Home Blog Page 20

AIS ผนึก กลุ่มเซ็นทรัล และ JAL เปิดตัวแคมเปญ “ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!” ชวนคนไทยโชว์ไอเดียทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้ถูกวิธี ลุ้นบินลัดฟ้า ร่วมทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ญี่ปุ่น

0

AIS ผนึกกำลัง กลุ่มเซ็นทรัล และ Japan Airlines (JAL) เดินหน้าสานต่อภารกิจด้านความยั่งยืน พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ร่วมลงมือทำจัดการปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ส่งแคมเปญ “ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!” ชวนลูกค้าเอไอเอส และสายช้อป สายกรีน แห่งกลุ่มเซ็นทรัล มาปล่อยพลังไอเดีย สร้างสรรค์คลิปวิดีโอ ท้าเพื่อนๆ มาทิ้ง E-Waste ให้ถูกที่ ถูกวิธี ลุ้นบินลัดฟ้ากับ Japan Airlines สายการบินแห่งชาติญี่ปุ่น พาไปสัมผัสประสบการณ์ กิน-เที่ยว-ช้อป แบบ All-Inclusive ที่ประเทศญี่ปุ่นฟรี พร้อมด้วยกิจกรรมไฮไลต์ กับครั้งแรกที่ AIS และกลุ่มเซ็นทรัล จะพาไปเปิดเส้นทางการจัดการ E-Waste และรีไซเคิลแบบครบวงจร ณ DOWA Smelting & Refining และ Eco-Recycle บริษัทชั้นนำด้านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก เปิดโลกนวัตกรรมแห่งอนาคต AI, Green Tech & Smart City สุดล้ำ และดื่มด่ำประสบการณ์กิน เที่ยว ช้อป ครบทุกไฮไลต์  ร่วมกิจกรรม ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2568 พร้อมเดินทางในต้นปี 2569

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจสื่อสารองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “การดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจสำคัญของ AIS โดยเฉพาะในด้านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเรามุ่งมั่นเป็นศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ของไทย (HUB of E-Waste) และร่วมแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน ภายใต้ภารกิจ “คนไทยไร้ E-Waste” ที่เราได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 250 องค์กร เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้คนไทยเห็นถึงผลกระทบของขยะอิเล็กทรอนิกส์ และมีช่องทางการทิ้งที่นำไปสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี รวมถึงความร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัล ตั้งแต่ปี 2563 มาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการขยายจุดรับทิ้ง E-Waste กว่า 42 สาขาทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน โดย E-Waste ทุกชิ้นที่ทิ้งกับ AIS สามารถมั่นใจได้ว่าได้รับการจัดการโดยไม่หลงเหลือเศษซากและปราศจากการฝังกลบตามมาตรฐาน Zero E-Waste to Landfill ผ่านความร่วมมือกับ WMS บริษัทในเครือ DOWA Group ประเทศญี่ปุ่น ผู้นำด้านการรีไซเคิลระดับโลกที่มุ่งขับเคลื่อนแนวคิด ‘สู่โลกแห่งการรีไซเคิล’” หรือ A Recycling-Oriented World

ในครั้งนี้ AIS และกลุ่มเซ็นทรัล ได้ร่วมมือกับ JAL ในการสนับสนุนการเดินทางอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด Green Journey เพื่อคิกออฟแคมเปญรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี เพื่อให้เอไอเอสนำไปจัดการอย่างถูกต้อง โดยเอไอเอสหวังว่าในอนาคตประเทศไทยจะมีการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในพฤติกรรมของประชาชนและผลักดันสังคมให้เข้าสู่แนวทางการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

นางสาวอัจฉรา วิสุทธิวงศ์รัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด สื่อสารองค์กร และความยั่งยืน กลุ่มเซ็นทรัล  กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 78 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทรัลดำเนินธุรกิจเคียงคู่สังคมไทย ภายใต้โครงการ ‘เซ็นทรัล ทำ’ ด้วยแนวคิดการสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Value – CSV) มุ่งสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างชุมชนที่เข้มแข็ง พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่สังคม โดยเฉพาะในมิติสิ่งแวดล้อม ที่กลุ่มเซ็นทรัลให้ความสำคัญกับการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

หนึ่งในความท้าทายที่เราทุ่มเทคือ การเป็น ต้นแบบการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ โดยตั้งเป้าการลดขยะสู่หลุมฝังกลบให้ได้อย่างน้อย 30% ในปี 2030 และ ให้เหลือศูนย์ในปี 2050 ผ่านโครงการ Love The Earth – ZERO WASTE NOW  ที่เชื่อมโยงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการ ‘ลด’ การใช้วัสดุที่ไม่จำเป็น, ‘แยก’ ขยะตั้งแต่ต้นทาง, และ ‘จัดการ’ อย่างถูกวิธี เพื่อสร้างระบบนิเวศการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ทั้งนี้เรายังได้ร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญอย่าง AIS, Japan Airlines และ WMS ในการรณรงค์การทิ้ง E-Waste อย่างถูกวิธี ผ่านแคมเปญ “ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!” โดยปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลมีจุดรับทิ้ง E-Waste ครอบคลุมศูนย์การค้าเซ็นทรัลกว่า 42 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าโดยเฉพาะที่ศูนย์การค้าใจกลางเมืองอย่างเซ็นทรัลเวิลด์

กลุ่มเซ็นทรัลเชื่อว่าความยั่งยืนไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมกันของทุกคน โดยเริ่มต้นจากเรื่องใกล้ตัว เช่น ทิ้งขยะให้ถูกประเภท เพราะการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในวันนี้ คือจุดเริ่มต้นของอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับพวกเราทุกคน”

นายทาคาฟุมิ ซะวะดะ Regional Manager Thailand, Indochina and South Asian Subcontinent Japan Airlines Co.,Ltd. กล่าวว่า “สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมมุ่งมั่นก้าวสู่การเป็นสายการบินที่ได้รับความไว้วางใจในระดับโลก โดยตั้งเป้าหมายสู่การเป็น Carbon Neutral ภายในปี 2050 ผ่านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ควบคู่กับการใช้ Sustainable Aviation Fuel (SAF) ที่ผลิตจากน้ำมันใช้แล้วระหว่างการบิน อีกทั้งยังตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการใช้ SAF ให้ได้ 10% ภายในปี 2030 พร้อมพัฒนาฝูงบินด้วยเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Airbus A350 และ Boeing 787 ในขณะเดียวกัน เจแปนแอร์ไลน์ยังยึดแนวทาง 3R+1R (Reduce, Reuse, Recycle + Redesign) โดยเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และพัฒนาภาชนะอาหารที่ย่อยสลายได้ เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม

และเพื่อขยายพันธกิจความยั่งยืนไปไกลกว่าการบิน เจแปนแอร์ไลน์ในฐานะสายการบินแห่งชาติญี่ปุ่น ได้ร่วมมือกับ กลุ่มเซ็นทรัล และ AIS สนับสนุนบัตรโดยสารสำหรับผู้เข้าร่วมแคมเปญ ‘ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!’ เพื่อเปิดโอกาสให้ได้เดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์กำจัด E-Waste ที่กรุงโตเกียว และเรียนรู้วิธีจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ”

คุณโยขิฮิโร โอกาดา President of WMS (Waste Management Siam – WMS) กล่าวว่า “DOWA Group ของเรา เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเหมืองและถลุงโลหะมากว่า 140 ปี ปัจจุบันเราได้ปรับเปลี่ยนทิศทางธุรกิจเพื่อตอบโจทย์การลดลงของทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยการนำ อีเวสต์ (E-waste) มาใช้เป็นแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณค่าในการสกัดโลหะมีค่า ในประเทศไทย DOWA เชื่อว่า “E-waste ไม่ใช่ของเสีย แต่คือทรัพยากรที่มีมูลค่า” โดยมีเป้าหมายในการนำเทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูงเข้ามาช่วยยกระดับการจัดการ ขณะเดียวกัน ความสำเร็จในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกต้องนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมไปถึงกฎระเบียบ กฎหมายต่างๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ภายใต้ความร่วมมือกับ AIS ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เก็บรวบรวมได้จะถูกส่งไปยัง ESBEC บริษัทในเครือ WMS เพื่อถอดแยก โดยวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ส่วนใหญ่จะถูกรีไซเคิลภายในประเทศ สำหรับส่วนประกอบที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ เช่น แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ จะถูกกำจัดอย่างปลอดภัยด้วยการเผาไหม้เพื่อผลิตพลังงาน ขณะที่ส่วนประกอบที่ซับซ้อนแต่มีมูลค่าสูง เช่น แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCBs) ซึ่งมีโลหะมีค่าหลายชนิด จะถูกส่งต่อไปยังโรงงานของ DOWA ที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพ ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการสกัดและหมุนเวียนทรัพยากร DOWA มุ่งมั่นที่จะนำโลหะเหล่านี้กลับมาใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรมอีกครั้ง พร้อมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม”

ขอเชิญชวนลูกค้า AIS และ กลุ่มเซ็นทรัล ร่วมสนุกกับกิจกรรม “ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!” ได้ง่ายๆ ดังนี้

  1. นำ E-Waste (เช่น เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต แล็ปท็อป อุปกรณ์ชาร์จ หูฟัง ฯลฯ) มาทิ้งที่ AIS Shop ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล และ จุดรับ E-Waste ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่ร่วมรายการ รวม 42 สาขาที่ร่วมรายการ (ต้องมีสัญลักษณ์แคมเปญที่กล่องรับ E-Waste)
  2. ถ่ายคลิป VDO ให้สร้างสรรค์ โดยต้องถ่ายติดกล่องรับ E-Waste อย่างน้อย 1 ซีน ในรูปแบบ VDO แนวตั้ง ความยาวไม่เกิน 90 วินาที
  3. โพสต์ลงโซเชียลมีเดียช่องทางใดก็ได้ (FB, IG, TikTok) พร้อมติด hashtag #AIS #CENTRALGROUP #JAPANAIRLINES #ถ่ายคลิปทิ้งEWASTEให้ไวบินไปญี่ปุ่นฟรี
  4. ลงทะเบียนและส่งผลงานทางเว็บไซต์ https://m.ais.co.th/l2/rFMppXACWU โดยกรอกเบอร์ AIS และสมาชิก The 1 พร้อมอัปโหลดใบเสร็จการช้อปที่มีหมายเลข The 1 จากร้านค้าในเครือกลุ่มเซ็นทรัลที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2568

สามารถติดตามรายละเอียดการร่วมกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ https://sustainability.ais.co.th/th/ewaste-contest

เมืองไทยประกันชีวิต เปิดตัว “ละครกรมธรรม์” ปรับมุมมองประกันให้เป็นเรื่องง่าย เข้าถึงได้ทุกกลุ่ม

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำแบรนด์แห่งการสร้างความสุขและรอยยิ้ม พร้อมมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คนในสังคม เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคน ได้มีความอุ่นใจ มีหลักประกันที่มั่นคง มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน พร้อมส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปได้มีความรู้ ความเข้าใจ และได้รับความคุ้มครองที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง

ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต ได้เปิดตัว  “ละครกรมธรรม์”  ซึ่งเป็นละครสั้น จำนวน 4 ตอน  ที่จะมาช่วยปรับภาพลักษณ์ประกันจากมุมมองเดิมที่เห็นว่าเป็นเรื่องซับซ้อน มีเงื่อนไขต่าง ๆ เข้าใจยาก สู่มุมมองใหม่ที่ทำให้เห็นว่า ประกันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ในรูปแบบละครสั้นเข้าใจง่าย  ความยาวไม่เกิน 3 นาที สอดแทรกเรื่องราวสอนใจเกี่ยวกับการซื้อประกัน สะท้อนประเด็นใกล้ตัวที่ผู้บริโภคมักสงสัย สนุก  น่าติดตาม ดูจบรับรองว่าได้ความรู้เรื่องประกันเพิ่มเติมอย่างแน่นอน

โดย “ละครกรมธรรม์” จากเมืองไทยประกันชีวิต นำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากการนำคำถามจริง    จากผู้บริโภคมาถ่ายทอดในรูปแบบละครสั้นแบบละครคุณธรรม ที่ครบทั้งสาระ ความสนุกที่เรียกรอยยิ้มได้จากทุกคน พร้อมตอบข้อสงสัยได้ครอบคลุมตั้งแต่คำถามยอดฮิตอย่าง “มีโรคประจำตัว ทำประกันได้ไหม?” “ต้องมีกรมธรรม์หลายเล่มไหมถึงจะคุ้มครองครอบคลุม?” “เบี้ยประกันต้องจ่ายอย่างไรให้ถึงบริษัทฯ ไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง?” หรือ “ประกันสุขภาพต้องซื้อตอนป่วยหรือที่ยังไม่ป่วย” พร้อมดึงอินฟลูเอนเซอร์แถวหน้า อย่าง  “อินทนนท์”  มารับบทผู้เชี่ยวชาญด้านประกันชีวิต ที่จะเข้ามาช่วยคลายข้อสงสัย ประกบกับอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “เลิ่กลั่ก”  “นินิว” “สไปรท์ บะบะบิ” และ “พีท พามานา” มาร่วมแสดง 

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การนำเสนอละครกรมธรรม์ ถือเป็นสิ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการทำให้ประกันชีวิตเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และเข้าถึงได้สำหรับคนไทยทุกคน ไม่ว่าคุณจะมีไลฟ์สไตล์แบบไหน อยู่พื้นที่ใด นอกจากนี้ในละครสอดแทรกถึงการให้ความรู้และความสำคัญของการทำประกัน พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์และความคุ้มครอง ผ่านตัวแทนมืออาชีพที่เชื่อถือได้ คอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกคนมีความคุ้มครองที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตและความต้องการของตนเองอีกด้วย”

ทั้งนี้ สามารถติดตามรับชม “ละครกรมธรรม์” ทั้ง 4 ตอน ได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th, YouTube และ Facebook เมืองไทยประกันชีวิต  เริ่มเผยแพร่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำหรับผู้ที่สนใจวางแผนประกันชีวิตและความคุ้มครองสุขภาพ จากเมืองไทยประกันชีวิต สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th  หรือโทร.1766 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อตัวแทนจากเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ และสาขาธนาคารกสิกรไทย และธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ทุกสาขา 

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าโครงการ JUMP+ อัพมูลค่าบจ. ต่อเนื่อง สมัครร่วมโครงการแล้ว 50 บ.

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อัปเดตโครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าของบริษัทจดทะเบียน “โครงการ JUMP+” ที่เดินหน้าต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทสมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 50 บริษัท และเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้ง SET และ mai ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ที่พร้อมยกระดับธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน

โครงการ JUMP+ เป็นหนึ่งใน flagship projects ตามแผนกลยุทธ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มุ่งส่งเสริมการเพิ่มมูลค่า และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทจดทะเบียนและตลาดทุนไทย โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตรสนับสนุนบริษัทในการดำเนินงานตามแผนธุรกิจ การขยาย visibility ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ JUMP+ ได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 ธ.ค. 2568 และผู้ลงทุนสามารถติดตามรายชื่อบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการได้ที่ www.set.or.th  

ฟุตบอลทุกระดับสำคัญ! AIS เตรียมยิงสดฟุตบอลลีกหญิง-ลีกชายรุ่นยู-21 มุ่งปลุกกระแสการพัฒนาจากรากฐาน

0

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ให้ความสำคัญกับฟุตบอลทุกระดับ เตรียมถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลหญิง Thai Women’s League 2 ฤดูกาล 2026 รอบคัดเลือก รวมถึง ฟุตบอลลีกรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี “PEA U21 Youngster League 2025” เริ่มตั้งแต่ 22 กันยายนนี้เป็นต้นไป โดยแฟนฟุตบอลสามารถรับชมผ่านทาง AIS PLAY ครบทุกคู่ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย

สำหรับฟุตบอลหญิง Thai Women’s League 2 ฤดูกาล 2026 รอบคัดเลือก จะเป็นการคัดเลือก 2 ทีมเพื่อเข้าสู่การแข่งขัน Thai Women’s League 2 หรือลีกรองของฟุตบอลหญิงไทย นับเป็นการเปิดโอกาสให้กับทีมที่ต้องการก้าวเข้าสู่ระดับอาชีพอย่างแท้จริง และเป็นรากฐานของการพัฒนาวงการฟุตบอลหญิงไทย

 ขณะที่ ฟุตบอลลีกรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี “PEA U21 Youngster League 2025” เป็นการปรับระดับอายุจากปีที่แล้ว ที่แข่งขันในรุ่นยู-23 ลงมาเป็นรุ่นยู-21 เพื่อเปิดโอกาสให้แต่ละสโมสรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเยาวชน และมีเวทีลงเล่นอย่างต่อเนื่อง ให้นักเตะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติไทยในอนาคตต่อไป

รุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ AIS

 นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ AIS กล่าวว่า AIS ยังคงตอกย้ำการให้ความสำคัญกับการแข่งขันฟุตบอลไทยในทุกระดับ แม้กระทั่งฟุตบอลลีกหญิง ที่ประเทศไทยกำลังจะพัฒนาให้ก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพอย่างยั่งยืน เราก็เริ่มถ่ายทอดสดตั้งแต่รอบคัดเลือก ที่จะนำ 2 ทีมที่ดีที่สุดเข้าสู่ระบบอาชีพ เป็นการจุดประกายให้คนสนใจฟุตบอลหญิงมากยิ่งขึ้น และช่วยพัฒนาวงการฟุตบอลหญิงไทยอย่างยั่งยืน

 “ขณะเดียวกันในส่วนของฟุตบอลลีกรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ก็นับเป็นรายการสำคัญสำหรับการพัฒนาฟุตบอลเยาวชนของไทย เป็นการเปิดพื้นที่ให้กับนักฟุตบอลยู-21 ได้มีเวทีแข่งขันมากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาฝีเท้าและต่อยอดไปสู่ระดับอาชีพ หรือการเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติไทย โดยเฉพาะในรุ่นอายุนี้ที่มีรายการสำคัญอย่างเช่นซีเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์ หรือแม้แต่การลุ้นตั๋วโอลิมปิกเกมส์ ดังนั้นเมื่อมีการถ่ายทอดสดก็จะทำให้เด็กเหล่านี้ได้รับความสนใจมากขึ้น ถ้าคนไหนทำผลงานได้ดี อาจจะทำให้ถูกสโมสรดึงตัวขึ้นไปเล่นในลีกอาชีพ ยิ่งเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนได้ด้วย” นางสาวรุ่งทิพย์ กล่าว

สำหรับฟุตบอลหญิง Thai Women’s League 2 ฤดูกาล 2026 รอบคัดเลือก จะแข่งขันกันระหว่างวันที่ 22-30 กันยายน ที่สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ บางมด เพื่อคัด 2 สโมสรที่ดีที่สุด เข้าไปแข่งขันใน Thai Women’s League 2 ฤดูกาล 2026 จากนั้นฟุตบอล Thai Women’s League 1 และ Thai  Women’s League 2 จะเปิดฤดูกาลตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2569 จนถึง 30 มิถุนายน 2569

 ขณะที่ฟุตบอลลีกรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี “PEA U21 Youngster League 2025” มีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 12 ทีม จะแข่งขันในรอบลีก ตั้งแต่ 23 กันยายน-20 พฤศจิกายน สัปดาห์ละ 6 คู่ 11 สัปดาห์ รวม 66 นัด

 จากนั้นจะนำอันดับ 1-4 เข้ารอบรองชนะเลิศ แข่งแบบเหย้า-เยือน ระหว่างวันที่ 2-10 ธันวาคม และผู้ชนะในรอบรองชนะเลิศ จะมาเจอกันแบบเหย้า-เยือน ในรอบชิงชนะเลิศ วันที่ 17 กับ 24 ธันวาคม รวมจากรอบลีกถึงชิงชนะเลิศ มีทั้งหมด 72 นัดด้วยกัน

มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน ร่วมกับ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ผนึกภาคีเครือข่าย ชวนคนรุ่นใหม่ผลิตสื่อออนไลน์ สร้างภูมิคุ้มกันข่าวลวง เสริมความเชื่อมั่นในวัคซีน

0

มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน ร่วมกับ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ผนึกภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน  ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด และ MorDee (หมอดี) แพลตฟอร์มบริการสุขภาพอัจฉริยะ โดย ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เปิดตัวโครงการ “Shot of Truth สื่อสร้างสรรค์ รู้ทันข่าวลวงด้านวัคซีน” ขอเชิญชวนนักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่ร่วมประกวดคลิปวิดีโอสั้น เพื่อสร้างความตระหนักถึงการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัคซีนและโรคระบบทางเดินหายใจที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันข่าวลวง ตลอดจนรับมือกับข้อมูลบิดเบือนที่เผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกรับวัคซีนได้อย่างเหมาะสม เสริมสร้างระบบสาธารณสุขของประเทศให้เข้มแข็ง  

นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ ประธานกรรมการมูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน กล่าวว่า “ปัจจุบันข้อมูลบิดเบือนและข่าวปลอมที่แพร่หลายในสังคมออนไลน์ ทำให้ประชาชนเกิดความลังเลในการรับวัคซีน ตอกย้ำถึงความจำเป็นที่เราจะต้องช่วยกันสร้างความรู้เท่าทันสื่อและข่าวลวงด้านวัคซีน มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน จึงได้ร่วมกับ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ขับเคลื่อนโครงการ “Shot of Truth สื่อสร้างสรรค์ รู้ทันข่าวลวงด้านวัคซีน” เพื่อมุ่งสร้างความตระหนักของการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องด้านวัคซีน ความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ตลอดจนรับมือกับข้อมูลบิดเบือนที่เผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อเสริมสร้างความรู้เท่าทันข่าวลวงด้านวัคซีน ผ่านพลังคนรุ่นใหม่ในกิจกรรมการประกวดคลิปวิดีโอสั้น ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารเพื่อเข้าถึงประชาชนวงกว้าง เปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา ที่สนใจด้านการผลิตสื่อได้แสดงศักยภาพทางความคิดสร้างสรรค์ ถ่ายทอดมุมมองใหม่ๆ รวมถึงใช้สื่อออนไลน์อย่างมีคุณค่า เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันข่าวลวงให้กับสังคมไทย ร่วมกันปกป้องสังคมจากภัยไซเบอร์ ช่วยให้ประชาชนตัดสินใจด้านสุขภาพได้อย่างถูกต้อง”

นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า “ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา เราได้เห็นการแพร่ระบาดของข่าวลวงและข้อมูลบิดเบือนเรื่องวัคซีนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลต่ออัตราการรับวัคซีนลดลง โรคที่สามารถป้องกันได้กลับมาระบาดอีกครั้ง สถาบันวัคซีนแห่งชาติในฐานะหน่วยงานกลางด้านวัคซีนในการบริหารจัดการให้ประเทศมีความมั่นคงด้านวัคซีนอย่างยั่งยืน รวมทั้งการสื่อสารข้อมูลทางวิชาการด้านวัคซีนแก่ประชาชน จึงร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการครั้งนี้ผ่านพลังคนรุ่นใหม่ โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับความรู้เกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานที่ถูกต้อง ครอบคลุม เกี่ยวกับวัคซีนและโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ จากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนและการสื่อสาร เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ตรง พร้อมเทคนิค และกลยุทธ์ในการผลิตสื่อที่ถูกต้องและน่าสนใจสู่สาธารณะ เชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันทางความรู้ ช่วยให้คนไทยรอดพ้นวิกฤติข้อมูลบิดเบือน สร้างสังคมสุขภาพดีอย่างยั่งยืน ดังที่ทราบกันดีว่าวัคซีนป้องกันโรคได้ เราทุกคนก็คือวัคซีนที่จะหยุดข่าวลวงได้เช่นกัน”

นางสาวสุชนา สินธวถาวร ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาชีวิตและความมั่นคง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่า “depa ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในการส่งเสริมให้คนไทยเข้าถึงและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างปลอดภัย สร้างสรรค์ และชาญฉลาด เพื่อมุ่งสู่การเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการนี้ ในการช่วยรับมือกับปัญหาข่าวปลอมด้านสุขภาพที่กำลังส่งผลกระทบต่อความเข้าใจของประชาชนในยุคดิจิทัลอย่างมาก เราพร้อมนำองค์ความรู้และให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการนำ AI มาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยให้คนรุ่นใหม่สามารถพัฒนาทักษะการผลิตสื่อและยกระดับการนำเสนอข้อมูลให้มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น สอดคล้องกับแนวทาง ‘Digital Skill Roadmap’ ของ depa และให้ประชาชนตระหนักถึงการรู้เท่าทันการรับข้อมูลข่าวสารอย่างถูกต้อง ปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นด้านสุขภาพและพร้อมรับมือกับสถานการณ์สุขภาพในอนาคต”

คุณนิมิต สุขประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักพัฒนาธุรกิจ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “อสมท ในฐานะสื่อมวลชนที่ยึดมั่นนำเสนอเนื้อหาที่น่าเชื่อถือ เที่ยงตรง ตามหลักจริยธรรม เราตระหนักดีว่าข้อมูลบิดเบือนและข่าวปลอม โดยเฉพาะด้านสุขภาพและวัคซีน ได้ถูกสร้างและเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทั้งจากความเข้าใจผิดและเจตนาหลอกลวง ซึ่งถือเป็นภัยสังคมที่สร้างความสับสนและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ด้วยความเชี่ยวชาญของ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ หนึ่งในส่วนงานสำคัญของ อสมท ซึ่งทำงานด้านการตรวจสอบข่าวปลอมและผลิตสื่อเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องมาตลอด 11 ปี จึงพร้อมนำประสบการณ์และองค์ความรู้มาสนับสนุนโครงการนี้อย่างเต็มที่ โดยมุ่งหวังว่าโครงการนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการลดการแพร่กระจายของข่าวลวง ยกระดับการรู้เท่าทันข่าวลวง ภัยไซเบอร์ และ AI ในสังคมไทย ช่วยให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันด้านการรับรู้ข่าวสาร ปลอดภัยจากข่าวลวงและภัยด้านสุขภาพ สร้างสังคมออนไลน์ที่มีคุณภาพ เพื่อส่งเสริมการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน”

คุณปราโมทย์ ศักดิ์กำจร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เมืองไทยประกันชีวิต ในฐานะผู้นำด้านประกันชีวิตและสุขภาพ เรามุ่งมั่นสร้างความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนให้กับคนไทย โดยยึดหลักความน่าเชื่อถือและความโปร่งใส ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้องค์กรได้รับความไว้วางใจมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ด้วยความเชี่ยวชาญในหลายมิติ ทั้งการนำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ พัฒนาพนักงานด้วยทักษะการใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ ทักษะด้านการสื่อสารและการบริหาร และยังให้ความสำคัญกับนโยบายด้าน ESG  สะท้อนความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างผลกระทบเชิงบวกในมิติด้านสิ่งแวดล้อม มิติด้านสังคม  มิติด้านบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ โดยได้บูรณาการแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนผนวกเข้ากับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ทุกหน่วยงานในบริษัทฯ ได้นำไปเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม เราจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data Driven) รับผิดชอบต่อความถูกต้องและความปลอดภัยของข้อมูล   อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ต่อยอดให้เกิดประโยชน์และคุณค่าต่อสังคม เราพร้อมนำองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญมาร่วมสนับสนุนการดำเนินโครงการ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาพที่ถูกต้อง ไม่ตกเป็นเหยื่อของข่าวลวง สามารถตัดสินใจรับวัคซีนป้องกันโรคได้เหมาะสม เพื่อดูแลสุขภาพของตนเองและคนที่เรารักได้อย่างปลอดภัย ซึ่งโครงการนี้จึงเปรียบเสมือน “วัคซีนซ้อนวัคซีน” ที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งให้กับสังคมไทยได้เป็นอย่างดี”

โครงการ “Shot of Truth สื่อสร้างสรรค์ รู้ทันข่าวลวงด้านวัคซีน” ขอเชิญชวนนักเรียน นักศึกษา ร่วมประกวดผลิตคลิปวิดีโอสั้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวัคซีน สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ – 15 ตุลาคม 2568 ผู้ที่สนใจสามารถสแกน QR Code เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ Facebook: สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และ Facebook: มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน

รู้เก็บรู้ออม : ชวน บจ. ใช้ QR Code Sealer

0

สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น ต้องรู้จัก TSD หรือบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่อยู่บนซองเอกสารที่ไปรษณีย์ส่งมาที่บ้าน ยิ่งนักลงทุนรายที่มีหุ้นในพอร์ตหลายตัว ก็จะได้รับเอกสารที่ส่งจาก TSD เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้น, หนังสือแจ้งนำเงินปันผลฝากเข้าธนาคาร หรือหนังสือแจ้งการหัก ณ ที่จ่าย

TSD มีบทบาทเกี่ยวข้องโดยตรงกับนักลงทุน โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางให้บริการต่อเนื่องจากการซื้อขายหุ้นแบบครบวงจร นับตั้งแต่วินาทีที่นักลงทุนตัดสินใจซื้อขายหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการรับฝาก ถอน และโอนหลักทรัพย์ รวมทั้งทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนหลักทรัพย์ให้กับหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนทั้งในตลาด SET และ mai และหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนอื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ นอกจากนี้ยังให้บริการออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ถือหุ้นสามารถตรวจสอบและทำรายการต่างๆได้ด้วยตนเองตลอด 24 ชม.

ที่ผ่านมา นักลงทุนเห็นการพัฒนางานบริการของ TSD มาโดยตลอด เช่น การเพิ่มบริการอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์การลงทุนยุคสมัยใหม่ และล่าสุด TSD ได้เปิดโครงการ TSD e-Services for Net Zero โดยเชิญชวนให้บริษัทจดทะเบียนส่งหนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้นในรูปแบบ QR Code Sealer เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนและดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

QR Code Sealer คือ บริการที่ TSD ได้พัฒนาระบบเพื่ออำนวยความสะดวกให้ บจ. ส่งหนังสือเชิญและเอกสารประกอบการประชุมผู้ถือหุ้นในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่าน QR Code แทนการส่งเอกสารเป็นรูปเล่ม ให้ผู้ถือหุ้นสามารถเรียกดูข้อมูลได้อย่างสะดวก รวดเร็ว เพียงสแกน QR Code ช่วยลดการใช้กระดาษ ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และยังช่วยลดโลกร้อน

หากทุกบริษัทเปลี่ยนมาใช้ QR Code Sealer จะลดการใช้กระดาษได้รวมกว่า 3,817 ล้านแผ่นต่อปี และลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 53 ตันคาร์บอน เทียบเท่าการดูดซับ CO2 ของต้นไม้กว่า 5.6 ล้านต้นต่อปี

นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของ บจ. ได้เฉลี่ยปีละกว่า 25% เป็นการลดต้นทุนการดำเนินงานที่เห็นได้เป็นรูปธรรม โดย TSD ได้ออกมาตรการสนับสนุนสำหรับบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ ด้วยการให้ส่วนลดค่าบริการนายทะเบียนหลักทรัพย์รายปี 10% ติดต่อกันตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการ 3 ปี (ปี 2569-2571)

บจ.ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้-30 พฤศจิกายน 2568 โดยเข้าไปดูรายละเอียดโครงการได้ที่ https://media.set.or.th/set/Images/2025/Aug/Info-graphic-QR-final.jpg สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  [email protected] หรือ SET Contact Center 0-2009-9999

ปิดท้าย “คุณนายพารวย” รบกวนฝากให้ผู้อ่านสละเวลา เข้าไปทำแบบสอบถามเพื่อนำความคิดเห็นไปปรับปรุงคอลัมน์ให้ดียิ่งขึ้น สแกน QR code ข้างล่างนี้ได้เลย ขอบคุณมากค่ะ.

AIS เผยผลดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลคนไทย ชี้เด็ก-ผู้สูงอายุคือกลุ่มเสี่ยง แนะเร่งพัฒนาทักษะ Digital Rights และ AI Literacy

0

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลชั้นนำของไทย ที่มุ่งส่งเสริมการใช้งานที่ถูกต้องปลอดภัยและเหมาะสมให้กับลูกค้าและคนไทย เปิดเผย “ผลดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย Thailand Cyber Wellness Index 2025” ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นปีที่ 3 ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างจำนวน 66,302 คน ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อสะท้อนระดับความรู้ ทักษะ และพฤติกรรมของคนไทยในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างปลอดภัย มีจริยธรรม และเคารพสิทธิของผู้อื่น โดยมุ่งหวังให้ดัชนีนี้เป็นเสมือน “เข็มทิศ” สำหรับกำหนดทิศทางด้านนโยบาย การศึกษา การสื่อสาร และความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน

จากผลการสำรวจในปีนี้ พบว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังมีระดับสุขภาวะดิจิทัลอยู่ในระดับพื้นฐาน (Basic) หรือเท่ากับ 0.70 โดยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน ขณะที่กลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก วัยรุ่น และผู้สูงอายุ ยังคงเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงและจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมทักษะดิจิทัลอย่างเร่งด่วน สำหรับด้านการสื่อสารและการมีส่วนร่วมทางดิจิทัล (Digital Communications & Collaborations) รวมถึงสิทธิทางดิจิทัล (Digital Rights) พบว่าส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจในเชิงลึกเกี่ยวกับสิทธิในความเป็นส่วนตัว เสรีภาพในการแสดงออก การตัดสินใจอย่างถูกต้องเหมาะสม และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างเท่าเทียม สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการเร่งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิทธิของตนเองและการเคารพสิทธิของผู้อื่น เพื่อร่วมกันสร้างวัฒนธรรมดิจิทัลที่มีความรับผิดชอบและยั่งยืนในสังคมไทยต่อไป

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจสื่อสารองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ AIS

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจสื่อสารองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “AIS ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้งานดิจิทัลอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และเคารพสิทธิของทุกคนมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการ “AIS อุ่นใจ CYBER” โดยการจัดทำ TCWI ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามสุขภาวะดิจิทัลของคนไทยในหลายมิติ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วของเทคโนโลยี ปีนี้ได้เพิ่มการประเมินด้านความรู้เท่าทันปัญญาประดิษฐ์ (AI Literacy) ซึ่งเป็นทักษะจำเป็นในยุคปัจจุบัน ผลสำรวจพบว่าคะแนนเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 3.18 จาก 5.00 ถือว่าอยู่ในระดับกลาง โดยกลุ่มที่มีคะแนนต่ำที่สุดคือเด็กอายุ 10–12 ปี และผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี แสดงให้เห็นว่าคนไทยยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI อย่างเพียงพอและเสี่ยงต่อการใช้งานที่ไม่เหมาะสม ดังนั้น การส่งเสริมการเรียนรู้เท่าทัน AI จึงเป็นหัวใจสำคัญในการเตรียมพลเมืองดิจิทัลไทยให้พร้อมรับมือกับอนาคตอย่างมั่นคงและปลอดภัย

นอกจากนี้ เรายังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ในการจัดทำการวิจัยเชิงทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐานที่ว่าการเรียนรู้หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์สามารถช่วยยกระดับสุขภาวะดิจิทัล โดยผลยืนยันว่า การเรียนรู้ผ่านหลักสูตร ‘อุ่นใจไซเบอร์’ มีส่วนช่วยยกระดับสุขภาวะดิจิทัลของผู้เรียนได้จริง AIS เชื่อมั่นว่าการสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย เคารพสิทธิ และเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม ต้องเริ่มจากการให้ความรู้และส่งเสริมทักษะดิจิทัลที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางอย่างเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งต้องได้รับการดูแลอย่างเฉพาะเจาะจงและต่อเนื่อง”

Thailand Cyber Wellness Index ถือเป็นเครื่องมือแรกของประเทศที่ประเมินอย่างเป็นระบบและครบรอบด้านในทุกมิติ และไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลขชี้วัด แต่คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ประเทศสามารถวางแผนเชิงนโยบายและออกแบบมาตรการที่ตอบโจทย์ทั้งในระดับประเทศและระดับชุมชน ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา การสื่อสารสาธารณะ การออกแบบหลักสูตรที่เหมาะสม หรือแม้แต่การพัฒนาบริการดิจิทัลที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง อีกทั้งยังช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล และเสริมสร้างความมั่นคงทางไซเบอร์ให้แก่ประเทศในระยะยาว

ผู้ที่สนใจตรวจเช็กสุขภาวะทางดิจิทัลของตัวเอง ได้ที่ https://aunjaicheck.ais.th และสามารถอ่านรายละเอียดผลการศึกษาดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัล Thailand Cyber Wellness Index 2025 ของคนไทย เพิ่มเติมที่ https://sustainability.ais.co.th/th/sustainability-projects/thailands-cyber-wellness-index

เรียน-เล่น-ปลูกอนาคต “ซีพีเอฟ ปันรู้ ปลูกรักษ์” ชวนเยาวชนรักโลกอย่างยั่งยืน

0

เช้าวันนี้ โรงเรียนวัดตาลเดี่ยว อำเภอแก่งคอย จ.สระบุรี เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ กว่า 200 คน ที่พร้อมใจกันเข้าร่วม โครงการ “ซีพีเอฟ ปันรู้ ปลูกรักษ์” ร่วมกับคุณครู ผู้ปกครอง และคนในชุมชน

โครงการที่เกิดขึ้นจากความเชื่อของพี่ๆซีพีเอฟ ที่ว่า “การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมต้องเริ่มจากการลงมือทำของคนรุ่นใหม่” กิจกรรมจึงถูกออกแบบเป็น “ฐานการเรียนรู้” 4 ฐาน ที่ทั้งสนุกและได้สาระ

  • ฐานโลกรวน–ชวนปลูก เด็ก ๆ เรียนรู้เรื่องโลกร้อน พร้อมปลูกต้นไม้เล็ก ๆ เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง
  • ฐานฮีโร่ความปลอดภัย ได้ความรู้เรื่องน้ำดื่มสะอาด การดับเพลิงเบื้องต้น และสัญลักษณ์เตือนภัยรอบตัว
  • ฐานเศรษฐกิจพอเพียง เรียนรู้แนวคิด “3 ห่วง 2 เงื่อนไข” ของในหลวง ร.9 นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
  • ฐานศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น แม่ ๆ ป้า ๆ มาสอนทำขนมเทียนโบราณ ทั้งอร่อย ทั้งต่อยอดอาชีพได้ในอนาคต

“หนูชอบทุกกิจกรรมที่พี่ ๆ ซีพีเอฟมาจัดให้เพราะสามารถเอาไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะฐานโลกรวนชวนปลูก เพราะโลกร้อนขึ้นทุกวัน เมื่อเราได้ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นก็มีส่วนช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ วันนี้ทำให้พวกเราได้ทั้งความรู้และความสนุก ถือเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่สนุกมาก” เสียงสะท้อนจากน้องนักเรียน บอกตรงกันว่ากิจกรรมสนุกและได้ประโยชน์จริง

อีกหนึ่งเสียงบอกว่า “ชอบฐานศิลปวัฒนธรรม ได้เรียนวิธีทำขนมไทยโบราณ ทำให้หนูรู้ว่าอาหารแต่ละจานทำยากและซับซ้อนแค่ไหน ขนมเทียนใส่ไส้วันนี้จึงเป็นทั้งเมนูแสนอร่อยและเป็นวัฒนธรรมทางอาหารของคนบ้านเรา ส่วนฐานฮีโร่ความปลอดภัย ก็สอนให้รู้จักป้ายเตือน สัญญาณเตือนต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราและอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคนมากขึ้น”

นางสุธาลักณ์ เจริญลอย ผู้อำนวยการโรงเรียน กล่าวชื่นชมว่า ซีพีเอฟเป็นเหมือนสมาชิกของชุมชนที่ให้การสนับสนุนโรงเรียนมาอย่างต่อเนื่อง การสร้างฐานการเรียนรู้ทั้ง 4 ฐาน เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเด็กๆที่ได้ฝึกทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ ทักษะวิชาการ ที่สามารถนำความรู้เหล่านี้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ขอขอบคุณซีพีเอฟที่ได้จัดโครงการนี้ขึ้นและหวังว่าจะมีกิจกรรมดี ๆ แบบนี้ต่อไป

จากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2566 จนถึงวันนี้ โครงการ “ซีพีเอฟ ปันรู้ ปลูกรักษ์” เข้าถึงเด็กและเยาวชนไทยแล้วกว่า 13,840 คน ใน 87 โรงเรียน ครอบคลุม 22 จังหวัดทั่วประเทศ และขยายเครือข่ายเยาวชนรักษ์โลกให้ได้ 30,000 คน ภายในปี 2570 ผ่านการบูรณาการความรู้ STEM Education (Science, Technology, Engineering and Mathematics) 4 สาขาวิชาหลักที่ถูกนำมาบูรณาการในการเรียนการสอน ที่เรียกว่า “สะเต็มศึกษา” มาเป็นเครื่องมือสอดแทรกการทำกิจกรรมต่อๆไป

นี่จึงไม่ใช่แค่การเรียนรู้นอกห้องเรียน แต่เป็นวันที่อบอุ่น สนุกสนาน และเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ที่จะผลักดันให้เด็ก ๆ เติบโตขึ้นเป็นคนรุ่นใหม่ที่พร้อมดูแลโลกอย่างยั่งยืน

เมืองแปดริ้ว ร่วมกับ ซีพีเอฟ ปล่อยปลานักล่า 10,000 ตัวสร้างสมดุลระบบนิเวศตามโมเดล “กิน คุม ฟื้น”

0

จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยสำนักงานประมงจังหวัด ร่วมกับอำเภอบางปะกง องค์การบริหารส่วนตำบลสองคลอง ชุมชนในพื้นที่ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการจัดการ “ปลาหมอคางดำ” อย่างจริงจัง ภายใต้โมเดล “กิน คุม ฟื้น” ผ่านกิจกรรมปล่อยลูกปลากะพงขาวขนาด 4–5 นิ้ว จำนวนกว่า 10,000 ตัว ลงในแม่น้ำบริเวณท่าน้ำวัดไตรสรณาคม ใช้ “ปลานักล่า” เป็นกลไกทางธรรมชาติในการควบคุมประชากรปลาต่างถิ่นที่แพร่พันธุ์รวดเร็ว

นายคนึง คมขำ ประมงจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า โมเดล “กิน คุม ฟื้น” เป็นแนวทางที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถแก้ปัญหาได้จริงและสร้างคุณค่าได้ โดยไม่เพียงช่วยลดประชากรปลาหมอคางดำในพื้นที่ 4 อำเภอ แต่ยังส่งผลเชิงบวกต่อการฟื้นฟูสมดุลระบบนิเวศ ขณะเดียวกันยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและสร้างรายได้ให้กับประชาชนผ่านการจับปลาขึ้นมาบริโภคและจำหน่าย

การปล่อยปลานักล่า เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเชิงรุกที่ดำเนินควบคู่กับกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” ด้วยการระดมพลังชุมชนร่วมจับปลาหมอคางดำในคลองสายต่างๆ อย่างเป็นระบบ ผลลัพธ์ที่ได้เริ่มเห็นชัดเจน ลูกปลาหมอคางดำตัวเล็กลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันปลาพื้นถิ่น เช่น ปลาตะเพียนขาว ปลานิล และปลาเกล็ดขาว เริ่มกลับคืนมาในแม่น้ำ ซึ่งถือเป็น “ดัชนีธรรมชาติ” ที่สะท้อนถึงการฟื้นตัวของระบบนิเวศ นอกจากนี้ ชาวบ้านยังสามารถจับปลากะพงที่เคยปล่อยไปก่อนหน้านี้ขึ้นมาบริโภคและจำหน่าย เพิ่มรายได้และเสริมความมั่นคงทางอาหารในระดับครัวเรือน

“สิ่งสำคัญคือการสร้างความตระหนักให้ชาวฉะเชิงเทราเห็นว่า การแก้ปัญหาปลาหมอคางดำไม่ใช่เพียงการกำจัด แต่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง การนำปลามาบริโภคหรือจำหน่ายเป็นกลไกช่วยควบคุมปริมาณให้ลดลงอย่างยั่งยืน พร้อมกับฟื้นจำนวนปลาพื้นถิ่นไปด้วยกัน” นายคนึงกล่าว

นอกจากนี้ การดำเนินกิจกรรมลดจำนวนประชากรปลาหมอคางดำของประมงจังหวัดฉะเชิงเทราได้รับแรงสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ชุมชนท้องถิ่น และองค์กรเอกชน โดยเฉพาะบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ที่ได้สนับสนุนพันธุ์ปลากะพงขาว พร้อมทั้งมอบอุปกรณ์จับปลาและวัสดุที่จำเป็นสำหรับการจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

มาตรการ “กิน คุม ฟื้น” ของฉะเชิงเทรานับเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้วิถีธรรมชาติและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ ชุมชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำเกิดผลอย่างยั่งยืนในระยะยาว ด้วยการเปลี่ยน “ปัญหา” ให้เป็น “โอกาส” ช่วยสร้างสมดุลทางระบบนิเวศ ควบคู่กับการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับคนในชุมชน.

เมืองไทยประกันชีวิต ส่งแคมเปญ เข้า “เส้นชัย” ทุกเป้าหมายภาษี ชวนมือใหม่-มือโปร วางแผนภาษีโค้งสุดท้ายของปีด้วยแบบประกันที่ตอบโจทย์

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  เมืองไทยประกันชีวิตยังคงเดินหน้าในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และแคมเปญที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มและทุกไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ที่ผู้คนเริ่มหันมาวางแผนและมองหาตัวช่วยเรื่องการลดหย่อนภาษี ซึ่งประกันถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่สามารถช่วยให้ ทุกคนได้เข้า “เส้นชัย” ลดหย่อนภาษี ตามเป้าหมายที่วางไว้

ล่าสุดเมืองไทยประกันชีวิต เปิดตัวแคมเปญ เข้า “เส้นชัย” ทุกเป้าหมายภาษี ด้วยแบบประกัน ที่ตอบโจทย์ด้านการวางแผนลดหย่อนภาษี ที่เข้าถึงได้ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า แม้เป้าหมายต่างกัน ก็สามารถเข้าเส้นชัยลดหย่อนภาษีได้เหมือนกัน ทั้งผู้ที่เป็นมือใหม่หัดลดหย่อน เป้าหมายอยากเริ่มต้นวางแผนภาษี แต่ยังไม่มีความรู้และไม่รู้จะเริ่มตรงไหน กลัวซับซ้อน และอยากได้คำแนะนำที่เข้าใจง่าย หรือมือโปร นักวางแผนภาษีตัวจริง  ที่มีการวางแผนลดหย่อนภาษีเป็นประจำอยู่แล้วในทุกปี มองหาตัวช่วย เพื่อเปรียบเทียบให้การวางแผนให้คุ้มค่ามากขึ้น และได้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับเป้าหมาย

พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลายที่ไม่เพียงตอบโจทย์การคุ้มครอง แต่ยังมอบสิทธิในการลดหย่อนภาษี ให้เป้าหมายของแต่ละคน

  • ประกันสุขภาพเหมาจ่าย : ดูแลค่ารักษาพยาบาล แอดมิตเหมาจ่าย พร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี สูงสุด 25,000 บาท และหากซื้อให้บิดามารดา ยังใช้สิทธิลดหย่อนได้อีกสูงสุด 15,000 บาท
  • ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ : ออมง่าย ได้รับการันตีเงินคืน เงินต้นไม่สูญหาย ได้เงินคืนทุกปี และยังลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท โดยผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ ได้แก่ เมืองไทย สมาร์ท ลิงค์ โปร 10/1 (Global)
  • ประกันชีวิตแบบบำนาญ : ตัวช่วยวางแผนเกษียณ สร้างรายได้หลังเกษียณอย่างมั่นคง  พร้อมสิทธิ ลดหย่อนภาษีสูงสุดถึง 300,000 บาท โดยผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ ได้แก่ เฟล็กซี่ รีไทร์ 90/5

“ทุกคนมีเป้าหมายการวางแผนภาษีที่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร เมืองไทยประกันชีวิต พร้อมเคียงข้างพาคุณเข้าเส้นชัยลดหย่อนภาษีได้อย่างมั่นใจ ด้วยทางเลือกที่หลากหลาย ครอบคลุม คุ้มค่า และยังอุ่นใจจากความคุ้มครอง นอกจากนี้เรายังมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาประกันชีวิต ที่สามารถช่วยแนะนำ วางแผน และออกแบบ ตามเป้าหมายทางการเงินที่ลูกค้าแต่ละรายต้องการ ได้ด้วยความเป็นมืออาชีพอีกด้วย ” นายสาระ กล่าว 

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.muangthai.co.th หรือโทร. 1766 ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ และสาขาธนาคารกสิกรไทย และธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ทุกสาขา