Home Blog Page 190

ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำความผิด 18 ราย ต่อ บก.ปอศ. กรณีหุ้น MORE

0
ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำความผิด 18 ราย ได้แก่ (1) นายอภิมุข บำรุงวงศ์ (2) นายเอกภัทร พรประภา (3) นายอธิภัทร พรประภา (4) นางอรพินธุ์ พรประภา (5) นายประยูร อัสสกาญจน์ (6) นายวสันต์ จาวลา (7) Mr. Shubhodeep Prasanta Das (8) บริษัท ตงฮั้ว แคปปิตอล จำกัด (9) บริษัท ตงฮั้ว มีเดีย แล็บ จำกัด (10) นายสมนึก กยาวัฒนกิจ (11) นางสาวจิระวรรณ ไชยพงศ์ผาติ (12) นางสาวปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา (13) นางสาวอัยลดา ชินวัฒน์ (14) นางสาวสุร์ศิริ ปรีดาสุทธิจิตต์ (15) นายอิทธิวรรธน์ วรรณะเอี่ยมพิกุล (16) นายมั่นคง เสถียรถิระกุล (17) นายโสภณ วราพร และ (18) นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กรณีสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) (MORE)

รายงานข่าวเปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรณีการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ของกลุ่มบุคคลที่อาจเข้าข่ายเป็นการสร้างราคา และข้อมูลจาก บก.ปอศ. กรณีมีบริษัทหลักทรัพย์รวม 10 แห่ง ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับบุคคลหลายรายในข้อหาฉ้อโกง โดยทุจริต หลอกลวง ทำให้ได้ไปซึ่งเงินค่าซื้อขายหลักทรัพย์จากบริษัทหลักทรัพย์ เป็นเหตุให้บริษัทหลักทรัพย์ได้รับความเสียหาย และทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE รวมถึงพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง

ก.ล.ต. ได้ตรวจสอบเพิ่มเติมและประสานการทำงานร่วมกับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และ บก.ปอศ. เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน พบว่า ผู้กระทำความผิดทั้ง 18 ราย ซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทั้งด้านความสัมพันธ์ส่วนตัว ทางเงิน การซื้อขายหลักทรัพย์ รวมถึงช่องทางและสถานที่ในการส่งคำสั่งซื้อขาย ได้แบ่งหน้าที่กันในการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 โดยส่งคำสั่งซื้อขายที่มีการจับคู่ซื้อขายกันในปริมาณมาก ทำให้ราคาเปิดของหลักทรัพย์ MORE สูงกว่าราคาปิดของวันก่อนหน้า อันเป็นการทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขายของหลักทรัพย์ MORE อันเข้าข่ายเป็นฝ่าฝืนมาตรา 244/3 (1) ประกอบมาตรา 244/5 และมาตรา 244/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 18 ราย ต่อ บก.ปอศ. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้รายงานการดำเนินการดังกล่าวต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป เนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ทั้งนี้ การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนดุลพินิจของศาลยุติธรรม ตามลำดับ

ในกรณีนี้ ก.ล.ต. ได้รับการสนับสนุนข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และได้ประสานความร่วมมือกับ บช.ก. โดย บก.ปอศ. ในการตรวจสอบรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายในการทำงานเชิงรุกร่วมกันในการสืบสวนและตรวจสอบการกระทำผิดเกี่ยวกับตลาดทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งจากการบูรณาการการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ทำให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ก.ล.ต. จะร่วมมือกับพนักงานสอบสวนในการตรวจสอบการซื้อขายในช่วงเวลาอื่นเพิ่มเติมอีกด้วย

AIS จับมือ สามเสนวิทยาลัย ดันหลักสูตรอุ่นใจ CYBER เป็นแบบเรียนเยาวชน

0
หลังจากที่ AIS ได้ลงนาม MOU ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีเป้าหมายนำเนื้อหาในหลักสูตรอุ่นใจ CYBER ไปสู่เยาวชนและนักเรียน ผ่านโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ที่ครอบคลุมเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 245 เขต รวม 29,000 โรงเรียนทั่วประเทศ ล่าสุดได้ ร่วมกับ “โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย” นำหลักสูตรอุ่นใจ CYBER เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมตั้งเป้าเป็นโรงเรียนต้นแบบแห่งแรกของประเทศ ที่นักเรียนทุกระดับชั้น คณะครู และบุคลากร เข้าเรียนรู้หลักสูตรอุ่นใจ CYBER และวัดระดับจนมีทักษะดิจิทัลครบ 100% ภายในภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2565

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “นับเป็นก้าวสำคัญที่เราได้เริ่มขยายผลหลักสูตรอุ่นใจ CYBER เข้าไปสู่สถาบันการศึกษาอย่างเต็มรูปแบบ ผ่านความร่วมมือกับโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ด้วยการนำหลักสูตรเข้าไปอยู่ในการเรียน การสอน หรือกิจกรรมที่เพิ่มพูนความรู้ทักษะดิจิทัล เพื่อส่งเสริมเป้าหมายให้เยาวชนยุคใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับโลกออนไลน์ สามารถใช้เครื่องมือเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ได้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ที่อยู่รอบตัวเราตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยให้พร้อมใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัลได้อย่างมีคุณภาพ ปลอดภัย และสร้างสรรค์

ความสำเร็จของการยกระดับหลักสูตรอุ่นใจ CYBER ในครั้งนี้ เกิดจากการร่วมมือของ 3 ประสานสำคัญ ได้แก่ 1.) ตัวนักเรียนเองที่ให้ความสนใจในการเรียนรู้ทักษะดิจิทัล 2.) โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ที่ให้การสนับสนุนโครงการอย่างเต็มที่ 3.) สมาคมผู้ปกครองและครู ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เยาวชนตระหนักถึงภัยทางไซเบอร์ นอกจากนี้แล้วที่ขาดไม่ได้เลยนั่นคือการให้ความสำคัญจากสพฐ. โดยการทำงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ที่เล็งเห็นประโยชน์ของความรู้ทักษะดิจิทัล โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลักสูตรอุ่นใจ CYBER จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ เพื่อผลักดันเป้าหมายการสร้าง Digital Citizenship หรือ พลเมืองดิจิทัล ในอนาคต”

นายถนอม บุญโต รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กล่าวในฐานะส่วนหนึ่งในการขยายหลักสูตรไปยังโรงเรียนในสังกัดสพฐ. ว่า “การปลูกฝังให้เยาวชนรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ เป็นหนึ่งในภารกิจหลักของสพฐ. ที่ตั้งใจผลักดันให้เป็นแบบเรียนของเยาวชน ซึ่งจะช่วยยกระดับภาคการศึกษาไทยให้มีองค์ความรู้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี นอกจากนี้หลักสูตรอุ่นใจ CYBER ของเอไอเอส ยังสอดคล้องกับแนวทางของโครงการสถานศึกษาปลอดภัย ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของกระทรวงศึกษาธิการ ดังนั้น เราจึงมีเป้าหมายสนับสนุนให้สถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศ นำหลักสูตรอุ่นใจ CYBER ไปประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาทักษะทางดิจิทัลและความฉลาดทางดิจิทัลให้กับนักเรียน โดยปัจจุบันโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ถือเป็นโรงเรียนต้นแบบโรงเรียนแรกในประเทศที่นำหลักสูตรไปปรับใช้จริงอย่างเต็มรูปแบบ”

นายประจวบ อินทรโชติ ผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า “โรงเรียนสามเสนวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์ จึงได้เริ่มนำหลักสูตรอุ่นใจ CYBER เข้ามาประยุกต์ใช้ในห้องเรียน ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2565 ซึ่งตั้งเป้าหมายที่บุคลากรรู้และจะให้นักเรียนกว่า 3,000 คน ตั้งแต่ระดับชั้น ม.1 – ม.6 ผ่านการทดสอบองค์ความรู้และเรียนจบหลักสูตรครบทั้ง 100% ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ด้วยการกระตุ้นให้ครูผู้สอนนำไปวางแผนและปรับใช้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาต่างๆ เช่น วิชาวิทยาการคำนวณ และกิจกรรมแนะแนว เป็นต้น“

ซีพี-ซีพีเอฟ ส่งเสบียง ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุแผ่นดินไหวตุรเคีย-ซีเรีย

0
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รับมอบความช่วยเหลือจากเครือซีพี-ซีพีเอฟ โดยนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ในการสนับสนุนด้านอาหาร เครื่องดื่มและซิมโทรศัพท์แก่ทีมกู้ภัยของประเทศไทยในภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุแผ่นดินไหวประเทศตุรเคีย ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

นายบุญธรรม กล่าวว่า ขอขอบคุณเครือซีพี-ซีพีเอฟ ที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือสนับสนุนอาหารอย่างรวดเร็ว รวมถึงทรูที่สนับสนุนซิมให้แก่ทีมกู้ภัย ตลอดจนภาคเอกชนอื่นๆ ทำให้กรมฯสามารถระดมทีม เครื่องไม้เครื่องมือ และความพร้อมในการช่วยเหลือ ได้ภายในเวลาไม่ถึง 2 วัน แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องคนไทยทุกภาคส่วน ทีมกู้ภัยขนาดกลางของไทยชุดนี้ จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับทีมกู้ภัยประเทศต่างๆ ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ตุรเคีย โดยมีภารกิจสำคัญคือการค้นหาและการกู้ภัย

ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศตุรเคีย-ซีเรีย และได้ดำเนินการส่งมอบความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่อย่างเร่งด่วนด้วยความห่วงใย โดยเบื้องต้นได้ส่งมอบถุงยังชีพ และจัดตั้งโรงครัวบริเวณรอบโรงงาน ปรุงอาหารช่วยเหลือผู้ประสบภัยและเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย ซึ่งเป็นไปตามปรัชญา 3 ประโยชน์ นั่นคือธุรกิจของบริษัทต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศที่ไปลงทุน ต่อประชาชนในประเทศนั้น และต่อองค์กรเป็นลำดับสุดท้าย

ล่าสุด เครือซีพี-ซีพีเอฟ ได้ร่วมส่งมอบอาหารและเครื่องดื่ม ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยที่ส่งทีม USAR Thailand จำนวน 42 คน ในนามรัฐบาลไทย เข้าร่วมภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ณ ประเทศตุรเคีย โดยจะเดินทางโดยสายการบินตุรเคียแอร์ไลน์ ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 และอยู่ร่วมปฏิบัติภารกิจเป็นเวลา 10 วัน โดยผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งมอบให้กับทีม USAR Thailand ประกอบด้วย อาหารพร้อมรับประทาน จำนวน 1,500 แพ็ค ได้แก ไก่ชุบแป้งทอด และโบโลน่าไก่ ตลอดจนน้ำดื่ม 5,000 ขวด รวมมูลค่ากว่า 4 แสนบาท นอกจากนี้ทรู ยังร่วมอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสาร หนุนภารกิจทีมกู้ภัย ด้วยการมอบซิมโรมมิ่งจาก ทรูมูฟ เอช จำนวน 50 ซิม สามารถใช้โทรเข้า-ออก ส่งข้อความ และใช้ดาต้าโรมมิ่ง 5G ตลอด 24 ชั่วโมง นาน 30 วัน

สำหรับ สำนักงานของซีพีเอฟในประเทศตุรเคีย แม้จะได้รับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว แต่ไม่ได้สร้างความเสียหายต่อธุรกิจ รวมถึงพนักงานทุกคนยังคงปลอดภัยดี เนื่องจากทางบริษัทมีการวางมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) เตรียมแผนรองรับไว้ ขณะเดียวกัน บริษัทได้ให้การดูแลพนักงานโดยจัดให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย พร้อมมอบเงินช่วยเหลือในสถานการณ์นี้จำนวน 2000 TL แก่พนักงานทุกคน อย่างไรก็ตาม พบว่ามีคนในครอบครัวของพนักงานบางส่วนได้รับผลกระทบ ซึ่งบริษัทจะดำเนินการพิจารณาให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนต่อไป รวมถึงการให้ความช่วยเหลือลูกค้าและคู่ค้าของบริษัทด้วย

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึก 38 รพ.คู่สัญญา ขยายระยะเวลาให้บริการ Telemedicine สำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า  เพื่อเป็นการมอบความอุ่นใจ การอำนวยความสะดวก และการลดความเสี่ยงจากการเดินทางออกจากบ้านให้กับผู้เอาประกันภัย  อีกทั้งยังเป็นการช่วยควบคุม เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) เมืองไทยประกันชีวิต ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลคู่สัญญาที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 38 แห่ง  ขยายระยะเวลาในการให้บริการพบแพทย์และได้รับยาตามคำสั่งการรักษาของแพทย์ ผ่านทางโทรเวชกรรม (Telemedicine)” สำหรับผู้เอาประกันภัยมีโรคเรื้อรังและมีนัดตรวจติดตามการรักษา โดยได้ทำการขยายระยะเวลาให้บริการดังกล่าวไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566

สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ ผู้เอาประกันภัยที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังและมีความประสงค์ใช้บริการ Telemedicine  นี้ จะต้องเป็นผู้ป่วยเดิมที่มีประวัติการรักษาในโรงพยาบาลที่ให้บริการตามที่กำหนด โดยเป็นโรคเรื้อรังที่จำเป็นต้องมีการติดตามและต้องได้รับยาต่อเนื่อง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น โดยบริการดังกล่าวจะครอบคลุมการพบแพทย์ และการสั่งยา ทั้งนี้สามารถใช้บริการได้ทั้งผู้เอาประกันภัยรายบุคคลและรายกลุ่ม ที่มีผลประโยชน์                  ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต และโรงพยาบาล กำหนด)

สำหรับบริการ Telemedicine Samitivej Virtual Hospital  ยังคงให้บริการตามเงื่อนไขปกติ ครอบคลุมทั้ง       การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังและการเจ็บป่วยด้วยโรคทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเป็นคนไข้เดิมของทางโรงพยาบาล ครอบคลุมทั้งผู้เอาประกันภัยรายบุคคลและรายกลุ่ม (เงื่อนไขเป็นไปตามที่โรงพยาบาลและกรมธรรม์กำหนด)

โดยสามารถรับบริการ Telemedicine สำหรับผู้ป่วยเรื้อรัง จากโรงพยาบาลคู่สัญญาทั้ง 38 แห่ง ได้ตามช่องทาง ดังนี้

 โรงพยาบาลจังหวัดช่องทางการรับบริการ
 กรุงเทพมหานคร  
1Samitivej Virtual Hospital กรุงเทพฯApplication MTL Click
2โรงพยาบาลเกษมราษฎร์บางแค กรุงเทพฯโทร. 02 804 8959 ต่อ 1414 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @bgp9751l
3โรงพยาบาลเจ้าพระยากรุงเทพฯโทร. 02 022 7662 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @chcservice 
   
4โรงพยาบาลเทพธารินทร์  กรุงเทพฯโทร. 02 348 7000  หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @Theptarin
   
5โรงพยาบาลไทยนครินทร์  กรุงเทพฯโทร. 02 340 6499 ต่อ 1888,1889 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line : insurance1988
   
6โรงพยาบาลบางปะกอก 1  กรุงเทพฯโทร. 02 109 1111
7โรงพยาบาลบางปะกอก 9กรุงเทพฯโทร. 092 281 0262  หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official: @bpk9hospital  
   
8โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์       กรุงเทพฯโทร. +662 011 4833 , +662 011 4899  หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @bumrungradhospital
9โรงพยาบาลบี.แคร์เมดิคอลเซ็นเตอร์  กรุงเทพฯโทร. 062-489-9594 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line : 0624899594
   
10โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธินกรุงเทพฯโทร. 062 590 6883 หรือ  ผ่านแอปพลิเคชัน Line :1doctorp
   
11โรงพยาบาลพญาไท 1  กรุงเทพฯโทร. 1772 
12โรงพยาบาลพญาไท 2กรุงเทพฯโทร. 063 225 9095
13โรงพยาบาลพญาไท 3   กรุงเทพฯโทร. 1772 
14โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์  กรุงเทพฯโทร. 02 944 7111 ต่อ 4309
15โรงพยาบาลพระรามเก้า กรุงเทพฯผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @praram9hospital  
16โรงพยาบาลเวชธานี กรุงเทพฯผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @vejthani
17โรงพยาบาลสมิติเวชไชน่าทาวน์ กรุงเทพฯผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @SamitivejChinatown
18โรงพยาบาลสมิติเวชธนบุรีกรุงเทพฯผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @SamitivejThonburi
19โรงพยาบาลสุขุมวิทกรุงเทพฯโทร 02 391 0011
 ภาคกลาง  
20โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์    นนทบุรีผ่านแอปพลิเคชัน Line Official: @rtbinter
21โรงพยาบาลบางปะกอก รังสิต 2ปทุมธานีโทร. 065 724 2973 หรือ  ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : crmonline
   
22โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9  สมุทรปราการโทร  089 094 1579 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @CHG1609
   
23โรงพยาบาลบางปะกอก 3สมุทรปราการโทร. 02 109 3111 ต่อ 1503,1506
24โรงพยาบาลบางปะกอก สมุทรปราการ สมุทรปราการโทร. 02 109 3222 ต่อ 10115-10116
25โรงพยาบาลมหาชัย 1  สมุทรสาครโทร. 034 424 990-4  หรือ  ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @mahachaihospital
   
26โรงพยาบาลมหาชัย 2      สมุทรสาครผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @mahachai2hospital
 ภาคตะวันออก  
27โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา ชลบุรีโทร. 038 259 999  หรือ  ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @bphhospital 
   
28โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา  ชลบุรีโทร. 038 317 333 ต่อ 2102 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official: @PTS789
   
29โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา    ชลบุรีโทร. 095 207 8523 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line : 889uvZUP
   
30โรงพยาบาลสมิติเวชชลบุรี    ชลบุรีโทร. 033 038 988 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @schtele
   
 ภาคเหนือ  
31โรงพยาบาลศรีสวรรค์นครสวรรค์โทร. 1254 กด 2  หรือ 
   ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official :@srisawan
32โรงพยาบาลพิษณุเวชพิษณุโลกโทร 093-134-3366
 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  
33โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมานครราชสีมาโทร. 044-015-999  ต่อ 3211 หรือ  ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official  : @BANGKOKRATCHASIMA
   
34โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่นขอนแก่นโทร. 043-366-444 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @925lcmck
 ภาคใต้  
35โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต  ภูเก็ตโทร. 076 254 425
36โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์  ภูเก็ตโทร. 096 646 5208 หรือ
   ผ่านแอปพลิเคชัน ID Line : bsimed
37โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่  สงขลาโทร. 1719 หรือ 074 272 800
38โรงพยาบาลกรุงเทพสุราษฎร์  สุราษฎร์ธานีโทร. 077 956 789  ต่อ 1051,1061  หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official: @gwc6368r
   

โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.muangthai.co.th หรือติดต่อเมืองไทยประกันชีวิต โทร. 1766  ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อโรงพยาบาลคู่สัญญาที่เข้าร่วมโครงการได้โดยตรง

หมายเหตุ : เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต และโรงพยาบาล กำหนด

AIS โชว์ผลประกอบการปี 65 รายได้โต 2.3% ตอกย้ำผู้นำอุตสาหกรรมดิจิทัล

0
AIS ประกาศผลประกอบการปี 2565 ยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำในทุกมิติ แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของ บริบทโลก รวมถึงสภาพแวดล้อมทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป โดยเอไอเอสสามารถทำรายได้รวม 185,485 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% และมีกำไรสุทธิ 26,011 ล้านบาท ตอกย้ำสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในอุตสาหกรรม ด้วยความเป็นผู้นำในตลาดโทรคมนาคมทุกมิติทั้งด้านการให้บริการ และคุณภาพโครงข่าย โดยเฉพาะ 5G ที่วันนี้ AIS มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 2.2 ล้านราย ควบคู่กับการรุกขยายฐานลูกค้าเน็ตบ้านอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีอัตราการเติบโตเหนือตลาด สำหรับปี 2566 วางงบลงทุนกว่า 27,000 - 30,000 ล้านบาท เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้มีความแข็งแกร่งพร้อมรองรับโอกาสและการเข้ามาของลูกค้าใหม่ ทั้งในด้านความครอบคลุมและคุณภาพ พัฒนาโครงข่ายอัจฉริยะ ตามวิสัยทัศน์ Cognitive Tech-Co

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เปิดเผยว่า “ท่ามกลางความท้าทายในการดำเนินธุรกิจตลอดทั้งปี 2565 ที่ผ่านมา ทั้งภาวะการแข่งขันของตลาดที่รุนแรง อัตราเงินเฟ้อสูงที่ส่งผลต่อต้นทุนพลังงานและกำลังซื้อผู้บริโภค รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว อย่างไรก็ดีด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนทำให้เรายังคงทำผลงานได้เป็นที่น่าพอใจ ทั้งในเชิงรายได้และจำนวนผู้ใช้บริการ พร้อมยังคงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในอุตสาหกรรม

ด้วยความมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพการให้บริการ และส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้า ที่วันนี้ AIS ยังคงเป็นผู้ให้บริการที่มีคลื่นความถี่มากสุดในอุตสาหกรรม ทั้งย่านความถี่ต่ำ กลาง และสูง รวม 1,420 MHz ครอบคลุมการใช้งานทุกรูปแบบ ตลอดจนวันนี้เรายังสร้าง Digital Ecosystem ร่วมกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำจากหลากหลายภาคส่วน เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีและโซลูชัน”

สำหรับผลประกอบการของปี 2565 เอไอเอสทำรายได้รวม 185,485 ล้านบาท เติบโต 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 26,011 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 3.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากในฝั่งของต้นทุนที่เจอความท้าทายจากราคาพลังงานและเงินเฟ้อ แต่ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเหมาะสม ทำให้เอไอเอสมี EBITDA อยู่ที่ 89,731 ล้านบาท ลดลง 1.8% จากปีก่อน และมี EBITDA Margin แข็งแกร่งที่ระดับ 48% พร้อมจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการครึ่งปีหลังที่ 4.24 บาทต่อหุ้น โดยสรุปผลการดำเนินงานแยกตามกลุ่มธุรกิจ ดังนี้

ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในปี 2565 มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 1.9 ล้านราย จากการส่งมอบคุณภาพ และการให้บริการที่เหนือกว่า วันนี้เอไอเอสได้ก้าวข้ามการแข่งขันด้วยราคาในตลาด ด้วยการมุ่งสร้างประสบการณ์การดิจิทัลที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนลูกค้าโทรศัพท์มือถือรวม 46 ล้านเลขหมาย ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้บริการรายเดือนที่ยังคงสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งในเชิงรายได้และผู้ใช้บริการ ในส่วนของการให้บริการ 5G ที่วันนี้มีลูกค้าอยู่ที่ 6.8 ล้านราย เติบโตก้าวกระโดดจาก 2.2 ล้านราย ในปี 2564 ด้วยการพัฒนาคุณภาพให้บริการบนเครือข่าย 5G ที่เร่งขยายโครงข่ายครอบคลุม 85% ของพื้นที่ประชากรทั่วประเทศ และมากกว่า 99.95% ในพื้นที่กรุงเทพฯ

ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เอไอเอส ไฟเบอร์ มีรายได้เติบโตกว่า 19% ในปี 2565 นับเป็นการเติบโตเหนืออุตสาหกรรม ด้านลูกค้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า 390,000 ราย ทำให้ลูกค้ารวมอยู่ที่ 2.2 ล้านราย ครองส่วนแบ่งการตลาดที่ 16% ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับตลาดเน็ตบ้านด้วยการสร้างมาตรฐานการแข่งขันให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งเทคโนโลยีด้านคุณภาพอย่างการเปิดให้บริการ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบไร้สาย หรือ Fixed Wireless Access (FWA) ด้วยเทคโนโลยี 5G mmWave เป็นครั้งแรกในไทย การร่วมมือ NOKIA ทดลองเทคโนโลยี 25G PON ครั้งแรกในเอเชีย เพื่อนำเสนอบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงพิเศษ และ AIS Fibre ยังเป็นผู้เล่นรายแรกในไทยที่เปิดให้บริการ 2Gbps รวมถึงการยกระดับการให้บริการลูกค้าที่พร้อมดูแลลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง

ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร เป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทั้งในมุมการรับรู้ที่ AIS Business ครองแชมป์อันดับ 1 ผู้ให้บริการสำหรับองค์กรและธุรกิจ โดยผลสำรวจของ Global Data ที่รวบรวมจากกลุ่มธุรกิจชั้นนำกว่า 200 องค์กร รวมถึงในมุมของรายได้ที่ยังคงสามารถสร้างการเติบโตได้ถึง 26% จากปีก่อน โดยในปีที่ผ่านมา AIS Business สามารถเชื่อมต่อการทำงานกับองค์กรภาคธุรกิจ ด้วยการส่งมอบเทคโนโลยีและโซลูชัน ที่มุ่งสร้าง Digital Business Ecosystem ให้มีความสมบูรณ์แบบ ทั้งบริการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเชื่อถือได้ ด้วยความพร้อมเต็มรูปแบบของ Intelligent Network, Cloud Platforms และ Cyber Security ตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าด้วยการบริหารจัดการข้อมูลอัจฉริยะ พร้อมการสร้างสรรค์โซลูชันใหม่ ๆ เฉพาะอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น Smart Manufacturing, Smart Transportation & Logistics, Smart City & Building และ Smart Retail

ธุรกิจดิจิทัลเซอร์วิส ยังคงมุ่งนำศักยภาพด้านดิจิทัลเทคโนโลยี มาออกแบบบริการดิจิทัลที่สอดรับกับพฤติกรรมของลูกค้าและคนไทย ทั้งในแง่ของประสบการณ์ด้านคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็น Disney+ Hotstar ผู้ให้บริการคอนเทนต์วิดีโอแพลตฟอร์มระดับโลก หรือแม้แต่การเป็นศูนย์รวมคอนเทนต์กีฬา อาทิ ฟุตบอลไทยลีก, ฟุตซอลไทยแลนด์ลีก, Golf LPGA, ลีกบาสเกตบอล 3x3BL, รายการ ONE Championship รวมถึงวันนี้ AIS ยังคงต่อยอดบริการดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อย่างรอบด้าน อาทิ บริการประกันดิจิทัลจาก AIS Insurance Service รวมถึงบริการช่องทางชำระเงินออนไลน์ผ่าน mPAY PGW – Payment Link solution เพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้จ่ายที่ง่าย สะดวกสบาย ปลอดภัย

“สำหรับภาพรวมผลงานปี 2565 ของ AIS ถือว่าอยู่ในระดับน่าพึงพอใจ โดยในปีนี้ AIS ยังเดินหน้าลงทุนเพื่อคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเตรียมงบลงทุนกว่า 27,000 – 30,000 ล้านบาท เพื่อก้าวสู่เป้าหมาย Cognitive Tech-Co หรือการเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมอัจฉริยะ ด้วยการมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้มีความแข็งแรง เพิ่มขีดความสามารถของโครงข่ายให้มีความอัจฉริยะผ่านการใช้ AI, Data Analytic ในระดับสูง ตามมาตรฐานโครงข่ายระดับโลก เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อการทำงานกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ที่เราพร้อมสนับสนุนการเติบโตร่วมกัน และยกระดับเศรษฐกิจจากฐานรากสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อประเทศต่อไป” นายสมชัย กล่าวทิ้งท้าย

AIS จับมือ ขายหัวเราะ ส่งการ์ตูนถ่ายทอด 8 ทักษะดิจิตัลปลอดภัยจากการใช้อินเตอร์เน็ต

0
วัน Safer Internet Day หรือ วันแห่งการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย เป็นวาระที่ทั้งโลกให้ความสำคัญกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตและสื่อออนไลน์ รวมถึงยังเป็นวันที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนออกมาสร้างความตระหนักและร่วมกันหาแนวทางรับมือเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว สำหรับ AIS ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายดิจิทัลที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ให้กับคนไทย ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเชิญชวนคนไทยให้ใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างปลอดภัย ด้วยการนำ 8 ทักษะดิจิทัล จากหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ที่ได้รับรองมาตรฐานจากกระทรวงศึกษาธิการ ออกมาสื่อสารให้คนไทยรู้เท่าทันสามารถใช้ชีวิตอยู่กับโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย และในวัน Safer Internet Day ปีนี้ AIS อุ่นใจ CYBER ได้ทำงานร่วมกับ Content Creator ชั้นนำอย่าง ขายหัวเราะสตูดิโอ ดึงกลยุทธ์การสื่อสารแบบ Edutainment นำทักษะดิจิทัลมาสร้าง Storytelling ในรูปแบบการ์ตูน เรื่อง “เมื่อผมตกหลุมรักขึ้นไม่ไหว” ให้มีความสนุกและน่าสนใจ เพื่อให้คนไทยมีความเข้าใจถึงทักษะด้านดิจิทัลอันจะนำไปสู่การใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างปลอดภัย ห่างไกลจากภัยไซเบอร์ทุกรูปแบบ

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS อธิบายว่า “สำหรับวัน Safer Internet Day เป็นวันที่ทั่วโลกลุกขึ้นมาพูดถึงความปลอดภัยจากการใช้งานอินเทอร์เน็ต โดยครั้งนี้ AIS อุ่นใจ CYBER ยังคงเดินหน้าค้นหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้าและคนไทยสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัย โดยเราได้พาร์ทเนอร์อย่าง ขายหัวเราะสตูดิโอ เข้ามาร่วมกันนำองค์ความรู้ด้านทักษะดิจิทัลมาสร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบการ์ตูน ด้วยการใช้กลยุทธ์แบบ Edutainment ทำให้เนื้อหาที่นำเสนอออกมามีความสนุกและเข้าใจง่ายตามแบบฉบับของขายหัวเราะ โดยการทำงานร่วมกันครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจร่วมกันที่อยากจะสร้างสังคมของการใช้งานอินเทอร์เน็ตให้มีความปลอดภัยตามภารกิจของ AIS อุ่นใจ CYBER”

สำหรับความร่วมมือระหว่าง AIS อุ่นใจ CYBER และ ขายหัวเราะสตูดิโอ เป็นการนำเสนอเนื้อหาความรู้ทักษะดิจิทัล 8 เรื่อง ที่คนไทยควรรู้ ประกอบด้วย 1) ทักษะการจัดสรรหน้าจอ 2) การจัดการความปลอดภัยทางไซเบอร์ส่วนบุคคล 3) ทักษะการรู้เท่าทันสื่อ 4) ทักษะที่เข้าใจการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ 5). ทักษะอัตลักษณ์พลเมืองไซเบอร์ 6) มารยาททางไซเบอร์ 7) ทักษะการจัดการความเป็นส่วนตัว 8) ทักษะการจัดการร่องรอยบนโลกออนไลน์ โดยทั้ง 8 ทักษะดิจิทัลเป็นเนื้อหาหลักซึ่งถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ที่ครั้งนี้ได้ ขายหัวเราะ สตูดิโอ มาเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวและตีความออกมาในรูปแบบการ์ตูนเรื่อง “เมื่อผมตกหลุมรักขึ้นไม่ไหว” ที่มีความสนุก สร้างสรรค์ และเข้าใจง่าย

นางสาวพิมพ์พิชา อุตสาหจิต กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทบันลือกรุ๊ป อธิบายเสริมว่า “สำหรับขายหัวเราะสตูดิโอเรามีความเชื่อว่า การใช้ Soft Power ของการ์ตูนและคาแรคเตอร์สามารถตอบโจทย์การสื่อสารไปยังผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างการใช้งานสื่อออนไลน์และอินเทอร์เน็ต ที่วันนี้ยังมีอีกหลายคนที่ยังรู้ไม่เท่าทันจนตกเป็นเหยื่อที่อาจเกิดความเสียหายได้

เรารู้สึกดีใจที่ได้ทำงานร่วมกับ AIS ในการส่งต่อเรื่องราวดีๆ และยังเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารในวัน Safer Internet Day ด้วยการพัฒนาเนื้อหาทักษะความรู้ออกมาเป็น Storytelling แบบการ์ตูนที่เรามีความถนัด และนอกเหนือจากการร่วมกันสร้างคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์กับ Community ของขายหัวเราะแล้ว ความร่วมมือครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของพวกเราในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งที่จะร่วมแก้ไขปัญหาด้านภัยไซเบอร์และการใช้งานในโลกยุคดิจิทัลอีกด้วย”

สามารถติดตามการ์ตูนชุดทักษะดิจิทัลที่ควรรู้ ในเรื่อง “เมื่อผมตกหลุมรักขึ้นไม่ไหว” ได้ทาง Facebook AIS ที่ https://www.facebook.com/AIS และ Facebook ขายหัวเราะ https://www.facebook.com/kaihuaror

ก.ล.ต. ประเดิมออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ E-licensing ใบแรก

0
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประเดิมระบบ Biz Portal ออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-licensing) เป็นใบแรกที่ลงนามโดยระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ ตามแผนการพัฒนาบริการดิจิทัล (SEC Digital Services Roadmap) สอดรับกับนโยบายรัฐบาลดิจิทัลและพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565

รายงานข่าวเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-licensing) ใบแรก ทั้งนี้ สืบเนื่องจากที่ ก.ล.ต. โดยการส่งเสริมและสนับสนุนของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ได้เปิดใช้ระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบธุรกิจในการยื่นคำขอ นำส่งและรับใบอนุญาตทางอิเล็กทรอนิกส์ ในเบื้องต้นเปิดสำหรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนายหน้า ค้า และจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน (ใบอนุญาตแบบ ง) และใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล (ใบอนุญาต Private Fund) ไปเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565

ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อให้บริการสาธารณะและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน มีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภาครัฐ ทำให้ตรวจสอบความถูกต้องได้ สามารถลดสำเนาเอกสารทางราชการ มีกระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวตน รวมทั้งระบบมีความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลดิจิทัลและพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 และมาตรฐานที่หน่วยงานรัฐกำหนดมาโดยตลอด โดย ก.ล.ต. จะมุ่งหน้าพัฒนาการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความสะดวก ลดภาระและค่าใช้จ่ายในการจัดทำเอกสารและการเดินทางของประชาชนและภาคธุรกิจต่อไป

สำหรับประชาชนหรือผู้สนใจสามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ได้จากเว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th  และแอปพลิเคชัน SEC Check First 

ทั้งนี้ การยื่นคำขอและการออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-licensing) สามารถดำเนินการได้ผ่าน Biz Portal ทางเว็บไซต์ https://bizportal.go.th/th/Business/PermitList  หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ IT Service Desk โทร. 1207 กด 3 กด 1 หรือทาง e-mail: [email protected]    

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนมกราคม 2566

0

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2566 จะเติบโตน้อยกว่าในปี 2565 ที่ 3.4% แต่ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในหลายประเทศ โดยได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2566 ว่าจะขยายตัวที่ 2.9% เพิ่มขึ้นจาก 2.7% ตามที่ได้เผยแพร่รายงานเมื่อเดือนตุลาคม 2565 ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกคลายความกังวลเกี่ยวกับการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง อีกทั้งเงินเฟ้อที่ลดลงอาจนำไปสู่การผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางประเทศอื่นๆ เร็วกว่าคาด

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในเดือนมกราคม 2566 มีเงินลงทุนเคลื่อนย้ายมายังตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวดีต่อเนื่องและมีข่าวดีจากการเปิดประเทศของจีน ส่งผลให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติและมูลค่าการส่งออกจะกลับมาขยายตัวอีกครั้งในอนาคตอันใกล้ ขณะที่เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวมทั้งในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรไทยกว่า 5.8 หมื่นล้านบาท

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย

  • ณ สิ้นเดือนมกราคม 2566 SET Index ปิดที่ 1,671.46 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้า โดยปรับเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค และปรับเพิ่มขึ้น 5.6% เมื่อเทียบผลตอบแทนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
  • SET Index ในเดือนมกราคมปี 2566 ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาเปิดเมือง และกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มผลประกอบการดีในไตรมาสสุดท้ายปี 2565 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มบริการ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
  • ในเดือนมกราคม 2566 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 72,012 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 56,184 ล้านบาท อย่างไรก็ดี มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 23.7% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน
  • ขณะที่ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่สี่ โดยในเดือนมกราคม 2566 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 18,997 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9
  • ในเดือนมกราคม 2566 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ (MASTER) และ บมจ. เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล (SAF) โดยมูลค่าระดมทุนรวมในหุ้น IPO ของไทยปี 2566 อยู่ยังในระดับต้นๆ ของเอเชีย
  • Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนมกราคม 2566 อยู่ที่ระดับ 16.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.6 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 17.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.8 เท่า
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนมกราคม 2566 อยู่ที่ระดับ 2.75% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.00%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

  • ในเดือนมกราคม 2566 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 530,429 สัญญา ลดลง 23.1% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures

รู้เก็บรู้ออม : เบิกทางสู่วิชาชีพการเงิน!!

0

สัปดาห์นี้ “คุณนายพารวย” มีข่าวดีมาบอกสำหรับน้องๆที่สนใจเข้าสู่วิชาชีพสายการเงินในตลาดทุน

โดยตลาดหลักทรัพย์ฯได้ชวนนิสิตนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ขึ้นไป รวมถึงระดับปริญญาโท หรือปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ที่สนใจเข้าสู่วิชาชีพสายการเงิน มาร่วมติดอาวุธความรู้ เพื่อเบิกทางสู่วิชาชีพด้านการเงินด้วยหลักสูตร แนะนำเส้นทางวิชาชีพด้านการเงิน พร้อมแนวทางการค้นหาและพัฒนาตนเอง เพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่วิชาชีพด้านการเงินในตลาดทุนโดยสมัครเข้าร่วมโครงการ New Breed Capital Market Financial Professionals 2023 ที่เปิดให้สมัครได้ตั้งแต่วันนี้-28 ก.พ.66

โดยน้องๆที่เข้าร่วมโครงการจะได้ต่อยอดในการพัฒนาตนเองไปกับ 3 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมการเรียนรู้เนื้อหาด้านการวิเคราะห์ทางการเงินและการจัดการลงทุน ผ่าน e-Learning 3 หลักสูตร คือ หลักสูตรความรู้พื้นฐาน AISA 9 วิชา, หลักสูตรเตรียมความพร้อมก่อนทดสอบ AISA และหลักสูตรตะลุยโจทย์ AISA ฝึกทำแบบฝึกหัดในรูปแบบออนไลน์

โดยผู้ที่ผ่านการทำแบบทดสอบเพื่อวัดความรู้ทั้ง 9 วิชา ตามเงื่อนไขที่กำหนด จะมีโอกาสได้รับทุนร่วมกิจกรรมการทดสอบหลักสูตร Certified Investment and Securities Analyst ระดับ Foundation Knowledge เพื่อให้ได้คุณวุฒิ Accredited Investment and Securities Analyst (AISA) ซึ่งถือเป็นใบเบิกทางเข้าสู่วิชาชีพในตลาดทุน!!

เพราะ AISA เป็นคุณวุฒิความรู้ด้านการวิเคราะห์และการจัดการลงทุนที่มีมาตรฐานและใช้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพด้านนักวิเคราะห์การลงทุน และผู้จัดการกองทุน

นอกจากนี้ ยังมีโอกาสเข้าร่วมแคมป์กิจกรรม “Exclusive Financial Career Camp” เพื่อพาสัมผัสโลกธุรกิจและการทำงานของมืออาชีพผ่านการเยี่ยมชมกิจการ เติมเต็มความรู้ ทักษะ และประสบการณ์นอกห้องเรียนตามสายงานที่สนใจและยังมีโอกาสได้แสดงศักยภาพในการแข่งขันเคสด้านการเงิน

โดยแบ่งเป็น 2 Track คือ Financial Professional @Financial Institution Camp เน้นพัฒนาความรู้ และทักษะที่สำคัญด้านการวิเคราะห์ทางการเงิน ผลิตภัณฑ์การลงทุน และกลยุทธ์การบริหารจัดการลงทุนผ่าน Financial Workshop รวมถึงทักษะ Soft Skill ที่จำเป็นสำหรับการเตรียมตัวเข้าทำงานในสถาบันการเงิน เพื่อปูทางสู่การเป็นนักวิเคราะห์การลงทุน ผู้จัดการกองทุน รวมถึงวาณิชธนากร

และ Financial Professional @Listed Company Camp ที่เน้นให้ความรู้ ทักษะ ที่สำคัญด้านการบริหารการเงิน การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน กลยุทธ์สร้างการเติบโตและเพิ่มมูลค่าให้บริษัท รวมถึงทักษะ Soft Skill ที่จำเป็นสำหรับการเตรียมตัวเข้าทำงานในบริษัทจดทะเบียนเพื่อปูทางสู่การเป็นนักบริหารการเงินการลงทุน นักลงทุนสัมพันธ์รุ่นใหม่ สำหรับบริษัทจดทะเบียน

และแน่นอนว่า เมื่อมาถึงจุดนี้ โอกาสที่จะได้รับการเชื่อมโยงสู่โอกาสการทำงานในตลาดทุน ย่อมมีมากขึ้น ผ่านเครือข่าย ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสมาคมวิชาชีพต่างๆ ทั้งสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (TLCA) และอื่นๆ อีกมากมาย อย่าลืมว่าสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 28 ก.พ.นี้ กดเข้าไปดูรายละเอียด เพิ่มเติม ได้ที่ www.set.or.th/newbreed2023

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง” หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS ขึ้นแท่นดิจิทัลพาร์ทเนอร์อันดับหนึ่ง ยกทัพโครงข่ายอัจฉริยะ-5G โซลูชัน-โครงสร้างพื้นฐานดาต้าและคลาวด์ และทีมงานมืออาชีพ

0

AIS Business ขึ้นแท่นผู้นำการให้บริการดิจิทัลและโซลูชัน ที่ได้รับการยอมรับสูงสุดจากกลุ่มผู้ประกอบการภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และ SME ในฐานะโอเปอเรเตอร์ ที่มีวิสัยทัศน์มุ่งเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co รวมถึงยังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยี หรือ Digital infrastructure ที่แข็งแรงมากพอในการเชื่อมต่อประสบการณ์ของลูกค้าและคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร ในปี 2023 นี้ AIS Business ยังคงเดินหน้าสร้างการ “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” กับลูกค้า ทั้งภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ SME ในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้วยต้นทุนที่เหมาะสม สนับสนุนการเติบโตขององค์กรและธุรกิจ ภายใต้เทรนด์และสถานการณ์ภายหลังจากที่ต้องเผชิญกับวิกฤติ และการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก ที่วันนี้ AIS Business พร้อมส่งมอบบริการดิจิทัลและไอซีทีโซลูชัน ที่สร้างความปลอดภัย มั่นใจ ตอบโจทย์การเติบโตของลูกค้าอย่างยั่งยืน

ธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS อธิบายต่อถึงภาพรวมสถานการณ์ตลาด และเทรนด์การทำ Digital Transformation ขององค์กร และ SME ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ว่า “3 ปี ที่เราอยู่กับการระบาดของโควิด-19 ทำให้องค์กรส่วนใหญ่ได้ปรับตัวรับผลกระทบจนพร้อมที่จะเดินหน้าต่อในบริบทของโลกหลังโควิดแล้ว และแน่นอนว่า พร้อมเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้วยการทำ Digital Transformation เพื่อสร้างโอกาสทางการแข่งขันและพัฒนานวัตกรรมเพื่อการเติบโตของธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ภาคการผลิต ธุรกิจขนส่ง Logistics และผู้ให้บริการทางการเงิน เป็นต้น อีกทั้งเทรนด์ของการใช้งานในปีนี้องค์กรจะมุ่งไปที่การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทาง IT ที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ เข้ามาช่วยจัดการ ควบคุม ความมั่นคงปลอดภัยของ Data ตามกรอบกฎหมายที่ประกาศใช้ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีกระแสเรื่องของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และมีการบริหารจัดการที่ดี ทั้งหมดนี้ทำให้ ดิจิทัลโซลูชัน ได้กลายเป็นปัจจัยหลักที่จะเข้ามาช่วยองค์กรสร้างความพร้อมสู่การเติบโตควบคู่กับความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจได้”

นายธนพงษ์ ขยายความต่อไปอีกว่า เมื่อมองภาพรวมของสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว ทำให้ในปีนี้เรายังคงมุ่งสร้าง Digital Business Ecosystem ให้มีความสมบูรณ์แบบ สามารถตอบโจทย์การทำงานทุกองค์กรได้ในทุกมิติ ผ่าน 5 กลยุทธ์ อันได้แก่ 1) เชื่อมต่อ 5G Ecosystem เพื่อการทำงานของภาคธุรกิจอย่างรอบด้าน 2) ยกระดับการทำงานของโครงข่ายด้วย Intelligent Network 3) มุ่งเสริมความสมบูรณ์ของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและแพลตฟอร์ม 4) เสริมอาวุธด้านการตลาดและเพิ่มโอกาสการเติบโต Data-driven Business 5) ส่งมอบบริการด้วยทีมงานมืออาชีพที่ไว้วางใจได้

ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS Business ประกอบกับความพร้อมในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายอัจฉริยะ 5G อันดับ 1 ของไทย ทำให้เราพร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทยเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน ในมิติต่างๆ ดังนี้

Growth: Accelerating Growth Beyond Pandemic Recovery เร่งการเติบโตของธุรกิจโดยการสร้างขีดความสามารถใหม่ๆ ด้วยเครื่องมือทางดิจิทัล เพิ่มความคล่องตัวทางธุรกิจด้วยศักยภาพของ AIS 5G และ Cloud Platform, ตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าด้วยการบริหารจัดการข้อมูลอัจฉริยะ Data Insight & Lifestyle as a Service, พร้อมการสร้างสรรค์โซลูชันใหม่ ๆ เฉพาะอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น Smart Manufacturing, Smart Transportation & Logistics, Smart City & Building, และ Smart Retail

Trust: Modernizing Trusted Digital Infrastructure to Improve Efficiency, Agility and Security บริการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเชื่อถือได้ ด้วยความพร้อมเต็มรูปแบบของ Intelligent Network, Cloud Platforms, และ Cyber Security สอดรับกับกฎระเบียบของการใช้งานที่ปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนดของแต่ละอุตสาหกรรม ผ่านโซลูชันอย่างเช่น Sovereign Cloud, SD-WAN, Secured Connectivity เป็นต้น ที่ตอบโจทย์ทั้งความเร็ว ความยืดหยุ่น ช่วยยกระดับการบริหารจัดการข้อมูลและระบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยขององค์กร

Sustainability: Creating Sustainable Business with Digital Solutions สร้างระบบนิเวศนวัตกรรมเพื่อธุรกิจอย่างยั่งยืน AIS Business พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยเสริมนวัตกรรมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การสร้างระบบนิเวศสำหรับการพัฒนานวัตกรรมร่วมกับพันธมิตรต่างๆ การสร้าง AIS 5G NEXTGen Platform เพื่อการสร้าง 5G โซลูชันได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ไปจนถึงโซลูชันที่เข้ามาช่วยในการบริการจัดการการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยคาร์บอน การปล่อยน้ำเสียโดยใช้ข้อมูลแบบ real-time จากอุปกรณ์ IoT ทำให้พร้อมการคาดการณ์การใช้พลังงานล่วงหน้า เพื่อให้สามารถตัดสินใจวางแผนการทำงาน หรือการผลิตได้อย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่าง e-Waste, Academy for Thai, และอุ่นใจไซเบอร์ เป็นต้น

“จากเป้าหมายใหญ่ของ AIS ที่ต้องการเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ ในส่วนธุรกิจลูกค้าองค์กรอย่าง AIS Business ก็จะสร้างเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลไทยให้ยั่งยืน ด้วยการเร่งขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของลูกค้า โดยเทคโนโลยีและการให้บริการดิจิทัลที่หลากหลายครบครัน ด้วยทีมงานที่ไว้ใจได้ในความสามารถอย่างมืออาชีพ

เรามุ่งหวังที่จะเป็นพันธมิตรสมาร์ตดิจิทัลที่ไว้วางใจได้ สนับสนุนองค์กรธุรกิจและ SME ไทยให้ “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” อย่างยั่งยืน” นายธนพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย