Home Blog Page 207

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึก ZA Tech ตอบโจทย์วิถีชีวิตและความต้องการลูกค้า

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  หรือ MTL เปิดเผยว่า MTL ประกาศความร่วมมือกับ ZA Tech Global Limited (ZA Tech) บริษัท InsurTech ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในทวีปเอเชีย เพื่อร่วมสร้างประสบการณ์และนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับวงการประกันชีวิต รวมถึงการทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันได้ง่ายขึ้นและยืดหยุ่นมากขึ้น สอดรับกับโลกยุคใหม่และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป

ความร่วมมือกันในครั้งนี้ถือเป็นการผสานความแข็งแกร่งครั้งสำคัญ ด้วยเมืองไทยประกันชีวิตที่มีความแข็งแกร่งในด้านนวัตกรรมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ประกอบกับความสามารถของ ZA Tech ที่แข็งแกร่งในด้านเทคโนโลยีประกัน (Insurtech) นั้น จะทำให้การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ สามารถดำเนินการไปอย่างราบรื่นไร้รอยต่อ และสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจง (Personalized) ให้กับลูกค้าและพันธมิตรต่าง ๆ ใน Ecosystem ได้อย่างครอบคลุม

ทั้งสององค์กรเห็นตรงกันถึงความสำคัญของการทำให้ผลิตภัณฑ์ประกันเป็นเรื่องง่าย ไม่ซับซ้อน โดยเฉพาะในด้านความคุ้มครองสุขภาพสำหรับลูกค้าคนไทย การพัฒนาด้านดิจิทัลเราไม่ได้มองแค่ตลาดขายตรงเท่านั้น แต่ดิจิทัลเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เราพัฒนาการทำงานร่วมกันระหว่างกลุ่มคนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างตัวแทนและลูกค้า หรือฝ่ายให้บริการ ให้เกิดประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการเข้าถึงมากยิ่งขึ้น

ดร. สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ MTL  กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ถูกพัฒนาขึ้นมาออกจำหน่ายในช่วงที่ประเทศไทยกำลังประสบกับวิกฤติโควิดพอดี โดย MTL เข้าใจถึงความกังวลของลูกค้าที่อยากจะสบายใจเมื่อได้รับวัคซีน  จึงร่วมกับ ZA Tech ออกแบบขั้นตอนการขายประกันวัคซีนโควิดที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงการซื้อได้ง่าย และ ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ให้ความยืดหยุ่นกับลูกค้าในการเลือกความคุ้มครอง จากผลข้างเคียงของวัคซีน ได้ด้วยตนเอง

นอกจากนี้ ยังเหมาะกับงบประมาณของลูกค้าที่อาจมีความแตกต่างกันในด้านกำลังซื้อ เพราะคำว่า ยืดหยุ่น หมายรวมถึง ทั้งความยืดหยุ่นในด้านความคุ้มครอง ในราคาที่จ่ายได้ และเป็นราคาที่ลูกค้าทุกกลุ่มในตลาดเข้าถึงได้ด้วย

นายบิล ซง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ZA Tech กล่าวว่า วิกฤติโรคระบาดได้เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คน กระตุ้นให้ลูกค้ามีความต้องการผลิตภัณฑ์ประกันที่ซื้อได้ทางออนไลน์ และ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้โอกาสลูกค้าเลือกแพคเกจที่ตรงกับความต้องการเฉพาะของแต่ละคนได้เอง และ ซื้อได้เรียลไทม์อีกด้วย คาดหวังว่าความร่วมมือครั้งนี้ จะทำให้ MTL สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบความต้องการของลูกค้าที่ไม่หยุดนิ่งได้อย่างรวดเร็ว

“ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ประกันดิจิทัลยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา และยังมีโอกาสอีกมากมายในภูมิภาคนี้ที่ยังไม่มีผู้เล่นเข้าไปปลดล็อค ให้ประกันเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูกค้าได้อย่างแท้จริง ดังนั้นการรวมพลังของสองผู้เล่นรายใหญ่ในครั้งนี้ เราหวังว่าจะได้เห็นอนาคตอันน่าตื่นเต้นของวงการประกันในประเทศไทย”

เปิดแนวคิด 3 ผู้บริหารรุ่นใหม่ แนะทางรอดเอสเอ็มอียุคโควิด-19

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดงานสัมมนาออนไลน์ “Think for Growth : SME ยุควิกฤติโควิด-19…ทำอย่างไรให้รอด” โดยมีวิทยากรและเจ้าของธุรกิจ SME มาถ่ายทอดองค์ความรู้และแบ่งปันโอกาสดีๆ แก่ผู้ประกอบการ SME

นายธนพงศ์ วงศ์ชินศรี ผู้ร่วมก่อตั้งร้านชาบูบุฟเฟ่ต์ “Penguin Eat Shabu” กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องรู้จัก เพื่อให้รอดภายใต้สถานการณ์วิกฤติ คือ “วิชาตัวเบา” หรือการลีน (Lean) เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง เริ่มจากหาจุดคุ้มทุนที่รายได้เท่ากับรายจ่ายต่อเดือน และบริหารกระแสเงินสดให้ดี เช่น ทำบัญชีตรวจสอบกระแสเงินสดเป็นประจำ ผ่อนผันกับซัพพลายเออร์ สร้างรายได้หลายช่องทาง และหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม

“การลดค่าใช้จ่ายแบบฉับพลันอย่างการลดเงินเดือนหรือจำนวนคน อาจทำให้พนักงานรู้สึกไม่มั่นคง ส่งผลต่อความแข็งแรงขององค์กรได้ ผู้ประกอบการจึงต้องเปลี่ยนสิ่งที่ไม่เกิดมูลค่า หรือ Waste ให้เป็นมูลค่า หรือ Value โดยอิงหลัก 7 Waste เพื่อปรับกระบวนการการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น แล้วนำเวลาที่เหลือไปสร้างรายได้ใหม่ และก่อให้เกิดคุณค่าแก่ลูกค้าโดยตรง”

อย่างไรก็ตาม ต้องประเมินสถานการณ์จากกระแสเงินสดด้วย ธุรกิจที่ประสบปัญหาขาดทุนอยู่ หากมีกระแสเงินสดเพียงพอต่อการใช้จ่ายได้ 3 เดือน ควรหยุดดำเนินธุรกิจเพื่อรักษากระแสเงินสดที่เหลือ แล้วหาช่องทางเตรียมตัวทำธุรกิจใหม่ แต่หากยังมีกระแสเงินสดเพียงพอถึง 6 เดือน ควรเตรียมแผนสำรอง รองรับความไม่แน่นอน เช่น การปิดร้านจากมาตรการล็อคดาวน์ ซึ่งจะยิ่งทำให้สภาพคล่องลดลง ขณะเดียวกัน ธุรกิจที่ยังสร้างกำไรได้และมีกระแสเงินสดเพียงพออย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป ยังต้องปรับกลยุทธ์ต่อเนื่อง ขยายช่องทางขายใหม่ เจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงเตรียมแผนสำรองในการทำธุรกิจใหม่ล่วงหน้า

นายกิตติพงษ์ สุขเคหา กรรมการผู้จัดการ บริษัท แรบบิท เบสท์ ฟู๊ด จำกัด เจ้าของธุรกิจ “บะหมี่ถ้วยร้อน” กล่าวว่า หลังธุรกิจเดิมได้รับผลกระทบอย่างหนัก จึงพยายามหาทางออกด้วยการทำสินค้าที่จำเป็นสำหรับทุกคนแม้ในสถานการณ์การแพร่ระบาด ประกอบกับมาตรการล็อคดาวน์ทำให้ไม่สามารถเข้าร้านอาหารได้ จึงเกิดไอเดียออกผลิตภัณฑ์บะหมี่ถ้วยร้อน และสร้างจุดเด่นให้สินค้าสามารถรับประทานได้ทุกที่ รสชาติอร่อย และตัวถ้วยมีนวัตกรรมทำความร้อนได้ถึง 96 องศาเซลเซียส สร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคตอบโจทย์ความต้องการช่วงโควิด-19 ซึ่งก่อนวางจำหน่ายบริษัทได้จดสิทธิบัตรบะหมี่ถ้วยร้อนแล้ว แต่ไม่ได้ปิดกั้นหากผู้ประกอบการอื่นจะออกผลิตภัณฑ์ลักษณะคล้ายกัน

ขณะเดียวกัน แบรนด์ก็เร่งสร้างกระแสและยอดขายในช่วงแรกให้ไวที่สุดเพื่อสร้างการจดจำในกลุ่มลูกค้า ซึ่งการนำสินค้าเข้าวางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ช่วยเป็นสปริงบอร์ดสร้างการเติบโตได้กว่าสิบเท่าตัว ทั้งนี้ ทางเซเว่น อีเลฟเว่น ยังให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง อาทิ ยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้าสำหรับผู้ประกอบการ SME ออกแบบกลยุทธ์การจัดวางสินค้าให้ขายดี รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกันและให้องค์ความรู้เรื่องการตลาดกับผู้ประกอบการ

นายธวัชชัย สหัสสพาศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซดา พริ้นติ้ง จำกัด เจ้าของธุรกิจสิ่งพิมพ์ของขวัญ กล่าวว่า ที่ผ่านมางานเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะงานรับปริญญาหายไปตลอดทั้งปี ทำให้ธุรกิจได้รับผลกระทบ จึงยึดหลักปรับ/เปลี่ยน/เร็ว คือ ปรับการทำงานที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น เปลี่ยนวิธีการที่คิดว่าไม่เหมาะกับสถานการณ์ออก และใช้ความเร็วเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ออกผลิตภัณฑ์ใหม่โดยอาศัยทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเครื่องจักรพิมพ์ และสร้างดีไซน์ที่แตกต่างให้สินค้า เช่น หน้ากากผ้าพิมพ์ลายที่จับคู่เข้ากับชุดได้ เจาะตลาดวัยรุ่นในช่วงหน้ากากอนามัยขาดแคลน และผ้าห่มที่สามารถพิมพ์ชื่อลูกบนผืนผ้าได้ เจาะกลุ่มแม่และเด็ก ร่วมกับการสื่อสารให้สินค้าของโซดา พริ้นติ้งเป็นของขวัญที่มีชิ้นเดียวในโลก โดยหน่วยงานสำคัญที่เข้ามาช่วยสนับสนุนธุรกิจคือ SME D Bank ที่ให้คำแนะนำทั้งการจัดทำโครงสร้างบัญชี แนวคิดอุตสาหกรรมสีเขียว รวมถึงให้ความช่วยเหลือในช่วงโควิด-19

การจัดสัมมนาครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานของเซเว่น อีเลฟเว่นที่มุ่งมั่นให้การสนับสนุนและส่งเสริม SME มาอย่างต่อเนื่อง โดย SME ที่เข้าร่วมงานจะได้รับฟังแนวทางการสร้างโอกาสให้ธุรกิจ จากพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญอย่างสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมประสบการณ์ดำเนินธุรกิจจากเจ้าของธุรกิจ SME ที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงสามารถลงทะเบียนร่วมจับคู่ธุรกิจกับเซเว่น อีเลฟเว่น ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง และ eXta plus ร้านยาเพื่อชุมชนได้ด้วย

หยุดความกังวล..กับ “สินเชื่อเคหะ Re-Finance” จากธนาคารออมสิน

หยุดความกังวล..กับ “สินเชื่อเคหะ Re-Finance” จากธนาคารออมสิน
กู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า ไม่ต้องจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย นาน 9 เดือน
พร้อมวงเงินกู้เพิ่มเติม (Replus) เสริมสภาพคล่อง สูงสุด 5 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายหรือปิดหนี้ดอกเบี้ยสูง

สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 29 ตุลาคม 2564

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

สมัครและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม > https://bit.ly/3l7QRGr

น้องสกาย กดอันเดอร์สนามคนเดียว คว้าแชมป์คลาสอีชาย สวิง ทีจีเอ-สิงห์ สนาม 4

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า ผลการแข่งขันกอล์ฟเยาวชน “ทีจีเอ-สิงห์ จูเนียร์ กอล์ฟ แรงค์กิ้ง 2021-2022” คลาส ซี-เอฟ สนามที่ 4 โดยบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด และการกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมสนับสนุน สมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ทีจีเอ) การแข่งขันจัดขึ้นที่สนามกรังด์ปรีซ์ กอล์ฟ คลับ จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 2-3 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า น้องสกาย ไวล์ดิ้ง สวิงจิ๋ววัย 8 ขวบ เป็นนักกอล์ฟเพียงคนเดียวที่ทำสกอร์อันเดอร์สนาม หลังจบการแข่งขันด้วยสกอร์รวม 5 อันเดอร์พาร์ 139 ใน รับแชมป์ในคลาสอีชายไปครอง เมื่อ 3 ต.ค

รายการนี้ แบ่งการแข่งขันเป็นคลาส ซี (11-12 ปี),ดี (9-10 ปี),อี (7-8 ปี),เอฟ (อายุไม่เกิน 6 ปี) ชาย-หญิง โดยสนามเป็นสนามที่ 4 ของปี 2021-2022 เพื่อเฟ้นหาตัวแทนนักกอล์ฟเยาวชน (ต้องเข้าร่วมการแข่งขัน 4 จาก 6 รายการเป็นอย่างน้อย) ได้สิทธิ์ร่วมคัดตัวเยาวชนทีมชาติไปร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ อาทิ ไอเอ็มจี จูเนียร์ เวิลด์ กอล์ฟ แชมเปี้ยนชิพ และ เอฟซีจี คัลลาเวย์ เวิลด์ จูเนียร์ ที่ประเทศสหรัฐ

จบการแข่งรอบสุดท้าย สกาย ไวล์ดิ้ง หนุ่มน้อยวัย 8 ขวบ เก็บสกอร์รอบสุดท้ายเข้ามาอีก 4 อันเดอร์พาร์ 68 ทำสกอร์รวม 5 อันเดอร์พาร์ 139 รับแชมป์ในคลาสอีชาย ไปครอง โดยมี พิชชาพัฒน์ ศิริผดุงธรรม คว้าอันดับ 2 ที่ 9 โอเวอร์พาร์ 153 และ ภัคภาคิน เชษฐพงศ์พันธุ์ รั้งที่ 3 ที่สกอร์รวม 11 โอเวอร์พาร์ 155 ส่วนคลาสอีหญิง แข่งแบบพาร์ 58 อันนา ผ่องหทัยกุล รับแชมป์แบบหายห่วงหลังทำสกอร์รวม 6 โอเวอร์พาร์ 122 มี ณิชนันทณ์ รติภูมิ รับอันดับ 2 ที่สกอร์รวม 16 โอเวอร์พาร์ 132 และ วรวลัญช์ ทศแสนสิน คว้าอันดับ 3 จากผลงานรวม 25 โอเวอร์พาร์ 141

และคลาสซีชาย อจลวิชญ์ อนันตะเศรษฐกุล คว้าแชมป์จากผลงานรวม 7 โอเวอร์พาร์ 151 โดยมี ภูมิปราชญ์ บุตรศรี เข้ามาในอันดับ 2 ที่สกอร์รวม 12 โอเวอร์พาร์ 156 และ ปรมิศวร์ แสงมณี รับอันดับ 3 ที่สกอร์รวม 14 โอเวอร์พาร์ 158 ขณะที่คลาสซีหญิง ธนัชพร อินทร์แสง เฉือนชนะ สุชานันท์ บุญโรจน์เสรี ไปแค่สโตรกเดียวหลังจบเกมด้วยผลงานรวม 6 โอเวอร์พาร์ 150 โดยมี จิรัชยา ปรีชาสุชาติ รั้งอันดับ 3 ที่สกอร์รวม 8 โอเวอร์พาร์ 152

ส่วนแชมป์ในคลาสอื่นๆ มีดังนี้ คลาสดีชาย อุทัย รัตนเวทวงศ์ 6 โอเวอร์พาร์ 150, คลาสดีหญิง สุธันยา โกมลเกษรักษ์ 8 โอเวอร์พาร์ 152, คลาสเอฟชาย (พาร์ 54) ณธาร นาคนิธิ 12 โอเวอร์พาร์ 120, คลาสเอฟหญิง ชุติกาญจน์ วรอภิญญาภรณ์ 55 โอเวอร์พาร์ 163

สำหรับการแข่งขันสนามต่อไปของศึกกอล์ฟเยาวชนส่วนกลาง จะยังคงเป็นการแข่งขันในสนามที่ 4 โดยจะเป็นคลาส เอส-เอ-บี แข่งขันในสนามเดียวกันนี้ระหว่างวันที่ 8-10 ต.ค.นี้ต่อไป

แม็คกรุ๊ป จับมือ โออาร์ เปิดตัว “MC OUTLET” ในพีทีที สเตชั่น

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ Mc เปิดเผยว่า บริษัทได้ผนึกความร่วมมือทางธุรกิจครั้งใหญ่ กับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ​ โออาร์ โดยขยายช่องทางการขายในสถานีบริการน้ำมัน​ พีทีที สเตชั่น ด้วยการเปิดตัว “แม็ค เอาท์เล็ท” (MC OUTLET) นำร่องสาขาแรกที่ สถานีบริการพีทีที สเตชั่น สาขาวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็น“เกตเวย์” (Gateway) ของนักเดินทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 

แม็ค เอาท์เล็ท​ มุ่งตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุค New Normal เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า ด้วยดีไซน์ร้านรูปแบบใหม่ ในขนาดพื้นที่ 100 ตารางเมตร เน้นความวาไรตี้ของสินค้าและคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ โดยเพิ่มกลุ่มสินค้า Accessory, Grab & Go  เพื่อตอบโจทย์ความต้องการนักเดินทางที่มีเวลาจำกัด  โดยบริษัทมีแผนผลิตสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟไอเท็มเพื่อวางจำหน่ายในร้านแม็ค เอาท์เล็ทโดยเฉพาะ เพื่อเพิ่มตัวเลือกสินค้าที่หลากหลายให้ลูกค้าได้มากขึ้น 

บริษัทตั้งเป้าเปิดแม็ค เอาท์เล็ท​ รวม 15 สาขา ภายในช่วงกลางปี 2565 โดยจะเน้นสาขาที่ตั้งอยู่ในย่านชุมชน และมีการสัญจรหนาแน่น นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้ารีโนเวตร้าน mc mc ทั้ง 55 สาขา ที่เปิดให้บริการในสถานีบริการพีทีที สเตชั่น เพื่อเปลี่ยนเป็น “แม็ค เอาท์เล็ท” รวมแล้วจะมีสาขาแม็ค เอาท์เล็ท ทั้งสิ้น 70 สาขาในช่วงกลางปี 2565  

เบื้องต้นจะทำการเปลี่ยนชื่อร้าน mc mc ทั้งหมดเป็น “แม็ค เอาท์เล็ท” ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ โดยบริษัทเตรียมงบลงทุนในการเปิดสาขาแม็ค เอาท์เล็ท และการรีโนเวทร้าน mc mc  ประมาณ 26 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยผลักดันรายได้ปีนี้เติบโต 2 หลักตามเป้าที่วางไว้

นายเจมส์ กล่าวว่า ความร่วมมือกับโออาร์ในครั้งนี้ ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการบริหารช่องทางจำหน่ายของบริษัทให้ครอบคลุม และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ทั้งออฟไลน์และออนไลน์  โดยในส่วนของออฟไลน์ ประกอบด้วยร้านแม็คยีนส์ในศูนย์การค้า, เคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า และแม็ค เอาท์เล็ท ในสถานีบริการพีทีที สเตชั่น นอกจากนี้ บริษัทยังได้พัฒนาช่องทาง Social Commerce ของ “แม็ค เอาท์เล็ท” โดยเชื่อมออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกันเพื่อสร้างประสบการณ์ในการจับจ่ายให้ผู้บริโภค ช่วยสร้าง Brand Experience ที่ดีให้กับลูกค้าและเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ขณะที่ส่วนของออนไลน์ นอกจาก www.mcshop.com บริษัทยังมีช่องทางมาร์เก็ตเพลสและพันธมิตรออนไลน์ ทั้ง Shopee, Lazada, และ JD CENTRAL เป็นต้น รวมถึง Facebook : https://www.facebook.com/mcjeans และ Line OA : @mcjeans_official ของบริษัทอีกด้วย  

“วันนี้ สถานีบริการพีทีที สเตชั่น เปรียบเสมือนจุดหมายหนึ่งของกลุ่มนักเดินทาง เป็นเหมือน Community Mall หรือศูนย์กลางการช้อปปิ้งในชุมชนต่างๆ ซึ่งจากความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้แม็คยีนส์เป็นพันธมิตรกลุ่มไลฟ์สไตล์ และเครื่องแต่งกาย ของสถานีบริการพีทีที สเตชั่นที่เข้าไปเสริมประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ให้นักเดินทางและผู้คนในชุมชนให้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้าแม็คยีนส์สามารถช้อปปิ้งสินค้าของเราได้แทบทุกที่ ไม่เฉพาะแค่ในศูนย์การค้า แต่วันนี้ระหว่างการเดินทางคุณก็สามารถพบแม็คยีนส์ได้ที่สถานีบริการพีทีที สเตชั่น ทุกภูมิภาคทั่วประเทศด้วย” นายเจมส์ กล่าว 

สำหรับแม็คกรุ๊ป ความร่วมมือกับโออาร์ในครั้งนี้ จะสร้างโอกาสเติบโตและสนับสนุนกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจ ทำให้แบรนด์แม็คยีนส์ เข้าถึงลูกค้าทั้งในชุมชนและนักเดินทางที่แวะมาใช้บริการภายในสถานีบริการน้ำมัน โดยตั้งเป้าสัดส่วนลูกค้าในชุมชน 30% และนักเดินทาง 70% นอกจากนี้ ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการขยายฐานลูกค้าของแม็คยีนส์ ไปตามหัวเมืองและชุมชนต่างๆ รวมทั้งทำให้ช่องทางขายทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ ของบริษัทเติบโตควบคู่กันไป ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์หลักในการผลักดันให้บริษัทสามารถเติบโตและฝ่าวิกฤตโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาได้ 

ด้าน นายสมยศ คงประเวช  รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีก โออาร์​ กล่าวว่า โออาร์ มีเป้าหมายหลักในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคมชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม จึงได้กำหนดกลยุทธ์ชัดเจนให้ “สถานีบริการพีทีที สเตชั่น” ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางชุมชน หรือ Living Community ร่วมเติมเต็มทุกความสุขและเติบโตไปพร้อมกับสังคมชุมชน การร่วมมือกับแม็คกรุ๊ป จะช่วยเพิ่มความหลากหลายและครบครันให้กับสถานีบริการพีทีที สเตชั่น และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ที่เข้ามาใช้บริการได้มากยิ่งขึ้น 

“การมีสินค้าและบริการที่ครบครันจะทำให้ลูกค้าใช้บริการในพีทีที สเตชั่นได้นานขึ้น และอนาคตการที่บริษัทจะรุกการให้บริการด้านสถานีชาร์จรถ EV ซึ่งต้องใช้เวลาในการชาร์จ ระหว่างที่ลูกค้ารอก็สามารถใช้บริการจากร้านค้าต่างๆ ของโออาร์ และพันธมิตรในสถานี ซึ่งจะทำให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการได้รับความพึงพอใจสูงสุด และเรายังตระหนักถึงความสำคัญของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม จึงผลักดันการพัฒนาศักยภาพคู่ค้า สร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมชุมชน และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการดำเนินธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี ”

พิเศษสุดในโอกาสเปิด “แม็ค เอาท์เล็ท” สาขาวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แม็คกรุ๊ป ร่วมกับ โออาร์ จัดแคมเปญพิเศษสำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการโดยเฉพาะ เมื่อโชว์ใบเสร็จร้าน Café Amazon หรือ บัตร Blue Card รับฟรีหน้ากากผ้าแม็คยีนส์ มูลค่า 139 บาท หรือเมื่อซื้อสินค้าที่ร้านแม็ค เอาท์เล็ท ครบ 1,600 บาท

CPF ชูฟาร์มเลี้ยงสัตว์ป้องกันเชื้อดื้อยา​ เพื่อผู้บริโภคปลอดภัย

น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดกาอาวุโส ด้านวิชาการธุรกิจสุกร บริษัท​ เจริญโภคภัณฑ์อาหาร​ จำกัด​ (มหาชน) หรือ​ ​ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า​ กระบวนการเลี้ยงสุกรของซีพีเอฟดำเนินการภายใต้ความปลอดภัยทางอาหาร มาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ และการเฝ้าระวังการดื้อยาต้านจุลชีพภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติ เพื่อให้สัตว์ที่เลี้ยงมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ผู้บริโภคได้รับอาหารที่ดี ปลอดภัย รวมถึงสิ่งแวดล้อมปลอดภัย

“ซีพีเอฟจะเน้น “การป้องกัน” ไม่ให้เกิดโรค หรือผลกระทบใดๆต่อสุกร โดยฟาร์มสุกรทั้ง 100% ของบริษัทเป็นฟาร์มระบบปิดตามมาตรฐานกรมปศุสัตว์ และวางระบบการบริหารจัดการฟาร์มในระดับไบโอซีเคียวริตี้ พร้อมทั้งมีการให้วัคซีนแก่ลูกสุกรตามระยะเวลาที่สัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มเป็นผู้กำหนด ส่งผลให้ปัญหาเจ็บป่วยเกิดขึ้นน้อยมาก”

ทั้งนี้ หลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal welfare) ระบุว่าหากพบสัตว์ป่วยต้องให้การรักษา ดังนั้น ในกรณีที่พบการเจ็บป่วยแล้วเท่านั้นจึงจะมีการให้ยา โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มอย่างเข้มงวด และมีการเว้นระยะหยุดยาที่เหนือกว่ามาตรฐานทั่วไป เพื่อป้องกันไม่ให้มีการตกค้างหรือส่งผลกระทบใดๆต่อผู้บริโภค ขณะเดียวกันเมื่อถึงโรงชำแหละ สุกรจะถูกตรวจสอบซ้ำอีกครั้งว่าปราศจากสารตกค้างจริงๆ จึงจะได้รับอนุญาตให้เข้ารับการชำแหละ สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคได้อีกขั้นตอนหนึ่ง

สำหรับความมุ่งมั่นในการป้องกันเชื้อดื้อยานั้น ซีพีเอฟได้ยกเลิกรายการยารักษาสัตว์ ที่อยู่ในกลุ่ม share-class antimicrobials (ยาต้านจุลชีพที่ใช้ได้ทั้งในคนและในสัตว์) ที่อาจส่งผลกระทบและเป็นยาหลักตัวสุดท้ายที่ใช้รักษาโรคในคน เช่น โคลิสติน ออกจากระบบการจัดซื้อทั้งหมด ตั้งแต่ปี 2559 เพื่อกันยาต้านจุลชีพที่สำคัญไว้ใช้กับคน โดยในฟาร์มเลี้ยงสัตว์จะมุ่งเน้นวิธี “ป้องกัน” ต่อไป ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเชื้อดื้อยาได้ทั้งในสัตว์และในคนไปพร้อมกัน

จากการดำเนินการด้านการป้องกันผลกระทบใดๆต่อสัตว์และดูแลสุขภาพสัตว์อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เมื่อปีที่ผ่านมาซีพีเอฟเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการปรับเลื่อนชั้นมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ – Animal Welfare ขึ้นจาก Tier 4 สู่ Tier 3 ในรายงานเกณฑ์มาตรฐานทางธุรกิจตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ (The Business Benchmark on Farm Animal Welfare Report : BBFAW) ขณะเดียวกัน บริษัทยังคิดค้นนวัตกรรมเพื่อเสริมสร้างสุขภาพแข็งแรงให้สุกรอย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้โปรไบโอติกช่วยจัดสมดุลลำไส้ ให้สัตว์มีสุขภาพดี ไม่ป่วย เมื่อไม่ป่วยก็ไม่มีการใช้ยาใดๆ ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมเป็น “สุขภาพหนึ่งเดียว” ของทั้งสัตว์ คน และสิ่งแวดล้อม

ทิพยประกันภัย จับมือ ฟิต ออโต้ มอบโปรฯ พิเศษ ‘FIT For Fight ให้คนไทยกลับมาฟิต’

รายงานข่าว เปิดเผยว่า นายประสิทธิ์ชัย สุนทราภิรมย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านรับประกันภัยและสินไหม และ ดร.พลรัตน์ เอกโยคยะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานกลยุทธ์ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ นายไพศาล อุดมกุลวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจหล่อลื่น นายวิศน สุนทราจารย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร นวัตกรรมและความยั่งยืน บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) จัดโปรโมชันสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับลูกค้าศูนย์บริการยานยนต์ฟิต ออโต้ (FIT Auto) กับแคมเปญ “FIT For Fight โปรจากใจให้คนไทยกลับมาฟิต” ประกอบด้วย

ฟิตเครื่อง….ด้วยบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่นในราคาพิเศษเริ่มต้น 650 บาท พร้อมรับฟรีไส้กรองน้ำมันเครื่องและค่าบริการ

ฟิตยาง….เปลี่ยนยางรถยนต์รุ่นและยี่ห้อที่ร่วมรายการ ในราคาสุดคุ้ม ซื้อ 4 จ่าย 3 พร้อมรับประกันสินค้า 120 วัน ตามเงื่อนไข รับฟรี! โปรแกรมดูแลยางจาก FIT Care ระยะเวลา 2 ปี มูลค่า 4,000 บาท

ฟิตสุข….สำหรับสมาชิก Blue Card รับคะแนนสะสมสูงสุด 3 เท่า พร้อมรับสิทธิ์ผ่อน 0% นาน 10 เดือน เมื่อมียอดชำระตั้งแต่ 5,000 บาท ขึ้นไป

-นอกจากนี้ ยังได้ ฟิตคน….สำหรับลูกค้าที่เข้ามารับบริการที่ศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้ ทุกยอดชำระสามารถเลือกรับสิทธิ์ประกันภัยคุ้มครองอุบัติเหตุ หรือ ประกันภัยแพ้วัคซีน COVID-19 จากทิพยประกันภัย ระยะเวลา 60 วัน รับความคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท

พบกับโปรโมชัน “FIT For Fight โปรจากใจให้คนไทยกลับมาฟิต” ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 15 มกราคม 2565 ที่ FIT Auto ทุกสาขา ทั่ว ประเทศ โดยศึกษาเงื่อนไข รายละเอียดเพิ่มเติม และค้นหาสาขา FIT Auto ได้ที่ https://www.pttfitauto.com/th/branch หรือสอบถามเพิ่มเติม Contact Center โทร. 1365 กด 17

รู้เก็บรู้ออม : วางเงินให้ถูกที่ถูกทางกับ “กองทุนรวม”

หลายคนกำหนดเป้าหมายตัวเองไว้ที่ความรวย และคิดว่าเมื่อตัวเองรวยแล้ว เดี๋ยวทุกอย่างในชีวิตก็จะดีขึ้น แล้วความสุขในชีวิตก็จะตามมา และเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น ทำให้ต้องแลกมาด้วยการทำงานหนัก ไม่ได้พักผ่อนตามสมควร เร่งสร้างตัว สร้างฐานะ จนวันหนึ่งที่คิดว่ารวยแล้ว แต่หากลองถามตัวเองว่ามีความสุขหรือไม่ คนรวยหลายคนอาจจะตอบว่า “ไม่” และตราบใดที่เรายังต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เหนื่อยทั้งกายทั้งใจ เพื่อรักษาความรวยของตัวเองแล้ว ก็เท่ากับว่าเรายังอยู่ห่างจากอิสรภาพทางการเงิน

มีเงินหลักล้าน เก็บอยู่ในตู้เซฟที่บ้าน หรือบัญชีธนาคาร แต่กลับไม่มีอิสรภาพ คนที่ตกอยู่ในสภาพนี้มีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว นั่นเป็นเพราะว่า เรายังติดอยู่กับกับดักความคิดว่าอยากรวย ก็ต้องทำงานหนัก หาเงินเยอะๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แต่ก็เป็นส่วนหนึ่ง เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เรามีรายได้ และเงินเก็บแล้ว เราก็มีทางเลือกที่จะใช้ “เงินลงทุน” นำ “เงินออม” มาทำงานผ่อนแรงเราได้

ยิ่งพอได้อ่านบทความเรื่อง ให้ “เงิน” ช่วยทำงาน ทางเลือกที่ใช่ในการ ‘สร้างรายได้’ เพิ่ม!! ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว ก็ยิ่งทำให้คุณนายพารวยมั่นใจได้ว่า สิ่งที่ทำอยู่ มาถูกทางแล้ว เพราะอายุคุณนายเองก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว จะให้ทำงานหนักเหมือนสมัยตอนยังเป็นสาวๆก็คงไม่ไหวแล้ว การบริหารจัดการเวลาเพื่อไปปฏิบัติภารกิจต่างๆ ทั้งธุระส่วนตัว และการงานให้ลงตัว จึงเป็นเรื่องค่อนข้างสำคัญทีเดียว

แม้ว่ามนุษย์ทุกคนจะมีเวลาใช้ชีวิตอยู่บนโลกไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่คนเราทุกคนมีเท่าเทียมกันคือ เวลา 1 วันของทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่ากัน เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว การบริหารจัดการเวลา 24 ชั่วโมงของแต่ละคน จึงเป็นสิ่งสำคัญ!! การมีตัวช่วย หรือเครื่องมือทางการเงินที่จะมาช่วยผ่อนแรง ไม่ให้ตัวคุณนายต้องปู้ยี่ปู้ยำสมรรถภาพและขีดจำกัดของร่างกายมากจนเกินไป โดย “ใช้เงิน มาทำงานแทนเรา” จึงเป็นทางออกหรือทางเลือกที่ดีที่สุด!!

ปัจจุบันมีช่องทางการลงทุนที่นักลงทุนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่าย อย่าง ‘กองทุนรวม’ เป็นทางเลือกที่เริ่มต้นง่ายๆ ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีในรูปแบบของ ‘การลงทุน’ เพื่อให้เงินต้นออกดอกออกผลในอนาคตด้วยผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน

การนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม เหมือนกับเรา ‘แบ่งเวลา’ ไปทำงานเพิ่ม หรือ ‘แบ่งเงิน’ ไปให้คนที่มีความชำนาญ ซึ่งก็คือ ผู้จัดการกองทุน ช่วยสร้างรายได้เสริมให้เรา เราไม่ต้องทำงานหักโหมเหมือนแต่ก่อน ไม่สร้างปัญหาต่อร่างกายและสุขภาพ จนทำให้ต้องใช้เงินเก็บมารักษาตัวเอง แทนที่จะได้ใช้เงินสร้างความสุขให้ชีวิตตัวเอง

บทความเรื่องนี้ สอนคุณนายให้รู้ว่า การวางเงินให้ ‘ถูกที่ถูกทาง’ หรือลงทุนให้ถูกที่ อาจจะเพิ่มความเสี่ยงขึ้นเล็กน้อย แต่มีโอกาสเติบโตของเงินลงทุนมากกว่าการเก็บสะสมอยู่เฉยๆ แถมการลงทุนก็ช่วยให้เรายังทำงานประจำได้อย่างปกติสุขอีกด้วย

การลงทุนใน ‘กองหุ้นขนาดกลาง-เล็ก’ ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.20% ต่อปี เงินของเราจะโตเป็น 2 เท่าในระยะเวลาเพียง 11.61 ปี แต่เงินก้อนเดียวกัน ถ้าเอาไปแช่ในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทน 0.25% ต่อปี ต้องใช้เวลาถึง 288 ปีกว่าเงินจะโตเป็น 2 เท่า

รู้อย่างนี้แล้ว หากอยากวางเงินให้ถูกที่ถูกทาง สามารถไปค้นข้อมูลศึกษาได้ง่ายๆ ที่ www.setinvestnow.com เพราะคนเรามีเวลาเท่ากัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่เรารู้จักใช้เวลานั้นให้เป็นประโยชน์ และดีต่อชีวิตเราเองหรือเปล่าเท่านั้น!!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

‘สดมภ์’ คว้าแชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์ สิงห์-เอสเอที ภูเก็ต คลาสสิก

สดมภ์ แก้วกาญจนา จบรอบสุดท้าย 3 อันเดอร์พาร์ 68 รวมสามวัน 14 อันเดอร์พาร์ 199 คว้าแชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์รายการแรกในชีวิต ใน “สิงห์-เอสเอที ภูเก็ต คลาสสิก 2021” ชิงเงินรางวัลรวม 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการแซนด์บ็อกซ์สวิง เฉือน สุธีพัทธ์ ประทีปเธียรชัย ไปแค่หนึ่งสโตรก ที่สนามบลูแคนยอน คันทรี่คลับ ฝั่งเลกส์ คอร์ส ระยะ 7,061 หลา พาร์ 71 จ.ภูเก็ต เมื่อ 3 ต.ค.64

รายการแข่งครั้งนี้จัดโดยสมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย และได้รับการสนับสนุนจากการกีฬาแห่งประเทศไทย, กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ, บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น โดยเป็นการแข่งเก็บคะแนนสะสม ออร์เดอร์ ออฟ เมอริต รายการที่สามของไทยแลนด์พีจีเอทัวร์ฤดูกาลนี้ ชิงเงินรางวัลรวม 2 ล้านบาท นับเป็นแมตช์ที่สามของโครงการ แซนด์บ็อกซ์ สวิง จากการสนับสนุนของทางจังหวัดภูเก็ต  แข่งขันระบบปิดไม่มีคนดู เน้นมาตรการความปลอดภัยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 โดยนักกอล์ฟและเจ้าหน้าที่ทุกคน  รวมถึงแคดดี้และผู้ติดตาม ต้องตรวจหาเชื้อแบบ เอทีเค ทุกๆ 5 วัน ตามมาตรการที่กำหนด ขณะที่เจ้าหน้าที่ปฏบัติงานยังต้อง สแกนคิวอาร์โค้ด กรอกแบบสอบถามประจำวันเพื่อประเมินความเสี่ยงติดเชื้ออีกด้วย

ผลการแข่งขัน ปรากฏว่า ในรอบสุดท้ายของการแข่งขัน สดมภ์ แก้วกาญจนา นักกอล์ฟวัย 23 ปีจากนราธิวาส ซึ่งออกสตาร์ตในฐานะผู้นำร่วมเก็บเข้ามาอีก 8 เบอร์ดี้ รวมถึงเบอร์ดี้พัตต์ระะยะ 20 ฟุตจากนอกกรีนหลุม 17 ตามด้วยการเซฟพาร์ระยะ 5 ฟุตบนกรีนหลุม 18 ก่อนจบสกอร์รอบสุดท้าย 3 อันเดอร์พาร์ 68 รวมสามวัน 14 อันเดอร์พาร์ 199 เฉือนชนะ สุธีพัทธ์ ประทีปเธียรชัย ซึ่งหวดเข้ามา 4 อันเดอร์พาร์ 67 หวุดหวิดหนึ่งสโตรก คว้าแชมป์อาชีพรายการที่สองในชีวิต แต่เป็นการคว้าแชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์รายการแรกของตัวเอง โดยได้รับเงินรางวัลไปครองเป็นจำนวน 240,000 บาท

ทางด้าน ถิรวัฒน์ แก้วศิริบัณฑิต นักกอล์ฟวัย 31 ปีจากขอนแก่นที่ออกสตาร์ทรอบสุดท้ายในฐานะผู้นำร่วม เก็บเข้ามา 5 เบอร์ดี้ แต่เสียคืนไป 4 โบกี้ ซึ่งรวมถึงการเสียสโตรกที่หลุมสุดท้าย ก่อนจบวัน 1 อันเดอร์พาร์ 70 รวมสามวันจบอันดับสามร่วมกับ ชนะโชค เดชภิรัตนมงคล ที่หวดเข้ามาถึง 5 อันเดอร์พาร์ 66 รวมสามวันมีคนละ 12 อันเดอร์พาร์ 201 ขณะที่ กษิดิศ เล็บคุรฑ ทำสกอร์ 7 อันเดอร์พาร์ 64 ดีที่สุดในรอบสุดท้าย ขยับขึ้นมาจบอันดับห้าแต่เพียงผู้เดียวด้วยสกอร์ 11 อันเดอร์พาร์ 202

สิงห์อาสา จับมือ ฮุก 31 ลงพื้นที่นครราชสีมา-ชัยภูมิ เร่งช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม

สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด จับมือเครือข่ายกู้ภัย มูลนิธิพุทธธรรม 31 (ฮุก 31) จ.นครราชสีมา เร่งช่วยเหลือแจกจ่ายน้ำดื่ม และข้าวสาร อาหารพร้อมทาน (ข้าวรีทอร์ท) อาหารกล่อง เข้าช่วยเหลือพี่น้องชาว นครราชสีมา และชัยภูมิ หลังมีน้ำท่วมสูงในหลายอำเภอ พร้อมเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างใกล้ชิด

นับตั้งแต่ที่พายุเตี้ยนหมู่ได้เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย ส่งผลให้ฝนตกหนักต่อเนื่องมีน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมหลายพื้นที่ ทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง โดยทีมสิงห์อาสา ร่วมกับ เครือข่ายต่างๆทั้ง เครือข่ายกู้ภัย-มูลนิธิบรรเทาสาธารณภัย ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดทีมลงพื้นที่แจกสิ่งของจำเป็นและเฝ้าระวังอันตราย ช่วยให้ประชาชนที่กำลังเดือดร้อนได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากพื้นที่ประสบภัยหลายจุดเข้าถึงได้ยากเพราะการสัญจรถูกตัดขาดจากปริมาณน้ำ

โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ต.ค.64 สิงห์อาสา ได้ร่วมกับ มูลนิธิพุทธธรรม 31 (ฮุก 31) จ.นครราชสีมา ร่วมลงพื้นที่นำน้ำดื่ม และข้าวสาร อาหารพร้อมทาน (ข้าวรีทอร์ท) รวมถึงอาหารกล่อง เข้าไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัยจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อน และช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เบื้องต้น ในพื้นที่บ้านลำเชิงไกร ต.โคกสูง อ.เมือง, บ้านอ้อ และ บ้านไพล ต.กำปัง อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา รวมถึง บ้านกุดละลม ต.นาหนองแซง อ.เมือง จ.ชัยภูมิ

รังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า กว่า 10 ปี ที่สิงห์อาสา ได้เกิดขึ้นมาจากการรวมตัวกันของพนักงานบริษัทบุญรอดฯ ในช่วงอุทกภัย ปี 54 จากปณิธานการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมของ “พระยาภิรมย์ภักดี” ผู้ก่อตั้งบริษัทฯ จนปัจจุบันขยายสู่กลุ่มเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้ง เครือข่ายนิสิตนักศึกษา เครือข่ายหน่วยงานกู้ภัย หน่วยงานราชการต่างๆ ที่พร้อมทุ่มเทแรงใจช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง

“ในปีนี้ถือเป็นอีกปีที่เกิดอุทกภัยอย่างหนัก เราได้จับมือกับเครือข่ายของเราช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่มาตั้งแต่เริ่มต้น โดยหลังจากนี้ก็จะเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่ออยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชน พร้อมส่งต่อความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว จนกว่ามหันตภัยจะเบาบางลง” คุณรังสฤษดิ์ กล่าว

นายไสว ทิพเวศาสตร์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 9 บ้านลำเชิงไกร ต.โคกสูง อ.เมือง จ.นครราชสีมา กล่าวว่า บ้านลำเชิงไกร ประกอบด้วย บ้านเรือน 263 ครัวเรือน มีประชากร 869 คน ประกอบอาชีพทำเกษตร 90% ที่เหลือรับจ้างและค้าขาย โดยส่วนใหญ่ ทำนาข้าวหอมมะลิ และเหลืองปะทิว น้ำได้เริ่มเข้าท่วมบ้านเรือนที่ติดริมห้วยและที่ลุ่มต่ำในหมู่บ้านมาตั้งแต่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา และมาวิกฤติหนักสุดในวันที่ 27 กันยายน ช่วงเวลา 4 โมงเย็น ถึง 2 ทุ่ม น้ำได้ขึ้นอย่างรวดเร็ว บนถนนเข้าหมู่บ้านจาก 20 เซนติเมตร เป็น สูงระดับเอว บ้านส่วนสูงท่วมหัว โดยพื้นที่หมู่บ้านลำเชิงไกรนี้เป็นพื้นที่แอ่งกะทะ ที่จะรับน้ำจากอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร และอ่างเก็บน้ำลำตะคอง โดยน้ำได้เข้าท่วมเต็มพื้นที่ 100% ทั้งบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร