Home Blog Page 24

ตลท. สั่ง JKN ชี้แจงผลกระทบหลังโดน ก.ล.ต. กล่าวโทษ เผยเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนหุ้น

0

    ตลท. ขอให้ JKN ชี้แจงผลกระทบต่อการดำเนินการต่าง ๆ และการปรับปรุงระบบควบคุมภายในเกี่ยวกับการจัดทำงบการเงิน จากกรณีที่สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษ JKN และกรรมการอีก 2 รายต่อ DSI

     เพื่อให้ผู้ถือหุ้นของ JKN ได้รับทราบข้อมูลสำคัญ ตลาดหลักทรัพย์ฯ  ขอให้ JKN ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ ภายในวันที่ 19 มิถุนายน 2568

    1. สถานะและความคืบหน้าในการดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเป็นกรณีพิเศษ (“Special Audit”) ของ JKN ซึ่งบริษัทเคยแจ้งว่าจะสามารถรายงานผลได้ภายในไตรมาส 2 ปี 2568 โดยขอให้ระบุว่ารายงาน Special Audit ที่อยู่ระหว่างการจัดทำครอบคลุมรายการที่สำนักงาน ก.ล.ต. ตรวจพบความผิดปกติหรือไม่ อย่างไร รวมถึงการกล่าวโทษของสำนักงาน ก.ล.ต. มีผลกระทบต่อการจัดทำและกรอบระยะเวลาที่คาดว่าจะสามารถรายงานผล Special Audit หรือไม่ อย่างไร  
    2. ผลกระทบต่อการฟื้นฟูกิจการผ่านศาลล้มละลาย จากกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า สำนักงาน ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษ นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ และนางสาวพิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์ ว่าร่วมกันสั่งการหรือกระทำการสร้างรายการเจ้าหนี้ปลอมและลูกหนี้ปลอม ซึ่งส่งผลให้งบการเงินปี 2566 ของ JKN แสดงยอดหนี้สินและสินทรัพย์ต่างจากความเป็นจริง แต่นำเจ้าหนี้การค้ามาบันทึกบัญชีในปี 2567 เพื่อลวงบุคคลใด ๆ ว่าในปี 2567 JKN มีเจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้น และนำเจ้าหนี้การค้าดังกล่าวไปใช้สิทธิออกเสียงเพื่อเลือกผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการของ JKN
    3. ผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ JKN จากการที่นายจักรพงษ์และนางสาวพิมพ์อุมาพ้นจากการดำรงตำแหน่งกรรมการและ/หรือผู้บริหาร รวมถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจของ JKN ในอนาคต และผู้รับผิดชอบในการบริหารจัดการบริษัทแทนนายจักรพงษ์และนางสาวพิมพ์อุมา
    4. แนวทางการปรับปรุงระบบควบคุมภายในเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำงบการเงินและเอกสารที่เกี่ยวข้องในอนาคต เพื่อให้ JKN มีระบบการควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะสามารถจัดทำงบการเงินได้ถูกต้อง น่าเชื่อถือ โดยระบุกรอบระยะเวลาดำเนินการ และบุคลากรผู้รับผิดชอบ

    และจากกรณี JKN ถูกสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้แจ้งการดำเนินการกับ JKN ดังนี้

    1. ประกาศให้หุ้นสามัญของ JKN มีเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนเพิ่มเติมอีก 1 เหตุ จากการที่ JKN เปิดเผยข้อมูลอันเป็นเท็จในงบการเงินประจำปี 2566 และแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (“แบบ 56-1 One Report”) ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2568 โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะยังคงขึ้นเครื่องหมาย NC (Non-Compliance) เพื่อให้ผู้ลงทุนทราบว่าหลักทรัพย์ JKN เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน พร้อมกับขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension) เพื่อสั่งห้ามซื้อหรือขายหลักทรัพย์ JKN ต่อไป

    2. ปัจจุบัน หุ้นสามัญของ JKN มีเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน รวม 2 เหตุ ดังนี้

       2.1 กรณีไม่นำส่งงบการเงินไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ภายในระยะเวลาที่กำหนด

       2.2 กรณีเปิดเผยข้อมูลอันเป็นเท็จในงบการเงินประจำปี 2566 และแบบ 56-1 One Report

    อย่างไรก็ดี หาก JKN ไม่สามารถแก้ไขเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนดังกล่าวได้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการเพิกถอนหุ้นสามัญของ JKN จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนต่อไป

    รู้เก็บรู้ออม : ชีวิตการเงินที่ใช่…แบบอาร์ตอาร์ต

    0
    ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

    หลายคนน่าจะคุ้นหูกับคำกล่าวที่ว่า “มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน…”  ซึ่งอยู่ในบทกลอนสอนเรื่องความสำคัญของการศึกษาเล่าเรียน  อย่างไรก็ตาม ศาสตร์หรือวิชาความรู้ที่มีอยู่ หากไม่รู้จักนำมาใช้ หรือใช้ไม่เป็น ก็คงจะมีวันที่หมดไปเหมือนทรัพย์สินเงินทองที่ร่อยหรอเพราะขาดการบริหาร จนทำให้คนจำนวนไม่น้อยตกอยู่ในสภาพ ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด คือมีความรู้แต่ไม่รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์

    หากเรามีศาสตร์ด้านความรู้เรื่องการเงินการลงทุนแล้ว จะยิ่งดีขึ้นถ้าเรามีศิลป์ หรือการประยุกต์นำความรู้นั้นมาใช้ ซึ่งจะช่วยทำให้เราบรรลุถึงเป้าหมายทางการเงินที่วางไว้  

    “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” จึงอยากชวนนักลงทุนและผู้สนใจมาร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ และร่วมค้นหา “ศิลปะการจัดการเงิน” ที่ใช่ ในแบบของตัวเอง ในเสวนาหัวข้อ “The Art of Happy Money การเงินดีต้องมีศิลป์” พร้อมพบปะพบปะพูดคุยกับศิลปินวาดภาพประกอบคู่มือความรู้เรื่องเงินและลงทุน

    ผู้ร่วมงานจะมีโอกาสได้พบกับ 5 ศิลปินรุ่นใหม่นักวาดคาแรคเตอร์ ที่จะมาร่วมแชร์แรงบันดาลใจในการออกแบบภาพวาด ถ่ายทอดเรื่องราวการวางแผนการเงินตามช่วงวัย เริ่มจาก วัยเริ่มต้นทำงาน เพิ่งเรียนจบ  พบกับ นัทพล โกมลารชุน @Kamogallery  ในหัวข้อ “Young & Wise วางแผนการเงินตั้งแต่ก้าวแรก”  ที่จะมาแนะนำเรื่องเงินน่ารู้, การบริหารเงินก้อนแรกที่ได้จากการทำงานสำหรับ First Jobbers  

    ตามด้วยวัยที่โตขึ้นมากับภาระที่หนักอึ้ง คือ หัวหน้าครอบครัว หรือเสาหลักของบ้าน  ชวนให้ฟังหัวข้อ “Sandwich Gen เสาหลักของบ้าน จัดการเงินให้สมดุล” โดย สาลินี รัตนชัยสิทธิ์ @CyranoDesign เพื่อจะได้เปลี่ยนจากการแบก เป็นการบาลานซ์ มีเงินเก็บได้แบบไม่ลำบาก ผ่านเทคนิคต่างๆ เช่น เทคนิคจัดเงิน 3 กอง, การเปิดใจคุยเรื่องเงินในครอบครัว

    และวัยที่ต้องการวางแผนเกษียณ ไม่ควรพลาดกับหัวขัอ “Retire Happily ชีวิตดีทั้งก่อนและหลังเกษียณ” โดย นิวัต เพียรภัณฑวณิช @AbigBurger ที่จะมาแนะนำเทคนิคการวางแผนการเงินทั้งก่อนและหลังเกษียณ เพื่อเป้าหมายเกษียณสุข

    นอกจากนี้ยังมีหัวข้อที่ถูกใจมนุษย์เงินเดือน กับ  “Wealthy Worker มนุษย์เงินเดือนก็มั่งคั่งได้” โดย ชายแดน เทียมไสย์ @SHITTAK และ สำหรับฟรีแลนซ์ ต้องไม่พลาดกับ “Happy Jobbers ชีวิตอิสระ งานโปร เงินปัง” โดย สัณห์สินี ชวนฐิติพร @KaptorStore   ทั้งหมดดำเนินรายการโดย ธนธร กาญจนิศากร เจ้าของเพจ Namfinance

    ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงาน ติดตามซีรีส์ The Art of Happy Money ได้ทั้ง 5 เล่ม 5 แนว ในวันอังคารที่ 17 มิ.ย. 2568 เวลา 14:30-16:30 น. ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือดูสดได้ทาง Facebook, YouTube และ TikTok “SET Thailand”   โดยเปิดให้ลงทะเบียนล่วงหน้าแล้วที่ www.set.or.th/theartofhappymoney   ผู้ร่วมงานยังจะได้รับคู่มือ “The Art of Happy Money” และ “โปสการ์ดที่ระลึก” อีกด้วย งานนี้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

    คุณนายพารวย

    AIS ต่อยอดความสุขผ่าน AIS Points ดันกลยุทธ์ “ทุกพอยท์ มีพลัง” ส่ง 3 แคมเปญใหญ่“ลองใช้-แลกบุญ-ลุ้นโชค” สร้างความคุ้มค่าให้ทุกการใช้คะแนนตลอดทั้งปี 

    0

    AIS เดินหน้ายกระดับประสบการณ์การดูแลลูกค้า ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่การใช้งานในทุกๆ วันของลูกค้าผ่าน “AIS Points” ภายใต้กลยุทธ์ “ทุกพอยท์ มีพลัง” มุ่งเปลี่ยนคะแนนสะสมทุกคะแนนให้เป็นมากกว่าสิทธิพิเศษทั่วไป สู่การเป็น “พลังที่ใช้ได้จริง” และ “พลังที่ส่งคืนให้สังคม” ด้วยการจัด 3 แคมเปญใหญ่ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ ลองใช้ – แลกบุญ – ลุ้นโชค ที่ให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่าของการใช้คะแนนตลอดทั้งปี

    นางสาวโอปอล เลิศอุทัย หัวหน้าฝ่ายงานบริหารข้อเสนอและความผูกพันลูกค้า AIS กล่าวว่า ที่ผ่านมา AIS ได้เดินหน้ายกระดับการมอบประสบการณ์พิเศษให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านหนึ่งในโปรแกรมความคุ้มค่าที่ลูกค้าให้ความนิยมอย่าง “AIS Points” ซึ่งเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถนำพอยท์ที่สะสมมาแลกรับความสุขผ่านสิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าทั่วประเทศ ทั้งส่วนลดสินค้าที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ หรือแม้แต่บริการดิจิทัลต่างๆ ของเอไอเอส ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา มีการใช้คะแนนสะสมแลกสิทธิประโยชน์รวมกว่า 2,000 ล้านคะแนน โดยอินไซต์ของลูกค้า AIS ตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ค. ปี 2568 นี้ พบว่า 3 อันดับหมวดหมู่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ แลกรับฟรีแพ็กเกจอินเทอร์เน็ต หรือการโทร แลกลุ้นรางวัล และแลกรับส่วนลดเครื่องดื่มจากพาร์ทเนอร์ ตามลำดับ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าในสิทธิพิเศษที่จับต้องได้ ใช้ได้จริง ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์

    นอกจากนี้ การเปรียบเทียบอัตราการเติบโตของการแลก AIS Points ระหว่างปี 2567 ถึง 2568 พบว่า ลูกค้าในแต่ละเจเนอเรชันมีแนวโน้มการใช้คะแนนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงจูงใจในการแลกคะแนนที่แตกต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์และความต้องการแต่ละช่วงวัย กลุ่ม Gen X (อายุ 45-60 ปี) มีอัตราการแลกคะแนนเพื่อรับส่วนลดมือถือและอุปกรณ์เสริมเติบโตสูงที่สุด สะท้อนความสนใจในการอัปเกรดอุปกรณ์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ กลุ่ม Gen Y (อายุ 29-44 ปี) ใช้คะแนนแลกส่วนลดกิน ดื่ม เที่ยว และช้อปปิ้ง เป็นหลัก ซึ่งสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ที่เน้นการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ขณะที่กลุ่ม Gen Z (อายุ 13-28 ปี) มีอัตราการแลกคะแนนเพื่อรับแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตและโทรฟรีเพิ่มขึ้นสูงสุด สะท้อนถึงความต้องการในการเชื่อมต่อโลกดิจิทัลตลอดเวลา ดังนั้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มอย่างตรงใจและครบครันที่สุด จึงเป็นที่มาของการยกระดับ AIS Points ด้วยกลยุทธ์ “ทุกพอยท์ มีพลัง” ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เติมเต็มทุกการใช้คะแนนให้มีคุณค่ายิ่งขึ้นในทุกมิติ

    “ทุกพอยท์ มีพลัง” ชวนลูกค้า AIS เปิดประสบการณ์แลกรับสิทธิประโยชน์จาก AIS Points ผ่าน 3 แคมเปญใหญ่  “ลองใช้ – แลกบุญ – ลุ้นโชค” ที่คัดสรรความพิเศษมาอย่างจัดเต็ม เพื่อให้ทุกพอยท์มีพลังสร้างความสุขและความคุ้มค่าได้มากกว่าที่เคย

    • ลองใช้ – เปิดโอกาสให้ลูกค้าเริ่มต้นใช้ AIS Points ได้ง่ายๆ ผ่านกิจกรรม 10 Points Day – วันใช้สิบแห่งชาติ” ทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน กับสิทธิพิเศษจากร้านค้าชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นคูปองอาหาร ขนม เครื่องดื่ม ตั๋วหนัง หรืออินเทอร์เน็ต เพียงใช้แค่ 10 คะแนน ก็สามารถแลกรับได้ทันที เพื่อกระตุ้นการเริ่มต้นใช้งาน ลดการปล่อยให้คะแนนหมดอายุโดยเปล่าประโยชน์ พร้อมเปลี่ยนคะแนนสะสมให้กลายเป็นประสบการณ์ที่จับต้องได้ ตั้งแต่วันนี้ – 16 สิงหาคม 2568 ชวนให้ทุกคนมาใช้ผ่านแคมเปญกระตุ้นแลกพอยท์ วันใช้สิบแห่งชาติ
    • แลกบุญ – สร้างพลังแห่งการแบ่งปันกับกิจกรรม “ปันพอยท์ เติมสุข เพิ่มบุญอุ่นใจ” ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการ “ให้” โดยการใช้ AIS Points บริจาคให้กับ 6 องค์กรการกุศลชั้นนำ ได้แก่ มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ มูลนิธิโรงพยาบาลเด็กกองทุนอาคารเฉลิมพระเกียรติฯ สภากาชาดไทย และมูลนิธิรามาธิบดีได้โดยตรงผ่านแอป myAIS ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2568 โดยสามารถเลือกบริจาคได้ตั้งแต่ 100, 200 หรือ 300 คะแนนต่อครั้ง
    • ลุ้นโชค – สำหรับสายลุ้น AIS ขอชวนมาร่วมสนุกกับกิจกรรม “ลุ้นโชคกับ เอไอเอส พอยท์” เพียงใช้ 5 คะแนน ก็สามารถแลกรับสิทธิ์ลุ้นรางวัลสุดพิเศษ พร้อมของรางวัลที่คัดสรรมาเพื่อเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ อาทิ รถกระบะ Toyota Hilux ลำโพง Marshall เครื่องฟอกอากาศ Dyson เปิดให้ร่วมสนุกตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2568 และของรางวัลอื่นๆ ที่จะทยอยเผยโฉมตลอดทั้งปี

    AIS ขอเชิญชวนลูกค้าทุกคนสัมผัสประสบการณ์ความสุขจากสิทธิพิเศษสุดคุ้ม พร้อมส่งต่อพลังบวกสู่สังคม ตามแนวคิด “ทุกพอยท์ มีพลัง” จาก AIS Points ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แอปพลิเคชัน myAIS

    เมืองไทยประกันชีวิต เข้าใจทุกความห่วง เปิดตัวประกันใหม่ “เมืองไทย พรีเมียร์ เลกาซี่ 99/1 (แบบเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์คงที่)” และ “เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น 99/20” 

    0

    เมืองไทยประกันชีวิต  เข้าใจทุกความ  “ห่วง”  ชูแบบประกันภัยเพื่อวางแผนมรดก “เมืองไทย พรีเมียร์ เลกาซี่ 99/1 (แบบเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์คงที่)” และ “เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น 99/20” ตอบโจทย์การสร้างความมั่นคงเพื่อคนที่คุณรัก พร้อมเปิดตัวบริการ “MTL Legacy Consultant” มอบสิทธิพิเศษจาก ติลลิกีแอนด์กิบบินส์ (Tilleke & Gibbins) และ “ชีวามิตร” ช่วยตอบโจทย์การวางแผนการส่งต่อมรดก การออกแบบพินัยกรรมชีวิต การวางแผนการเงินที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

    นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านประกันชีวิตและสุขภาพ ที่คอยเคียงข้างดูแลในทุกช่วงของชีวิต (Trusted Lifetime Partner)  พร้อมเข้าใจทุกความ “ห่วง”  เพราะชีวิตไม่แน่นอน การเตรียมพร้อมเพื่อคนที่รักจึงสำคัญ  ล่าสุดเมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าตอบโจทย์การสร้างความมั่นคงเพื่อคนที่คุณรัก เปิดตัว 2 แบบประกันภัย แบบประกันภัย เมืองไทย พรีเมียร์ เลกาซี่ 99/1 (แบบเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์คงที่) และแบบประกันภัย เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น 99/20  ช่วยเตรียมพร้อมวางแผนมรดกเพื่อส่งต่อความมั่นคงด้วยประกันชีวิต เลือกได้ตามความต้องการ ให้คุณเบาใจในวันที่ไม่อยู่

    โดยแบบประกันภัย เมืองไทย พรีเมียร์ เลกาซี่ 99/1 (แบบเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์คงที่) ตอบโจทย์การสร้าง “หลักประกันก้อนใหญ่” ได้ด้วย “เงินก้อนเล็ก”  หมดห่วงเรื่องการส่งต่อมรดกจากรุ่นสู่รุ่น และมั่นใจได้ว่าคนที่คุณรักจะไม่สะดุดกับปัญหาสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ ในยามที่คุณไม่อยู่ โดดเด่นด้วยเบี้ยประกันภัยที่ถูกกว่าและได้ความคุ้มครองชีวิตเท่าเดิม พร้อมรับหลักประกันก้อนโตจากความคุ้มครองชีวิต 100%* ชำระเบี้ยเพียงครั้งเดียว แต่ให้ความดูแลไปตลอดชีวิต สมัครได้ตั้งแต่อายุ 30 วัน – 80 ปี จำนวนเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ล้านบาท  ผลประโยชน์ที่ได้รับไม่ต้องเสียภาษี

    แบบประกันภัย เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น 99/20  โดดเด่นด้วยความคุ้มครองที่ครอบคลุมทั้งชีวิตและสุขภาพ ครบจบในกรมธรรม์เดียว จ่ายสั้นแต่ได้รับความคุ้มครองยาวไปจนถึงอายุ 99 ปี จ่ายเบี้ยประกันภัยแค่ 20 ปี ไม่ต้องมีภาระจ่ายเบี้ยในวัยเกษียณ  พร้อมวงเงินสุขภาพพร้อมใช้ในวัยเกษียณ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลตั้งแต่อายุ 65 ปี ทั้งกรณีผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกด้วยวงเงินเหมาจ่าย ปรับได้ตามใจด้วยการปรับเปลี่ยนวงเงินคุ้มครองชีวิตให้เป็นวงเงินค่ารักษาพยาบาลได้ในวัยเกษียณ เบี้ยคงที่ไม่ปรับเพิ่มตามอายุ ลดหย่อนภาษีได้เต็มก้อน สูงสุด 100,000 บาทต่อปี

    นายสาระ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการตอบโจทย์ด้านการวางแผนการส่งต่อมรดกและการวางแผนทางการเงินอย่างครบถ้วน เมืองไทยประกันชีวิต ได้เปิดตัวบริการ “MTL Legacy Consultant” เพื่อมอบสิทธิพิเศษแก่ลูกค้าคนสำคัญ โดยได้ร่วมมือกับ บริษัท ติลลิกีแอนด์กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Tilleke & Gibbins International) ผู้เชี่ยวชาญในการบริการให้คำปรึกษากฎหมายและภาษีอากร รวมถึงการวางแผนออกแบบพินัยกรรมและธุรกิจครอบครัว และ บริษัท ชีวามิตร วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการวางแผนออกแบบพินัยกรรมชีวิต การให้องค์ความรู้สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพในระยะท้ายที่ดี และจากไปอย่างมีความสุขและการจัดทำหนังสือแสดงเจตนาเลือกวิธีการรักษาในช่วงสุดท้ายของชีวิต (Living Will)  จัดทำสมุดบันทึกเพื่อนชีวิต (Living & Leaving Note) 

    ทั้งนี้ลูกค้าที่ซื้อแบบประกันภัย เมืองไทย พรีเมียร์ เลกาซี่ 99/1 (แบบเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์คงที่)  ทุนประกันเริ่มต้น 10 ล้านบาทขึ้นไป จะได้รับสิทธิพิเศษ MTL Legacy Consultant” ประกอบด้วย

    · Tilleke & Gibbins รับบริการให้คำปรึกษาในรูปแบบ Online Private Consultant ( 2 ชั่วโมง/ 1 สิทธิ์)

    · กิจกรรม Exclusive Workshop by Cheevamitr วางแผนออกแบบพินัยกรรมชีวิต จัดทำหนังสือแสดงเจตนา (Living Will) และจัดทำสมุดบันทึกเพื่อนชีวิต (Living & Leaving Note) (1 คู่/ 1 สิทธิ์ เข้ากิจกรรม Exclusive Workshop)

    · เข้าร่วม Online Private Consultant บริการให้คำปรึกษาวางแผนการเงินส่วนบุคคล: แผนการลงทุน บริหารความเสี่ยง การวางแผนภาษีและมรดก (1 ชั่วโมง/ 1 สิทธิ์)   

    ระยะเวลาการใช้สิทธิ์ สำหรับลูกค้าที่ซื้อกรมธรรม์ในโครงการตามเงื่อนไข โดยกรมธรรม์อนุมัติตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2568 สามารถใช้สิทธิ์เข้ารับคำปรึกษาภายใน 31 มีนาคม 2569 และสำรองสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม Exclusive Workshop ตามรอบที่บริษัทฯ กำหนด

    “เมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับทุกความห่วง เราจึงได้มีการพัฒนาแบบประกันภัยที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ในเรื่องของการวางแผนมรดกเพื่อส่งต่อความมั่นคงให้คนที่คุณรัก ครอบคลุมทั้งแบบที่ต้องการวงเงินความคุ้มครองสูงเพื่อสร้างหลักประกันก้อนใหญ่ การสร้างหลักประกันก้อนใหญ่ด้วยเงินก้อนเล็ก จะจ่ายเบี้ยระยะสั้นหรือระยะยาวก็เลือกได้ รวมถึงสิทธิพิเศษจาก MTL Legacy Consultant ยังให้บริการครอบคลุมไปถึงสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ที่สามารถเลือกแลกคะแนนสะสม Smile Point เพื่อเข้ารับบริการได้อีกด้วย ถือเป็นการเปิดกว้างให้ทุกคนได้เข้าถึงการวางแผนส่งต่อความห่วงใยให้กับคนที่คุณรักอย่างแท้จริง” นายสาระ กล่าว

    ผู้ที่สนใจแบบประกันภัยเพื่อวางแผนส่งต่อความมั่นคงให้คนที่คุณรัก จากเมืองไทยประกันชีวิต สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th  หรือโทร.1766  ตลอด 24 ชั่วโมง  หรือติดต่อตัวแทนจากเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ สาขา ธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ #เมืองไทยประกันชีวิต #MuangThaiLife

    GULF, AIS และ JAS ผนึกกำลังคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีก ยิงสดครบทุกลีก

    0

    บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ประกาศความเป็นพันธมิตรครั้งสำคัญร่วมกับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาฟุตบอล “ไทยลีก” แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เป็นระยะเวลา 4 ฤดูกาล ตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 ถึง 2028/29 พร้อมเงื่อนไขพิเศษต่ออีก 2 ฤดูกาล

    เดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่แห่งวงการกีฬาไทย กับการถ่ายทอดสดครบทุกลีกฟุตบอลระดับประเทศเป็นครั้งแรก รายการไทยลีก 1, ไทยลีก 2, ไทยลีก 3, ฟุตบอลถ้วย เอฟเอ คัพ และฟุตบอลถ้วย ลีก คัพ รวมถึงฟุตบอลลีกเยาวชน U-21, ฟุตบอลหญิงลีก 1 และ 2 ด้วยเทคโนโลยีการถ่ายทอดสดที่ล้ำสมัย ภาพคมชัดคุณภาพสูง เพื่อยกระดับการรับชมสู่มาตรฐานใหม่ของประเทศ มุ่งส่งเสริมศักยภาพนักกีฬาฟุตบอลไทย ทั้งชาย หญิง และเยาวชนอย่างครอบคลุม พร้อมกระจายการรับชมสู่คนไทยทุกกลุ่ม ได้ร่วมชื่นชม ส่งใจเชียร์และสนับสนุนความสามารถของนักกีฬาไทยอย่างแท้จริง โดยเปิดให้ลูกค้าเอไอเอสและคนไทย รับชมผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม AIS PLAY บนโครงข่ายอัจฉริยะ ทั้งมือถือและเน็ตบ้านคุณภาพที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมทั้งทางสถานีโทรทัศน์ช่อง MONO29 เพื่อตอบโจทย์แฟนบอลทุกกลุ่มอย่างแท้จริง ทั้งในด้านการเข้าถึง และประสบการณ์รับชมที่ครอบคลุมทุกเพศ ทุกวัย ทุกเจเนอเรชัน

    ความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง GULF, AIS, JAS และสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คือพลังสามัคคีที่จุดประกายความหวังใหม่ให้วงการฟุตบอลไทย โดยมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ในการยกระดับมาตรฐานของวงการฟุตบอลไทยในทุกมิติ ทั้งด้านคุณภาพการถ่ายทอดสด ส่งเสริมฟุตบอลในระดับท้องถิ่น และเยาวชนไทย โดยจะมีความร่วมมือกับพรีเมียร์ลีก เพื่อพัฒนาศักยภาพนักเตะ ผู้ฝึกสอน และผู้ตัดสิน ปูรากฐานอันมั่นคงในการพัฒนาอุตสาหกรรมกีฬาไทยอย่างยั่งยืน

    นี่คือก้าวสำคัญของการสร้างโอกาส สร้างงาน และสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยทุกกลุ่มทั่วประเทศ พร้อมขับเคลื่อนศักยภาพของนักกีฬาไทยสู่เวทีโลก และผลักดันกีฬาให้เป็นพลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างแข็งแกร่ง ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น ทุ่มเท และเชื่อมั่นในพลังของคนไทย ความร่วมมือครั้งนี้คือการรวมใจเพื่อชาติ เพื่อวงการกีฬา และเพื่อคนไทยทุกคน เพื่อให้ฟุตบอลไทยไม่เพียงครองใจคนทั้งชาติ แต่ก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่บนเวทีระดับโลกอย่างสง่างาม

    นางนวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ต้องขอขอบคุณ GULF, AIS และ JAS ที่ยังเล็งเห็นความสำคัญของฟุตบอลไทยลีก ในฐานะกีฬาที่คนไทยรับชมมากที่สุด และ เป็นกีฬาเบอร์หนึ่งของโลก ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก่อนที่ดิฉัน เข้ามา ฟุตบอลไทยลีก ไม่มีผู้ถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดอย่างเป็นทางการ แต่มาวันนี้ นับเป็นวันประวัติศาสตร์ ที่ฟุตบอลไทยลีกกลับมามีมูลค่าอีกครั้ง ภายใต้พันธมิตรสำคัญอย่าง GULF, AIS และ JAS ที่จะเข้ามาร่วมผลักดัน ยกระดับมาตรฐานการแข่งขันอย่างรอบด้าน และ สร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับ ทั้ง สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และ สโมสรสมาชิกในทุกลีกอาชีพ กว่า 100 สโมสร ที่สำคัญ ยังถือเป็นครั้งแรก ที่จะมีการถ่ายทอดสดครบทุกระดับการแข่งขัน ทั้งฟุตบอลลีกชาย ตั้งแต่ไทยลีก 1-3 และ โดยเฉพาะกับฟุตบอลลีกหญิง ซึ่งแม้ว่าที่ผ่านมา จะไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่ GULF, AIS และ JAS ก็พยายามเพิ่มโอกาสการเข้าถึงมากขึ้น ตรงกับความตั้งใจของ ดิฉัน ที่ให้ความสำคัญกับ ฟุตบอลหญิง เช่นกัน ในนามสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ดิฉัน รู้สึกภาคภูมิใจ และ ตื่นเต้นที่ ฟุตบอลไทยลีก กำลังจะพลิกโฉมไปสู่อีกระดับ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 เป็นต้นไป โดยการเข้ามาของ GULF, AIS และ JAS ที่เต็มไปด้วยพลังของเทคโนโลยี จะทำให้การแข่งขันสนุก และ เข้มข้นมากขึ้น ทั้งในแง่คุณภาพของการถ่ายทอดสด , คุณภาพของการแข่งขันที่มีการเพิ่มโควตานักกีฬาต่างชาติ และ คุณภาพของการตัดสิน ที่ สมาคมฯ มีเทคโนโลยีช่วยตัดสิน VAR Cross Hair 3D ลีกเดียวในอาเซียน ทั้งหมดมนี้ เพื่อพาวงการฟุตบอลไทย กลับไปอยู่ในจุดสูงสุดอีกครั้ง”

    นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ”GULF ให้สนับสนุนวงการกีฬาฟุตบอลมาเป็นระยะเวลา 10 กว่าปี หลายๆ ทีมที่เข้าแข่งขันทั้ง T1 T2 T3 และปัจจุบันมีบางทีมที่เราสนับสนุนอยู่ โดยสาเหตุที่เข้ามาสนับสนุนสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ เพราะอยากให้ทีมชาติไทยไปแข่งขันที่ต่างประเทศชนะ เป็นความฝันที่ผมอยากเห็นบอลไทยไปบอลโลก

    การสนับสนุนคราวนี้ ผมได้มีโอกาสคุยกับ AIS ในเรื่องการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น รวมถึงได้พูดคุยกับสมาคมฟุตบอลฯ อยู่หลายครั้ง โดยอยากให้ GULF เข้ามาช่วยสนับสนุนวงการฟุตบอลไทย

    ช่วงที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปที่ประเทศอังกฤษ และได้มีโอกาสพูดคุยกับสมาคมฟุตบอลอังกฤษถึงความร่วมมือในการก่อตั้งอะคาเดมีในเมืองไทย หรือส่งผู้เชี่ยวชาญมาฝึกสอนผู้ตัดสินของไทย ซึ่งทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศอังกฤษเห็นด้วย จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทั้ง 3 บริษัทได้เข้ามาสนับสนุนสมาคมฟุตบอลฯ ในครั้งนี้

    จุดสำคัญ AIS มีความชำนาญในเรื่องของการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาฟุตบอล และการที่ทั้ง 3 บริษัทเข้ามาสนับสนุนในครั้งนี้ อยากให้ไปถึง T2 T3 เพราะการแข่งขันฟุตบอลในต่างจังหวัด บางครั้งการเดินทางอาจจะมีความยากลำบาก ถ้าสามารถทำให้ฟุตบอลไปถึงทุกบ้านได้ ทุกมือถือได้ ทุกแห่งได้ จะเกิดความนิยมในวงการฟุตบอลไทยมากขึ้น ทำให้สายตาประชาชนจับตามองการแข่งขันฟุตบอลในคู่ต่างๆ ซึ่งเป็นการยกระดับวงการฟุตบอลไทย และเพิ่มความชัดเจนในการแข่งขัน

    และที่สำคัญการแข่งขัน T3 เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก เพราะสนามหลายแห่งอยู่ไกล และผมได้มีโอกาสพูดคุยกับไทยคม ดำเนินธุรกิจดาวเทียม ซึ่งถ้าหากถ่ายทอดในต่างจังหวัดไกลๆ มาก สัญญาณไม่ถึงสามารถเชื่อมต่อผ่านดาวเทียมไทยคม และเชื่อมต่อกับ AIS เพื่อให้สามารถถ่ายทอดฟุตบอลได้ เชื่อว่าน่าจะมีความสามารถที่ทำให้ฟุตบอลไปถึงทุกครัวเรือนได้

    อีกส่วนหนึ่งฟุตบอลเป็นอีกอาชีพหนึ่ง ปัจจุบันวงการฟุตบอลไทยมีอยู่ประมาณ 100 ทีม รวมผู้ตัดสินแล้วอาจจะมีอยู่ราว 10,000 คน ซึ่งตรงนี้เป็นโอกาสสนับสนุนอุตสาหกรรมฟุตบอลไทยทางอ้อม เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ทั้งหมดเป็นจุดประสงค์ที่เราเข้ามาสนับสนุนวงการกีฬาฟุตบอลไทย สนับสนุนการถ่ายทอดสดในครั้งนี้”

    นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “AIS มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพลิกโฉมวงการฟุตบอลไทยสู่อนาคต เราเห็นถึงศักยภาพของวงการลูกหนังไทย ทั้งความมุ่งมั่นของสโมสรและนักเตะ รวมถึงแรงเชียร์อันทรงพลังจากแฟนบอลทั่วประเทศ ซึ่งล้วนเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เราตั้งใจนำฟุตบอลไทยลีกมาอยู่ในมือคนไทย AIS ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เราพร้อมนำความแข็งแกร่งของ Digital Infrastructure มาเชื่อมต่อประสบการณ์ความมันส์จากขอบสนามสู่หน้าจอ นี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่คนไทยจะได้รับชมฟุตบอลไทยลีกครบทุกลีก บน AIS PLAY แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อความบันเทิงของคนไทย ผ่านโครงข่ายอัจฉริยะและอินเทอร์เน็ตบ้านคุณภาพ ด้วยเทคโนโลยีการถ่ายทอดสดความคมชัดสูง โดยเราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะไม่เพียงยกระดับประสบการณ์แฟนบอล แต่ยังเป็นพลังสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจ และพัฒนาอุตสาหกรรมกีฬาไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป”

    ดร.โสรัชย์ อัศวะประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากการที่ JAS ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษและเอฟเอคัพถึง 6 ฤดูกาล เราไม่เพียงมุ่งมั่นมอบความสนุกจากกีฬาระดับโลกเท่านั้น ยังเป็นความตั้งใจของ JAS และพันธมิตรอย่าง GULF และ AIS ที่พร้อมผลักดันวงการฟุตบอลไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยร่วมมือกับพรีเมียร์ลีกในการพัฒนา 3 แกนหลักสำคัญ ได้แก่ นักเตะ, กรรมการผู้ตัดสิน และโค้ชผู้ฝึกสอน เพื่อยกระดับคุณภาพฟุตบอลไทยให้ก้าวไกลในระยะยาว ดังนั้นขอให้แฟนบอลไทยลีกมั่นใจได้ว่า เราจะทำให้การแข่งขันไทยลีกเข้าถึงง่าย ซึ่ง JAS มีพันธมิตรอย่าง MONO จะสามารถรับชมได้ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง MONO29 และสมาชิกแอปพลิเคชั่น Monomax ที่รวบรวมคอนเทนต์คุณภาพไว้มากที่สุด ทั้งหนังซีรีส์ และกีฬาระดับโลกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพอังกฤษ ขอเชิญชวนให้แฟนบอลไทยลีก ช่วยกันสนับสนุนการรับชมในช่องทางถูกลิขสิทธิ์ เพื่อให้พวกเราที่เป็นผู้สนับสนุนมีพลังในการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยให้ทัดเทียมนานาชาติไปด้วยกัน”

    AIS จับมือ กระทรวงดิจิทัล เดินหน้าภารกิจ “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” ผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อสังคมไทยที่ปลอดภัยและยั่งยืน

    0

    บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เดินหน้าภารกิจป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อยกระดับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศ สานต่อความร่วมมือรวมพลังเครือข่ายปลอดภัย ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” โดยร่วมกับกระทรวงดิจิทัลฯ สกมช. และ สอท. จัดเสวนา “Zero Scam Thailand: รวมพลังหยุดภัยไซเบอร์ สู่สังคมปลอดภัย”เปิดเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองและองค์ความรู้ร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อผสานพลังตัดวงจรมิจฉาชีพตั้งแต่ต้นทาง ตอกย้ำความมุ่งมั่นสร้างเครือข่ายดิจิทัลที่ปลอดภัยในทุกมิติ

    นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า“รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ให้ความสำคัญกับการยกระดับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ที่กระทบประชาชนโดยตรง โดยที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เร่งขับเคลื่อนหลายด้าน ทั้งการวางกลไกระดับชาติโดยสำนักงานไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) การเสริมศักยภาพศูนย์ AOC การพัฒนามาตรฐานและบุคลากรร่วมกับ ETDA และ depa ตลอดจนการสร้างความรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ให้ประชาชน อย่างไรก็ตาม ความมั่นคงไซเบอร์ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งด้านนโยบาย การบังคับใช้กฎหมาย และการสร้างโครงข่ายดิจิทัลที่ปลอดภัยและมีความรับผิดชอบต่อสังคม”

    “ขอขอบคุณเอไอเอสที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง ความร่วมมือในวันนี้คือก้าวสำคัญในการวางรากฐานระบบนิเวศไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง แม้ภัยไซเบอร์จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ผลกระทบนั้นชัดเจน เราจึงต้องร่วมกันสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักรู้ในทุกระดับของสังคม”

    นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวถึง “เอไอเอส มุ่งมั่นในการร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ ‘ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์’ อย่างเป็นรูปธรรม โดยการรวมพลังทุกภาคส่วนสร้างเครือข่ายที่ปลอดภัย เพื่อปกป้องประชาชนจากภัยไซเบอร์ โดยวันนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการสานต่อภารกิจดังกล่าว ซึ่งเอไอเอส ได้กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จัดเสวนาหัวข้อ “Zero Scam Thailand: รวมพลังหยุดภัยไซเบอร์ สู่สังคมปลอดภัย” เพื่อเปิดเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ให้แก่หน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรในระบบนิเวศดิจิทัล เพื่อตอกย้ำว่าทุกคนล้วนเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับการป้องกันภัยไซเบอร์ของประเทศ

    จากความร่วมมือและความมุ่งมั่นจากทุกภาคส่วน เอไอเอส เชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะสามารถสร้างระบบนิเวศไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง ปลอดภัย และยั่งยืน พร้อมส่งมอบอนาคตดิจิทัลที่เชื่อถือได้ให้กับประชาชนทุกคน เพื่อก้าวสู่สังคมไทยที่ปลอดภัยและพร้อมรับมือทุกความท้าทายในยุคดิจิทัลนี้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”

    5 ผลงานวิจัย คว้ารางวัลจากโครงการสนับสนุนทุนวิจัยด้านตลาดทุน ประจำปี 2567/2568

    0

    ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งพัฒนาตลาดทุนไทยผ่านโครงการสนับสนุนทุนวิจัยด้านตลาดทุน ประจำปี 2567/2568 โดยมอบทุนสนับสนุนการทำงานวิจัย และมอบ Best Paper Award แก่นิสิตนักศึกษา เพื่อเสริมสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่และเชื่อมโยงสถาบันการศึกษาสู่การปฏิบัติจริงในตลาดทุนไทย

    นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งเสริมการสร้างองค์ความรู้ในตลาดทุนผ่านการสนับสนุนงานวิจัยที่มีคุณภาพ โดยได้สนับสนุนทุนวิจัยด้านตลาดทุนมาอย่างต่อเนื่องกว่า 12 ปี และมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและโจทย์วิจัยเพื่อให้สอดรับพัฒนาการด้านตลาดทุนในแต่ละช่วงเวลา

    อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ

    “โครงการนี้นับเป็นความร่วมมือระหว่างภาควิชาการและภาคตลาดทุน ที่ร่วมแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนมุมมอง ประสานความรู้ เพื่อการพัฒนางานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในเชิงปฏิบัติ ที่ผ่านมา สถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมมีเพิ่มขึ้นทุกปี สะท้อนถึงการให้ความสำคัญต่อการพัฒนาองค์ความรู้ในงานวิจัยด้านตลาดทุนที่ขยายไปในวงกว้างขึ้น ขณะที่มีการประยุกต์ใช้เครื่องมือใหม่ๆ ในงานวิจัย ทำให้วิเคราะห์คาดการณ์อนาคตได้หลากหลายมุมมอง นอกจากนี้ พบว่ามีผลงานวิจัยในประเด็นเกี่ยวกับความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องแนวทางการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนในปัจจุบัน” นายอัสสเดชกล่าว

    ในปีนี้ มีสถาบันการศึกษา 15 สถาบัน จัดส่งหัวข้องานวิจัยเข้าร่วมโครงการสนับสนุนทุนวิจัยด้านตลาดทุน รวม 26 หัวข้อ โดยโครงในปีนี้แบ่งออกเป็น 3 สาขา ได้แก่ Market Quality Track, ESG Track และ Technology and Interdisciplinary Track เพื่อให้ตอบโจทย์งานวิจัยในมุมมองที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น โดยผลงานที่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในธุรกิจตลาดทุนและคณะกรรมจากสถาบันการศึกษา ได้รับ Best Paper Award 3 รางวัล ได้แก่

    • Best Paper Award: Market Quality Track ได้แก่ นางสาวธัญวรัตม์ ลิ้มวัฒนานุกูล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากผลงานวิจัยหัวข้อ “Does Observability of Downgrade Risk Matter for Corporate Investment?”
    • Best Paper Award: ESG Track ได้แก่ นายสรุจ ตันมีสุข สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จากผลงานวิจัยหัวข้อ Linking Public ESG Disclosure to Financial Performance and Stock Returns: A Hybrid Analysis of Thailand’s SET100”
    • Best Paper Award: Technology – Interdisciplinary Track ได้แก่ นายธนกร โฆษวณิชการ สถาบัน บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จากผลงานวิจัยหัวข้อ “NLP-Driven Analysis of News and Public Statements for Corporate Bond Default Risk Assessment in Thailand”

    นอกจาก Best Paper Award ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มอบ Young Rising Star Award ให้แก่นิสิตนักศึกษาในระดับ ปริญญาตรีที่เข้าร่วมโครงการ และมีผลงานวิจัยโดดเด่นอีก 2 รางวัล ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลผลงานวิจัยทั้งหมดในโครงการสนับสนุนทุนวิจัยด้านตลาดทุน ประจำปี 2567/2568 ที่ https://www.set.or.th/th/education-research/research/research-grant/project

    โครงการสนับสนุนทุนวิจัยด้านตลาดทุน โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2553 ด้วยความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิในธุรกิจตลาดทุนไทย ภาครัฐ และเอกชน ที่ร่วมเป็นกรรมการตัดสินรางวัล นับเป็นเครือข่ายที่มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างภาคการศึกษากับผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์จริงในตลาดทุนไทย ซึ่งช่วยยกระดับงานวิจัยให้มีคุณภาพและใช้ประโยชน์ได้จริงในธุรกิจตลาดทุนไทย

    มรดกจากพ่อ สานต่อด้วยรัก : “คอนแทรคฟาร์มมิ่ง” อาชีพที่สร้างชีวิตให้ยั่งยืน

    0

    เคยสงสัยไหมว่า…อาชีพเกษตรกรในวันนี้ มีอะไรที่แตกต่างจากที่เราเคยรู้จักบ้าง? วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับเรื่องราวดีๆ ของครอบครัว “นครไธสง” ที่ จ.นครราชสีมา ที่เปลี่ยนภาพการเลี้ยงหมูให้กลายเป็น “มรดกอาชีพ” ที่สามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น สร้างความมั่นคงและความภาคภูมิใจให้กับคนในครอบครัว

    จากคุณพ่อสมจิต สู่ลูกชายเด่นชัย…ความสำเร็จที่ส่งต่อไม่สิ้นสุด

    ย้อนกลับไปในปี 2542 พ่อสมจิต และ แม่หนูเพ็ญ นครไธสง เริ่มต้นเลี้ยงหมูขุนกับซีพีเอฟ แม้จะเริ่มต้นบนที่ดินเช่า แต่ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ที่ไม่เหมือนใคร เพราะในสมัยนั้น การเลี้ยงหมูในรูปแบบฟาร์มเลี้ยงยังไม่เป็นที่นิยม ที่เลี้ยงกันอยู่ส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงหมูหลังบ้าน บ้านละไม่กี่ตัวไว้บริโภคและขายให้พ่อค้าคนกลาง แต่พ่อสมจิตกลับมองเห็นโอกาสจากความมั่นคงของซีพีเอฟ ที่เข้ามาแนะนำรูปแบบการเลี้ยงใหม่ๆ เขาศึกษาข้อมูลการเลี้ยง ประกอบกับความคิดที่ว่าถึงอย่างไรคนก็ชอบทานหมู ความต้องการบริโภคที่ไม่เคยหมดและนับวันยิ่งจะมากขึ้น จึงตัดสินใจลงทุนเลี้ยงหมูในระบบเปิด ในโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสุกรขุนแก่เกษตรกรรายย่อย หรือคอนแทรคฟาร์มมิ่ง กับซีพีเอฟเป็นรายแรกใน ต.ทับสวาย อ.ห้วยแถลง โดยมี เด่นชัย ลูกชายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ

    จากฟาร์มเปิดเล็กๆ ที่เลี้ยงเพียง 400 ตัว พ่อสมจิตและครอบครัวก็ได้เรียนรู้และพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมีซีพีเอฟเป็นผู้สนับสนุน ทั้งเรื่องเทคโนโลยีและวิชาการใหม่ๆที่นำมาปรับใช้ในการเลี้ยงหมู จนมาถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้รายได้ก้าวกระโดด นั่นคือการเปลี่ยนมาเลี้ยงหมูใน “ระบบฟาร์มปิด” ที่ทันสมัยมากขึ้น ความมั่นคงที่เห็นชัดเจนตรงหน้า ทำให้พ่อสมจิตกล้าที่จะขยับขยายฟาร์มบนที่ดินของตัวเอง นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของมรดกที่แท้จริง!

    เด่นชัย นครไธสง: คนรุ่นใหม่ที่สานต่ออาชีพของพ่อ พร้อมต่อยอดสู่ความมั่นคง

    เด่นชัย นครไธสง วัย 47 ปี ลูกชายของพ่อสมจิต แม้จะเรียนจบ ปวส.ช่างไฟฟ้ากำลัง ทำงานในบริษัทผู้ผลิตและพัฒนาฮาร์ดดิสก์ แต่เขากลับเลือกที่จะสานต่ออาชีพที่พ่อกับเขาร่วมกันสร้างมา ด้วยความเข้าใจในระบบ “คอนแทรคฟาร์มมิ่ง” อย่างลึกซึ้ง เขาไม่ได้แค่เลี้ยงหมูให้ดี แต่ยังต่อยอดความสำเร็จให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก!

    “ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าถ้าผมกับแฟนทำงานโรงงานก็คงได้กินไปวันๆ ไม่มีอนาคตพอตอนแก่จะทำอะไรเลี้ยงตัว เมื่อหันกลับมามองที่พ่อของเรา ที่เลี้ยงหมูเป็นอาชีพ ที่เลี้ยงครอบครัวของเราให้มีกินมีใช้มาจนทุกวันนี้ ผมจึงตัดสินใจออกมาสร้างฟาร์มในที่ดินของตัวเองและขยายการเลี้ยงหมูขุนเป็น 650 ตัว” เด่นชัย กล่าว

    เมื่อถามว่าอะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของคุณเด่นชัย? เขาบอกว่ามีหลายปัจจัยด้วยกัน ตั้งแต่ ผลการเลี้ยงที่ดีเยี่ยม การันตีด้วยคุณภาพหมูขุน อาหาร การจัดการตามมาตรฐานของบริษัท, ฟาร์มต้นแบบเกษตรผสมผสาน เด่นชัยใช้พื้นที่ฟาร์มที่เหลือทำ แปลงเกษตรผสมผสานแบบไม่ใช้สารเคมี โดยใช้ ปุ๋ยจากมูลสุกร สร้างรายได้เสริมให้ครอบครัวกว่า 360,000 บาทต่อปี แถมยังเป็นต้นแบบให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนมาดูงาน และยังได้รับรางวัลระบบมาตรฐาน GAP แปลงหม่อนไหม และโรงเลี้ยงไหมที่ริเริ่มจากคุณแม่กลายเป็นอาชีพเสริมของครอบครัวอีกด้วย, ประหยัดพลังงานด้วย Solar Cell ฟาร์มนี้ติดตั้ง Solar Cell ขนาด 10kw ช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึง 30-40% ถือเป็นการลงทุนครั้งเดียวที่คุ้มค่าในระยะยาว, แบ่งปันสู่ชุมชน ไม่ใช่แค่ใช้เอง แต่เขายัง แบ่งปันน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสู่เกษตรกรและชุมชนรอบข้าง ได้นำไปใช้ประโยชน์ ลดค่าปุ๋ยเคมี มีน้ำใช้ลดความเสี่ยงภัยแล้ง ได้ผลผลิตเพิ่ม

    “อาชีพนี้ทำให้ผมไปสู่อีกอาชีพหนึ่ง การเลี้ยงหมูมีขี้หมู ไร่ข้างๆ เป็นที่ของเรา แม่ก็ทำอาชีพเลี้ยงไหม ผมเอาปุ๋ยจากมูลสุกรไปรดไร่อ้อย ปลูกหม่อน” นี่คือการเชื่อมโยงอาชีพให้เป็นวงจรที่เกื้อกูลกันอย่างแท้จริง” เด่นชัย กล่าว

    คอนแทรคฟาร์มมิ่ง: อาชีพมั่นคง สานต่อมรดกอาชีพที่ยั่งยืน

    สิ่งที่ทำให้ครอบครัวนครไธสงมั่นใจในอาชีพนี้คือ “ความมั่นคง” ของระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่งกับซีพีเอฟ เด่นชัยบอกว่า “เรามีบริษัทที่เรามั่นใจกับซีพี ยังไงก็ไม่ทิ้งเรา ของที่เราผลิตคืออาหารไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย คนต้องกินทุกวัน” การเลี้ยงหมูในระบบนี้ไม่เพียงแต่มีรายได้ที่พอใจ แต่ยังมีความเสี่ยงน้อยกว่าการเลี้ยงเองทั้งหมด มีทั้งสัตวแพทย์และทีมงานจากซีพีเอฟเข้ามาดูแลสุขภาพหมูอย่างใกล้ชิด มีการพัฒนาการเลี้ยงและระบบการป้องกันโรคให้ทันสมัยอยู่ตลอด อีกอย่างที่บางคนอาจไม่รู้คือคนเลี้ยงหมูทำงานในที่ร่ม ทำงานในโรงเรือน EVAP หมูเย็นคนก็เย็น เขาไม่ต้องเหนื่อยกับการทำงานกลางแจ้งเหมือนอย่างการทำไร่อาชีพของครอบครัวอย่างในอดีต

    ครอบครัวนครไธสงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อาชีพเลี้ยงสุกรขุนแบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ไม่ใช่แค่การทำเกษตร แต่คือการสร้างชีวิต สร้างรายได้ สร้างความมั่นคง และที่สำคัญที่สุดคือการ “สร้างมรดกอาชีพ” ที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่า ส่งต่อความสำเร็จและความภาคภูมิใจจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยั่งยืน

    พ่อสมจิต ในวัย 72 ปี วันนี้ยังคงเข้ามาช่วยลูกๆดูแลหมูอาชีพที่รัก เขาภูมิใจที่อาชีพเลี้ยงหมูสามารถส่งลูกทั้งสองคนเรียนหนังสือจนจบ คนหนึ่งรับช่วงต่ออาชีพนี้ได้อย่างมั่นคง ส่วนลูกอีกคนจบปริญญาโทและได้เข้ารับราชการ การเลี้ยงหมูสำหรับเขาจึงเป็นอาชีพที่สร้างคน รับใช้ประเทศชาติต่อไป และตอนนี้เด่นชัยก็กำลัง ส่งต่อมรดกอาชีพ ความรู้และความรักในอาชีพให้กับลูกๆ ได้เข้ามาสัมผัสและเรียนรู้กระบวนการเลี้ยงหมู ซึมซับและรักในสิ่งที่ทำ เหมือนกับที่เขาได้รับจากคุณพ่อสมจิตเช่นกัน.

    ออมสิน เปิดตัวสติกเกอร์ไลน์ชุดใหม่ “GSB NOW x น้องออมโม่มูเตลู”

    0

    ดาวน์โหลดเลยตั้งแต่วันนี้ – 10 สิงหาคม 2568
    พิเศษ!! ทุกการดาวน์โหลดสติกเกอร์ไลน์ชุด “”GSB NOW x น้องออมโม่มูเตลู”” จะมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัล สร้อยคอทองคำ 1 สลึง จำนวน 24 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 300,000 บาท * ติดตามประกาศผลผู้โชคดีผ่านช่องทาง LINE GSB NOW
    📌 ดาวน์โหลดสติกเกอร์ได้ที่นี่ คลิก 👉🏻 https://to.gsb.or.th/6HX1z

    เงื่อนไขการร่วมกิจกรรม

    1. ผู้ร่วมกิจกรรมจะต้องเป็นเพื่อนกับ LINE Official Account GSB NOW พร้อมตอบแบบสอบถามและดาวน์โหลดสติกเกอร์ไลน์ชุด GSB NOW x น้องออมโม่มูเตลู ในระยะเวลาที่กำหนด มีสิทธิ์ลุ้นรับสร้อยคอทองคำ 1 สลึง ดังนี้
    • รอบที่ 1 : 13 พฤษภาคม 2568 – 11 มิถุนายน 2568 ลุ้นรับ สร้อยคอทองคำ 1 สลึง จำนวน 8 รางวัล และประกาศผล 30 มิ.ย. 2568 ผ่าน LINE GSB NOW
    • รอบที่ 2 : 12 มิถุนายน 2568 – 11 กรกฎาคม 2568 ลุ้นรับ สร้อยคอทองคำ 1 สลึง จำนวน 8 รางวัล และประกาศผล 30 ก.ค. 2568 LINE GSB NOW
    • รอบที่ 3 : 12 กรกฎาคม 2568 – 10 สิงหาคม 2568 ลุ้นรับ สร้อยคอทองคำ 1 สลึง จำนวน 8 รางวัล และประกาศผล 29 ส.ค. 2568 ผ่าน LINE GSB NOW
    1. ผู้ร่วมกิจกรรมที่มีสิทธิ์รับรางวัลจะต้องเป็นผู้ที่พักอาศัยอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
    2. ผู้โชคดีจะได้รับการติดต่อกลับจากตัวแทนของธนาคารออมสินเพื่อยืนยันรับสิทธิ์ หากติดต่อผู้โชคดีไม่ได้ภายใน 7 วัน จะถือว่าสละสิทธิ์ โดยเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
    3. ผู้โชคดีจะต้องเดินทางมารับของรางวัลด้วยตัวเอง ที่ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ๋ เลขที่ 470 ถ.พหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 หากไม่สามารถมารับรางวัลได้ด้วยตนเอง สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นรับแทนได้ โดยต้องมี หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้โชคดีและผู้รับมอบอำนาจ ซึ่งต้องลงนามรับรองสำเนาถูกต้องครบถ้วน หากไม่สามารถติดต่อผู้โชคดีได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว จะถือว่าสละสิทธิ์ในการรับรางวัล
    4. ของรางวัลที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 บาท จะมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 5% ของมูลค่าของรางวัล
    5. ผู้โชคดียืนยันสิทธิ์ด้วยข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน หรือ ไม่ถูกต้อง ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ตัดสิทธิ์ในการมอบของรางวัล
    6. ของรางวัลไม่สามารถแลกเปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลงเป็นเงินสด หรือโอนสิทธิ์การรับรางวัลให้แก่ท่านอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม
    7. ผู้ร่วมกิจกรรมยินดีและตกลงที่จะทำตามข้อกำหนดและเงื่อนไข รวมทั้งการตัดสินของคณะกรรมการการจัดกิจกรรม
    8. ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงของรางวัลโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
    9. ธนาคารขอสงวนสิทธิ์พิจารณารางวัล 1 รางวัล ต่อ 1 ท่าน ตลอดระยะเวลากิจกรรม
    10. เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

    ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ต้อนรับ บมจ. นูทริชั่น โปรเฟส (NUT) เริ่มซื้อขาย 11 มิ.ย. นี้

    0

    นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ บมจ. นูทริชั่น โปรเฟส เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “NUT” ในวันที่ 11 มิถุนายน 2568

    ประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ

    NUT ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องสำอาง ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท (House Brand) แบรนด์ร่วม (Co-Brand) และรับจ้างผลิตภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอก (OEM) โดยผลิตภัณฑ์หลักในกลุ่มเสริมอาหาร คือ สินค้าเสริมอาหารเพื่อสุขภาพ (Health) สินค้าเสริมอาหารเพื่อรูปร่าง (Shape) และผลิตภัณฑ์เพื่อเส้นผมและผิว (Hair&Skin) ส่วนผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบ่งออกเป็น ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล (Personal Care) และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (SkinCare) ตัวอย่าง House Brand กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ได้แก่ “REALELIXI” และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ได้แก่ “COSMESIA” ในไตรมาส 1 ปี 2568 สัดส่วนรายได้แบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภท House Brand : Co-Brand : OEM คิดเป็นร้อยละ 73 : 20 : 7 ตามลำดับ สำหรับช่องทางจำหน่ายมีทั้งแบบออนไลน์ (Online) ออฟไลน์ (Offline) และการรับจ้างผลิต (OEM) ซึ่งในไตรมาส 1 ปี 2568 สัดส่วนรายได้แบ่งตามช่องทางจำหน่าย Online : Offline : OEM คิดเป็นร้อยละ 76 : 17 : 7 ตามลำดับ ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิต 3 แห่งที่จังหวัดสมุทรปราการ แบ่งเป็นโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 2 แห่ง และโรงงานผลิตเครื่องสำอาง 1 แห่ง ทำให้บริษัทสามารถควบคุมมาตรฐานการผลิตได้เองทุกขั้นตอน

    NUT มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 60 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 83 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 37 ล้านหุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์และนักลงทุนสถาบันไม่ต่ำกว่า 27.75 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 5.55 ล้านหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของบริษัทไม่เกิน 3.7 ล้านหุ้น โดยเสนอขายผู้ลงทุนทุกประเภทระหว่างวันที่ 4-6 มิถุนายน 2568 ในราคาหุ้นละ 6.80 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 251.6 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 816 ล้านบาท ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ประมาณ 12.72 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสล่าสุด
    (1 เม.ย. 67-31 มี.ค. 68) ซึ่งเท่ากับ 64.13 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.5344 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ

    นายภาคิณ กิตติภานุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. นูทริชั่น โปรเฟส (NUT) เปิดเผยว่า บริษัทมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากกว่า 10 ปี มีการให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การผลิตตามมาตรฐานสากล ไปจนถึงการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้รับการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับการรับรองมาตรฐานโรงงาน สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การผลิตคอนเทนต์ และการว่าจ้างพรีเซ็นเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัททั้งกลุ่มเสริมอาหาร และเครื่องสำอาง รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

    NUT มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ กลุ่มครอบครัวกิตติภานุวัฒน์ ถือหุ้น 66.5% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัท ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และทุนสำรองอื่น

    ผู้ลงทุนและผู้สนใจ สามารถดูรายละเอียด จากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.nutritionprofess.com และ www.set.or.th