Home Blog Page 36

ฟื้นฟูสมดุลราคาสุกร หลังผู้เลี้ยงแบกขาดทุนนาน 2 ปี

0

บทความ โดย อัปสร พรสวรรค์ นักวิชาการอิสระ

เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูล้มลุกคลุกคลานมาหลายต่อหลายครั้ง วันนี้ยังสุ่มเสี่ยงกับการล้มหายตายจากจากอาชีพอีก หลังมีข่าวรัฐบาลจะยอมเปิดนำเข้าเครื่องในหมูในการเจรจาต่อรองภาษีกับโดนัลด์ ทรัมป์ กรณีตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าไทยสูงถึง 37% เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไทยเผชิญอะไรมาบ้างมาดูกัน

นับตั้งแต่ปี 2565 หลังกรมปศุสัตว์ประกาศพบการแพร่ระบาดของโรค ASF (African Swine Fever) ในประเทศไทย ที่ส่งผลให้ผลผลิตสุกรในประเทศหายไป 50% ดันราคาเนื้อสุกรในประเทศสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เกินเฉลี่ย 180-200 บาทต่อกิโลกรัม เกิดผลกระทบต่อเนื่องแบบโดมิโน (Domino Effects) มีการฉวยโอกาสลักลอบนำเข้า “หมูเถื่อน” จากประเทศที่มีต้นทุนผลิตต่ำกว่าประเทศไทยเพื่อหาประโยชน์จากส่วนต่างราคา ซึ่งเป็นภัยร้ายให้ผู้เลี้ยงหมูไทยต้องเลิกอาชีพไปจำนวนมาก และต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี ในการฟื้นฟูผลผลิตให้กลับมาเท่าเดิม แต่ก็ยังไม่วายต้องขาดทุนจากหมูเถื่อนราคาถูกที่ยังวนเวียนอยู่ในประเทศตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่เกษตรกรมีภาระต้นทุนการป้องกันโรคระบาดเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงการสูญเสีย

ช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากเป็นช่วงของการฟื้นฟูการผลิตสุกรของไทยแล้ว ผู้เลี้ยงสุกรยังต้องเผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์จากสงครามที่ยื้ดเยื้อระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นคงของอุตสาหกรรมสุกรและความเป็นอยู่ของเกษตรกรทั่วประเทศ แม้ว่าปัจจุบันราคาสุกรจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ โรคระบาดและค่าบริหารจัดการฟาร์มที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาเพิ่งขยับเพิ่มขึ้นช่วงเดือนที่ผ่านมาตามปริมาณผลผลิตสุกรที่ออกสู่ตลาดน้อยลง โดยล่าสุดสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 86-88 บาทต่อกิโลกรัม เกษตรกรมีอัตรากำไรเฉลี่ยเพียง 13% เท่านั้น เมื่อเทียบกับต้นทุนของเกษตรกรขณะนี้ที่ 76 บาทต่อกิโลกรัม

นอกจากนี้ ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มต่อกิโลกรัมของไทยถือว่าต่ำที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เวียดนาม (98 บาท) กัมพูชา (92 บาท) เมียนมา (97 บาท) ลาว (84 บาท) ที่ยังคงเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรค ASF (African Swine Fever) อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศผู้ผลิตสุกรรายใหญ่ของโลกราคายังต่ำกว่าประเทศไทยมาก เช่น รัสเซีย 50 บาท บราซิล 47 บาท และจีน 68 บาท ซึ่งประเทศที่มีต้นทุนต่ำเหล่านี้คือโอกาสของมิจฉาชีพในการลักลอบนำเข้ามาขายในประเทศไทยซ้ำรอยเดิมได้ทั้งสิ้น

ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการบริหารจัดการฟาร์มและมาตรการป้องกันโรคที่เข้มงวดและยั่งยืน สามารถควบคุมสถานการณ์ ASF ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้นทุนการเลี้ยงเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็เป็นการลงทุนที่จำเป็นเพื่อรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ และความมั่นคงด้านอาหารให้กับคนไทยทั้งประเทศ

ความพยายามของผู้เลี้ยงสุกรไทยไม่ได้หยุดแค่เพียงแค่การป้องกันโรค แต่ยังให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลอุปสงค์-อุปทาน (Demand-Supply) สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้ใช้มาตรการ “ตัดตอนลูกสุกร” 450,000 ตัว เพื่อปรับสมดุลอุปทานในตลาด เป็นการเสียสละของผู้เลี้ยงเพื่อประโยชน์ระยะยาวของทั้งระบบ ในขณะที่ต้นทุนด้านการป้องกันโรค และปัจจัยการผลิตอื่น ๆ โดยเฉพาะ วัตถุดิบอาหารสัตว์ ยังคงมีความผันผวน ไม่มีความแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าสู่ฤดูร้อน อุณหภูมิสูงทำให้สุกรกินอาหารน้อยลงเติบโตช้า ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีแนวโน้มลดลงตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาขยับขึ้นบ้างในช่วงนี้

เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทั้งหมด ราคาสุกรในปัจจุบันเป็นการปรับตามกลไกตลาดที่ตอบสนองต่อภาวะต้นทุน ความเสี่ยง และความพยายามของเกษตรกร ในการรักษาเสถียรภาพการผลิตและความปลอดภัยทางอาหาร ภาครัฐจึงควรพิจารณาสถานการณ์นี้อย่างรอบด้าน และปล่อยให้กลไกตลาดทำหน้าที่ปรับสมดุลด้วยตัวเอง แทนการเร่งแทรกแซงราคาในลักษณะที่อาจกระทบต่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรม

ผู้เลี้ยงสุกรไทยยังคงยืนหยัดในการผลิตเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัย มีคุณภาพ ในราคาที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค ขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจถึงปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว เพื่อให้ห่วงโซ่อาหารของประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง.

เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรวมตัว ร้องรัฐอย่ายัดเยียดคนไทยกินหมูมะกันปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดง วอนป้องอาชีพก่อนล่มสลาย

0

รายงานข่าวเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2568 กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูกว่า 1,000 คน ยกทัพบุกกระทรวงการคลัง-หอการค้าไทยฯ ยื่นหนังสือขอความเห็นใจ พร้อมนำหัวหมู 37 หัว บนบานกู้วิกฤต หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากไทย 37% เพื่อลดการขาดดุลการค้า และรัฐบาลไทยเตรียมเจรจาเปิดทางนำเข้าเครื่องในหมูสหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบอาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู และห่วงโซ่การผลิตทั้งหมดที่มีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาทให้ล่มสลาย รวมถึงกระทบสุขภาพคนไทย เสี่ยงต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ พร้อมกันนี้ได้เข้าพบ รมว.กษตรฯ ขอบคุณที่เคียงข้างเกษตรกรไทย

นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ระบุว่า จากมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ระบุว่าอนุมัติให้มีการนำเข้าเครื่องในสุกรจากสหรัฐฯนั้น สร้างความกังวลใจแก่เกษตรกรเป็นอย่างมาก เนื่องจากเครื่องในหมูเป็นแหล่งสะลมสารเร่งเนื้อแดงที่สหรัฐฯใช้กันอย่างแพร่หลาย หากนำเข้าเครื่องในมาไม่ว่าจะใช้เป็นอาหารสัตว์เลี้ยงหรืออาหารมนุษย์ ก็ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงและต่อประชาชนคนไทยทั้งสิ้น เนื่องจากมีผลต่อระบบประสาทและหัวใจ ขณะที่คนไทยกินเครื่องในหมูในปริมาณมากเทียบเท่าเนื้อหมู จึงไม่เป็นผลดีอย่างยิ่งต่อสุขภาพคนไทย

การนำเข้าเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ ยังส่งผลกระทบมหาศาลต่อเกษตรกรและอีกหลายภาคส่วน เป็นเหตุผลที่กลุ่มเกษตรกรรวมตัวมาเพื่อขอความเห็นใจจาก นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาแก้ปัญหาดุลการค้าสหรัฐฯ ให้ช่วยปกป้องอาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูของไทย ให้สามารถยืนหยัดผลิตเนื้อหมูให้คนไทยบริโภคได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืน รักษาความมั่นคงทางอาหารของประเทศต่อไป ทั้งนี้ อาชีพผู้เลี้ยงหมูเป็นอาชีพดั้งเดิมอยู่คู่ประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน แม้จะล้มลุกคลุกคลานเผชิญปัญหามากมายมาโดยตลอด แต่กลุ่มเกษตรกรและภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็มุ่งมั่นตั้งใจยกระดับ พัฒนา ปรับปรุง เพื่อผลิตเนื้อหมูให้คนไทยบริโภคด้วยคุณภาพหมูที่สะอาด ปลอดภัย เป็นความภูมิใจของคนเลี้ยงหมูทุกคน

การยื่นหนังสือในวันนี้มีข้อมูลให้ คณะเจรจาได้นำไปพิจารณา ดังนี้
กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์สนับสนุนการนำเข้าพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ ที่ขาดแคลน หรือผลิตได้ไม่เพียงพอในบ้านเรา เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และกากถั่วเหลือง ซึ่งจะสามารถเพิ่มดุลการค้าให้สหรัฐฯได้ถึงปีละ 84,000 ล้านบาท น่าจะเป็นส่วนสำคัญในการเจรจาครั้งนี้ได้ไม่น้อย ทั้งนี้ จะเป็นการนำเข้าในส่วนที่ประเทศไทยมีไม่เพียงพอ ซึ่งจะไม่กระทบเกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่ในประเทศไทย นับว่าคุ้มค่ากว่าการนำอุตสาหกรรมสุกรและห่วงโซ่การผลิตทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท ไปแลกอย่างชัดเจน
ปัจจุบันปริมาณผลผลิตเนื้อหมูของไทย อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับความต้องการบริโภคของประชาชน หากปล่อยให้มีเนื้อหมูสหรัฐฯ เข้ามาปริมาณซัพพลายจะเกินกว่าดีมานด์ ส่งผลกระทบไปตลอดห่วงโซ่การผลิต ดังเช่นสถานการณ์หมูเถื่อนที่เกิดขึ้นอย่างหนักในช่วงปี 2564 ที่ทำให้ผู้เลี้ยงต้องสูญเสียอาชีพไปมากมาย
สินค้าทั้งชิ้นส่วนและเครื่องในสุกรของสหรัฐ ผลิตจากประเทศที่มีกฎหมายไม่ห้ามการใช้สารเร่งเนื้อแดง ในขณะที่ประเทศไทยมีกฎหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ห้ามใช้ในการเลี้ยงและกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข ห้ามปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์สุกรทุกชนิดแม้จะมีการอ้างว่ามีการเลี้ยงโดยไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดงในสหรัฐ ในขณะที่กฎหมายของสหรัฐไม่ห้ามการใช้ จะเป็นปัญหาเช่นเดียวกับกลุ่มประเทศยุโรปไม่รับสินค้าไก่เนื้อจากประเทศที่ใช้ยาปฏิชีวนะบางกลุ่ม ในขณะที่ประเทศไทยมีการส่งไก่เนื้อไปยังยุโรปและออกกฎหมายในลักษณะที่ห้ามใช้สารต้องห้ามในลักษณะเดียวกับกลุ่มยุโรปเช่นกัน ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานเดียวกัน หากผู้บริโภครับประทานเนื้อสัตว์หรือเครื่องในที่มีสารตกค้างดังกล่าว จะมีผล เป็นความเสี่ยงต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ และแม้จะนำเข้ามาเพื่อผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงกลุ่มสุนัขและแมว ก็ไม่เป็นผลดีกับสุขภาพสัตว์เลี้ยง และเกิดข้อจำกัดในการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปตามมา

ในวันเดียวกัน กลุ่มเกษตรกรยังเดินทางเข้ายื่นหนังสือที่ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อเรียกร้องให้ปกป้องเกษตรกรเช่นกัน หลังประธานสภาหอการค้าฯ เคยเสนอแนวคิดให้นำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐ

ปิดท้ายด้วยการเดินทางเข้าพบ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขอบคุณที่แสดงจุดยืนเคียงข้างเกษตรกร และประกาศจะไม่ยอมเอาผลประโยชน์ของภาคเกษตรไปแลกกับข้อตกลงทางการค้า ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจแก่กลุ่มเกษตรกรเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เพียงช่วยปกป้องอาชีพเกษตรกร แต่รัฐมนตรีเกษตรฯ ยังช่วยปกป้องสุขอนามัยที่ดีของประชาชนชาวไทยด้วย


สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนมีนาคม 2568

0

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่อง และปริมาณการซื้อขายในช่วงปลายเดือนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นผลจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐประกาศมาตรการเก็บภาษีอย่างต่อเนื่อง และยังคงมีการปรับเปลี่ยนนโยบายไปมาหลายครั้ง ทำให้ผู้ลงทุนกังวลเกี่ยวกับการส่งออกของไทย รวมถึงผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอแจ้งปิดการซื้อขายทุกตลาด ทั้ง SET mai TFEX ในภาคบ่ายของวันที่ 28 มีนาคม 2568 แต่หากพิจารณาเปรียบเทียบกับภัยธรรมชาติในอดีตทั้งสึนามิ ปี 2547 และน้ำท่วม ปี 2554 แม้ว่ามีผลกระทบต่อจิตวิทยาผู้ลงทุนและเศรษฐกิจโดยรวม แต่ผลกระทบเหล่านี้มักเป็นระยะสั้นและมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์ฯ

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวซึ่งกระทบกับกลุ่มขนส่ง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มประกันภัย และกลุ่มรับเหมา ทำให้ผู้ลงทุนมีความกังวลว่าอาจมี บจ. ในกลุ่มดังกล่าว อาจได้รับผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ แต่หากพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ พบว่า บจ. ยังมีความเข้มแข็งและน่าจะสามารถผ่านสถานการณ์ครั้งนี้ไปได้ อีกทั้ง SET Index ช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ทำให้ Valuation ของหลักทรัพย์อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ดังนั้น เริ่มเห็นสัญญาณ บจ. ไทยเข้ามาช่วยหนุนมูลค่าบริษัทของตัวเองโดยการเข้ามาซื้อหุ้นคืน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุน ขณะที่ Value Stock เริ่มมี downside ที่จำกัด

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนมีนาคม 2568

  • เดือนมีนาคม 2568 SET Index ปิดที่ 1,158.09 จุด ปรับลดลง 3.8% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 SET Index ปรับลดลง 17.3%
  • กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มทรัพยากร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มเกษตรและอาหาร และ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์
  • มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 38,491 ล้านบาท หรือลดลง  10.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในช่วงไตรมาส 1/2568 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมฯ อยู่ที่ 42,826 ล้านบาท ลดลง  6.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 21,852 ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2568 ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 39,978 ล้านบาท
  • วันที่ 8 เมษายน 2568 SET Index ปิดที่ 1,074.59 จุด ลดลง 4.50% มูลค่าการซื้อขายรวม 66,714 ล้านบาท สะท้อนแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากความวิตกต่อมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้ 9 เมษายน 2568 โดยนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบาย “Liberation Day” SET Index ปรับลดลง 8.4% สอดคล้องกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค    
  • Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 12.2 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 11.4 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 15.2 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.9 เท่า
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 4.24% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.34%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนมีนาคม 2568

  • มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 519,619 สัญญา เพิ่มขึ้น 7.1% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ทำให้ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 463,656 สัญญา ลดลง 4.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures

นักวิชาการ ย้ำอันตรายสารเร่งเนื้อแดง เสี่ยงต่อสุขภาพคนไทย

0

นักวิชาการชีวเคมี ย้ำประเทศไทยและสหภาพยุโรป มีความห่วงใยในสุขภาพของประชาชนเป็นหลักไม่อนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดงในการผลิตเนื้อหมู เพราะอาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพผู้บริโภคสะสม

ดร.ศยามล สิทธิสาร อาจารย์ประจำ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยปทุมธานี กล่าวว่า ประเทศสหรัฐอเมริกานับเป็นผู้ผลิตเนื้อหมูรายใหญ่ของโลก และอนุญาตให้ใช้ สารเร่งเนื้อแดง ได้ในปริมาณที่ควบคุมไว้ ในขณะที่ยังมีอีกหลายประเทศห้ามการใช้สารเร่งเนื้อแดงโดยเด็ดขาด รวมถึงประเทศไทยด้วย

ดร.ศยามล สิทธิสาร

ข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ หรือ พ.ร.บ.คุ้มครองอาหารสัตว์ สารเหล่านี้ห้ามใช้ในอาหารสัตว์เด็ดขาด รวมถึง อย.กระทรวงสาธารณสุข มี พ.ร.บ. คุ้มครอง หากตรวจพบในอาหาร คือ ผิดกฎหมาย โดยสารเร่งเนื้อแดง จะส่งผลในผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังอยู่แล้ว เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไฮเปอร์ไทรอยด์ ลมชัก ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดอาการของโรคมากขึ้น ได้แก่ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กระวนกระวาย วิงเวียนศีรษะ บางรายส่งผลให้เกิดกล้ามเนื้อกระตุก มือสั่น

สารเร่งเนื้อแดง เป็นสารสังเคราะห์ ในกลุ่มเบตาอะโกนิสท์ (Beta-Agonist) ในทางการแพทย์ยานี้ถูกใช้ในเรื่องช่วยขยายหลอดลมผู้ป่วย หอบหืด หลอดลมอักเสบ จุดเด่นของตัวยานี้ คือขยายหลอดลม สารกลุ่มนี้มีหลากหลายชนิด แต่ที่เกษตรกรมักจะนำมาใช้มากที่สุดคือ ซัลบูทามอล (Salbutamol) และ แรคโตพามีน (Ractopamine) ด้วยจุดประสงค์ให้หมูมีอาการตื่นตัว ออกวิ่งอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยลดชั้นไขมันและเพิ่มปริมาณกล้ามเนื้อให้หมูมีเนื้อแดงมากขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรขายได้ในราคาดีขึ้นด้วย โดยวิธีการคือจะผสมในอาหารและน้ำดื่ม ในอาหารจะให้อยู่ประมาณไม่เกิน 10 กรัมต่อกิโลกรัมอาหารสัตว์ และเนื่องจากผสมในน้ำดื่มด้วยทำให้สัตว์ได้รับยาทั้งวัน หากผู้บริโภคเนื้อสัตว์ได้รับสารนี้สะสมไปเรื่อยๆ จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก โรคหัวใจ เพราะยามีฤทธิ์กระตุ้นการเต้นของหัวใจ

ดร.ศยามล กล่าวเพิ่มเติมว่า มีรายงานจากทางฝั่งยุโรปว่าหญิงมีครรภ์จะถูกกระตุ้นให้เกิดเนื้องอกบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิง จากรายงานแม้พบสารเร่งเนื้อแดงในปริมาณเพียงเล็กน้อยหน่วยมิลลิกรัม แต่หากได้รับต่อเนื่องเรื่อยๆ เป็นเดือนหรือเป็นหลายสัปดาห์ขึ้นไป เพียงเดือนสองเดือนไม่ต้องถึงปี กลุ่มคนที่มีโรคประจำตัวอยู่จะแสดงอาการผลข้างเคียงเร็วมาก

ตอนนี้ทางฝั่งสหรัฐอเมริกายินยอมให้ใช้สารนี้ โดยการใช้สารเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่ทำได้ในการปศุสัตว์ หากอยู่ในความดูและควบคุมที่เหมาะสม โดยกำหนดให้ใช้ในเกณฑ์ปริมาณที่ไม่ส่งผลอันตรายก็ยอมรับได้ แต่สำหรับประเทศไทยและสหภาพยุโรป มีความห่วงใยในสุขภาพของประชาชนเป็นหลัก จึงไม่อนุญาตให้ใช้สารนี้เลย โดยให้ตรวจพบเป็นศูนย์ได้เท่านั้น

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการโครงการมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ (Codex Alimentarius Commission : Codex) ได้กำหนดปริมาณมาตรฐานสากล ในการตกค้างสูงสุด ( Maximum Residue Limits (MRLs)) ในเนื้อและไขมันไว้ว่าต้องค้างไม่เกิน 10 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม ในตับไม่เกิน 40 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม และในไตไม่เกิน 90 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งถือเป็นระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ แต่ในขณะที่หลายประเทศไม่ยอมรับค่า MRLs ที่ Codex กำหนด โดยอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระดับที่ยอมรับไม่ได้

สำหรับประเทศไทย จากการศึกษาข้อมูลผู้บริโภค พบว่านิยมบริโภคทั้งเนื้อหมู เครื่องในหมู และเลือดหมู จึงอาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับสารตกค้างเกินกว่าค่าที่ Codex กำหนด ดังนั้น การคำนึงถึงสุขภาพของคนไทยในระดับสูงสุดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการเปิดตลาดรับหมูปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดงเข้ามา.

ตำรวจทางหลวง จับมือ ซีพีเอฟ รณรงค์ขับขี่ปลอดภัยช่วงสงกรานต์ กับแคมเปญ ‘หิวไม่ขับ พักเติมพลังกับไส้กรอกซีพี’ พร้อมเสิร์ฟ ฟรี 2 จุดหลัก วังน้อย-วังมะนาว

0

กองบังคับการตำรวจทางหลวง และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ร่วมรณรงค์ขับขี่ปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2568 กับแคมเปญ ‘หิวไม่ขับ พักเติมพลังกับไส้กรอกซีพี’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยสนับสนุนไส้กรอก ค็อกเทล ดับเบิ้ลชีส ใหม่! จำนวน 15,000 แพ็ก แก่ผู้ที่ใช้รถใช้ถนน เพื่อแทนความห่วงใยตลอดการเดินทาง พร้อมลดความเสี่ยงอุบัติเหตุจากความหิวและเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ ณ หน่วยบริการตำรวจทางหลวง 2 จุด ได้แก่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เส้นขาออกไปยังภาคเหนือและอีสาน และสี่แยกวังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี มุ่งไปยังภาคใต้ ซึ่งจะมีมาสคอตสุดน่ารักอย่าง ‘น้องมินิ’ ยืนต้อนรับทุกท่านอย่างเป็นกันเอง โดยมี พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง รับมอบจาก นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ

พ.ต.อ.สุขสวัสดิ์ คูสิทธิผล รองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง กล่าวว่า สงกรานต์ปีนี้ ตำรวจทางหลวงเตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชนทุกท่าน คาดว่าจะมีการสัญจรประมาณ 10 ล้านคัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน เป็นต้นไป ซึ่งปีนี้เราร่วมมือกับซีพีเอฟเป็นครั้งที่ 2 ในการมอบผลิตภัณฑ์ไส้กรอกซีพีแก่เจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ ตลอดจนผู้ใช้รถใช้ถนนบริเวณหลัก 2 แห่ง เพื่อลดอาการเหนื่อยล้า เพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่อย่างปลอดภัย ใช้วันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างมีความสุข

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า สงกรานต์เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองของคนไทย ทางซีพีเอฟจึงอยากสนับสนุนผู้ใช้รถใช้ถนนให้ขับขี่ปลอดภัย ภายใต้แคมเปญ ‘หิวไม่ขับ พักเติมพลังกับไส้กรอกซีพี’ ด้วยการมอบผลิตภัณฑ์ไส้กรอกซีพี ค็อกเทล ดับเบิ้ลชีส โดยสังเกตป้ายจุดตรวจและบรรเทาความหิว ที่จะบริการประชาชน เพื่อแวะรับผลิตภัณฑ์ซีพี เพิ่มความอิ่มท้องระหว่างการเดินทาง อีกทั้งยังมีน้องมินิ มาสคอตสุดน่ารักที่พร้อมสร้างสีสันและช่วยผ่อนคลาย จากความเหนื่อยล้า หวังว่า เราจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เทศกาลสงกรานต์ของทุกคนสนุกสนานและมีความสุข

สำหรับ แคมเปญ ‘หิวไม่ขับ พักเติมพลังกับไส้กรอกซีพี’ จะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2568 เป็นจุดแรก ณ จุดบริการประชาชนกรมทางหลวง วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และจุดที่ 2 ในวันที่ 11 เมษายน 2568 ณ จุดบริการประชาชนกรมทางหลวง สี่แยกวังมะนาว จ.ราชบุรี …อย่าลืมแวะมาทักทายกันนะคะ .

เมืองไทยประกันชีวิต ทำบุญครบรอบ 74 ปีก่อตั้งบริษัท

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จัดพิธีทำบุญครบรอบ 74 ปีการก่อตั้งบริษัทฯ เพื่อความเป็นสิริมงคล ในการนี้ได้นิมนต์คณะสงฆ์รวม 9 รูป จากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร  ทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์  พร้อมจัดพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบริษัทฯ  โดยมีนายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ นายภูมิชาย  ล่ำซำ ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และพนักงาน ร่วมในพิธี

งานจัดขึ้น ณ เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่ โดยเมืองไทยประกันชีวิต ยังคงตอกย้ำตัวตนในการเป็นแบรนด์แห่งการสร้างความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง พร้อมการเติบโตที่แข็งแกร่งและคอยอยู่เคียงข้างลูกค้าคนสำคัญ ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ ได้เดินหน้ายกระดับการส่งมอบความสุขผ่านกลยุทธ์ “Boost Your Happiness by Our People” บูสท์ความสุขของคุณด้วยคนของเมืองไทยประกันชีวิต  ด้วยการเดินหน้าพัฒนาองค์กรในทุกภาคส่วน  โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าทุกท่านด้วยความเป็นมืออาชีพ ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในทุกช่วงชีวิต ควบคู่ไปกับความตั้งใจในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกคนในสังคม  และการสร้างประสบการณ์การบริการแบบไร้รอยต่อที่ผสานกันอย่างลงตัวเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการที่หลากหลายและส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าคนสำคัญ

ซีพี – ซีพีเอฟ หนุนโครงการ ‘สานใจไทย สู่ใจใต้’ รุ่นที่ 44 ต่อเนื่อง สร้างโอกาสการศึกษา-อาชีพให้เยาวชนไทยรุ่นใหม่

0

เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ สนับสนุนโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 44 มอบผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพ เพื่อสร้างโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะชีวิตแก่เยาวชนจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มุ่งเน้นการเสริมสร้างทัศนคติที่ดี พัฒนาตนเองและครอบครัว และเป็นพลเมืองดีของสังคม ณ สโมสรทหารบก (ส่วนกลาง) วิภาวดีกรุงเทพมหานคร

โครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 44 ได้รับเกียรติจาก พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกมูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” เป็น ประธานในพิธีเปิดโครงการฯ พร้อมด้วย นายอารีย์ วงศ์อารยะ ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิฯ โดยมี นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร ผู้บริหารสูงสุดด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้แทนบริษัท ร่วมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำศาสนา ครอบครัวอุปถัมภ์ เยาวชนผู้ร่วมโครงการฯ และครูพี่เลี้ยง เข้าร่วมกิจกรรมรวมกว่า 350 คน

พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ กล่าวว่า โครงการฯ เกิดขึ้นจากดำริของ ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่มุ่งสร้างความเข้าใจระหว่างกันในสังคมพหุวัฒนธรรม โดยดำเนินต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 20 มีเป้าหมายเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนจากพื้นที่ชายแดนใต้ได้เรียนรู้ทักษะชีวิต พัฒนาทัศนคติ และเติบโตเป็นกำลังสำคัญของประเทศ

“ขอชื่นชมทุกฝ่ายที่ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการฯ และขยายพื้นที่กิจกรรมให้เยาวชนได้เปิดโลกทัศน์ในหลากหลายภูมิภาค ถือเป็น ความก้าวหน้าที่ตอบรับกับสภาพสังคมปัจจุบัน และสะท้อนเจตนารมณ์ของ พลเอก เปรม ที่ว่า ‘เกิดมาต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน’ ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการปลูกฝังเยาวชนให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ”

ด้าน นายจอมกิตติ ศิริกุล เปิดเผยว่า ซีพีและซีพีเอฟสนับสนุนโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 22 โดยในรุ่นที่ 44 นี้ บริษัทมอบผลิตภัณฑ์อาหาร ได้แก่ ไข่ไก่สดซีพี และข้าวตราฉัตร ให้แก่เยาวชนและพี่เลี้ยง เพื่อใช้ในการประกอบอาหารตลอดช่วงที่อาศัยอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในระหว่างวันที่ 2 เมษายน – 2 พฤษภาคม การสนับสนุนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการร่วม “ตอบแทนคุณแผ่นดิน” และเสริมสร้างโอกาสให้เยาวชนในประเทศได้พัฒนาตนเอง ทั้งในด้านความรู้ ทักษะอาชีพ และประสบการณ์ชีวิต ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่มูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” จัดขึ้น นอกจากนี้ ยังหวังว่าการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้จะช่วยให้เยาวชนได้พัฒนาทัศนคติและแนวคิดที่ดีในการพัฒนาตนเองและครอบครัว พร้อมทั้งสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปต่อยอดสร้างโอกาสทางการศึกษาในอนาคต ทำให้พวกเขากลายเป็นบุคลากรที่มีคุณค่าและเป็นพลเมืองดีของสังคมต่อไป

ทางด้าน นางสาวฮาซานี เจะหลง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้เข้าร่วมโครงการฯ เพราะกิจกรรมต่าง ๆ ทำให้ได้เรียนรู้และเข้าใจการใช้ชีวิตร่วมกับผู้คนจากหลากหลายวัฒนธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะการเรียนรู้เรื่องการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ผ่านหลักสำคัญ 3 ประการ คือ การยอมรับ การเคารพ และการชื่นชมซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ผู้คนที่มีความแตกต่าง ทั้งด้านความคิด ศาสนา และความเชื่อ สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข

มูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” จัดกิจกรรมในครั้งนี้ขึ้น โดยมีเป้าหมาย สนับสนุนให้เยาวชนไทยได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมเดียวกัน มีความเป็นธรรม ความเป็นไทยเท่าเทียมกัน.

เนสท์เล่ ออกแถลงการณ์หลังศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามผลิต-ว่าจ้างผลิต-จำหน่าย และนำเข้า ผลิตภัณฑ์แบรนด์ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย

0

“เนสท์เล่” ออกแถลงการณ์ หลังศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามผลิต-ว่าจ้างผลิต-จำหน่าย และนำเข้า ผลิตภัณฑ์แบรนด์ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย มีเนื้อหาระบุว่า เนสท์เล่ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟ ได้ยุติสัญญากับบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมทุนแบบ 50/50 ระหว่างเนสท์เล่ และตระกูลมหากิจศิริ ซึ่งมีคุณประยุทธ มหากิจศิริ เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น โดย ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ ได้ผลิตในประเทศไทย ผ่าน QCP ตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 จนถึง พ.ศ.2567 การยุติสัญญาดังกล่าวมีผลสมบูรณ์ทางกฎหมายโดยคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการสากล โดยมีผลเป็นการเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2567 ภายใต้สัญญาการร่วมทุนนี้ เนสท์เล่ มีอำนาจในการบริหารงาน การผลิต การจัดจำหน่าย รวมทั้งการทำการตลาดผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตเนสกาแฟนั้นเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่

ภายหลังยุติสัญญา ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถตกลงเรื่องการดำเนินงานในอนาคตของ QCP ดังนั้น เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2568 เนสท์เล่ เอส เอ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด ซึ่งอยู่ในการพิจารณาของศาล ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาของการยุติสัญญาจนถึงการยื่นขอยกเลิกบริษัท เนสท์เล่ ได้ดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ไม่ให้ได้รับผลกระทบ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมีนาคม ถึง เมษายน ปี พ.ศ. 2568 นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ได้ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรี เพื่อดำเนินคดีแพ่งกับบริษัทในเครือเนสท์เล่ และกรรมการ และเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568 ศาลแพ่งมีนบุรี ได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้เนสท์เล่ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟแต่เพียงผู้เดียว ดำเนินการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป โดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย โดยที่เนสท์เล่ยังไม่มีโอกาสเสนอข้อเท็จจริงต่อศาลก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งดังกล่าว แต่เนสท์เล่ก็ให้ความเคารพต่อกฎหมายและได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลฉบับนี้ โดยเนสท์เล่ได้ออกหนังสือแจ้งลูกค้า อันได้แก่ ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกต่างๆ ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2568 ให้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และแจ้งว่าบริษัทฯ จะไม่สามารถรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจากร้านค้าเหล่านี้ได้ โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้จนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบภายหลัง ในช่วงเวลาระหว่างนี้ ร้านค้าปลีกที่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟอยู่ในร้าน ยังสามารถจำหน่ายได้ตามปกติ

เนสท์เล่ มีความกังวลอย่างยิ่งถึงผลกระทบอันใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นจากคำสั่งศาลนี้ ซึ่งจะส่งผลในการสูญเสียรายได้ของผู้ประกอบการรายย่อย รวมทั้งร้านกาแฟขนาดเล็ก รถเข็นขายกาแฟที่จะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจำหน่าย และการปรับเปลี่ยนสูตรการชงและวัตถุดิบที่ใช้ ยังอาจส่งผลต่อรสชาติที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ประจำวันของผู้ประกอบการรายย่อยเหล่านี้ อีกทั้งยังส่งผลต่อการขาดรายได้ของพนักงานของลูกค้าและคู่ค้าซัพพลายเออร์ในห่วงโซ่ของเนสกาแฟที่เคยสามารถจัดส่งวัตถุดิบต่างๆ ให้กับเนสกาแฟแต่ต้องหยุดชะงักลง รวมไปถึงเกษตรกรไทยผู้เพาะปลูกกาแฟและเกษตรกรโคนมไทย จะไม่สามารถจำหน่ายผลผลิตเพื่อเป็นวัตดุดิบให้เนสกาแฟ เนื่องจากคำสั่งศาลห้ามผลิต และว่าจ้างผลิต เนสกาแฟในประเทศไทย ในทุกๆ ปี เนสกาแฟรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบพันธุ์โรบัสต้าในปริมาณมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตทั้งหมดที่ปลูกได้ประเทศไทย

นอกจากนี้ ผู้บริโภคจำนวนหลายล้านคนในประเทศไทย และผู้บริโภคในตลาดส่งออกของเนสกาแฟจะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟดื่มเนสท์เล่ จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการแก้ไขสถานการณ์นี้ และกำลังดำเนินการยื่นคำร้องคัดค้าน เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวต่อศาล พร้อมยื่นข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อการพิจารณาคำร้องทั้งนี้ เนสท์เล่ มุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างยั่งยืน เนสท์เล่จำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศไทยมานานกว่า 130 ปีแล้ว และได้ลงทุนกว่า 22,800 ล้านบาทในประเทศไทย ในระหว่างปี พ.ศ. 2561-2567 โดยเนสท์เล่ยังคงเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภค พนักงานของเรา เกษตรกรที่ทำงานร่วมกับเรา ตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจ และคู่ค้าของเรา

AIS ต้อนรับสงกรานต์ เสริมพลัง AI ดูแลเครือข่ายมือถือ-เน็ตบ้าน 24 ชม. ใช้ AIS Points แลกประกันอุบัติเหตุ กินดื่มเที่ยวฉ่ำ!

0

AIS ต้อนรับสงกรานต์ ปี 2568 นำเทคโนโลยี AI และ Autonomous Network เสริมศักยภาพโครงข่ายอัจฉริยะทั้งมือถือและเน็ตบ้าน ดูแลคุณภาพเครือข่ายแบบ Real Time รองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าในช่วงเทศกาล ในพื้นที่สำคัญที่คาดว่าจะมีการใช้งานอย่างหนาแน่น ทั้งถนนสายหลัก จุดเล่นน้ำและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ รวมถึงการเตรียมพร้อมด้านงานบริการ AIS Shop ทุกสาขาทั่วประเทศ และ AIS Call Center เพื่อดูแลการใช้งานของลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังได้จัดเต็มสิทธิพิเศษ AIS Points สาดความสุขแลกพอยท์ฉ่ำ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การเดินทางการท่องเที่ยว พร้อมมอบประกันอุ่นใจ ส่วนลดเครื่องดื่ม-ของหวานรับซัมเมอร์แบบจุใจ

นายกิตติ งามเจตนรมย์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “AIS มุ่งส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและคนไทยในทุกช่วงเวลา เราขอเป็นส่วนหนึ่งในการมอบความอุ่นใจในทุกการใช้งานช่วงเทศกาลสงกรานต์ ด้วยศักยภาพโครงข่ายสื่อสารอัจฉริยะ 5G ที่ครอบคลุมกว่า 95% ของพื้นที่ประชากร โดยนำเทคโนโลยี AI และ ความสามารถของ Autonomous Network เพื่อบริหารจัดการและปรับเครือข่ายเพิ่มประสิทธิภาพแบบ Realtime และยังได้เตรียมทีมวิศวกรดูแลโครงข่ายทั้งมือถือและอินเทอร์เน็ตบ้านตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมขยายความจุของสถานีฐานเดิม รวมถึงเพิ่มรถสถานีฐานเคลื่อนที่ (Mobile Base Station Car) และสถานีฐานชั่วคราวเฉพาะจุดในพื้นที่สำคัญ แลนด์มาร์กเล่นน้ำสงกรานต์ทั่วประเทศ อาทิ กรุงเทพฯ ถนนราชดำเนินกลาง และท้องสนามหลวง สยามสแควร์ ถนนข้าวสาร ถนนสีลม, พระนครศรีอยุธยา ถนนศรีสรรเพชญ์, นครปฐม ถนนต้นสน, เชียงใหม่ ถนนท่าแพ คูเมืองรอบเชียงใหม่ แยกเมญ่า, ขอนแก่น ถนนข้าวเหนียว, ชลบุรี บางแสน ถนนข้าวหลาม และ สงขลา ถนนธรรมนูญวิธี  เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่น ไม่มีสะดุดตลอดเทศกาล”

นายประพัฒน์ เสียงจันทร์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจค้าปลีก AIS กล่าวว่า “เทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงเวลาที่หลายคนเดินทางท่องเที่ยวกลับบ้านหรือไปพักผ่อนกับครอบครัว AIS จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งความสุขให้ลูกค้าและคนไทยด้วยการเตรียมความพร้อมด้านงานบริการในการดูแลลูกค้าทุก Touchpoint ทั้ง AIS Shop ทุกสาขาทั่วประเทศ และ AIS Call Center ที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมส่งของขวัญปีใหม่ไทยให้ลูกค้าด้วยสิทธิพิเศษจาก เอไอเอส พอยท์ ให้ลูกค้าเอ็นจอยทุกการเดินทางยิ่งขึ้น กับส่วนลดสุดคุ้มและสิทธิพิเศษจากประกันอุบัติเหตุ เพื่อให้ทุกการเดินทางในช่วงสงกรานต์เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความปลอดภัย”

  • ใช้เอไอเอส พอยท์ 10 คะแนน แลกรับสิทธิ์กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มสงกรานต์ ปี 2568 วงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท นาน 30 วัน เพียงกด *550*3374# หรือผ่านแอปพลิเคชัน myAIS ตั้งแต่วันนี้ – 31 พ.ค. 68
  • สดชื่นตลอดการเดินทาง ใช้เอไอเอส พอยท์ เริ่มต้นเพียง 1 คะแนนแลกรับส่วนลด 10 บาท ที่ คาเฟ่ อเมซอน อินทนิล กาแฟพันธุ์ไทย ในปั๊มน้ำมัน ปตท. บางจาก และ พีที สเตชั่น ครอบคลุมกว่า 6,500 สาขาทั่วประเทศ
  • ใช้เอไอเอส พอยท์ เริ่มต้นแค่ 1 คะแนน แลกซื้อเครื่องดื่มและโอศกรีมเมนูพิเศษต้อนรับซัมเมอร์จากร้านดัง อาทิ ร้านคอฟฟี่ อาริกาโตะ (ในสาขามิสเตอร์โดนัท), แบล็คแคนยอน, แดรี่ควีน, สเวนเซ่น, โคลด์ สโตน ครีมเมอรี่ สาขาที่ร่วมรายการ
  • อื่นๆ อาทิ ส่วนลด 50% ค่าถ่วงล้อ ที่ B-Quik ทุกสาขา, ส่วนลด 6% จองที่พักผ่าน Trip.com, ส่วนลด 35% สำหรับซื้อกระเป๋าเดินทางที่ ร้าน American Tourister

AIS ขอส่งความปรารถนาดีไปยังลูกค้าและคนไทยทุกคน ให้เดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย พร้อมส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีที่สุด เคียงข้างคนไทยในทุกสถานการณ์ ติดตามรายละเอียดสิทธิพิเศษตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ และแลกรับสิทธิพิเศษได้ที่แอป myAIS

พันธมิตร 19 องค์กรกุ้ง ยื่นหนังสือถึงนายกฯ เสนอต่อรองกลุ่มสินค้าเกษตรไทย-สหรัฐฯ

0

นายเอกพจน์  ยอดพินิจ  นายกสมาคมกุ้งไทย เปิดเผยว่า ในวันนี้ สมาคมฯในนามของพันธมิตรผู้เลี้ยงกุ้ง 19 องค์กร พร้อมด้วยสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย และ 4 บริษัทส่งออก ได้นำข้อเสนอพิจารณาเจรจาต่อรองกลุ่มสินค้าเกษตรไทย-สหรัฐอเมริกา เข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง เป็นผู้แทนรับที่ทำเนียบรัฐบาล

นายเอกพจน์ กล่าวว่า การเข้ายื่นข้อเสนอดังกล่าวเพื่อให้เป็นแนวทางให้ภาครัฐ ได้มีข้อมูลที่รอบด้าน ครอบคลุมภาคเกษตรทั้งระบบ  โดยมีข้อเสนอให้รัฐบาล แยกตัวเลขออกเป็น 2 อุตสาหกรรม คือ อุตสาหกรรมการเกษตร(สินค้าเกษตร) และอุตสาหกรรมการผลิต จะเห็นชัดว่าตัวเลขของอุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งเป็นรากฐาน และไทยผลิตเองนั้นเกินดุลมาไม่มากประมาณ 80,000 ล้านบาท ซึ่งองค์กรในอุตสาหกรรมกุ้งไทยได้หารือและมีมติเห็นพ้องต้องกันที่จะขอเสนอให้รัฐบาลไทยเจรจาในส่วนของสินค้าเกษตร  โดยใข้เฉพาะการเทียบดุลสินค้าเกษตรเท่านั้น

พันธมิตรฯ สนับสนุนข้อเสนอของสมาพันธ์ปศุสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งได้มีการยื่นข้อเสนอก่อนหน้านี้ โดยมีใจความสำคัญ คือ  1. ข้าวโพด เพื่อผลิตอาหารสัตว์ในสัดส่วนที่ขาดแคลนจำนวน  1.5 ล้านตัน เป็นมูลค่า 13,500 ล้านบาท และสามารถเติบโตได้ถึง 4.2 ล้านตัน เป็นมูลค่า 36,000 ล้านบาท   2. กากถั่วเหลือง โดยขอให้ลดภาษีกากถั่วเหลือง เฉพาะจากสหรัฐฯ จาก 2% เหลือ 0% ตลอดไป จะทำให้ผู้นำเข้าทั้งหมด เปลี่ยนการนำเข้าจากบราซิลเป็นนำเข้าจากสหรัฐฯ  ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้มีมูลค่าประมาณ 48,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังช่วยลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ให้เกษตรกรกลุ่มปศุสัตว์ และเพาะเลี้ยงได้อีกด้วย  และ3. กากข้าวโพด DDGS ซึ่งปัจจุบันมี ภาษีนำเข้า 9% หากรัฐบาลลดเหลือ 0% อาจจะทำให้มีการนำเข้าราว 9,900 ล้านบาท ดังเช่นปี 2561

นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวด้วยว่า  ข้อเสนอให้มีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์ จากสหรัฐฯ  จะไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในประเทศ เพราะเป็นการเปลี่ยนแหล่งนำเข้า และนำเข้าในจำนวนที่ขาดแคลนเท่านั้น  ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทยให้มีโอกาสลดต้นทุน และสินค้ากุ้งไทยที่จะถูกเก็บภาษีจากนโยบายสหรัฐฯ  สำหรับเกษตรกรในประเทศ มีผู้ผลิตอาหารสัตว์ดูแล โดยรับซื้อในราคาที่เหมาะสม     ขณะเดียวกัน ยังจะทำให้การนำเข้าสินค้าในอุตสาหกรรมเกษตรจากสหรัฐฯ ของไทยเพิ่มเป็น 61,500 – 93,900 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังประเทศสหรัฐฯได้ 

อนึ่ง ประเทศไทยได้ดุลการค้าสหรัฐอเมริกามูลค่ากว่า  1.66 ล้านล้านบาท ทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการเพิ่มภาษีการค้าขึ้นอีก 37%  สร้างความกดดัน และหนักใจในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชนที่ลงทุนโดยตรง.