Home Blog Page 20

“Legacy & Future: 50 Years of Thai Capital Market” งานสัมมนา 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ มองอดีต ถอดบทเรียน สร้างอนาคตตลาดทุนไทยที่ยั่งยืน

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดงานสัมมนา “Legacy & Future: 50 Years of Thai Capital Market” เนื่องในวาระครบรอบ 50 ปี เปิดมุมมองและวิสัยทัศน์ยกระดับบรรษัทภิบาลตลาดทุนไทยสู่ความยั่งยืน ได้รับเกียรติจากคุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวทางพัฒนาตลาดทุนไทยในอนาคต เน้นย้ำบทบาทสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการเป็นเสาหลักเศรษฐกิจไทย

รวมทั้ง เสวนา The Legacy: “มองอดีต สร้างอนาคต บรรษัทภิบาลไทย” โดยอดีตประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ดร. ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล และประธานกรรมการคนปัจจุบัน ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ และThe Future: “SET NEXT 50” อนาคตตลาดทุนไทยในครึ่งศตวรรษหน้า โดย ดร. สันติธาร เสถียรไทย นักยุทธศาสตร์แห่งอนาคต และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ดร. ชาริกา ชาญนันทพิพัฒน์ นักวิชาการ ด้านการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และคุณนครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร THE STANDARD

เมืองไทยสไมล์คลับ จัดกิจกรรม พอยท์น้อยก็ได้ลุ้นกับ “เมืองไทยสไมล์มอบโชค 2568 ครั้งที่ 1”

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  โดยเมืองไทยสไมล์คลับ  เชิญชวนสมาชิกร่วมสนุกกับกิจกรรม “เมืองไทยสไมล์มอบโชค 2568 ครั้งที่ 1” เพียงใช้คะแนนสะสม Smile Point 2 คะแนน    แลกรับคูปองชิงโชค 1 ใบ เพื่อลุ้นรับ รถจักรยานยนต์ Honda Giorno+ มูลค่า 73,900 บาท จำนวน  3 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 220,000 บาท และสมาชิกฯ ที่อัปเดตข้อมูลส่วนตัวผ่าน MTL Click Application หรือผ่านระบบการแสดงตน (KYC) บนเว็บไซต์ของบริษัท จะได้รับคูปองชิงโชคเพิ่มอีก 2 ใบ ฟรีทันที!

โดยสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับสามารถแลกคะแนนสะสม Smile Point ได้ผ่านช่องทาง MTL Click Application  หรือ โทร 1766 กด 4  หรือศูนย์บริการลูกค้า เมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ ทุกสาขา ระยะเวลาร่วมแลกคะแนนลุ้นโชคได้ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2568 – 15 กรกฎาคม 2568  จับรางวัลวันที่ 20 สิงหาคม 2568        

ทั้งนี้ สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ สามารถติดตามกิจกรรมและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม พร้อมสิทธิประโยชน์สุดพิเศษตลอดทั้งปี ได้ที่เว็บไซต์เมืองไทยประกันชีวิต www.muangthai.co.th  หรือดาวน์โหลด MTL Click  Application ได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1766 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ

AIS – สบส. เซ็น MOU ร่วมมือยกระดับสุขภาวะดิจิทัล อสม. ทั่วประเทศ

0

AIS ร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ส่งเสริมความรู้ด้านภัยไซเบอร์และสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ ด้วยการเชื่อมต่อแอปพลิเคชัน “สมาร์ท อสม.” กับเครื่องมือ “เช็คภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์แบบรายบุคคล” หรือ Digital Health Check พร้อมทั้งส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านหลักสูตร “อุ่นใจไซเบอร์” บนแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อรณรงค์ให้ อสม. ตระหนักรู้ในเรื่องภัยไซเบอร์ และเป็นผู้นำในการสร้างสุขภาวะดิจิทัลให้กับคนในชุมชน

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า“AIS มุ่งมั่นผลักดันให้สังคมไทยก้าวสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างปลอดภัยและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด ‘ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์’ โดยที่ผ่านมา เราได้ดำเนินกิจกรรมรณรงค์ในสถานศึกษาต่างๆ เพื่อสร้างพื้นฐานความรู้ด้านสุขภาวะดิจิทัลให้กับนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา และในปีนี้ เราเล็งเห็นถึงบทบาทสำคัญของ อสม. ในฐานะกำลังหลักของระบบสาธารณสุข รวมถึงเป็นผู้นำทางความคิดในชุมชน จึงเป็นที่มาของการสานต่อความร่วมมือกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) โดยร่วมกันผลักดันการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเสริมศักยภาพให้แก่ อสม.ที่มีมากกว่า 1 ล้านคน ทั่วประเทศ ทั้งในด้านการปฏิบัติงาน และการเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัล เพื่อให้พร้อมรับมือกับภัยคุกคามออนไลน์ และสามารถนำความรู้ไปใช้ส่งเสริมสุขภาวะดิจิทัลในระดับชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ดร. นายแพทย์ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า “กรมสนับสนุนบริการสุขภาพมีความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างศักยภาพ อสม. ให้สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างรู้เท่าทันและปลอดภัย ความร่วมมือกับเอไอเอสในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับสุขภาวะดิจิทัลของ อสม. ผ่านเครื่องมือเช็คภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์แบบรายบุคคล และสื่อการเรียนรู้หลักสูตร อุ่นใจไซเบอร์ บนแอปพลิเคชันสมาร์ท อสม. ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนองค์ความรู้และทักษะในการรับมือภัยไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการทำงานของ อสม. ให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นในยุคดิจิทัล เราหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสังคมสุขภาวะดิจิทัลที่ยั่งยืนในทุกระดับชุมชน”

โดยความร่วมมือครั้งนี้ เน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงานของ อสม. ทั่วประเทศ ผ่านการเชื่อมต่อแอปพลิเคชัน “สมาร์ท อสม.” กับเครื่องมือตรวจเช็กภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ Digital Health Check ของ AIS ซึ่งช่วยให้ อสม. สามารถตรวจสอบสุขภาวะดิจิทัลของตนเองได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านหลักสูตร “อุ่นใจไซเบอร์” ที่ออกแบบมาเพื่อให้ อสม. เข้าถึงความรู้เรื่องภัยคุกคามทางไซเบอร์ และเข้าใจแนวทางป้องกันตนเองได้อย่างง่ายดาย ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สะดวกต่อการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา

“การผนึกกำลังระหว่างเอไอเอส และ สบส. ในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความปลอดภัยทางดิจิทัลอย่างยั่งยืน การเสริมสร้างความรู้และทักษะด้านไซเบอร์ให้กับ อสม. ไม่เพียงช่วยให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามออนไลน์ได้อย่างมั่นใจ แต่ยังขยายผลสู่การเป็นต้นแบบด้านสุขภาวะดิจิทัลให้กับคนในชุมชน ตอกย้ำภารกิจการขับเคลื่อน “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” และพันธกิจร่วมในการสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย เข้มแข็ง และยั่งยืนในทุกระดับอย่างแท้จริง” นางสายชล กล่าวสรุป

3 หลักฐานสำคัญ ต้องพิสูจน์ความจริง ‘ปลาหมอคางดำ’

0

บทความ โดย นรชาติ สรงอินทรีย์ นักวิชาการอิสระด้านสัตว์น้ำ

กรณี “ปลาหมอคางดำ” เป็นข้อถกเถียงอย่างกว้างขวางในประเทศไทย ในแวดวงเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นักวิชาการและนักกฎหมาย ที่ต่างออกมาเรียกร้องความชัดเจนเรื่องการนำเข้าสายพันธุ์ปลาชนิดนี้ โดยเฉพาะประเด็นผลกระทบต่อระบบนิเวศและความถูกต้องตามกฎหมาย แต่ท่ามกลางกระแสและแรงกดดันจากสังคม สิ่งที่ยัง ‘ขาดหายอย่างสิ้นเชิง’ คือ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้การรับรองจากหน่วยงานกลางที่ไม่มีใครนำมาตีแผ่ เช่น พันธุกรรมของพันธุ์ปลา การตรวจสอบความถูกต้องบริษัทผู้ส่งออกปลาหมอคางดำ ตลอดจนขบวนการลักลอบนำเข้าปลาต่างถิ่นต้องห้าม

3 ประเด็นสำคัญดังกล่าว ยังไม่มีคำอธิบาย ไม่มีการพิสูจน์ และไม่มีใครรับผิดชอบ ขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องค่าชดเชยดังกว่าหลักฐานที่จำเป็นต้องนำมาแสดง เพื่อพิสูจน์ของความบริสุทธิ์ของแต่ละฝ่าย จนถึงขณะนี้หลักฐานเดียวที่ค้นพบจากหน้าสื่อคือ เอกสารขออนุญาตนำเข้าสายพันธุ์ปลาหมอคางดำเพื่อการวิจัยและพัฒนาของบริษัทเอกชน ที่ได้รับการอนุญาตจากกรมประมง จึงมีคำถามกลับว่า สังคมไทยกำลังยึดหลักวิทยาศาสตร์ หรือแค่ไหลไปตามความแรงของกระแส?

ใครก็ตามที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอดและมองด้วยความเป็นธรรมทั้งด้านบวกและลบ จะพบว่ามี 3 ประเด็นสำคัญที่สังคมไทยควรตั้งคำถาม และเรียกร้องคำตอบอย่างตรงไปตรงมา เพื่อค้นหา “ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้” คือ

1. ปลาหมอคางดำที่พบในธรรมชาติ ยังไม่มีการพิสูจน์และรับรอง DNA ว่าเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่บริษัทเอกชนนำเข้าถูกต้องจริงหรือไม่? เพราะจนถึงวันนี้ยังไม่มีรายงานการวิเคราะห์ DNA จากนักพันธุกรรมผู้เชี่ยวชาญ หรือสถาบันกลางที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศหรือสากล ว่า “ปลาหมอคางดำ” ที่ขออนุญาตนำเข้ามาเพื่อการวิจัย กับปลาที่พบในแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นสายพันธุ์เดียวกัน มาจากแหล่งเดียวกันกับที่บริษัทเอกชนได้รับอนุญาตให้นำเข้าอย่างถูกต้อง

การพูดรวมๆ เพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นว่าปลาหมอคางดำที่แพร่ระบาดขณะนี้กับที่ได้รับอนุญาตนำเข้าเป็นสายพันธุ์เดียวกัน โดยไม่มีการเปรียบเทียบพันธุกรรมกับตัวอย่างอ้างอิงจากแหล่งต้นทาง เป็นการข้ามขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ และขาดความน่าเชื่อถือของกระบวนการตรวจสอบทั้งหมด

2. เหตุใดจึงสอบสวนเพียง 6 จาก 11 บริษัทส่งออก ระหว่างปี 2556–2559 แต่ด่วนสรุปโดยไม่มีคนผิด? เพราะ

แม้กรมประมงจะชี้แจงว่าเป็นการกรอกเอกสารส่งออกผิดพลาด แต่ก็ยังไม่มีการเปิดเผยเอกสารการส่งออกตัวจริงทั้งหมด และไม่มีการตรวจสอบและสอบสวน “ครบทั้ง 11 บริษัท” แต่ตีขลุมอนุมานว่าเป็นความผิดลักษณะเดียวกันทั้งหมด ก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดข้อกังขาได้ และหากไม่มีอะไรต้องปิดบัง เหตุใดไม่เปิดเผยข้อมูลให้ครบถ้วน?

3. ปลาต่างถิ่นต้องห้ามหลายชนิดยังพบในตลาด แต่ไร้การสอบสวน เช่น กรณีของปลาหมอบัตเตอร์ ปลาหมอมายัน ปลาช่อนอเมซอน ปลาซัคเกอร์ ซึ่งเป็นปลาต่างถิ่นห้ามนำเข้า ยังคงพบการจำหน่ายและเลี้ยงในหลายพื้นที่ แต่กลับไม่มีการสอบสวนที่มาหรือการดำเนินคดีอย่างจริงจัง สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกัน จึงควรตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มอนุรักษ์ ว่าเหตุใดจึงยกประโยชน์ให้ปลาดังกล่าวได้

เมื่อ “บางกรณี” ถูกจับตาอย่างเข้มงวด แต่อีกหลายกรณีกลับถูกมองข้าม ย่อมสร้างคำถามว่า เราใช้ “มาตรฐานเดียวกัน” ในการคุ้มครองระบบนิเวศจริงหรือไม่? การตั้งคำถาม และการออกมาเรียกร้องจากภาคประชาชน และกลุ่มนักอนุรักษ์เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องตั้งอยู่บน “หลักฐาน” ไม่ใช่ “ข้อกล่าวหาโดยไม่มีการพิสูจน์” อย่างโปรงใส

หากมีข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลการนำเข้า หรือพฤติกรรมการกระจายพันธุ์ของปลาที่กล่าวอ้าง ควรเปิดเผยต่อสาธารณะ พร้อมแนบผลตรวจทางวิทยาศาสตร์จากหน่วยงานกลางที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้สังคมตัดสินจาก “ข้อเท็จจริง” ไม่ใช่ “ความรู้สึก”

ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐานนั้น ร้ายแรงไม่แพ้การลักลอบนำเข้าสัตว์น้ำผิดกฎหมาย สังคมไทยต้องไม่ปล่อยให้ข้อกล่าวหากลายเป็นความจริงโดยไม่ผ่านกระบวนการพิสูจน์ และต้องยืนหยัดบนหลักวิทยาศาสตร์และความโปร่งใส เพื่อรักษาทั้งระบบนิเวศ และความยุติธรรมในสังคมไปพร้อมกัน.

อาหารแปรรูปไม่ใช่ผู้ร้ายเสมอไป สามารถรับประทานได้ปลอดภัย

0

นักวิชาการเทคโนโลยีทางอาหาร ชี้ การบริโภคอาหารแปรรูปไม่ได้ทำให้เกิดโรคและสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย แนะผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อย่ากินอาหารแปรรูปซ้ำๆ ให้กินอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ ควบคู่ดื่มน้ำสะอาด ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ

รศ.ดร. ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล

รศ.ดร. ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัจจุบันยังคงมีผู้บริโภคที่มีความกังวลและสงสัยในการรับประทานอาหารแปรรูปว่ามีความปลอดภัยหรือไม่ โดยอาหารแปรรูป คืออาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปทางอาหารที่ทำให้วัตถุดิบมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบสภาพจากของสดกลายเป็นของสุก ให้รับประทานได้ เช่น การทอด การต้ม การฆ่าเชื้อด้วยความร้อน การลดขนาด การนึ่ง หรือ การขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นต้น

การแปรรูปอาหารมีวัตถุประสงค์ เพื่อทำให้อาหารปลอดภัยรับประทานได้ ย่อยได้ง่าย เกิดความหลากหลายของผลิตภัณฑ์อาหาร สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานขึ้น และที่สำคัญคือปลอดภัยในแง่ของการลดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ที่ส่งผลให้อาหารเสื่อมเสียและเกิดโรค เพราะการแปรรูปส่วนใหญ่มักใช้ความร้อนเป็นกลไกของการฆ่าเชื้อซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการถนอมอาหาร ซึ่งกระบวนการแปรรูปอาหารสามารถออกแบบให้อาหารมีคุณค่าทางโภชนาการตามที่ผู้บริโภคต้องการได้

ปัจจุบันผู้ผลิตอาหารนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาใช้ เสริมเติมแต่งสิ่งที่มีประโยชน์ เพิ่มสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และยังสามารถนำมารวมกันสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ๆ ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

นอกจากนี้การแปรรูปอาหาร ยังมีข้อดีหลายอย่าง ไม่เพียงแต่ทำให้สามารถยืดอายุการเก็บรักษาอาหารไว้ได้นานขึ้น ยังช่วยลดการสูญเสียอาหาร และลดอาหารที่ถูกทิ้ง (Food Wastes) ทำให้อาหารมีเพียงพอกระจายสู่คนที่เข้าถึงแหล่งอาหารได้ยาก ไม่เป็นการเสียโอกาสสำหรับคนที่เข้าไม่ถึงอาหาร สร้างความมั่นคงทางด้านอาหารให้กับโลก

สำหรับผู้บริโภคที่มีความกังวลเรื่องการปนเปื้อนอาหาร ไม่แน่ใจว่าร้านค้าจะปรุงสุกดี มีความสะอาด หรือ มีสุขอนามัยที่ดีหรือไม่ อาหารแปรรูปเป็นทางเลือกหนึ่งที่เชื่อมั่นได้ว่าปลอดภัย อย่างไรก็ตามต้องเลือกซื้อจากบริษัทผู้ผลิตและแหล่งที่น่าเชื่อถือ มีการรับรองโดย อย. มีเลขสารระบบ อย. มีตรารับรองหรือองค์กรที่ควบคุมดูแลเรื่องของความปลอดภัยของผู้บริโภค

ทั้งนี้กระบวนการการผลิตอาหารภายในโรงงานมาตรฐาน มีการควบคุมมาตรฐานในแง่ของสุขลักษณะ ตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงผลิตภัณฑ์อาหาร มีกระบวนตรวจสอบทุกขั้นตอน รวมไปถึงระบบการตรวจสอบย้อนกลับที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงวัตถุดิบได้ว่ามาจากแหล่งไหน มีการปนเปื้อนหรือไม่ เชื่อมั่นได้ถึงความปลอดภัย

ผู้บริโภคที่กังวลเรื่องปริมาณโซเดียม เกลือ ไขมัน น้ำตาล สามารถเลือกสูตรไขมันน้อย น้ำตาลน้อย โซเดียมต่ำ เพราะปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่สามารถลดปริมาณ เกลือ ไขมันและน้ำตาล แต่ยังคงความอร่อย ผู้บริโภคสามารถอ่านฉลากของผลิตภัณฑ์อาหารในการเลือกซื้อ

ทั้งนี้อาหารแปรรูปไม่จำเป็นต้องใส่สารกันบูด แต่สามารถอยู่ได้นาน ด้วยกระบวนการแปรรูปที่มีมาตรฐานที่ดี ขั้นตอนการให้ความร้อนอยู่ในระดับที่ทำลายเชื้อที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องการควบคุม แนะนำอย่าซื้อในปริมาณเยอะ ให้ซื้อในปริมาณที่เพียงพอต่อการรับประทาน ไม่จำเป็นต้องกักตุน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตใหม่

รศ.ดร. ชาลีดา กล่าวย้ำว่า หลักในการบริโภคที่สำคัญต้องมีความสมดุล รับประทานอาหารให้มีความหลากหลาย อย่ารับประทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงอย่างเดียว หรือซ้ำๆ กัน โรคต่างๆ ในปัจจุบันที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่ม Non Communicable Disease (NCD) ไม่ได้เกิดจากการบริโภคอาหารแปรรูป แต่เกิดจากการรับประทานอาหารนั้นซ้ำๆ กัน ไม่เปลี่ยนเป็นระยะเวลานาน การได้สารอาหารที่ไม่เพียงพอ การใช้ชีวิตเร่งรีบ และความเครียด ดังนั้นควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน ผักผลไม้ ใยอาหาร แบ่งสัดส่วนของสารอาหารตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เช่น ผัก 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน โปรตีน 1 ส่วน เป็นต้น และสำคัญมาก คือดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ควบคู่การออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ.

AIS ชนะประมูลคลื่น 2100 MHz เสริมแกร่งเครือข่ายอัจฉริยะ ยืนหนึ่งเครือข่ายที่มีคลื่นมากที่สุด

0

บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) ในเครือ AIS ชนะการประมูลคลื่นความถี่ 2100 MHz จำนวน 3 ชุด รวม 30 MHz ใน ราคา 14,850 ล้านบาท จากการประมูลที่จัดโดยสำนักงาน กสทช. ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศอย่างต่อเนื่อง

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS “เรายินดีที่ชนะการประมูลในครั้งนี้ ที่ได้คลื่นความถี่ที่ต้องการและสามารถใช้งานได้ทันทีในปัจจุบัน ในราคาที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในระยะยาว การได้รับใบอนุญาตคลื่นความถี่ 2100 MHz จะทำให้ AIS สามารถรองรับการใช้งานของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เครือข่าย 5G ของ AIS นอกจากมีความครอบคลุมที่ดีแล้ว ยังเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้าของเรา ทั้งในด้านคุณภาพ ความเร็ว และสามารถรองรับเทคโนโลยีต่างๆ ในอนาคตได้เป็นอย่างดี ความสำเร็จนี้ยังตอกย้ำถึงพันธกิจของเรา ในการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งและยั่งยืน”

ทั้งนี้ คลื่นความถี่ 2100 MHz จัดอยู่ในกลุ่มคลื่นความถี่ย่านกลาง (Mid Band) ซึ่งเป็นช่วงความถี่สำหรับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปัจจุบัน ด้วยความสามารถในการให้บริการที่ครอบคลุม รองรับปริมาณการใช้งานที่หนาแน่น โดยเฉพาะในเทคโนโลยี 4G และ 5G

การประมูลครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของ AIS ในการลงทุนพัฒนาเครือข่ายและนวัตกรรม โดยมีแผนพร้อมนำคลื่นที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทันที ทั้งในเชิงการให้บริการ การขยายเครือข่าย และการต่อยอดนวัตกรรม เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเท่าเทียม พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

ทั้งนี้ กสทช. จะมีการประชุมเพื่อมีมติรับรองผลการประมูลต่อไป

0

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับโครงการ #BLOODCONNECT“พลังพิเศษที่ดีที่สุด คือพลังแห่งการให้” บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมปลุกพลังแห่งการให้ ส่งต่อความห่วงใยให้ทุกชีวิตได้ไปต่อ ผ่านโครงการ #BLOODCONNECT – พลังพิเศษที่ดีที่สุดคือพลังแห่งการให้ จับมือ 3 องค์กรสำคัญ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) และสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย (AAT) ชวนคนไทยร่วมบริจาคโลหิตช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการโลหิตในการรักษา เพราะทุกหยดโลหิต คือพลังชีวิตที่ช่วยให้ผู้ป่วย “ได้ไปต่อ”

การจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตครั้งนี้ มุ่งหวังที่จะปลุกพลังคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเยาวชน Gen Z ให้ตระหนักถึงบทบาทของตนเองในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคม ผ่านการลงมือทำในสิ่งเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ อย่างการบริจาคโลหิต ซึ่งเป็นการส่งต่อชีวิตและความหวังให้แก่ผู้ป่วยที่รอคอยความช่วยเหลือ

พร้อมกันนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ยังขอเชิญชวนคนไทยทุกคน ทุกช่วงวัย ที่มีอายุตั้งแต่ 17 ปีบริบูรณ์ และมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มาร่วมกัน “เป็นพลังของการให้” เพื่อร่วมสร้างสังคมแห่งความห่วงใย ที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง เพราะทุกหยดโลหิตของคุณ คือโอกาสของอีกหลายชีวิตที่ได้ไปต่อ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมต่อเรื่องราวแห่งการให้ของคุณ ด้วยการบริจาคโลหิต ได้ที่

  • ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
  • หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ (Fixed Station) 7 แห่ง
  • ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่ง ทั่วประเทศ
  • โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตแห่งชาติ ทั่วประเทศ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เมืองไทยประกันชีวิต ได้ให้ความสำคัญกับการบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่องผ่าน โครงการ “สุขใจผู้ให้…เติมใจผู้รับ” โดยเปิดรับบริจาคโลหิต ณ สำนักงานใหญ่ และสำนักงานภูมิภาค ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่ โดยในช่วงปี 2567 จนถึงเดือนมิถุนายน 2568 มีผู้ร่วมบริจาคโลหิตรวมทั้งสิ้น 384,800 ซีซี สะท้อนถึงจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบต่อสังคม และความร่วมแรงร่วมใจของผู้บริหาร และพนักงานเมืองไทยประกันชีวิต รวมทั้งผู้ที่ร่วมบริจาคโลหิตเพื่อการส่งต่อโอกาสให้แก่ผู้ป่วยอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำหนดจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ณ สวนสุขภาพโพธิพงษ์ เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่ ในวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา โดยได้รับบริจาคจากผู้บริหาร พนักงานและผู้สนใจเข้าร่วมบริจาคโลหิตในโอกาสนี้

นอกจากนี้ยังได้วางแผนจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ณ กรุงเทพมหานคร อีกครั้ง ในวันอังคารที่ 23 กันยายน 2568 และวันอังคารที่ 23 ธันวาคม 2568 ในส่วนของสำนักงานภูมิภาค ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานและกำหนดวันเวลาที่เหมาะสม โดยจะประกาศแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป

นอกจากการสนับสนุนด้านการบริจาคโลหิตแล้ว เมืองไทยประกันชีวิต ยังมุ่งมั่นขับเคลื่อนการดำเนินงานที่ส่งเสริมการช่วยเหลือ และตอบแทนสังคมในหลากหลายมิติ ภายใต้แนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลัก ESG (Environmental, Social, and Governance) โดยเฉพาะในมิติด้านสังคม (Social) ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต สุขภาวะ และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง เมืองไทยประกันชีวิตขอเชิญชวนทุกคนร่วมเป็นพลังแห่งการให้ ร่วมสร้างโอกาสให้ทุกชีวิตได้ไปต่อ ด้วยการบริจาคโลหิต

รู้เก็บรู้ออม : เปิดตัว Refreshing SE for Growth

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

“ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” เห็นความสำคัญของผู้ประกอบการเพื่อสังคม (Social Enterprise) หรือ SE ซึ่งเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในสังคม และสิ่งแวดล้อม ไม่ได้ทำธุรกิจแค่หวังผลกำไรเป็นเป้าหมายสูงสุดเพียงอย่างเดียว

ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้สนับสนุนด้านความรู้, เพิ่มทักษะ และพัฒนาศักยภาพ ตลอดจนจัดทำหลักสูตรการเรียนเรื่องธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อสร้างผู้ประกอบการทางสังคมรุ่นใหม่ ผ่านโครงการ “SET Social Impact Gym” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ กับสมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ มาตั้งแต่เปิดโครงการเมื่อปี 2560

ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา เห็นความสำเร็จของโครงการนี้ได้จากจำนวนของ SE ที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มมากขึ้น และสามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างเข้มแข็งกว่า 90 ราย โดยใช้ทักษะความรู้ที่ได้รับจากการเรียน, อบรมเชิงปฏิบัติ, โค้ชชิ่งที่ให้คำปรึกษาและข้อแนะนำ ตลอดจนการสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่ซัพพอร์ตกัน

และปี 2568 นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯได้เปิดตัวโปรแกรม “Refreshing SE for Growth” ต่อยอดจากโครงการ SET Social Impact GYM เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ SE ที่เคยผ่านการอบรมและมีแผนขยายธุรกิจให้เติบโต โดยดึงศักยภาพของ SE ในระดับที่สูงขึ้น ควบคู่กับการสร้างผลลัพธ์ทางสังคม

โดยมีองค์กรพันธมิตรที่ร่วมให้การส่งเสริมและสนับสนุนในด้านต่างๆ ทั้งจากภาครัฐ ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคธุรกิจ ได้แก่ สมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (maiA) และบริษัท PwC ประเทศไทย (PwC Thailand) นอกจากนี้ยังมีผู้บริหารจากบริษัทจดทะเบียนมาเป็นวิทยากร ช่วยถ่ายทอดความรู้ แบ่งปันประสบการณ์ในการทำธุรกิจ

โปรแกรมนี้จะคัดเลือก SE 18 ราย ที่มีโมเดลธุรกิจเข้มแข็ง มีแผนการเติบโตทางธุรกิจ และเคยผ่านการอบรมในโครงการ SET Social Impact GYM มาเข้าโปรแกรม ใช้ระยะเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายน–พฤศจิกายน 2568 แบ่งเป็น 2 รอบ คือ

รอบแรก “Intensive Upskills for Growth” เป็นเวลา 3 วัน เรียนรู้เข้มข้นเชิงปฏิบัติการในรูปแบบ Active Learning ครอบคลุมเนื้อหาตั้งแต่การทำแผนขยายธุรกิจ การวางกลยุทธ์การเติบโต การพัฒนาสินค้า การจัดทำแผนการเงิน ไปจนถึงการเตรียมความพร้อมสู่การร่วมทุน และรอบสอง “Business Support” นาน 4 เดือน SE ที่มีแผนขยายธุรกิจที่ชัดเจน ผ่านการคัดเลือกจากรอบแรก จะได้เข้ารับการโค้ชชิ่งแบบตัวต่อตัวกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คำแนะนำปรึกษา พร้อมให้แนวทางการขยายธุรกิจแบบเจาะลึก

สำหรับผู้ประกอบการเพื่อสังคมที่สนใจ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.setsocialimpact.com

คุณนายพารวย

เปิด 4 พิกัด “น้ำปลา ตราหับเผย” พลังความร่วมมือ สร้างโอกาสจากปลาหมอคางดำ

0

เร็ว ๆ นี้ “น้ำปลาแท้จากปลาหมอคางดำ ตรา “หับเผยแม่กลอง” จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ นี่คือตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างกรมประมง กรมราชทัณฑ์ (เรือนจำกลางสมุทรสงคราม) และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ที่ร่วมกันพลิกวิกฤตการระบาดของปลาหมอคางดำ สู่โอกาสทางเศรษฐกิจ และต่อยอดเป็นเครื่องปรุงคุณภาพของคนไทย

น้ำปลาจากปลาหมอคางดำ ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ 100% ทั้งปลาหมอคางดำ หมักด้วยเกลือสมุทร ปรับสูตรให้เหมาะกับชนิดของปลา ใช้เกลือ 1 ส่วนต่อปลา 4 ส่วน รสชาติกลมกล่อม ไม่เค็มโดด ไม่เจือสี ไม่แต่งกลิ่น ไม่ใส่วัตถุกันเสีย ทำให้มั่นใจได้ทั้งเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพ ใช้ปรุงอาหารได้ทุกเมนู ไม่ว่าจะเป็นจิ้ม ผัด แกง หรือต้ม ที่สำคัญ ทุกขั้นตอนการผลิตน้ำปลาหับเผย อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด ทั้งด้านความสะอาด ระยะเวลาหมัก และการบรรจุ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์สะอาด ปลอดภัย และกรมประมงยังเตรียมนำสินค้าน้ำปลาหับเผยตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

ภายใต้แนวคิด “จากปัญหา สู่คุณค่า” โครงการนี้นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผสานกับการผลิตตามมาตรฐาน สร้างสรรค์ “น้ำปลาแท้” ที่ไม่เพียงหอม อร่อย หากยังเปี่ยมความหมาย ด้วยการใช้ประโยชน์จากปลาหมอคางดำ จาก “หับเผยแม่กลอง” ขยายสู่ “หับเผยสมุทรสาคร” “หับเผยเขากลิ้ง” ของเพชรบุรี และ “หับเผยสมุทรปราการ” ผลิตภัณฑ์นี้กำลังจะเป็นสินค้าประจำท้องถิ่น เหมาะสำหรับทุกครัวเรือน หรือเป็นของฝากที่เปี่ยมเรื่องราว เพราะเบื้องหลังแต่ละขวด คือการไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค แต่เลือกแปรรูปสร้างคุณค่าให้ชุมชน พร้อมมอบโอกาสให้ผู้ต้องขังได้ฝึกทักษะอาชีพในเรือนจำเพื่ออนาคตที่ดีกว่า

ความร่วมมือนี้ไม่เพียงแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือปลาต่างถิ่นในธรรมชาติ แต่ยังชูจุดเด่น “น้ำปลาไทยคุณภาพสูง” หอม อร่อย ดีต่อใจ ดีต่อสังคม เป็นต้นแบบการพัฒนาและจัดการปัญหาอย่างสร้างสรรค์ สร้างโอกาสใหม่ทั้งการเพิ่มรายได้ชุมชน ส่งเสริมอาชีพในเรือนจำ และเปลี่ยนปลารุกรานเป็นวัตถุดิบที่คุ้มค่า

การอุดหนุน น้ำปลาแท้ สินค้าคุณภาพตราหับเผย 1 ขวด จึงเป็นมากกว่าการสนับสนุนโอกาสดี ๆ ของชุมชน และฟื้นฟูระบบนิเวศ ยังเป็นการสร้างพลังบวกของสังคมไทย ที่ใช้หัวใจและภูมิปัญญา เดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน.

ม่วนคักๆ กับผีตาโขน! AIS 5G เสริมเครือข่ายในงานบุญหลวง จ.เลยพร้อมจัดเต็มสิทธิพิเศษคักหลาย ดันท่องเที่ยวไทยอุ่นใจ

0


AIS สานต่อภารกิจนำโครงข่าย AI อัจฉริยะ และสิทธิพิเศษสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย ภายใต้โครงการ ‘สุขใจ เที่ยวไทย อุ่นใจทุกที่’ ที่ได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ไหนก็อุ่นใจ สื่อสารได้ทุกที่ และมีแต่ความพิเศษตลอดทาง ล่าสุด ขึ้นอีสานจัดเต็มโครงข่ายสื่อสารและสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้งานบุญใหญ่ม่วนคัก กับ ประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน ประจำปี 2568 ณ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ที่จัดขึ้นวันที่ 28-30 มิ.ย.68 พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า AIS เท่านั้น ผ่านแคมเปญ “อิ่มฟิน อร่อยฟรี” ให้ลูกค้าใช้ AIS Points 40 คะแนน แลกรับส่วนลดความอร่อย 40 บาท กับร้านค้าที่ร่วมรายการภายในงาน ผ่านแอป myAIS ระหว่างวันที่ 28-29 มิ.ย. นี้

โดยภายในงาน AIS ได้เตรียมความพร้อมด้านโครงข่ายสื่อสาร ด้วยการเตรียมระบบ 4G/5G เพิ่มขีดความสามารถ และครอบคลุมการให้บริการ โดยมีการติดตั้งสถานีฐานชั่วคราว (Small Cell) ในจุดหลักที่ขบวนแห่ผีตาโขนผ่าน และขยายช่องสัญญาณของสถานีครอบคลุมทั้งอำเภอด่านซ้าย ตลอดจนเส้นทางคมนาคม สนามบิน สถานีขนส่งต่างๆ  รวมถึงมีการใช้ระบบ AI ในการออกแบบและปรับให้เครือข่ายมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อรองรับการใช้งานที่สูงขึ้น และยังมีการติดตามปริมาณการใช้งานในพื้นที่แบบเรียลไทม์ ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ลูกค้าใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมเชื่อมต่อประสบการณ์ท่องเที่ยวผ่านโลกดิจิทัลแบบไร้รอยต่อบนโครงข่ายอัจฉริยะ ร่วมงานสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีไทยอย่างอุ่นใจในทุกเทศกาล