Home Blog Page 27

คณะแพทยฯ รพ.รามาธิบดี จัดงานวันงดสูบบุหรี่โลก 2568 เตือนภัยบุหรี่ไฟฟ้ารุ่นปัจจุบันมีสารนิโคตินสูงกว่าบุหรี่มวนหลายเท่า ติดง่าย เลิกยาก และทำลายสมองมากกว่า

0

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จัดงานวันงดสูบบุหรี่โลก 2568 เตือนภัย บุหรี่ไฟฟ้ารุ่นปัจจุบันมีสารนิโคตินสูงกว่าบุหรี่มวนหลายเท่า เสพติดง่ายกว่า เลิกยากกว่า และทำลายสมองมากกว่า ย้ำชัดทุกภาคส่วนร่วมปกป้องเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จัดงานวันงดสูบบุหรี่โลกภายใต้หัวข้อ ““กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า: นิโคติน เสพติด จน ตาย” พร้อมทั้งประกาศเจตนารมณ์คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีไม่สนับสนุนการใช้บุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบ ย้ำชัดเด็กและเยาวชนไม่ควรเป็นเหยื่อธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า

พ.ต.ท. ปริญญา ปาละ รองผู้กำกับกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฏหมาย มีบทลงโทษทางกฏหมายในทุกกรณี ทั้งผู้ผลิต ผู้ขาย ผู้นำเข้า ผู้ครอบครอง และผู้สูบ มีโทษทั้งจำคุกและปรับ ไม่มีพื้นที่ใดที่สามารถขายและสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างถูกกฏหมาย ทุกคนต้องช่วยกันปกป้องเด็กและเยาวชนที่เป้าหมายสำคัญของธุรกิจบริษัทบุหรี่ไฟฟ้า หากพบเห็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฏหมายสามารถแจ้งไปที่กองบัญชาการสอบสวนกลาง โทร. 1599

ด้าน รศ.ดร.พญ. เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน และรองประธานคณะทำงานนักศึกษารามาธิบดีปลอดบุหรี่ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ บริษัทบุหรี่ไฟฟ้ามุ่งเป้าไปที่กลุ่มเด็กและเยาชน โดยแปลงร่างบุหรี่ไฟฟ้าให้ดูเหมือนของใช้ในชีวิตประจำวัน ปรับเป็นรูปแบบ “พอดจมูก” หรือบุหรี่ไฟฟ้าที่สูบทางจมูก แทนการสูดควันทางปาก และมีปริมาณนิโคตินบุหรี่ไฟฟ้าสูงมาก ในปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้า 1 แท่งมีนิโคตินเทียบเท่ากับบุหรี่มวนถึง 1,000 มวน นอกจากนี้บุหรี่ไฟฟ้าเสพติดง่ายกว่า เลิกยากกว่า และทำลายสมองมากกว่าบุหรี่มวน ยิ่งเป็นเด็กและเยาวชนแล้ว ถ้าได้รับนิโคติน ในขณะที่สมองกำลังเจริญเติบโต สมองจะถูกทำลาย เกิดปัญหาด้านสมอง เช่น ความจำไม่ดี เรียนไม่รู้เรื่อง และมีปัญหาทางด้านอารมณ์ตามมา เช่น ซึมเศร้า หงุดหงิด ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ โดยพบว่าร้อยละ 53 ของวัยรุ่นไทยที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีภาวะซึมเศร้า และมีอีกหลายกรณีที่เยาวชนของเราได้รับผลกระทบทางสุขภาพจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าแม้จะเริ่มใช้ไม่นาน เช่นกรณีล่าสุดเยาวชนไทยที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าไม่เกิน 1 ปี พบป่วยปอดอักเสบรุนแรงจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้า (EVALI) ทั้งปอดและหลอดลมพัง จนต้องใส่ท่อหายใจ จึงอยากจะขอให้เยาวชนด้วยกันเองเป็นกระบอกเสียงพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า และไม่ชักชวนกันให้ริเริ่มบุหรี่ไฟฟ้า อย่าตกเป็นเหยื่อสิ่งเสพติดที่อันตรายนี้

เช่นเดียวกับ คุณดาลัด รยะสวัสดิ์ ผู้อำนวยการเผยแพร่วิชาการและพัฒนาเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า การใช้บุหรี่ไฟฟ้า เสี่ยงต่อการใช้สิ่งเสพติดอื่นๆตามมา ซึ่งจากข้อมูลการสำรวจการใช้บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบในเยาวชนระดับมัธยมและเทียบเท่าในพื้นที่ภาคใต้ ปี 2567 พบว่าว่าเยาวชนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีการใช้สารเสพติดอื่นๆ เช่น กัญชา ยาบ้า สุรา สี่คูณร้อย (สารเสพติดที่เริ่มแพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่น เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมหลัก 4 อย่าง คือ น้ำต้มใบกระท่อม น้ำอัดลมประเภทโคล่า ยาแก้ไอที่มีส่วนผสมของโคเดอีน และยากันยุง) ในอัตราที่สูงกว่ากลุ่มเยาวชนที่ไม่เคยสูบหรือไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ดังนั้นการร่วมปกป้องเด็กเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพราะจะช่วยป้องกันปัญหาสิ่งเสพติดอื่นๆที่จะตามมาในกลุ่มเยาวชน พร้อมทั้งอยากให้ช่วยกันเผยแพร่ไปในวงกว้างให้เข้าใจว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฏหมายในทุกกรณี หากฝ่าฝืนจะได้รับโทษหนักมีทั้งโทษจำคุกและปรับในอัตราที่สูง

ด้าน ครูผุสชา พวงจันทร์ หัวหน้างานป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งเสพติด เอดส์และอบายมุข ของโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา 2 กล่าวว่า โรงเรียนถือว่าเป็นสถานศึกษาของกลุ่มเด็กและเยาวชน หากโรงเรียนมีมาตรการและนโยบายที่ชัดเจนในการป้องกันบุหรี่ไฟฟ้า จะช่วยลดความชุกนักสูบหน้าเก่าและนักสูบหน้าใหม่ได้ การดำเนินงานจะเกิดประสิทธิภาพจะต้องร่วมมือกันทั้งโรงเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน โดยโรงเรียนมีแนวทางในการดำเนินงานตาม 7 มาตรการป้องกัน ควบคุมและแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ดังนี้ 1. กำหนดนโยบายโรงเรียนปลอดบุหรี่ 2. บริหารจัดการเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่ 3. จัดสภาพแวดล้อมตามกฎหมายโรงเรียนปลอดบุหรี่ 4. สอดแทรกเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าในการจัดการเรียนรู้ 5. นักเรียนมีส่วนร่วมขับเคลื่อนโรงเรียนปลอดบุหรี่ 6. ดูแลช่วยเหลือนักเรียนไม่ให้สูบบุหรี่ และ 7. มีกิจกรรมร่วมระหว่างนักเรียนกับชุมชน ซึ่งการจะดำเนินงานตาม 7 มาตรการนี้จะต้องมีนโยบายที่สอดคล้องกันไป ซึ่งโรงเรียนมีนโยบายโรงเรียนปลอดบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า กัญชาและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 10 ข้อ ดังนี้ 1. ห้ามมิให้ผู้ใดสูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า ภายในบริเวณโรงเรียนและประตูหน้า-หลัง ทางเข้าออกรัศมี 5 เมตร รวมทั้งห้ามดื่มแอลกอฮอล์ภายในโรงเรียนเด็ดขาด ทั้งในและนอกเวลาราชการ รวมถึงการเข้ามาใช้สถานที่ของบุคคลภายนอกในการจัดกิจกรรมหรือจัดงานตามประเพณี 2. โรงเรียนสนับสนุนการดำเนินการตาม 7 มาตรการข้างต้น และสนับสนุนกิจกรรมเครือข่ายเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า กัญชาและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3. โรงเรียนสนับสนุนให้บุคลากรเป็นแบบอย่างที่ดีไม่สูบบุหรี่ทุกรูปแบบ 4. โรงเรียนสนับสนุนการพิจารณารับพนักงาน หรือลูกจ้าง หรือผู้ประกอบการร้านค้า ที่ไม่สูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า กัญชาและดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาทำงานในโรงเรียนเป็นอันดับแรก 5. โรงเรียนสนับสนุนให้มีมาตรการป้องกันไม่ให้มีผู้สูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า กัญชา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมีการอบรมให้ความรู้นักเรียนใหม่ทุกราย 6. โรงเรียนสนับสนุนให้มีกระบวนการช่วยเหลือนักเรียนที่ยังเลิกบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ โดยการแสดงตัวว่าเป็นสูบเข้าสู่กระบวนการช่วยเหลือ ลด ละ เลิก โดยเจ้าหน้าที่จากศูนย์สาธารณสุข 7. โรงเรียนสนับสนุนการสร้างความร่วมมือกับผู้ปกครองนักเรียน ชุมชนรอบโรงเรียน ในการสร้างค่านิยมการไม่สูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า กัญชาและดื่มแอลกอฮอล์ในที่ห้ามสูบ สนับสนุนบ้านปลอดบุหรี่และที่สาธารณะในชุมชน 8. โรงเรียนสนับสนุนการมีส่วนร่วมของเครือข่ายชุมชน และนักเรียนแกนนำให้ร่วมมือแก้ปัญหาบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า กัญชาและดื่มแอลกอฮอล์ 9. โรงเรียนสนับสนุนการดำเนินงานและจัดตั้งชมรม Gen Z Strong เลือกไม่สูบ ในโรงเรียนเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานโรงเรียนปลอดบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า กัญชา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเป็นแกนนำในการเผยแพร่ความรู้ด้านโทษภัยของบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า กัญชาและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้ชุมชน เครือข่ายฯ และโรงเรียนต่างๆ และ10. โรงเรียนสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานโรงเรียนต้นแบบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า กัญชาและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

พว.ปริศนา ภู่สุวรรณ์ พยาบาลประจำคลินิกเลิกบุหรี่ งานการพยาบาลสนับสนุนการรักษา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้แนวทางการเลิกบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า โดยใช้หลัก STAR และแนวทางจัดการเพื่อลดความอยากสูบและป้องกันการสูบซ้ำ ด้วยหลัก 5D โดยกล่าวว่า หลัก STAR S = Set a quit date กำหนดวันเลิกสูบบุหรี่ (ควรภายใน 2 สัปดาห์) เพื่อวางแผน หาวิธีที่จะเอาชนะอุปสรรค ความเคยชิน เพื่อกำหนดวันได้ ควรบันทึกไว้ และลงมือทำการเลิกบุหรี่เมื่อถึงวันที่กำหนด T = Tell family/friend บอกคนในครอบครัว คนใกล้ชิด เพื่อให้กำลังใจ สนับสนุนในการเลิกบุหรี่ อดทน ไม่โกรธ ถ้าช่วงเลิกตนมีอาการหงุดหงิดโมโหง่าย ไม่ล้อเลียน หรือยั่วยุให้สูบบุหรี่ A = Anticipate potential problem คาดเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ปัญหาล่วงหน้าที่จะกระตุ้นทำให้กลับไปสูบบุหรี่ โดยหาแนวทางจัดการหรือป้องกัน โดยใช้ หลัก 5D R = Remove equipment จำกัดอุปกรณ์การสูบบุหรี่ออกให้หมดทั้งที่บ้านและที่ทำงาน สำหรับหลัก 5D เพื่อลดความอยากสูบและป้องกันการสูบซ้ำ : Delay ชะลอความอยากสูบ ไม่สูบบุหรี่ทันที เลื่อนหรือยืดเวลาออกไปให้นานที่สุด (ในช่วงที่ทยอยลดปริมาณการสูบ) Deep breathing สูดลมหายใจเข้า-ออก ลึกๆยาวๆ 5-10 ครั้ง (โดยเฉพาะเวลาเครียด/หงุดหงิด) Deep water จิบ/ดื่มน้ำเปล่าเป็นระยะตลอดวัน Do something else หากิจกรรมอื่นแทนการสูบบุหรี่ เพื่อเปลี่ยนความเคยชินแบบเดิมๆ เช่น หลังตื่นนอน ลุกจากที่นอนทันที รีบล้างหน้า แปรงฟัน ตื่นเช้ากว่าปกติ ดื่มน้ำช้าๆ และDestination คิดถึงเป้าหมายว่าเราตั้งใจเลิกบุหรี่แล้ว เพื่ออะไร หากยังลังเลและไม่แน่ใจว่าจะเลิกบุหรี่ได้สำเร็จหรือไม่ สามารถมารับคำปรึกษาที่คลินิกเลิกบุหรี่ โรงพยาบาลรามาธิบดี โทร 02-2004048

เมืองไทยประกันชีวิต จัดกิจกรรม “ค่ายเพาะสุขปลูกจิตอาสา” ปลูกต้นกล้าแห่งความดี เพื่อส่งมอบความสุขสู่สังคม

0

เมืองไทยประกันชีวิต จัดกิจกรรม “ค่ายเพาะสุขปลูกจิตอาสา” เพื่อเสริมสร้างทัศนคติที่ดีและปลูกฝังจิตสำนึกด้านจิตอาสาให้กับสมาชิกในครอบครัวของพนักงานที่มีอายุระหว่าง 4–17 ปี รวมจำนวนทั้งสิ้น 60 คน โดยมุ่งหวังให้เยาวชนได้เรียนรู้ประสบการณ์ตรง พร้อมส่งต่อความสุขให้แก่สังคม ผ่านกิจกรรมที่สร้างสรรค์และสนุกสนานตลอดทั้งวัน

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของบุคลากรในองค์กรซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจ จึงจัดกิจกรรมนี้ขึ้นเพื่อส่งเสริมความผูกพันระหว่างองค์กรกับพนักงานในรูปแบบที่สร้างคุณค่าอย่างรอบด้าน โดยไม่เพียงมุ่งเน้นที่การดูแลพนักงานในมิติของการทำงานเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลในชีวิตและครอบครัว (work-life balance) อีกด้วย

กิจกรรม “ค่ายเพาะสุขปลูกจิตอาสา” จึงถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่เปิดโอกาสให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมการเรียนรู้ พัฒนาทักษะ และปลูกฝังคุณค่าที่ดีให้กับบุตรหลาน ผ่านกิจกรรมที่อบอุ่น เป็นกันเอง และเปี่ยมไปด้วยความหมาย ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของบริษัทในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน

สำหรับวัตถุประสงค์การจัดงาน เพื่อส่งเสริมจิตสำนึกในการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมในกลุ่มเยาวชน ตลอดจนการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย   และยังเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิกในครอบครัวของพนักงาน  เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการดูแลและสร้างความผูกพันกับพนักงาน (employee engagement) ภายในงาน เด็กๆ ได้ร่วมกิจกรรมที่สนุกสนานและผสมผสานด้วยสาระ อาทิ

·         กิจกรรมทำกระเป๋าผ้าใส่ยา eco-print เพื่อส่งมอบให้โรงพยาบาลในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในการแบ่งปันและการใส่ใจสิ่งแวดล้อม

·         เกมเตรียมความพร้อมบริหารจัดการด้านการเงิน เพื่อให้เยาวชนเรียนรู้เรื่องการวางแผนการเงินเบื้องต้น

·         กิจกรรม DIY คัปเค้ก ที่เปิดโอกาสให้น้องๆ ได้ใช้จินตนาการตกแต่งหน้าขนมด้วยตนเอง

นอกจากนี้ ยังมีพนักงานจิตอาสาของบริษัทมาร่วมทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง คอยดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับน้องๆ ตลอดกิจกรรม พร้อมกันนี้ เด็กทุกคนยังได้รับ “แก้วน้ำ น้องรักษ์ยิ้มให้” เพื่อนำมาใช้ดื่มน้ำตลอดวัน ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ซึ่งเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง

กิจกรรม “ค่ายเพาะสุขปลูกจิตอาสา” ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และความสุขสำหรับเยาวชนและครอบครัวพนักงาน  แต่ยังเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของบริษัทในการ “ปลูกต้นกล้าแห่งความดี” ส่งต่อแรงบันดาลใจและความสุขที่เชื่อมโยงครอบครัวพนักงานเข้ากับองค์กรอย่างแน่นแฟ้น ตลอดจนมอบสิ่งที่ดีคืนให้แก่สังคมในวงกว้างอย่างยั่งยืน

“บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความดีที่เราร่วมกันหว่านลงไปในวันนี้ จะเติบโตเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงในวันข้างหน้า และขอขอบคุณทุกแรงใจที่ร่วมกันสร้างสรรค์กิจกรรมครั้งนี้ให้เปี่ยมไปด้วยความหมาย เพราะทุกรอยยิ้ม ทุกความสุข และทุกบทเรียนที่เกิดขึ้น คือพลังสำคัญในการร่วมกันขับเคลื่อนองค์กรและสังคมให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน” นายสาระกล่าวสรุป    

ปลาหมอคางดำ … อรรถประโยชน์ในยุคเศรษฐกิจฝืด

0

บทความ โดย  โชติกา ธาตุธรรม 

ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง เงินในกระเป๋าชาวบ้านบางเบา บรรดาค่าครองชีพที่พุ่งไม่หยุดหย่อน ทำให้คำว่า “อยู่รอด” กลายเป็นคำสำคัญยิ่งกว่าความมั่งมี เมื่ออาหารแพง น้ำมันขึ้น ค่าใช้จ่ายขยับขึ้นทุกวัน หนึ่งในทางรอด คือการมองหา “ทรัพยากรทางเลือก” ที่เราอาจเคยมองข้าม  น่าแปลกใจไหม… ที่หนึ่งในนั้นคือ “ปลาหมอคางดำ”

จากปลาไร้ค่า สู่ทรัพยากรทรงคุณค่า

ปลาหมอคางดำ หรือที่รู้จักกันว่าเป็น “ปลาต่างถิ่นรุกราน” เคยถูกประณามว่าเป็นตัวการทำลายความหลากหลายของระบบนิเวศในแหล่งน้ำธรรมชาติ มีความสามารถปรับตัวสูง วางไข่เก่ง และล่าอย่างไม่ปรานีจนปลาท้องถิ่นหลายสายพันธุ์ต้องลดจำนวนลง …  แต่นั่นอาจเป็นเพียง “ด้านเดียวของเหรียญ”

ความจริงคือปลาชนิดนี้มีเนื้อแน่น โปรตีนสูง ไขมันน้อย  โดยการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของปลาหมอคางดำ น้ำหนัก100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 97 กิโลแคลอรี น้ำ 78.0 กรัม โปรตีน 21.6 กรัม และไขมัน 1.2 กรัม ประกอบด้วยแร่ ธาตุโปแตสเซียม 404 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 215 มิลลิกรัม โซเดียม 65 มิลลิกรัม แคลเซียม 35 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 32 มิลลิกรัม สังกะสี 1.6 มิลลิกรัม และเหล็ก 0.5 มิลลิกรัม ที่สำคัญคือ ราคาถูกกว่าปลาเลี้ยงทั่วไปหลายเท่าตัว  

CREATOR: gd-jpeg v1.0 (using IJG JPEG v80), quality = 80

หากจัดการอย่างถูกวิธี มันสามารถเป็นวัตถุดิบอาหารที่ดีเยี่ยม ทั้งในรูปปลาสด ปลาย่างแห้ง หมัก ตาก หรือแม้แต่แปรรูปเป็นอาหารสัตว์ หรืออาหารแปรรูปต้นทุนต่ำสำหรับผู้มีรายได้น้อย การนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารก็สามารถทำได้หลากหลาย เช่น ปลาร้า ปลาเค็มแดดเดียว น้ำปลา น้ำปลาร้า และลูกชิ้นปลา ซึ่งไม่เพียงเพิ่มมูลค่าให้กับปลาที่มีราคาต่ำ แต่ยังช่วยลดปริมาณปลาที่แพร่กระจายในธรรมชาติซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และสามารถต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคต

จากขยะในสายตา…สู่ทุนในแปลงเกษตร

อรรถประโยชน์ของปลาหมอคางดำไม่ได้หยุดแค่จานข้าว หากแต่ขยายไปถึงผืนดิน ในโครงการของ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้มีการนำปลาหมอคางดำมาผลิตเป็น “น้ำหมักชีวภาพ” ตามสูตรของกรมพัฒนาที่ดิน โครงการนี้ไม่เพียงช่วยกำจัดปลารุกราน แต่ยังใช้เพิ่มผลผลิตให้เกษตรกรสวนยางได้อย่างคุ้มค่า

ในระยะแรก กยท. รับซื้อปลาจำนวนกว่า 580,000 กิโลกรัม นำไปผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพได้ราว 930,000 ลิตร แจกจ่ายให้เกษตรกรสวนยางรายละ 40 ลิตร ครอบคลุมกว่า 14,000 ราย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันยังช่วยลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพง ผลลัพธ์ที่ได้คือ เปลือกยางนิ่มขึ้น กรีดยางง่ายขึ้น น้ำยางเพิ่มขึ้น ต้นทุนลดลง รายได้เพิ่มขึ้น วัฏจักรที่ดีนี้เกิดจาก… ปลาหมอคางดำตัวเดียว!!

คงถึงเวลาทบทวนความคิดที่ว่า ไม่ใช่ทุกสิ่งที่ราคาถูกจะไร้ค่า  ในวันที่สังคมหลายกลุ่มมุ่งแต่สร้างภาพลบให้ปลาชนิดนี้ บทเรียนที่ควรถอดให้ได้คือแทนที่จะกำจัดอย่างไร้ทิศทาง ควรเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ โดยหาทาง ใช้ประโยชน์ อย่างเป็นระบบ

ปลาหมอคางดำอาจไม่หรูหราเหมือนแซลมอน ไม่หวานละมุนแบบปลากะพง แต่ในวันที่เงินเฟ้อเบียดชีวิตจนมุม เราอาจต้องหันมามองสิ่งที่เคยเมิน และใช้สติปัญญาแปรรูปมันให้กลายเป็น “ทุน” ที่มีค่าทั้งต่อชีวิต ต่อเกษตรกรรม และต่อระบบนิเวศ

หมายเหตุ : นี่เป็นแนวคิดในกำจัดปลาด้วยการนำไปใช้ประโยชน์ มิได้ต้องการสนับสนุนให้ขยายการเลี้ยงหรือแอบเพาะเลี้ยงในบ่อส่วนบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

AIS – กสิกรไทย หนุนพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ค้าขายคล่อง มอบสิทธิ์ใช้งานแพ็กเกจ “K SHOP Pro” ในแอปฯ K SHOP ฟรี 30 วัน

0

AIS ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย เดินหน้าสนับสนุนธุรกิจรายย่อยและผู้ประกอบการไทยในยุคดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารร้านค้าออนไลน์ มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า AIS ที่สมัครแพ็กเกจค้าขายออนไลน์ที่ร่วมรายการ รับสิทธิใช้งาน แพ็กเกจ “K SHOP Pro” ในแอปพลิเคชัน K SHOP ฟรี 30 วัน ซึ่งเป็นแพ็กเกจเสริมเพื่อร้านออนไลน์ ช่วยยกระดับธุรกิจร้านค้าออนไลน์ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เพิ่มศักยภาพการแข่งขันในของผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

นายคณาธิป ธีรทีป หัวหน้าแผนกงานการตลาดด้านผลิตภัณฑ์และลูกค้าโพสต์เพด AIS กล่าวว่า “เอสเอ็มอีและพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพราะเป็นฐานรากของระบบเศรษฐกิจโดยรวม AIS ในฐานะผู้นำด้านดิจิทัลไลฟ์ เราเชื่อว่าการมีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่แข็งแกร่งและเทคโนโลยีทันสมัยคือหัวใจของความสำเร็จในการค้าขายยุคใหม่ จึงมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันที่ตอบสนองความต้องการของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยครั้งนี้ จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในยุคดิจิทัล”

นายบุญเติบ จีรภัทร์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “ธนาคารเล็งเห็นความสำคัญและเข้าใจปัญหาของการขายออนไลน์ จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ เพื่อให้ค้าขายคล่องขึ้น โดยได้พัฒนาแพ็กเกจ K SHOP Pro ในแอป K SHOP ซึ่งเป็นบริการเสริมเพื่อร้านค้าออนไลน์ที่ขายบนแพลตฟอร์ม Facebook, Instagram และ Line OA โดยมีจุดเด่นคือระบบรวมแชท จัดการสต็อก และดูด CF ไลฟ์สด สามารถใช้งานทุกฟีเจอร์ได้ไม่จำกัดจำนวนการใช้งาน นอกจากนี้ K SHOP ยังมีบริการลิงก์รับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตผ่านโซเชียล (Payment Link) ให้สามารถรับชำระเงิน ได้ทั้งแบบเต็มจำนวนหรือแบบผ่อน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้การทำธุรกิจสามารถเติบโตต่อไปได้”

และเพื่อตอกย้ำความตั้งใจในการสนับสนุนผู้ค้าออนไลน์ AIS มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่สมัครแพ็กเกจค้าขายออนไลน์ รับสิทธิ์ทดลองใช้งานแพ็กเกจ K SHOP Pro ใน K SHOP ฟรี 30 วัน (มูลค่า 299 บาท) และบัตรของขวัญ Lotus’s Gift Card มูลค่า 100 บาท โดยต้องเชื่อมต่อ K SHOP Pro กับ Facebook, Line OA ของร้าน หรือสมัครใช้งานเครื่องรับบัตรพกพา (mPOS) ตั้งแต่วันนี้ – 31 กรกฎาคม 2568 โดยแพ็กเกจที่เข้าร่วมรายการ ได้แก่

  • แพ็กเกจ 5G Social Commerce ราคา 499 บาท/เดือน เน็ตเต็มสปีด 30GB ตัวช่วยขายดี เน็ตพร้อม ตอบแชททันใจ สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่ใช้เน็ตโพสขายของผ่าน Facebook, Instagram หรือตอบแชทลูกค้า LINE, Facebook Messenger เพิ่มยอดขายให้ปัง พร้อมโปรแกรมบัญชีออนไลน์ จาก Flow Account
  • แพ็กเกจ AIS 5G Seller ราคาเริ่มต้น 699/เดือน อินเทอร์เน็ตไม่จำกัด ทำบัญชีออนไลน์ จัดการสต๊อกง่าย ส่งของด่วนทันใจ ออเดอร์ครบ จบที่เดียว รับสิทธิ์โทรฟรี 79 เบอร์โทรธุรกิจ อาทิ เบอร์ธนาคาร ขนส่ง พร้อม โปรแกรมจัดการสต๊อกจาก My Order, ส่วนลดค่าขนส่งจาก Line Man Messenger, โปรแกรมบัญชีออนไลน์ จาก Flow Account
  • แพ็กเกจ AIS 5G TikTok Shop ราคาเริ่มต้น 749 บาท/เดือน อินเทอร์เน็ตไม่จำกัด สัมผัสประสบการณ์ LIVE ลื่นไม่สะดุด ทำคอนเทนต์ขายของคมชัด และ Live ขายของออนไลน์ผ่าน TikTok, IG FB, LINE, X พร้อมรับสิทธิ์โทรฟรี 79 เบอร์ธุรกิจ, คูปองจาก TikTok, โปรแกรมบัญชีออนไลน์ จาก Flow Account 

K SHOP Pro มาพร้อมฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์สามารถบริหารจัดการร้านค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้ง ระบบดูดคอมเมนต์ผ่านไลฟ์สด, ระบบรวมแชตจากหลายแพลตฟอร์ม, ระบบจัดการสต็อกสินค้า พร้อมให้ความคุ้มครองประกันอุบัติเหตุและ SMS รู้เงินเข้าออก ตลอด 24 ชม. ลูกค้าที่สนใจสามารถสมัครแพ็กเกจได้ที่ AIS Shop ทุกสาขาทั่วประเทศ ดูรายละเอียดได้ที่ https://www.ais.th/rsme/kshop-pro

AIS จับมือ Wisesight และ One Ultra Screens มอบรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในไทยของวงการเกมและอีสปอร์ต Thailand Social AIS Gaming Awards 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5

0

AIS ผู้นำเครือข่ายบริการดิจิทัลอัจฉริยะ ผนึกกำลังพันธมิตร Wisesight ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลอันดับ 1 ในไทย และ One Ultra Screens โรงภาพยนตร์ระดับพรีเมียมใจกลางกรุงเทพ เดินหน้ายกระดับวงการเกมและ E-Sports จัดงานประกาศรางวัล “Thailand Social AIS Gaming Awards 2025” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ตอกย้ำเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในไทยเพื่อเชิดชูบุคคลในวงการเกมและอีสปอร์ตที่มีผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดียตลอดปีที่ผ่านมารวม 39 รางวัล และยังเป็นครั้งแรกที่ได้มอบรางวัลอันทรงเกียรติ Hall of Fame ให้กับผู้ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในแต่ละสาขา 5 ปีต่อเนื่อง เพื่อเป้าหมายการผลักดันอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตไทยให้ทัดเทียมระดับสากล สร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศอย่างยั่งยืน

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าแผนกงานบริหารธุรกิจเกม AIS กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นที่จะยกระดับอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตไทยมาโดยตลอด ผ่านการจัดทัวร์นาเมนต์ตั้งแต่ระดับโรงเรียน มหาวิทยาลัย ไปจนถึงบุคคลทั่วไป ด้วยการสร้าง E-Sports Community Hub เพื่อเปิดพื้นที่ให้พัฒนาทักษะก้าวสู่การเป็นนักกีฬามืออาชีพ รวมถึงมอบรางวัล “Thailand Social AIS Gaming Awards” เพื่อยกย่องบุคคลที่มีบทบาทในการพัฒนาวงการเกมและอีสปอร์ต ซึ่งจากข้อมูลเราพบว่าคนไทยให้ความสนใจอีสปอร์ตมากขึ้น จะเห็นได้จากจำนวนคนในคอมมูนิตี้ต่างๆ เพิ่มขึ้น ทั้งกุล่มครีเอเตอร์ นักกีฬา เกมพับลิชเชอร์ หรือแม้แต่บุคคลเบื้องหลัง รวมถึงปีนี้มีดาวรุ่งหน้าใหม่ที่สามารถร้างสรรค์ผลงานได้โดดเด่นอย่างมากบนโซเชียลมีเดีย โดยเรายังคงเดินหน้าสนับสนุนและเติบโตไปพร้อมกับวงการเกมและอีสปอร์ตไทยต่อไป”

นายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “อุตสาหกรรมเกมถือเป็นหัวใจหนึ่งของเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโต เรามุ่งมั่นที่จะใช้ข้อมูลเชิงลึกจากโซเชียลมีเดียในการผลักดันให้วงการเกมและอีสปอร์ตของไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล การจัดงานในปีที่ 5 นี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ตอกย้ำความตั้งใจของทุกภาคส่วนในการพัฒนาวงการอย่างจริงจัง”

นายไบรอัน ฮอลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีนีม่า วัน จำกัด  ผู้บริหาร One Ultra Screens ในฐานะธุรกิจโรงภาพยนตร์ชั้นนำ กล่าวว่า “การได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน Thailand Social AIS Gaming Awards 2025 เพื่อเปิดพื้นที่ต้อนรับนักกีฬาอีสปอร์ตและบุคคลที่มีบทบาทในวงการเกม ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ One Ultra Screens ในการร่วมผลักดันวงการเกมและอีสปอร์ตไทยให้พัฒนาไปไกลยิ่งขึ้น เรามองว่าเกมไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่คือพลังสร้างสรรค์ที่รวมผู้คน ความคิด และเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกัน เราเชื่อมั่นในศักยภาพของครีเอเตอร์ นักกีฬาอีสปอร์ต และผู้ที่อยู่เบื้องหลังทุกความสำเร็จที่ล้วนเป็นแรงบันดาลใจ และหวังว่าการสนับสนุนในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งพลังที่ช่วยยกระดับวงการเกมไทยให้โดดเด่นบนเวทีโลกอย่างแท้จริง”

โดยผลการตัดสินของรางวัล Thailand Social AIS Gaming Awards 2025  ในปีนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญในวงการเกม อีสปอร์ต และโซเชียลมีเดีย ทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ 

  1. คุณสักกพล สวาคฆพรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NEX Studio นายทะเบียนสมาคมอีสปอร์ตแห่งประเทศไทย
  2. คุณอนุชิต เอี่ยมศรีอุไร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท This Is Media
  3. คุณเมธี ช่วยปู่ อาจารย์ประจำสาขาเกมและสื่อเชิงโต้ตอบ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และ Founder & Creative Director บริษัท บัคบลิโอ สตูดิโอ จำกัด

สำหรับปีนี้รางวัล Thailand Social AIS Gaming Awards 2025 แบ่งเป็น 7 กลุ่ม รวมทั้งสิ้น 39 รางวัล ดังนี้

กลุ่มที่ 1 : Rising Game Content Creator and Esports Players 6 รางวัล

กลุ่มที่ 2 : The Most Popular Game 10 รางวัล

กลุ่มที่ 3 : The Most Popular Gaming Industry and Business 5 รางวัล

กลุ่มที่ 4 : The Most Popular Game Content Creator 7 รางวัล

กลุ่มที่ 5 : The Most Popular Esports Players and Esports Club 9 รางวัล

กลุ่มที่ 6 : The Most Popular Game Content Creator on AIS eSport Fanpage 1 รางวัล

กลุ่มที่ 7 : Special Award  1 รางวัล

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการประกาศรางวัล Thailand Social AIS Gaming Awards 2025 ได้ที่ https://www.facebook.com/AISeSports

AIS PLAY ยิงสดศึกวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 ชวนคนไทยส่งแรงใจเชียร์นักตบสาวไทย

0

AIS PLAY ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านคอนเทนต์กีฬาระดับโลก คว้าสิทธิ์เป็น ผู้ถ่ายทอดสดอย่างเป็นทางการในการถ่ายทอดสดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 (FIVB Volleyball Women’s World Championship 2025) เปิดโอกาสให้ทุกคนร่วมส่งแรงใจเชียร์ทีมชาติไทยในการลุ้นคว้าเหรียญรางวัลครั้งประวัติศาสตร์ ให้ลูกค้าและคนไทยรับชมแบบจุใจ จัดเต็มการถ่ายทอดสดครบทุกแมตช์ พร้อมไฮไลต์และรีรัน ผ่านทุกช่องทางของ AIS PLAY ได้แก่ แอปพลิเคชัน AIS PLAY, กล่อง AIS PLAYBOX, เว็บไซต์ https://aisplay.ais.co.th/portal/ , Smart TV, Apple TV และกล่อง 3BB GIGA TV

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าฝ่ายงาน AIS PLAY กล่าวว่า “กีฬาวอลเลย์บอลถือเป็นอีกหนึ่งกีฬายอดนิยมของคนไทย โดยเฉพาะทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นและต่อเนื่องในเวทีการแข่งขันระดับโลก สร้างทั้งความสุขและแรงบันดาลใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ และในครั้งนี้ เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 ซึ่งประเทศไทยรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ให้แฟนๆ ชาวไทยได้รับชมอย่างเต็มอิ่ม ถ่ายทอดแรงเชียร์สู่สนามแข่งขันอย่างใกล้ชิด พร้อมยืนหยัดบทบาทของ AIS PLAY ในฐานะ The Largest ENTERTAINMENT HUB ที่รวบรวมคอนเทนต์กีฬาชั้นนำจากทั่วโลก เพื่อให้คนไทยเข้าถึงคอนเทนต์คุณภาพอย่างทั่วถึงอย่างต่อเนื่อง”

นายสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “การที่ประเทศไทยได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์วงการวอลเลย์บอลไทย เป็นก้าวสำคัญที่เราได้มีโอกาสแสดงศักยภาพของประเทศไทยในหลายๆ ด้าน กระตุ้นการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ ที่จะได้มีส่วนร่วมเป็นเจ้าภาพ เป็นเจ้าบ้านในการต้อนรับคณะนักกีฬา เจ้าหน้าที่ ของทีมที่จะเดินทางเข้ามาร่วมการแข่งขันจาก ทั่วโลกไปพร้อมกัน ในส่วนของการเตรียมความพร้อมในการจัดการแข่งขัน สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ร่วมกับสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) และวอลเลย์บอลเวิลด์ ได้ลงพื้นที่ 4 จังหวัด เพื่อตรวจความพร้อมของสนามจัดการแข่งขัน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ, จังหวัดภูเก็ต ที่อาคารยิมเนเซียม 4,000 ที่นั่ง, จังหวัดนครราชสีมา ที่สนามชาติชายฮอลล์ และกรุงเทพมหานคร ที่อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก ซึ่งทุกสนามมีความพร้อมเป็นไปตามมาตรฐานสากลและสามารถปรับปรุงแล้วเสร็จก่อนการแข่งขัน”

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม – 7 กันยายน 2568 โดยมีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 32 ทีมจากทั่วโลก นำโดย ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพ และ เซอร์เบีย แชมป์เก่า แบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม เพื่อคัดเลือกทีมแชมป์กลุ่มและรองแชมป์กลุ่มเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ขอชวนคนไทยร่วมส่งแรงเชียร์นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 ถ่ายทอดสดครบทุกแมตช์ผ่านทุกช่องทางของ AIS PLAY

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้อนรับผู้บริหารจากตลาดหลักทรัพย์ซาอุดีอาระเบีย

0

ถิรพันธุ์ สรรพกิจ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต้อนรับคณะผู้บริหารจากตลาดหลักทรัพย์ซาอุดีอาระเบีย นำโดย AlHasan Ashram, Group Chief Operations Officer ของ Saudi Tadawul Group ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ บรรยายให้ข้อมูลเกี่ยวกับงานด้านเทคโนโลยีของตลาดหลักทรัพย์ฯ และหารือแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อหาโอกาสความร่วมมือในอนาคต เมื่อ 22 พ.ค. 2568 ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ

TFEX ปรับ Strike Price ของ SET50 Options เริ่ม 29 พ.ค. นี้ พร้อมเปิดตัว “Options Wizard”

0

บมจ. ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) (TFEX) ปรับลดช่วงห่างของราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price Interval) ของสัญญา SET50 Index Options เป็น 10 จุด เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถวางกลยุทธ์การเทรดและบริหารพอร์ตได้อย่างคล่องตัว รวมถึงเพิ่มโอกาสทำกำไรและตอบโจทย์การบริหารความเสี่ยงได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ 29 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ TFEX ได้ร่วมกับ Settrade เปิดตัว “Options Wizard” เครื่องมือซื้อขาย Options ที่ช่วยให้ผู้ลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการเริ่มต้นใน TFEX สามารถทำกำไรจากการคาดการณ์ทิศทางของตลาดได้สะดวกมากขึ้น และสามารถจำกัดผลขาดทุนไม่ให้เกินเงินที่ลงทุนไว้ได้ สำหรับผู้สนใจสามารถเริ่มต้นใช้งาน Options Wizard ได้บนแอปพลิเคชัน Streaming ตั้งแต่ 4 มิถุนายน 2568 นี้

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โบรกเกอร์ TFEX หรือ SET Contact Center 0 2009 9999 หรือดูรายละเอียดที่ www.tfex.co.th

สารหนูและตะกั่ว … หายนะเงียบในลำน้ำกก

0

บทความ โดย  ภาสกร  เรืองยศไกร

กลางลำน้ำกกที่เคยใสเย็น ห้อมล้อมด้วยภูเขาและชุมชนชาวเหนือที่อิงอาศัยสายน้ำมาหลายชั่วอายุคน วันนี้กลับกลายเป็นแหล่งปนเปื้อนสารพิษที่เงียบงันที่สุดและอันตรายที่สุดที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ

ใครบางคนอาจยังคงพูดถึงปลาหมอคางดำที่ว่ายเวียนอยู่ในน้ำว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ น่าสงสัย หรือแม้แต่สร้างความตื่นตระหนกว่ามันทำลายสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในแม่น้ำกกแล้ว ปลาหมอคางดำเหล่านั้นดูจะเป็นเรื่องเล็กไปเลย เพราะมันไม่ได้เป็นพิษต่อร่างกาย ตรงกันข้ามยังนำมาปรุงอาหารได้หลากหลาย แต่ที่แม่น้ำสายและแม่น้ำกกซึ่งไหลมาบรรจบกันก่อนจะไหลลงแม่น้ำโขง กำลังกลายเป็นแหล่งสะสมของ “สารหนู” และ “ตะกั่ว” อย่างต่อเนื่องและรุนแรง เรื่องนี้ต่างหากที่เป็นหายนะต่อสิ่งแวดล้อมและสรรพสิ่งอย่างแท้จริง

สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) เผยผลตรวจค่ามลพิษในแม่น้ำกก ณ บริเวณสบกก อำเภอเชียงแสน พบค่าของ “สารหนู” สูงถึง 0.036 มิลลิกรัมต่อลิตร เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ถึง 3.6 เท่า ขณะที่แม่น้ำสายก็ไม่ได้ปลอดภัย ตัวเลขสารหนูที่สูงถึง 0.49 มิลลิกรัมต่อลิตร เกินมาตรฐานเกือบ 50 เท่า นำไปสู่การห้ามใช้น้ำเพราะเปื้อนสารพิษ เมื่อ 4 เม.ย.68  บ่งชี้ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่ปัญหาชั่วคราวที่ธรรมชาติจะฟื้นตัวเองได้

ยิ่งไปกว่านั้น ความเงียบของ “รัฐ” และ “การเจรจาข้ามพรมแดน” ที่ยังไม่ไปถึงไหน ทำให้ประชาชนต้องเผชิญหน้ากับสารพิษเหล่านี้โดยไร้เครื่องป้องกัน ความจริงคือ ต้นน้ำของแม่น้ำกกและแม่น้ำสายอยู่ในเขตเมียนมา ซึ่งมีการทำเหมืองแร่ทองคำแบบเปิดและแบบฉีดไซยาไนด์เพื่อสกัดทองคำ กิจกรรมเหล่านี้ทิ้งคราบสารหนู สารตะกั่ว และอาจรวมถึงสารไซยาไนด์ลงสู่แหล่งน้ำโดยตรง โดยปราศจากระบบบำบัดน้ำเสียใด ๆ ก่อนปล่อยกลับสู่ธรรมชาติ

หลายหมู่บ้านริมน้ำเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง น้ำมีสีขุ่นผิดปกติ ปลาเริ่มหายไป เด็ก ๆ เริ่มมีผื่นตามตัว และแหล่งน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภคก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป นี่ไม่ใช่แค่ “เรื่องของสิ่งแวดล้อม” หากแต่คือเรื่องของ “ความอยู่รอดของมนุษย์” และ “ความยุติธรรมข้ามพรมแดน”

แม่น้ำกกไม่ใช่แม่น้ำของประเทศไทยเพียงฝ่ายเดียว มันเป็นสายเลือดร่วมกันของประชาชนไทย-เมียนมา ที่ผูกพันกันมานานนับศตวรรษ แม้ต้นทางปัญหาจะอยู่เหนือพรมแดน แต่ผลกระทบกลับตกที่ปลายทาง นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ แต่เป็นเรื่องของ “มลพิษข้ามพรมแดน” ที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเร่งด่วน การรอให้ระดับสารพิษสะสมมากกว่านี้ไม่ใช่ทางออก และคำว่า “อยู่ระหว่างการเจรจา” ที่เรามักได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่สามารถเป็นเกราะป้องกันให้คนท้องถิ่นดื่มน้ำได้อย่างปลอดภัยอีกต่อไป

รัฐบาลไทยควรจัดตั้งคณะทำงานพิเศษด้านความปลอดภัยทางสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ เพื่อเจรจา แก้ไข และเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น ในเวลาเดียวกันต้องเร่งวางมาตรการคุ้มครองประชาชนริมน้ำ ตั้งแต่การจัดหาน้ำสะอาด การตรวจสุขภาพ การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และการเผยแพร่ข้อมูลอย่างโปร่งใสและทันเวลา อย่าให้เสียงของผู้คนเงียบหายไป พร้อมกับชีวิตที่ค่อย ๆ ล้มตายเพราะสารพิษในสายน้ำเลย.

CMDF มอบทุน 22 โครงการในปี 2567 พร้อมเดินหน้าสนับสนุนตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง

0

กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) เผยผลการดำเนินงานในปี 2567 มีโครงการที่มีศักยภาพในการพัฒนาตลาดทุนได้รับการสนับสนุนรวม 22 โครงการ พร้อมเดินหน้าแผนการดำเนินงานในปี 2568 มุ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพบุคลากรในตลาดทุน และขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบายที่เอื้อต่อการพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างยั่งยืน สอดคล้องตามเป้าหมายและกลยุทธ์ในการพัฒนาตลาดทุนไทยที่ CMDF ตั้งไว้

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ CMDF กล่าวว่า CMDF มุ่งสนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาระบบนิเวศของตลาดทุนไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการเงินการลงทุน พัฒนาศักยภาพบุคลากรในตลาดทุน และมีบทบาทในการสนับสนุนการผลักดันกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจการเงินการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งยกระดับการทำวิจัยด้านตลาดทุนไทยเพื่อให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินการลงทุนในรูปแบบใหม่ ๆ มุ่งผลักดันให้ผลการวิจัยถูกนำไปใช้จริง โดยส่งต่อองค์ความรู้และข้อเสนอเชิงนโยบายให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินงานหรือกำหนดแนวทางเชิงปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา CMDF ได้ให้ทุนสนับสนุนแก่ 22 โครงการ อาทิ การพัฒนาด้าน ESG การพัฒนาบุคลากรตลาดทุน และการส่งเสริมให้ประชาชนมี Investment literacy เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ นอกจากนี้ ยังได้ให้การสนับสนุนการศึกษาแนวทางการจัดทำนโยบายบัญชีการออมส่วนบุคคล (TISA) เพื่อวางรากฐานเชิงโครงสร้างด้านการออมที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว สะท้อนความมุ่งมั่นของ CMDF ในการเป็นกลไกขับเคลื่อนตลาดทุนไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยคณะกรรมการ CMDF เชื่อว่าการสนับสนุนทุนของ CMDF จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุนไทยในหลากหลายมิติ เพื่อให้ตลาดทุนไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง

นายจักรชัย บุญยะวัตร ผู้จัดการ CMDF กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ปี 2563 – 2567 CMDF ได้อนุมัติโครงการรวม 153 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,928 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีโครงการดำเนินการแล้วเสร็จ 83 โครงการ ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบนิเวศของตลาดทุนในด้านต่าง ๆ และสอดคล้องกับพันธกิจของ CMDF นอกจากการศึกษาแนวทางการจัดทำนโยบายบัญชีการออมส่วนบุคคล (TISA) แล้ว ในปี 2567 สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน (CMRI) ภายใต้ CMDF ยังได้สนับสนุนงานวิจัยอื่นที่หลากหลาย อาทิ แนวทางการบริหารเงินที่ได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหลังเกษียณอายุ การศึกษาเพื่อป้องกันปัญหาการฉ้อโกงในตลาดทุนและแนวทางการปกป้องนักลงทุน แนวทางการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตของประเทศไทย เป็นต้น ในด้านการพัฒนานักวิจัย มีโครงการสนับสนุนนักวิจัยรุ่นใหม่ให้สนใจทำงานด้านตลาดทุนเพิ่มขึ้น (Researcher Pool) โดย CMDF ร่วมมือกับสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) สนับสนุนทุนวิจัยในรูปแบบ Matching Fund ให้แก่นักวิจัยรุ่นใหม่ด้านตลาดทุนที่เป็นบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาภายใต้สังกัดของกระทรวง อว.

ผลลัพธ์จากการดำเนินโครงการที่ผ่านมา CMDF ได้ส่งเสริมการพัฒนาองค์กรกว่า 3,500 องค์กร พัฒนาบุคลากรในตลาดทุนรวมกว่า 15,000 คน ส่งเสริมการศึกษาสำหรับบุคลากรในอุตสาหกรรมทั้งที่เป็น Global และ Local Certificate รวมกว่า 940 ราย เผยแพร่และสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนผ่านสื่อออนไลน์ มียอดเข้าถึงกว่า 80 ล้านครั้ง รวมถึงการเผยแพร่งานวิจัยผ่านเว็บไซต์ CMRI รวมกว่า 50 บทความ ยอดเข้าชมมากกว่า 17,300 ครั้ง เผยแพร่งานวิจัยผ่านหน่วยงานต่าง ๆ มากกว่า 600 เล่ม ให้แก่ 30 หน่วยงาน สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.cmdf.or.th/grant/result-announcement/