Home Blog Page 25

รู้เก็บรู้ออม : SET in the city 2025

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ช่วงกลางปีแบบนี้ นักลงทุนและคอการเงินทราบกันดีว่า เป็นเวลาของอีเวนต์การเงินการลงทุนที่ครบเครื่องที่สุด นั่นคือ Set in the city ที่ทาง “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเปิดพื้นที่ให้มีการพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้ ฟังสัมมนาหัวข้อต่างๆที่จะช่วยเปิดโลกและประสบการณ์การลงทุนให้แก่ผู้ร่วมงาน ตลอดจนการทำธุรกรรมต่างๆที่เปิดให้บริการภายในงาน

สำหรับปีนี้ Set in the city 2025 กลับมาในธีม “อัปสกิลให้แกร่ง รับการเปลี่ยนแปลงของโลกการลงทุน” โดยมีกำหนดจัดงานในวันเสาร์ที่ 14 และอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00–19.00 น. ที่ สามย่านมิตรทาวน์ ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ นักลงทุนมือใหม่ มือเก่า และผู้สนใจเรื่องการลงทุน ต้องกาปฏิทินล็อกตัวเองให้ว่างไว้เลย จะได้ไม่พลาดมหกรรมการลงทุนแห่งปีงานนี้

ไฮไลต์ของงาน Set in the city 2025 ผู้ร่วมงานจะได้อัปสกิล อัปพอร์ต ค้นหาทางเลือกใหม่ และเตรียมพอร์ตของตัวเองให้โตไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็น 50 Sessions สัมมนา เวิร์กช็อป เข้มข้น จัดเต็มถึง 3 เวที มาอัปเดตเทรนด์ลงทุน ทันสถานการณ์ และอัปสกิล เสริมทักษะ การใช้เครื่องมือเทรดในยุคนี้, 60 Speakers พบกับ กูรู ผู้เชี่ยวชาญการเงิน การลงทุนชั้นนำ นักวิเคราะห์ นักวางแผนการเงิน นักลงทุน และ 70 Booths ให้คำปรึกษาวางแผน จัดพอร์ตทุกผลิตภัณฑ์ตามสไตล์คุณ และบริการการลงทุน

ปีนี้งานจัดเต็มแบบไม่มีกั๊ก ทั้งในส่วนของสัมมนา Talk Stage กับหัวข้อที่น่าสนใจอย่างเช่น มองโอกาสตลาดทุนไทย, เปิดซีเคร็ทลงทุน เลือกหุ้นด้วย AI เป็นต้น และในส่วนของเวิร์กช็อป อย่างเช่น 7 ขั้นตอนลงทุนลดภาษี, เริ่มต้นเทรด DW แบบมือใหม่ Turn Pro สำหรับ Showcase ผู้ร่วมงานจะได้อัปเวล เจาะกลยุทธ์เทรดด้วยเครื่องมือดิจิทัลภายใน 20 นาที กับ 24 โบรกเกอร์ชั้นนำ

ส่วนคนที่กำลังมองหาโอกาสลงทุนก็สามารถมาใช้บริการการลงทุนและธุรกรรมต่างๆ ได้ภายในงาน จะเปิดบัญชีเทรดหุ้น, DR, กองทุน, TFEX หรือจะปรึกษาเรื่องปรับพอร์ตลงทุน วางแผนการลงทุน กับ 70 บูธของโบรกเกอร์ชั้นนำ พร้อมรับของสมนาคุณติดไม้ติดมือกลับบ้าน และยังมีกิจกรรม “เปิดซีเคร็ท SET 50 ปี” เมื่อเปิดบัญชีหุ้นและ TFEX ในงาน มีเซอร์ไพรส์พิเศษ รับสิทธิจุ่มของที่ระลึก Bull Ranger อีกด้วย

ใครที่กำลังตัดสินใจ ยังไม่ได้ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี จะ Thai ESG, Thai ESGX หรือ RMF ก็สามารถมาเลือกช็อปปิ้งในงานนี้ได้เลย โดยเฉพาะ Thai ESGX ที่มีเวลาซื้อได้ถึง 30 มิ.ย. นี้เท่านั้น รวมไปถึงการสับเปลี่ยนย้ายหน่วยลงทุนจาก LTF มาเป็น Thai ESGX ก็สามารถมาทำได้ภายในงานด้วยเช่นกัน

ผู้สนใจเข้าร่วมงานฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย โดยตลาดหลักทรัพย์เปิดให้ลงทะเบียนร่วมงานล่วงหน้าได้แล้วที่ www.setinvestnow.com/setinthecity พร้อมรับของที่ระลึกเป็นกระเป๋า investnow ได้ที่หน้างาน เอาไปเก็บสะสมเป็นคอลเลกชันสำหรับแฟนขาประจำงาน SET in the city

“คุณนายพารวย” ไม่อยากให้พลาด รับรองว่าทุกเรื่องลงทุน ครบ จบ ได้ภายในงานนี้งานเดียวแน่นอน!

คุณนายพารวย

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับเกณฑ์หลักทรัพย์ที่ให้นักลงทุนกลุ่ม HFT ซื้อได้ เริ่มใช้ 7 ก.ค. 68 นี้

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับมาตรการเพื่อยกระดับการกำกับดูแลและเพิ่มความเชื่อมั่นผู้ลงทุน โดยกำหนดให้ผู้ลงทุนกลุ่ม High-Frequency Trading (HFT) สามารถซื้อหลักทรัพย์ได้เฉพาะหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง เพื่อลดความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ขนาดกลางและเล็กที่อาจไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขายอย่างเพียงพอ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่7 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป โดยกำหนดหลักทรัพย์ที่ผู้ลงทุนกลุ่ม HFT สามารถซื้อได้ ดังนี้

  • หลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญ รวมถึงหลักทรัพย์ที่บุคคลต่างด้าวเป็นผู้ถือ (-F) และ NVDR ได้แก่
  • หุ้นในดัชนี SET100
  • หุ้นอ้างอิงของ DW และ Single Stock Futures ที่อยู่ในดัชนี SET100 ทั้งนี้ หากหุ้นอ้างอิงดังกล่าวถูกนำออกจากดัชนี SET100 ให้ซื้อหุ้นอ้างอิงนั้นต่อได้จนกว่า DW จะหมดอายุ หรือ Single Stock Futures ไม่ได้มีการซื้อขายอยู่ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแล้ว
  • หลักทรัพย์ประเภทอื่น ได้แก่ DW, DR และ ETF

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนกลุ่ม HFT ที่ถือครองหลักทรัพย์อื่นนอกจากหลักทรัพย์ดังกล่าวข้างต้น ยังสามารถถือครองต่อหรือขายได้ แต่ไม่อนุญาตให้ซื้อเพิ่มเติมนับตั้งแต่วันที่เกณฑ์มีผลบังคับใช้

ผู้ลงทุนและผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเกณฑ์ที่ปรับปรุงดังกล่าวได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th ภายใต้หัวข้อ “กฎเกณฑ์/การกำกับ” และ “กฎเกณฑ์ – หนังสือเวียนส่วนที่เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์” เรื่อง “การกำหนดหลักทรัพย์ที่ให้ผู้ลงทุนกลุ่ม High-Frequency Trading (HFT) สามารถซื้อได้”

SLAPP หรือสิทธิในการฟ้องร้อง? : “เสรีภาพในการพูด” ต้องไม่กลายเป็น “เสรีภาพในการบิดเบือน”

0

บทความ โดย อัปสร พรสวรรค์ นักวิชาการอิสระ

SLAPP คืออะไร? SLAPP หรือ Strategic Lawsuit Against Public Participation คือการฟ้องร้องที่มีเป้าหมายไม่ใช่เพื่อเอาชนะในสาระของคดี แต่เพื่อใช้กระบวนการกฎหมายเป็น “เครื่องมือข่มขู่” ทำให้ผู้ที่มีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะ เช่น นักข่าว นักกิจกรรมสิ่งแวดล้อม หรือประชาชนทั่วไป หยุดการพูด หยุดตั้งคำถาม หรือถอยจากการเปิดโปงความจริง

กลไก SLAPP มักอาศัยข้อหาหมิ่นประมาท การกล่าวหาทางแพ่ง หรือแม้แต่ข้อหาทางอาญา เพื่อสร้างภาระทั้งในด้านจิตใจและค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ถูกฟ้อง โดยที่เป้าหมายแท้จริงของผู้ฟ้องคือ การทำให้คู่กรณี “หมดแรง” หรือ “หมดใจ” ที่จะพูดต่อ

แต่!!…ไม่ใช่ทุกคดีที่อ้างว่าเป็น SLAPP จะเป็น SLAPP จริง ในช่วงหลัง กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน และนักเคลื่อนไหวเริ่มหยิบยกคำว่า “SLAPP” ขึ้นมาใช้ ในทุกกรณีที่ตนเองถูกฟ้องร้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง เพราะในบางกรณี:ข้อความหรือรูปภาพที่เผยแพร่ ไม่มีหลักฐานยืนยัน การกล่าวหาอาศัยการตัดตอนข้อมูล บางกรณีถึงขั้นปลอมแปลงเอกสารหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง

ตัวอย่างเช่น มีการโพสต์ภาพตัดต่อหรือนำเสนอข้อมูลบางส่วนโดยเจตนาให้เข้าใจผิด กล่าวหาบริษัทว่า “ทำลายป่า” ทั้งที่ไม่มีข้อมูลสนับสนุน สร้างความเสียหายกับภาพลักษณ์และการดำเนินธุรกิจบริษัท บริษัทจึงฟ้องคดีหมิ่นประมาท พร้อมหลักฐานว่าเนื้อหาเป็นเท็จ กรณีลักษณะนี้ ไม่ควรตีความว่าเป็น SLAPP เพราะการฟ้องมีเหตุอันชอบธรรมในแง่กฎหมาย เป็นสิทธิในการปกป้องชื่อเสียงและผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานไม่ต่างจากสิทธิในการแสดงออก

เรียกร้องเสรีภาพได้ แต่ไม่ใช่การปลอดจากความรับผิด เห็นได้ว่าสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก เป็นสิ่งที่ต้องคุ้มครองอย่างยิ่ง แต่ต้องแยกให้ออกว่าการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต พร้อมข้อมูลที่ตรวจสอบได้ เป็น “การใช้สิทธิโดยสุจริต”การโพสต์ข้อมูลเท็จ บิดเบือน ใส่ความ หรือใช้ภาพตัดต่อ โดยไม่มีการตรวจสอบ เป็น “การละเมิดสิทธิผู้อื่น”

วันนี้ เมื่อพบมีการกล่าวอ้างว่า “กำลังถูกฟ้อง SLAPP” สังคมควร พิจารณาโดยใช้เหตุผล ไม่ใช่อารมณ์หรือกระแสความสงสาร แต่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า : สิ่งที่เผยแพร่มีหลักฐานรองรับหรือไม่? มีเจตนาแสดงออกอย่างสุจริตหรือเป็นการโจมตีเชิงภาพลักษณ์? และฝ่ายที่ฟ้องร้องได้รับความเสียหายจริงหรือไม่?

ในกรณี SLAPP การพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งด้านวิชาการ ควรสนับสนุนงานวิจัยและฐานข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ เพื่อวิเคราะห์กรณี SLAPP อย่างรอบด้าน ด้านสื่อมวลชน ต้องรายงานข่าวด้วยความชัดเจนโปรงใส ตรวจสอบข้อมูลทั้งสองฝ่าย และไม่ใช้วาทกรรม “SLAPP” เพื่อสร้างภาพจำด้านเดียว ส่วนประชาชนทั่วไป อย่าด่วนตัดสินจากภาพหรือข้อความในโซเชียล ให้คำนึงถึงหลักฐานและบริบท ส่วนกลุ่มองค์กรที่ไม่หวังผลประโยชน์และนักเคลื่อนไหว ใช้สิทธิเสรีภาพอย่างมีความรับผิดชอบ และพร้อมตรวจสอบตนเองเมื่อตกอยู่ในข้อกล่าวหา

จากข้อมูลและรายละเอียดทางวิชาการดังกล่าวข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า “ไม่ใช่ทุกคดีที่กล่าวอ้างว่าเป็น SLAPP จะเป็น SLAPP จริง” แต่จำเป็นต้องเคารพความถูกต้อง คือ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ พร้อมๆ กับการรักษาความยุติธรรม และสิทธิของทุกฝ่ายได้อย่างสมดุล หากเราต้องการปกป้องเสรีภาพในการพูดอย่างแท้จริง เราต้องปกป้องเสรีภาพที่ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง ไม่ใช่บนข้อมูลบิดเบือน.

เกษตรกรชี้ “ปลาหมอคางดำ” คือโอกาส… พลังของชาวบ้านช่วยปราบปลาหมอคางดำ

0

ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีนั้น ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เกษตรกรชาวเพชรบุรีได้พลิกปัญหาให้เป็นโอกาส ทำให้ปลาหมอคางดำเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า และนำไปสู่ประโยชน์ในหลายมิติ

นายอัมพร โชยา ประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำกลุ่มเหมืองตาหลอ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี เปิดเผยว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนคือหัวใจหลักในการกำจัดและลดประชากรปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเกษตรกรในพื้นที่ช่วยกันเฝ้าระวัง ตรวจสอบแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง เมื่อพบปลาหมอคางดำจะช่วยกันจับปลาขึ้นมาทันทีโดยไม่รอการดำเนินการจากหน่วยงานภาครัฐ การบูรณาการความร่วมมือกำจัดปลาหมอคางดำของชาวบ้าน นอกจากจะป้องกันการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำแล้ว ยังเป็นการแสดงถึงจิตสำนึกร่วมในชุมชนต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ

ปัจจุบัน เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลากะพงในพื้นที่บางขุนไทรได้ปรับตัวโดยนำปลาหมอคางดำที่จับได้มาใช้เป็นปลาเหยื่อ เพื่อใช้เป็นอาหารเลี้ยงปลากะพง ช่วยลดต้นทุนการซื้ออาหารสำเร็จรูป ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงปลา สำหรับปลาหมอคางดำที่มีขนาดใหญ่หน่อย ก็จะถูกนำมาแปรรูปเป็นอาหารหลากหลายเมนู เช่น ปลาแดดเดียว ปลาเค็ม หรือแม้แต่การปรุงเป็นอาหารพื้นบ้านอื่นๆ เพื่อใช้บริโภคในครัวเรือน และทำเป็นสินค้าชุมชนสร้างรายได้เสริม เป็นการเพิ่มคุณค่าจากการใช้ปลาหมอคางดำให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นอกจากนี้ เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในระบบกึ่งธรรมชาติได้ยกระดับมาตรการป้องกันปลาหมอคางดำรุกรานสัตว์น้ำที่เลี้ยง โดยติดตั้งตาข่ายกรองขณะเปิดน้ำเข้าบ่อ ป้องกันไม่ให้ปลาหมอคางดำหลุดเข้าไปในระบบบ่อเลี้ยง ซึ่งถือเป็นการควบคุมการแพร่ระบาดในบ่อเลี้ยงของเกษตรกรตั้งแต่ต้นทาง

ด้าน นายประจวบ เจี้ยงยี่ ประมงจังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า สถานการณ์ปลาหมอคางดำในพื้นที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากการดำเนินโครงการเปิดรับซื้อปลาหมอคางดำที่จับได้จากบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกรและแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อส่งให้กรมพัฒนาที่ดินเพื่อผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพ รวมทั้งการจัดกิจกรรมเชิงรุกเพื่อกำจัดปลาหมอคางดำในพื้นที่ระบาดผ่านกิจกรรม ลงแขกลงคลอง และการปล่อยปลานักล่า มุ่งเน้นบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และหน่วยงานเครือข่ายในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายให้ความหนาแน่นของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติลดลงน้อยกว่า 12 ตัวต่อ 100 ตารางเมตร

จังหวัดเพชรบุรี ยังได้ดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือเกษตรกรกำจัดปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยการจัดตั้ง “กองทุนปลากะพง” โดยได้รับการสนับสนุนลูกพันธุ์ปลากะพงขาวจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เพื่อให้เกษตรกรได้ใช้ปลากะพงขาวเป็นปลานักล่ากินลูกปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยง รวมทั้งการช่วยสนับสนุนกากชาและเครื่องมือในการกำจัดปลาหมอคางดำให้แก่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ นอกจากนี้ ประมงเพชรบุรียังสร้างการรับรู้ และการมีส่วนร่วม ให้เกษตรกร ชาวประมง ประชาชน เข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการกำจัดปลาหมอคางดำ มุ่งเน้นการนำปลาหมอคางดำมาเพิ่มมูลค่าและแปรรูปเป็นอาหาร โดยสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนนำปลาหมอคางดำมาแปรรูปเป็นปลาร้า ปลาแดดเดียว จำหน่ายเป็นสินค้าชุมชน และยังขยายความร่วมมือกับซีพีเอฟ และเรือนจำกลางเพชรบุรีนำปลาหมอคางดำมาหมักทำเป็นน้ำปลาแท้ ตรา หับเผยเขากลิ้ง อีกด้วย

แนวทางการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในจังหวัดเพชรบุรีจึงเป็นอีกตัวอย่างของการประสานพลังจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชนและชุมชน ในการพลิกปัญหาเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ควบคู่กับการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของแหล่งน้ำอย่างยั่งยืน.

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิด Bootcamp ผลิตครูกระบวนกรสอนการลงทุน ป้อนสู่ระบบการศึกษา

0

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดโครงการ “INVESTORY Investment Learning Design Bootcamp” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เพื่อสนับสนุนองค์ความรู้ด้านการเงินการลงทุนให้แก่ครูระดับมัธยมศึกษาและส่งเสริมทักษะการออกแบบกระบวนการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียนด้วยวิธีการที่ทันสมัยในรูปแบบ active learning หวังต่อยอดเป็นหลักสูตรด้านการเงินการลงทุนระดับมัธยมศึกษาเพื่อนำไปใช้ได้กับโรงเรียนทั่วประเทศ ทั้งนี้ ตลอดโครงการได้สร้างครูกระบวนกรสอนการลงทุนแล้ว 155 คน ครอบคลุม 35 จังหวัดทั่วประเทศ ขยายผลสู่นักเรียนรวม 24,804คน

ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์

โครงการ INVESTORY Investment Learning Design Bootcamp เน้นสนับสนุนและเตรียมความพร้อมแก่ครูระดับมัธยมศึกษา เนื่องจากพบว่านักเรียนมัธยมเริ่มมีความสนใจใฝ่รู้เรื่องการลงทุน การปูพื้นฐานตั้งแต่แรกจึงเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำหน้าที่เป็นโค้ชของครู ให้องค์ความรู้ เครื่องมือ และสื่อความรู้ เพื่อให้ครูทำหน้าที่เป็นครูกระบวนกร สร้างสรรค์กระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน ปัจจุบันมีห้องเรียนลงทุนตัวอย่างแล้ว 30 ห้องเรียน ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน INVESTORY เพื่อให้ครูทั่วประเทศนำไปปรับใช้และพัฒนาให้เข้ากับบริบทของห้องเรียนในโรงเรียนแต่ละแห่งต่อไป สอดรับแผนกลยุทธ์และแนวคิด 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน

สำหรับกิจกรรม “Show & Share” ในโครงการ INVESTORY Investment Learning Design Bootcamp ปีนี้ เปิดเวทีให้ครูนำกิจกรรมและกระบวนการสอนที่ได้พัฒนาขึ้นเองและทดลองสอนในห้องเรียนจริงแล้ว มาสาธิตให้แก่ครูและสาธารณชนที่สนใจ ร่วมเรียนรู้ถึง 11 ห้องเรียนลงทุน นอกจากนี้ ยังมีครูกระบวนกรสอนการลงทุนรุ่นพี่ จาก 2 โรงเรียนนำประสบการณ์และไอเดียบันดาลใจที่ได้นำไปใช้จริงมาแบ่งปันกันอีกด้วย

นายปราศรัย เจตสันติ์ โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ เจ้าของผลงาน “ยากไป” สำหรับเด็ก หรือ “สายไป” สำหรับครู? กล่าวว่า อย่าคิดว่าเรื่องการลงทุนยากไปสำหรับเด็ก เพราะทุกวันนี้เด็กรู้จักเรื่องการลงทุนผ่านโลกออนไลน์ด้วยตนเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เด็กจะรู้เรื่องการลงทุนอย่างแท้จริง ครูจึงมีบทบาทสำคัญเข้ามาช่วยสอนให้เด็กเข้าใจเรื่องการลงทุน ผมมองว่าเป็นโอกาสดีที่เด็กและครูจะร่วมกันเรียนรู้เรื่องการลงทุนที่ถูกต้องไปด้วยกัน

นายธนชัย เลขวัฒนะ โรงเรียนมัธยมวัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี เจ้าของผลงาน “ห้องเรียนเล็ก สู่โลกกว้างการลงทุน” กล่าวว่า เราสามารถสอดแทรกเรื่องการลงทุนเข้าไปในการเรียนการสอนได้ทุกวิชา แม้โรงเรียนขนาดเล็กก็สามารถพานักเรียนของเราท่องไปในโลกของการลงทุนได้ อย่างโรงเรียนของผม ครู 1 คนต้องสอนหลายวิชา ผมจึงได้นำเรื่องการลงทุนเข้าไปสอดแทรกในทุกวิชาที่สอน พบว่าแม้แต่วิชาประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ ก็ยังสอนเรื่องการลงทุนให้สนุกได้

ครูอาจารย์และผู้สนใจสามารถติดตามโครงการ INVESTORY Investment Learning Design Bootcamp และ Handbook โมเดลห้องเรียนลงทุนตัวอย่าง ได้ที่เว็บไซต์ https://investory.setgroup.or.th

AIS – GULF – สวพส. สานต่อ Green Energy Green Network for THAIs ปีที่ 2 ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนห่างไกล

0

AIS – GULF – สวพส. สานต่อภารกิจโครงการ Green Energy Green Network for THAIs พลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทย ปีที่ 2 หลอมรวมพลังระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ ขยายโครงสร้างพื้นฐานทั้งโครงข่ายอัจฉริยะและพลังงานสะอาดเพื่อชุมชนห่างไกลในพื้นที่สูงอย่างต่อเนื่อง พร้อมดึงศักยภาพบริษัทในเครือเอไอเอส ทั้ง AIS ACADEMY ไทยคม และ AIS 3BB FIBRE3 ร่วมต่อยอดเสริมพลังองค์ความรู้ดิจิทัล สัญญาณดาวเทียม และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อขยายโอกาสการเข้าถึงพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีดิจิทัล สร้างความเท่าเทียม และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ชุมชนห่างไกลอย่างยั่งยืน

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายดิจิทัลชั้นนำของไทย กล่าวว่า “การทำให้ทุกพื้นที่ของประเทศไทยสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเป็นหนึ่งในภารกิจที่ AIS ให้ความสำคัญมาโดยตลอด เพราะเราเชื่อว่าเมื่อผู้คนสามารถติดต่อสื่อสาร เข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ต และเชื่อมโยงถึงกันได้ นั่นคือ “โอกาส” ที่จะตามมาอย่างมหาศาลในหลายมิติ ทั้งการศึกษา รับรู้ข่าวสาร ที่จะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลให้ดียิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของการสานต่อโครงการฯ ในปีที่ 2 ซึ่งเราดึงศักยภาพของบริษัทในเครือ ไม่ว่าจะเป็น AIS ACADEMY ในการต่อยอดการเรียนรู้ที่ไร้ขอบเขตด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและแพลตฟอร์มห้องสมุดดิจิทัล ให้เยาวชนในพื้นที่ดังกล่าวได้เข้าถึงความรู้อย่างเท่าเทียม รวมถึงเสริมกำลังด้วยอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ของ AIS 3BB FIBRE3 ไปยังพื้นที่ที่เป็นจุดศูนย์กลางของชุมชน เช่น โรงเรียน ศูนย์การเรียนรู้ หรือจุดบริการสาธารณสุข เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานโดยเฉพาะการสื่อสาร นอกจากนี้ ยังมี กัลฟ์ ที่ช่วยติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ และไทยคม ที่ให้การสนับสนุนสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียมและโซลูชันด้านเทคโนโลยีอวกาศในพื้นที่ห่างไกล และเมื่อนำมาผนวกกับความร่วมมือจาก สวพส. ในการคัดเลือกและลงพื้นที่ต่างๆ จึงทำให้โครงการดังกล่าว ขยายความสำเร็จไปสู่พื้นที่ต่างๆ ได้อย่างตรงจุด อีกทั้งยังช่วยเปิดโลกทางการศึกษา การค้าขาย และสร้างประโยชน์ให้กับคนในชุมชมได้นำไปต่อยอดสู่อาชีพที่มั่นคงและสร้างความฝันที่เป็นจริงได้”

นอกจากการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานแล้ว โครงการดังกล่าวยังได้ดำเนินการประเมินผลตอบแทนทางสังคมอย่างเป็นรูปธรรมผ่านงานวิจัยภายใต้กรอบ Social Return on Investment (SROI) ซึ่งชี้ให้เห็นถึงคุณค่าและมูลค่าที่ส่งคืนสู่ชุมชน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง โดยผลลัพธ์ของงานวิจัยจะถูกนำไปใช้ขับเคลื่อนการพัฒนาร่วมกันเฉพาะในแต่ละพื้นที่ห่างไกลได้อย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมในมิติต่างๆ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Green Energy Green Network for THAIs ที่นอกจากลงทุนด้านพลังงานสะอาดแล้ว ยังปูรากฐาน “เครือข่ายสร้างโอกาส” ที่เติบโตบนพื้นฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งคน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมด้วย

นางสาวธีรตีพิศา เตวิชพศุตม์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านปฏิบัติการ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF กล่าวว่า “การนำความรู้ ความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจมาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสร้างคุณค่าร่วมให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนเป็นสิ่งที่ GULF ให้ความสำคัญมาโดยตลอด อย่างในโครงการ Green Energy Green Network for THAIs ที่ได้ผนึกกำลังกับ AIS และ สวพส. ทำให้ในปีที่ผ่านมา GULF สามารถติดตั้งและส่งมอบพลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์เพื่อเชื่อมต่อระบบเครือข่ายสัญญาณดิจิทัลไปแล้วกว่า 30 กิโลวัตต์ใน 6 ชุมชนของประเทศไทย ช่วยให้ผู้คนในพื้นที่ห่างไกลกว่า 4,000 คน เข้าถึงบริการโครงสร้างขั้นพื้นฐาน เพิ่มโอกาสทางการศึกษา ระบบสาธารณสุข และที่สำคัญยังเกิดการต่อยอดพัฒนาด้านอาชีพ นำไปสู่การสร้างงาน รายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนที่ยั่งยืน

ในปีนี้ GULF มีความมุ่งมั่นที่จะสานต่อภารกิจในปีที่ 2 ร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วนตลอดจนพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อขยายผลโครงการอย่างต่อเนื่อง อย่างที่บ้านดอยเวียง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ โดย GULF ได้ผนึกกำลังกับทั้ง AIS และ THAICOM ในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ให้แก่ศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวงบ้านดอยเวียง ทั้งเป็นระบบไฟฟ้าสำหรับระบบสื่อสารผ่านสัญญาณอินเตอร์เน็ตและสัญญาณดาวเทียม THAICOM ทำให้เด็กๆ และเยาวชนในศูนย์การเรียนรู้ฯ เข้าถึงองค์ความรู้ใหม่ๆ สร้างโอกาสด้านการศึกษา ขณะเดียวกันยังเชื่อมต่อระบบเครือข่ายสัญญาณ AIS ทำให้ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ เข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล และบริการโครงสร้างขั้นพื้นฐาน รวมถึงได้ก่อสร้างโรงเรือนสำหรับการสีกาแฟที่ติดตั้งระบบไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จัดซื้อเครื่องสีกาแฟมอบให้แก่ชุมชน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถแปรรูปกาแฟ และต่อยอดไปสู่การสร้างแบรนด์กาแฟของชุมชน เป็นการสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การเข้ามาติดตั้งและส่งมอบโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ทำให้ทุกภาคส่วนเติบโตไปด้วยกัน ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมอีกด้วย”

นายเอกชัย ภัคดุรงค์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกลยุทธ์องค์กร บมจ.ไทยคม กล่าวว่า “ไทยคมมีปณิธานสำคัญในการแบ่งปันโอกาสทางการสื่อสารให้เกิดความทั่วถึงและเท่าเทียม และไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้ดีขึ้นในหลายๆ ด้าน ไทยคมจึงให้การสนับสนุนไม่เพียงเฉพาะการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียมเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมในด้านเทคโนโลยีอวกาศอีกด้วย ทำให้คนในชุมชนนำสิ่งเหล่านี้มาสร้างสรรค์และต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้หลายด้าน อาทิ การศึกษาในรูปแบบดิจิทัล การส่งเสริมอาชีพออนไลน์ การแพทย์ทางไกล และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น และเพื่อเป็นการขยายโครงสร้างพื้นฐานของคนในชุมชนให้ก้าวไปอีกขั้น เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ผนึกกำลังกับ AIS และ กัลฟ์ กับการสนับสนุนสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่มีเสถียรภาพควบคู่ไปกับพลังงานสะอาดที่ยั่งยืน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับคนในชุมชนต่อไป”

“ด้วยพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งโครงข่ายอัจฉริยะ – พลังงานสะอาด – ภาครัฐอย่างเต็มกำลังนี้ จะทำให้ภารกิจ Green Energy Green Network for THAIs สามารถเดินหน้าสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเป็นต้นแบบของภาคธุรกิจไทยในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างโอกาส ลดความเลื่อมล้ำ นำพาผู้คน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว” นางสายชล กล่าวเสริม

สรุปภาวะตลาดหุ้นไทย เดือนพ.ค. 2568

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ เดือนพฤษภาคม 2568 ว่า เริ่มเห็นพัฒนาการด้านการเจรจาการค้าโดยสหรัฐฯ และจีนได้เห็นพ้องที่จะระงับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) เป็นเวลา 90 วัน ทำให้ผู้ลงทุนคลายความกังวลจากสงครามการค้าและเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งควบคุมโดยพรรครีพับลิกัน ได้ลงมติอนุมัติร่างกฎหมายลดภาษีและการใช้จ่ายขนาดใหญ่ ที่เสนอโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “One Big Beautiful Bill” ซึ่งมีบางมาตราอาจกระทบกับการจัดเก็บภาษีผู้ลงทุนต่างชาติในสหรัฐฯ

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 1/2568 ขยายตัว 3.1% จากการส่งออกที่เร่งตัวขึ้นจากการเร่งส่งมอบสินค้าก่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการลงทุนภาครัฐที่ฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ทำให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568  โดยภาพรวมมีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องจากการขยายตัวของภาคการส่งออก และภาคบริการ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก ขนส่ง และโทรคมนาคม นอกจากนี้ บจ. กว่าครึ่งรายงานกำไรสุทธิเท่ากับหรือสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ สาเหตุหลักมาจากการรับได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบโลกซึ่งเป็นต้นทุนหลักที่ปรับลดลง นอกจากนี้ รายจ่ายดอกเบี้ยของ บจ. ในไตรมาสล่าสุดยังสะท้อนถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลงสอดคล้องกับการลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนพฤษภาคม 2568

  • ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 SET Index ปิดที่ 1,149.18 จุด ปรับลดลง 4.0% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ปรับลดลง 17.9% เนื่องจากความผันผวนจากปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศยังคงรบกวนบรรยากาศการลงทุนทั้งในระยะสั้น และระยะกลางผู้ลงทุนอาจหันมาสนใจกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นผลตอบแทนที่มั่นคงจากเงินปันผล ที่บริษัทจดทะเบียนไทยมีการจ่ายปันผลที่ค่อนข้างสูงและสม่ำเสมอ โดยหากกระจายหุ้นในพอร์ตโฟลิโอไปในกลุ่มธุรกิจที่หลากหลายจะยิ่งช่วยบริหารความเสี่ยงในยามที่ความไม่แน่นอนสูงอีกด้วย
  • กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มทรัพยากร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และ กลุ่มเทคโนโลยี
  • มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 43,327 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 9.9% โดยผู้ลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิ 16,182 ล้านบาท และยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 55.37% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการปรับพอร์ตการลงทุนตาม MSCI Rebalance ที่มีด้วยกันสองรอบต่อปีในเดือนพฤษภาคมและพฤศจิกายน ตามลำดับ
  • Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 12.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.1 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 13.7 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.6 เท่า
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 4.28% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.34%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนพฤษภาคม 2568

  • มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 356,872 สัญญา ลดลง 17.7% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ทำให้ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 437,620 สัญญา ลดลง 9.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures

“ปลากะพงขาว” ฮีโร่ปราบปลาหมอคางดำ ฟื้นฟูระบบนิเวศ – ช่วยเกษตรกร

0

ในวันที่ปลากะพงขาวไม่ได้เป็นเพียงปลายอดนิยมในเมนูอาหารไทย แต่ยังเป็น “นักล่าผู้พิทักษ์” ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาการรุกรานของ “ปลาหมอคางดำ” ในแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร โดยเฉพาะระบบกึ่งธรรมชาติที่ปลาหมอคางดำหลุดรอดเข้าไปในบ่อแย่งกินลูกกุ้ง และแย่งอาหารจากปลาหรือกุ้งที่เลี้ยงทำให้เกษตรกรเดือดร้อน ยกระดับจากปลาเศรษฐกิจสู่ผู้พิทักษ์แหล่งน้ำ

การฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของแหล่งน้ำและการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเป็น 1 ใน 5 แผนปฏิบัติงานหลักของกรมประมง โดยพุ่งเป้าการปล่อยสัตว์น้ำเป็นนักล่าตามความเหมาะสมของแหล่งน้ำ เพื่อให้ช่วยลงไปช่วยกำจัดปลาหมอคางดำให้เหลือน้อยที่สุดและควบคุมให้อยู่ในพื้นที่จำกัด

ปลากะพงขาว เป็นปลากินเนื้อมีพฤติกรรมเป็นนักล่าตามธรรมชาติ กรมประมงจึงใช้ปลากะพงขาวเป็นตัวช่วยควบคุมปลาหมอคางดำ และเป็นกำแพงป้องกันไม่ให้ปลาหมอคางดำแพร่กระจายออกไปพื้นที่อื่น และจากการเก็บข้อมูลของฝ่ายวิชาการกรมประมงสมุทรปราการ สุ่มสำรวจในแหล่งน้ำที่มีการปล่อยปลากะพงขาว พบว่าปริมาณปลาหมอคางดำในพื้นที่มีความหนาแน่นลดลงอย่างมาก จึงเป็นสิ่งยืนยันว่าสามารถแก้ปัญหาในพื้นที่ กำจัดลูกปลาหมอคางดำได้ผลสำเร็จ

นประมงสมุทรสงครามจึงคิกออฟไอเดีย จัดตั้ง “สิบหยิบหนึ่ง” ขึ้น ดำเนินการแบบกองทุนปลากะพงขึ้น เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรมีปลานักล่าช่วยควบคุมและลดจำนวนปลาหมอคางดำในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ลดภาระต้นทุนให้กับเกษตรกร โดยได้รับการสนับสนุน ลูกพันธุ์ปลากะพงขาว จากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มาแจกจ่ายให้เกษตรกรได้นำไปเลี้ยง เพื่อช่วยกำจัดปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ เมื่อปลากะพงขาวโตได้ขนาดนักล่า เกษตรกรจะจับปลากะพงมาส่งคืนให้ประมงจังหวัดในจำนวนร้อยละสิบของปลาที่ได้รับสนับสนุนมา ประมงจังหวัดจะนำปลากะพงขาวที่ได้รับคืนจากเกษตรกรไปปล่อยลงสู่แหล่งน้ำในธรรมชาติต่อไป ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มุ่งช่วยให้เกิดการควบคุมปลาหมอคางดำทั้งในบ่อเลี้ยงและแหล่งน้ำธรรมชาติควบคู่กัน

ด้วยพฤติกรรมเป็นปลานักล่า กินปลาขนาดเล็กและมีพฤติกรรมอยู่ร่วมในระบบเลี้ยงผสมได้ดี เกษตรกรสามารถเลี้ยงร่วมกับกุ้งได้ในระบบเดียวกัน และปลากะพงขาวยังเป็นปลาเศรษฐกิจที่เกษตรกรสามารถนำไปจำหน่ายหรือแปรรูปเพิ่มมูลค่าเป็นโอกาสสร้างรายได้เสริมได้อีกทางหนึ่ง นอกจากประมงจังหวัดสมุทรสงคราม ประมงหลายพื้นที่ อาทิ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสมุทรปราการ ตลอดจนจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ขยายผลจัดตั้ง ‘กองทุนปลากะพง’ ขึ้น โดยผนึกกำลังกับ ซีพีเอฟ เพื่อช่วยให้เกษตรกรรายย่อยให้สามารถเข้าถึงลูกพันธุ์ปลากะพงขาวคุณภาพ ผ่านการสนับสนุนลูกพันธุ์ปลากะพงขาว ให้เกษตรกรนำไปปล่อยเพื่อเพาะเลี้ยงให้ปลากะพงขาว ทำหน้าที่เป็น “ผู้พิทักษ์” ลดภาระต้นทุนของเกษตรกรในการควบคุมและลดจำนวนปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ และสามารถสร้างงานและรายได้ให้ทั้งในรูปแบบการจำหน่ายสดและการแปรรูปเพิ่มมูลค่าให้เกษตรกรต่อไป

นายสมศักดิ์ แสงสุริยา หนึ่งในเกษตรกรเลี้ยงกุ้งที่เข้าร่วมโครงการ “สิบหยิบหนึ่ง” เล่าว่า ปลากะพงขาวช่วยลดจำนวนปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยงกุ้งได้จริง เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่มาช่วยเยียวยาเกษตรกรเจ้าของบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และสร้างโอกาสเพิ่มรายได้จากการจับปลากะพงมาจำหน่ายได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ เกษตรกรยังได้รับการสนับสนุนกากชาจากประมงจังหวัดมาช่วยกำจัดปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยง ควบคู่กับการปรับตัวโดยการใช้วิธีการกรองน้ำระหว่างการดึงน้ำจากลำคลอง ซึ่งช่วยตอบโจทย์ของเกษตรกรช่วยแก้ปัญหาปลาต่างถิ่นในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแล้ว

“ปลากะพงขาว” จากปลาเศรษฐกิจสู่บทบาท “ฮีโร่มือปราบปลาหมอคางดำ” คือหนึ่งในตัวอย่างการประยุกต์ใช้วิถีธรรมชาติเป็นเครื่องมือฟื้นฟูธรรมชาติ ช่วยเกษตรกรควบคุมปลาหมอคางดำ และยังสร้างโอกาสทางรายได้ รวมถึงเพิ่มแหล่งอาหารให้กับชุมชนด้วยอีกทางหนึ่ง.

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึก กสิกรไทย เสิร์ฟ 2 โปรสุดคุ้ม รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 4,000  บาท หรือแบ่งจ่าย 0% นาน 6เดือน พร้อมรับ K Point สูงสุด 50,000 คะแนน

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตร่วมกับธนาคารกสิกรไทย เดินหน้าส่งมอบประสบการณ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แก่ลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต หรือเบี้ยปีต่ออายุกรมธรรม์ ที่สามารถชำระด้วยบัตรเครดิตได้ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าที่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทยและบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด      มี 2 โปรโมชันให้เลือก ได้แก่

โปรโมชันที่ 1  แบ่งจ่าย 0% นาน 6 เดือน พร้อมรับ K Point สูงสุด 50,000 คะแนน*  สำหรับลูกค้าที่ซื้อหรือชำระเบี้ยประกันภัยเมืองไทยประกันชีวิต ผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทย สามารถเลือกใช้บริการ แบ่งจ่าย 0% นาน 6 เดือน ผ่าน KBank Smart Pay เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป โดยทุก ๆ ยอดใช้จ่าย 10,000 บาท รับ K Point 1,000 คะแนน สูงสุด 20,000 คะแนน/ท่าน/รายการ/วัน  จำกัดการรับ K-Point สูงสุด 50,000 คะแนน ต่อท่านตลอดรายการ   วิธีลงทะเบียน  พิมพ์ ML2 [เว้นวรรค] หมายเลขบัตรเครดิตกสิกรไทย 12 หลักสุดท้าย ส่ง SMS มาที่ 4545888 ก่อนทำรายการ ระยะเวลาโปรโมชัน  21 เมษายน 2568 –                   30 มิถุนายน 2568

โปรโมชันที่ 2 “คุ้ม 2 ต่อ” สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย และบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด ลูกค้าที่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยของเมืองไทยประกันชีวิต (ยกเว้น Unit Linked) ทั้งเบี้ยประกันภัยใหม่ และ    เบี้ยประกันภัยปีต่ออายุ ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 – 31 กรกฎาคม 2568 รับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ ดังนี้

คุ้มต่อที่ 1  รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 4,000 บาท*

ยอดชำระเบี้ย 10,000-19,999 บาทต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 60 บาท

ยอดชำระเบี้ย 20,000-49,999 บาทต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 120 บาท

ยอดชำระเบี้ย 50,000-99,999 บาทต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 350 บาท

ยอดชำระเบี้ย 100,000-499,999 บาทต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 800 บาท

ยอดชำระเบี้ย 500,000 บาทขึ้นไปต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 4,000 บาท

โดยทุกการใช้จ่าย ยังได้รับคะแนนสะสม K Point และพิเศษยิ่งขึ้น สำหรับผู้ถือบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด รับเครดิตเงินคืนเพิ่มอีก 0.25% จากยอดชำระเบี้ยโดยไม่จำกัดจำนวนเงินคืน ร่วมรายการโดยการลงทะเบียนเพียงครั้งเดียวภายในระยะเวลารายการ : พิมพ์ INS [เว้นวรรค] ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4545888

คุ้มต่อที่ 2  แลกคะแนน K Point เท่ายอดใช้จ่าย รับเครดิตเงินคืน 10%** หรือแลกทุก 1,000 คะแนน เพื่อรับเครดิตเงินคืน 100 บาท  โดยต้องแลกคะแนนไม่น้อยกว่ายอดชำระเบี้ยประกันเพื่อรับเครดิตเงินคืน 10% (จำกัดการแลกสูงสุด 500,000  คะแนน/ท่าน ตลอดรายการ)  ลงทะเบียนทุกครั้งที่ต้องการแลก พิมพ์ KIR  [เว้นวรรค] หมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย [เว้นวรรค] จำนวนยอดใช้จ่ายที่ต้องการแลก (ไม่ใส่จุดทศนิยม) ส่งมาที่ 4545888

โดยทั้ง 2 โปรโมชันนี้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทั้งในด้านการบริหารค่าใช้จ่ายและการสะสมคะแนนเพื่อแลกรับความคุ้มค่าสำหรับผู้ที่สนใจสมัครบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดสามารถศึกษา เงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่  เว็บไซต์เมืองไทยประกันชีวิต www.muangthai.co.th  หรือโทร.1766 ทุกวัน  ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ K Contact Center 02-888-8888

เอไอเอส เปิดตัว “AIS Infinite SMEs” เสริมแกร่ง ปลุกพลัง SMEs ไทย

0


AIS เปิดตัว “AIS Infinite SMEs” ก้าวใหม่แห่งความร่วมมือในการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ Startup และ SMEs ไทยให้เชื่อมต่อทุกความเป็นไปได้ ผ่านกลยุทธ์ “3 ส” เพื่อเสริม สร้าง และพาผู้ประกอบไทยสยายปีกอย่างแข็งแกร่งในทุกมิติ ด้วยองค์ความรู้และโซลูชันอัจฉริยะ ขยายโอกาสการสร้างพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชน และเครือข่ายระดับโลก ผ่านหลักสูตรเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการ เพื่อส่งเสริมทักษะและสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมผลักดัน SMEs ไทยสู่มาตรฐานระดับสากล เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างไร้ขีดจำกัดไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า “AIS ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้น แต่เราเริ่มวางรากฐาน มาตั้งแต่วันที่ “ดิจิทัล” ยังเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทย หรือกว่า 15 ปีที่ผ่านมา ภายใต้ AIS The StartUp โครงการส่งเสริมสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกิจกรรมระดับชาติครั้งแรกของไทยที่จุดประกายความเคลื่อนไหวในวงการ Startup จนถึงทุกวันนี้ เราภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการส่งมอบสินค้าและบริการของสตาร์ทอัพมากกว่า 100 รายออกสู่ตลาด พร้อมผลักดันผู้ประกอบการให้สามารถต่อยอดและขยายธุรกิจไปสู่ภาคส่วนใหม่ ๆ ที่ตอบรับกับแนวโน้มของโลกยุคใหม่ อาทิ การเปลี่ยนผ่านจากระบบขนส่งในเมือง (Urban Mobility) ไปสู่ระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Mobility) โดยอาศัยเทคโนโลยีสีเขียวเป็นตัวขับเคลื่อน ผ่านการสนับสนุนองค์ความรู้และ Digital Infrastructure ที่มีศักยภาพ และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นหลายภาคส่วนเดินหน้าร่วมกัน เพื่อปลุกพลังผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้ขับเคลื่อนอนาคตของภาคเศรษฐกิจไทย

เมื่อผนวกกับวิสัยทัศน์ AI for Sustainable Nation ที่เป็นหมุดหมายหลักของ AIS ในปีนี้ ที่จะนำศักยภาพของโครงข่ายอัจฉริยะและ AI มายกระดับให้ทุกภาคส่วนของประเทศ รวมไปถึงภาคธุรกิจ SMEs เติบโตไปอย่างยั่งยืน จึงเป็นที่มาของการทรานส์ฟอร์มสู่ AIS Infinite SMEs กับพันธกิจใหม่ เพื่อเชื่อมโยงทุกความเป็นไปได้สู่การเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด พร้อมยกระดับมาตรฐาน SMEs ไทยสู่ระดับสากล ผ่านการเชื่อมโยงทุกมิติ ทั้งเทคโนโลยีดิจิทัล ตลาด และคู่ค้าพันธมิตร เพื่อมุ่งสร้างระบบนิเวศแบบเติบโตร่วมกัน ภายใต้กลยุทธ์ “3 ส” ประกอบด้วย เสริม ทักษะที่ใช่สำหรับ SMEs ที่จะทำธุรกิจในโลกดิจิทัลที่ทำให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและแตกต่าง – สร้าง ระบบหลังบ้านที่เข้มแข็ง ได้มาตรฐานระดับสากลอย่าง ISO ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาคู่ค้าและนักลงทุน และเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตในระยะยาว เป็นอีกหนึ่ง “ใบเบิกทาง” สำคัญให้กับธุรกิจ SMEs – สยายปีก ด้วยการนำศักยภาพของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ AIS มี มาช่วยขยายโอกาสในการเติบโตได้ไกลยิ่งขึ้น เพื่อเชื่อมโยงธุรกิจ SMEs เข้ากับกลุ่มลูกค้าจำนวนมากทั่วประเทศ เปิดประตูสู่โอกาสเติบโตใหม่ๆ อีกมากมาย”

สำหรับพันธกิจของ AIS Infinite SMEs จะดำเนินการภายใต้แนวคิด “Transformation และ Standardization” ซึ่งประกอบด้วย 3 หลักการใหญ่ ได้แก่
· Infinite Skills เปิดประตูความรู้เพื่อการเติบโตของ SMEs ไทยทั่วประเทศ ซึ่งมี AIS Academy ที่ได้รับการรับรอง ISO 30401 (Knowledge Management Systems) ในการพัฒนาหลักสูตรสำหรับผู้ประกอบการ เนื้อหาครอบคลุมทั้ง 3 แกน ได้แก่ Information Technology, Marketing และ Entrepreneurship พร้อมด้วยความร่วมมือกับ F11/Wecosystem จัดทำคอนเทนต์ที่ย่อยง่ายบนออนไลน์ เกี่ยวกับศาสตร์แห่งการเติบโต ให้เจ้าของธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันทีในโลกจริง
· International Standards ยกระดับ SMEs ไทยสู่มาตรฐานสากล ผ่านความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ depa ในการผลักดันมาตรฐาน ISO 29110 ซึ่งเป็นมาตรฐานเฉพาะทางสำหรับ Software SMEs พร้อมเดินหน้าริเริ่ม ISO Marketplace for SMEs เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
· Infinite Scales จัดทำหลักสูตร Transformative Infinite SME เพื่อตอบโจทย์ SMEs ที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทั้งที่เป็นกลุ่มธุรกิจที่กำลังขยายตัว (Scale-up) และกลุ่มทายาทธุรกิจรุ่นใหม่ ที่สืบทอดและยกระดับกิจการของครอบครัว โดยร่วมมือกับพันธมิตรจากทั้งองค์กรภาครัฐ เอกชน สถาบันการเงิน และผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET), สมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (maiA), สมาคมผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัว (AFBE), และ F11/Wecosystem

ด้าน นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า “ปัจจุบันโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านภาษีของสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี วิกฤตสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น ซึ่งล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการผลิต ตลอดจนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดแนวโน้มใหม่ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะแนวทาง ESG ที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันบนเวทีโลกในปัจจุบัน

ท่ามกลางบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ กว่า 99% ของภาคธุรกิจไทยยังคงเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย การเสริมสร้างขีดความสามารถและยกระดับมาตรฐานให้กับ SMEs จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

ด้วยเหตุนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จึงร่วมมือกับ AIS ในการสนับสนุนและพัฒนา SMEs ไทยในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น ISO/IEC 29110:2018 การจัดตั้งสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (SMI: Small & Medium Industrial Institute) เพื่อยกระดับ SMEs ไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง รวมถึงการผลักดันให้ธุรกิจไทยเดินหน้าอย่างมั่นคงภายใต้แนวทาง “4 Go” ได้แก่ Go Digital & AI, Go Innovation, Go Global และ Go Green นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการผลิตสินค้าและบริการภายใต้ตราสัญลักษณ์ “Made in Thailand (MiT)” – ไทยซื้อไทย ใช้ของไทย ไม่แพ้ใครแน่นอน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าและบริการของไทย เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ และเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยสามารถแข่งขันได้ทั้งในประเทศและตลาดโลก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางในการสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง และเสริมสร้างความภาคภูมิใจในสินค้าฝีมือคนไทยอย่างแท้จริง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงความร่วมมือเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลให้กับภาคธุรกิจ แต่คือ พันธสัญญาร่วมกันในการสร้างโอกาสใหม่ และวางรากฐานที่มั่นคงให้กับเศรษฐกิจไทยในอนาคต”

“AIS เชื่อมั่นเสมอว่า ธุรกิจและประเทศไทยจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ทุกภาคส่วนต้องเติบโตเคียงข้างกัน เพราะทุกคนเปรียบเสมือนฝูงปลาที่แหวกว่ายเป็นจังหวะเดียวกันเพื่อสร้างคลื่นเศรษฐกิจไทยที่มั่นคงและแข็งแรง ดังนั้น AIS Infinite SMEs จึงเกิดขึ้นมาเพื่อส่งพลังและแรงว่ายให้กับ SMEs ไทย เป็นพันธมิตรคนกลางที่ช่วยเชื่อมโยงทุกโอกาส ร่วมสร้าง ร่วมโต และร่วมเปลี่ยนอนาคตเศรษฐกิจไทยสู่การเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด” นายสมชัย กล่าวเสริม ทั้งนี้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AIS Infinite SMEs ได้ที่ https://www.ais.th/infinite-smes