Home Blog Page 27

ผู้เลี้ยงหมูอีสานวอนรัฐ “ถอดหมู” ออกจากบัญชีสินค้านำเข้าสหรัฐฯหายนะเศรษฐกิจกว่าแสนล้านบาท เสี่ยงพังทั้งห่วงโซ่ คนไทยตายผ่อนส่ง

0

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกร้องรัฐบาลไทยขอให้ทบทวนและถอดเนื้อหมูออกจากบัญชีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ภายใต้กรอบการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ หวั่นหากยังเดินหน้าตามข้อเสนอเดิม อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจเกษตรไทยมากกว่า 120,000 ล้านบาท และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตทั้งระบบ โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่อาจต้องสูญเสียอาชีพอย่างถาวร
 
“การนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ แม้เพียง 1% ของการบริโภคในประเทศ หรือประมาณ 10,000 ตัน เท่ากับ 10 ล้านกิโลกรัม จะกลายเป็นตัวเร่งให้ราคาหมูในประเทศตกต่ำทันที และกระทบต่อผู้เลี้ยงรายย่อยกว่า 145,000 รายทั่วประเทศ” นายชยุต รุ่ง-พัฒนาชัยกุล นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าว
 
สหรัฐฯ มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นผู้ผลิตข้าวโพดและถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลก และยังได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลางอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอยู่บนพื้นฐานการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ทำให้สามารถ “ดั๊มพ์” ราคาหมูส่งออกได้ต่ำกว่าต้นทุนจริงโดยเฉพาะชิ้นส่วนที่คนอเมริกันไม่กิน หากไทยยอมให้สหรัฐฯ และสหรัฐได้สิทธิพิเศษทางภาษีที่ 0% เท่ากับเปิดทางให้หมูราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาทำลายอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยตรง
 
นอกจากนี้ การนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบแบบลูกโซ่ต่อห่วงโซ่การผลิตทั้งหมด ได้แก่:
• เกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์ กว่า 5 ล้านครัวเรือน
• โรงฆ่าสัตว์และโรงแปรรูป ที่พึ่งพาหมูไทยเป็นวัตถุดิบหลัก
• แรงงานในฟาร์มและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง กว่า 800,000 คน
• ผู้ค้าปลีกและผู้บริโภค ที่อาจเผชิญกับความเสี่ยงด้านสุขภาพจากสารเร่งเนื้อแดง
 
ประเทศไทยมีจุดยืนชัดเจนในการห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง (Ractopamine) เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชน ขณะที่สหรัฐฯ ยังอนุญาตให้ใช้สารดังกล่าวในอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมู การเปิดทางให้นำเข้าหมูจากสหรัฐฯ จึงเท่ากับ ย้อนแย้งกับนโยบายสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย และอาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้บริโภคในระยะยาว
 
“รัฐบาลไทยและผู้เลี้ยงหมูร่วมกันต่อสู้เพื่อเลิกใช้สารเร่งเนื้อแดงมานานหลายสิบปี แต่วันนี้กลับกำลังจะเปิดประตูให้สารอันตรายนี้กลับเข้ามาในครัวเรือนคนไทย” นายชยุต กล่าวย้ำ
 
สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย ยกเลิกการเจรจานำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ โดยชี้ว่าหากห่วงโซ่การผลิตสุกรล่มสลาย จะเกิดความสูญเสียต่อเศรษฐกิจประเทศในวงกว้าง จะมีคนว่างงานนับล้านคน และจะทำลายความมั่นคงทางอาหารด้านโปรตีนหลักอย่างเนื้อหมู ซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย.

ซีพีเอฟ จับมือคู่ค้าขับเคลื่อนสู่ “ธุรกิจคาร์บอนต่ำ” เสริมศักยภาพแข่งขันด้วยสินค้ารักษ์โลก

0

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ภาคธุรกิจทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้น ศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีบทบาทต่อการรักษาและเพิ่มขีดความสามารถของสินค้าไทย ในฐานะผู้ส่งออกอาหารไปในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จึงเดินหน้าสร้างการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่คุณค่าเปลี่ยนผ่านไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) และจับมือคู่ค้าผู้ผลิตวัตถุดิบหลักและบรรจุภัณฑ์อาหารร่วมเรียนรู้การประเมิน “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” จากผู้เชี่ยวชาญขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)

คู่ค้าจะได้รู้วิธีคำนวณและประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อกำหนดแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการปรับปรุงกระบวนการผลิต การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดการของเสียอย่างเหมาะสม เพื่อยกระดับมาตรฐานการดำเนินงาน ต่อยอดพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืน รองรับมาตรฐานการค้าโลก และขยายโอกาสเติบโตของธุรกิจ

ณัชพล ศรีโพธิ์เผือก ฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไดอะ เมอร์แชนไดส์ จำกัด ผู้จำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง มองว่า โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปรับตัวของผู้ประกอบการจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการปรับปรุงกระบวนการผลิต การจัดการของเสีย และการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังเพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัท ทำให้สินค้าของบริษัทตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคยุคใหม่

ด้าน หิรัญญา วงศ์จิรัฐิติกาล กรรมการบริหาร บริษัท วงศ์เอกอุตสากรรม จำกัด ผู้ผลิตฉลากและบรรจุภัณฑ์อาหาร กล่าวว่า คาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นสิ่งที่ต้องทำไม่ใช่ทางเลือกเพราะมีผลโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว โดยเฉพาะลดต้นทุน ผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการของเสีย และระบบโลจิสติกส์ที่รับผิดชอบ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเมื่อผสานแนวทางการจัดการคาร์บอนเข้ากับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เป็นแนวโน้มสำคัญของการดำเนินธุรกิจในอนาคตแล้วนั้น นอกจากจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร เปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย

ธิดารัตน์ เดชายนต์บัญชา ผู้บริหารสูงสุดสายงานจัดซื้อกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟสร้างการมีส่วนร่วมกับคู่ค้าในห่วงโซ่คุณค่าผ่านโครงการ Partner to Grow… เติบโต เคียงข้าง อย่างยั่งยืน ที่ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 ในการพัฒนาขีดความสามารถคู่ค้าในห่วงโซ่คุณค่าในทุกมิติ ทั้งด้านคุณภาพ การส่งมอบสินค้าและบริการ ความสามารถในการแข่งขัน นวัตกรรม และความยั่งยืน ล่าสุด ได้ร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบ เพื่อร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปด้วยกัน

“การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคือหัวใจสำคัญในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นทั้ง “ความรับผิดชอบ” และ “โอกาสทางธุรกิจ” หากธุรกิจไม่ปรับตัวจะไม่สามารถแข่งขันได้ ซีพีเอฟเชื่อว่าการเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้คู่ค้า จะช่วยให้ทั้งระบบห่วงโซ่อาหารไทยก้าวสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำได้จริง ตอบโจทย์ความต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต และร่วมกันสร้างระบบอาหารโลกที่มั่นคงและยั่งยืน” ธิดารัตน์กล่าว

เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้ากิจกรรมจิตอาสา ตอกย้ำแนวทางการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตและการมีส่วนร่วมของบุคลากร

0

เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้กรอบ ESG (Environmental, Social, and Governance) โดยเฉพาะมิติด้านสังคม “S – Social”     หรือการมีส่วนร่วมสร้างสรรค์สังคมที่ดีอย่างยั่งยืน ด้วยการจัดกิจกรรมเพื่อพนักงานและกิจกรรมจิตอาสาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคลากรควบคู่ไปกับการตอบแทนสังคมเพื่อประโยชน์ต่อลูกค้า ชุมชน และสังคมไทยในระยะยาว

นายสาระ ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทดำเนินกิจกรรมเพื่อพนักงานและกิจกรรมจิตอาสาหลากหลายรูปแบบ โดยมีเป้าหมายหลักในการ พัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคลากร และ ส่งเสริมความเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพต่อสังคม ผ่านแนวคิด “ส่งต่อความสุขสู่สังคม” ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงสร้างรอยยิ้มให้กับผู้รับ แต่ยังเป็นพื้นที่เรียนรู้ เติบโต และสร้างคุณค่าทางจิตใจให้กับพนักงานอย่างลึกซึ้ง

นอกจากการจัดกิจกรรมแล้ว บริษัทฯ ยังสนับสนุน “วันลากิจกรรมจิตอาสา (CSR Leave)” เพื่อให้พนักงานสามารถเลือกทำความดีในแบบที่ตนเองสนใจและถนัด โดยในปี 2568 มีพนักงานใช้สิทธิดังกล่าวแล้วถึง     260 คน หรือ 10% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด

สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทดำเนินกิจกรรมจิตอาสาเพื่อสังคมรวม 8 กิจกรรมหลัก อาทิ

1.        กิจกรรมส่งมอบความสุขให้กับน้องผู้พิการทางสติปัญญา (มกราคม) เนื่องในโอกาสวันเด็ก  ณ สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา จ.ราชบุรี

2.        กิจกรรมพับผ้าขนหนูเป็นตุ๊กตาหมี 1,000 ตัวเพื่อแบ่งปัน (กุมภาพันธ์) จัดพร้อมกันทั่วประเทศ เชิญชวนพนักงานจากสำนักงานภูมิภาคและสาขา ร่วมพับผ้าขนหนูเป็นตุ๊กตาหมี 1,000 ตัว พร้อมเขียนการ์ดส่งกำลังใจ เพื่อมอบให้น้องๆ ในโรงพยาบาลเด็กและพื้นที่ห่างไกล

3.        กิจกรรมส่งมอบตุ๊กตาหมีให้กับน้องๆ ที่โรงพยาบาลเด็ก (เมษายน)  ณ โรงพยาบาลเด็ก

4.        MTL ค่ายเพาะสุข ปลูกจิตอาสา ครั้งที่ 3 (พฤษภาคม) กิจกรรมช่วงปิดเทอมสำหรับบุตร-หลานหรือสมาชิกในครอบครัวพนักงาน เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และจิตอาสาผ่านกิจกรรม eco-print พิมพ์ลายดอกไม้ลงบนกระเป๋าผ้าเพื่อส่งมอบให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน เรียนรู้การบริหารการเงิน และสนุกกับการทำคัพเค้ก DIY ตามจินตนาการ

5.        กิจกรรม “ฟังสร้างสุข” (มิถุนายน) จัดโดยความร่วมมือกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อเรียนรู้ทักษะการสื่อสาร การรับฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening) และการสนทนาเชิงบวก  พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกันระหว่างกิจกรรม

6.        โครงการเมืองไทยอนุรักษ์ทะเลไทย ตอน “รักษ์เต่าทะเล” เดือนมิถุนายน ร่วมปล่อยเต่าและล้างทำความสะอาดบ่ออนุรักษ์เต่า  ณ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ จ.ชลบุรี

7.        บริจาคโลหิต (สำนักงานใหญ่) รับบริจาคโลหิตร่วมกับสภากาชาดไทย

8.    บริจาคโลหิต (สำนักงานภูมิภาคเชียงใหม่) รับบริจาคโลหิตร่วมกับสภากาชาดไทย

ทั้งนี้ บริษัทฯ เล็งเห็นว่ากิจกรรมจิตอาสาเป็นกลไกสำคัญในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและเปี่ยมด้วยน้ำใจ โดยกิจกรรมในช่วงครึ่งปีแรกสะท้อน “การคืนคุณค่าสู่สังคม” ในหลากหลายมิติ ทั้งด้านสังคม การศึกษา สิ่งแวดล้อม และสุขภาพจิต ซึ่งล้วนมีส่วนในการยกระดับคุณภาพสังคมไทยในหลายระดับ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับสุขภาวะทางปัญญา (Spiritual Health) เพื่อส่งเสริมความผูกพันและความสุขในการทำงานผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ครอบคลุมทั้งด้านศิลปะ ภาวนา ความสัมพันธ์ และกีฬา ซึ่งจะส่งผลที่ดีโดยตรงต่อ ประสิทธิภาพการทำงาน ความคิดสร้างสรรค์ และความผูกพันต่อองค์กร  อาทิ  

1.   Blind Massage การนวดผ่อนคลายโดยหมอนวดผู้พิการทางสายตาจากสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยคนตาบอดในประเทศไทย

2.      Mandala Art ศิลปะสมาธิเพื่อความสงบและการเยียวยา เพื่อการฝึกสมาธิ โดยใช้ศิลปะภาวนาด้วยการระบายสี Mandala Art ซึ่งจะช่วยให้ได้ผ่อนคลาย พร้อมฝึกรับรู้ สังเกตและเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างทำผลงานศิลปะ

3.    Kohrinka “ดอกไม้แห่งแสงสว่าง”  กิจกรรมจัดดอกไม้เพื่อฝึกจิตใจ ซึ่งการจัดดอกไม้แบบ โครงการ ที่เน้นความเรียบง่าย และเรียนรู้ที่จะมองธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เพื่อฝึกฝนจิตใจ เปิดรับความงามรอบตัวเข้าสู่ชีวิตประจำวันช่วยให้มองเห็นถึงพลังของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่

4.      Clay@Heart – ปั้นดิน โอบใจ เพื่อค้นพบช่วงเวลาตระหนักรู้ในตนเอง ทบทวนคุณค่าที่ซ่อนอยู่ สัมผัสความรู้สึกมั่นคงภายใน สร้างพื้นที่ปลอดภัยที่สามารถแสดงตัวตนและโอบรับความแตกต่าง

5.      MTL Badminton Open 2025 – กระชับมิตรด้วยกีฬา สร้างสุขภาพที่ดี

6.      การแข่งขันฟุตบอล 7 คน – เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานในแวดวงประกัน

7.      กิจกรรม Blind Massage (สำนักงานเชียงใหม่) – ขยายโอกาสดูแลสุขภาพจิตไปยังภูมิภาค

“เมืองไทยประกันชีวิตเชื่อว่า “พนักงานคือหัวใจขององค์กร” การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปี่ยมด้วยคุณค่าจะนำไปสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งในด้านธุรกิจ ชุมชน และสังคม บริษัทยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรมเพื่อสังคมและกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพนักงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกก้าวของเมืองไทยประกันชีวิต เป็นก้าวแห่งการแบ่งปันและการเติบโตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง” นายสาระกล่าวสรุป   

ออมสิน ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ทุกตัว 0.25% ทั้ง MRR MLR และ MOR มีผล 15 สิงหาคม 68 หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ

0

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินพร้อมเดินหน้าเคียงข้างประชาชนและภาคธุรกิจไทย สอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อช่วยลดภาระทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่อง และสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการและประชาชน

ธนาคารออมสิน จึงประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท ดังนี้
✅ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้ารายย่อย (MRR) ลดเหลือ 6.295% ต่อปี
✅ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่ (MLR) ลดเหลือ 6.325% ต่อปี
✅ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าใช้วงเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ลดเหลือ 6.095% ต่อปี
📌 มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
📌 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภทของธนาคาร (MRR / MLR / MOR) ยังคงต่ำที่สุดในระบบ เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่

การปรับลดครั้งนี้ เป็นการสานต่อมาตรการช่วยเหลือที่ธนาคารได้ริเริ่มมาก่อนหน้านี้ ซึ่งได้เคยนำร่องลดดอกเบี้ยเงินกู้มาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2568 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินและกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในวงกว้าง ทั้งยังสะท้อนการยึดมั่นในแนวทาง “ธนาคารเพื่อสังคม” ที่พร้อมปรับลดกำไรให้อยู่ในระดับเหมาะสม เพื่อขยายความสามารถในการช่วยเหลือภารกิจทางสังคมได้มากขึ้น

AIS ZEED ปล่อยแคมเปญ ZEED 5G x Goodnotes5G เอาใจวัยทีน มอบสิทธิ์ใช้งาน Goodnotes ฟรี! 3 เดือนพร้อมแจก Digital Study Planner ตัวช่วยวางแผนการเรียนให้ปัง

0

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เข้าใจไลฟ์สไตล์วัยทีน มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้ากลุ่มนักเรียน-นักศึกษาเพื่อตอบโจทย์การเรียนยุคดิจิทัล ส่งแคมเปญ “ZEED 5G x Goodnotes: เรียนล้ำไปอีกขั้น ปลดล็อกทุกฟีเจอร์ พร้อมแพลนเนอร์สุดพรีเมียม” ตอกย้ำบทบาทการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษาที่เข้าถึงและเข้าใจวัยเรียน ผ่านความร่วมมือกับแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง Goodnotes มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าใหม่ทั้งแบบเติมเงินและรายเดือนที่สมัครแพ็กเกจตามกำหนดใช้งานได้เต็มอิ่มยิ่งขึ้น ด้วยสิทธิ์ใช้งาน Goodnotes 6 ฟรี! 3 เดือนเต็ม พร้อมรับ Digital Study Planner สุดพรีเมียม ออกแบบโดย The Butter and Scotch เพื่อช่วยวางแผนการเรียนอย่างมีระบบ และต่อยอดสู่ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นางเบญจพร กำเพ็ชร หัวหน้าสำนักการตลาดกลุ่มลูกค้าพรีเพด AIS กล่าวว่า “ในยุคดิจิทัลที่การเรียนรู้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน การเข้าถึงเทคโนโลยีจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ AIS ZEED 5G มุ่งมั่นเป็นเครือข่ายของคนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนทุกไลฟ์สไตล์ของวัยทีน ส่งเสริมการเรียนรู้ และช่วยให้นักเรียนไทยเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียม ความร่วมมือกับ Goodnotes ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่เพียงสิทธิพิเศษที่เรามอบให้กับลูกค้าเอไอเอสเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งมอบ ‘โอกาส’ ที่จับต้องได้ ให้เยาวชนไทยเข้าถึงแอปพลิเคชันที่มีคุณภาพ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ทั้งยังเสริมเครื่องมือที่ช่วยให้น้องๆ สามารถวางแผนการเรียนได้อย่างเป็นระบบ ผ่าน Digital Study Planner ซึ่งออกแบบโดย The Butter and Scotch จาก Peanut Butter คอนเทนต์ครีเอเตอร์และไอดอลด้านการเรียนของน้องๆ วัยทีน เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ เติบโต และสร้างอนาคตของตัวเองได้อย่างมีเป้าหมาย สู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนให้กับชีวิตวัยเรียน”

สิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้า AIS ZEED 5G ทั้งแบบเติมเงินและรายเดือน เพียงเปิดเบอร์ใหม่พร้อมเติมเงิน 200 บาทขึ้นไปภายใน 7 วันหลังเปิดเบอร์สำหรับลูกค้าแบบเติมเงิน หรือเปิดเบอร์ ZEED 5G ใหม่หรือย้ายค่ายแบบรายเดือน และสมัครแพ็กเกจ 299 บาทขึ้นไป สำหรับลูกค้ารายเดือน โดยกด *545*614# เพื่อรับโค้ดใช้งาน Goodnotes 6 ฟรี! นาน 3 เดือน และกด *545*615# เพื่อรับโค้ดแลกรับ Digital Study Planner สุดเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนด ตั้งแต่วันนี้ – 31 ม.ค. 69

สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับ ZEED 5G SIM แบบเติมเงิน ได้ที่ https://www.ais.th/consumers/package/exclusive-plan/zeed-5g/5g-prepaid และ สำหรับ ZEED 5G แบบรายเดือน ได้ที่ https://www.ais.th/consumers/package/exclusive-plan/zeed-5g/5g-postpaid

ส่งต่อความรักแทนใจ ให้แม่ด้วย AIS Points แลกรับความพิเศษ กิน เที่ยว ช้อป เริ่มต้นเพียง 1 พอยท์

0

AIS มอบความสุขต้อนรับวันแม่ 2568 มัดรวมสิทธิพิเศษให้ลูกค้าใช้ AIS Points แลกรับของขวัญแทนความรักและความห่วงใย เริ่มต้นเพียง 1 คะแนน ผ่านแอป myAIS ไม่ว่าจะพาแม่ไปอิ่มอร่อยกับร้านดัง เที่ยวพักผ่อนแบบพรีเมียม ช้อปของขวัญสุดพิเศษ ส่งสติกเกอร์ไลน์บอกรัก หรือดูแลสุขภาพแม่อย่างใส่ใจ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเติมเต็มช่วงเวลาสำคัญให้กับทุกครอบครัวอย่างอบอุ่นและน่าประทับใจตลอดเดือนแห่งความรักของแม่ปีนี้

  • พาแม่ช้อป ชิม ชิล แชท เติมความสุขได้ทั้งวัน เก็บคูปองส่วนลด พาแม่อิ่มอร่อยกับมื้อพิเศษ ช้อปสนุก พร้อมเล่นเน็ตเพลินไม่สะดุด ใช้ 110 คะแนน แลกรับคูปองส่วนลด 100 บาท สำหรับเมนูที่ร่วมรายการ ที่ Sizzler หรือใช้ 130 คะแนน แลกรับส่วนลด 100 บาทที่ Fuji Restaurant หรือใช้ 300 คะแนน แลกส่วนลด 100 บาทที่ The Mall Department Store ใช้ 45 คะแนน แลกแพ็กเน็ต 6MBps เล่นเน็ตเต็มสปีด นาน 1 วัน เริ่มเก็บคูปองและใช้ได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ส.ค. 68
  • จัดทริปลัดฟ้า พาแม่เที่ยวในแบบที่พิเศษกว่าเดิม ใช้เพียง 1 คะแนน แลกรับส่วนลดตั๋วเครื่องบิน หรือที่พักหรูราคาพิเศษทั่วโลก อาทิ Baba Beach Club Hua Hin / Natai และ Sri Panwa Phuket, GO Hotel, โรงแรมและรีสอร์ตในเครือดุสิต, โรงแรมและรีสอร์ทในกลุ่มบีดับเบิ้ลยูเอช โฮเทล, ส่วนลดเมื่อจองที่พักทั่วโลกที่ร่วมรายการ และตั๋วเครื่องบินผ่าน Trip.com
  • ส่งของขวัญแทนใจเซอร์ไพรส์แม่ ใช้เพียง 1 คะแนน แลกรับส่วนลดสำหรับซื้อของขวัญให้แม่ ผ่านแพลตฟอร์ม
    ช้อปปิ้งออนไลน์ยอดฮิต ไม่ว่าจะเป็น Lazada, Tops Online, Big C Online และ ThailandPostMart โดยสามารถกดรับสิทธิ์ได้ที่แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของแต่ละแพลตฟอร์ม
  • พาแม่ตรวจสุขภาพแทนความห่วงใย ใช้เพียง 1 คะแนน แลกรับส่วนลดแพ็กเกจตรวจสุขภาพ 15 รายการ ราคาเพียง 3,500 บาท (จากราคาปกติ 8,690 บาท) จากเครือโรงพยาบาลพญาไท- เปาโล ที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 68
  • บอกรักแม่ด้วยสติกเกอร์ไลน์สุดน่ารัก ใช้ 35 คะแนน แลกรับฟรีสติกเกอร์ไลน์ 1 เซต ส่งความรักและความห่วงใยให้แม่ได้ง่ายๆ ได้ทุกวัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 68

ออมสินจัดเงินฝากระยะสั้น ดอกเบี้ยแรง เลือกฝากได้ 5 เดือน / 7 เดือน วันนี้ – 31 ส.ค. 68

0

ออมสินชวนออมกับเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ รับดอกเบี้ยแรงจัดเต็ม!
รายละเอียดเพิ่มเติม >> https://to.gsb.or.th/HngNliP

✨ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 5 เดือน
ดอกเบี้ย 1.12% ต่อปี (เทียบเท่าประจำ 1.31%)
✨ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 7 เดือน
ดอกเบี้ย 1.20% ต่อปี (เทียบเท่าประจำ 1.41%)

⚠️ เงื่อนไข
✔️ เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท
✔️ ฝากเพิ่มครั้งละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท
✔️ รับฝากบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด
✔️ บุคคลธรรมดาไม่เสียภาษี ณ ที่จ่าย
📍 ถอนหรือปิดบัญชีก่อนครบกำหนด ได้รับดอกเบี้ยเผื่อเรียก

ฝากได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 31 ส.ค. 68 ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา
⚠️ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

AIS จับมือ บาร์บีคิวพลาซ่า ร่วมกันยืดเวลาโลก ส่งแคมเปญ “อุ่นใจรักษ์โลก x น้องกะหล่ำ” ชวนคนไทยทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี ขยายจุดรับ E-Waste ทั่วประเทศ

0

AIS ร่วมกับแบรนด์ร้านอาหารปิ้งย่าง บาร์บีคิวพลาซ่า เปิดตัวแคมเปญ “อุ่นใจรักษ์โลก x น้องกะหล่ำ” ชวนคนไทยร่วมปกป้องน้องกะหล่ำจากพิษร้ายของขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Waste ผ่าน Collaboration Campaign รณรงค์การแยกทิ้ง E-Waste อย่างถูกวิธี ขยายจุดรับทิ้ง E-Waste ให้ผู้บริโภคและคนไทยช่วยกันช่วยกันยืดเวลาอาหาร ยืดเวลาโลกให้น่าอยู่ได้ง่ายๆ ไปยังบริเวณหน้าร้านบาร์บีคิวพลาซ่ากว่า 38 สาขาทั่วประเทศ ร่วมกันสร้างพฤติกรรมการทิ้งขยะอย่างมีระบบ ร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจสื่อสารองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “การดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ AIS ให้ความสำคัญมาโดยตลอด เรามุ่งมั่นขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเรื่องการจัดการปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ยั่งยืน ภายใต้แคมเปญระดับภูมิภาค “สัญญาณยืดเวลาโลก – Signals of Sustainable Future” ในการสานต่อภารกิจ “คนไทยไร้ E-Waste” ผ่านการสร้างระบบบริหารจัดการ E-Waste อย่างถูกวิธี สำหรับแคมเปญ “อุ่นใจรักษ์โลก x น้องกะหล่ำ” ร่วมกับทางบาร์บีคิวพลาซ่า ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่น่ายินดี และเป็นครั้งแรกที่ AIS จับมือกับพันธมิตรอุตสาหกรรมร้านอาหาร ที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันด้านความยั่งยืน เพื่อร่วมกันส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีต่อโลก เชิญชวนคนไทยให้หันมาแยกทิ้งขยะ E-Waste อย่างถูกวิธีและเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น ผ่านจุดรับที่ผูกโยงกับไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันของผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวและคนรุ่นใหม่อย่างร้านบาร์บีคิวพลาซ่าที่มีสาขาทั่วประเทศ

นอกจากนี้ เรายังต่อยอดการสื่อสารผ่าน Collaborative Content ระหว่างอุ่นใจรักษ์โลกและน้องกะหล่ำ เพื่อสร้างความเข้าใจและกระตุ้นการมีส่วนร่วมของสังคมในวงกว้าง สู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสังคมไปด้วยกันอย่างยั่งยืน เพราะปัญหา E-Waste ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของเราทุกคน ขยะทุกชิ้นที่ถูกทิ้งอย่างถูกที่ เท่ากับการช่วยกันยืดเวลาไม่ให้รสชาติอาหารแสนอร่อยหายไปจากการปนเปื้อนพิษร้ายของ E-Waste และช่วยยืดอายุโลกของเราให้น่าอยู่ต่อไป”

นายจรูญโรจน์ เทพที ประธานบริหารสายงานซัพพลายเชน บริษัท ฟูู้ดแพชชั่น จำกัด กล่าวว่า “บาร์บีคิวพลาซ่าเชื่อว่าการดูแลสิ่งแวดล้อม และสังคมไม่ใช่เพียงภารกิจเสริม แต่คือส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์องค์กรที่เรายึดมั่นมาโดยตลอด เพื่อขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมให้ผู้คนตระหนักถึงการลดขยะอาหาร (Food Waste) และการคัดแยกขยะแต่ละประเภทอย่างถูกวิธี ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ภายใต้แนวคิด Small But Meaningful ด้วย Concept Behaviour Changed เพื่อให้เกิด ‘ลด เลิก เปลี่ยน’ โดยเริ่มจากการเปลี่ยนพฤติกรรม และการลงมือทำเล็กๆ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง และยั่งยืน

ที่ผ่านมา ความร่วมมือกับกรีนพาร์ทเนอร์ (Green Partner) ถือเป็นอีกแรงสำคัญในการขับเคลื่อน และในครั้งนี้การจับมือกับ AIS ในแคมเปญ ‘อุ่นใจรักษ์โลก x น้องกะหล่ำ’ คือ อีกหนึ่งก้าวที่ตอกย้ำว่า การสร้างความยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยพลังของหลายภาคส่วนที่พร้อมเดินหน้าไปด้วยกันอย่างจริงจัง เราภูมิใจที่ร้านบาร์บีคิวพลาซ่ากว่า 38 สาขา ได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง (Hub) ให้ลูกค้า และพนักงานมีส่วนร่วมในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) อย่างถูกวิธี พร้อมหยิบ ‘น้องกะหล่ำ’ เมนูในดวงใจของทุกคน มาเป็นสัญลักษณ์เตือนว่า หากไม่เริ่มดูแลสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วันนี้ วัตถุดิบและรสชาติที่เรารักอาจหายไปจากโต๊ะอาหาร สำหรับใน

แคมเปญนี้ บาร์บีคิวพลาซ่านำเมนู สุกี้แห้งหมูสามชั้นทอดกะหล่ำกรอบ มาสื่อสารผ่านแนวคิด “แค่แยก E-Waste ให้ถูกที่ กะหล่ำปลีในเมนูสุกี้ก็จะไม่หายไป” เพราะขยะอิเล็กทรอนิกส์มีสารพิษที่สามารถปนเปื้อนลงสู่ดินและน้ำ หากทิ้งไม่ถูกวิธีพืชผักที่เคยปลูก อาจได้ผลผลิตที่ไม่ดีหรือไม่มีวันปลูกได้อีก หากปลูกได้เมื่อนำมาบริโภคก็จะส่งผลต่อสุขภาพจากการปนเปื้อนของสารพิษ

ถึงเวลาร่วมคัดแยกขยะ E-Waste อย่างถูกวิธี เพื่อรักษาโลก และรักษากะหล่ำปลีให้อยู่คู่เมนูโปรดของทุกคน เพราะถ้ากะหล่ำ GONE… ลาก่อนสุกี้แห้งหมูสามชั้นทอดกะหล่ำกรอบที่คุณรักอย่างแน่นอน ร่วม #Saveน้องกะหล่ำ วันนี้ เพื่อรสชาติที่ดีของวันพรุ่งนี้ สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณ AIS ที่ชวนเราร่วมแคมเปญครั้งนี้ และเชื่อมั่นว่าด้วยพลังของพาร์ทเนอร์ และผู้บริโภคที่จะช่วยกันยืดเวลาโลกให้น่าอยู่ พร้อมส่งต่อรสชาติความสุขให้ทุกเจเนอเรชันอย่างยั่งยืน” นายจรูญโรจน์ฯ กล่าวทิ้งท้าย

อุ่นใจและน้องกะหล่ำขอเชิญชวนลูกค้าที่แวะมาอิ่มอร่อยกับ บาร์บีคิวพลาซ่า มาร่วมกันปกป้องน้องกะหล่ำและดูแลสิ่งแวดล้อมไปด้วยกันได้ง่ายๆ เพียงนำสายชาร์จ แบตเตอรี่ หูฟัง หรือโทรศัพท์มือถือที่ไม่ใช้งานแล้ว มาทิ้งที่จุดรับทิ้งหน้า ร้านบาร์บีคิวพลาซ่า กว่า 38 สาขา และจุดรับทิ้งของ AIS รวมถึงพันธมิตรอื่นๆ 3,000 จุดทั่วประเทศ ซึ่งสามารถมั่นใจได้ว่า E-Waste ทุกชิ้นจะถูกนำไปจัดการและรีไซเคิลอย่างปลอดภัยภายใต้มาตรฐาน E-Waste Zero to Landfill โดย AIS เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และคืนทรัพยากรกลับสู่ระบบตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนต่อไป

ร่วมติดตามภารกิจยืดเวลาโลก และร่วมส่งต่อแรงบันดาลใจในการดูแลโลกของเราไปด้วยกัน ได้ที่ https://www.facebook.com/ais.sustainability/?locale=th_TH

รู้เก็บรู้ออม : ลงทุนแบบเดอะแบก

0

คนที่ไม่ได้แบกรับภาระไว้บนบ่าเอง ย่อมไม่รู้หรอกว่ามันหนักแค่ไหน แม้เราจะเห็นว่า พ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ในบ้านทำงานหนัก และต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องในบ้าน และสมาชิกในครอบครัวก็ตาม แต่อย่างไรเสีย เราจะไม่มีทางเข้าใจได้ดีพอจนกว่าจะถึงเวลาที่ตัวเองเติบโตและต้องมาเป็นเสาหลัก หรือผู้นำครอบครัวด้วยตัวเอง

“คุณนายพารวย” มีโอกาสอ่านบทความจากเว็บ SET invest now เรื่อง “เดอะแบก เลือกสินทรัพย์อย่างไรให้รอดทั้งครอบครัว” อยากนำมาถ่ายทอดต่อเพราะเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกับคนที่กำลังรับตำแหน่งเดอะแบกอยู่ตอนนี้

เดอะแบก เป็นคำที่นิยามถึงคนที่เป็นเสาหลักของครอบครัว ต้องดูแลทั้งพ่อแม่ที่สูงอายุ พร้อมกับเลี้ยงดูลูกหลานที่อยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอนและกำลังเรียน เราเรียกเพื่อนร่วมชะตาแบกกลุ่มนี้ว่า กลุ่ม Generation Sandwich ที่ลำพังคิดเรื่องหาเงินเลี้ยงตัวเองก็เครียดพอแล้ว แต่ยังต้องคิดถึงคนอื่นที่อยู่ในความรับผิดชอบ ทั้งค่ากินอยู่ ค่าหยูกยาของพ่อแม่ ค่าเทอมลูก

สิ่งที่เดอะแบกต้องการ ลำพังแค่กำลังใจ หรือคำพูดปลุกปลอบใจให้สู้ๆ จากคนใกล้ตัวคงไม่เพียงพอ แต่คนกลุ่มนี้ ต้องการการวางแผนการเงินที่ดีและรัดกุม เพื่อที่สามารถมีเงินเพียงพอสำหรับทุกคนในบ้าน โดยบทความชิ้นนี้ได้เสนอกลยุทธ์การลงทุนสำหรับเดอะแบกไว้ 5 ข้อ ดังนี้

1.กระจายการลงทุน ต้องแบ่งเงินกระจายลงทุนไว้ในหลายสินทรัพย์ หลายประเภท หลายอุตสาหกรรม และหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ และเงินฝาก เพื่อให้พอร์ตยืดหยุ่นและทนทานต่อความผันผวน, 2.สร้างเงินให้โต โดย “หุ้น” ถือเป็นตัวเลือกดีที่สุดสำหรับการเติบโตระยะยาว หากไม่ถนัดลงทุนเอง ก็สามารถเลือกซื้อเป็นกองทุนที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลบริหารเงินให้ ไม่ว่าจะเป็น กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) หรือ “ETFs” และกอง “REITs” ที่ให้ทั้งเงินเติบโตและเงินปันผล

3.เงินสำรองและความมั่นคง เดอะแบกต้องแบ่งเงินไปฝากไว้ที่ “เงินฝากประจำ” และ “พันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้” ที่สำคัญต้องมี “เงินสดสำรอง”ไว้อย่างน้อย 6-12 เดือนของรายจ่ายแต่ละเดือน เผื่อไว้ตอนโชคชะตาเล่นตลก, 4. สิทธิลดหย่อนภาษี ใช้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ RMF มาลดหย่อนภาษีและออมระยะยาว และ 5.ประกันชีวิต ควรซื้อประกันเพื่อความคุ้มครองที่ครอบคลุมด้านต่างๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยรายได้และความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต เพื่อลดความเสี่ยงทางการเงินของครอบครัวเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการจัดสรรเงินทุนให้เหมาะกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น ภูมิต้านทานความเสี่ยง, เป้าหมายการเงิน และความต้องการใช้เงิน เดอะแบกต้องพร้อมที่จะทบทวน ปรับพอร์ตลงทุนให้เหมาะกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ลงทุนสะเปะสะปะ ไม่ลงทุนตามกระแส แต่จงลงทุนแบบไม่เกินตัวและไม่เกินความสามารถจนสร้างภาระกดทับและกดดันซ้ำไปอีกหากทำได้ รับรองว่าเราจะเป็นเดอะแบกที่แบกไปยิ้มไป แม้ภาระบนบ่าจะหนักแค่ไหน เพราะแผนการเงินที่ดี มีวินัยการเงิน และลงทุนอย่างฉลาด จะทำให้เดอะแบกสร้างอนาคตที่มั่นคงและแข็งแรงให้ทุกคนในครอบครัว “คุณนายพารวย” ขอส่งกำลังใจให้เดอะแบกทุกคนนะคะ.

“ฟาร์มหมอต้น” ตัวอย่าง เกษตรกรแนวหน้า คว้ารางวัล SME ระดับชาติ ซีพีเอฟ ผสานองค์ความรู้-เทคโนโลยี ยกระดับฟาร์มคู่ค้า สู่มาตรฐานสากล

0

“ฟาร์มหมอต้น” ผู้ประกอบการฟาร์มเลี้ยงสุกร ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทราและปราจีนบุรี ที่วันนี้ดำเนินงานมาแล้ว 11 ปี และสามารถพาธุรกิจขึ้นแท่นผู้ประกอบการยอดเยี่ยมระดับชาติ คว้า 3 รางวัล ได้แก่ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 SME National Awards 2025 และอีก 2 รางวัลพิเศษ คือ รางวัล SME แห่งชาติยอดเยี่ยม และรางวัล SME Sustainability & ESG Excellence ภายใต้โครงการ MSME National Awards 2025 ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งปีนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 17

สะท้อนความสำเร็จในการบริหารจัดการ ที่ปฏิบัติตามแนวทาง TQA และได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผ่านกระบวนการ “คิดและเติบโตไปด้วยกัน” ส่งต่อองค์ความรู้ เทคโนโลยี และระบบการบริหารจัดการแบบมืออาชีพอย่างเป็นระบบ

น.สพ.วรวุฒิ ศิริปุณย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฟาร์มหมอต้น จำกัด กล่าวว่า “ฟาร์มหมอต้น” มุ่งมั่นผลิตสุกรครบวงจรที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ตามมาตรฐานสากล ใส่ใจความยั่งยืนระดับโลก การผลิตอยู่ภายใต้มาตรฐานทั้งด้านสุขอนามัย สวัสดิภาพสัตว์ และกระบวนการผลิต โดยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในทุกมิติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความยั่งยืนระยะยาว ควบคู่กับการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อยู่ร่วมกับชุมชน สังคมได้ จากจุดเด่นในการนำหลักการจัดการฟาร์มแบบบูรณาการมาประยุกต์ใช้จริง ทำให้ได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัลนี้

“ความสำเร็จที่เกิดขึ้นยังได้แรงผลักดันจากซีพีเอฟ พันธมิตรที่ช่วยคิด พัฒนา และเติบโตไปด้วยกัน ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และระบบต่างๆ จากการที่ซีพีเอฟมีความเชี่ยวชาญด้านเกษตรอุตสาหกรรมอยู่แล้ว เช่น ไบโอแก๊ส โซลาร์ รูฟท็อป รวมทั้งการสนับสนุนจากหน่วยงานพัฒนาศักยภาพลูกค้าและทีมขายอาหารสัตว์ภาคตะวันออก ทีมผู้เชี่ยวชาญบริการวิชาการ ทีมการตลาด ทีมสนับสนุน ที่สำคัญ คือ การถ่ายทอดแนวทางการบริหารองค์กรสู่ความเป็นเลิศ (CP Excellence) จนฟาร์มสามารถยกระดับการจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทั้ง Supply Chain สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล รวมถึงการใส่ใจสิ่งแวดล้อมตามหลัก ESG” น.สพ.วรวุฒิ กล่าว

บจ.ฟาร์มหมอต้น ผ่านการประเมินจากผู้สมัครกว่า 200 รายทั่วประเทศ สะท้อนศักยภาพของผู้ประกอบการ SME ไทย ที่สามารถยกระดับธุรกิจเทียบเท่ามาตรฐานสากลได้ด้วยตนเอง โดยมีซีพีเอฟเป็นพันธมิตรร่วมทางสู่เป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืน แบ่งปันองค์ความรู้ ประสบการณ์ และแนวทางการบริหารจัดการที่ทันสมัย

สำหรับรางวัล SME National Awards มีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานธุรกิจ MSME ให้ก้าวสู่ระดับสากล โดยการปรับใช้เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (TQA) เป็นฐานการพิจารณาให้เข้ากับบริบทของ MSME ครอบคลุมการบริหารจัดการ 7 ด้านสำคัญ ได้แก่ บทบาทของผู้บริหารในการนำองค์กร การวางแผนการดำเนินธุรกิจ การมุ่งเน้นลูกค้าและตลาด การวัด วิเคราะห์และจัดการความรู้ การบริหารทรัพยากรบุคคล การจัดการกระบวนการ และผลลัพธ์ทางธุรกิจ ปีนี้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลฯ ร่วมกับ นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ สสว. โดยมี นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ และทีมงานฯ ร่วมแสดงความยินดี.