Home Blog Page 206

ทิพยประกันภัย มั่นใจรับโอนประกันโควิดของเอเชียฯ ไม่กระทบความแข็งแกร่งของบริษัท

ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย เปิดเผยว่า จากกรณีที่บริษัทได้เข้ารับการย้ายโอนความคุ้มครองลูกค้าเอเชียประกันภัยที่ซื้อประกันโควิด ได้มีหลายฝ่ายทั้งลูกค้าทิพยประกันภัย และผู้ถือหุ้นจำนวนหนึ่งเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการย้ายกรมธรรม์ประกันเอเชียประกันภัยมาทำประกันกับทิพยประกันภัยนั้น จะมีปัญหาตามมาหรือไม่ เรื่องนี้ตนขอเรียนว่า กรมธรรม์ที่เปลี่ยนหรือย้ายมาทำนั้นเป็นกรมธรรม์ที่เหมือนกับที่ทิพยประกันภัยขายในปัจจุบัน

โดยปัจจุบันทิพยประกันภัย เรามีกรมธรรม์ประกันโควิดโคม่าขายอยู่เพียง 2 แผน ได้แก่แบบแผนเบี้ยประกัน 300 คุ้มครอง 300,000 บาท กับอีกแผนที่คุ้มครอง 500,000 บาท เบี้ยประกัน 480 บาท เพราะฉะนั้นการแปลงกรมธรรม์นี้ไม่ได้เป็นการเพิ่มภาระให้กับบริษัททิพยประกันภัย ในการรับประกันแต่อย่างใด หากเพียงแต่เป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าเอเชียประกันภัยที่ต้องการหาซื้อประกันโควิดคุ้มครองการเสียชีวิตจากอาการโคม่าไว้เท่านั้นเอง และคงจะไม่มีผลกระทบต่อความแข็งแกร่งทิพยประกันภัยแต่ประการใด

โดยเฉพาะทิพยประกันภัยถือว่าโชคดีที่เราเป็นบริษัทประกันเพียงไม่กี่บริษัท ที่มีบริษัทรับประกันภัยต่อต่างประเทศ (รีอินชัวเรอร์ตปท.) ที่มารับประกันภัยต่อประกันโควิดของเรา ซึ่งรับประกันต่องานประกันโควิดของทิพยประกันภัยไว้ถึงสัดส่วน 50% ของพอร์ต ซึ่งค่อนข้างจะมากทีเดียว ทั้งนี้ก็เพราะรีอินชัวเรอร์มองเห็นว่า เราค่อนข้างระมัดระวัง และทิพยประกันภัย มีการคำนวณความเสี่ยงในการรับประกัน ดังนั้นรีอินชัวเรอร์ต่างประเทศจึงมีความมั่นใจพร้อมจะสนับสนุนทิพยประกันภัย

ดร.สมพร กล่าวอีกว่า ปัจจุบันทิพยประกันภัยได้รับประกันโควิดปีนี้กับปีที่แล้วรวมๆกันแล้วเกือบ 5 ล้านกรมธรรม์  คิดเป็นเบี้ย 2,500 กว่าล้านบาท โดยมีผู้ใช้สิทธิเรียกร้องสินไหมรวมแล้ว 5หมื่นราย คิดเป็นสินไหมประมาณ 2,000ล้านบาท โดยทิพยประกันภัย ไม่มีการขายประกันเจอจ่ายจบ จึงทำให้เราสามารถยังให้ความคุ้มครองรองรับลูกค้าได้อย่างไม่มีปัญหา

และอยากให้ผู้ถือหุ้นทิพยประกันภัยและลูกค้าสบายใจได้ว่า บริษัทมีความมั่นคงแข็งแกร่ง โดยลูกค้าเอเชียประกันภัยหากย้ายมาประกันโควิดในรูปแบบประกันการเสียชีวิตจากอาการโคม่าทั้งหมด 770,000 หมื่นคน บริษัทก็ยังสามารถรองรับได้ เนื่องจากความคุ้มครองจะดูแลเฉพาะการเสียชีวิตจากอาการโคม่า ซึ่งคำว่า ”โคม่า” ในนิยามคงไม่ใช่หมายถึง ติดเชื้อแล้วไปอยู่ไอซียูแล้วได้รับความคุ้มครอง ซึ่งส่วนใหญ่ ”โคม่า” ในที่นี้จะเป็น “ภาวะก่อนการเสียชีวิตตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์” เพราะฉะนั้นความเสี่ยงที่รองรับประชาชนจุดนี้จึงไม่กระทบต่อบริษัทฯ

ทั้งนี้ ดร.สมพร ยังกล่าวถึงเงินกองทุน (คาร์เรโช) ณ ปัจจุบันของทิพยประกันภัย อยู่ที่ 263% ว่า เรายังคงมีสถานะอย่างนี้ไปได้จนถึงสิ้นปี และถ้าสถานการณ์โควิดเกิดมีรอบ 4 ขึ้นมา ก็คิดว่ามันจะไม่กระทบ เพราะเชื่อว่าคงจะมีความรุนแรงไม่มาก เพราะรัฐบาลมีประสบการณ์รับมือการระบาดที่ผ่านมาแล้ว​ รวมทั้งประชาชนส่วนใหญ่ต่างได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรก และเข็มสองไปแล้วจำนวนมาก รวมถึงการเริ่มฉีดเข็มสาม ประกอบกับทิพยประกันภัยเองก็ไม่มีการขายประกันภัยแบบเจอจ่ายจบในพอร์ต หากมีแต่ขายคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลหรืออาการโคม่า หรือกรณีไม่เข้ารักษาพยาบาล เราก็มีการจ่ายค่าชดเชยให้ เพราะฉะนั้นถ้าอนาคตเกิดติดเชื้ออีกระลอกใหม่ ก็ยังอยู่ภาวะรองรับได้

ทั้งนี้บริษัทฯอยากจะประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อว่า สำหรับลูกค้าเอเชียประกันภัยขณะนี้ค่อนข้างสับสน และเข้าใจว่า “ทิพยประกันภัย” รับโอนความคุ้มครองประกันโควิดเจอจ่ายจบแบบที่ทำไว้กับเอเชียประกันภัยเลยนั้น ขอเรียนชี้แจงว่า จริงๆแล้ว ทิพยประกันภัยเป็นเพียงทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการจะมีความคุ้มครองโควิด ซึ่งขณะนี้บริษัทฯจะเหลือความคุ้มครองอาการโคม่าเท่านั้น ซึ่งบริษัทฯได้มีจุดยืนขายผลิตภัณฑ์ประกันโควิดมาตลอด สำหรับกรมธรรม์ที่ย้ายมาทำกับทิพยฯ จะออกเป็น Digital Policy ทั้งหมดเลย ซึ่งคงไม่เหมือนการออกกรมธรรม์ในภาวะปกติ ซึ่งอาจใช้เวลายาวนาน จึงจำเป็นต้องทำเป็นดิจิทัล ส่งกลับไปยังมือถือ หรือ Email Address เพื่อผู้เอาประกันจะได้นำไปใช้เป็นหลักฐานคุ้มครองเวลาซื้อประกันหรือเรียกร้องค่าสินไหม

ธนาคารออมสิน ชวนคนไทยฝากเงินวันออมแห่งชาติ รับฟรีกระปุกออมสิน

ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อสังคม พร้อมส่งเสริมการออมและสร้างวินัยการเงินกับกิจกรรม “ชีวิตวิถีใหม่ ต้องใส่ใจการออม” วันออมแห่งชาติ 2564

ชวนมาออมเงินเพื่อเก็บสะสมสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต และเป็นภูมิคุ้มกันยามฉุกเฉินในอนาคต เพียงฝากเงินตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป ลงทะเบียนจองคิว ได้ตั้งแต่วันที่ 20-28 ตุลาคม 2564 รับกระปุกออมสินไปออมต่อ (1 สิทธิ ต่อ 1 กระปุก)

ลงทะเบียนจองคิวล่วงหน้าได้เลย ผ่าน 2 ช่องทาง

  1. เว็บไซต์ธนาคารออมสิน
  2. Line Official Account : GSB Society

และไปฝากเงินได้ที่สาขาที่ลงทะเบียนจองคิวล่วงหน้าไว้ ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2564

อ่านรายละเอียดและลงทะเบียนจองคิว ได้ที่ https://bit.ly/2ZaMUZp

ขั้นตอนการลงทะเบียนจองคิว

เซเว่น อีเลฟเว่น ต่อยอดภารกิจ เสริมแกร่ง SME ให้องค์ความรู้ผู้ประกอบการ

นางสาวอินทิรา พฤกษ์รัตนนภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหันมาใส่ใจด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยในอาหารมากขึ้น ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนการผลิต ประกอบกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประกาศปรับหลักเกณฑ์ GMP ใหม่ ที่เริ่มใช้เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2564  ซีพี ออลล์  ภายใต้ภารกิจ “3 ให้” ช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็ก จึงได้จัดงานสัมมนาออนไลน์ “ผนึกกำลังผู้ประกอบการ SME ในการยกระดับมาตรฐานการผลิตอาหารปลอดภัย” แบ่งปันองค์ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการผลิตตามหลักเกณฑ์ GMP (Good Manufacturing Practice) ให้แก่ผู้ประกอบการที่เป็นคู่ค้าของซีพี ออลล์ เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตให้ทัดเทียมระดับสากล    

อินทิรา พฤกษ์รัตนนภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ CPALL

“ที่ผ่านมา ซีพี ออลล์ให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐานการผลิตอาหารมาโดยตลอด เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพและปลอดภัยที่สุดให้กับผู้บริโภค ขณะเดียวกัน ก็ให้ความสำคัญกับการติดอาวุธองค์ความรู้ให้แก่กลุ่ม SME ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญ เราในฐานะผู้ส่งเสริม SME จึงเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานการผลิตตามข้อกำหนด GMP มาร่วมเป็นถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการ SME  กลุ่ม Food Supply Chain  เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค และส่งเสริม SME ไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต”    

ด้าน นางธิดา ทวีฤทธิ์ นักวิชาการอาหารและยาชำนาญการ สำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข  กล่าวว่า จากประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 420) พ.ศ. 2563 ได้ปรับปรุงมาตรฐานการผลิตตามหลักเกณฑ์ GMP ใหม่ให้กระชับและชัดเจนมากขึ้น โดยแบ่งออกเป็น หมวดที่ 1 ข้อกำหนดพื้นฐาน บังคับใช้กับอาหารทุกประเภท ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องมีคะแนนในแต่ละหมวดเกิน 60 เปอร์เซ็นต์ จากทั้ง 5 หมวดย่อย ประกอบด้วย 1.สถานที่ตั้งอาคารผลิต การทำความสะอาด และการบำรุงรักษา 2.เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์การผลิต การทำความสะอาดและการบำรุงรักษา 3.การควบคุมกระบวนการผลิต 4.การสุขาภิบาล และ 5.สุขลักษณะส่วนบุคคล  ขณะที่หมวดที่ 2 ข้อกำหนดเฉพาะ จะบังคับใช้กรณีผลิตอาหารที่มีกรรมวิธีเฉพาะ 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์น้ำบริโภค น้ำแร่ธรรมชาติ น้ำแข็ง 2.ผลิตภัณฑ์นมพร้อมบริโภค และ 3.ผลิตภัณฑ์อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิทชนิดที่มีความเป็นกรดต่ำและชนิดที่ปรับกรด ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องผ่านเกณฑ์ทุกข้อที่กำหนดไว้   

นางวาสนา สงวนสัตย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ CPALL กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการ SME ต้องคำนึงถึงและถือเป็นหัวใจในการสร้างธุรกิจให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ได้แก่ 1.สร้างจุดแข็ง โดยคัดสรรวัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพ พัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง และนำนวัตกรรมมาช่วยในการผลิต 2.แนวคิดสินค้ามีความชัดเจน ผู้ประกอบการต้องสำรวจตลาดให้มั่นใจก่อนว่าสินค้าจะผลิตตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทั้งบรรจุภัณฑ์ ราคา ลักษณะสินค้า ที่สำคัญจะต้องยึดหลัก “อร่อย สะดวก สะอาด ปลอดภัย” และ 3.รักษามาตรฐานให้ดีในทุกด้าน ตั้งแต่ความปลอดภัยของอาหาร รสชาติ มีคุณภาพ และมีปริมาณสินค้าที่เพียงพอต่อความต้องการ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรเลือกผลิตสินค้าที่กำลังได้รับความนิยม หรือสร้างความแตกต่างด้วยการเลือกผลิตสินค้าที่ผู้บริโภคหาซื้อได้ยาก เพื่อให้สินค้าโดดเด่นและมียอดขายโตต่อเนื่อง     

แบงก์ชาติ-สมาคมธนาคารไทย ชี้แจงกรณีการตัดเงินบัตรเครดิตและเดบิตผิดปกติ

ตามที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ สมาคมธนาคารไทย ได้ชี้แจงกรณีการตัดเงินที่ผิดปกติ ผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตของลูกค้าจำนวนมาก เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่ามิได้เกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลจากระบบธนาคาร โดยสาเหตุสำคัญเกิดจากการที่มิจฉาชีพสุ่มข้อมูลบัตรและนำไปสวมรอยทำธุรกรรมผ่านร้านค้าออนไลน์ต่างประเทศ ที่ไม่มีการใช้ One Time Password (OTP) โดยตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม มีบัตรที่มีการใช้งานผิดปกติจากเหตุข้างต้นจำนวน 10,700 ใบ โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นรายการใช้จากบัตรเดบิตเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการใช้งานส่วนใหญ่มีจำนวนเงินต่อรายการต่ำ เช่น 1 ดอลลาร์ สรอ. และมีการใช้เป็นจำนวนหลาย ๆ ครั้ง ทั้งนี้ ธนาคารมีระบบตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ โดยแต่ละธนาคารจะกำหนดเพดานและเงื่อนไขการใช้งานของบัตรตามลักษณะประเภทร้านค้าและประเภทสินค้าแตกต่างกันไป

นอกจากนี้ ธปท. และ สมาคมธนาคารไทย ได้ร่วมกันกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันและแก้ปัญหา ดังนี้

1. ยกระดับความเข้มข้นในการตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ ให้ครอบคลุมทั้งธุรกรรมที่มีจำนวนเงินต่ำและที่มีความถี่สูง หากพบธุรกรรมที่ผิดปกติ ธนาคารจะระงับการใช้บัตรทันทีและแจ้งลูกค้าในทุกช่องทาง รวมทั้งติดตามเฝ้าระวังรายการธุรกรรมจากต่างประเทศเป็นพิเศษ

2. เพิ่มการแจ้งเตือนลูกค้าในการทำธุรกรรมทุกรายการ ตั้งแต่รายการแรกผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น ระบบ Mobile banking อีเมล หรือ SMS

3. กรณีที่ตรวจสอบพบว่าลูกค้าได้รับผลกระทบจากการทุจริตตามข้างต้น กรณีบัตรเดบิต ลูกค้าจะได้รับการคืนเงินภายใน 5 วันทำการ ส่วนกรณีบัตรเครดิต ธนาคารจะยกเลิกรายการดังกล่าว ลูกค้าไม่ต้องชำระเงินตามยอดเรียกเก็บที่ผิดปกติ และจะไม่มีการคิดดอกเบี้ย

4. ธปท. และสมาคมธนาคารไทยจะเร่งหารือกับผู้ให้บริการเครือข่ายบัตร เช่น Visa Mastercard เพื่อกำหนดให้มีการใช้การยืนยันตัวตนเพิ่มเติม เช่น OTP กับบัตรเดบิตสำหรับร้านค้าออนไลน์

กรณีลูกค้าพบความผิดปกติของธุรกรรมด้วยตนเอง สามารถติดต่อคอลเซ็นเตอร์หรือสาขาของธนาคารผู้ออกบัตร เพื่อแจ้งตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมในทันที โดยธนาคารจะดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

สำหรับประชาชนทั่วไป ควรตรวจสอบการทำธุรกรรมของตนเองอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งระมัดระวังการผูกบัตรเดบิตในการทำธุรกรรม โดยเฉพาะกับแพลตฟอร์มที่มีความเสี่ยง เช่น เกมออนไลน์ แพลตฟอร์มที่ไม่มีการยืนยันตัวตนก่อนเข้าใช้งาน หรือไม่มี OTP ทั้งนี้ สำหรับบางธนาคาร ลูกค้ายังสามารถเปิด/ปิดการใช้งานของบัตร หรือเปลี่ยนแปลงวงเงินการใช้บัตร หรืออายัดบัตรได้ด้วยตัวเองผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคาร นอกเหนือจากการติดต่อกับธนาคาร

ธปท. และ สมาคมธนาคารไทย ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า โดยธนาคารมีระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและมีการตรวจสอบการทำธุรกรรมที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง ในระยะต่อไป ธปท. และสถาบันการเงินจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการยกระดับมาตรการและประสิทธิภาพการตรวจจับและตอบสนองต่อรายการผิดปกติ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากการเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว

AIS จับมือ LINE ช่วยเจ้าของร้าน บอกโปรฯ ให้ลูกค้าแบบเรียล์ไทม์ตอนเดินผ่าน

นายอราคิน รักษ์จิตตาโภค หัวหน้าฝ่ายขับเคลื่อนนวัตกรรม เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส ได้ร่วมมือกับ LINE ประเทศไทย พัฒนานวัตกรรม DEVIO BEACON ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดในกลุ่ม DEVIO Series ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยในงาน LINE THAILAND DEVELOPER CONFERENCE 2021 ที่ผ่านมา โดยผลิตภัณฑ์นี้เรียกได้ว่าเป็นอาวุธทางการตลาดในยุค Social Distancing ที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยให้ร้านค้าสามารถสื่อสารโปรโมชั่นผ่าน LINE Official Account กับลูกค้า ที่เดินผ่านหน้าร้านในรัศมี 10-25 เมตร ได้อย่างทรงประสิทธิภาพ แบบ Real Time แม้ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ช่วยลดความเสี่ยงจากการสัมผัส แถมยังสามารถ Update Promotion ได้อย่างรวดเร็วตลอดเวลา ทำให้สามารถกระตุ้นยอดขายได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

“DEVIO BEACON เป็นอุปกรณ์ที่สามารถรับส่งข้อมูลไปยังแอปพลิเคชั่น LINE ซึ่งปัจจุบันคนไทยนิยมใช้เป็นอันดับ 1 ผ่านบลูทูธ 5.2 เวอร์ชั่นล่าสุด เพียงเจ้าของร้านวางอุปกรณ์ DEVIO BEACON ในร้าน และทำการ update promotion ของร้านผ่านแพล็ตฟอร์ม DEVIO CONNEXT ที่เชื่อมต่อไปที่ LINE Official Account ของทางร้าน เมื่อลูกค้าที่สมัครติดตาม LINE Official Account ของร้าน เดินผ่านก็จะได้รับข้อความ Promotion แบบ Real Time ทันที ตอบโจทย์การทำ Offline to Online Marketing เจาะใจลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทดแทนการใช้แผ่นพับ หรือ การมีข้อจำกัดเรื่องการปรับเปลี่ยนโปรโมชั่นไปอย่างสิ้นเชิง”

นอกจากนี้ด้วยรูปแบบการใช้งานที่ออกแบบให้สามารถเชื่อมต่อกับ LINE API ได้ ยังพร้อมช่วยสนับสนุนกลุ่มนักพัฒนา ให้สามารถต่อยอดรูปแบบบริการ เป็น Solution ใหม่ๆในอนาคตได้อย่างหลากหลาย ท่ามกลางสถานการณ์โควิด ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การร่วมมือกับ LINE ประเทศไทย ในครั้งนี้ จึงทำให้นอกจากจะได้สนับสนุนผู้ประกอบการที่มีหน้าร้านให้สามารถทำการตลาดได้อย่างคล่องตัวแล้ว ยังได้ต่อยอด Digital Ecosystem ให้กลุ่มนักพัฒนามีโอกาสแสดงความสามารถ สร้างโอกาสใหม่ๆได้อีกด้วย

ร้านค้าที่สนใจสามารถสมัครใช้บริการและซื้ออุปกรณ์ DEVIO BEACON ในช่วง Early Bird ได้ในราคา เพียง 1990 บาท/อุปกรณ์ ถึง 31 ตุลาคม 2564 หลังจากนั้นจะอยู่ที่ราคาพิเศษ 2,500 บาท (จากปกติ 3,500 บาท) และสมัครแพล็ตฟอร์ม DEVIO ConNEXT เพื่อเป็นช่องทาง update promotion ที่เปิดให้ใช้งานฟรีนาน 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2565 จากราคาปกติ 1,188 บาท/ปี สำหรับร้านค้า ดูรายละเอียดและสั่งซื้อได้ที่ https://www.facebook.com/devioconnext ส่วนDeveloper ดูรายละเอียดได้ที่ https://www.facebook.com/AISDEVIO หรือ ที่ www.aisdevio.com

‘กษิดิศ’ คว้าแชมป์สวิง สิงห์-เอสเอที ไทยแลนด์ พีจีเอ ทัวร์ คว้าเงินรางวัล 2.4 แสน

กษิดิศ เล็บครุฑ โปรวัย 29 ปีจากปราจีนบุรีคว้าแชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์รายการที่สามในชีวิตอหลังจบสกอร์รอบสุดท้ายเก็บเพิ่มอีก 1 อันเดอร์พาร์ 70 รวมสามวัน 9 อันเดอร์พาร์ 204 เฉือน จณัตว์ สกุลพลไพศาล สองสโตรก คว้าแชมป์ “สิงห์-เอสเอที หัวหิน แชมเปี้ยนชิพ 2021” ชิงเงินรางวัลรวม 2 ล้านบาท ณ สนามกอล์ฟหลวงหัวหิน ระยะ 6,713 หลา พาร์ 71 อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อ 17 ต.ค.64

สมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนจากการกีฬาแห่งประเทศไทย , กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ, สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จัดแข่งขันเก็บคะแนนสะสม ออเดอร์ ออฟ เมอริต เป็นรายการที่ 4 ของฤดูกาล ชิงเงินรางวัลรวม 2 ล้านบาท แชมป์รับ 2.4 แสนบาท ระหว่างวันที่ 15-17 ต.ค. ภายใต้มาตรการป้องกันเชื้อ ไวรัส โควิด-19 อย่างเข้มงวด

การแข่งขันรอบสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา กษิดิศ เล็บครุฑ นักกอล์ฟวัย 29 ปีจากปราจีนบุรี เก็บเข้ามาอีก 3 เบอร์ดี้ก่อนจบรอบสุดท้าย 1 อันเดอร์พาร์ 70 รวมสามวัน 9 อันเดอร์พาร์ 204 เฉือนชนะ จณัตว์ สกุลพลไพศาล ที่หวดเข้ามา 1 อันเดอร์พาร์ 70 เช่นกันไปหวุดหวิดสองสโตรก

นับเป็นการคว้าแชมป์ไทยแลนด์พีจีเอทัวร์รายการที่สามในอาชีพต่อจากชัยชนะที่เชียงใหม่ อินทนนท์ กอล์ฟ เนเชอรัล รีสอร์ท เมื่อปี 2015 และสปริงฟิลด์ รอยัล คันทรี่คลับ เมื่อปี 2019 นอกจากนั้นยังเคยคว้าแชมป์ระดับอาชีพในออลไทยแลนด์กอล์ฟทัวร์ที่บูรพา กอล์ฟ แอนด์ รีสอร์ท เมื่อปี 2019 และแชมป์เอเชียน ดีเวลล็อปเมนต์ทัวร์ ที่มาเลเซียอีกรายการเมื่อปี 2017

กษิดิศ เปิดเผยว่า ดีใจสำหรับแชมป์ครั้งนี้หลังจากที่เมื่อฤดูกาลที่แล้วทำผลงานไม่ดี ไม่ติดท็อปยี่สิบ จนกระทั่งมาเริ่มรายการของสมาคมฯ แซนด์บ็อกซ์สวิงที่ภูเก็ต รายการแรกจบท็อปสิบห้า ตามด้วยที่ห้า แล้วก็มาคว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จ

นักกอล์ฟวัย 29 ปีจากปราจีนบุรีที่ตลอดทั้งสัปดาห์เสียโบกี้ไปเพียงสามครั้งเท่านั้น และสองในสามหลุมนั้นเกิดขึ้นในการแข่งขันรอบสุดท้าย ซึ่งเจ้าตัวเปิดเผยว่า ค่อนข้างตื่นเต้น เพราะไม่ได้ออกก๊วนสุดท้ายในรอบสุดท้ายมาเป็นปีแล้ว แต่ก็พยายามเล่นให้มีสมาธิให้มากที่สุด

“สัปดาห์นี้คิดว่าน่าจะเป็นทีช็อตครับที่เป็นกุญแจสำคัญ เราไม่เข้าอุปสรรคเลย เราอยู่บนแฟร์เวย์แล้วเราก็ตีขึ้นไปออนตลอด สำหรับรอบสุดท้ายจุดเปลี่ยนมันอยู่ที่หลุม 15 ครับ คือพี่สองคนเขาออกโบกี้แล้วผมได้เบอร์ดี้ จริงๆแล้วจบเก้าหลุมผมยังตามเขาอยู่หนึ่งแต้ม ก็เล่นไปเรื่อยๆครับ พยายามมีสมาธิอยู่กับเกมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

ส่วน จณัตว์ สกุลพลไพศาล ได้อันดับสอง รับเงินรางวัลไป 132,000 บาท ด้านอันดับสามร่วม สกอร์เท่ากัน 6 อันเดอร์พาร์ 207 ชลทิตย์ ชื่นบุญงาม และ รัชพล จันทวารา รับเงินรางวัลคนละ 76,050 บาท

สำหรับรายการต่อไปของ ไทยแลนด์ พีจีเอ ทัวร์ ชิงชัยในสนามที่ 5 รายการ “สิงห์-เอสเอที ลำปาง แชมเปี้ยนชิพ 2021” ชิงเงินรางวัลรวม 2 ล้านบาท ที่สนามกอล์ฟแม่เมาะ จ.ลำปาง ระหว่างวันที่ 25-28 พ.ย.64

สรุปผลสิงห์-เอสเอที หัวหิน แชมเปียนชิพ (สนามพาร์ 71)

  • 204 กษิดิศ เล็บครุฑ 69-65-70 (เงินรางวัล 240,000 บาท)
  • 206 จณัตว์ สกุลพลไพศาล 69-67-70 (เงินรางวัล 132,000 บาท)
  • 207 ชลทิตย์ ชื่นบุญงาม 69-68-70, รัชพล จันทวารา 70-66-71 (เงินรางวัลคนละ 76,050 บาท)
  • 208 นิติธร ทิพย์พงษ์ 71-68-69 ,พศวีร์ เลิศวิไล 68-71-69 (เงินรางวัลคนละ 55,400 บาท)
  • 209 ศักดิ์ชัย ศิริมายา 66-74-69 (เงินรางวัล 45,900 บาท)
  • 210 ขวัญชัย กองทวี 72-69-69 ,เศรษฐี ประคองเวช 68-73-69 ,ชัยพัชร์ คูณมาก 69-69

ก.คลัง สั่งเพิกถอนใบอนุญาตบริษัทเอเชียประกันภัย

ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1936/2564 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยบริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 59 (1) (2) (4) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป

การเพิกถอนใบอนุญาตครั้งนี้ เป็นมาตรการที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัย โดย สำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการต่าง ๆ ภายใต้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์สูงสุดของประชาชน พร้อมทั้งขอชี้แจงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและเหตุประกอบการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการเตรียมมาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับมิให้ผู้เอาประกันภัยและประชาชนเดือดร้อน ดังนี้

1. เนื่องจากปรากฏหลักฐานต่อนายทะเบียนว่า บริษัทฯ มีฐานะการเงินไม่มั่นคงจากการดำรงเงินกองทุนไม่ครบถ้วนตาม ที่กฎหมายกำหนด มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน สภาพคล่องไม่เพียงพอต่อการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน จ่ายค่าสินไหมทดแทนล่าช้า และเสนอขายกรมธรรม์ไม่เป็นไปตามแบบและข้อความที่ได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน จึงเป็นกรณีที่บริษัทฯ มีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน นายทะเบียนด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คณะกรรมการ คปภ.) ตามมติที่ประชุมครั้งที่ 10/2564 เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 52 และมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สั่งให้บริษัทแก้ไขฐานะและการดำเนินการตามที่นายทะเบียนกำหนด และให้บริษัทหยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว โดยสำนักงาน คปภ. ได้เข้าควบคุมธุรกรรมการเงินเพื่อให้มั่นใจได้ว่าระหว่างที่มีคำสั่งให้บริษัทหยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราวและอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาตามคำสั่งฯ จะไม่มีการโยกย้ายทรัพย์สิน หรือมีการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยและประชาชน และต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2564

2. เมื่อให้ระยะเวลาบริษัทฯ แก้ไขฐานะการเงินและการดำเนินการตามคำสั่งนายทะเบียนแล้ว ได้ปรากฏข้อเท็จจริง ต่อนายทะเบียนว่า บริษัทฯ มีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สิน ทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และยังคงมีจำนวนค่าสินไหมทดแทนคงค้างจำนวนมาก ซึ่งบริษัทฯ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการจัดการสินไหมทดแทนได้ และจากการที่สำนักงาน คปภ. ได้ติดตามความคืบหน้าจากบริษัทฯ เกี่ยวกับการเพิ่มทุนหรือฐานะการเงินให้เพียงพอต่อภาระผูกพัน พบว่า บริษัทฯ ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการเพิ่มทุนหรือการแก้ไขฐานะการเงินของบริษัทฯ และไม่ปรากฏว่าบริษัทฯ มีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อแก้ไขฐานะการเงินของบริษัทฯ รวมทั้งไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการร่วมทุนจากผู้ร่วมทุนรายอื่น ส่งผลให้บริษัทฯ มีฐานะการเงินที่ไม่มั่นคง ประกอบกับบริษัทฯ มีการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก ทำให้บริษัทฯ ไม่มีความพร้อมและความสามารถในการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยได้ อีกทั้งบริษัทฯ มีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหลายประการ จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ถ้าให้บริษัทฯ ประกอบธุรกิจประกันภัยจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน คณะกรรมการ คปภ. ในการประชุมครั้งที่ 11/2564 วันที่ 8 ตุลาคม 2564 จึงมีมติให้เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณามีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน)

3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัทฯ มีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สิน มีฐานะการเงินไม่มั่นคงไม่สามารถดำรงเงินกองทุนให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด มีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ไม่สามารถแก้ไขปัญหาสำคัญของบริษัทฯ ได้ภายในระยะเวลาที่สมควร ประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน และไม่มีความสามารถและความพร้อมที่จะรับประกันภัยและประกอบธุรกิจประกันภัยได้ต่อไป ถ้าให้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยต่อไป จะทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนหรือผู้เอาประกันภัย ตลอดจนความน่าเชื่อถือของธุรกิจประกันภัย ดังนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 59 (1) (2) (4) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป และหากบริษัทฯ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ มีสิทธิเสนอคำฟ้องยื่นต่อศาลปกครองกลางภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่ง

4. เมื่อรัฐมนตรีฯ มีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยบริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) แล้ว คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ซึ่งได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 60 และมาตรา 62 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม แต่งตั้งให้กองทุนประกันวินาศภัย เป็นผู้ชำระบัญชี

5. การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) เป็นปัญหาฐานะการเงินและการจัดการภายในของบริษัทฯ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินหรือสภาพคล่องของบริษัทประกันวินาศภัยอื่น หรือธุรกิจประกันภัยในภาพรวม ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้เตรียมมาตรการที่จะช่วยเหลือผู้เอาประกันภัย เพื่อรองรับมิให้ผู้เอาประกันภัยได้รับผลกระทบไว้แล้ว ดังนี้

5.1 บูรณาการความร่วมมือกับกองทุนประกันวินาศภัย (ในฐานะผู้ชำระบัญชี) และบริษัทประกันวินาศภัย จำนวน 13 บริษัท ดังนี้

(1) ผู้เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหายและได้ยื่นเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไว้กับบริษัทฯ แล้ว ให้ติดต่อกองทุนประกันวินาศภัย โดยกองทุนประกันภัยวินาศภัยจะเข้ารับช่วงจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามที่ได้มีการอนุมัติค่าสินไหมทดแทนไว้แล้วเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านไม่สะดุด

(2) ผู้เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหายแล้ว แต่ยังไม่ได้ยื่นเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไว้กับบริษัทฯ ให้ยื่นเรียกร้อง ค่าสินไหมทดแทนจากกองทุนประกันวินาศภัย โดยกองทุนประกันวินาศภัยจะพิจารณาค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย

(3) ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยทุกประเภท สามารถที่จะดำเนินการในส่วนของกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว ดังนี้ – ขอรับคืนเบี้ยประกันภัยที่เหลือจากกองทุนประกันวินาศภัย โดยกองทุนประกันวินาศภัยจะคืนเบี้ยประกันภัย ให้ตามส่วนระยะเวลาตามความคุ้มครองที่เหลืออยู่ หรือ – นำเบี้ยประกันภัยที่จะได้รับคืนไปใช้แทนเงินสดในการเลือกซื้อประกันภัยได้จากบริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมโครงการ ได้ทุกประเภทกรมธรรม์ประกันภัย

(4) ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สามารถนำเบี้ยประกันภัย ไปซื้อความคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะให้ความคุ้มครองเฉพาะภาวะโคม่า ในวงเงินความคุ้มครอง 300,000 บาท เบี้ยประกันภัย 300 บาท หรือนำเบี้ยประกันภัยไปซื้อความคุ้มครองกับบริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมโครงการ โดยจะได้ส่วนลดเบี้ยประกันภัยเพิ่มอีก 10% ของกรมธรรม์ใหม่ แต่ไม่เกิน 500 บาท ยกเว้นกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.)

5.2 จัดตั้งศูนย์ให้คำแนะนำ รับเรื่องร้องเรียน และอำนวยความสะดวกในการรับคำขอรับชำระหนี้ รวมทั้งการสนับสนุนบุคลากรในการรับคำขอรับชำระหนี้ ทั้งที่สำนักงาน คปภ. ส่วนกลางและสำนักงาน คปภ. ส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อให้บริการแก่ ผู้เอาประกันภัยและประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

5.3 จัดเตรียมสถานที่ที่สามารถยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ดังนี้

(1) กองทุนประกันวินาศภัย (ในฐานะผู้ชำระบัญชี) อาคารชินวัตรทาวเวอร์ 3 ชั้น 15 เลขที่ 1010 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 หมายเลขโทรศัพท์ 0-2791-1444 ต่อ 11-15 และ 21-24

(2) สำนักงาน คปภ. ซึ่งได้รับมอบหมายจากกองทุนประกันวินาศภัยทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการรับเอกสารหลักฐานการขอรับชำระหนี้แล้วส่งต่อให้กองทุนประกันวินาศภัยต่อไป โดยผู้เอาประกันภัยสามารถยื่นได้ทั้งส่วนกลางและต่างจังหวัด ดังนี้ ส่วนกลาง ยื่นได้ ๓ แห่ง ดังนี้ – สำนักงาน คปภ. ส่วนกลาง เลขที่ 22/79 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 โทร. 0-2515-3999 หรือ สายด่วน คปภ. 1186 หรือ chatbot “คปภ. รอบรู้” (LINE@OICConnect) – สำนักงาน คปภ. เขตท่าพระ เลขที่ 287 ซอยรัชดาภิเษก 6 ถนนรัชดาภิเษก-ท่าพระ แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600 หมายเลขโทรศัพท์ 0-2476-9940-3 – สำนักงาน คปภ. เขตบางนา เลขที่ 1/16 อาคารบางนาธานี ชั้น 8 ถนนบางนาตราด กม.3 แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260 หมายเลขโทรศัพท์ 0-2361-3769-70 ส่วนภูมิภาค สามารถยื่นขอรับชำระหนี้ได้ที่สำนักงาน คปภ. ภาค และสำนักงาน คปภ. จังหวัด ทั่วประเทศ

5.4 สำนักงาน คปภ. ได้พัฒนา Web Application โดยเฉพาะขึ้น เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกับผู้เอาประกันภัยได้รวดเร็วขึ้น โดยระบบจะแจ้งข้อมูลไปยังผู้เอาประกันภัยทางออนไลน์

5.5 บูรณาการความร่วมมือกับกองทุนประกันวินาศภัยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย จัดเตรียมหมายเลขโทรศัพท์รวม 47 คู่สาย เพื่อตอบข้อซักถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยจะเพิ่มเป็น 100 คู่สาย ในระยะถัดไป

หากเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยของบริษัทฯ ให้ยื่นขอรับชำระหนี้ต่อกองทุนประกันวินาศภัยในฐานะผู้ชำระบัญชีของบริษัทฯ ภายใน 60 วันนับแต่วันที่กองทุนประกันวินาศภัยกำหนดในประกาศ โดยให้นำเอกสารต้นฉบับพร้อมทั้งสำเนา จำนวน 2 ชุด ประกอบการยื่นขอรับชำระหนี้ ดังนี้ กรมธรรม์ประกันภัย บัตรประจำตัวประชาชน ใบเคลม ใบนัดชำระหนี้ หรือเอกสารอื่นใดที่แสดงถึงมูลหนี้ หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (กรณีเป็นนิติบุคคล)

และหากเป็นเจ้าหนี้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัย ให้นำเอกสารแสดงความเป็นเจ้าหนี้ ต้นฉบับพร้อมทั้งสำเนา จำนวน 1 ชุด ประกอบการยื่นขอรับชำระหนี้ ดังนี้ หลักฐานแสดงถึงมูลหนี้ บัตรประจำตัวประชาชน หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (กรณีเป็นนิติบุคคล) ทั้งนี้ หากเจ้าหนี้ไม่สามารถยื่นได้ด้วยตนเอง จะต้องมีหนังสือมอบอำนาจโดยติดอากรแสตมป์ 30 บาท พร้อมกับสำเนาบัตรประชาชนผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ ยื่นต่อกองทุนประกันวินาศภัยในฐานะผู้ชำระบัญชีของบริษัทฯ

“การดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายตั้งแต่ให้บริษัทฯ หยุดรับประกันวินาศภัยชั่วคราวตามมาตรา 52 พนักงานเจ้าหน้าที่ของ คปภ. ที่เข้าไปประจำ ณ ที่ทำการบริษัทฯ เพื่อดำเนินการควบคุมการเบิกจ่ายเงินตามที่จำเป็น และเร่งเคลียร์ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยและเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยเป็นอันดับแรก ทำให้สำนักงาน คปภ. สามารถเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยได้กว่า 13,000 ราย เป็นเงินกว่า 800 ล้านบาท ซึ่งทรัพย์สินของบริษัทฯ ก็ยังไม่เพียงพอที่จะดูแลค่าเคลมที่ทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ ได้ และบริษัทฯ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาฐานะการเงินได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิกถอนใบอนุญาตเพื่อให้กองทุนประกันวินาศภัยเข้ามาดูแล โดยใช้เงินกองทุนฯ เยียวยาผู้เอาประกันภัย ซึ่งท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้สั่งการให้ดูแลประชาชนให้เต็มที่ โดยหลังจากเพิกถอนใบอนุญาตแล้ว กองทุนประกันวินาศภัยจะรับช่วงจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังมีผลผูกพันกับบริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางการช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยและประชาชน โดยโอนให้กับบริษัทประกันภัยแห่งอื่นรับผิดชอบต่อ นอกจากนี้ ได้ส่งเสริมให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยโควิด-19 โดยเฉพาะขึ้น เพื่อรองรับผู้เอาประกันภัยที่ประสงค์ความคุ้มครองโควิด-19 ต่อเนื่อง จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่าจะได้รับการคุ้มครองดูแล โดยสำนักงาน คปภ. จะบูรณาการร่วมกับกองทุนประกันวินาศภัยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย ช่วยบรรเทาเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเต็มที่ และพร้อมน้อมรับทุกคำชี้แนะในการดูแลคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน สำหรับรายชื่อบริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมโครงการ สามารถดูได้ จากเว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. (www.oic.or.th) หรือสอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

CPF เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม รับวันอาหารโลก

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้น จาก 35% เพิ่มเป็น 50 % โดยนำนวัตกรรม ระบบดิจิทัล และเทคโนโลยีทันสมัย มาใช้ในกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ควบคู่นโยบายบริหารจัดการสูญเสียอาหาร อาหารส่วนเกินและขยะอาหาร ตลอดกระบวนการผลิต ตอบโจทย์เทรนด์โลก สร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน

วันอาหารโลก (World Food Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 16 ตุลาคม ของทุกปี โดยในปี 2021 นี้ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization : FAO) กำหนดแนวคิดในการรณรงค์ “Our actions are our future – Better production, better nutrition, a better environment and a better life” ส่งเสริมระบบอาหารที่ยั่งยืน เพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งซีพีเอฟในฐานะผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลก พร้อมสนับสนุนแนวทางดังกล่าว ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายกลยุทธ์ความยั่งยืน CPF 2030 Sustainability in Action สร้างความมั่นคงทางอาหาร และเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้น

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนองค์กร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ภายใต้กลยุทธ์ความยั่งยืนใหม่ “CPF 2030 Sustainability in Action” เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอีก 9 ปีข้างหน้า (ปี 2564-2573) ซึ่งบริษัทฯ ยังยึด 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และ ดิน น้ำ ป่าคงอยู่ ในด้านของอาหารมั่นคง กำหนดเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้น จากปัจจุบัน 35% จะเพิ่มเป็น 50% การเพิ่มสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำจาก 20% เป็น 40% ตลอดจนพัฒนานวัตกรรมอาหาร เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ อาทิ การพัฒนาโปรตีนทางเลือก Plant- Based Protein ภายใต้แบรนด์ Meat Zero ที่ผลิตจากพืช 100% การนำโปรไบโอติกมาใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ เพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้สัตว์แข็งแรงตามธรรมชาติ ไม่ป่วยง่าย ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยง ผลิตภัณฑ์ “เบญจา ชิกเก้น” (Benja Chicken) นวัตกรรมเนื้อไก่สดพรีเมียม ไก่ที่เลี้ยงด้วยข้าวกล้อง ผลิตภัณฑ์หมูชีวา เนื้อหมูที่มีโอเมก้า 3 เป็นต้น จากความมุ่งมั่นการนำความรู้ เทคโนโลยี ระบบดิจิทัล และความคิดสร้างสรรค์ มาประยุกต์ใช้ในการออกผลิตภัณฑ์อาหาร และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทั้งองค์กร ทำให้ในปีนี้ บริษัทได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ

ซีพีเอฟ ในฐานะผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลก มุ่งมั่นพัฒนาและผลิตอาหารเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ส่งมอบอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ปลอดภัย โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) ในประเด็นการขจัดความหิวโหย (Zero Hunger) การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Good Health and Well-Being) และการผลิตและการบริโภคอย่างรับผิดชอบ (Responsible Consumption and Production) ร่วมส่งเสริมคนไทยบริโภคอย่างรู้คุณค่าของอาหาร ขับเคลื่อนนโยบายลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร ตลอดจนร่วมมือกับประชาคมโลกในการสร้างโอกาสการเข้าถึงอาหารอย่างเท่าเทียมกันและพอเพียงให้กับทุกคน ทั้งในสถานการณ์ปกติและภาวะวิกฤติ

“การแพร่ระบาดของโควิด- 19 เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วโลก ซีพีเอฟ ไม่เคยหยุดนิ่งเพื่อพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมในระบบการผลิตอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อตอบสนองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยเพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแก่ผู้คน รวมทั้งทำการตลาดอย่างรับผิดชอบ การเข้าถึงผู้บริโภคจำนวน 35 ล้านรายต่อวัน ด้วยอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ดีกว่า”

นายวุฒิชัย กล่าวว่า ซีพีเอฟ ตระหนักดีว่าธุรกิจอาหารเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก และต้องพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติ จึงรณรงค์และส่งเสริมให้ทุกคนในองค์กร นำแนวคิดการสร้างคุณค่าปราศจากขยะ (Waste to value)ไปสู่การปฏิบัติจริง โดยเริ่มที่ตัวของพนักงานเอง อาทิ ซีพีเอฟเปิดตัว กิจกรรม “กินเกลี้ยง เลี้ยงโลก” ปลูกฝังพนักงานรู้คุณค่าอาหาร บริโภคอาหารให้หมดจาน การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตเพื่อลดการสูญเสีย ตลอดจนถึงช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อลดขยะอาหาร ให้ความรู้ผู้บริโภคกินอย่างรู้คุณค่าไม่เหลือทิ้ง เพื่อสร้างโอกาสการเข้าถึงอาหารให้กับทุกคน

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสูญเสียอาหาร อาหารส่วนเกินและขยะอาหาร ตลอดกระบวนการผลิต โดยริเริ่มโครงการ “Circular Meal…มื้อนี้เปลี่ยนโลก” ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายมูลนิธิสโกลาร์ส ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) และบริษัท จีอีพีพี สะอาด จำกัด (GEPP) เพื่อนำอาหารส่วนเกินไปปรุงเป็นเมนูพร้อมทาน อร่อยและปลอดภัย กว่า 12,000 มื้อ ให้แก่ผู้ยากไร้ และกลุ่มเปราะบางมากกว่า 10,000 คน และยังส่งเสริมให้ชุมชนเรียนรู้ถึงการเก็บขยะพลาสติกส่งกลับคืนเพื่อนำไปย่อยสลายอย่างถูกต้อง ซึ่งช่วยลดอาหารส่วนเกินได้มากกว่า 2,800 กิโลกรัม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 6,014 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

AIS ตอกย้ำภารกิจ “คนไทย ไร้ E-Waste” ในวัน International E-Waste Day 2021

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ AIS เปิดเผยว่า วัน International E-Waste Day ซึ่งตรงกับวันที่ 14 ต.ค. AIS ขอใช้โอกาสนี้ย้ำเตือนสังคมให้เห็นถึงปัญหาของขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Waste ที่มีการเติบโตสูงสุดในบรรดาขยะทั้งหมด ซึ่งจะต้องจัดการทิ้งให้ถูกวิธีและมีความรับผิดชอบ จากความตั้งใจนี้ทำให้ AIS สร้างภารกิจ คนไทยไร้ E-Waste ขึ้น โดยรับอาสารวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล และกำจัดตามมาตรฐานสากล ปัจจุบันได้จัดทำถังรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ วางในจุดต่างๆ ทั่วประเทศ รวมแล้วกว่า 2,400 จุด และได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรในภาคส่วนต่างๆ เช่น ไปรษณีย์ไทย ที่สามารถฝากทิ้ง E-Waste กับพี่ไปรษณีย์ได้ รวมถึงองค์กรเครือข่ายคนไทยไร้ E-Waste ในการเป็นจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์จากคนไทยทั่วประเทศ

โดยสามารถเก็บ E-Waste เข้าสู่กระบวนการจัดการที่ถูกต้องได้แล้วกว่า 223,807 ชิ้น ซึ่งสามารถดูดซับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 2,238,070 กิโลกรัมคาร์บอนสมมูลย์ เทียบเท่ากับต้นไม้ขนาดใหญ่ 248,674 ต้น (น้ำหนัก 10,749.17 Kg. / 10.7 Tons)

“เป้าหมายการทำงานของ AIS ต่อเรื่องขยะอิเล็กทรอนิกส์จึงไม่ใช่เพียงแค่กิจกรรมเพื่อสังคม แต่เราต้องการทำให้ภารกิจ คนไทยไร้ E-Waste ถูกขยายออกไปสู่การสร้าง Engagement กับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน โดยวันนี้เราพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางด้านองค์ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี ซึ่งจะไม่ใช่แค่การได้มาซึ่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ลดลงเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างประโยชน์ที่เกิดจากการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้กลับมามีคุณค่าอีกครั้ง”

นางสายชล กล่าวว่า “นอกเหนือจากการทำงานเพื่อส่งมอบประสบการณ์ใหม่ด้วยดิจิทัลเทคโนโลยีในทุกรูปแบบแล้ว AIS ยังมีอีกหนึ่งพันธกิจในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่างๆ ร่วมดูแลรับผิดชอบต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมให้สามารถเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนได้ เราเชื่อว่าการจะขับเคลื่อนเพื่อจัดการกับขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้คนไทยไร้ E-Waste ได้นั้น ต้องเกิดจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และลงมือทำอย่างจริงจัง ก็จะทำเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ในที่สุด ทั้งนี้หากองค์กรใดสนใจเข้าร่วมเป็นเครือข่ายคนไทยไร้ E-Waste ก็สามารถติดต่อได้ที่ E-Mail: aissustainability@ais.co.th เพื่อร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อมของเราไปด้วยกัน”

ด้านน้อง เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ  ในฐานะเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นเหรียญที่ทำมาจากขยะอิเล็กทรอนิกส์มาร่วมรณรงค์ กล่าวว่า เหรียญทองโอลิมปิกนับว่าเป็นความภูมิใจสูงสุดที่เกิดจากความพยายาม และที่สำคัญคือทุกเหรียญเกิดจากความตั้งใจของชาวญี่ปุ่นในการรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์มาสร้างเป็นเหรียญรางวัลให้กับนักกีฬา ซึ่งถือว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ และยังเป็นตัวอย่างในการรีไซเคิลให้ขยะกลับมามีคุณค่าอีกครั้ง วันนี้ยังมีขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากที่ยังจัดการไม่ถูกวิธี เราต้องเริ่มจากการวางแผนการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ให้คุ้มค่าที่สุด และหากจำเป็นต้องทิ้งก็ควรทิ้งให้ถูกวิธีกับ AIS ที่มีจุดรับทิ้งมากมาย พวกเราทุกคนช่วยกันได้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และโลกของเรา

AIS ACADEMY จัดสัมมนาออนไลน์แห่งปี ชวนคนไทยกระโดดก้าวข้ามฝ่าวิกฤต

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS และกลุ่มอินทัช เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าต่อยอดโครงการ AIS ACADEMY for Thais โดยจัดงานสัมมนาออนไลน์ “ภารกิจคิดเผื่อ เพื่อคนไทย JUMP THAILAND” ที่จะมาชวนคนไทยร่วมกระโดดก้าวข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ ด้วยองค์ความรู้ทางด้านดิจิทัลเทคโนโลยี เพื่อนำพาประเทศไทยเดินหน้าสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยครั้งนี้จับมือร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้ง สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA, สถานเอกอัครราชทูตแคนาดา ประจำประเทศไทย และแพลตฟอร์ม e-Commerce ชั้นนำอย่าง ช้อปปี้ ประเทศไทย

“เป็นอีกครั้งที่ AIS ในฐานะผู้นำของธุรกิจด้านดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อคนไทยจะลุกขึ้นมาสร้างประโยชน์ให้กับสังคมในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทายเช่นนี้ อย่างที่เราเคยเน้นย้ำว่าโลกที่หมุนเร็วและมีการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติทำให้การวิ่งอย่างเดียวอาจจะไม่ทัน เราต้องกระโดดเพื่อหาโอกาส กระโดดเพื่อหาองค์ความรู้ใหม่ๆ และกระโดดเพื่อก้าวข้ามผ่านสถานการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้ จากความสำเร็จของ AIS ACADEMY ที่เราเชื่อว่าการทำงานร่วมกับทุกฝ่ายจะเป็นการสร้างการเติบโตได้อย่างยืน  โครงการ “AIS Academy for Thais ภารกิจคิดเผื่อ เพื่อคนไทย” ในครั้งนี้จึงเป็นการผนึกกำลังของภาคเอกชน และภาครัฐที่มีความแข็งแกร่ง ในการพาคนไทยมาร่วมกระโดด หรือ JUMP THAILAND สู่การสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตอย่างเท่าทันด้วยเทคโนโลยีและพร้อมรับกับกระแส Digital Disruption”

สำหรับโครงการ “AIS ACADEMY for Thais : ภารกิจคิดเผื่อ เพื่อคนไทย JUMP THAILAND ในครั้งนี้ มีวิทยากรชั้นนำที่จะมาร่วมเปิดมุมมองทั้งในเรื่องของการพัฒนาทักษะ นวัตกรรม การศึกษา เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อนำพาสังคมและประเทศให้เกิดการพัฒนาและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น คุณชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ที่จะมาปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การเป็นพลเมืองที่ดี เพื่อพาประเทศไทย ก้าวกระโดดสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” พร้อมกันนี้ยังมีเสวนาในหัวข้อเรื่อง “ภารกิจคิดเผื่อ เพื่อยกระดับสังคมไทย” โดยมี โดยมีคุณบัญชา ชุมชัยเวทย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ดังนี้

  • คุณพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ
  • คุณกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS และกลุ่มอินทัช
  • ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
  • คุณนิจวรรณ ศรีวิบูลย์ สำนักงานทูตพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตแคนนาดา ประจำประเทศไทย
  • คุณสุชญา ปาลีวงศ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด ช้อปปี้ ประเทศไทย

การสัมมนาครั้งนี้ จัดขึ้นในวันที่ 16 ตุลาคม 2564 เวลา 10.00 – 12.00 น. ผ่านทาง Facebook AIS ACADEMY และ YouTube สามารถเข้าชมฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย