิ์​ (สงวนนามสกุล) ​อายุ 57 ปี ​คนในภาพคลิป​ที่ก้มกราบตีนนายนิว  ลูกชาย​ติดยาเสพติด​ กลางถนน​  เพราะทนพฤติกรรมไม่ไหว​ทั้งอาละวาด ทำลายข้าวของ​ และชกต่อย​ พ่อตัวเอง​ เปิดใจกับเพจบิ๊กเกรียน​ หลังเดินทางเข้าแจ้งความ​ขอให้ตำรวจ สน.สุทธิสาร จับตัวไปดำเนินคดีหรือช่วยหาวิธีบำบัดให้ลูกเลิกยาเสพติด

“ผมเครียดกับลูกคนนี้มาก​ เลี้ยงดูมาหวังให้เป็นคนดี​ หวังพึงพาอาศัย​ ยามแก่​เฒ่า​ พูดคุยสารพัด  ขอร้องทุกอย่าง​ แต่ยังเลิกไม่ได้​ และเสพหนักขึ้นทุกวัน​  ผมเลี้ยงหมา​เอาอาหารไปให้หมา​ ผมยังมีความสุข​ ผมมีรอยยิ้ม​ แต่กับลูกคนนี้​ ผมต้องเสียน้ำตา​ ผมยอมขนาดกราบตีนเขาแล้ว​  อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยด้วยครับ”

#บิ๊กเกรียน

อย่าลืม!! กดติดดาว⭐เพจบิ๊กเกรียนไว้และ www.bigkren.com ด้วยนะ

จะได้ไม่พลาดข่าวสารสำคัญจากบิ๊กเกรียน

ติดต่อลงประชาสัมพันธ์ได้ที่ โทร.080-959 9235 หรือ Line ID: bigkren และ LINE@ : @bigkren

รวบทันควัน ฝรั่งมือบอน​ เมาแล้วทะลึ่ง​ ใช้สีพ่นกำแพงเมืองเชียงใหม่ ตร.ดำเนินคดีหนัก จำคุก 10 ปี ปรับเป็นล้าน

ความคืบหน้าวันนี้ (18ต.ค.) เมื่อช่วงเย็น พ.ต.อ.ธีรศักดิ์ ศรีประเสริฐ ผกก.สภ.เมือง เชียงใหม่ พ.ต.ต.อานนท์ เชิดชูตระกูลทอง สว.สส.สภ.เมือง เชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ จับกุมตัว

อายุ 23 ปี นักท่องเที่ยวสัญชาติอังกฤษ และ MRS.BRITTNEY LORRETTA KATHERINE SCHNEIDER อายุ 23 ปี สัญชาติแคนนาดา นักท่องเที่ยวที่ก่อเหตุใช้สีสเปรย์ฉีดพ่นกำแพงเมือง

จับกุมตัวนักท่องเที่ยวมือบอนคู่นี้ได้ที่เกสต์เฮ้าส์แห่งหนึ่งย่านถนนกำแพงดิน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นำตัวผู้ต้องหามาทำการสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมาย

เบื้องต้นได้รับสารภาพว่า เหตุเกิดช่วงเช้าที่ผ่านมาประมาณ 04.00 น. ได้ไปท่องเที่ยว และดื่มกินตามร้านอาหารจนเกิดอาการมึนเมา โดยระหว่างเดินกลับที่พัก เจอกระป๋องสเปรย์วางอยู่จึงเกิดความคึกคะนอง และได้นำไปพ่นที่กำแพง เป็นคำว่า SCOUSER LEE ซึ่งเป็นศัพท์แสลงภาษาอังกฤษ หมายถึงคนพื้นถิ่นที่มาจากเมืองลิเวอร์พูล

พ.ต.อ.ธีรศักดิ์ ศรีประเสริฐ ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ได้แจ้งข้อหาและดำเนินคดี​มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท เพราะถือเป็นโบราณสถานที่เข้าข่ายในการทำลายและทำให้เสื่อมค่า ซึ่งถือเป็นโทษที่หนักกว่าการกระทำโดยทั่วไป

ขอบคุณภาพ/ ข่าว : กูรูเชียงใหม่​ เรื่องเชียงใหม่กูรู้

#บิ๊กเกรียน
อย่าลืม!! กดติดดาว⭐เพจบิ๊กเกรียนไว้และ www.bigkren.com ด้วยนะ
จะได้ไม่พลาดข่าวสารสำคัญจากบิ๊กเกรียน
ติดต่อลงประชาสัมพันธ์ได้ที่ โทร.080-959 9235 หรือ Line ID: bigkren และ LINE@ : @bigkren

อย่ายุ่งกับระเบิด ​อันตรายร้ายแรง ไม่ตายก็พิการ

***หน่วยงาน EOD หรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดเก็บ กู้ วัตถุ ระเบิด จาก ภูธรจังหวัดอุดรธานี ทดลอง จุดประทัดลูกบอล กับ แตงโม ไก่ เนื้อหมู ฟักทอง เพื่อให้เห็นถึงอานุภาพ ความรุนแรง ของประทัดลูกบอล เมื่อเกิดระเบิดขึ้น***

หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด​กองกำกับการสืบสวนภูธรจังหวัดอุดรธานี​ ได้สาธิตถึงภัยอันตราย​ที่เกิดจากการประทัด​ มีอนุภาพทำลายล้างรุนแรงสูง​  เพราะฉะนั้น​ เด็กๆควรดูเอาไว้​  อย่าคึกคะนอง​ ไปลองกับมัน​ อันตรายถึงพิการหรือเสียชีวิต

***ขอบคุณคลิปภาพจากข่าวอุดร​ ข่าวโฮมเคเบิ้ลที่ส่งมาให้เพจบิ๊กเกรียนเผยแพร่​ น่ากลัวจังเลย​ เรื่องแบบนี้ไม่รอช้า ต้องประชาสัมพันธ์ให้อย่างเต็มใจ​ ***

#บิ๊กเกรียน

อย่าลืม!! กดติดดาว⭐เพจบิ๊กเกรียนไว้และ www.bigkren.com ด้วยนะ

จะได้ไม่พลาดข่าวสารสำคัญจากบิ๊กเกรียน

ติดต่อลงประชาสัมพันธ์ได้ที่ โทร.080-959 9235 หรือ Line ID: bigkren และ LINE@ : @bigkren

“ขายของออนไลน์ไม่โชว์ราคามีความผิด” ผู้แจ้งจับรับส่วนแบ่งค่าปรับ 25% และละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาแบ่งค่าปรับ 20%

 

***มีหนาว!  แม่ค้าเฟซบุ๊กขายของไม่โชว์ราคา “พาณิชย์” แนะแจ้งจับรับส่วนแบ่งค่าปรับ 25%***

 

เฟซบุ๊กถือเป็นช่องทางค้าขายสินค้าออนไลน์หรือที่เรียกว่าโซเชียลคอมเมิร์ซ ทีได้รับความนิยมในเมืองไทย แต่ผู้บริโภคต้องประสบกับปัญหาร้านค้าบอกราคาไว้หน้าเพจ แม้ว่าจะมีกฎหมายกำหนดต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและบริการให้ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปกติหรือร้านค้าออนไลน์  กระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งว่า ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนเข้ามาเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าออนไลน์

 

 

โดยเฉพาะทางเฟซบุ๊ก ที่ผู้ขายมักจะใช้วิธีการแจ้งทาง Inbox หรือให้ Inbox เข้าไปสอบถามราคา โดยไม่ยอมแจ้งราคาจำหน่ายเอาไว้ ทำให้ผู้บริโภคไม่ทราบราคาที่แท้จริง และมักจะถูกเอาเปรียบในการซื้อสินค้าที่ราคาสูงเกินจริง หรือแม้กระทั่งการซื้อสินค้าชนิดเดียวกันจากร้านเดียวกันก็ได้ราคาที่ไม่เท่ากัน ซึ่งถือว่าผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 เพราะไม่มีการแสดงราคาจำหน่ายให้ชัดเจน

 

 

“การแจ้งผ่านทาง Inbox ถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งไม่ปิดป้ายแสดงราคา มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท”  ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ได้กำหนดให้การจำหน่ายสินค้าและบริการจะต้องปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน เป็นตัวเลขภาษาอารบิก แสดงขนาด ปริมาณ น้ำหนักให้ชัดเจน ราคาต้องเป็นภาษาไทย ราคาต้องตรงกับราคาที่ขายจริง แต่หากขายต่ำกว่าราคาปกติก็สามารถทำได้แต่ต้องระบุให้ชัดเจน และหากมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากราคาสินค้าและบริการ เช่น ค่าขนส่ง ค่าหีบห่อ เป็นต้น จะต้องแจ้งให้ชัดเจนด้วย

สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ประชาชนที่พบเห็นการจำหน่ายสินค้าโดยไม่ปิดป้ายแสดงราคา สามารถแจ้งเรื่องได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และเมื่อมีการจับกุมและทำการเปรียบเทียบปรับได้แล้ว ผู้ที่แจ้งจะได้รับสินบนนำจับ 25% ของเงินค่าปรับ เช่น หากปรับสูงสุด 10,000 บาท ก็จะได้รับส่วนแบ่ง 2,500 บาท

 

จึงอยากจะขอความร่วมมือให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตาและแจ้งเรื่องเข้ามาได้หากมีการพบเห็น  ส่วนกรณีการจำหน่ายสินค้าปลอมทางเฟซบุ๊ก กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้มีการตรวจสอบและร่วมมือกับเจ้าของสิทธิ์ในการ Report เข้าไปยังเฟซบุ๊ก เพื่อให้ทำการปิดบัญชีอย่างต่อเนื่อง และยังได้ร่วมมือกับเจ้าของสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการดำเนินการทางกฎหมาย ทั้งการสืบค้นหาสถานที่ที่ใช้เป็นที่เก็บสินค้าและเข้าไปจับกุม

 

 

ในส่วนของการจับกุมสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ผู้ที่แจ้งเบาะแสก็จะได้รับส่วนแบ่งค่าปรับเช่นเดียวกันกับการแจ้งเบาะแสการไม่ปิดป้ายแสดงราคา โดยแจ้งได้ที่สายด่วน 1368 แต่จะได้รับส่วนแบ่งมากกว่าเพราะค่าปรับในคดีปลอมเครื่องหมายการค้าสูงกว่า โดยหากคดีถึงที่สุดแล้ว และมีการสั่งปรับผู้ที่จำหน่ายสินค้าปลอม จะได้รับส่วนแบ่ง 20% ของเงินค่าปรับทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมาได้จ่ายไปแล้วเป็นหลักล้านบาท

 

#บิ๊กเกรียน อย่าลืม!! กดติดดาว⭐เพจบิ๊กเกรียนไว้และ www.bigkren.com ด้วยนะ จะได้ไม่พลาดข่าวสารสำคัญจากบิ๊กเกรียน ติดต่อลงประชาสัมพันธ์ได้ที่ โทร.080-959 9235 หรือ Line ID: bigkren และ LINE@ : @bigkren

ทนายเตือน!! โพสต์ด่าผ่านโซเชียลเจอโทษหนัก – จ่ายอ่วม

“ทนายนิด้า” ชี้โพสต์เฟซบุ๊กด่าคนอื่นจ่ายค่าเสียหายอ่วม!!   ชี้คดีหมิ่นเกิดง่ายสุด  เตือนโพสต์ด่า “นายกฯ” เรื่องส่วนตัว เข้าข่ายผิดกม.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (17 ต.ค.) เฟซบุ๊กเพจ ทนายนิด้า ของนางสาวศรันยา หวังสุขเจริญ  หรือทนายนิด้า ได้โพสต์ข้อความเตือนการโพสต์เฟซบุ๊กด่าบุคคลอื่น อาจต้องจ่ายเงินค่าด่า!!  โดยข้อความระบุว่า

#ด่าคนอื่นผ่านเฟซบุ๊ก อาจจะต้องเสียค่าด่าจำนวนถึง 300,000 บาท

เพิ่งบินไปยื่นฟ้องคดีที่ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีมาไม่นาน กรณีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา #สวนคุณปู่ทุเรียนออร์แกนิคให้ได้รับความเสียหาย คู่กรณีขอเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อขอให้ยุติคดี

นิด้าเตือนเสมอว่า ไม่พอใจอะไรอย่าด่า อย่าโพสต์สุ่มสี่สุ่มห้า ให้ไปดำเนินคดีตามกฎหมายเอา เกิดคนถูกด่าเขาไม่ยอม ไปฟ้องศาลเข้าให้ ศาลพิพากษาลงโทษขึ้นมาจะเสียประวัติเอา

ปล.มีคนถามตลอดว่าโดนหมิ่นประมาทเรียกเงินได้เท่าไหร่ ค่าหมิ่นประมาทไม่ใช่ราคาก๋วยเตี๋ยว ราคาไม่เท่ากันทุกชาม แล้วแต่คน แล้วแต่กรณี แล้วแต่ความเสียหายที่ได้รับ พิจารณากันเป็นรายบุคคลค่ะ

สำหรับโพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างมาก ภายใน 1 วัน มีการแชร์ไปกว่า 4.7 แชร์  คอมเม้นต์กว่า 3,700 ข้อความ  กดไลค์กว่า 2.4 หมื่นไลค์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทนายนิด้า ยังได้มาคอมเม้นต์เพิ่มเติมว่า เคสนี้จำเลยซื้อสินค้าแล้วมีตำหนิ แม่ค้าจะรับผิดชอบให้ แต่ไม่ทันใจ จะเอาตอนนี้เดี๋ยวนี้ จำเลยจึงไปโพสต์ด่า แม่ค้าเสียหายก็เลยฟ้อง

คดีนี้ลูกค้าสั่งทุเรียนออแกนิค คำว่าออแกนิคเท่ากับไม่ใช้สารเคมี แม่ค้าพยายามดูแลควบคุมที่สุดแล้ว แต่ส่งทุเรียนไปเป็นลูก แกะออกมาเจอรอยดำๆ ก็เปลี่ยนให้เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าแม่ค้าจงใจ ทั้งที่ตอนขายก็เพียงแต่โฆษณาว่าปลอดสารเคมี มิใช่ผิวเนียนสวยดุจทองไม่มีตำหนิใดๆ

การไกล่เกลี่ยเพื่อขอให้ยุติคดีนี้ ที่เรียกร้องได้ถึง 3 แสนบาท เพราะผู้เสียหายมีชื่อเสียง มีธุรกิจ จึงเป็นกรณีหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณา ที่ทำให้เสียชื่อเสียง เสียผลประโยชน์ด้วย

เตือนโพสต์ด่านายกฯ เรื่องส่วนตัว “ผิดกม.”

ทนายนิด้า ได้แสดงความเห็นต่อว่า “คดีหมิ่นประมาทเป็นคดีที่เกิดขึ้นง่ายมากที่สุด เตือนแล้วเตือนอีก ก็ยังจะด่ากัน ไม่จริงยิ่งผิด เรื่องจริงยิ่งผิดกว่า”

พร้อมทั้งแสดงความเห็นกรณีอื่นๆ เช่น การยืมเงินไม่ใช้ เลยไปด่า แล้วคนด่าผิด คนสมัยนี้ไม่พอใจอะไรก็ด่า “นายกตู่” ไม่ได้ยืมตังค์ใครยังโดนด่าเลย ด่าเรื่องการบริหารบ้านเมืองก็เรื่องนึง อาจจะถือว่าสุจริตและชอบธรรม  เป็นการตำหนิเรื่องงาน  แต่ด่าส่วนตัวนี่ถ้าเขาฟ้องจริงๆ “ผิดหมด” แต่เขาไม่เคยฟ้องไง

เช่นเดียวกับกรณี การตัดต่อรูปสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ด่าพ่อล่อแม่บุคคลอื่น หากโดนขึ้นมาจริงๆ น้ำตาร่วง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในส่วนอื่นๆ ใครรักใครชอบส่วนตัวขอไม่พูดถึง แต่เอาความชอบธรรมจากไหนมาด่าคนอื่นเสียหายในเรื่องส่วนตัว

นอกจากนี้ยังมีคนสนใจเข้ามาสอบถามจำนวนมาก และมีการถามถึงกรณีอื่นๆ เช่น กรณี ของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่มีคนด่าเสียหาย แบบนี้คนหมิ่นประมาทผ่านเฟซบุ๊ก หรือบนเวทีชุมนุม เข้าข่ายหรือไม่ หากเจ้าตัวเอาเรื่อง ซึ่ง ทนายนิด้า โพสต์ให้คำตอบว่า “ไม่เหลือค่ะ”

ขอบคุณข้อมูลและภาพจากเฟซบุ๊กเพจ ทนายนิด้า

 

#บิ๊กเกรียน
อย่าลืม!! กดติดดาวเพจบิ๊กเกรียนไว้และ www.bigkren.com ด้วยนะ
จะได้ไม่พลาดข่าวสารสำคัญจากบิ๊กเกรียน
ติดต่อลงประชาสัมพันธ์ได้ที่ โทร.080-959 9235 หรือ Line ID: bigkren และ LINE@ : @bigkren

ข่าวประชาสัมพันธ์ กรมการขนส่งทางบก ฉบับที่ 5 ประจำวันที่ 16 ตุลาคม 2561

กรมการขนส่งทางบก เตือน!!! รถโดยสารสาธารณะทุกประเภท กระทำผิดซ้ำซากลงโทษสูงสุด ถึงขั้นพักใช้เพิกถอนใบอนุญาตขับรถ ย้ำ!!!อย่าฉวยโอกาสเอาเปรียบประชาชน พบรถโดยสารสาธารณะไม่บริการไม่ปลอดภัย แจ้งสายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง

นายกมล บูรณพงษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งผู้ใช้เฟซบุ๊ค DOM teamwork ได้แสดงตัวเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อทดสอบพฤติกรรมการให้บริการของผู้ ขับรถแท็กซี่กรณีพบลูกค้าชาวต่างชาตินั้น กรมการขนส่งทางบก ร่วมกับตำรวจท่องเที่ยวลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและได้ติดตามตัว ผู้ขับรถแท็กซี่ทั้ง 3 ราย เพื่อมาชี้แจงข้อเท็จจริงในทันที โดยจากการสอบสวนผู้ขับรถทั้ง 3 ราย ให้การและยอมรับว่าได้กระทำผิดจริง ตามที่ปรากฏเป็นภาพในคลิป ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ มาตรา 5(2) ประกอบมาตรา 58 กรมการขนส่งทางบก จึงได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับรายละ 1,000 บาท และพักใช้ใบอนุญาต ผู้ขับรถทั้ง 3 ราย เป็นเวลา 1 เดือน พร้อมเข้ารับการอบรมในเรื่องกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและบันทึกประวัติการกระทำผิดเพื่อติดตามพฤติกรรมต่อไป ทั้งนี้เพื่อรักษามาตรฐานการให้บริการรถโดยสารสาธารณะที่มีคุณภาพปลอดภัย แก้ปัญหากรณีกระทำผิดซ้ำซาก กรมการขนส่งทางบกมีมาตรการลงโทษตามกฎหมายถึงขั้นพักใช้และ เพิกถอนใบอนุญาตขับรถผู้ขับรถโดยสารสาธารณะกระทำผิดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สร้างมาตรฐานคุณภาพการให้บริการรถโดยสารสาธารณะที่ดี ซึ่งในปีงบประมาณที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 – 30 กันยายน 2561 สั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับรถผู้กระทำความผิด 1 ราย ฐานกระทำการอันควรขายหน้า และพักใช้ใบอนุญาตขับรถจำนวน 59 ราย ฐานปฏิเสธไม่รับผู้โดยสารจำนวน 26 ราย, ไม่ใช้มาตรค่าโดยสาร จำนวน 13 ราย , เก็บค่าโดยสารเกินอัตรา 4 ราย, ส่งไม่ถึงจุดหมาย 2 ราย , แสดงกิริยาไม่สุภาพ 1 ราย , ขับรถประมาท 1 ราย, ใช้รถตู้ไม่ตรงตามประเภท 2 ราย และใช้รถจักรยานยนต์ไม่ตรงตามประเภทที่จดทะเบียน 10 ราย ทั้งนี้กรมการขนส่งทางบกได้ส่งตัวผู้กระทำผิดเข้ารับการอบรมเสริมสร้างทักษะและจิตสำนึกการให้บริการที่ดี จัดเก็บประวัติการกระทำความผิดและพฤติกรรมของผู้ขับรถไว้ที่ศูนย์ประวัติผู้ขับรถสาธารณะ เพื่อประกอบการพิจารณาต่อใบอนุญาตขับรถในครั้งต่อไป ทั้งนี้หากมีการร้องเรียนหรือตรวจสอบพบการกระทำความผิดซ้ำซากข้อหาเดิม กรมการขนส่งทางบกจะพิจารณาลงโทษปรับสูงสุดและเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้น ส่วนกรณีความผิดทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวร้ายแรง เช่น พฤติกรรมลามกอนาจาร กระทำชำเรา ปล้นจี้ ลักทรัพย์ มีเจตนาทำร้ายร่างกาย จะถูกส่งตัวดำเนินคดีและเพิกถอนใบอนุญาตทันที

นายกมล กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากกระบวนการตรวจสอบและติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษอย่างจริงจังแล้ว กรมการขนส่งทางบก ให้ความสำคัญกับการกำกับ ดูแล การให้บริการขนส่งสาธารณะทางถนนให้มีความปลอดภัยต่อประชาชนสูงสุด อีกทั้งส่งเสริมให้มีการพัฒนารูปแบบการให้บริการรถโดยสารสาธารณะที่สะดวกตอบโจทย์ประชาชน พัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับเรียกใช้บริการรถสาธารณะแก้ไขปัญหาการปฏิเสธผู้โดยสารดำเนินโครงการ TAXI OK และ TAXI VIP กำหนดให้รถแท็กซี่จดทะเบียนใหม่ทุกคันต้องติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยต่างๆ จัดระเบียบรถจักรยานยนต์สาธารณะ ทั้งการยื่นความประสงค์ขอเพิ่มจำนวนผู้ขับขี่ในวินเดิม หรือขอจัดตั้งวินใหม่ เพื่อสนับสนุนผู้ขับขี่การเข้าสู่ระบบขนส่งสาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมาย และให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนในทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง กำหนดให้ใช้รถโดยสารขนาดเล็กที่ได้มาตรฐานให้บริการทดแทนรถตู้โดยสาร 10 ปี ลดความเสี่ยงก่อให้เกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากสภาพรถเก่าเครื่องอุปกรณ์ชำรุดมีการใช้งานหนักอย่างต่อเนื่อง โดยอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการ สามารถปรึกษาขั้นตอนการจดทะเบียนรถ ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จรถตู้โดยสารประจำทาง กรมการขนส่งทางบกได้แบบครบวงจร ทั้งนี้หากประชาชนพบปัญหาจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ส่งข้อมูลหลักฐานการกระทำผิด ทางจดหมายหรือหนังสือร้องเรียนมายังกรมการขนส่งทางบก หรือเดินทางมาร้องเรียนด้วยตนเองที่ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน กรมการขนส่งทางบก ทางสายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง, แอพพลิเคชั่น DLT GPS, แอพพลิเคชั่น Taxi OK, Line ID “1584dlt”,เว็บไซต์ http://ins.dlt.go.th/cmpweb/,เฟซบุ๊ก“1584 ร้องเรียนรถโดยสารสาธารณะ”, E-Mail:dlt_1584complain@hotmail.com หรือที่ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐ (GCC1111) ทำเนียบรัฐบาล สำนักนายกรัฐมนตรี รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด

#บิ๊กเกรียน
อย่าลืม!! กดติดดาวเพจบิ๊กเกรียนไว้และ www.bigkren.com ด้วยนะ
จะได้ไม่พลาดข่าวสารสำคัญจากบิ๊กเกรียน
ติดต่อลงประชาสัมพันธ์ได้ที่ โทร.080-959 9235 หรือ Line ID: bigkren และ LINE@ : @bigkren

คนใจบาป ขโมยเงินผ้าป่า 460 บาท หลบหนีขึ้นรถจักรยานยนต์

***ภาพจากกล้องวงจรปิด บันทึกภาพชายก่อเหตุ สวมเสื้อสีฟ้า รูปร่างสูงใหญ่ ตัวท้วม เดินวนดูหลายรอบ พอสบโอกาส เดินเข้าไปฉกยอดผ้าป่า แล้ววิ่ง ไปที่รถจักรยานยนต์​ จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามขับหลบหนีไป***

เหตุเกิดเมื่อเย็นวานนี้ (17ต.ค.)​ เป็นร้านของนางทัศนีย์​ บุญเจริญ​ อายุ 63 ปี ​ถนนทิพย์ช้าง ใกล้กับศาลเจ้าแม่ทับทิม ลำปาง ต.สวนดอก อ.เมือง เทศบาลนครลำปาง​เล่าว่า​ วันเกิดเหตุ ร้านปิดแล้ว​ แต่แง้มประตูบานพับเอาไว้​ เดินไปห้องน้ำ หลังบ้านประมาณ 5 นาที พอเสร็จเดินกลับออกมา เห็นชายตามคลิปภาพคน​รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อดูยอดผ้าป่าที่วางอยู่ภายในร้าน ก็พบว่า เงินทำบุญหายไป ประมาณ 460 บาท จึงนำหลักฐานคลิปภาพวงจรปิดไปแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองลำปาง เพื่อให้ตามจับกุมตัวโจรร้ายนี้

#บิ๊กเกรียน
อย่าลืม!! กดติดดาว⭐เพจบิ๊กเกรียนไว้และ www.bigkren.com ด้วยนะ
จะได้ไม่พลาดข่าวสารสำคัญจากบิ๊กเกรียน
ติดต่อลงประชาสัมพันธ์ได้ที่ โทร.080-959 9235 หรือ Line ID: bigkren และ LINE@ : @bigkren

สั่งจำคุก ‘สุพจน์ ทรัพย์ล้อม’ 10 เดือนไม่รอลงอาญา!! ศาลฎีกาฯ

 

***สั่งจำคุก ‘สุพจน์ ทรัพย์ล้อม’ 10 เดือนไม่รอลงอาญา!! ศาลฎีกาฯ***

 

 

สั่งจำคุก “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดคมนาคม 10 เดือนไม่รอลงอาญา พร้อมห้ามดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) ถ.แจ้งวัฒนะ องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ นัดอ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้ร้องชี้มูลความผิด

 

 

นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ผู้คัดค้าน เป็นอดีตปลัดกระทรวงคมนาคมปี 2552-2554 ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ตามที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลไว้ คดีนี้สืบเนื่องจากนายสุพจน์ ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติเมื่อปี 2555 และข้อกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ จากเหตุการณ์คนร้ายบุกปล้นบ้านพักในซอยลาดพร้าว 64 เมื่อค่ำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 ซึ่งผู้ที่ร่วมทำผิดคดีอาญานั้นได้ให้การเกี่ยวกับทรัพย์สินว่าพบเงินสดในบ้านนายสุพจน์นับร้อยล้านบาท

 

 

 

ขณะที่นายสุพจน์ไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินบางส่วนได้ ป.ป.ช.จึงชี้มูลความผิดนายสุพจน์มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทั้งยังให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีแพ่งเพื่อให้ริบทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 ศาลฎีกา อม.ได้มีคำพิพากษาว่า จำเลยจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ไม่ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์ 5 ครั้งใน 2 รายการคือเงินสด 17,553,000 บาท และรถยนต์โฟล์คสวาเกน ราคา 3 ล้านบาท

 

 

ในขณะที่พ้นจากตำแหน่งประธานการรถไฟแห่งประเทศไทย กรรมการการบินไทย ประธานการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นเวลา 1 ปี จึงลงโทษห้ามดำรงตำแหน่งทางราชการเป็นเวลา 5 ปี นับจากวันที่ 18 มกราคม 2555 และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 เป็นความผิดหลายกรรม จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวม 5 กระทง คงจำคุก 10 เดือน ไม่รอลงอาญา อย่างไรก็ตาม ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ให้สิทธิจำเลยยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกา อม. ได้อีกครั้ง นายสุพจน์จึงใช้สิทธิยื่นประกันตัวเพื่อสู้คดีอุทธรณ์และได้รับการประกันตัวไป จนศาลฎีกา อม.นัดฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ในวันนี้

 

 

ทั้งนี้ ล่าสุด องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ 9 คนออกนั่งบัลลังค์ พิจารณาแล้วมีมติเสียงข้างมาก เห็นว่าตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ต้องยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและเอกสารประกอบนั้น เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์มิชอบ แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฎว่าผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินทั้ง 2 รายการทั้งที่เป็นผู้บริหารระดับสูง ควรต้องเป็นตัวอย่างที่ดี

 

 

แต่กระทำผิดเสียเองจึงนับว่าพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง แม้ผู้คัดค้านไม่เคยกระทำผิดมาก่อน และเคยประกอบคุณงามความดีปฏิบัติหน้าที่ราชการจนได้รับตำแหน่งระดับสูง ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอให้รอการลงโทษ อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนให้จำคุก 10 เดือน และห้ามดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี โดยให้ออกหมายขังผู้คัดค้านตามคำพิพากษาถึงที่สุดและให้คืนหลักประกัน 2 ล้านบาทกับผู้คัดค้าน