Home Blog Page 2

เรื่อง Money กับคนรุ่นใหม่#3 ตอนที่ 4 – จากผู้ออมสู่ผู้ลงทุน

0

การเรียนรู้เรื่องการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการลงทุนสามารถต่อยอดเงินออมของเราให้เติบโตและชนะเงินเฟ้อในอนาคตได้ ขั้นตอนการลงทุนเริ่มตั้งแต่การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์ การสั่งซื้อขายผ่านระบบที่ปลอดภัย การประเมินความเสี่ยงก่อนลงทุน และเมื่อซื้อหุ้นแล้วใช้บริการระบบไร้ใบหุ้น หรือ Scripless ก็จะทำให้สะดวกต่อการซื้อขายโอนเปลี่ยนมือ และปลอดภัยยิ่งขึ้น จากการเป็นเพียง “ผู้ออม” ที่ฝากเงินอย่างเดียว ทุกคนสามารถก้าวสู่การเป็น “ผู้ลงทุน” ได้จริง เพียงแค่เริ่มต้นอย่างถูกวิธีและมั่นใจในระบบที่ปลอดภัย

Money กับคนรุ่นใหม่ #3 จะทำให้เห็นโอกาสของการเป็นผู้ออมสู่ผู้ลงทุน

เรียนรู้การลงทุน และ ติดตามเราได้ที่
INVESTORY Website: https://investory.setgroup.or.th
Line (Official Account) : @INVESTORYMuseum
SET Website: https://www.set.or.th
Facebook : / set.or.th
YouTube : / setthailand
TikTok: / set_thailand
Instagram : / set_thailand
Twitter : / set_thailand

รู้เก็บรู้ออม : Leveraged & Inverse ETF ลงทุนติดเทอร์โบ

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เดือนกันยายนที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯได้เปิดให้ซื้อขายกองทุน ETF 2 แบบใหม่ คือ Leveraged และ Inverse ETF เพิ่มจากเดิมที่มีกอง ETF แบบ passive fund เท่านั้น “คุณนายพารวย” อยากชวนให้มาทำความรู้จักกับเครื่องมือการลงทุนตัวนี้ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสเพิ่มผลตอบแทนและยังช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนได้อีกด้วย

กองทุน ETF หรือ Exchange Traded Fund คือ กองทุนรวมที่ลงทุนโดยอ้างอิงดัชนี เน้นให้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีตลาดหุ้นที่ใช้อ้างอิง และนำหน่วยลงทุนมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้นักลงทุนซื้อขายเปลี่ยนมือได้เรียลไทม์ โดยกองทุน ETF มีผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ทำหน้าที่ส่งคำสั่งเสนอซื้อเสนอขาย เพื่อให้นักลงทุนมั่นใจว่าจะซื้อขาย ETF ได้ และราคาของ ETF เคลื่อนไหวสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหน่วยลงทุน

ETF แบบที่ซื้อขายอยู่ก่อนหน้านี้ เป็นแบบ passive fund ซึ่งมุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหุ้นไทย หุ้นรายกลุ่มอุตสาหกรรม หุ้นต่างประเทศ ทองคำ และตราสารหนี้ ขึ้นกับนโยบายลงทุน ส่วน ETF 2 แบบใหม่ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่งเปิดให้ซื้อขาย คือ Leveraged และ Inverse ETF เป็นกอง ETF ที่มีการซื้อขายและเป็นที่นิยมในต่างประเทศอยู่ก่อนแล้ว

Leveraged ETF เป็น ETF ที่มุ่งหวังผลตอบแทน “ทวีคูณ” รายวันของดัชนี เช่น Leveraged ETF แบบ 2 เท่า (2X) ก็จะให้ผลตอบแทนเป็น 2 เท่าตัวของดัชนีอ้างอิง ETF แบบนี้ จึงทำหน้าที่เป็น “ตัวเพิ่มกำไร” โดยให้ผลตอบแทนเป็นจำนวนเท่า ของผลตอบแทนรายวันของดัชนีอ้างอิง ซึ่งเหมาะกับกรณีที่คาดว่าตลาดจะมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น

ส่วน Inverse ETF เป็น ETF ที่มุ่งหวังผลตอบแทน “ตรงกันข้าม” กับผลตอบแทนรายวันของดัชนีอ้างอิง เช่น ดัชนีปรับขึ้น +1% Inverse ETF แบบ 2I จะให้ผลตอบแทน –2% ดังนั้น Inverse ETF จะทำหน้าที่เป็น “ตัวเสริมพอร์ต” สร้างโอกาสทำกำไรหรือใช้ป้องกันความเสี่ยง ในกรณีที่คาดว่าทิศทางตลาดจะปรับลง

หากมั่นใจว่าตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น การถือ Leveraged ETF จะช่วยสร้างผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในดัชนีโดยตรง ส่วนช่วงตลาดขาลง การเลือกใช้ Inverse ETF ก็เป็นเครื่องมือสร้างกำไรแบบติดคันเร่งในตอนที่ตลาดปรับตัวลง นอกจากนี้ Inverse ETF ยังเป็นเครื่องมือลงทุนที่ช่วยชดเชยมูลค่าพอร์ตที่ลดลงได้ สำหรับผู้ที่ต้องการจัดการความเสี่ยงของพอร์ตหุ้นและต้องการป้องกันความเสี่ยงจากตลาดที่มีแนวโน้มปรับตัวลง

Leveraged ETF และ Inverse ETF จึงเหมาะกับการลงทุนระยะสั้นเป็นหลัก และตัวนักลงทุนต้องมีเวลาอยู่หน้าจอ เพื่อติดตามและทบทวนสถานการณ์ลงทุนของตัวเองทุกวัน ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการถือเพื่อลงทุนระยะยาวเหมือน ETF แบบปกติ เนื่องจากการถือระยะยาว ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากการที่ผลตอบแทนรวมของกองทุน ETF อาจแตกต่างไปบ้างจากผลตอบแทนทวีคูณของดัชนีอ้างอิง โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง

นักลงทุนที่เข้าใจกลไกและเลือกใช้ประเภท ETF ได้เหมาะสมกับสถานการณ์ สามารถใช้ประโยชน์จาก Leveraged ETF และ Inverse ETF ได้เต็มที่ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/leveraged–and–inverse–etf 

คุณนายพารวย

เปิดสถิติย้อนหลัง วงจรดอกเบี้ยขาลง 3 รอบดันทองคำพุ่งเฉลี่ย 32%ต่อเนื่อง 2 ปี เชื่อทองคำไปได้ต่ออีกไกล

0
  • YLG เปิดสถิติช่วงวงจรดอกเบี้ยขาลงก่อนหน้า 3 รอบ หนุนการเคลื่อนไหวทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2 ปีหลังเฟดลดอกเบี้ยครั้งแรก พบรอบดอกเบี้ยขาลงปี 2543 หนุนทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 31% รอบปี 2550 ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 39% และรอบปี 2562 ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 26%
  • ชี้รอบปัจจุบันดอกเบี้ยเริ่มลดครั้งแรกในปี 2567 ส่งผลทองคำพุ่งแล้ว 64% แต่ตลาดยังมองเทรนด์ดอกเบี้ยปีหน้าอาจปรับลดอีก 3 ครั้ง เชื่อหนุนทองคำไปต่อไปอีกไกล มองเป้าหมาย 4,435 และ 4,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ตามลำดับ ส่วนทองคำในประเทศมีโอกาสแตะ 68,500-75,700บาทต่อบาททองคำ
  • พร้อมแนะนำช่องทางเริ่มต้นลงทุนทองคำได้ง่ายๆผ่านแอปพลิเคชัน YLG Get Gold ที่วายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า YLG ยังมองว่าทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำยังเป็นขาขึ้นอย่างน้อย 2 ปี เนื่องจากปัจจัยบวกสำคัญหลายด้านยังแข็งแกร่ง ทั้งการเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก ความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้า แต่ปัจจัยที่สำคัญในช่วง 1- 2 ปี นับจากนี้น้ำหนักจะอยู่ที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ฯ(เฟด) ซึ่งหากดูจากสถิติในช่วงการปรับลดอัตราดอกบี้ยนโยบายของเฟดแต่ละครั้งพบว่ามีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำไปในทิศทางเดียวกัน หากพิจารณาย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 2542 ถึงปัจจุบัน พบว่าเกิดวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด 4 รอบ ดังนี้

  1. ในปี 2543 เกิดฟองสบู่ดอทคอม (Dot-comBubbleBurst) ที่เศรษฐกิจสหรัฐ ฯ โตแรงจากหุ้น เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ก่อนที่ฟองสบู่จะแตก ทำให้ราคาหุ้นเทคโนโลยีร่วงลงอย่างรุนแรง กดดันการลงทุนภาคธุรกิจ (business investment) โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี และตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ
  2. ในปี 2550 เกิดภาวะฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐจากการปล่อยกู้สินเชื่อบ้านเสี่ยงสูง (Subprime Mortgage Crisis) ทำให้เฟดตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. 2550
  3. ปี 2562 หลังจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง ส่งผลให้เฟดตัดสินใจปรับลดอัตรา ดอกเบี้ยล่วงหน้า โดยเฟดระบุว่าเป็น Insurance Cut ก่อนที่เฟดจะปรับ “ลด” อัตราดอกเบี้ย อย่างรวดเร็วในช่วงต้นปี 2563 จากวิกฤติ COVID-19
  4. ปี 2567 หลังจากเงินเฟ้อพุ่งขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง เฟดจึงได้ปรับ นโยบายการเงินเข้าสู่สภาวะปกติ (Fed Policy Normalization) เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ

ทั้งนี้พิจารณาถึงการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในรอบวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด 3 ครั้งก่อน หน้าพบสถิติที่น่าสนใจ ดังนี้

  1. ราคาทองคำตอบสนองในเชิงบวกตลอดช่วง 24 เดือนหลังเฟดเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 31% ในรอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยปี 2543 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 39% ในรอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยปี 2550 และปรับตัวเพิ่มขึ้น 26% ในรอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยปี 2562
  2. อัตราเฉลี่ยของทองคำที่ปรับตัวขึ้นราวอยู่ที่ 32% ในระยะเวลา 2 ปีหลังเฟดเริ่มวงจนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
  3. สำหรับวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรอบปัจจุบันที่เริ่มต้นในปี 2567 ยังไม่แน่ชัดว่าอัตราดอกเบี้ยปลายทาง (Terminal Rate) จะอยู่ที่เท่าไหร่ แต่อัตราดอกเบี้ย ณ ปัจจุบันที่ผ่านมาแล้วเกือบ 1 ปีอยู่ที่ระดับ 4.25% ขณะที่ทองคำปรับตัวขึ้นมาแล้ว 64%

สำหรับการคาดการณ์ปัจจุบัน CME Fed Watch ระบุว่า นักลงทุนมองว่ามีโอกาส 96.8% ที่เฟดจะมี การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคม และมีโอกาส 81.1% ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% อีกครั้งในเดือนธันวาคม นอกจากนี้ นักลงทุนยังเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% อีกด้วย นอกจากนี้ตลาดยังคาดการณ์ว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2026

ส่วนแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ YLG ประเมินว่าหากได้รับปัจจัยบวกอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องมีโอกาสมีอาจจะไปได้ถึง 4,435-4,900 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ และมองว่าทองคำในประเทศมีโอกาสเห็น 68,500-75,700บาทต่อบาททองคำ (คำนวณจากค่าเงินบาท 32.58 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ)

ส่วนนักลงทุนที่สนใจลงทุนกับ YLG สามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆผ่านแอปพลิเคชัน YLG Get Gold ที่วายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง เข้าถึงง่ายด้วยสมาร์ตโฟน และมีความน่าเชื่อถือ ด้านความปลอดภัย สามารถทำกำไรได้จริง โดยผู้สมัครสามารถยืนยันตัวตนพร้อมยื่นเอกสารผ่านแอปพลิเคชัน รู้ผลอนุมัติได้ภายในวันเดียว และสามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำได้ทันที เปิดให้ลงทุนเริ่มที่ 100 บาท ไปจนถึง 80 กิโลกรัมต่อ 1 วัน ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ App Store และ Play Store หรือ LINE : @ylggetgold โทร. 0-2678-9888 #2

AIS ระเบิดโปรแรงส่งท้ายปี “Thailand Mobile Expo 2025” ลดเดือด! สูงสุด 34,000 บาท พร้อมฉลอง 35 ปี ใช้ 1 พอยท์ แลกรับส่วนลดแก็ดเจ็ตสุดคุ้ม!

0

เอไอเอส ตอกย้ำการเป็นศูนย์รวมด้านดิจิทัลไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร เติมเต็มทุกประสบการณ์ด้วยสมาร์ทโฟนและไลฟ์สไตล์ดิจิทัล พร้อมส่งมอบทุกโซลูชันส์ และความสุขส่งท้ายปี 2025 อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยแคมเปญโปรโมชั่นสุดร้อนแรงแห่งปี ในงานมหกรรมมือถือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ Thailand Mobile Expo 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 26 ตุลาคม 2568 ณ บูธ PL10 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จัดเต็มกว่าที่เคย ดีลสมาร์ทโฟนตัวท็อป อาทิ iPhone, Samsung, Xiaomi และ OPPO ลดแรงที่สุดแห่งปีสูงสุด 34,000 บาท และเนื่องในโอกาสฉลอง 35 ปี ขอมอบความว้าว เพียงใช้ AIS Points 1 คะแนน แลกรับส่วนลด 200 บาท สำหรับซื้อสินค้ากลุ่ม Gadget หรือ Accessories มูลค่า 2,000 บาท ต่อใบเสร็จพร้อมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่กล้องอัจฉริยะ AiCAM  และดีไวซ์สุดล้ำระดับเทพและมากกว่าการซื้อสมาร์ทโฟน ลูกค้ายังได้รับสิทธิพิเศษชมความบันเทิงฟรี! ด้วย Entertainment Platform อย่าง AIS PLAY ที่รวมที่สุดแห่งความบันเทิงและกีฬา ดูพรีเมียร์ลีกสด ครบทุกแมตช์ นาน 3 เดือน  และ Play Premium Plus สนุกเต็มแมกซ์ กับ 5 แอปดัง นาน 6 เดือน* เฉพาะรุ่นที่กำหนด  เติมเต็มทั้งสมาร์ทโฟนและไลฟ์สไตล์ในแพ็กเกจเดียว พร้อมของแถมจัดเต็ม

พร้อมกันนี้ยังขนทัพนวัตกรรมดีไซซ์สุดล้ำ และสมาร์ทโฟนระดับเทพ ที่มาพร้อมโปรเด็ดที่เดียวเท่านั้น นำทีมโดย แว่นตาอัจฉริยะ AR รุ่นใหม่ล่าสุด “Rokid AR Spatial” ได้แก่ Rokid Max 2 และ Rokid Station 2 ที่มาพร้อม ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon XR2 Gen 1 และระบบปฏิบัติการ YodaOS-Master ซึ่งออกแบบ โดย Rokid เพื่อการประมวลผลที่รวดเร็วกว่าเดิม ประสิทธิภาพสูง และความหน่วงต่ำให้ภาพที่ คมชัด สมจริง และสบายตา ตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งวัน ซึ่งแว่น Rokid Max 2 ยังสามารถปรับค่าสายตาสั้น ได้ในตัว (Built-in Myopia Adjustment) รองรับผู้ใช้ที่มีค่าสายตาสั้นได้ถึง -6.00D โดยไม่จำเป็นต้องสวมแว่น สายตาทับซ้อน มาพร้อม Rokid Station 2 อุปกรณ์เสริมที่ออกแบบมาเพื่อให้ แว่น Rokid Max 2 ทำงานได้แบบอิสระจากสมาร์ทโฟน พร้อมเพิ่มพลังการประมวลผลระดับ
พรีเมียมสำหรับประสบการณ์ AR แบบไร้สาย ที่ลื่นไหลและมีประสิทธิภาพกับส่วนลดสูงสุด 15% สำหรับชุด Rokid AR Spatial เฉพาะภายในงานนี้เท่านั้น

และเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ด้าน Smart Living & Digital Safety สำหรับครอบครัวไทยในยุคดิจิทัลเอไอเอสยกระดับความปลอดภัย ด้วยกล้องอัจฉริยะ AiCAM จากกล้องวงจรปิดทั่วไป สู่การเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในชีวิตประจำวัน (AI for Everyday Living) พร้อมเปิดตัว 2 ฟังก์ชัน AI ใหม่ล่าสุด ได้แก่ AI Smart Child Care – ฟังก์ชันดูแลเด็กภายในบ้าน ด้วยเทคโนโลยี AI ที่สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมหรือความผิดปกติ และแจ้งเตือนเมื่อพบเด็กออกนอกจากพื้นที่ที่กำหนดไว้ พร้อมบันทึกกิจกรรมประจำวัน เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองสามารถติดตามและดูแลบุตรหลานได้อย่างมั่นใจ และ AI Smart Pet Care – ฟังก์ชันดูแลสัตว์เลี้ยงอัจฉริยะ ที่สามารถจดจำใบหน้าได้ ตรวจจับพฤติกรรม วิเคราะห์ความผิดปกติ รวมถึงแจ้งเตือนเมื่อสัตว์เลี้ยงออกนอกพื้นที่หรือมีอาการผิดปกติ เพื่อให้เจ้าของได้รับข้อมูลและการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์

นอกจากนี้ ในโอกาสครบรอบ 35 ปี เอไอเอสขอแทนคำขอบคุณลูกค้า มอบสิทธิพิเศษผ่านแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ “AIS 1 POINT 12 WEEKS 12 WOW” ที่แจกใหญ่ไม่มีหยุด โดยว้าวนี้เอาใจสาย Gadget และ Accessories โดยเฉพาะ เพียงใช้ AIS Points 1 คะแนน* แลกรับฟรี! ส่วนลด 200 บาท สำหรับซื้อสินค้ากลุ่ม Gadget หรือ Accessories มูลค่า 2,000 บาท ต่อใบเสร็จ (*เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ) กดรับสิทธิ์ได้ในวันที่ 23 ตุลาคม 2568 วันเดียว ผ่านแอป myAIS เท่านั้น พิเศษ! สามารถใช้สิทธิ์ได้ในงาน Thailand Mobile Expo 2025  รวมถึง AIS Shop ทุกสาขา และ AIS Online Store จนถึงวันที่ 23 พ.ย. 68 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ais.th/consumers/privileges/highlight/points/ais-1point-12weeks-12wow

และพิเศษเฉพาะในงาน เอไอเอสชวนเพิ่มความอุ่นใจให้สมาร์ทโฟนทุกเครื่อง กับแพ็กเกจดูแลเครื่องที่ยกขบวน AIS Care+, AIS Care+ with AppleCare Services, AIS Care+ with Samsung Care Services ที่ดูแลทุกเหตุการณ์ไม่คาดคิด ครอบคลุมทุกกรณี ตก แตก พัง หาย พร้อมเปิดตัวบริการใหม่ AIS Screen Care ในงานเป็นที่แรก ในโอกาส 35 ปี เอไอเอส มอบส่วนลด 35% เริ่มต้นเพียง 390 บาทต่อปี ให้ลูกค้าที่ซื้อมือถือแบรนด์ชั้นนำในงานทุกบูธ สามารถมาสมัครบริการได้ที่บูธเอไอเอส ให้ลูกค้าเปลี่ยนหน้าจอฟรี 2 ครั้งต่อปี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม   

AIS พร้อมพาร์ทเนอร์เตรียมจัดเต็มความพิเศษเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และคนไทยทุกคน ในมหกรรมมือถือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ Thailand Mobile Expo 2025 พร้อมโปรโมชั่นและส่วนลดทั้ง Apple และสมาร์ทโฟน Android เรือธงรุ่นฮิต ลดสูงสุด 34,000 บาท ระหว่างวันที่ 23 – 26 ตุลาคม 2568 ณ บูธ PL10 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

เมืองไทยสไมล์คลับ จัดกิจกรรม “เมืองไทยสไมล์ ฟุตบอลคลินิก” ร่วมเติมเต็มความฝัน พร้อมสร้างแรงบันดาลใจ สู่การเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพ

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  โดยเมืองไทยสไมล์คลับ เดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดจัดกิจกรรมสุดพิเศษ “เมืองไทยสไมล์ ฟุตบอลคลินิก” กิจกรรมที่จะเป็นส่วนช่วยสร้างแรงบันดาลใจ เติมเต็มความฝันให้น้อง ๆ สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับและผู้ปกครอง ที่จะก้าวเข้าสู่ฟุตบอลไทย  ในบรรยากาศสุดพิเศษที่สุดแห่งความประทับใจ  ภายในงานมี ดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ  และ นางสาวนิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมให้การต้อนรับน้อง ๆ สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับและผู้ปกครอง ที่เข้าร่วมกิจกรรมเมืองไทยสไมล์ฟุตบอลคลินิก

 โดยในกิจกรรมดังกล่าว เมืองไทยสไมล์คลับ ได้พาน้อง ๆ ผู้มีความฝันและความรักในกีฬาฟุตบอล มาเพิ่มทักษะ เลี้ยง ส่ง โหม่ง ยิง แบบจัดเต็ม นำโดย “โค้ชเอ๊กซ์” วสพล แก้วผลึก โค้ชระดับโปรไลเซนส์ ถ่ายทอดความรู้และเทคนิคด้านฟุตบอล พร้อมเปิดโอกาสให้น้อง ๆ ได้ฝึกฝนความเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพ กับนักฟุตบอลอาชีพสโมสรการท่าเรือ ดีกรีทีมชาติไทย  ไม่ว่าจะเป็น “ต้น” ธีรศักดิ์ เผยพิมาย   “ยิม” วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ  “พีม” สิทธา บุญหล้า และ “ไนซ์” ชานุกูล ก๋ารินทร์  เพื่อนำทักษะต่าง ๆ มาใช้ในสนามจริงกับมินิทัวร์นาเมนต์สุดมัน  และกิจกรรมมินิแมตซ์ ที่ได้รับความรู้เต็มอิ่ม ด้วยการแนะนำเทคนิคก่อนการแข่งขัน สัมผัสบรรยากาศแบบการแข่งขันชุดใหญ่

นอกจากกิจกรรมสนุกสุดฟินตลอดทั้งวันแล้ว “เมืองไทยสไมล์ ฟุตบอลคลินิก” ยังพาน้อง ๆ พบกับแขกรับเชิญสุดพิเศษ! โค้ชมาซาทาดะ อิชิอิ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ที่มาร่วมในการถ่ายทอดประสบการณ์และสร้างแรงบันดาลใจในครั้งนี้ พร้อมมอบประกาศนียบัตรร่วมกับ โค้ชเอ๊กซ์ วสพล แก้วผลึกและถ่ายรูปร่วมกับผู้บริหารจากเมืองไทยประกันชีวิต ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม 

ทั้งนี้สามารถสัมผัสความสุขและรอยยิ้มของน้อง ๆ พร้อมติดตามกิจกรรมสนุก ๆ อีกมากมายจาก เมืองไทยสไมล์คลับ ได้ที่ Facebook Page : Muang Thai Life  และสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ยังสามารถติดตามกิจกรรมรวมถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่เมืองไทยสไมล์คลับคัดสรรมาพิเศษแบบครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ และตอบโจทย์ความหลากหลายทุกความต้องการเพิ่มเติม ได้ที่ MTL Click Application สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือเว็บไซต์ www.muangthai.co.th ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1766 กด 4 เมืองไทยประกันชีวิต หรือศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ

AIS SIAM CO-PLAY NIGHT เปิดสนามบิ๊กแมตช์แดงเดือดใจกลางสยาม!

0

ศึกแดงเดือดครั้งนี้ ร้อนแรงยิ่งกว่าที่เคย เมื่อ AIS SIAM เปิดบ้านต้อนรับเหล่าแฟนบอลทั้งฝั่งหงส์แดง ลิเวอร์พูล และปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในงาน “AIS SIAM CO-PLAY NIGHT” ปาร์ตี้ชมฟุตบอลสุดมันส์ที่จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ท่ามกลางบรรยากาศสุดคึกคักใจกลางสยาม เหล่าแฟนลูกหนังต่างพร้อมใจกันสวมเสื้อทีมรัก มาร่วมเชียร์การแข่งขันนัดหยุดโลกอย่างพร้อมเพรียง

งานนี้จัดเต็มความมันส์ตลอดคืน เริ่มต้นด้วยกิจกรรม Red War Pre-Match การแข่งขันเกม EA SPORTS FC 25 เพื่อเฟ้นหาผู้เล่นฝีมือดี คว้าเงินรางวัลรวมกว่า 3,000 บาท ตามมาด้วยการแสดงสุดพิเศษจากทีม CU POMPOM ที่มาร่วมเติมสีสันและความสนุกให้กับบรรยากาศ และอีกหนึ่งไฮไลต์ของค่ำคืนคือกิจกรรม “Red War: The Cosplay Rivalry การประชันไอเดียของแฟนบอลจากทั้งสองทีม คอสเพลย์เป็นนักเตะขวัญใจ เพื่อชิงเงินรางวัลรวมกว่า 2,000 บาท นอกจากนี้ยังมี กิจกรรม Lucky Draw ให้แฟนบอลได้ร่วมลุ้นเสื้อลิขสิทธิ์แท้จาก ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมของรางวัลอื่นๆ อีกมากมายที่แจกกันแบบจัดเต็ม สร้างความตื่นเต้นและสนุกสนานตลอดทั้งงาน

ความพิเศษยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะภายในงานยังได้ต้อนรับแขกรับเชิญสายกีฬาและคอบอลตัวจริง นำโดยโฟนตุง อินฟลูเอนเซอร์สายผีแดง, กายจิโอรามอส แฟนหงส์แดงพันธุ์แท้, ฟูไอซ์ ธนวัตร นักแสดงหนุ่มรุ่นใหม่หัวใจยูไนเต็ด และ ที Jetset’er นักร้องเสียงนุ่มผู้หลงใหลในทีมลิเวอร์พูล มาร่วมแบ่งปันความประทับใจและส่งแรงเชียร์ให้กับทีมรัก สร้างสีสันและความทรงจำสุดประทับใจในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยพลังของแฟนบอลตัวจริง

สำหรับผลการแข่งขันในครั้งนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายบุกมาเอาชนะ ลิเวอร์พูล ถึงถิ่นแอนฟิลด์ไปได้ 2-1 ท่ามกลางเสียงเชียร์อันเร้าใจที่ดังสนั่นแม้จะมีฝนโปรยปราย แต่ก็ไม่อาจดับความร้อนแรงของเกมและพลังของแฟนบอลได้ และยังมีการถ่ายทอดสดบิ๊กแมตช์ “แดงเดือด” บนจอยักษ์หน้าตึก AIS SIAM ซึ่งกลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของการชมฟุตบอลร่วมกันใจกลางเมือง และจุดรวมพลังของคนรักฟุตบอล พร้อมตอกย้ำบทบาท Teen Sport Community Hub ที่สนับสนุนคนรุ่นใหม่ในสายกีฬาอย่างแท้จริง

ติดตามกิจกรรมดีๆ ที่ AIS SIAM พื้นที่ของคนรุ่นใหม่ ที่เปิดโอกาสให้ทุกแรงบันดาลใจได้มาเชื่อมโยงกันอย่างไร้ขีดจำกัด เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 – 21.00 น. ที่ AIS SIAM สยามสแควร์ ซอย 7

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดรับฟังความคิดเห็นการปรับปรุงเกณฑ์กำกับดูแล บจ. เพิ่มความโปร่งใสและคุ้มครองนักลงทุน ลดความซ้ำซ้อนกับเกณฑ์ ก.ล.ต.

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้ายกระดับเกณฑ์การกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน (“บจ.”) และการเปิดเผยข้อมูล โดยเปิดรับฟังความคิดเห็นการปรับปรุงเกณฑ์จากผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่อง “การทบทวนเกณฑ์กำกับบริษัทจดทะเบียน และการเปิดเผยข้อมูลของทรัสต์ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน” เพิ่มความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลให้ครบถ้วน เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ เพียงพอ ทันต่อเหตุการณ์ สอดคล้องมาตรฐานสากล และลดความซ้ำซ้อนกับเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. โดยมีสาระสำคัญของเกณฑ์ที่เสนอปรับปรุงใน 7 ด้าน ดังนี้

1. เพิ่มการเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหุ้นที่เป็นปัจจุบันเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ได้แก่ กรณีมีการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นตามรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหุ้นสามัญของกิจการ (แบบ 246) และกรณีมีการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์แล้วเสร็จตามรายงานผลการทำ Tender Offer (แบบ 256) โดยให้เปิดเผยข้อมูลเป็นรายเดือนภายหลังจากได้รับการรายงานดังกล่าว

2. เพิ่มการเปิดเผยรายการที่มีความเสี่ยงต่อฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน เช่น

  • ให้ บจ. เปิดเผยข้อมูลเมื่อมีการบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์หรือผลขาดทุนด้านเครดิต หรือไม่ได้รับเงินมัดจำในการทำธุรกิจคืนตามกำหนด ในสัดส่วนที่เกินกว่า 50% ของรายได้หรือมูลค่ารายการนั้น ๆ  โดยให้เปิดเผยข้อมูลพร้อมกับการนำส่งงบการเงิน

3. ปรับปรุงเกณฑ์ Backdoor Listing โดยพิจารณาจากผลลัพธ์และเนื้อหาสาระที่แท้จริง (Substance) ของรายการเป็นสำคัญ มากกว่ารูปแบบรายการซึ่งสอดคล้องกับตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ เช่น การได้มาซึ่งสินทรัพย์จากเจ้าของเดิมซึ่งเป็นได้ทั้งบริษัทจดทะเบียนและบริษัทนอกตลาด และส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะธุรกิจหรืออำนาจควบคุมที่สำคัญ เป็นต้น รวมถึงการปรับปรุงเกณฑ์ให้สอดคล้องกับเกณฑ์การทำรายการที่มีนัยสำคัญ (Material Transaction: MT) ของสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับผู้ปฏิบัติ เช่น การนับรวมขนาดรายการ การดำเนินการเมื่อมีรายการ Backdoor Listing เป็นต้น

4. ปรับปรุงเกณฑ์ Cash Company โดยพิจารณาจาก “โครงสร้างสินทรัพย์” โดยรวม หากบริษัทมีสินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นเงินสดหรือหลักทรัพย์ระยะสั้น จะเข้าข่ายเป็น Cash Company ทันที โดยไม่จำกัดว่าต้องเกิดจากการขายสินทรัพย์ที่ใช้ประกอบธุรกิจออกไปเท่านั้น รวมถึงปรับปรุงเงื่อนไขในการเข้าจดทะเบียนของสินทรัพย์ใหม่ให้ชัดเจน

5. ทบทวนเกณฑ์การขึ้นเครื่องหมาย C (Caution) โดยปรับการนับระยะเวลาการขึ้นเครื่องหมาย CC (Non-Compliance) และ CF (Free Float) จาก “วันที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับข้อมูล” เป็น “วันที่บริษัทมีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อมูล” เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทได้ประโยชน์จากการเปิดเผยข้อมูลล่าช้า

6. ทบทวนเกณฑ์เปิดเผยข้อมูล และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดความซ้ำซ้อนและสอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน อาทิยกเลิกเกณฑ์ที่ซ้ำซ้อนกับเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อไม่ให้ บจ. เกิดความสับสนในการปฏิบัติ เช่น เกณฑ์การทำรายการที่มีนัยสำคัญ (Material Transaction: MT) และการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน (Related Party Transaction: RPT) เป็นต้น รวมถึงยกเลิกการเปิดเผยข้อมูลการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งถือเป็นธุรกิจปกติและเพิ่มการเปิดเผยข้อมูลกรณี บจ. ถูกฟ้องล้มละลาย

7. ทบทวนเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลของทรัสต์ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โดย ปรับปรุงเกณฑ์ให้สอดคล้องกับการเปิดเผยข้อมูลของ บจ. และเหมาะสมกับลักษณะผลิตภัณฑ์ เช่น เพิ่มการเปิดเผยข้อมูลการบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์ ยกเลิกการเปิดเผยเกี่ยวกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพิ่มการเปิดเผยข้อมูลกรณีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานมีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูหรือถูกฟ้องล้มละลาย เป็นต้น

การเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นพร้อมรายละเอียดบนเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ https://www.set.or.th/th/rules-regulations/market-consultation หัวข้อการทบทวนเกณฑ์กำกับบริษัทจดทะเบียน และการเปิดเผยข้อมูลของทรัสต์ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน สามารถร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่ https://forms.gle/Kiun5QRsvrNojRdMA จนถึง 14 พฤศจิกายน 2568

กินเจ อย่างไรไม่ให้ขาดสารอาหาร

0

นักกำหนดอาหารวิชาชีพ แนะ กินเจ ควรเลือกกินให้หลากหลาย หมุนเวียน ให้ครบ 5 หมู่ เพื่อไม่ให้ขาดสารอาหาร ชี้ โปรตีนจากพืช ถือเป็นโปรตีนที่ดี

นางสาวอรนันท์ เสถียรสถิตกุล นักกำหนดอาหารวิชาชีพ กล่าวว่า “กินเทศกาลเจ” หลายคนมักกังวลเรื่องสารอาหารที่ขาดไป เนื่องจากเป็นช่วงที่งดรับประทานเนื้อสัตว์

การงดเนื้อสัตว์เป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ร่างกายมีโอกาสที่จะขาดโปรตีนและวิตามินบางชนิด เช่น B3 B6 B12 โดยเฉพาะ B12 ธาตุเหล็ก สังกะสี ที่มีอยู่ในเฉพาะเนื้อสัตว์เนื้อแดงเท่านั้น แต่สำหรับเทศกาลกินเจ ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลระยะสั้นไม่เกิน 10 วัน หากงดรับประทานเนื้อสัตว์ช่วงเวลาสั้นๆ ร่างกายจะยังมีวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้เพียงพอไม่ก่อให้เกิดอันตราย

สำหรับผู้ที่มีความกังวลว่าจะขาดสารอาหาร ปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์แพลนต์เบส มีท หรือเนื้อสัตว์แปรรูปจากพืช เป็นโปรตีนทางเลือกให้กับผู้ที่มองหาแหล่งโปรตีนเพิ่มเติมในช่วงเทศกาลกินเจ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์แพลนต์เบส (Plant-based) คือ ผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนที่มีส่วนประกอบหลักมาจากพืช ส่วนใหญ่ผลิตมาจากโปรตีนถั่ว

ผู้ที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ แม้เลือกบริโภคโปรตีนจากแพลนต์เบสทดแทน แต่ควรบริโภคให้หลากหลาย จากแหล่งวัตถุดิบที่มาแตกต่างชนิดกัน เช่น จากถั่ว งา อัลมอนด์ ไม่ว่าจะเป็นนมถั่วเหลือง หรือนมอัลมอนด์ เพื่อเติมโปรตีน กรดอะมิโน แคลเซียม วิตามิน หรือแร่ธาตุต่างๆ ที่ร่างกายขาดไปให้ครบ โดยแหล่งโปรตีนจากพืชที่ทำจากถั่วเหลือง อาทิ เต้าหู้ เป็นกลุ่มโปรตีนที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วนใกล้เคียงเนื้อสัตว์

ข้อควรระวังในการกินเจ การรับประทานแป้ง และของทอด ที่มากเกินไปอาจส่งผลต่อการเพิ่มของแคลอรี่ได้ และเพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร ควรวางแผนการกินเจให้ครบ 5 หมู่ เปลี่ยนโปรตีนจากเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนจากพืช ถั่ว ธัญพืช แพลนท์เบส เลือกกินให้หลากหลาย หมุนเวียน อย่ากินอาหารซ้ำๆ และเน้นกินผัก ผลไม้ ให้ได้ใยอาหาร รวมถึงการดื่มน้ำ การพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อจบเทศกาลการกินเจ ระบบทางเดินอาหารควรปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากการกินอาหารอ่อนๆ เลือกโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น ไข่ หรือปลาแล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณการทานเนื้อสัตว์อื่น ๆ จนเข้าสู่ภาวะปกติ

“CP ISAN RUN FOR CHARITY 2025” CPF ชวนเดิน–วิ่งการกุศล สมทบทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ ช่วย รพ.มทส.–รพ.เทพรัตน์ฯ

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดย ชมรม CPF Running Club สานต่อเจตนารมณ์ “ทำดีเพื่อสังคม” ผ่านกิจกรรมเดิน–วิ่งการกุศล “CP ISAN RUN FOR CHARITY 2025” รวมพลังพันธมิตรและนักวิ่งสายบุญกว่า 1,800 คน ร่วมส่งต่อ “พลังแห่งการให้” นำเงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย รวมทั้งสิ้น 903,100 บาท สมทบทุนการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ มอบให้แก่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และ โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา

พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นายกิตติศักดิ์ ธีระวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วยผู้บริหารจากโรงพยาบาลทั้งสองแห่ง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และ นายบุญเสริม เจริญวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ด้านบริหารกระบวนการธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ

รองผู้ว่าฯ นครราชสีมา กล่าวชื่นชมและขอบคุณซีพีเอฟที่จัดกิจกรรมดีๆ อย่างต่อเนื่องถึง 10 ปี กิจกรรมนี้ไม่เพียงส่งเสริมสุขภาพกายและใจของประชาชน แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงพลังแห่งความสามัคคี และน้ำใจของคนไทยที่ไม่ทอดทิ้งกัน เป็นแบบอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน

“งบฯสนับสนุนจากกิจกรรมในครั้งนี้ จะถูกนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาพยาบาล ถือเป็นพลังจากทุกก้าวของนักวิ่งที่ส่งต่อความหวังและคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ป่วยในพื้นที่“ ผศ.พญ.นพร อึ้งอาภรณ์ รักษาการแทนผู้อำนวยการ รพ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กล่าว

ด้าน นพ.ธีรพงศ์ โศภิษฐิกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ รพ.เทพรัตน์นครราชสีมา เสริมว่า การได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งพลังแห่งความห่วงใยที่ช่วยเสริมศักยภาพระบบสาธารณสุขไทย และช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการบริการอย่างทั่วถึง

นายบุญเสริม กล่าวว่า ซีพีเอฟ จัดกิจกรรม ‘CPF Run for Charity’ อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 เพื่อส่งเสริมให้พนักงานและประชาชนมีสุขภาพแข็งแรงควบคู่กับการทำความดีเพื่อส่วนรวม ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา เรารวมพลังนักวิ่งทั่วประเทศ รวมระยะทางกว่า 613,000 กิโลเมตร และมอบรายได้กว่า 17 ล้านบาท ให้กับโรงพยาบาลในหลายจังหวัด สอดคล้องตามหลักปรัชญา ‘3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน’ ของเครือซีพี คือ ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และองค์กร

บรรยากาศภายในงานเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความสุขและความสามัคคี นักวิ่งและกองเชียร์ร่วมสร้างสีสันแห่งรอยยิ้ม พร้อมเพลิดเพลินกับอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพจากแบรนด์ในเครือซีพีเอฟ อาทิ ไข่ต้มพร้อมทาน ไส้กรอก ไก่ปรุงสุก CP หมูบดชีวาผสมไข่ผำ ไก่จ๊อห้าดาว นมเมจิ และขนมปัง รวมถึง Jerhigh & Jinny ที่มอบความสุขให้ทั้งนักวิ่งและเพื่อนสี่ขาอย่างอบอุ่น

กิจกรรม “CPF Run for Charity” ครั้งต่อไป เตรียมจัดขึ้น ณ จังหวัดสงขลา ในปีหน้า เชิญชวนทุกคนมาร่วมวิ่งเพื่อส่งต่อ ”พลังแห่งการให้“ ไปด้วยกัน.

สมุทรสาครโชว์ผลงาน 2 ปีกำจัดปลาหมอคางดำ 2.9 ล.ตัว ฟื้นสมดุลแหล่งน้ำพร้อมสร้างโอกาสให้ชุมชน

0

ประมงสมุทรสาครโชว์ผลสำรวจ “ปลาหมอคางดำ” ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนความสำเร็จของการบูรณาการทุกภาคส่วนภายใต้ 7 มาตรการจัดการปลาต่างถิ่นของกรมประมง ที่ดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา สามารถกำจัดปลาหมอคางดำได้แล้วกว่า 2.9 ล้านตัว พร้อมเปลี่ยนเป็น “โอกาสสร้างรายได้และคุณค่าให้ชุมชนและสังคม” อย่างยั่งยืน

นายเผดิม รอดอินทร์ ประมงจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า จากผลสำรวจของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งสมุทรสาคร ในเดือนกันยายน 2568 พบว่าปริมาณความหนาแน่นของปลาหมอคางดำเฉลี่ยทั้งจังหวัดลดเหลือ 19 ตัวต่อ 100 ตารางเมตร ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกของการฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่ และสะท้อนถึงพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ชุมชน เกษตรกร และชาวประมงในพื้นที่ และยังเดินหน้าดำเนินการ 7 มาตรการโครงการควบคุมและกำจัดประชากรปลาหมอคางดำต่อเนื่อง ล่าสุดร่วมกับชุมชนปล่อยปลาผู้ล่ามุ่งตัดวงจรการแพร่กระจายปลาต่างถิ่น และสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมของชุมชนตั้งแต่การแจ้งเตือน การจับ การนำมาใช้ประโยชน์ เพื่อให้ปลาหมอคางดำลดจำนวนลงจนอยู่ระดับที่ควบคุมได้

ประมงจังหวัดสมุทรสาคร สำนักงานเกษตรจังหวัดสมุทรสาคร สถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดสมุทรสาคร สภาเกษตรกรจังหวัดสมุทรสาคร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน หน่วยงานในพื้นที่ ประชาชน คณะครู บุคลากร ผู้ปกครอง และนักเรียนโรงเรียนบ้านแพ้ววิทยา (ตี่ตง) โรงเรียนบ้านดอนไผ่ (อุดม-สอางค์ อุ่นสุวรรณ) โรงเรียนวัดอ่างทอง โรงเรียนวัดบางยาง เข้าร่วมกิจกรรมปล่อยปลากะพงขาวขนาด 4 นิ้วขึ้นไปรวม 10,000 ตัวในแหล่งน้ำธรรมชาติทั้ง 4 จุดในอำเภอบ้านแพ้ว และอำเภอกระทุ่มแบน โดยพันธุ์ปลาที่ปล่อยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ

การปล่อยผู้ล่าในแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญช่วยตัดวงจรการแพร่พันธุ์ของปลาหมอคางดำ นายเผดิมกล่าวว่า “มาตรการนี้จะเกิดประสิทธิภาพต้องอาศัยความร่วมมือจากชุมชนให้ช่วยกันดูแล ไม่จับปลากะพงขาวในช่วง 3 เดือนแรก เพื่อให้ปลาได้ทำหน้าที่ผู้ล่าอย่างเต็มที่ และจับได้ต่อเมื่อปลากะพงขาวโตเต็มวัย เป็นการจัดการระบบนิเวศแบบพึ่งพาธรรมชาติ ซึ่งในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ประมงสมุทรสาครได้ปล่อยปลาผู้ล่าไปแล้วกว่า 3 แสนตัว มีทั้งปลากะพงขาว ปลาอีกง เป็นต้น และยังมีแผนปล่อยอย่างต่อเนื่อง”

ประมงสมุทรสาครยังเดินหน้ามาตรการอื่นๆ ทั้งการจัดกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” จับปลาหมอคางดำ ทั้งในแหล่งน้ำธรรมชาติ รวมทั้งในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาสามารถนำปลาหมอคางดำออกจากระบบนิเวศได้แล้วกว่า 2.9 ล้านตัว นับเป็นสถิติที่สูงสุดในประเทศ โดยมี จุดเด่นของการมีแนวร่วมที่ดีและเข้มแข็งทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน เกษตรกร และชาวประมง อาทิ โรงงานปลาป่นในพื้นที่ ได้แก่ โรงงานศิริแสงอารำพี โรงงานท่าจีนนำไปผลิตปลาป่น และชาวบ้านนำปลาไปแปรรูปเป็นอาหารบริโภคในครัวเรือน และจำหน่ายสร้างรายได้เสริม

อีกหนึ่งนวัตกรรมการจัดการ คือ โครงการ “ศูนย์การเรียนรู้ของเสียที่ไม่เสีย (Waste, not wasted)” ที่ประมงสมุทรสาครร่วมกับเกษตรกรอำเภอบ้านแพ้ว นำปลาหมอคางดำไปหมักเป็น น้ำหมักชีวภาพ สำหรับให้เกษตรกรในพื้นที่นำไปใช้ โครงการนี้ช่วยกำจัดปลาหมอคางดำออกจากระบบได้ถึง เดือนละกว่า 6,000 กิโลกรัม หรือปีละ 72,000 กิโลกรัม และเพิ่มมูลค่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกษตรกรนำไปใช้ปรับปรุงดินแทนปุ๋ยเคมี ซึ่งเป็นโครงการเพิ่มเติมต่อยอดจากความร่วมมือกับ การยางแห่งประเทศไทย กรมพัฒนาที่ดิน และหมอดินในพื้นที่ ในการผลิตน้ำหมักชีวภาพเพื่อส่งต่อให้เกษตรกร

อีกความร่วมมือในการแก้ปัญหาปลาต่างถิ่นเชิงสร้างสรรค์ คือโครงการ หมักน้ำปลาจากปลาหมอคางดำ ภายใต้แบรนด์ “หับเผยสมุทรสาคร” ที่ประมงสมุทรสาครร่วมกับ เรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร และ ซีพีเอฟ เพื่อสร้างทักษะอาชีพให้ผู้ต้องขัง พร้อมเพิ่มมูลค่าให้ปลาหมอคางดำ นำไปสู่การเป็นผลิตภัณฑ์โอทอปของจังหวัดต่อไป

นอกจากการควบคุมและกำจัด ประมงสมุทรสาครยังให้ความสำคัญกับการ ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ โดยปล่อยพันธุ์ปลาพื้นถิ่น เช่น ปลาตะเพียน ปลาอีกง และกุ้งทะเลกว่า 7 ล้านตัว ลงในแหล่งน้ำธรรมชาติ

นายเผดิม กล่าวทิ้งท้ายว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่แค่จำนวนปลาหมอคางดำที่ลดลง แต่คือพลังความร่วมมือของคนทั้งจังหวัด ที่เปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นพลังสร้างสรรค์ เพื่อคืนความสมดุลของระบบนิเวศและสร้างความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง”