Home Blog Page 375

เซเว่นอีเลฟเว่น ขานรับ ศบค. ปรับเวลาเปิดปิดใน 18 จังหวัด คุมเข้มสูงสุดป้องกันโควิด

0

นายวิชัย จันทร์จริยากุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) หรือศบค. ได้ประกาศมาตรการควบคุมแบบบูรณาการ จำแนกตามพื้นที่สถานการณ์ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 18 จังหวัด ซึ่งประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม ภูเก็ต นครราชสีมา นนทบุรี สงขลา ตาก อุดรธานี สุพรรณบุรี สระแก้ว ระยอง และขอนแก่น ซีพี ออลล์ ซึ่งเป็นผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ พร้อมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐ โดยจะเปิดให้บริการระหว่างเวลา 04.00 – 23.00 น. ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2564 จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง เพื่อเคียงข้างทุกคนในสังคมให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน

วิชัย จันทร์จริยากุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

บริษัทได้กำชับไปยังร้านสาขาทุกแห่งในพื้นที่ทั้ง 18 จังหวัดโดยทันที ให้เตรียมพร้อมสำหรับการให้บริการโดยปฏิบัติตามมาตรการของ ศบค. อย่างเคร่งครัด  พร้อมกันนี้ให้คุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดที่ได้ดำเนินการมาโดยตลอด เพื่อสุขภาพอนามัยของพนักงาน และลูกค้าที่มาใช้บริการ  

“ร้านเซเว่นในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 18 จังหวัดจะเปิดให้บริการเวลา 04.00 – 23.00 น. โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 18 เมษายนนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังจะเข้มงวดกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ที่ได้ดำเนินการมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากากอนามัย การวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้ปฏิบัติงาน และผู้มาใช้บริการ การเว้นระยะห่าง การล้างมือก่อนหยิบจับอาหารหรือสินค้า การทำความความสะอาดพื้นที่ อุปกรณ์ในร้าน รวมทั้งจุดสัมผัสร่วมตามระยะเวลาที่กำหนด และการจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการตามขนาดของร้าน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของพนักงาน และลูกค้า เพราะร้านเซเว่นดำเนินธุรกิจควบคู่กับการดูแลสังคม ชุมชนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเพื่อบรรเทา และแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคซึ่งทุกคนต้องเผชิญอยู่ขณะนี้ ร้านเซเว่นจึงให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยอย่างมาก” นายวิชัย กล่าว

ก.ล.ต. ขอบริษัทจดทะเบียนจัดประชุมผู้ถือหุ้นแบบ e-meeting เลี่ยงติดโควิด

0

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า สำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกหนังสือเวียนขอความร่วมมือบริษัทจดทะเบียนทุกแห่งจัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี (AGM) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พร้อมทั้งขอให้บริษัทจดทะเบียน ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พิจารณาให้มีการทำงานที่บ้าน (Work from Home) โดยยังให้บริการแก่ลูกค้า เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อไวรัส COVID-19

โดย ก.ล.ต. ได้มีหนังสือเวียนถึงบริษัทจดทะเบียนทุกแห่ง เพื่อขอความร่วมมือในการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 โดยขอให้บริษัทจดทะเบียนที่ยังอยู่ระหว่างเตรียมจัดประชุม AGM พิจารณาปรับรูปแบบเป็นการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-meeting) ตามพระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อไวรัส COVID-19

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้ขอความร่วมมือบริษัทจดทะเบียน ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พิจารณาให้มีการทำงานที่บ้าน (Work from Home) โดยยังให้บริการแก่ลูกค้า และสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มีสำนักงานสาขาในการให้บริการลูกค้า สามารถใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาการเปิดและปิดทำการ รวมทั้งการปรับเวลาการเปิดและปิดการให้บริการได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ โดยแจ้งให้ลูกค้าทราบล่วงหน้าพร้อมจัดหาช่องทางให้ลูกค้าสามารถติดต่อและทำธุรกรรมได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรายงานต่อ ก.ล.ต. ด้วย ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของพนักงาน ลูกค้า และ ผู้ที่เกี่ยวข้อง และเป็นการร่วมมือกับภาครัฐในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19

กลต.เตือน “ตกขบวน (คริปโท)” ไม่น่ากลัวเท่า ตกหลุมพราง “รู้ไม่เท่าทัน”

0

โดย ฝ่ายส่งเสริมความรู้ตลาดทุนและศูนย์ประสานงานต่างจังหวัดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

กระแสคริปโทเคอร์เรนซี หรือ คริปโท ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง หลังจาก Bitcoin ได้ทำราคานิวไฮมาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา หรือเจ้าเหรียญชิบะ หรือ Dogecoin ที่ทำสถิติราคาพุ่งขึ้นหลายเท่าตัวสูงสุดถึง 800% ตอบรับทวีตคนดังอย่าง อิลอน มัสก์ ที่ติดแฮชแท็กคล้ายจะสนับสนุนคริปโทสกุลนี้ กระทั่ง ล่าสุดที่มีข่าวขอให้ระมัดระวังการลงทุนใน Stablecoin ที่มีการระบุหน่วยมูลค่าเป็นบาทที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย ซึ่งกระแสคริปโทได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ นับเป็นโอกาสดีที่ทำให้ประชาชนและผู้สนใจซื้อขายได้ศึกษาหาความรู้และทำความเข้าใจสินทรัพย์ใหม่ ๆ อย่างคริปโทและสินทรัพย์ดิจิทัลกันมากขึ้น

อย่างที่ทราบกันดีว่า ราคาของคริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูงจึงมีความเสี่ยงสูงมาก ดังนั้น ปรากฏการณ์ราคาเกินคาดเดาเช่นนี้ เชื่อว่าคงยังมีโอกาสเกิดขึ้นในลักษณะนี้ต่อไปไม่เฉพาะกับคริปโทสกุลที่กล่าวมาเท่านั้น และก็คงไม่ใช่เฉพาะกับขาขึ้นของราคาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีขาลงด้วยซึ่งเป็นธรรมชาติของการลงทุน

สิ่งที่ควรตระหนักเสมอก่อนซื้อขาย คือ คริปโทเคอร์เรนซี อาจไม่มีปัจจัยพื้นฐานที่ชัดเจนมารองรับ ความเคลื่อนไหวของราคาคริปโทขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อ (อุปสงค์) และความต้องการขาย (อุปทาน) ของคริปโทนั้น ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัย เช่น ความต้องการนำไปใช้งาน ความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยี การมีข่าวว่ามีการยอมรับ (adoption) โดยบริษัทขนาดใหญ่หรือผู้มีชื่อเสียง หรือการซื้อขายตามกราฟราคา (technical analysis) เป็นต้น ขณะที่ผลิตภัณฑ์การลงทุนอย่างหุ้นและหุ้นกู้มีกิจการที่มีอยู่จริงเป็นพื้นฐานรองรับและมีผลประกอบการที่สามารถประเมินมูลค่าบริษัทได้

นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดยอมรับให้คริปโทเคอร์เรนซีใด สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (legal tender) ราคาคริปโทที่เราเห็นในระบบซื้อขายตามศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (exchange) ต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น เป็นเพียง “การตกลงยอมรับและการเชื่อในคุณประโยชน์” ของกลุ่มคนที่ถือครองและกลุ่มคนที่อยากเปลี่ยนคริปโทกับทรัพย์สิน สินค้า บริการ หรือแม้แต่กับคริปโทอื่นที่ตกลงแลกเปลี่ยนกันเท่านั้น

สำนักงาน ก.ล.ต. ขอให้ซื้อขายคริปโทอย่างรู้เท่าทันและถูกวิธี โดยขอแนะนำข้อควรรู้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อซื้อขายไปแล้ว ดังนี้ ซื้อขายกับผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ซึ่งปัจจุบันมีศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (exchange) ที่ได้รับอนุญาต 7 ราย ผู้สนใจสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th อย่างไรก็ดี แม้จะซื้อขายกับผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. แต่ก็ไม่ได้เป็นการประกันว่าสินทรัพย์นั้นจะไม่มีความเสี่ยงใดเลย อาจมีความเสี่ยงด้านราคาผันผวน ผู้ที่ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีกับเว็บไซต์ต่างประเทศ ที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. จะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายไทยแต่อย่างใด คริปโทเคอร์เรนซีบางสกุลอาจมีการซื้อขายอยู่ในศูนย์ซื้อขายฯ (exchange) เพียงบางแห่ง หากเกิดเหตุการณ์กับ exchange นั้น อาจทำให้ผู้ซื้อขายไม่สามารถแลกเปลี่ยนหรือขายคืนได้ ฉะนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อขายควรศึกษาข้อมูลให้ดี

ขอฝากข้อคิดการซื้อขายในคริปโทเคอร์เรนซีสักครั้งว่ารถไฟยังมีหลายขบวน ฉะนั้น อย่ารีบซื้อขาย เพียงเพราะกลัวตกขบวน แต่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ รู้จักตัวเองว่า มีความสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างคริปโทเคอร์เรนซีนั้นเหมาะกับตัวเองหรือไม่ และเงินที่นำมาซื้อขายควรเป็นเงินเย็นพอที่จะรับความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งก้อนได้ ทุกท่านสามารถติดตามภาวะตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลรายสัปดาห์ได้ที่เฟซบุ๊กเพจ “สำนักงาน กลต.” ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. จะรายงานสรุปข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น มูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลในแต่ละ exchange ของไทยเทียบกับตลาดโลก เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ลงทุนได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง

รู้เก็บรู้ออม : จัดพอร์ตลงทุนตามวัย (2)

0

ครั้งที่แล้ว “คุณนายพารวย” พาไปรู้จักหลักการจัดพอร์ตเพื่อกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ที่นิยมมากที่สุดคือ “การจัดพอร์ตลงทุนตามวัย” ที่มีหลักสำคัญคือ “คนอายุน้อยสามารถรับความเสี่ยงได้สูงกว่า คนที่อายุมากกว่า” เพราะมีเวลาในการลงทุนนานกว่า จึงลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงได้ เพราะรับความเสี่ยงได้สูงกว่า

โดยได้มีแนวทางการจัดพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย ที่แบ่ง เป็น 4 ช่วงวัยสำคัญ ซึ่งคราวที่แล้วเราให้แนวทางจัดพอร์ตสำหรับ 2 ช่วงวัยไปแล้ว คือ 1.วัยเริ่มต้นทำงาน อายุ 21-30 ปี ที่สามารถลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงได้มากถึง 90% แต่ควรเลือกหุ้นพื้นฐานดี มีเงินปันผลและมีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต ส่วนอีก 10% เก็บเป็นเงินฝากหรือตราสารหนี้ที่มีความปลอดภัยของเงินต้นสูง ได้ดอกเบี้ยแน่นอน

และ 2.วัยสร้างครอบครัว อายุตั้งแต่ 31-40 ปี โดยควรลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงเหลือ 50% และเพิ่มเงินฝากและตราสารหนี้ให้มากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง

คราวนี้เรามาต่อที่…ช่วงวัยที่ 3.คือวัยปึกแผ่นมั่นคง สำหรับผู้ที่มีอายุ 41-55 ปี วัยนี้ถือเป็นช่วงที่ชีวิตมีหลักฐานมั่นคงที่สุด มีฐานเงินเดือนสูงขึ้น แม้จะยังมีภาระทางการเงินอยู่ แต่ก็ผ่อนคลายลงไปมาก ไม่เหมือนช่วงก่อนหน้านี้ โดยหากมีการเก็บออมและลงทุนอย่างมีวินัยมาตั้งแต่ต้น ช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่ครอบครัวและฐานะการเงินดี มีความสมดุลที่สุดในทุกๆด้าน แต่เนื่องจากวัยที่เริ่มมากขึ้น มีเวลาหารายได้เหลืออีกไม่กี่ปี

ดังนั้น การลงทุนของคนวัยนี้จึงเน้นให้นำเงิน 70% ไปไว้ในที่ปลอดภัยอย่างเงินฝาก และตราสารหนี้ ส่วนที่เหลืออีก 30% ให้แบ่งมาลงทุนในหุ้นระยะยาว เพื่อเพิ่มพูนเงินออมและเงินลงทุนให้มากขึ้น

ส่วนช่วง วัยที่ 4.วัยเกษียณ สำหรับผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่บางคนไม่มีรายได้จากการทำงานแล้ว ขณะที่บางคนก็เหลือเวลาหารายได้อีกไม่เกิน 5 ปี ในช่วงนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ได้ด้วย เงินสะสมของตนเอง แม้ค่าใช้จ่ายบางอย่างจะลดลงแต่ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มมากขึ้นตามวัยและสุขภาพ

ดังนั้นเงินออมกว่า 90% จึงควรอยู่ในรูปของเงินฝากและตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่คนวัยนี้บางคนสามารถลงทุนในหุ้นได้ โดยเฉพาะคนที่มีทรัพย์สินเงินทองเก็บออมไว้มากพอ ก็อาจจัดสรรเงินไม่เกิน 10% ไปลงทุนในหุ้น เพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้ ถึงแม้ จะผิดพลาดเกิดสูญเงินก้อนนี้ไป ก็คงไม่กระทบฐานะการเงินโดยรวมมากนัก!!

แนวทางการจัดพอร์ตลงทุนตามวัยของทั้ง 4 ช่วงวัยข้างต้นนี้ เป็นเพียงแนวทางตัวอย่าง แต่เราสามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตลงทุนให้เหมาะกับเงื่อนไขและข้อจำกัดอื่นๆของแต่ละคนได้ ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าเงินลงทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และผลตอบแทนที่คาดหวัง เพื่อให้ได้พอร์ตลงทุนที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุด

สำหรับผู้สนใจที่เริ่มต้นอยากเรียนรู้ สามารถเข้าไปทดลองสร้างพอร์ตลงทุนส่วนตัว ผ่านระบบพอร์ตลงทุนจำลอง (Virtual Portfolio) ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯได้จัดทำขึ้น โดย ไม่ต้องใช้เงินลงทุนจริง เพียงเข้าเว็บไซต์ http://www.settrade.com และสมัครสมาชิก SET Member เพียงเท่านี้ ก็สามารถเข้าไปสร้างพอร์ตลงทุนจำลอง เพื่อทดลองลงทุนได้ฟรี!!

เพื่อฝึกมือ ทดสอบความรู้และความเข้าใจในสนามจำลอง ก่อนลงมือใช้เงินจริงในสนามลงทุนจริงได้เลย!!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดยคุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ซีพีเอฟ เติมรอยยิ้มและกำลังใจให้ผู้เฒ่าผู้แก่ ในวันผู้สูงอายุและปีใหม่ไทย

0

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ  ปลูกฝังพนักงานสานต่อประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงาม  ตระหนักถึงความสำคัญและรู้จักตอบแทนคุณผู้สูงอายุในสังคม ร่วมเติมรอยยิ้ม เติมความสุข และกำลังใจ ในวันผู้สูงอายุและวันปีใหม่ไทย  13 เมษายนของทุกปี   เดินหน้าดูแลผู้สูงอายุในโครงการ “กองทุนซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย” ไม่มีลูกหลานดูแลและไม่มีรายได้  ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

แม้ว่าปีนี้จะอยู่ในช่วงของการระบาดของโควิด -19  ซีพีเอฟ ยังเดินหน้าเติมรอยยิ้ม เติมความสุข และส่งมอบกำลังใจสู่ผู้สูงอายุ ในโครงการ “กองทุนซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย” โดยนำเงินช่วยเหลือในการดำรงชีพเดือนละ 2,000 บาท มอบให้ผู้สูงอายุในโครงการที่อาศัยอยู่รอบฟาร์มและโรงงาน  ไม่มีลูกหลานดูแลและไม่มีรายได้  พร้อมทั้งเข้มงวดมาตรการเพื่อป้องกันโอกาสเสี่ยงที่อาจเกิดการระบาดของโควิด-19   อาทิ  การเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา  ทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ 

ในปี  2564  โครงการ “กองทุนซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย” มีจำนวนผู้สูงวัยรวม 385 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ซึ่งมีจำนวนผู้สูงวัย 345 ราย โดยตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อปี 2554 จนถึงปัจจุบัน ให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุไปแล้วประมาณ  900  ราย ซึ่งผู้สูงวัยที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกเข้าโครงการ จะได้รับเงินช่วยเหลือเพื่อดำรงชีวิตเดือนละ 2,000 บาททุกเดือน นอกจากนี้ จิตอาสาซีพีเอฟ มีการลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมเยียนผู้สูงอายุ และเชิญเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตรวจสุขภาพในเบื้องต้นให้แก่ผู้สูงวัยด้วย

นอกจากการให้ความช่วยเหลือผู้สูงวัยในโครงการฯดังกล่าวแล้ว  โรงงานและฟาร์มของซีพีเอฟ มีการนำสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ช่วยเหลือกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง คือ กลุ่มติดบ้านและติดเตียงที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้  เป็นผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่นอนติดเตียง หรือติดบ้าน สอดคล้องตามแนวนโยบายของรัฐบาลในการก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ  ยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้สูงวัย  อาทิ  จิตอาสาของโรงงานธารเกษม ซีพีเอฟ จังหวัดสระบุรี   นำสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่สด ฯลฯ  มอบให้แก่ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง  หมู่ 2 ตำบลโคกตูม  โดยมอบผ่าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน  (อสม.)  เพื่อนำไปแจกจ่ายและส่งต่อให้แก่ผู้สูงวัย  ช่วยป้องกันความเสี่ยงในช่วงการระบาดของโควิด-19  

ทางด้านโรงงานอาหารสัตว์บกราชบุรี ดูแลผู้สูงวัยในโครงการกองทุนซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย 9 ราย รวมทั้งจัดกิจกรรมโครงการ”ซีพีเอฟ ใจถึงใจ สู่ผู้สูงวัยในชุมชน”  ดูแลผู้สูงวัยที่อาศัยอยู่รอบโรงงานที่มีภาวะพึ่งพิง ในพื้นที่หมู่ที่ 8 ตำบลดอนกระเบื้อง จ.ราชบุรี โดยจะดูแครอบคลุมในเรื่องของที่อยู่อาศัย เช่น ห้องน้ำที่อำนวยความสะดวกในการใช้งานของผู้สูงวัย  โดยเปลี่ยนจากส้วมซึมเป็นชักโครก   ในส่วนของห้องนอนที่ถูกสุขลักษณะ และความปลอดภัยบริเวณรอบที่อยู่อาศัย   เป็นต้น

คปภ.ออกคำสั่งด่วน ให้ผู้เอาประกันรักษารพ.สนาม/Hospitel ถือเป็นผู้ป่วยใน เคลมประกันโควิดได้

0
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคปภ.

ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ที่ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว โดยมีการแพร่กระจายไปยังคลัสเตอร์ (Cluster) ใหม่ๆ ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และประชาชนยังคงให้ความสนใจในการทำประกันภัยโควิด-19 มาช่วยบริหารความเสี่ยงภัยที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 มียอดทำประกันภัยโควิด-19 รวมทั้งสิ้นเกือบ 11 ล้านฉบับ ซึ่งเป็นยอดกรมธรรม์ประกันภัยที่เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีที่แล้ว ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 กว่า 1 ล้านฉบับ และมียอดการจ่ายค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งสิ้น 171 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีที่แล้ว ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 เกือบ 100 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดในขณะนี้ ได้มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้โรงพยาบาลหลายแห่ง มีเตียงไม่เพียงพอในการรองรับผู้ติดเชื้อ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ดังกล่าว และเพื่อรองรับมาตรการของรัฐบาลที่มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามและโรงแรมเป็นโรงพยาบาลกักตัว (hospitel) ในหลายพื้นที่ ซึ่งอาจเกิดประเด็นการตีความว่าการที่ผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งทำประกันภัยไว้ และเข้ารับการรักษาในสถานที่เหล่านั้น จะสามารถเคลมประกันได้หรือไม่ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ สำนักงาน คปภ. จึงได้ประชุมหารืออย่างเร่งด่วนกับสมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย และได้ข้อสรุปเป็นที่ยุติว่าให้สามารถเคลมประกันได้ เพื่อให้ระบบประกันภัยสามารถเข้าไปให้ความช่วยเหลือประชาชนในวิกฤตนี้ ตนในฐานะนายทะเบียนจึงได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 16/2564 เรื่อง การรักษาพยาบาลตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือสัญญาเพิ่มเติม เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริษัทประกันชีวิต และคำสั่งนายทะเบียนที่ 17/2564 เรื่อง การรักษาพยาบาลตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือเอกสารแนบท้าย เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า หากต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลเนื่องจากการติดเชื้อโควิด-19 ในโรงพยาบาลสนามหรือ hospitel จะยังได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย เช่นเดียวกับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลทั่วไป

“ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุกคนต้องระมัดระวังและช่วยกันป้องกันการแพร่ระบาด และในกรณีที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดนี้ ระบบประกันภัยต้องสามารถเข้าไปช่วยเยียวยาได้อย่างเต็มที่ จึงหวังว่าการออกคำสั่งนายทะเบียนทั้งสองฉบับนี้จะช่วยลดข้อโต้แย้ง และเป็นการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยโควิด-19  โดยสำนักงาน คปภ. พร้อมที่จะดูแลด้านการประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัย สามารถสอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ Add Line Official @oicconnect” เลขาธิการ คปภ. กล่าว

สิงห์อาสา เดินหน้าส่งน้ำดื่มให้ 3 รพ. สนับสนุนทีมหมอ-พยาบาล สู้โควิด

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ลงพื้นที่ส่งมอบน้ำดื่มสิงห์ให้กับ 3 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลราชวิถี สถาบันบำราศนราดูร และโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 มาตั้งแต่แต่เกิดการระบาดครั้งแรกเมื่อต้นปี 2563 ทั้งนี้ เพื่อส่งมอบกำลังใจและเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของทีมแพทย์ พยาบาล รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ในการเตรียมพร้อมรองรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ระลอกใหม่ที่มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ในขณะเดียวกัน สิงห์อาสา และ บริษัท เชียงใหม่เบเวอเรช จำกัด ได้สนับสนุนน้ำดื่มและมอบเตียงผู้ป่วยเพิ่มเติมให้กับโรงพยาบาลสนามของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวที่มียอดผู้ติดเชื้อสูงอีกด้วย

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยระลอก 3 เมื่อช่วงต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นทุกวันและกระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นทุกวัน ทั้งยังมีประชาชนรอเข้ารับการตรวจอีกจำนวนมาก ดังนั้น สิงห์อาสา พร้อมด้วยเครือข่ายสิงห์อาสาทั่วประเทศจะติดตามสถานการณ์และข่าวสารอย่างใกล้ชิด พร้อมลงพื้นที่เข้าช่วยเหลือทั้งในโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ เพื่อส่งมอบกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์และบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนต่อไป

ทั้งนี้ นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19​ ครั้งแรกในประเทศไทย​ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์​ 2563​ ที่ผ่านมา บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้มีนโยบายช่วยเหลือมาโดยตลอด อาทิ มอบเงินสนับสนุนการทำงานของบุคลากรการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลหลัก 26 แห่งทั่วประเทศ ทั้งยังสนับสนุนอาหารน้ำดื่มให้กับบุคคลากรการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่รับมือกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ทั้งโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนามมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประกาศนโยบายเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ รวมเป็นมูลค่าการช่วยเหลือกว่า 200 ล้านบาท

ซีพีเอฟ มอบอาหารจากใจให้ทีมแพทย์และผู้ป่วยที่รพ.สนาม ร่วมต้านภัยโควิดรอบใหม่

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นำผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยกว่า 4,400 แพ็ค พร้อมน้ำดื่มกว่า 4,400 ขวด ภายใต้โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” มอบให้แก่ทีมแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนาม ของโรงพยาบาลเอราวัณ 1 ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา เพื่อลดเวลาการจัดเตรียมอาหาร และเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัคร ตลอดจนผู้ป่วยติดเชื้อ ได้บริโภคอาหารปลอดภัยอย่างเพียงพอ ในช่วงการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่นี้ โดยมี นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร นางเลิศลักษณ์ ลีลาเรืองแสง รองผู้อำนวยการ สำนักการแพทย์ และ นพ.ขจร อินทรบุหรั่น ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโร อุทิศ ร่วมกันรับมอบ จากนางพรรณินี นันทพานิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ ซีพีเอฟ ณ ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา บางบอน

สำหรับอาหารคุณภาพปลอดภัยที่ซีพีเอฟนำมามอบให้แก่ทีมแพทย์ พยาบาลและผู้ป่วยในโรงพยาบาลในครั้งนี้ ประกอบด้วย อาหารแช่แข็งหลายเมนู ได้แก่ เกี๊ยวกุ้งสับ ข้าวกล้องต้มทรงเครื่อง ข้าวต้มกุ้ง ข้าวผัดกระเพรากุ้ง ข้าวอบธัญพืชและไก่ ราเมนโฮลวีตผัดขี้เมาไก่ สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า และ สปาเก็ตตี้ไก่สับ

นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ซีพีเอฟเป็นภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยแก่กรุงเทพมหานครมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การระบาดโควิด-19 ระลอกแรก เพื่อเป็นกำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ และล่าสุดมาช่วยสนับสนุนอาหาร แก่แพทย์ พยาบาล อาสาสมัคร และผู้ป่วยโควิดที่มาพักที่โรงพยาบาลสนาม ศูนย์กีฬาเอราวัณ 1 ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลสนามของ กทม.ที่สามารถรองรับผู้ป่วย 200 เตียง และขอขอบคุณที่ซีพีเอฟให้การสนับสนุนกทม.

ทั้งนี้ โครงการ “CPF ส่งมอบอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” ดำเนินโดยซีพีเอฟตามนโยบายเครือเจริญโภคภัณฑ์เพื่อส่งมอบอาหารคุณภาพปลอดภัยอย่างเพียงพอ สอดคล้องตามหลักปรัชญา 3 ประโยชน์ โดยร่วมส่งมอบอาหารปลอดภัยให้ทีมแพทย์และพยาบาลมาตั้งแต่การแพร่ระบาดโควิด-19 รอบแรก ที่ผ่านมา ซีพีเอฟได้ยึดหลักปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ด้วยความเคร่งครัดมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเข้มงวดกับมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยของการผลิตอาหารในทุกขั้นตอน มั่นใจได้ว่าสามารถส่งมอบอาหารปลอดภัยสู่ผู้บริโภค ประชาชนได้อย่างเพียงพอ ไม่ขาดแคลน

โออาร์ จับมือ อีวีโลโม สร้างเครือข่าย EV Station ในอีอีซี

0

นายบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และ นางสาวนิโคล หวู่ กรรมการบริษัท อีวีโลโม เทคโนโลยีส์ จำกัด หรือ EVLOMO ร่วมเยี่ยมชมการดำเนินงาน EV Station ณ PTT Station สาขาระยอง – บ้านฉาง กม.192 (ขาเข้า)

โดย EV Station แห่งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง OR และ EVLOMO ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้าน EV Charging Solution ครบวงจร เพื่อร่วมสร้างเครือข่าย EV Station รองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าทั้งภาคขนส่งและภาคประชาชน สนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ในโครงการพัฒนา EV City บ้านฉาง เพื่อให้ อีอีซี ก้าวสู่พื้นที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ของภาคอุตสาหกรรมแห่งแรกในภูมิภาค ส่งเสริมการลดมลพิษในเขตอุตสาหกรรมและท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ โดยได้ทดลองติดตั้งเครื่องชาร์จความเร็วสูง (Quick Charge) ขนาด 75 กิโลวัตต์ (kW) ที่ PTT Station 2 แห่ง ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมการให้บริการ ได้แก่ PTT Station สาขาระยอง – บ้านฉาง กม.192 (ขาเข้า) และ PTT Station สาขาแยกหาดจอมเทียนซึ่งเป็นการติดตั้งเพิ่มอีก 1 ตัวจากที่มีอยู่แล้ว

ทั้งนี้ ปัจจุบัน OR เปิดให้บริการ EV Station ใน PTT Station รวมทั้งสิ้น 30 แห่งทั่วประเทศ และได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “EV Station” เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ในด้านต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ อาทิ การค้นหาและนำทางสถานีชาร์จไฟฟ้า การจองช่วงเวลาชาร์จ และการสั่งเปิดปิดการชาร์จ เป็นต้น อีกทั้งยังมุ่งมั่นขยายเครือข่าย EV Station ให้ครอบคลุมเส้นทางหลักทั่วประเทศ เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และพร้อมแสวงหาและร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างระบบนิเวศการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้สมบูรณ์ และตอบโจทย์ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทให้ได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางมากที่สุด

แม็คโคร คุมมเข้มแผนป้องกันสูงสุดทุกสาขา สู้โควิดรอบใหม่

0

นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทขานรับแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข “DMHTT” D : Distancing คือ เว้นระยะห่างระหว่างกัน M : Mask wearing คือ สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยตลอดเวลา H : Hand washing คือ ล้างมือบ่อย ๆ T : Testing คือ ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าใช้บริการ T : Thai Cha Na คือ เช็กอินผ่านแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” เตรียมพร้อมรับมือโควิดรอบใหม่ เติมความเข้มข้นแผนป้องกันสูงสุดทุกสาขาทั่วประเทศ รวมถึงศูนย์กระจายสินค้า ย้ำสถานประกอบการปลอดภัยไร้โควิด-19 ปฏิบัติการเชิงรุกให้พนักงาน – ลูกค้า การ์ดอย่าตก

ที่ผ่านมา แม็คโครได้วางมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มข้น และได้รับการรับรองจากกรมอนามัยในการเป็นสถานประกอบการปลอดภัยไร้โควิด-19 แต่เมื่อการแพร่ระบาดกลับมาอีกครั้ง แม็คโครไม่นิ่งนอนใจ ด้วยการเน้นย้ำ และเฝ้าระวังอย่างสูงสุดในทุกสาขา รวมทั้งศูนย์กระจายสินค้า โดยคำนึงถึงความปลอดภัยอย่างสูงสุดของลูกค้า พนักงาน และประชาชนในชุมชน ในการป้องกันตนเองและผู้อื่นจากไวรัสโควิด-19 ตามแนวทาง มาตรการทางสังคมในการป้องกันตนเองและผู้อื่นจากไวรัสโควิด-19 DMHTT ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

“ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดที่รุนแรงอีกครั้ง แม็คโครตระหนักดีว่าทุกคนมีความกังวลกับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน เราจึงมุ่งมั่นตั้งใจที่จะรักษามาตรการป้องกันต่างๆ เอาไว้อย่างเข้มข้น รวมถึงแนวทางปฏิบัติของแม็คโคร ไม่ว่าจะเป็น การนับจำนวนคนเข้าใช้บริการภายในสาขาตามข้อกำหนดของไทยชนะ, ตีเส้นเว้นระยะห่างในจุดที่มีความหนาแน่น เช่น แผนกอาหารสด แผนกเนื้อสัตว์ จุดชำระเงิน, กำหนดพื้นที่นั่งรอด้านหน้าสาขากรณีจำนวนคนในสาขาเกินปริมาณ และตั้งทีมรักษาระยะห่าง (social distancing scouts) คอยประกาศย้ำเตือนให้ลูกค้ายืนจับจ่ายสินค้าห่างจากลูกค้าท่านอื่นอย่างน้อย 1 เมตร ตลอดเวลาที่อยู่ภายในสาขา พร้อมเน้นย้ำทุกคนไม่ให้การ์ดตกอยู่ตลอดเวลาด้วย”