Home Blog Page 208

‘สิงห์’​ มอบเงินพิเศษให้ทัพนักกีฬาและเจ้าหน้าที่​ ทีมพาราไทย 15.4 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ผู้สนับสนุนหลักของทุกสมาคมกีฬาคนพิการ มอบเงินรางวัลพิเศษ อีก 15.4 ล้าน ให้ทัพนักกีฬาพาราไทยทุกคน รวมถึงเจ้าหน้าที่ทั้งหมด แทนคำขอบคุณหลังจากทำผลงานยอดเยี่ยมคว้า 5 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน 8 เหรียญทองแดง จากการแข่งขัน “พาราลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020” ณ ศูนย์กีฬาบอคเซีย การกีฬาแห่งประเทศไทย (หัวหมาก) เมื่อ 23 ก.ย.64​

นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า ความทุ่มเทมุ่งมั่นของนักกีฬา โค้ช และเจ้าหน้าที่ทุกคน สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนไทย วันนี้การแข่งขันพาราลิมปิกเป็นที่รู้จัก นักกีฬาคนพิการเป็นที่ยอมรับของคนไทยมากขึ้น ทำให้คนไทยทั้งประเทศภูมิใจ นักกีฬาฯทุกคนเป็นตัวอย่างที่ดีของความไม่ยอมแพ้ และรู้สึกภูมิใจในตัวนักกีฬาทุกคน

“การมอบเงินพิเศษครั้งนี้ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณนักกีฬาพาราไทยทุกๆท่าน ตลอดจนโค้ชและเจ้าหน้าที่ ที่ร่วมกันสร้างความสำเร็จให้กับประเทศไทย สร้างความสุขให้กับคนไทย โดยบริษัทฯจะมอบเงินพิเศษ ให้นักกีฬา โค้ช เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ร่วมเดินทางไปแข่งขันพาราลิมปิกที่โตเกียว คนละ 40,000 บาท และเงินพิเศษสำหรับผู้ทำเหรียญทอง เหรียญละ 1 ล้านบาท เหรียญเงิน เหรียญละ 5 แสนบาท และเหรียญทองแดง เหรียญละ 3 แสนบาท รวมเป็นเงิน 15,420,000 บาท ซึ่งที่ผ่านมา บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้ให้การสนับสนุนทุกสมาคมกีฬาคนพิการมา ตั้งแต่ปี 2548 และยังคงสนับสนุนต่อไป เพื่อสร้างนักกีฬาพาราไทยให้สามารถทำชื่อเสียงให้กับประเทศในการแข่งขันระดับโลกได้อย่างต่อเนื่อง”

นายจุตินันท์ กล่าวว่า ทุกประเทศพัฒนาขีดความสามารถของนักกีฬาคนพิการขึ้นมาสูงมาก ทำผลงานได้ดีทำให้จำนวนเหรียญรางวัลกระจายไปสู่หลายๆประเทศ เช่น จีน ถึงแม้จะยังเป็นอันดับ 1 แต่จำนวนเหรียญทองลดลง ส่วนสหราชอาณาจักรแม้จะคงเป็นอันดับ 2 เหมือนเดิม แต่จำนวนเหรียญทองลดลงถึง 24 เหรียญ ไทย ทำได้ 18 เหรียญ เท่ากับที่ริโอ เกมส์ 2016 ซึ่งเหรียญทอง เหรียญเงิน ลดลงอย่างละ 1 เหรียญ แต่มองในแง่ของอันดับไทยอยู่ที่อันดับ 25 ใกล้เคียงกับครั้งที่ผ่านมา เป็นที่ 1 ของอาเซี่ยนอยู่ และยังเป็นแถวหน้าของเอเชีย ถือว่าทำได้ดี ซึ่งแน่นอนว่านักกีฬาพาราไทยจะไม่หยุดแค่นี้

“พาราลิมปิกครั้งหน้าที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส คงไม่สามารถวัดความสำเร็จจากจำนวนเหรียญรางวัลได้ ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ รายการแข่งขันของกีฬาคนพิการจะมีการปรับลด-เพิ่มตลอดเวลา ทำให้โอกาสในการทำเหรียญเปลี่ยนไปตามรายการแข่งขันที่ถูกตัดออกหรือเพิ่มเข้ามาตลอด อีกประการหนึ่งคือ คณะกรรมการพาราลิมปิกสากลเน้นที่การมีส่วนร่วม ไม่ใช่การสร้างหรือทำลายสถิติ จึงพยายามปรับเปลี่ยนทุกชนิดกีฬา เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้พิการมีส่วนร่วมในเกมส์มากขึ้น แต่ก็ยังเชื่อว่านักกีฬาไทยจะยังทำผลงานได้ดีอันดับคงอยู่ใกล้เคียงเดิม ไทยน่าจะยังคงเป็นที่หนึ่งของอาเซี่ยน และยังคงเป็นแถวหน้าของเอเซีย แต่การแข่งขันจะเข้มข้นขึ้นมาก ส่วนอันดับในพาราลิมปิกน่าจะยังคงรักษาระดับเดิมไว้ได้ ไม่น่าจะต่ำกว่าอันดับที่ 30 การเตรียมทีมเพื่อเดินหน้าสู่พาราลิมปิกเกมส์ครั้งหน้าที่ปารีส การสนับสนุนที่ต่อเนื่องเป็นเรื่องสำคัญ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด จะยังคงให้การสนับสนุนทุกสมาคมกีฬาคนพิการ ตลอดจน คณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทยต่อไป เพื่อยืนยันถึงการเป็นพาร์ทเนอร์สำคัญของกีฬาคนพิการไทย”

ด้าน “กร” พงศกร แปยอ นักวีลแชร์เรซซิ่ง เจ้าของ 3 เหรียญทอง  พาราลิมปิกเกมส์ 2020 กล่าวว่า ในนามตัวแทนนักกีฬาพาราทีมชาติไทย ขอบคุณ สิงห์ และ คุณจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ที่ให้การสนับสนุนมานักกีฬาพาราไทย มาโดยตลอด พร้อมกับอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักกีฬาในครั้งนี้ ตลอดจนรวมไปถึงในการแข่งขันหลายทุกรายการที่ผ่านมา และพวกเราหวังว่า สิงห์ จะอยู่เบื้องหลังและคอยให้การสนับสนุนพวกเราแบบนี้ตลอดไป

การมอบเงินพิเศษให้กับคณะนักกีฬาพิการทีมชาติไทยครั้งนี้​ นักกีฬา ผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่ จำนวน 138 คน จะได้รับเงินคนละ 40,000 บาท รวม 5,520,000 บาท ขณะที่นักกีฬาที่ได้เหรียญ จะได้เพิ่มคือ เหรียญทอง 1 ล้านบาท เหรียญเงิน 5 แสนบาท และเหรียญทองแดง 3 แสนบาท โดยทัพนักกีฬาไทยคว้าเหรียญรางวัลมาได้ทั้งสิ้น 5 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน 8 เหรียญทองแดง รวม 9,900,000 บาท สรุปยอดเงินทั้งสิ้น 15,420,000 บาท

ทั้งนี้ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น เป็นผู้สนับสนุนหลักของ 5 สมาคมกีฬาคนพิการ มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงให้การสนับสนุนสมาคมกีฬาที่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันในมหกรรมกีฬา โอลิมปิก อาทิ สมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2548, สมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2545 และสมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทย นอกจากนั้นยังมีการสนับสนุนนักกีฬาเป็นรายบุคคล อาทิ รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตัน, ณภัสวรรณ หย่างไพบูลย์  นักยิงปืน และ ศิริพร แก้วดวงงาม กับ ณัฐพงษ์ โพธิ์นพรัตน์ นักกีฬาวินด์เซิร์ฟ

กางแผนปีหน้า พา ‘แม็คกรุ๊ป’ ขึ้นเป็นบริษัทชั้นนำ เตรียมทุ่ม 400 ล. สร้างศูนย์กระจายสินค้าในอีกสองปี

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC เปิดเผยถึงแผนธุรกิจงวดปีบัญชี 2565 ว่า “แม็คกรุ๊ป” ได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เพื่อผลักดันบริษัทให้เป็นบริษัทค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ชั้นนำของไทย และสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้น โดยมีกลยุทธ์หลักในการทำธุรกิจ ดังนี้  

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจทั้งในด้านการเงินควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพทางการผลิตสินค้าและบริการเพื่อการเติบโตต่อเนื่อง
  2. ขยายฐานการรับรู้แบรนด์และชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์  โดยเสริมสร้างความแข็งแรงในการสื่อสารแบรนด์ สร้างความจดจำในแบรนด์ สร้างความนิยมในผลิตภัณฑ์ และขยายกลุ่มลูกค้า
  3. พัฒนาแพลตฟอร์มค้าปลีกชั้นนำ ด้วยการนำประสบการณ์ที่ดีที่สุดมาให้ผู้บริโภค พัฒนาช่องทางออนไลน์ ออฟไลน์ และการเชื่อมต่อกันอย่างมีเสริมศักยภาพให้ส่วนงานโอเปอเรชั่น เพื่อยกระดับการให้บริการ รวมทั้งพัฒนากลยุทธ์การเข้าถึงท้องถิ่นด้วยความเข้าใจ
  4. การปรับเปลี่ยนการดำเนินงานในองค์กร เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะองค์กรให้กับพนักงาน
  5. เพิ่มศักยภาพของเทคโนโลยีและกระบวนการต่างๆ เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับสูง จากการเดินเกมกลยุทธ์การตลาดแบบเฉพาะเจาะตรงกลุ่มเป้าหมาย, สัดส่วนการขายสินค้า รวมไปถึงการบริหารช่องทางจัดจำหน่ายได้สอดคล้องเหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลาอย่างลงตัว ภายใต้การบริหารจัดการสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของภาครัฐที่มีนโยบายและความเข้มข้นแตกต่างกัน ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin : GP) ยังคงอยู่ระดับสูง 59.6% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 57.8% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin : NP) เพิ่มขึ้นจาก 12.7% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ระดับ 13.7% จากประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ดี โดยสามารถรักษาอัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ไว้ได้ในระดับใกล้เคียงช่วงเดียวกันปีก่อนที่ราว 43% 

 “เชื่อมั่นว่าบริษัทจะเติบโตได้ต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าในรอบปีบัญชี 2564 จะต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ระลอกแล้วระลอกเล่าและโควิด- 19 ระลอก 4 ที่รัฐบาลออกมาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง ส่งผลให้ยอดขาย 2 เดือนแรกของปีบัญชี 2565 ได้รับผลกระทบ แต่เมื่อสถานการณ์การระบาดลดลงและการฉีดวัคซีนมีอัตราเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนรัฐบาลเตรียมประกาศเปิดเมือง จึงทำให้มั่นใจว่าปีนี้บริษัทจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้”

นอกจากนี้ การที่ Mc มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง เป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้สิน โดยบริษัทมีเงินสดในมือกว่า 1,864 ล้านบาท ณ งวดสิ้นปีบัญชีที่ผ่านมา  จะสนับสนุนให้บริษัทแสวงหาโอกาสในการเติบโตได้เพิ่มขึ้น และสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนเงินปันผลของบริษัทที่ผู้ถือหุ้นได้รับอยู่ในระดับ 5-6% ต่อเนื่องทุกปี และจ่ายปันผลสูงกว่านโยบายที่ตั้งไว้ หรือเฉลี่ยจ่ายประมาณ 90% ของกำไรสุทธิ โดยปีล่าสุดจ่ายในอัตรา 98.1% ของกำไรสุทธิสูงกว่านโยบายที่จะจ่ายไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ  โดยงวดครึ่งปีหลังปีบัญชี 2564 จะจ่ายผู้ถือหุ้นอีกหุ้นละ 0.20 บาท

นายเจมส์  กล่าวว่า บริษัทจะใช้กลยุทธ์ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อสนับสนุนการเติบโตโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดจากสินค้าและบริการของ Mc ซึ่งในส่วนของออนไลน์ นอกจาก mcshop.com ยังมีช่องทางมาร์เก็ตเพลสและพันธมิตรออนไลน์ ทั้ง Shopee, Lazada, และ JD CENTRAL เป็นต้น นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับพันธมิตรและหุ้นส่วน   ทางยุทธศาสตร์หลายๆ บริษัท เพื่อสร้างความร่วมมือทางธุรกิจที่จะก่อให้เกิดรายได้หรือกำไรสูงสุดและเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า

ด้านการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าทางออนไลน์ (Online Engagement) MC มีฐานลูกค้าที่เป็นสมาชิก MC CLUB กว่า 1.6 ล้านคน ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ผ่าน LINE OA เป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเพื่อสร้างความภักดีต่อแบรนด์ การทำโปรโมชั่นและบริการพิเศษ รวมถึงการเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าในกิจกรรมต่างๆ จะสนับสนุนการขายผ่านออนไลน์ของบริษัทให้เติบโตต่อเนื่อง สำหรับช่องทางโซเชียลมีเดียของบริษัทก็แข็งแรงเช่นกัน เช่น Facebook Page Mc Jeans มีผู้ติดตามประมาณ 1 ล้านคน ในอนาคตคาดหวังว่ายอดขาย   จากช่องทางออนไลน์จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 15% ของยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัทจากปีก่อนอยู่ที่ 389 ล้านบาท คิดเป็น 12%   

“การบริหารจัดการธุรกิจในยามวิกฤต เรายังคงเดินหน้าสร้างความสามารถในการทำกำไร การดำเนินการลดต้นทุนอย่างจริงจังในทุกๆ ส่วนงาน และมุ่งเพิ่มยอดขายให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญผ่านช่องทางออนไลน์ ขณะที่ยังคงรักษารายได้  และความสามารถในการทำกำไรของช่องทางออฟไลน์ รวมถึงให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานที่ยังคงเป็นเรื่องสำคัญในอันดับแรกของ Mc โดยบริษัทฯได้มีการจัดให้พนักงานได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง”

ด้านนายปิยะ โอฬารริกสุภัค ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินและบัญชี MC กล่าวว่า ในปีบัญชี 2564/2565 คาดว่า[บริษัทจะใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 80 ล้านบาท โดยจะใช้ดำเนินการขยายทั้งธุรกิจออนไลน์และธุรกิจออฟไลน์ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนยอดขายของธุรกิจออนไลน์ใกล้เคียง15% ตามเป้าที่วางไว้ รวมทั้งมีแผนเปิดสาขาใหม่ รวม 22 สาขา ประกอบด้วย Mc Outlet 15 แห่ง  SHOP 4 แห่งและเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า 3 เคาน์เตอร์   ขณะที่ในอนาคตอีก 2 ปี ข้างหน้าบริษัทวางแผนจะใช้เงินประมาณ 400 ล้านบาท ในการสร้างศูนย์กระจายสินค้าทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ เพื่อรองรับการเติบโตของยอดขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์

ไทยพาณิชย์ จับมือซีพี ตั้งกองทุน Venture Capital รุกธุรกิจเทคโนโลยีการเงิน

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2564 ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ทำหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารมีมติให้ บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยและบริษัท ในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคาร ตกลงร่วมมือกับบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพีจี) จัดตั้งกองทุน Venture Capital ขนาด 600-800 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงินในด้านต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีบล็อกเชน Decentralized Finance ตลอดจนเทคโนโลยีที่เกิดใหม่อื่นๆ โดยนอกเหนือจากการบริหารกองทุนร่วมกันแล้ว กลุ่มธนาคารและกลุ่มซีพีจีจะร่วมลงทุนในกองทุนนี้ร่วมกับผู้ลงทุนที่ไม่ใช่ผู้ลงทุนรายย่อย (accredited investor)

ทั้งนี้ การจัดตั้งกองทุนดังกล่าวต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับทางการที่เกี่ยวข้อง sนาคารจะแจ้งให้ทราบต่อไปเมื่อมีความคืบหน้าที่สำคัญ

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ เพิ่งประกาศลงนามสัญญาร่วมทุนกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส เพื่อจัดตั้งบริษัท “เอไอเอสซีบี” เพื่อดำเนินธุรกิจดานการเงินดิจิทัล

ซีพีเอฟ ยกระดับฟาร์มสุกรสู่ ‘ไบโอซีเคียวริตี้’ เนื้อหมูอนามัยปลอดโรด

น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านวิชาการ สายธุรกิจสุกร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ปัจจุบันฟาร์มสุกรทั้งหมดของซีพีเอฟ ดำเนินมาตรฐานฟาร์มตามแนวทางของกรมปศุสัตว์ และยกระดับสู่ “ระบบไบโอซีเคียวริตี้” เข้มข้นเรื่องการป้องกันโรคระบาดสัตว์ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเลี้ยงสุกรปลอดโรค อันจะส่งผลให้ได้เนื้อหมูอนามัยที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค   

น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ

“ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับอาหารปลอดภัยตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยในขั้นตอนของการเลี้ยงสุกร เป็นอีกข้อต่อที่สำคัญของความปลอดภัยทางอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการป้องกันโรคระบาดสัตว์ โดยซีพีเอฟได้ยกระดับมาตรฐานฟาร์มสุกรเข้าสู่ระบบไบโอซีเคียวริตี้แล้วทั้งหมด แม้จะมีความยุ่งยากในการดำเนินการแต่สุดท้ายได้ประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อสุกรทุกตัวในฟาร์มมีสุขภาพดีและปลอดโรค”

มาตรฐานฟาร์มสุกรซีพีเอฟในระบบไบโอซีเคียวริตี้ เป็นระบบการป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ฟาร์มที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ประกอบด้วย การเลี้ยงสุกรในโรงเรือนระบบปิด ป้องกันสัตว์พาหะทั้งหนู นก แมลงต่างๆ โดยวัตถุดิบต่างๆ ที่นำมาใช้ภายในฟาร์มไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำ หรืออื่นๆจะมีการตรวจสอบย้อนกลับไปถึงแหล่งที่มา ซึ่งทุกฟาร์มจะรับจากแหล่งที่ปลอดภัยเท่านั้น ทั้งยังต้องควบคุมรถขนส่งเข้า-ออกฟาร์มอย่างเข้มงวด รถทุกคัน-พนักงานทุกคนต้องผ่านระบบฆ่าเชื้อ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคนหรือพาหนะนั้นๆ จะไม่เป็นพาหะนำเชื้อโรคเข้าสู่ฟาร์ม รวมถึงการกำหนดจุดส่งมอบสุกรที่แยกจากฟาร์ม ทั้งนี้ไม่เพียงฟาร์มของบริษัทแต่ยังถ่ายทอดมาตรการการป้องกันโรคนี้ให้กับเกษตรกรในคอนแทรคฟาร์มมิ่งของบริษัทฯทั่วประเทศครบทุกรายแล้วยืนยันได้ในความปลอดภัยของกระบวนการผลิตสุกรเพื่อส่งมอบอาหารที่ปลอดภัยสู่ผู้บริโภค 

ในสถานการณ์โควิด-19 ซีพีเอฟได้ยกระดับการป้องกันโรคขั้นสูงสุดให้แก่พนักงานในฟาร์มทุกคน ตั้งแต่การสำรวจและคัดกรองคนก่อนเข้าฟาร์ม การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย มาตรการรักษาสุขอนามัย โดยพนักงานทุกคนที่เข้าฟาร์มต้องผ่านการตรวจอุณหภูมิของร่างกาย จุ่มเท้าฆ่าเชื้อ สเปรย์มือด้วยแอลกอฮอล์ สวมหน้ากากอนามัย รณรงค์สร้างความตระหนักด้านสุขอนามัยส่วนบุคคลให้แก่พนักงาน หมั่นล้างมือด้วยน้ำ สบู่ แอลกอฮอล์ มาตรการรักษาความสะอาดโดยทำความสะอาดพื้นที่ที่มีการสัมผัสหรือใช้ร่วมกันด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือแอลกอฮอล์ รวมทั้งทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมต่างๆ ของพื้นที่และสิ่งของภายในฟาร์มทั้งก่อนและหลังการใช้งาน ตลอดจนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้พนักงานทุกคน  

ซีพี ออลล์ ผนึกพันธมิตร จัดสัมมนาออนไลน์ ชี้ทางรอด SME ฝ่าโควิด

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เปิดเผยว่า เซเว่น อีเลฟเว่น ได้ร่วมกับ 4 พันธมิตรสำคัญได้แก่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม SME D Bank และสมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย จัดกิจกรรมสัมมนาออนไลน์ผ่านช่องทาง Zoom ในหัวข้อ “Think for Growth : SME ยุควิกฤติโควิด-19…ทำอย่างไรให้รอด” เพื่อให้ความรู้ด้านการเงิน การบริหารจัดการต้นทุน การบริหารสต๊อกสินค้า การตลาด ตลอดจนกลยุทธ์อื่นๆ แก่ SME ให้สามารถปรับตัวสู้วิกฤติ 

ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

“ด้วยสถานการณ์ที่ยากลำบากในปัจจุบัน การหาทางรอด คือหัวใจของธุรกิจ และการมีองค์ความรู้เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยหาทางออกให้กับธุรกิจได้ ดังนั้น เซเว่น อีเลฟเว่นและพันธมิตรจึงมีการจัดสัมมนาออนไลน์โดยเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายด้านมาให้ความรู้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญและเป็นรากฐานของประเทศ” นายยุทธศักดิ์ กล่าว 

โดยการสัมมนา ประกอบด้วย 2 เซคชั่น โดยเซคชั่นแรกจะเป็นการบรรยายโดย นายธนพงศ์ วงศ์ชินศรี ผู้ร่วมก่อตั้ง เพนกวิน อีท ชาบู (Penguin Eat Shabu) ร้านชาบูบุฟเฟ่ต์ชื่อดัง ในหัวข้อ “How to รอดของ SME ยุคใหม่” ที่มาถ่ายทอดกลยุทธ์การบริหารกระแสเงินสดอย่างไรให้ธุรกิจอยู่รอดในวิกฤติเช่นนี้ และเซคชั่นที่ 2 การเสวนาในหัวข้อ “SME รู้แล้วรอด…ยอดขายปัง” โดยผู้เชี่ยวชาญจาก สสว.และ กสอ.ที่มาช่วยแนะนำวิธีการเข้าถึงความช่วยเหลือและการสนับสนุนด้านต่างๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรับฟังเทคนิคและแนวคิดดีๆ ในการทำธุรกิจจากประสบการณ์ตรงของ 2 SME คนรุ่นใหม่อย่าง นายกิตติพงษ์ สุขเคหา กรรมการผู้จัดการ บริษัท แรบบิท เบสท์ ฟู๊ด จำกัด เจ้าของธุรกิจ “บะหมี่ถ้วยร้อน” และนายธวัชชัย สหัสสพาศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซดา พริ้นติ้ง จำกัด เจ้าของธุรกิจสิ่งพิมพ์ของขวัญ  ที่สามารถสร้างยอดขายให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องแม้ในวิกฤติโควิด-19 

ด้าน นายวีระพงศ์  มาลัย ผู้อำนวยการ สสว. กล่าวว่า สสว. ได้มีการออกมาตรการช่วยเหลือ SME ให้สอดรับกับความต้องการแบบเร่งด่วน เช่น มาตรการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ หรือ การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการผ่านโครงต่างๆ ของ สสว. ทั้ง 3 ด้านในมิติต่างๆ  ได้แก่ 1. การเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน 2.การเพิ่มช่องทางการตลาด ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ และ 3.การหาแหล่งเงินทุนให้ผู้ประกอบการ และ ล่าสุด ร่วมกับเซเว่น อีเลฟเว่น จัดงานสัมมนาครั้งนี้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางช่วยเหลือ SME ในเรื่องของการเปิดมุมมองและกลยุทธ์การดำเนินงานใหม่ๆ จากผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมบรรยายในงาน เพื่อให้นำไปปรับใช้ในการพัฒนาและต่อยอดธุรกิจในอนาคต 

นางสาวอริยาพร อำนรรฆสรเดช ผู้อำนวยการ กสอ.  กล่าวว่า นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อ SME  กสอ. ตระหนักดีว่า ต้องมีแนวทางในดำเนินการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพราะ SME ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการเดินหน้าประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่าง ๆ ในการผลักดันโครงการและกิจกรรมต่างๆ ที่ทางกรมฯ จัดขึ้น เช่นเดียวกับความร่วมมือมือจัดสัมมนาครั้งนี้ 

ด้านนางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวว่า ธนาคารได้ดำเนินการช่วยผู้ประกอบการ SME อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กันระหว่างการช่วยเหลือด้านการเงิน เพื่อเสริมสภาพคล่อง ผ่านโครงการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษต่างๆ ควบคู่กับช่วยเหลือด้านความรู้ที่จะทำให้ SME นำไปต่อยอดธุรกิจ หรือพัฒนาสินค้า รวมถึง เสริมด้านการจับมือกับพันธมิตรต่างๆ อย่างซีพี ออลล์ เพื่อขยายช่องทางตลาด ผลักดันให้ SME ไม่เพียงแต่ก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ แต่จะเป็นการวางรากฐานให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต 

ฝนตก ฟ้าผ่า ไฟฟ้าลัดวงจร เคลมประกันอัคคีภัยได้ไหม?

ช่วงนี้หน้าฝนหลายคนก็มีความกังวลกับสิ่งที่จะมาพร้อมกับฝน ไม่ว่าจะปริมาณน้ำในแม่น้ำที่สูงขึ้น น้ำท่วม ยุงชุกชุม หรือรวมไปถึงความหวาดหวั่นที่ฟ้าฝนจะมีผลกับอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน หลายปัญหาล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น ครั้งนี้เราจะมาพูดถึงประเด็นไฟฟ้าลัดวงจรกันสักหน่อย        

ความอันตรายจากไฟฟ้า เชื่อว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นที่หลายคนมองข้ามไป แต่จริงๆ แล้วอุบัติเหตุจากไฟฟ้าพบบ่อยจากอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีไฟรั่ว ยิ่งหน้าฝนแบบนี้นอกจากน้ำท่วมที่จะทำให้ไฟฟ้าช็อตแล้ว ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ส่งผลกระทบกับอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านได้ เพราะทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าเกิน ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าพังเสียหาย อาจอันตรายถึงแก่ชีวิต

อีกทั้งไฟฟ้าลัดวงจรยังเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเหตุเพลิงไหม้จนบ้านเรือนเสียหายอีกด้วย โดยสถิติการเกิดเหตุไฟไหม้จากไฟฟ้าลัดวงจรปี 2563 เกิดขึ้นถึง 629 ครั้ง เรียกได้ว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่หลายคนอาจจะระมัดระวังเป็นพิเศษในช่วงหน้าร้อนเนื่องจากอากาศร้อนอาจทำให้อุณหภูมิของเครื่องใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น แต่หน้าฝนแบบนี้ก็ไม่อาจละเลยได้เช่นกัน ปัจจัยจากฟ้าผ่าอาจทำให้ไฟกระชากจนช็อตและเกิดการสูญเสียได้มากกว่าที่คิด

และหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นบอกเลยว่าค่าใช้จ่ายที่ตามมาก็เป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลยทีเดียว หนึ่งในสิ่งที่จะช่วยแบ่งเบาภาระได้และเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมาเมื่อเกิดความเสียหายกับบ้านที่พักอาศัยนั่นก็คือประกันอัคคีภัย อย่างแผนบ้านทิพยยิ้มได้ ซึ่งประกันตัวนี้ไม่ได้คุ้มครองเพียงแค่เรื่องของไฟไหม้ น้ำท่วม ภัยธรรมชาติต่างๆ เท่านั้น แต่ยังคุ้มครองไปถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ลัดวงจรจากฟ้าผ่าอีกด้วย โดยจะชดใช้ให้ตามความเสียหายจริงที่ไม่เกินทุนประกันภัย หรือหากเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสาเหตุจนทำให้เกิดเพลิงไหม้ ซึ่งส่งผลต่อตัวบ้านจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ก็จะได้รับความคุ้มครองค่าเช่าที่อยู่อาศัยชั่วคราว สูงสุดถึงวันละ 1,000 บาท ไม่เกิน 100,000 บาท ตลอดระยะเวลาเอาประกันภัย

หากใครสนใจสามารถเช็คเบี้ยประกันและเลือกแผนความคุ้มครองรวมถึงทุนประกันภัยได้ตามความต้องการ คลิกที่นี่ ส่วนวิธีการซื้อก็ง่ายมากๆ เพียงกรอกข้อมูลเกี่ยวกับบ้าน ระบบจะแสดงแผนประกันที่เหมาะสมให้ โดยขั้นตอนนี้สามารถปรับทุนประกันตามความต้องการได้อีกด้วย เมื่อเลือกแผนได้แล้วก็ไปที่ขั้นตอนการกรอกข้อมูลส่วนตัวและชำระเงิน เพียงเท่านี้ก็รอรับกรมธรรม์ผ่านทางอีเมลทันที และนอกจากการมีประกันแล้วอย่าลืมป้องกันตนเองและบ้านจากไฟฟ้าลัดวงจร อย่างการต่อสายดินเพื่อให้ไฟลงดิน ตัดตั้งเครื่องตัดไฟฟ้าลัดวงจรภายในบ้าน เพราะอันตรายอยู่รอบตัวและมักจะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันการป้องกันไว้ดีกว่าแก้นั้นดีที่สุด

ทีี่มา เว็บไซต์ทิพยประกันภัย

รู้ทันปากท้อง กับตลาดหลักทรัพย์ : SMS เข้ามาเยอะแยะ เชื่อถือได้แค่ไหน?

“อาซี” พุฒิพงศ์ สกนธวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จำกัด #กูรูไฮเทค

แนะให้ตั้งสติ คัดกรอง sms ที่ส่งเข้ามา ให้เหมือนกับการเปิดประตูรับใครเข้าบ้านเรา ก็ต้องดูให้ดีก่อน

ตั้งสติ คัดกรอง ดูแหล่งที่มา มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ เนื้อหาของข้อความ มีความถูกต้อง เป็นทางการหรือไม่

แล้วเลือกที่จะรับ เหมือนกับเปิดประตูรับแขกเข้าบ้าน

AIS จับมือแบงก์ไทยพาณิชย์ ตั้งบริษัทร่วมทุน ‘เอไอเอสซีบี’ ให้บริการด้านการเงินดิจิทัล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส และ ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศบรรลุข้อตกลงและลงนามในสัญญาร่วมทุน ในการจัดตั้งบริษัทในชื่อ “เอไอเอสซีบี” (AISCB) เพื่อให้บริการด้านการเงินดิจิทัล เช่น บริการด้านสินเชื่อ ก่อนขยายสู่บริการทางการเงินอื่น ๆ ต่อไป นับเป็นก้าวสำคัญในการผนึกกำลังสร้างฐานธุรกิจแห่งการเติบโตในรูปแบบใหม่ให้กับทั้งสององค์กรชั้นนำระดับประเทศ

โดยบริษัทร่วมทุนนี้ นำเอาจุดเด่นของพันธมิตรทั้งสอง คือ ความแข็งแกร่งทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ นวัตกรรมอันล้ำสมัย ตลอดจนศักยภาพในการให้บริการลูกค้าของเอไอเอส มาผสานเข้ากับความน่าเชื่อถือของแบรนด์ รวมถึงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านบริการทางการเงินของธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมและบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ผ่านช่องทางดิจิทัลที่จะสามารถสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินให้กับคนไทยได้มากยิ่งขึ้นท่ามกลางบริบทของโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่าง “เอไอเอส” และ “ธนาคารไทยพาณิชย์” ในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่บริษัทชั้นนำในสองอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ได้แก่ Telco และสถาบันการเงิน ร่วมทุนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถตอบโจทย์คนในวงกว้างโดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ โดยทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่จะผลักดันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศท่ามกลางความท้าทายในปัจจุบันอย่างแน่นอน

ร้านข้าวแกง ขอบคุณซีพี-ซีพีเอฟ รับเข้าโครงการครัวปันอิ่ม สั่งข้าวกล่อง ช่วยหนุนรายได้

การแพร่ระบาดระลอกที่ 3 ของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่อีกครั้ง เจ้าของกิจการจำเป็นต้องปรับตัวและประคองธุรกิจให้เดินหน้าต่อไป ขณะที่ เครือเจริญโภคภัณฑ์ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ มูลนิธิและพันธมิตรมากกว่า 100 องค์กร ผนึกกำลังดำเนินโครงการ “ครัวปันอิ่ม ซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” เพื่อเปิดโอกาสให้ร้านอาหารรายย่อยสมัครเข้าร่วมโครงการฯ โดยเจ้าหน้าที่จะคัดเลือกร้านอาหารที่มีคุณภาพเหมาะสมตามเกณฑ์มาร่วมขับเคลื่อนช่วยเหลือสังคม 

ครั้งนี้ ซีพีเอฟจิตอาสาจะพาไปบุกครัว 2 ร้านชื่อดัง จาก 2 ทำเล นั่นคือ “ข้าวแกงแม่พร และ ครัวบ้านลุง” พร้อมเผยเมนูยอดนิยมที่ ต้องสั่ง!! ใครที่ไม่อยากพลาดของอร่อย มีคุณภาพ รสชาติดี วันนี้เรามีมาให้ดูกัน… 

ข้าวแกงแม่พร ตั้งอยู่ภายในปั๊มน้ำมัน PT ถ.พรานนก-พุทธมณฑล สาย 4 โดย นางสาวพนิดา ทองงาม หรือ “พี่อ้อม” อายุ 45 ปี เจ้าของและแม่ครัวประจำร้าน เปิดเผยว่า เดิมทีเปิดร้านอาหารตามสั่งภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แต่เจอพิษโควิดจึงต้องปิดกิจการ โชคดีในวิกฤตมีโอกาสมาเจอพื้นที่ว่างภายในปั๊มจึงตัดสินใจนำเงินเก็บที่เหลืออยู่เปิดร้านอาหารอีกครั้งแม้จะอยู่ในช่วงที่โควิดระบาดหนัก เพราะชีวิตต้องเดินหน้าต่อ และอยากช่วยผู้ที่หาเช้ากินค่ำได้ซื้อหาอาหารที่อิ่มอร่อยในราคาไม่แพง รวมถึงเพิ่มบริการส่งฟรีในละแวกร้าน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าอย่างเต็มที่ หลังทราบข่าวว่ามีโครงการ ‘ครัวปันอิ่ม’ จึงสมัครเข้าร่วมอย่างไม่ลังเล เพราะอาจเป็นช่องทางการเพิ่มรายได้ให้ร้านอีกทาง และยังได้ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนในสถานการณ์นี้ 

“สำหรับเมนูที่ ‘ข้าวแกงแม่พร’ ตั้งใจนำเสนอคือ “ข้าวหมูหวาน+ไข่ดาว” เพราะทานง่าย ถูกใจลูกค้าทุกเพศทุกวัย ด้วยเนื้อหมูสามชั้นหมักกับเครื่องปรุงสูตรพิเศษของร้าน ซึ่งใช้วัตถุดิบหลักอย่างหมูและไข่ไก่จากซีพีทั้งหมด ด้วยความสด สะอาด และมีคุณภาพ ทำให้น้ำซอสซึมเข้าเนื้อหมูช่วยเสริมรสชาติให้เข้มข้นขึ้น รับรองได้ว่าคนที่รับประทานจะต้องถูกใจในรสชาติความอร่อย” นางสาวพนิดา กล่าว 

นางสาวพนิดา ทองงาม กล่าวเสริมว่า ทุกเมนูที่เลือกทำให้ครัวปันอิ่ม หวังว่า ผู้ที่ได้รับประทานจะมีความสุข อิ่มและอร่อยไปกับทุกๆ คำที่ตัก เพื่อเสริมสร้างกำลังกายและกำลังใจต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคไปให้ได้ ขอบคุณซีพีและซีพีเอฟ ที่มีโครงการดีๆ เช่นนี้ มาช่วยต่อลมหายใจของทุกคน 

ถัดมาที่ “ลุงกร” หรือ นายธนกร จิระภิชนนท์ อายุ 60 ปี เจ้าของร้าน “ครัวบ้านลุง” เล่าว่า ร้านครัวบ้านลุงตั้งอยู่ที่ ซ.ประชาชื่นนนทบุรี 8 ทางเข้าตรงข้ามกับ ม.ธุรกิจบัณฑิต ปกติขายทั้งอาหารตามสั่งและก๋วยเตี๋ยว แต่พอโควิด-19 แพร่ระบาด มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาแถวนี้ปรับการเรียนการสอนใหม่ นักศึกษาที่เคยคึกคัก เงียบเหงาลงมาก จากที่คนต้องยืนทำอาหารทั้งวัน กลายเป็นนั่งรอลูกค้าเฉยๆ พอได้รู้ข่าวเรื่องโครงการ “ครัวปันอิ่ม” ลองสมัครเข้าร่วม ก็ไม่คิดว่าจะได้รับคัดเลือกเพราะมีร้านอาหารมากมาย คิดว่าเขาจะพิจารณาร้านใหญ่ๆ ก่อน ตอนเจ้าหน้าที่แจ้งผลกลับ ดีใจมาก ตื่นเต้นกันทั้งร้าน จึงมาวางแผนช่วยกันคิดจะทำเมนูอะไร เตรียมตัวยังไง แบ่งหน้าที่กันชัดเจน เพื่อให้อาหารจากร้านครัวบ้านลุงสมบูรณ์แบบที่สุด 

นางวรฤทัย จิระภิชนนท์ อายุ 50 ปี หรือ “ป้านา” เจ้าของร้านอีกท่าน เปิดเผยว่า เมนูที่ทำในครั้งนี้ คือ “ข้าวไก่กระเทียม+ไข่ดาว” ซึ่งนักศึกษาชอบสั่งรับประทาน และคิดว่าเหมาะกับทุกวัย ซึ่งทางร้านเลือกใช้วัตถุดิบที่ได้มาตรฐาน สด สะอาด และปลอดภัยทุกขั้นตอนการผลิต อย่างซีพีมาปรุงอาหาร ทั้งนี้ความสะดวกก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เราไว้วางใจแบรนด์นี้ เพราะของทุกอย่างจะมาส่งที่ร้านทุกวัน ป้ากับลุงไม่ต้องไปจ่ายตลาดเอง ก็ได้ทั้งของดี มีคุณภาพดี และลดความเสี่ยงด้วย 

“ขอบคุณซีพีและซีพีเอฟที่ทำให้ลุงรู้จักโครงการฯ ดีๆ แบบนี้ ร้านครัวบ้านลุงตั้งใจทำอาหารทุกกล่อง เพราะอยากให้คนรับประทานมีความสุข ได้รับสารอาหารดีๆ พร้อมกับความใส่ใจที่เรามีให้ เราขอเป็นส่วนหนึ่งในการฝ่าวิกฤตโควิด-19 นี้ไปด้วยกัน” ลุงกร กล่าวเสริม 

สำหรับท่านใดที่ต้องการลิ้มลองความอร่อยของทั้ง 2 ร้าน สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ร้านข้าวแกงแม่พร โทร. 064-091-0785 Facebook : https://www.facebook.com/KhaoKaengMaePorn/ และร้านครัวบ้านลุง โทร. 061-268-0217 

โครงการ “ครัวปันอิ่ม ซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” ส่งมอบอาหารอุ่นร้อนพร้อมรับประทาน จำนวน 2 ล้านกล่อง ประกอบด้วย 1 ล้านกล่อง ซื้อจากร้านอาหารรายย่อย และอีก 1 ล้านกล่อง เป็นการสมทบอาหารจากซีพีเอฟ ซึ่งปรุงสุกใหม่ทุกวัน สด สะอาด ถูกหลักโภชนาการ โดยเครือข่ายจิตอาสา ภาคประชาสังคม สื่อมวลชน รวมทั้งชาวชุมชน ระดมน้ำใจเป็นสะพานบุญแจกจ่ายข้าวกล่อง จาก 40 จุด เพื่อแบ่งปันความอร่อยให้ถึงมือประชาชนทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล

รู้ทันปากท้องกับตลาดหลักทรัพย์ : คนพูดไม่ดีใส่ มันปรี๊ดขึ้นสมอง ทำไงดี

กูรูกู้ใจ พระเมธีวชิรโสภณ เจ้าอาวาสวัดจากแดง ให้ข้อคิดว่า

คำพูดไม่ดีที่แว่วเข้าหูเรา ให้คิดเสียว่า เสียงที่ได้ยิน สิ่งที่ไม่ดี นั้นเป็น อกุศลวิบาก นั่นคือ เราเคยพูดไม่ดีสิ่งนี้ แล้วสิ่งนี้ก็ย้อนกลับมาเป็นผลไม่ดีกับเราในภายหลัง เป็นผลกรรมที่ไม่ดี ที่เราเคยก่อไว้ในอดีต แล้วย้อนกลับมาส่งผลถึงเราในปัจจุบัน

ให้คิดเสียว่า อดีตเหตุ ปัจจุบันผล ความรู้โกรธ ไม่พอใจ ก็จะเบาบางลง

หรือหากเป็นนักปฏิบัติธรรม ก็จะคิดได้ว่า เสียงที่ได้ยิน = รูป ผู้ได้ยิน = นาม

ไม่มีรูปไม่มีนาม เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป

คิดได้แบบนี้ จะไม่โกรธ ไม่เกลียด และไม่ปรี๊ด

สาธุ