Home Blog Page 24

เปิดแล้ววันนี้! AIS Shop สาขาใหม่ เซ็นทรัล พาร์ค พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ดิจิทัลเหนือระดับ ใจกลางกรุงเทพฯ

0

เอไอเอส ตอกย้ำการเป็น Digital Lifestyle Destination เพื่อส่งมอบประสบการณ์ด้านงานบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า เดินหน้าเปิด AIS Shop สาขาใหม่ เซ็นทรัล พาร์ค ช็อปแห่งใหม่ใจกลางเมือง พร้อมให้บริการแล้วที่ศูนย์การค้าแลนด์มาร์กระดับโลก มาพร้อมกับที่สุดของงานบริการอย่างครบครัน โดดเด่นด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมที่ทันสมัย สะท้อนตัวตนของคนเมืองได้อย่างชัดเจน พร้อมสร้างความประทับใจตั้งแต่ก้าวแรก ครบครันด้วยสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดจากทุกแบรนด์ชั้นนำ ควบคู่ไปกับสินค้า Gadget และ Accessoriesหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ดิจิทัลอย่างแท้จริง เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างเต็มที่

AIS Shop สาขาใหม่ เซ็นทรัล พาร์คนอกจากจะเป็นศูนย์บริการเพื่อดูแลการใช้งานและไลฟ์ไสตล์ของคนเมืองแล้ว ยังได้รับการยกระดับประสบการณ์ด้วย 5 BEST Experience ที่ครอบคลุมทั้ง Best Product ผลิตภัณฑ์ล้ำหน้าพร้อมเทคโนโลยีและดีไซน์ระดับพรีเมียม, Best Package แพ็กเกจสุดคุ้มที่มอบความคุ้มค่าและสิทธิประโยชน์หลากหลาย, Best Privilege เอกสิทธิ์เฉพาะที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ, Best Process กระบวนการที่รวดเร็วและไร้รอยต่อ และ Best People ทีมงานคุณภาพที่พร้อมให้คำแนะนำ ดูแล และบริการอย่างมืออาชีพ พร้อมด้วย “AIS Pro” สุดยอดผู้ช่วยอัจฉริยะดูแลสมาร์ทโฟนครบวงจร

พิเศษยิ่งกว่าสำหรับลูกค้า AIS Serenade กับโซนเอ็กซ์คลูซีฟ Serenade Club ที่ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่เหนือระดับสำหรับการพักผ่อน และการรับบริการในบรรยากาศอันน่าประทับใจ โดยลูกค้าจะได้ดื่มด่ำไปกับวิวสวนลุมพินีแบบพาโนรามา เคียงคู่เส้นขอบฟ้าของกรุงเทพมหานครที่มีตึกสูงตระหง่านเป็นฉากหลัง สร้างมิติใหม่แห่งประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร สัมผัสที่สุดของงานบริการที่ AIS Shop สาขา เซ็นทรัล พาร์คชั้น 4 Zone IT Gadget พื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ที่ผสมผสานธรรมชาติ และเทคโนโลยีอย่างลงตัว

AIS ยืนหยัดต่อต้านคอร์รัปชันขับเคลื่อนองค์กรโปร่งใส จัดกิจกรรมบ่มเพาะจริยธรรมธุรกิจร่วมสร้างสังคมไทยที่มั่นคงและยั่งยืน

0

เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชัน ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด ไม่โกง ไม่เกิดจริงหรือ?”    เอไอเอส ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมของไทย ตอกย้ำจุดยืนองค์กรโปร่งใส พร้อมเดินหน้าผลักดันนโยบายบรรษัทภิบาล แสดงพลังต่อต้านคอร์รัปชัน   โดยเอไอเอสมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการภายใต้ชื่อ “ภารกิจบ่มเพาะ ถอดรหัสจริยธรรม” เพื่อกระตุ้นให้พนักงานตระหนักรู้และยึดมั่นในการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมทางธุรกิจ นอกจากนี้ ยังได้ขยายการสื่อสารไปยังพันธมิตรและคู่ค้าในแต่ละภูมิภาค  อีกทั้งยังประกาศปฏิเสธการทุจริตทุกรูปแบบ ทั้งการให้หรือรับสินบน การมอบสิ่งตอบแทนที่ขัดต่อจริยธรรม ควบคู่กับการยกระดับมาตรการ No Gift Policy นโยบายการไม่รับของขวัญและของกำนัลทุกชนิดจากการปฏิบัติหน้าที่ และวางแนวทางความร่วมมือกับคู่ค้า เพื่อยกระดับมาตรฐานความโปร่งใส ครอบคลุมทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ สอดคล้องกับแนวทางขององค์กรต่อต้านการทุจริตในทุกรูปแบบ 

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านธุรกิจองค์กร เอไอเอส กล่าวว่า “เอไอเอส รวมพลังผู้บริหารและพนักงานทั่วประเทศต่อต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจัง เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชัน ประจำปี 2568 โดยนำนโยบายที่ครอบคลุมทุกกระบวนการมาปฏิบัติจริง โดยให้มีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการภายใต้ชื่อ “ภารกิจบ่มเพาะ ถอดรหัสจริยธรรม” เพื่อกระตุ้นให้พนักงานตระหนักรู้และยึดมั่นในการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมทางธุรกิจ และยังได้ขยายการสื่อสารไปยังพันธมิตรและคู่ค้าในแต่ละภูมิภาค ผ่านรูปแบบ workshop ที่ผสมผสานเกมและการเสวนากลุ่มย่อย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยนมุมมอง และนำไปปรับใช้ในการทำงานจริง และแนวทาง Digital Solutions เป็นเครื่องมือเสริมสร้างการบริหารจัดการความโปร่งใสอย่างมีประสิทธิภาพ และรักษามาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากโครงการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยต่อต้านการทุจริต (CAC) อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการประเมินความรู้ด้านจริยธรรมกับบุคลากรและคู่ค้าทุกปี ตลอดจนการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันและหน่วยงานรัฐ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และร่วมกันวางรากฐานสังคมไทยที่โปร่งใส เข้มแข็ง และยั่งยืน”

ชมย้อนหลัง งาน Thailand Focus 2025 : Beyond the Challenges ช่วงครึ่งบ่าย

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และพันธมิตรหลัก ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ Bank of America Securities และบริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมจัดงาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges จัดโดย ระหว่างวันที่ 27-29 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ โดยจัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 19

ประมงเพชรบุรีจับมือชุมชน ร่วมแรงจัดการ “ปลาหมอคางดำ” ต่อเนื่อง

0

การจัดการควบคุมปลาหมอคางดำในจังหวัดเพชรบุรี เป็น “วาระร่วมของชุมชน” ที่ทุกฝ่ายร่วมแรงขับเคลื่อน ภายใต้กลยุทธ์ “เจอ–แจ้ง–จับ-จบ” ช่วยลดและกำจัดประชากรปลาหมอคางดำใน 21 สายคลองทั่วจังหวัด พร้อมทั้งสร้างคุณค่าใหม่ เพิ่มรายได้ให้กับท้องถิ่น
 
นายประจวบ เจี้ยงยี่ ประมงจังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า สำนักงานประมงจังหวัดได้เดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาปลาต่างถิ่นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงพื้นที่จับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ร่วมกับชุมชนและหน่วยงานพันธมิตร เพื่อให้เกิดการจัดการที่รวดเร็ว เป็นระบบ และยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น ปลาร้า ปลาแดดเดียว น้ำปลา เพื่อให้กลายเป็นสินค้าที่สามารถสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่น กลยุทธ์ “เจอ–แจ้ง–จับ-จบ” ถูกยกเป็นหัวใจของการทำงาน เมื่อชาวบ้าน “เจอ” ปลาในแหล่งน้ำ สามารถ “แจ้ง” ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาบันทึกและวางแผน จากนั้นร่วมแรงกัน “จับ” ควบคุมปริมาณและนำไปใช้ประโยชน์ ช่วยตัดวงจรหรือ “จบ” ปัญหาปลาหมอคางดำอย่างมีประสิทธิภาพ

ล่าสุด หน่วยงานรัฐ เอกชน และชุมชน อาทิ เทศบาลเมืองชะอำ เรือนจำกลางเพชรบุรี สำนักงานจัดการน้ำเสียสาขาชะอำ องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ตลอดจนผู้นำชุมชน ชาวประมง และประชาชน ร่วมกันจัดกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” ณ บ่อบำบัดน้ำทุ่งตะกาดพลี ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ โดยมี นายทวีป ปิ่นเนียม รองนายกเทศมนตรีเมืองชะอำ เป็นประธานเปิดงาน ผลการดำเนินงานสามารถจับปลาหมอคางดำได้ถึง 495 กิโลกรัม ส่งต่อให้เรือนจำกลางเพชรบุรีและองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น เพื่อนำไปผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพใช้ประโยชน์ต่อ

นับตั้งแต่ต้นปี เพชรบุรีได้จัดกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” แล้วกว่า 45 ครั้ง ไม่เพียงช่วยลดความหนาแน่นของปลาหมอคางดำ แต่ยังสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้คนในชุมชนลุกขึ้นมาเฝ้าระวังและจัดการร่วมกัน อีกทั้งยังผลักดันให้เกิดการแปรรูปสร้างรายได้จริง เช่น วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปสัตว์น้ำตำบลโพพระ ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร “ตราใบโพธิ์” อาทิ ปลาร้า ปลาแดดเดียว ปลาส้ม น้ำพริกแจ่วบอง ปลาร้าปรุงรส รวมทั้งการนำน้ำหมักชีวภาพจากหัวปลาไปจำหน่ายเป็นสินค้าชุมชน

นอกจากนี้ จังหวัดเพชรบุรียังสนับสนุนกากชา และปลานักล่า เพื่อให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกำจัดปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยง ช่วยลดต้นทุนและลดความเสียหายจากผลผลิต และเป็นการลดประชากรปลาหมอคางดำแบบครบวงจร

การจัดการปลาหมอคางดำในเพชรบุรี ยังสะท้อนให้เห็นถึง พลังของการมีส่วนร่วม ที่เปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาส และสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตควบคู่กับการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ.

ชมบรรยากาศงาน Focus 2025: Beyond the Challenges ก้าวข้ามความท้าทายสู่โอกาสการลงทุน

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และพันธมิตรหลัก ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ Bank of America Securities และบริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมจัดงาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges จัดโดย ระหว่างวันที่ 27-29 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ โดยจัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 19

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดงานสัมมนาธุรกิจครอบครัวครั้งใหญ่แห่งปี ชวนเจ้าของ-ทายาทธุรกิจร่วมงาน 26 ก.ย. 68 นี้

0

วิกฤตหรือโอกาส ธุรกิจครอบครัวจะ Transform อย่างไรในโลกยุคนี้?

ถ้าคุณคือคนที่กำลังนำพา “ธุรกิจครอบครัว” ฝ่าฟันความท้าทาย…เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ คู่แข่งที่ดุเดือด พฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว… แนวคิดเดิมๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอเชิญเจ้าของและทายาทธุรกิจครอบครัว ทุกท่านร่วมงานสัมมนาครั้งสำคัญแห่งปี The 3rd SET Annual Conference on Family Business: TRANSFORMING FAMILY BUSINESS

งานสัมมนา 1 วันเต็ม ที่จะจุดประกายและมอบเครื่องมือในการ ทรานสฟอร์มธุรกิจครอบครัว ของคุณให้ก้าวทันโลกยุคใหม่!
📌 เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ
📌 รับฟังประสบการณ์จริงจากผู้บริหารและทายาทธุรกิจครอบครัวชั้นนำของไทย
📌Workshop สุดเข้นข้น เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กลยุทธ์พาธุรกิจครอบครัวให้รุ่ง

📅วันศุกร์ที่ 26 กันยายน 2568 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

🎫 บัตรราคา 5,000 บาท ซื้อบัตรได้ที่ https://setfam.link/conference

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า “รางวัลบริษัทประกันภัยเกียรติยศสูงสุด (Hall of Fame)” 5 ปีซ้อน ควบ “รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชนดีเด่น”

0

เมืองไทยประกันชีวิต สร้างประวัติศาสตร์แห่งเกียรติยศและความภาคภูมิใจสูงสุดครั้งใหม่  ด้วยการคว้า “รางวัลบริษัทประกันภัยเกียรติยศสูงสุด (Hall of Fame)” รางวัลสูงสุดของอุตสาหกรรมประกันภัย  ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5  จากสำนักงาน คปภ. ตอกย้ำถึงความโดดเด่นขององค์กรรอบด้าน ทั้งการบริหารงานที่มุ่งสร้างความยั่งยืนในทุกมิติและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมไปถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรม และการให้ความสำคัญด้าน ESG อย่างแท้จริง  พร้อมคว้า “รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชนดีเด่น”  ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12  สะท้อนความมุ่งมั่นในการสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงประกันภัยได้ จากพิธีมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2568

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  พร้อมด้วย ร่วมประวัติศาสตร์แห่งเกียรติยศและความภาคภูมิใจสูงสุด เข้ารับ 2 รางวัลเกียรติยศประจำปี 2567 ประกอบด้วย “รางวัลบริษัทประกันภัยเกียรติยศสูงสุด (Hall of Fame)” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดในภาคอุตสาหกรรมประกันภัยและเป็นเพียงบริษัทเดียวที่ได้รับ “รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชนดีเด่น”  ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12  จากพิธีมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2568  (Prime  Minister’s  Insurance  Awards 2025)  ภายใต้แนวคิด INSURENEXT Driving the Future of Insurance with Digital Innovation & Sustainability “ขับเคลื่อนอนาคตประกันภัย ด้วยนวัตกรรมดิจิทัลและความยั่งยืน”โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานในพิธีเป็นผู้มอบ และ นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย  (คปภ.) ร่วมแสดงความยินดี งานจัดขึ้น ณ ห้องบางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เอวัน โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์

โดยเมืองไทยประกันชีวิต ได้รับ “รางวัลบริษัทประกันภัยเกียรติยศสูงสุด (Hall of Fame)” ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 นับเป็นบริษัทประกันชีวิตที่ได้รับรางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการบริหารงานดีเด่นสูงสุดต่อเนื่องถึง 19 ปี ถือเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจและความเชื่อมั่น เพราะเป็นรางวัลสูงที่สุดในอุตสาหกรรมประกันภัย ที่สำนักงาน คปภ. มอบให้แก่บริษัทที่มีผลงานการบริหารดีเด่นและมีความแข็งแกร่งรอบด้าน  ซึ่งเมืองไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทเพียงแห่งเดียวที่สามารถคว้ารางวัลนี้มาได้ตั้งแต่มีการจัดมอบรางวัลนี้มา จากความโดดเด่นด้านการบริหารงานในทุกมิติ ที่มุ่งมั่นตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ด้วยการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านประกันชีวิต ความคุ้มครองสุขภาพ และบริการด้านต่าง ๆ ตลอดจนช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ พร้อมการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งยังเป็นองค์กรที่โดดเด่นด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน  เดินหน้าควบคู่ไปกับนโยบายด้าน ESG  สะท้อนความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างผลกระทบเชิงบวกในมิติด้านสิ่งแวดล้อม มิติด้านสังคม  มิติด้านบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ โดยได้รบูรณาการแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนผนวกเข้ากับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ทุกหน่วยงานในบริษัทฯ ได้นำไปเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนมีการกำหนดโครงสร้างการบริหารงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งยังได้ประกาศความมุ่งมั่นในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Commitment) ด้วยเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จากการดำเนินงานของบริษัทฯ (ขอบเขตที่ 1 และ 2) ภายในปี 2573 (2030) ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานภายในบริษัทฯ นอกจากนี้บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ จำนวน 13 เป้าหมายหลัก ซึ่งสอดคล้องตามประเด็นสาระสำคัญด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ

สำหรับ “รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชนดีเด่น ประจำปี 2567” ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 12  ซึ่งมาจากความมุ่งมั่นในด้านการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน  การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อประชาชน การส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนมีการทำกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน  การส่งเสริมสนับสนุนให้มีการขยายช่องทางการจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน  การส่งเสริมการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ กรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน และส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้า ด้านการจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน ซึ่งบริษัทฯ ได้ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจที่หลากหลาย ช่วยขยายช่องทางเพิ่มโอกาสให้กับประชาชนได้เข้าถึงประกันภัยมากยิ่งขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง  ทั้งหมดนี้ถือเป็นความมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คนในสังคม (Democratizing Insurance)  เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคน ได้มีความอุ่นใจ มีหลักประกันที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

ในโอกาสนี้ ตัวแทนของบริษัทฯ ยังได้รับ “รางวัลตัวแทนประกันชีวิตคุณภาพดีเด่น ประจำปี 2567” ประกอบด้วย นางสาวณฐมน อุปทองธิติกุล นางสาวณัฐนิชา ทับทอง  นางสุวรรณ ธาราภูมิ และ นางสาววิรัญญา มีศิริ สุดยอดตัวแทนที่มีผลงานโดดเด่น ทั้งในด้านผลงานการขาย การเข้าอบรม และทำกิจกรรมได้ตามเงื่อนไขที่ คปภ.กำหนดไว้ได้อย่างครบถ้วน รวมถึงการปฏิบัติอยู่ในกรอบมาตรฐานจรรยาบรรณของวิชาชีพ และกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับของ คปภ.อย่างเคร่งครัด  นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทฯ สะท้อนถึงความโดดเด่นในด้านการพัฒนาคุณภาพตัวแทน ในการเป็นที่ปรึกษาด้านประกันชีวิตที่พร้อมดูแล และคอยเคียงข้างลูกค้าในทุกช่วงจังหวะของชีวิตได้เป็นอย่างดี.

AIS ผนึก OR ยกระดับ Telco–Retail Cross-Loyalty Ecosystem มอบส่วนลดด้วย AIS Points เติมสุขทุกเส้นทางที่ 6 ร้านดังเครือOR 7,000 สาขาทั่วประเทศ

0

เอไอเอส ผู้นำเทคโนโลยีโทรคมนาคม พร้อมมุ่งมั่นส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลสุดล้ำ ผนึกกำลังกับ OR ผู้นำธุรกิจพลังงานและค้าปลีกของไทย ถือเป็นการร่วมมือครั้งสำคัญของสองอุตสาหกรรมหลักอย่าง Telco และ Retail โดยเอไอเอสเดินหน้าตอกย้ำกลยุทธ์ “ทุกพอยท์ มีพลัง” ภายใต้แคมเปญ เติมสุขให้สุด ทุกเส้นทาง ที่มอบสิทธิพิเศษด้วย AIS Points ให้ความสุขเข้าถึงในทุกเส้นทาง นับเป็นการสร้างระบบนิเวศคะแนนสะสมที่แข็งแกร่ง ครอบคลุม และใช้ได้จริงในทุกมิติของชีวิตประจำวัน ทั้งส่วนลดเติมน้ำมัน พีทีที สเตชั่น, เครื่องดื่มที่ร้าน Café Amazon, KAMU Tea และ Pearly Tea, ร้านสะดวกซื้อ Jiffy และเครื่องสำอาง found & found ครอบคลุมทั้งการเดินทาง การช้อปปิง และไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน มากกว่า 7,000 สาขาทั่วประเทศ

นายประพัฒน์ เสียงจันทร์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจค้าปลีก เอไอเอส กล่าวว่า “ความร่วมมือกับเครือ OR ในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเพิ่มสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า แต่คือการยกระดับประสบการณ์และคุณค่าของทุกคะแนนสะสม การที่สององค์กรซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจ Telco และ Retail จับมือกันด้วยกลยุทธ์ Cross-Loyalty Ecosystem ทำให้ AIS Points Ecosystem มีความครบวงจรมากยิ่งขึ้น สะท้อนความมุ่งมั่นของเอไอเอสที่จะเปลี่ยนคะแนนสะสมให้เป็นพลังและมูลค่าที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็น Strategic Partnership ที่สะท้อนภาพใหญ่ของการผนึกกำลัง เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้าในวงกว้าง”

นายภากร สุริยาภิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจดิจิทัลและโซลูชัน บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)(OR) กล่าวว่า “ปัจจุบัน OR มีเครือข่ายธุรกิจที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งแต่สถานีบริการพีทีที สเตชั่น ร้านเครื่องดื่ม ร้านสะดวกซื้อ ไปจนถึงธุรกิจสุขภาพและความงาม ซึ่งล้วนเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคไว้วางใจมาอย่างต่อเนื่อง การนำ AIS Points เข้ามาเชื่อมต่อกับ Ecosystem ของ OR จึงไม่ใช่เพียงการมอบสิทธิพิเศษที่คุ้มค่า แต่ยังเป็นการสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อที่ตอบโจทย์ลูกค้า AIS ทั้งมือถือและเน็ตบ้าน กว่า 51.1 ล้านราย ตั้งแต่การเดินทาง การพักผ่อน ไปจนถึงทุกไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน ความร่วมมือครั้งนี้ยังสอดคล้องกับแผนแม่บทดิจิทัลของ OR ที่มุ่งพัฒนา Ecosystem ให้แข็งแรงและยั่งยืน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์จุดแข็งของ OR ในฐานะผู้นำธุรกิจ ‘All Lifestyles’ ที่พร้อมดูแลและเติมเต็มคุณค่าให้แก่ผู้บริโภคในทุกเส้นทาง”

ปัจจุบัน AIS Points สามารถใช้แลกรับสิทธิประโยชน์ได้ที่ร้านค้าพันธมิตรกว่า 35,000 จุดทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเครือ OR ที่มีมากกว่า 7,000 สาขา รายละเอียดดังนี้

  • ส่วนลดน้ำมัน สูงสุด 200 บาท สำหรับลูกค้า Serenade แลก AIS Points 20 – 60 คะแนน ที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น กว่า 2,350 แห่งทั่วประเทศ
  • ส่วนลดซื้อสินค้า 20 บาท สำหรับลูกค้า AIS แลก AIS Points 25 คะแนน ที่ Jiffy 147 สาขาทั่วประเทศ
  • ส่วนลดซื้อสินค้า 40 บาท สำหรับลูกค้า AIS แลก AIS Points 50 คะแนน ที่ found & found 12 สาขา
  • ส่วนลดเครื่องดื่มเมนูที่ร่วมรายการ 10 บาท สำหรับลูกค้า AIS แลก AIS Points 35 คะแนน ที่ ร้าน Café Amazonกว่า 4,500 ร้านทั่วประเทศ
  • ส่วนลดเครื่องดื่มเมนูที่ร่วมรายการ 20 บาท สำหรับลูกค้า AIS แลก AIS Points 25 คะแนน ที่ ร้าน KAMU Tea 167 สาขาทั่วประเทศ
  • ส่วนลดเครื่องดื่มเมนูที่ร่วมรายการ 20 บาท สำหรับลูกค้า AIS แลก AIS Points 25 คะแนน ที่ ร้าน Pearly Tea 95 สาขาทั่วประเทศ

ขณะเดียวกัน AIS ยังเชื่อมต่อระบบคะแนนสะสมกับ blueplus+ เพื่อให้ลูกค้า AIS ที่มีคะแนนสะสม blueplus+ สามารถโอนคะแนนมารวมเป็น AIS Points และแลกสิทธิพิเศษได้มากขึ้น เพิ่มพลังการใช้จ่ายให้ลูกค้ามากขึ้น โดยทุก ๆ 600 blueplus+ โอนมาเป็น AIS Points ได้ 50 คะแนน ตอบโจทย์ทั้งด้านความคุ้มค่า ความครอบคลุม และความคล่องตัว ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แอป myAIS

SLAPP หรือ สิทธิที่ชอบธรรม? เมื่อการฟ้องร้องต้องมองเจตนา

0
บทความ โดย วิชญ์ พงศ์เจริญ นักวิชาการอิสระ

ในยุคที่สังคมเปิดกว้างและการแสดงความคิดเห็นกลายเป็นกลไกสำคัญในการตรวจสอบอำนาจ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกจึงถูกจับตามองมากขึ้น หนึ่งในประเด็นที่สะท้อนความซับซ้อนนี้คือ กฎหมาย SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation)

คำว่า SLAPP หมายถึง การฟ้องร้องเชิงกลยุทธ์ ที่ไม่ได้มุ่งหวังชนะคดี แต่ตั้งขึ้นเพื่อ ปิดปากหรือข่มขู่บุคคลหรือกลุ่มที่ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณะ เช่น การประท้วง การวิพากษ์วิจารณ์ หรือการเปิดโปงการกระทำที่ผิดกฎหมายขององค์กรหรือบริษัทเอกชน เป้าหมายคือสร้างแรงกดดัน ทำให้คู่กรณีเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย และท้อถอยจนยุติการเคลื่อนไหวหรือการวิพากษ์วิจารณ์

เมื่อสรุปง่ายๆ คดี SLAPP คือ “คดีฟ้องร้องที่ตั้งขึ้นเพื่อปิดปากประชาชนไม่ให้แสดงความคิดเห็นหรือมีส่วนร่วมในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ”

แต่ทุกวันนี้ไทยยังไม่มีกรอบกฎหมายเฉพาะที่รับรองหรือคุ้มครองในลักษณะ SLAPP โดยตรง คดีที่อาจเข้าข่าย SLAPP ยังอยู่ภายใต้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือกฎหมายหมิ่นประมาทและสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่ยังขาดมาตรการที่ชัดเจนในการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ซึ่งสร้างความท้าทายต่อการรักษาสมดุลระหว่าง สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น กับ การปกป้องชื่อเสียงและสิทธิของบุคคลหรือองค์กร

ดังนั้น การวินิจฉัยว่าเป็น SLAPP หรือไม่ จำเป็นต้องพิจารณาหลายมิติร่วมกัน โดยเฉพาะเจตนาการฟ้องร้อง

1.เจตนาข่มขู่หรือกลั่นแกล้ง: คดี SLAPP มักเกิดจากการฟ้องโดยองค์กรขนาดใหญ่ เช่น บริษัทข้ามชาติหรือหน่วยงานรัฐต่อบุคคล กลุ่มสิทธิ หรือองค์กรภาคประชาสังคม โดยเน้นสร้างภาระทางกฎหมายและการเงิน เพื่อให้ฝ่ายถูกฟ้องท้อถอย

  1. ข้อเท็จจริงและหลักฐาน: หากฝ่ายถูกฟ้องเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน และทำให้เกิดความเสียหาย การฟ้องร้องถือเป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายที่ชอบธรรม ไม่ใช่ SLAPP รวมถึงการฟ้องร้องด้วยเจตนาที่ชอบธรรม เช่น การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา หมิ่นประมาท หรือทำสัญญาผิดพลาด ที่มีหลักฐานชัดเจน ก็ไม่ถือเป็น SLAPP
  2. ความเหมาะสมของค่าเสียหาย: คดี SLAPP มักเรียกร้องค่าเสียหายสูงเกินจริง เพื่อสร้างแรงกดดัน ฝ่ายฟ้องที่เรียกร้องค่าชดเชยเหมาะสมและสมเหตุสมผลถือเป็นการฟ้องที่ชอบธรรม ถึง แม้การฟ้องร้องบางกรณีอาจดูเหมือนเป็นแรงกดดัน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกกรณีเป็น SLAPP การกล่าวหาฝ่ายหนึ่งว่า โดน SLAPP โดยไม่มีหลักฐานชัดเจนอาจก่อให้เกิดผลกระทบสำคัญ เช่น ลดทอนความน่าเชื่อถือของผู้กล่าวหา บิดเบือนกระบวนการยุติธรรม ขัดขวางฝ่ายฟ้องจากการใช้สิทธิทางกฎหมาย และสร้างความขัดแย้งในสังคม กฎหมาย SLAPP เป็นกรอบความคิดสำคัญในการ ปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะ แต่การวินิจฉัยว่าใครถูกฟ้องแบบ SLAPP ต้องรอบคอบและมีหลักฐานชัดเจน มิฉะนั้นอาจบั่นทอนทั้งความน่าเชื่อถือของผู้กล่าวหา ระบบยุติธรรม และเสรีภาพของฝ่ายที่ฟ้องร้องอย่างถูกต้อง เสรีภาพในการแสดงความเห็นต้องสมดุลกับความรับผิดชอบต่อข้อมูลที่เผยแพร่ เพื่อให้การแสดงความคิดเห็นกลายเป็นเครื่องมือส่งเสริมความโปร่งใสและประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่เครื่องมือทำร้ายหรือบิดเบือนผู้อื่น

ต่างถิ่นแต่ไม่ไร้ค่า ปลาหมอคางดำไม่ใช่ปลามลพิษ

0

ตลอดช่วงที่ผ่านมา สังคมไทยได้เห็นกระแสการถกเถียงเกี่ยวกับ “ปลาหมอคางดำ” อย่างกว้างขวาง บางกระแสกลับเลือกใช้ถ้อยคำชี้นำไปในทางลบ โดยระบุว่าปลาชนิดนี้คือ “มลพิษ” ที่กำลังคุกคามสิ่งแวดล้อมและอาจก่ออันตรายต่อผู้บริโภค การกล่าวหาลักษณะเช่นนี้แม้จะสะท้อนความกังวล แต่หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วกลับมีความคลาดเคลื่อนทางวิชาการ และอาจนำไปสู่การกำหนดมาตรการจัดการที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง

ในทางกฎหมาย “มลพิษ” หมายถึงสิ่งที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมหรือสร้างผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสารพิษ เสียง หรือเชื้อโรค หากเทียบกับปลาหมอคางดำซึ่งเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นที่เข้ามาอาศัยและแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำไทย จะเห็นได้ชัดว่าไม่เข้าลักษณะดังกล่าว ปลาชนิดนี้ไม่ได้ผลิตสารอันตราย ไม่เป็นพาหะโรคร้าย และไม่มีงานวิจัยใดยืนยันว่าการบริโภคจะก่อพิษภัยต่อมนุษย์ ดังนั้น การเหมารวมว่าเป็น “มลพิษ” จึงไม่สอดคล้องกับนิยามเชิงกฎหมายและวิทยาศาสตร์

แน่นอนว่าปลาหมอคางดำมีพฤติกรรมแพร่พันธุ์รวดเร็วและอาจส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ จึงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสัตว์น้ำต่างถิ่นที่รุกราน แต่คำว่า “รุกราน” ไม่ได้หมายถึง “เป็นพิษ” หากมองในอีกแง่หนึ่ง ความสามารถในการปรับตัวของปลาชนิดนี้กลับสะท้อนศักยภาพที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่อาหารโปรตีนราคาประหยัดที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ไปจนถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม เช่น ปลาแดดเดียว น้ำปลา ข้าวเกรียบ หรือแม้แต่วัตถุดิบสำหรับทำน้ำหมักชีวภาพที่ใช้ในภาคเกษตรกรรม

งานศึกษาจากหลายสถาบันยืนยันตรงกันว่า เนื้อปลาหมอคางดำไม่พบการปนเปื้อนสารเคมีอันตรายหรือเชื้อโรคที่สร้างความเสี่ยงต่อผู้บริโภค คุณค่าทางโภชนาการไม่ต่างจากปลานิลหรือปลาทับทิมที่คุ้นเคยกันในตลาด การเผยแพร่ข้อมูลว่าเป็นปลามลพิษจึงไม่เพียงผิดพลาดในเชิงวิชาการ แต่ยังบั่นทอนโอกาสในการสร้างโอกาสใหม่ที่เชื่อมโยงทั้งภาคการประมงและเกษตรแปรรูป ข้อเท็จจริงเช่นนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับนโยบายในอดีตที่เคยผลักดันให้ใช้ปลาหมอคางดำเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา ไม่ว่าจะในรูปแบบผลิตภัณฑ์อาหารหรือ การทำปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพที่ให้ประสิทธิภาพดีในสวนยาง

การมองปลาหมอคางดำด้วยทัศนะที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและมุ่งกำจัดให้สิ้นซาก ไม่ใช่หนทางที่ยั่งยืน สิ่งที่จำเป็นกว่าคือการวางแผนจัดการอย่างมีระบบและตั้งอยู่บนข้อมูลจริง แนวทางเช่นนี้อาจประกอบด้วยการส่งเสริมให้มีการจับขึ้นมาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างรายได้เสริมแก่ชุมชน ตลอดจนการควบคุมจำนวนประชากรด้วยกลไกทางธรรมชาติ ซึ่งล้วนเป็นวิธีการที่สอดคล้องกับทั้งมิติด้านนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม

ท้ายที่สุด บทเรียนจากกรณีปลาหมอคางดำชี้ให้เห็นว่า สังคมไม่ควรปล่อยให้ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนครอบงำการตัดสินใจ หากมองด้วยสายตาที่ตั้งอยู่บนวิทยาศาสตร์ ปลาชนิดนี้ไม่ใช่ “ศัตรูของสิ่งแวดล้อม” แต่คือทรัพยากรใหม่ที่รอการจัดการอย่างชาญฉลาด โลกยุคปัจจุบันซึ่งทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอลงทุกวัน กำลังท้าทายให้เรารู้จักเปลี่ยนสิ่งที่ดูเหมือนปัญหาให้กลายเป็นโอกาส และหากทำได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่จะคลี่คลายความขัดแย้งทางความเข้าใจ แต่ยังจะเปิดทางให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหารของประเทศ.