Home Blog Page 2

CPF ร่วมกับ รพ.รามาธิบดี ส่งต่อ “พลังแห่งการให้ไม่สิ้นสุด” ช่วยฟื้นฟูภาคใต้จากอุทกภัย

0

จากเหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่สร้างผลกระทบต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ร่วมกับ โรงพยาบาลรามาธิบดี เดินหน้า โครงการ “ทุกการซื้อ คือพลังแห่งการให้” เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ สานต่อภารกิจแห่งการช่วยเหลือสังคม โดยรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารภายในงานหลังหักค่าใช้จ่าย จะนำไปสมทบทุนเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูพื้นที่ภาคใต้ รวมถึงสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์และงานสาธารณสุขในพื้นที่ที่จำเป็นเร่งด่วน

กิจกรรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23–25 ธันวาคม 2568 เวลา 08.00–18.00 น. ณ โถงชั้น 1 อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ภายในงานได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.แพทย์หญิงอติพร อิงค์สาธิต ผู้อำนวยการ รพ.รามาธิบดี และ นายวิรัตน์ ตระการพินิจ รองกรรมการผู้จัดการ ซีพีเอฟ พร้อมจิตอาสา ร่วมกิจกรรมและกล่าวขอบคุณผู้มีจิตศรัทธา

ศ.ดร.แพทย์หญิงอติพร อิงค์สาธิต กล่าวว่า โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดีและมูลนิธิรามาธิบดี ตั้งใจทำหน้าที่เป็นสะพานบุญในการส่งต่อกำลังใจไปยังพี่น้องภาคใต้ โดยที่ผ่านมาได้ระดมทรัพยากรและงบประมาณ รวมถึงสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์และเวชภัณฑ์ให้แก่โรงพยาบาลในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และการร่วมมือกับซีพีเอฟในครั้งนี้ จะช่วยเสริมพลังในการฟื้นฟูผู้ประสบภัย พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมทำบุญผ่านการเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพ เพื่อร่วมกันส่งต่อกำลังใจและความหวังให้กับพี่น้องภาคใต้

นายวิรัตน์ ตระการพินิจ กล่าวเสริมว่า ซีพีเอฟเชื่อมั่นในพลังของการแบ่งปัน เราพร้อมเคียงข้างคนไทยทุกวิกฤต และสานต่อภารกิจแห่งผู้ให้ เพื่อช่วยเหลือสังคมอย่างยั่งยืน เพราะพลังแห่งการให้…ไม่เคยสิ้นสุด

ซีพีเอฟ เดินหน้าโครงการ “ทุกการซื้อ คือพลังแห่งการให้” อย่างต่อเนื่อง โดยร่วมกับโรงพยาบาลและหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูจากเหตุเพลิงไหม้ แผ่นดินไหว และน้ำท่วม พร้อมทั้งช่วยซ่อมแซมอาคาร และจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น เพื่อเสริมศักยภาพด้านสาธารณสุข

ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “พลังแห่งการให้ไม่สิ้นสุด” ทุกชิ้นที่เลือกซื้อ คือรอยยิ้ม… คือความหวัง… และคือการยืนหยัดเคียงข้างพี่น้องภาคใต้ เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน.

โรคกุ้ง…ภัยเงียบที่รัฐต้องเร่งแก้  อย่าหลงประเด็น “ปลาหมอคางดำ”

0

สถานการณ์อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งไทยกำลังเผชิญกับคลื่นลมที่โหมกระหน่ำ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การแข่งขันในตลาดโลก แต่เป็นปัญหาเรื้อรังที่บั่นทอนกำลังการผลิต ข้อมูลจากสมาคมกุ้งไทยตอกย้ำชัดเจนว่าต้นเหตุที่ทำให้เกษตรกรต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงลิ่วและผลผลิตที่ลดฮวบคือ “โรคระบาดในกุ้ง” ไม่ใช่กระแสความกังวลเรื่อง “เอเลี่ยนสปีชีส์” อย่างที่สังคมบางส่วนกำลังเข้าใจผิด

นางสาวพัชรินทร์ จินดาพรรณ เลขาธิการสมาคมกุ้งไทย ได้ให้ภาพสถานการณ์ไว้อย่างน่าเป็นห่วงว่า ปัญหาโรคกุ้งที่แก้ไม่ตกได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสายป่านชีวิตเกษตรกร โดยโรคระบาดทำให้ต้นทุนการเลี้ยงกุ้ง เพิ่มขึ้นสูงถึง 20% และเมื่อกุ้งไม่สมบูรณ์หรือตายจากโรค ผลผลิตก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถผลิตได้ปริมาณเท่าเดิม ขณะที่ต้องเผชิญกับต้นทุนต่อหน่วยที่สูงขึ้นมหาศาล นี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องตระหนักว่า หากไม่สามารถควบคุมและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความอยู่รอดของเกษตรกรไทยที่ถือเป็นรากฐานของห่วงโซ่อุปทานอาหารก็กำลังจะถูกกัดกร่อนไปเรื่อย ๆ

ย้ำชัด! “เอเลี่ยนสปีชีส์” ไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับอุตสาหกรรมกุ้งหลัก

ในช่วงที่ผ่านมาสังคมให้ความสนใจกับเรื่อง “ปลาหมอคางดำ” ในฐานะเอเลี่ยนสปีชีส์ที่กำลังแพร่กระจายในแหล่งน้ำธรรมชาติ จนเกิดความกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อฟาร์มกุ้ง แต่สำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งยุคใหม่แล้ว สิ่งนี้เป็นเพียง “ประเด็นที่สร้างความหลงทาง” 

น.ส.พัชรินทร์ ยืนยันหนักแน่นว่า “ปัญหาปลาหมอคางดำไม่มีผลกระทบต่อการเลี้ยงกุ้งในระบบปิด ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมกุ้งหลักของประเทศ” นี่คือข้อเท็จจริงสำคัญที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ตัวโต ๆ เพราะอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งของไทยได้พัฒนาไปมาก เกษตรกรส่วนใหญ่โดยเฉพาะรายใหญ่และรายกลางได้ปรับเปลี่ยนมาใช้ “ระบบการเลี้ยงแบบพัฒนา (Intensive Farming)” หรือ “กึ่งพัฒนา (Semi-Intensive Farming)” ซึ่งมีลักษณะเป็น “ระบบปิด” หรือมีการควบคุมน้ำเข้า-ออกที่เข้มงวด

การเลี้ยงกุ้งในระบบปิดนี้พิสูจน์แล้วว่า เป็นทั้งเกราะป้องกันและโอกาสสำคัญในการยกระดับอาชีพเกษตร เนื่องจากสามารถป้องกันสัตว์ต่างถิ่นแปลกปลอม (Biosecurity)  เพราะระบบปิดมีการติดตั้งตาข่ายหรือระบบการกรองน้ำที่เข้มงวด ทำให้สัตว์น้ำแปลกปลอม เช่น ปลาหมอคางดำ หรือสัตว์อื่น ๆ  ไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปในบ่อเลี้ยงได้ ต่างจากการเลี้ยงแบบดั้งเดิมที่พึ่งพาน้ำในแหล่งธรรมชาติโดยตรง  นอกจากนี้ระบบปิดยังช่วยให้เกษตรกรสามารถควบคุมปัจจัยสำคัญในการเลี้ยงได้ เช่นความเค็มหรืออุณหภูมิน้ำ เมื่อสามารถลดความเสี่ยงจากศัตรูภายนอกและควบคุมสภาพแวดล้อมได้ดี อัตราการรอด (Survival Rate) ของกุ้งก็จะสูงขึ้น ทำให้ได้ผลผลิตต่อพื้นที่ที่แน่นอนและสูงกว่าการเลี้ยงแบบเปิดอย่างมาก

สำหรับเกษตรกรที่ยังคงใช้ระบบการเลี้ยงแบบดั้งเดิมและต้องพึ่งพาน้ำจากธรรมชาติโดยตรง นี่คือโอกาสสำคัญที่จะต้องพิจารณา “การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบกึ่งพัฒนา” โดยเริ่มจากการลงทุนในสิ่งที่สามารถทำได้ทันที เช่น การจัดทำบ่อพักน้ำ (Reservoir) หรือ การติดตั้งระบบกรองน้ำเบื้องต้น ก่อนปล่อยเข้าบ่อเลี้ยง ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่สูงนัก แต่สามารถเพิ่มความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะการป้องกันสัตว์แปลกปลอม ซึ่งจะนำไปสู่การลดความเสี่ยงและสร้างผลผลิตที่สม่ำเสมอ เป็นหนทางสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในอาชีพเกษตรกรรม

การหลงไปกับประเด็นเรื่องเอเลี่ยนสปีชีส์ในบริบทของอุตสาหกรรมกุ้ง อาจทำให้ภาครัฐและสังคมละเลยภัยร้ายตัวจริง นั่นคือ ปัญหาโรคกุ้ง ที่ต้องการการสนับสนุนงานวิจัยและมาตรการควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ เกษตรกรได้ส่งเสียงเรียกร้องแล้วว่า ที่ผ่านมาการแก้ไขยังไม่เป็นรูปธรรมเพียงพอ ดังนั้น หัวใจสำคัญและเร่งด่วนที่สุดที่ภาครัฐควรทุ่มเททรัพยากรเข้าจัดการคือ 1.) สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาวัคซีน/สารชีวภาพ เพื่อต่อต้านโรคกุ้งชนิดต่าง ๆ 2.) สร้างเครือข่ายเฝ้าระวังโรคกุ้ง ที่ครอบคลุมและรวดเร็ว 3.) สนับสนุนสินเชื่อและองค์ความรู้ เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบการเลี้ยงแบบพัฒนาหรือกึ่งพัฒนา ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยลดต้นทุนและป้องกันภัยคุกคามจากสัตว์แปลกปลอมได้อย่างยั่งยืน

การอยู่รอดของอุตสาหกรรมกุ้งไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตื่นตระหนกกับเอเลี่ยนสปีชีส์ที่ไม่กระทบต่อระบบปิด แต่ขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาที่ต้นตอ นั่นคือโรคระบาด และการผลักดันให้เกษตรกรทุกคนก้าวเข้าสู่ “การเลี้ยงแบบพัฒนา” เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและความยั่งยืนให้กับอาชีพเกษตรกรอย่างแท้จริง

ใครมีบำเหน็จตกทอด ออมสินให้กู้สูงสุด 100% วันนี้ – 31 ม.ค.69

0

โปรแรงเอาใจวัยเกษียณ จากออมสิน ด้วยสินเชื่อสวัสดิการโดยใช้บำเหน็จตกทอดเป็นหลักประกัน
สำหรับข้าราชการบำนาญและลูกจ้างประจำ ให้วงเงินสูง ผ่อนยาว
รายละเอียดเพิ่มเติม > https://to.gsb.or.th/rdxlDQG
👉🏻 ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 31 มกราคม 2569
📍 สนใจติดต่อธนาคารออมสินทุกสาขา

✅️ อัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 3.50% ต่อปี
✅️ วงเงินกู้สูงสุด 100% ของวงเงินบำเหน็จตกทอด
✅️ ผ่อนนานสูงสุด 40 ปี

หมายเหตุ :

  • โปรโมชันอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 = 3.500% ต่อปี ปีที่ 2 = 4.000% ต่อปี หลังจากนั้น MRR-1.995% ต่อปี (4.300%) เฉพาะลูกค้ารายใหม่เท่านั้น
  • ปัจจุบัน MRR เท่ากับ 6.295% ต่อปี (ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป) ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้
  • อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) อยู่ระหว่าง 4.171% – 4.300% ต่อปี คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี
  • เฉพาะข้าราชการบำนาญ หรือลูกจ้างประจำที่ได้รับหนังสือรับรองสิทธิบำเหน็จตกทอดที่ออกโดยกรมบัญชีกลาง/สำนักงานคลังจังหวัด
  • ลูกค้าปัจจุบันที่ประสงค์ขอเพิ่มวงเงินกู้ สามารถยื่นกู้ได้ที่ธนาคารออมสินสาขาเดิมที่ใช้บริการสินเชื่อบำเหน็จตกทอดเท่านั้น อัตราอกเบี้ย MRR-1.995% ต่อปี (4.300%) ตลอดอายุสัญญา
  • หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

⚠ รู้ก่อนกู้…กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว

myAIS เปิดบริการใหม่ “จองตั๋วเดินทาง” เชื่อมต่อทุกเส้นทางกว่า 60 ประเทศทั่วโลก พร้อมยกระดับสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลครบทุก Travel Journey ในแอปเดียว

0

AIS ตอบรับกระแสการท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่นปลายปี เดินหน้ายกระดับแอป myAIS สู่แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการเดินทางและไลฟ์สไตล์อย่างเต็มรูปแบบ ตอกย้ำบทบาท “ศูนย์กลางการเชื่อมต่อทุก Journey การเดินทาง” ครั้งแรก! กับบริการ “จองตั๋วเดินทาง (Travel Tickets)” บนแอป myAIS ให้ลูกค้าสามารถจองตั๋ว รถบัส รถไฟ และเรือ ได้ด้วยตนเองครบทุกขั้นตอน ครอบคลุมเส้นทางทั่วประเทศไทย และมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก จากพันธมิตรด้านการขนส่งกว่า 800 ราย ช่วยให้การวางแผนท่องเที่ยวทั้งในไทยและต่างประเทศเป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องสลับหลายแอปหรือหลายแพลตฟอร์ม ลูกค้าสามารถค้นหาเส้นทาง เปรียบเทียบตัวเลือก ชำระเงิน และรับ E-Ticket ได้ทันทีในแอปเดียว สอดรับไลฟ์สไตล์นักเดินทางยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และเชื่อถือได้ นอกจากนี้แอป myAIS ยังมีบริการซื้อแพ็กเกจ International Roaming และ Sim2Fly, สิทธิพิเศษด้านการท่องเที่ยวข้ามประเทศผ่าน WanderJoy, สมัครประกันการเดินทาง เพื่อความอุ่นใจตลอดทริป

นางสาวโอปอล เลิศอุทัย หัวหน้าฝ่ายงานประสบการณ์และความผูกพันลูกค้า AIS

นางสาวโอปอล เลิศอุทัย หัวหน้าฝ่ายงานประสบการณ์และความผูกพันลูกค้า AIS กล่าวว่า “แอป myAIS ถูกออกแบบให้เป็น Digital Lifestyle Platform ที่รวมบริการดิจิทัลไว้ในแอปเดียว และเมื่อเทรนด์การท่องเที่ยวเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง AIS จึงยกระดับ myAIS ให้เป็นแอปที่ลูกค้านึกถึงเป็นอันดับแรกสำหรับการเดินทาง ครอบคลุมทั้งการเชื่อมต่อ สิทธิพิเศษ ความอุ่นใจ และบริการใหม่อย่าง Travel Tickets เพื่อประสบการณ์แบบ Seamless Journey ตลอดทริป โดยกลุ่มนักเดินทางเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลักของ AIS ซึ่งปัจจุบันมีฐานผู้ใช้งาน International Roaming มากกว่า 5 ล้านรายต่อปี หรือมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2567 สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการเดินทางที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง AIS จึงยกระดับแอป myAIS ให้เป็นแพลตฟอร์มที่รวมทุกบริการด้านการเดินทางไว้ในที่เดียว ตั้งแต่การเชื่อมต่อ สิทธิพิเศษ ความอุ่นใจ ไปจนถึงบริการใหม่อย่าง Travel Tickets เพื่อให้ลูกค้าสามารถวางแผนและเดินทางได้อย่างราบรื่นไร้รอยต่อตลอดทั้ง Journey ตอบโจทย์นักเดินทางยุคดิจิทัลอย่างครบวงจร

นอกจากบริการจองตั๋วเดินทาง AIS ยังเสริมประสบการณ์ท่องเที่ยวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วย WanderJoy ที่รวบรวมสิทธิพิเศษด้านการท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ในหลายประเทศ ทั้งส่วนลดร้านอาหาร คาเฟ่ แหล่งท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง และบริการที่นักเดินทางใช้จริง ช่วยให้ลูกค้าเที่ยวได้คุ้มขึ้นและสนุกขึ้นตลอดทริป ควบคู่กับแพ็กเกจ International Roaming และ Sim2Fly ที่ใช้งานดาต้าระหว่างเดินทาง ให้ลูกค้าเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทันทีตั้งแต่ลงเครื่อง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการสลับซิมหรือหาซื้อซิมปลายทาง รวมถึงบริการประกันการเดินทางเพื่อความมั่นใจตลอดทริป ทั้งหมดนี้ถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกันบนแอป myAIS เพื่อสร้างประสบการณ์แบบ Seamless Journey ตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ระหว่างทริป ไปจนถึงหลังเดินทางกลับ ตอบโจทย์นักเดินทางยุคดิจิทัลอย่างครบวงจร”

สำหรับลูกค้าที่สนใจบริการ “จองตั๋วเดินทาง” บนแอป myAIS สามารถทำรายการได้ง่ายๆ เพียง 5 ขั้นตอน

  1. เลือกเมนู “จองตั๋วเดินทาง” ในหน้าหลักของแอป myAIS
  2. เลือก “เริ่มจองตั๋ว” แล้วระบุข้อมูลการเดินทางที่ต้องการ
  3. เลือกประเภทการเดินทาง และระบุเส้นทางที่ต้องการ
  4. กรอกรายละเอียดผู้โดยสาร เลือกวิธีการชำระ แล้วกดชำระเงิน
  5. เมื่อการจองสำเร็จ จะได้รับตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ (E-Ticket) ทางอีเมล หรือสามารถดาวน์โหลดตั๋วได้เลย

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ais.th/consumers/lifestyle/apps-and-services/travel-tickets

เมืองไทยสไมล์คลับ จัดกิจกรรม Exclusive Dining with Dinosaur @ ท่าพิพิธภัณฑ์มอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ความสุขและรอยยิ้ม ที่สุดแห่งความประทับใจ

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดยเมืองไทยสไมล์คลับ คัดสรรสิทธิพิเศษและกิจกรรมที่หลากหลายให้ตอบโจทย์ทุกช่วงอายุตอบรับทุก Lifestyle ล่าสุดจัดกิจกรรม “Exclusive Dining with Dinosaur @ ท่าพิพิธภัณฑ์” นิทรรศการ THAINOSAUR รอบพิเศษนี้ จัดขึ้นเพื่อสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับเท่านั้น นำทุกท่านได้เข้าชมฟอสซิลของจริง และหุ่นจำลองขนาดเท่าของจริง โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ คุณเคน-กษิดิศ เอี่ยมละออ รู้ลึก รู้จริง เรื่องไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์ของแผ่นดินไทย คอยบรรยายเรื่องราวและเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ เปิดประสบการณ์การเรียนรู้ที่น่าตื่นตา ตื่นใจ จนคุณรู้สึกเหมือนได้พบกับไดโนเสาร์ตัวจริง พร้อม Exclusive Dining with Dinosaur

บรรยากาศในวันงานเต็มไปด้วยการต้อนรับอย่างอบอุ่น โดยนางสาวนิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) มีการนำเข้าสู่เมนูแต่ละ course โดยร้านอาหาร Nais พร้อมเรื่องราวเบื้องหลังแรงบันดาลใจในแต่ละเมนูจาก คุณพิริยะ วัชจิตพันธ์ ผู้ก่อตั้ง ท่าพิพิธภัณฑ์

ทั้งนี้ สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ยังสามารถติดตามกิจกรรมรวมถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่เมืองไทยสไมล์คลับคัดสรรมาพิเศษแบบครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ และตอบโจทย์ความหลากหลายทุกความต้องการเพิ่มเติม ได้ที่ MTL Click Application สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือเว็บไซต์ www.muangthai.co.th ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1766 กด 4 เมืองไทยประกันชีวิต หรือศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ

ธนาคารออมสิน เข้าใจหัวอกคนผ่อนบ้าน ให้ดอกเบี้ยน้อย ผ่อนสบายกว่า ด้วยสินเชื่อเคหะ Refinance

0

ความฝันที่จะมีบ้านเป็นของตัวเอง นับเป็นจุดเริ่มต้นของความมั่นคงในชีวิตของคนหลายคน แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยพบว่า การทำความฝันให้กลายเป็นจริง และรักษาเอาไว้ให้ได้ ถือเป็นความท้าทายที่แท้จริง สำหรับผู้มีภาระผ่อนบ้านแล้ว ค่างวดผ่อนบ้านที่ต้องจ่ายทุกเดือน เป็นเวลานานต่อเนื่องไปอีกหลายปี รวมทั้งภาระดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นตามช่วงเวลา หรือเมื่ออัตราดอกเบี้ยลอยตัวเริ่มทำงาน จะยิ่งเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้สูงขึ้น จนอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงิน นี่คือปัญหาที่ผู้มีภาระผ่อนบ้านล้วนต้องเผชิญ จนบั่นทอนความสุขของการเป็นเจ้าของบ้านในที่สุด

การรีไฟแนนซ์จึงเป็นทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการลดภาระดอกเบี้ยผ่อนบ้านลง “ธนาคารออมสิน” เข้าใจหัวอกของคนผ่อนบ้าน จึงได้มีข้อเสนอดีๆ ที่จะช่วยปลดล็อกภาระดอกเบี้ยที่สูงของคนที่กำลังผ่อนบ้าน  ให้ได้รับเงื่อนไขดอกเบี้ยที่ดีขึ้นด้วย “สินเชื่อเคหะ Refinance” ที่จะช่วยให้การผ่อนบ้านเบาและสบายกว่าเดิม ด้วยดอกเบี้ยที่ลดลง  พร้อมข้อเสนอพิเศษที่จะลดภาระดอกเบี้ยบ้านที่แสนหนักอึ้งให้เบาลง  เพิ่มความคล่องตัวทางการเงินให้มากขึ้น ช่วยให้เรามีเงินเหลือใช้สำหรับชีวิตประจำวัน หรือ ออมเงินเพื่อเป้าหมายอื่นได้

สินเชื่อเคหะ Refinance มาพร้อมกับข้อเสนอพิเศษ คือ อัตราดอกเบี้ย 0% 3 เดือนแรก และอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% ต่อปี (กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบไม่สนับสนุนค่าจดจำนอง)   นอกจากนี้  ธนาคารออมสินยังช่วยสนับสนุนค่าประเมินราคาทรัพย์ ตามที่จ่ายจริง ไม่เกินรายละ 5,000 บาท (สำหรับวงเงินกู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป)  และ สนับสนุนค่าจดจำนอง ตามที่จ่ายจริง ไม่เกินรายละ 100,000 บาท (สำหรับวงเงินกู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป และเลือกรับอัตราดอกเบี้ยสนับสนุนค่าจดจำนอง)

ผู้สนใจกู้เพียงมีคุณสมบัติครบถ้วนตามนี้ คือ 1. เป็นลูกค้าที่มีสัญญากู้เงินเพื่อที่อยู่อาศัยกับสถาบันการเงินอื่น    2. มีประวัติการชำระหนี้ดี ปัจจุบันไม่มีหนี้ค้างชำระ  และ 3.มีอาชีพและรายได้แน่นอน   ก็สามารถรวบรวมเอกสารการกู้ แล้วติดต่อทำเรื่องรีไฟแนนซ์ด้วยการยื่นขอ “สินเชื่อเคหะ Refinance” กับธนาคารออมสินได้แล้วตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 ไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2569  โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และยื่นสมัครได้เลยที่ https://to.gsb.or.th/uh5DVdNa  หรือผ่าน www.gsb.or.th

อย่าพลาดโอกาสดีๆ  ของการรีไฟแนนซ์ เพื่ออนาคตทางการเงินที่มั่นคงและผ่อนคลายลง โดยข้อเสนอพิเศษของสินเชื่อเคหะ Refinance นี้ สำหรับผู้ที่ยื่นกู้ภายในกำหนดระยะเวลาโปรโมชัน โดยได้รับอนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญา ภายใน 16 กุมภาพันธ์ 2569 เท่านั้น  อย่างไรก็ตาม ผู้กู้ควรให้ความสำคัญกับเรื่องหลักการของการกู้  นั่นคือ รู้ก่อนกู้ กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือ GSB Contact Center โทร. 1115 และติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ Facebook: GSB Society

เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

*รู้ก่อนกู้…กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว

#สินเชื่อเคหะRefinance

#เป็นลูกค้าเราเท่ากับช่วยสังคม

ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลฯ รายงานไม่พบปลาหมอคางดำในหลายพื้นที่ทะเล

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 15-18 ธันวาคม 2568 เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน ได้ดำเนินการสำรวจและติดตามการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ (Sarotherodon melanotheron Rüppell, 1852) ในระบบนิเวศทางทะเลที่สำคัญ โดยวิธีวางอวนลอยติดตา และสุ่มหว่านแห บริเวณปากแม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ปากแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดสมุทรปราการ ปากคลองขุนราชพินิจใจ กรุงเทพมหานคร และปากแม่น้ำท่าจีน จังหวัดสมุทรสาคร

ผลการสำรวจไม่พบปลาหมอคางดำ โดยพบสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ ทั้งหมด 21 ชนิด ชนิดเด่นได้แก่ ปลากระบอกหางพัด (Planiliza parsia) ปลาสีกุน (Alepes djedaba) และปลากุเราหนวดสี่เส้น (Eleutheronema etradactylum)

ขณะที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง (สงขลา) ได้ลงพื้นที่สำรวจการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำหลังสถานการณ์น้ำท่วม ระหว่างวันที่ 15–19 ธ.ค. 68 ในพื้นที่ปากคลองที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา และปากแม่น้ำที่เปิดออกสู่ทะเลอ่าวไทย รวม 16 สถานี โดยใช้การสุ่มแหและวางอวนติดตา ผลการสำรวจไม่พบการแพร่กระจายปลาหมอคางดำในพื้นที่ทะเลสาบสงขลา

อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามชาวบ้านพบปลาหมอคางดำติดเครื่องมือประมงในพื้นที่ทุ่งนา ต.ระวะ อ.ระโนด ซึ่งช่วงนี้ยังมีน้ำท่วมขังอยู่ สำหรับพื้นที่ปากแม่น้ำที่เปิดออกสู่ทะเลอ่าวไทยพบการแพร่กระจายในบริเวณปากคลองหัวไทร จ.นครศรีธรรมราช และปากคลองท่าเข็น คลองรับแพรก และคลองพังยาง จ.สงขลา ซึ่งเป็นสถานีเดิมที่เคยสำรวจพบการแพร่กระจายปลาหมอคางดำ โดยในครั้งนี้รวบรวมตัวอย่างปลาหมอคางดำได้น้อยลง เนื่องจากในแต่ละสถานีน้ำยังคงท่วมสูง เป็นอุปสรรคต่อการสุ่มเก็บตัวอย่างซึ่งตัวอย่างที่รวบรวมได้นำมาศึกษาชีววิทยาและองค์ประกอบชนิดอาหารในกระเพาะ และเก็บข้อมูลสัตว์น้ำชนิดอื่น ในพื้นที่ เพื่อนำมาวิเคราะห์สัดส่วนองค์ประกอบชนิดสัตว์น้ำ และเป็นฐานข้อมูลความหลากหลายของทรัพยากรในพื้นที่ต่อไป

แอปฯ Mobile Banking ใช้ได้เฉพาะ iOS 14 และ Android 10 ขึ้นไปเท่านั้น ดีเดย์ 14 ก.พ. 69

0

สมาคมธนาคารไทย โดยศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร (TB-CERT) กำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2569 เป็นต้นไป แอปฯ Mobile Banking ของทุกธนาคารจะรองรับเฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้ iOS 14 และ Android 10 ขึ้นไปเท่านั้น

การอัปเดตระบบปฏิบัติการจะช่วยปิด จุดเสี่ยงด้านความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์ ฟิชชิง และการโจมตีข้อมูล พร้อมช่วยให้การทำธุรกรรมของคุณปลอดภัยมากขึ้น แนะนำให้ตรวจสอบและอัปเดตอุปกรณ์ล่วงหน้าเพื่อให้ใช้งานได้ต่อเนื่องไม่สะดุด

คำพิพากษาศาลตัดสิน บัตรเครดิตถูกรูดโดยมิชอบ “ภาระพิสูจน์อยู่ที่ธนาคาร” ไม่ใช่เจ้าของบัตร

0

อ้างอิงจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2624/2568 ซึ่งถือเป็นแนวทางใหม่ในการตัดสินคดีระหว่างธนาคารและผู้บริโภคที่ถูกมิจฉาชีพดูดเงินหรือแอบรูดบัตร โดยฎีกาใหม่ดังกล่าว ถือเป็นข่าวดีและเป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับผู้ใช้บัตรเครดิตทุกคน เมื่อล่าสุด มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2624/2568 (ลงวันที่ 17 ธันวาคม 2568) ที่ออกมาคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในกรณีถูกมิจฉาชีพนำข้อมูลบัตรไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

🔍 เกิดอะไรขึ้นในคดีนี้?

คดีนี้เริ่มจากผู้บริโภคถูกมิจฉาชีพขโมยข้อมูลบัตรไปรูดซื้อสินค้า โดยที่เจ้าของบัตรไม่ได้เป็นคนทำรายการและไม่ได้ยินยอม แต่ทางธนาคารผู้ออกบัตรกลับเรียกเก็บเงินและฟ้องร้องให้เจ้าของบัตรชำระหนี้ โดยอ้างว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าของบัตรตามสัญญา

⚖️ ศาลฎีกาตัดสินอย่างไร?

ศาลมีคำสั่ง “ยกฟ้อง” โดยให้เหตุผลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของบัตร

  1. ภาระการพิสูจน์เป็นของธนาคาร: เมื่อเกิดข้อพิพาทว่า “ใครเป็นคนใช้บัตร?” ธนาคารต้องเป็นฝ่ายนำสืบให้ชัดเจน เพราะธนาคารเป็นเจ้าของระบบ เป็นผู้จัดทำระบบยืนยันตัวตน และเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการให้บริการ
  2. ห้ามสันนิษฐานลอยๆ: ศาลเห็นว่าหากมีรายการใช้งานเกิดขึ้น จะไปเหมาเอาเองว่าเจ้าของบัตรเป็นคนใช้ไม่ได้ (ถ้าเจ้าของบัตรยืนยันว่าไม่ได้ทำ)
  3. ถ้าพิสูจน์ไม่ได้…ผู้บริโภคไม่ต้องจ่าย: หากธนาคารไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเจ้าของบัตรทำรายการเอง หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ศาลจะไม่ให้ผู้บริโภคต้องรับผิดชอบหนี้ที่มิจฉาชีพก่อขึ้น

💡 คำแนะนำสำหรับผู้ใช้บัตรเครดิต (How-to Protect Yourself)

ถึงแม้กฎหมายจะคุ้มครองเรามากขึ้น แต่การป้องกันเบื้องต้นก็เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น เจ้าของบัตรเองก็ควรมีแนวทางป้องกันหากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับตัวเอง

  • หมั่นเช็ก Notification: เปิดแจ้งเตือนการใช้งานผ่านแอปฯ ธนาคารตลอดเวลา
  • ปฏิเสธทันที: หากพบรายการผิดปกติ ให้รีบโทรอายัดบัตรและปฏิเสธยอดใช้จ่าย (Transaction Dispute) ทันที
  • เก็บหลักฐาน: แคปหน้าจอรายการที่ผิดปกติ หรือเก็บประวัติการแจ้งความ/การโทรติดต่อธนาคารไว้เสมอ

บทสรุป: คำพิพากษานี้ช่วยยกระดับความปลอดภัยในวงการเงิน บีบให้สถาบันการเงินต้องพัฒนาระบบยืนยันตัวตนให้รัดกุมขึ้น ไม่ใช่ปล่อยให้ภาระตกอยู่ที่ผู้บริโภคฝ่ายเดียวเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา

“ข้าวตังปลาหย็อง YOUNG ตัง” ไอเดียจากเด็กหัวไทร เปลี่ยนเอเลี่ยนตัวป่วน สู่เมนูอร่อย

0

ไอเดียเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ สามารถเปลี่ยนเรื่องยาก ให้กลายเป็นโอกาสได้จริง ทั้งหมดเริ่มต้นจากโจทย์ในคาบเรียนการงานอาชีพ โรงเรียนชุมชนวัดเกาะเพชร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ครูให้เลือก “วัตถุดิบท้องถิ่น” มาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของชุมชน ไม่เพียงได้เมนูอร่อย และนำไปสู่การจัดการปัญหาชุมชนอย่างสร้างสรรค์

นายพร้อมพงษ์ โพธิ์สวัสดิ์ อาจารย์โรงเรียนชุมชนวัดเกาะเพชร หรือ ครูจอห์นของน้องๆ กล่าวว่า แนวคิดการเรียนรู้ยุคใหม่ คือ เด็กเป็นศูนย์กลาง ให้คิดจริง ทำจริง และใช้ของในชุมชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในคาบเรียนวิชาการงานอาชีพจึงให้โจทย์กับน้องๆ นักเรียนให้มองของที่อยู่ใกล้ตัวมาทำในสิ่งที่ไม่เหมือนใคร และมีคุณค่า เรียนรู้สู่การสร้างรายได้ เด็กๆ รวมตัวกัน 10 คน กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 2 และ 3 เลือก “ปลาหมอคางดำ” สัตว์น้ำต่างถิ่นที่ระบาดในชุมชน แม้ว่ากินได้แต่คนในพื้นที่ไม่นิยมรับประทาน เพราะเนื้อน้อย กระดูกแข็ง ปลาหมอคางดำเป็น “พระเอก” ของโปรเจกต์ ทำเป็นวัตถุดิบอาหาร ด้วยแนวคิด “เปลี่ยนเอเลี่ยนตัวป่วน…เป็นของอร่อยตัวโปรด” โดยอาศัยความรู้ด้านการแปรรูปอาหารที่เด็ก ๆ เคยเรียนรู้จากปราชญ์ชุมชน และสมาคมประมงพื้นบ้านหัวไทร มาทดลองแปรรูปปลาหมอคางดำจนกลายเป็น “ปลาหย็อง” และนำไปต่อยอดเป็นเมนูใหม่—ข้าวตังปลาหย็อง YOUNG ตัง

ความเด็ดของเมนูนี้ นอกจากจะอร่อยแล้ว น้องๆ ในกลุ่มยังทำให้ผลิตภัณฑ์นี้เป็นของชุมชนในทุกขั้นตอน “ตั้งแต่เมล็ดข้าวจนถึงปลาบนหน้า” แผ่นข้าวตังทำจาก “ข้าวไข่มดริ้น” ข้าวพื้นเมืองหัวไทรที่คนรุ่นใหม่อาจไม่รู้จัก ขึ้นชื่อเรื่องความนุ่ม แน่น มัน และเต็มไปด้วยสารอาหาร สมาชิกในกลุ่มจึงตั้งใจให้คนภายนอกรู้ว่าที่นี่มีของดีมากขึ้น หนุนเป็นสินค้าสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกทางหนึ่ง

การผลิตข้าวตังปลาหย็อง YOUNG ตัง เด็ก ๆ จะใช้ข้าวสวยที่หุงจากข้าวไข่มดริ้น มาบดและรีดเป็นแผ่นบาง ๆ ใช้พิมพ์กดให้เป็นสี่เหลี่ยมหรือวงกลม นำไปตากแดดจนแห้ง จากนั้นนำมาทอดจนเป็นแผ่นข้าวตัง ทาด้วยน้ำพริกเผา โรยหน้าด้วยปลาหย็องที่ทำมาจากปลาหมอคางดำ จากนั้นนำเข้าเตาอบ ออกมาเป็นข้าวตังปลาหย็องพร้อมทาน

เด็กๆ ได้คิดชี่อสินค้าให้สะท้อนความเป็นตัวตน ว่า “ข้าวตังปลาหย็อง YOUNG ตัง” YOUNG สื่อถึงผู้ผลิตที่เป็นเด็กนักเรียน คนรุ่นใหม่ ตัง หมายถึง ข้าวตัง และยังแฝงนัยของคำว่า “ตังค์” ที่หมายถึง เงิน นอกจากนี้ คำว่า ยังตัง ในภาษาถิ่นภาคใต้ ยังมีความหมายว่า มีเงิน สื่อถึงเด็ก ๆ และชุมชนมีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ข้าวตังปลาหย็อง YOUNG ตัง

ปัจจุบัน กลุ่มลูกค้ายังเป็นเพื่อนในโรงเรียน ผู้ปกครอง และคนในชุมชน ซึ่งเด็ก ๆ วางแผนที่จะขยายกลุ่มลูกค้าไปในช่องทางออนไลน์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้แบ่งรายได้ออกเป็น 3 กลุ่ม 40% แบ่งให้สมาชิกในกลุ่ม 50% แบ่งสำหรับต่อยอดผลิตสินค้าต่อ และอีก 10% ที่เหลือจะนำเป็นเงินสำหรับทำพัฒนาชุมชน

ด.ญ. เมษญา โต๊ะกา นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 2 กล่าวว่า กิจกรรมนี้มีประโยชน์มากๆ เด็กได้เรียนรู้การทำขนม ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดเป็นอาชีพสร้างรายได้ นอกจากนี้ ชุมชนมีรายได้และมีความสุขจากการที่เด็กได้อุดหนุนวัตถุดิบของชุมชนทั้ง “ข้าวไข่มดริ้น” และรับซื้อปลาหมอคางดำจากชาวบ้านเดือนละ 50 กิโลกรัม

ด.ญ. วรดา หมัดดำ เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 3 ยังช่วยเสริมอีกว่า ข้าวตังปลาหย็อง จากปลาหมอคางดำ เพิ่มทักษะการทำอาหาร และการได้เรียนรู้เรื่องการค้าขาย ได้ทำจริง เรียนรู้จริง แถมยังมีรายได้ระหว่างเรียนอีกด้วย

ข้าวตังปลาหย็อง YOUNG ตัง เป็นความสำเร็จก้าวแรกของเด็กๆ ที่กำลังช่วยต่อยอดพัฒนาให้มีมาตรฐานความปลอดภัยตามมาตรฐานสินค้าฮาลาล รวมถึงคิดค้นเมนูใหม่ๆ จากปลาหมอคางดำเป็นสินค้าที่สร้างรายได้ให้ชุมชน และช่วยจัดการประชากรปลาหมอคางดำแบบยั่งยืน ครูจอห์น บอกว่า น้องๆ คิดทำเมนูนี้ ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาปลาหมอคางดำเท่านั้น ชุมชนยังสามารถนำไปต่อยอดทำเป็นสินค้าอื่นๆ ซึ่งเมื่อนำปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์กันมากขึ้น ก็ช่วยจูงใจให้เกิดการจับปลาหมอคางดำมากขึ้น เหมือนกับ ที่ตั๊กแตนปาทังก้า หรือ หอยเชอรี่ ที่ปัจจุบันถูกคนไทยจับมาบริโภคกว้างขวางจนปริมาณไม่พอ