Home Blog Page 189

โออาร์ – มิตซูบิชิ – ไปรษณีย์ไทย จับมือลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอร์รี่

0
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR สานต่อความร่วมมือกับ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในโครงการใช้รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอร์รี่ในการขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ ดำเนินงานในเฟสที่ 2 เพื่อการศึกษา และทดสอบการขนส่งสินค้า และพัสดุในเส้นทางที่ลาดชันในจังหวัดภูเก็ต และชลบุรี มุ่งใช้รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ในการนำจ่ายไปรษณียภัณฑ์เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก้าวสู่สังคมคาร์บอนเป็นกลาง

คุณทรงพล เทพนำโสมนัสส์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจเอนเนอร์ยี่โซลูชัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า “หนึ่งในเป้าหมายของเราภายในปี 2030 คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน ความร่วมมือกับมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และ ไปรษณีย์ไทย จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายดังกล่าว และสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจพลังงานแบบผสมผสานเพื่อการเคลื่อนที่อย่างไร้รอยต่อ นอกจากนี้ โออาร์ ได้วางแผนการขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าอีวี สเตชั่น พลัซ (EV Station PluZ) ให้มากขึ้น รวมเป็น 800 แห่ง ภายในปี 2566 ทั้งภายในและภายนอก พีทีที สเตชั่น พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในการขยาย EV Station PluZ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป้าหมาย 7,000 หัวชาร์จในปี 2573 และเพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

มร. เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ผมขอขอบคุณพันธมิตรชั้นนำที่ให้ความร่วมมือกับเราเป็นอย่างดีมาตลอด ทั้งไปรษณีย์ไทย และ โออาร์ การผนึกกำลังทำงานร่วมกัน ช่วยให้เราเดินหน้าเข้าใกล้เป้าหมายด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สู่สังคมคาร์บอนเป็นกลาง สอดคล้องกับวาระการส่งเสริมยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จะเดินหน้าแสวงหาโอกาสและร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ ๆ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อช่วยขับเคลื่อนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและส่งเสริมระบบเดินทางขนส่งในประเทศไทย การนำ มิตซูบิชิ มินิแค็บ มีฟ มาทดลองใช้ในการนำจ่ายไปรษณียภัณฑ์ จะเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในชีวิตจริง ทั้งเพื่อธุรกิจ และเพื่อการเดินทางไป-กลับที่ทำงานด้วยเส้นทางประจำทุก ๆ วัน” มร. โคอิโตะ กล่าวเพิ่มเติม

ในการดำเนินโครงการศึกษาระยะที่ 2 นี้ ไปรษณีย์ไทย จะทดลองใช้รถยนต์ไฟฟ้า มิตซูบิชิ มินิแค็บ มีฟ นำจ่ายไปรษณียภัณฑ์บนเส้นทางที่ลาดชันในจังหวัดภูเก็ตและชลบุรี รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบสงบ ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยศักยภาพการบรรทุกสินค้าได้สูงสุด 350 กิโลกรม พร้อมผู้โดยสาร 2 คน

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า เปิดเผยว่า ในปี 2566 แผนงานด้านการนำจ่ายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่ไปรษณีย์ไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเติบโตของภาคธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการขนส่ง และไปรษณีย์ไทยต้องมีการนำจ่ายทุกเส้นทาง ในประเทศไทย จึงจำเป็นต้องใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดมลพิษ ตลอดจนช่วยควบคุมต้นทุนและรายจ่าย ในด้านพลังงานน้ำมันซึ่งนับว่ามีความผันผวนในทุก ๆ ปี โดยแผนงานด้านดังกล่าวไปรษณีย์ไทยได้เริ่มดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 3 ปี โดยเฉพาะในปี 2565 ที่ได้ทดลองและเริ่มใช้ทั้งรถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้า รถขนส่งพลังงานไฟฟ้า เช่น รถบรรทุกขนาดใหญ่ รถตู้ นำจ่ายจริงในเส้นทางต่างๆ

“ไปรษณีย์ไทยได้เริ่มเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าในการนำจ่ายพัสดุ – ไปรษณียภัณฑ์เพื่อลดต้นทุนระยะยาว และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากการนำจ่ายของไปรษณีย์ไทยมีระยะทางที่ชัดเจนและต้องให้บริการในทุก ๆ วัน โดยนอกจากกลยุทธ์ ‘กรีนโลจิสติกส์’ แล้ว ยังมีการร่วมกับองค์กรที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า อย่างมิตซูบิชิในการนำ “มิตซูบิชิ มินิแค็บ มีฟ” ยานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ในงานขนส่งบนเส้นทางที่วิ่งเป็นประจำ ซึ่งพบว่าประหยัดค่าเชื้อเพลิง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายในการลดคาร์บอนขององค์กร โดยในระยะเริ่มต้นปี 2566 นี้จะทดลองนำจ่ายในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองสมาร์ทซิตี้และมีการเติบโตในด้านธุรกิจขนส่ง ก่อนจะขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป” ดร.ดนันท์ กล่าวเสริม

มร.อาคิระ โกโตะ รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ สำนักนโยบายด้านบริการไปรษณีย์ กระทรวงมหาดไทยและการสื่อสารของญี่ปุ่น กล่าวว่า “เราสนับสนุนโครงการนี้เพื่อแบ่งปันองค์ความรู้และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในการใช้งานจริง ปัจจุบัน ทุกองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนการก้าวสู่สังคมคาร์บอนเป็นกลาง อีกทั้งที่ญี่ปุ่นก็มีการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า มิตซูบิชิ มินิแค็บ มีฟ เพื่อการขนส่งพัสดุทั่วประเทศอยู่ก่อนแล้ว การนำรถยนต์ไฟฟ้า มิตซูบิชิ มีฟ มาปรับใช้กับกิจการขนส่งที่คล้ายคลึงกันในไทยจึงนับว่าเหมาะสมและเป็นไปได้จริง”

ในประเทศญี่ปุ่น มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ได้จัดส่งรถยนต์ไฟฟ้ามิตซูบิชิ มินิแค็บ มีฟ รวมทั้งสิ้น 10,000 คัน ให้กับบริษัทขนส่งต่าง ๆ รวมถึงบริษัทค้าปลีกและหน่วยงานรัฐหลายแห่งทั่วประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้ได้รวมถึงการจัดส่งมิตซูบิชิ มีฟ 1,800 คัน ไปยังการไปรษณีย์ของญี่ปุ่นเพื่อใช้ในกิจการไปรษณีย์

ภายใต้บันทึกข้อตกลงที่ลงนามในปีที่แล้ว มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จัดส่งรถยนต์ มิตซูบิชิ มินิแค็บ มีฟ จำนวน 2 คัน เพื่อการศึกษาและทำความเข้าใจถึงการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการพาณิชย์ รวมถึงการเก็บข้อมูลการใช้งานเครื่องชาร์จไฟฟ้า พฤติกรรมการใช้งานในกลุ่มรถขนส่งพัสดุของไปรษณีย์ไทย และความเป็นไปได้ที่จะขยายการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย อันเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ความรับผิดชอบต่อสังคมที่มุ่ง “สรรค์สร้าง เคียงข้างสังคมไทย” และหลักสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ การศึกษา สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ มุ่งส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวมของประเทศไทย

แม็คกรุ๊ป อวดกำไรไตรมาส 2 พุ่ง 246 ล้านบาท ฐานะการเงินสุดแกร่ง

0
“แม็คกรุ๊ป” กำไรสร้างสถิติสูงสุดโตต่อเนื่อง ไตรมาส 2 ปีบัญชี 2566 ทำได้ 246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 และเพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังสูง 65.2% อัตรากำไรสุทธิ 22% รับอานิสงส์เศรษฐกิจประเทศฟื้นหลังเปิดประเทศ ท่องเที่ยวคึกคัก ดันยอดช้อปพุ่งกระจาย รายได้ครึ่งปีทะยานแตะ 1,876 ล้านบาท ด้านฐานะการเงินแข็งแกร่ง เงินสดในมือทะลุ 2,110 ล้านบาท บอร์ดอนุมัติปันผลงวดกลางปี 0.45 บาทต่อหุ้น

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปีบัญชี 2566 (1 ตุลาคม- 31ธันวาคม 2565) ว่า กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่มีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 231 ล้านบาท โดยบริษัทยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ให้อยู่ในระดับที่สูงกว่า 65.2% จากไตรมาส 1 อยู่ที่ 64.6% ส่วนอัตรากำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 22% จาก 15% เมื่อไตรมาสแรกของปี

กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 2 ไตรมาส หนุนให้ งวด 6 เดือนแรกงวดปีบัญชี 2566 (1 กรกฎาคม-31ธันวาคม 2565) มีกำไรสุทธิ 362 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.3% เมื่อเทียบงวดเดียวกันมีกำไรสุทธิ 254 ล้านบาท

สำหรับไตรมาส 2 ของปีบัญชี 2566 บริษัทมีรายได้การขายสินค้ารวม 1,117 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.2% จากไตรมาสแรกที่มีรายได้ 759 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 12.2% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 995 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือน มีรายได้ 1,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.9% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,433 ล้านบาท ซึ่งได้ปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังเปิดเมือง หนุนให้การท่องเที่ยวในประเทศให้กลับมาคึกคัก การปรับตัวลดลงของราคาขายปลีกน้ำมัน ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นและมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่พุ่งขึ้นแตะระดับ 50.4 ในเดือนธันวาคมจากระดับ 46.4 ในเดือนกันยายน 2565

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า กำลังซื้อกลับเข้ามาชัดเจนเพิ่มขึ้นจากช่องทางออฟไลน์ อันได้แก่ ช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง (Free-standing Shop) 66%, ห้างสรรพสินค้า (Department Store) 23% , ร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) 8% และช่องทางอื่นๆ คิดเป็น 4%

ทั้งนี้ รายได้จากช่องทางค้าปลีกของตนเองเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยไตรมาส 2 มีรายได้ 738 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% หรือ 129 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือน มีรายได้ 1,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% หรือ 364 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากกลยุทธ์ในการขยายสาขา Mc Outlet เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าสิ้นเดือนมีนาคมนี้จะเปิดได้ครบ 100 สาขา เกินเป้าหมายที่วางไว้ว่าปีบัญชี 2566 ที่จะเปิดให้ได้ 80 สาขาและเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีบัญชี 2565 ที่มีทั้งสิ้น 72 สาขา และยังคงเดินหน้าเปิดสาขา Mc Outlet เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์หลักที่มุ่งเน้นคุมเข้มต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย รวมถึงกลยุทธ์ Product Mix การส่งเสริมการขายและการบริหารช่องทางการขายสินค้าที่ทำมาต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลดำเนินรวมของบริษัทเติบโตและกลับไปดีกว่าช่วงก่อนโควิด-19 หนุนให้ผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ขึ้นไปอยู่ที่ 15.8% จาก 13.4% ภาพรวมการทำธุรกิจก็ยังมีความเสี่ยงจากความตึงเครียดรัสเซีย ยูเครน การปรับขึ้นของราคาน้ำมัน และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่มีผลต่อต้นทุนทางการเงิน ซึ่งแม็คกรุ๊ปไม่มีหนี้เงินกู้กับสถาบันการเงิน และมีเงินสดในมือเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 มีเงินสดอยู่ที่ 2,110 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115 ล้านบาท จากสิ้นปีบัญชี 2565”

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า ผลดำเนินงานและฐานะการเงินที่แข็งแกร่งต่อเนื่องส่งผลให้คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสำหรับผลดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีบัญชี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.45 บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเกือบ 100% สูงกว่านโยบายที่จะจ่ายไม่น้อยกว่า 40%

รู้เก็บรู้ออม : TSD ตอบโจทย์นักลงทุนยุคใหม่

0

ชื่อ TSD หรือศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ คงเป็นที่รู้จักสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอย่างดี เพราะเราจะต้องได้รับหนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้น, หนังสือแจ้งนำเงินปันผลเข้าบัญชีธนาคาร หรือหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินปันผลสำหรับยื่นภาษี จาก TSD ส่งถึงมือนักลงทุน

TSD ย่อมาจาก Thailand Securities Depository Company Limited หรือ บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทย่อยในกลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเป็นศูนย์กลางให้บริการที่ต่อเนื่องจากการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างครบวงจร และมีมาตรฐานสากล

โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ทั้งฝาก ถอน โอนหุ้น และเป็นนายทะเบียนหลักทรัพย์ ดูแลหลักทรัพย์ที่จดทะเบียน ทั้งตลาด SET และ mai และหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนอื่นๆ เช่น ตราสารหนี้

บริการหลักๆสำหรับนักลงทุนที่คุ้นเคย คือ Investor Portal บริการข้อมูลออนไลน์สำหรับผู้ถือหลักทรัพย์ที่ให้บริการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ทั้งการรวบรวม ประมวลผล และเก็บ รักษาอย่างปลอดภัยหายห่วง!!

ล่าสุด TSD ต้อนรับปีใหม่ 2566 ด้วยการเพิ่มบริการ e-service ใหม่ๆ ตอบโจทย์นักลงทุนยุคใหม่ให้ทำธุรกรรมได้สะดวก คล่องตัว รวดเร็ว และปลอดภัยขึ้นไปอีก

โดยตั้งแต่ต้นปีนี้ ผู้ถือหุ้นสามารถใช้บริการใหม่ คือ การยืนยันตัวตนเมื่อสมัครใช้บริการ Investor Portal ด้วย NDID ผ่านแอปพลิเคชัน Mobile Banking ของ 9 ธนาคารพันธมิตร ทำให้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย

และ บริการโอนหุ้นออนไลน์จากบัญชีบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์เข้าบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ โดยไม่ต้องยื่นเอกสาร ไม่ต้องเดินทาง แค่กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน แล้วรอรับ SMS แจ้งผล

สำหรับช่วงยื่นภาษีเงินได้ประจำปี 2565 มกราคม-มีนาคม 2566 นี้ TSD เชิญชวนผู้ถือหุ้น ใช้บริการยื่นเครดิตภาษีเงินปันผลออนไลน์ผ่าน Investor Portal โดยดาวน์โหลด หรือส่งไฟล์ข้อมูลภาษีตรงถึงกรมสรรพากรได้ทันที

นอกจากนี้ TSD ยังเพิ่มการรับเอกสาร e-Document ครอบคลุมธุรกรรมหลังการซื้อขายมากขึ้น ได้แก่ หนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้น และเอกสารประกอบการประชุมในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่าน QR Code เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการประชุม e-Meeting ช่วยอำนวยความสะดวก ให้ผู้ถือหุ้นได้รับเอกสารทางอีเมลอย่างรวดเร็ว

ผู้ถือหุ้นเองก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเอกสารสูญหายอีกต่อไป แถมยังปลอดภัยเรื่องข้อมูลรั่วไหลด้วยการใส่รหัสผ่านส่วนตัวเพื่อเข้าดูเอกสาร ที่สำคัญยังเป็นการช่วยดูแลด้านสิ่งแวดล้อม จากการลดใช้กระดาษด้วย

สามารถสมัครใช้บริการ Investor Portal และ e-Document ได้ที่ www.set.or.th/tsd เข้าเมนูบริการสำหรับนักลงทุน แล้วเลือก “บริการอิเล็กทรอนิกส์สำหรับนักลงทุน”

เรียกได้ว่า เป็นการเดินหน้ายกระดับบริการหลังการซื้อขายหุ้น ทำให้ตลาดทุนเป็นเรื่องง่ายสำหรับนักลงทุน และรองรับธุรกรรมรูปแบบใหม่ในอนาคตอีกด้วย.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง” หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำความผิด 18 ราย ต่อ บก.ปอศ. กรณีหุ้น MORE

0
ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำความผิด 18 ราย ได้แก่ (1) นายอภิมุข บำรุงวงศ์ (2) นายเอกภัทร พรประภา (3) นายอธิภัทร พรประภา (4) นางอรพินธุ์ พรประภา (5) นายประยูร อัสสกาญจน์ (6) นายวสันต์ จาวลา (7) Mr. Shubhodeep Prasanta Das (8) บริษัท ตงฮั้ว แคปปิตอล จำกัด (9) บริษัท ตงฮั้ว มีเดีย แล็บ จำกัด (10) นายสมนึก กยาวัฒนกิจ (11) นางสาวจิระวรรณ ไชยพงศ์ผาติ (12) นางสาวปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา (13) นางสาวอัยลดา ชินวัฒน์ (14) นางสาวสุร์ศิริ ปรีดาสุทธิจิตต์ (15) นายอิทธิวรรธน์ วรรณะเอี่ยมพิกุล (16) นายมั่นคง เสถียรถิระกุล (17) นายโสภณ วราพร และ (18) นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กรณีสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) (MORE)

รายงานข่าวเปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรณีการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ของกลุ่มบุคคลที่อาจเข้าข่ายเป็นการสร้างราคา และข้อมูลจาก บก.ปอศ. กรณีมีบริษัทหลักทรัพย์รวม 10 แห่ง ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับบุคคลหลายรายในข้อหาฉ้อโกง โดยทุจริต หลอกลวง ทำให้ได้ไปซึ่งเงินค่าซื้อขายหลักทรัพย์จากบริษัทหลักทรัพย์ เป็นเหตุให้บริษัทหลักทรัพย์ได้รับความเสียหาย และทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE รวมถึงพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง

ก.ล.ต. ได้ตรวจสอบเพิ่มเติมและประสานการทำงานร่วมกับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และ บก.ปอศ. เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน พบว่า ผู้กระทำความผิดทั้ง 18 ราย ซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทั้งด้านความสัมพันธ์ส่วนตัว ทางเงิน การซื้อขายหลักทรัพย์ รวมถึงช่องทางและสถานที่ในการส่งคำสั่งซื้อขาย ได้แบ่งหน้าที่กันในการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 โดยส่งคำสั่งซื้อขายที่มีการจับคู่ซื้อขายกันในปริมาณมาก ทำให้ราคาเปิดของหลักทรัพย์ MORE สูงกว่าราคาปิดของวันก่อนหน้า อันเป็นการทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขายของหลักทรัพย์ MORE อันเข้าข่ายเป็นฝ่าฝืนมาตรา 244/3 (1) ประกอบมาตรา 244/5 และมาตรา 244/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 18 ราย ต่อ บก.ปอศ. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้รายงานการดำเนินการดังกล่าวต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป เนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ทั้งนี้ การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนดุลพินิจของศาลยุติธรรม ตามลำดับ

ในกรณีนี้ ก.ล.ต. ได้รับการสนับสนุนข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และได้ประสานความร่วมมือกับ บช.ก. โดย บก.ปอศ. ในการตรวจสอบรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายในการทำงานเชิงรุกร่วมกันในการสืบสวนและตรวจสอบการกระทำผิดเกี่ยวกับตลาดทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งจากการบูรณาการการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ทำให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ก.ล.ต. จะร่วมมือกับพนักงานสอบสวนในการตรวจสอบการซื้อขายในช่วงเวลาอื่นเพิ่มเติมอีกด้วย

AIS จับมือ สามเสนวิทยาลัย ดันหลักสูตรอุ่นใจ CYBER เป็นแบบเรียนเยาวชน

0
หลังจากที่ AIS ได้ลงนาม MOU ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีเป้าหมายนำเนื้อหาในหลักสูตรอุ่นใจ CYBER ไปสู่เยาวชนและนักเรียน ผ่านโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ที่ครอบคลุมเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 245 เขต รวม 29,000 โรงเรียนทั่วประเทศ ล่าสุดได้ ร่วมกับ “โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย” นำหลักสูตรอุ่นใจ CYBER เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมตั้งเป้าเป็นโรงเรียนต้นแบบแห่งแรกของประเทศ ที่นักเรียนทุกระดับชั้น คณะครู และบุคลากร เข้าเรียนรู้หลักสูตรอุ่นใจ CYBER และวัดระดับจนมีทักษะดิจิทัลครบ 100% ภายในภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2565

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “นับเป็นก้าวสำคัญที่เราได้เริ่มขยายผลหลักสูตรอุ่นใจ CYBER เข้าไปสู่สถาบันการศึกษาอย่างเต็มรูปแบบ ผ่านความร่วมมือกับโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ด้วยการนำหลักสูตรเข้าไปอยู่ในการเรียน การสอน หรือกิจกรรมที่เพิ่มพูนความรู้ทักษะดิจิทัล เพื่อส่งเสริมเป้าหมายให้เยาวชนยุคใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับโลกออนไลน์ สามารถใช้เครื่องมือเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ได้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ที่อยู่รอบตัวเราตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยให้พร้อมใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัลได้อย่างมีคุณภาพ ปลอดภัย และสร้างสรรค์

ความสำเร็จของการยกระดับหลักสูตรอุ่นใจ CYBER ในครั้งนี้ เกิดจากการร่วมมือของ 3 ประสานสำคัญ ได้แก่ 1.) ตัวนักเรียนเองที่ให้ความสนใจในการเรียนรู้ทักษะดิจิทัล 2.) โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ที่ให้การสนับสนุนโครงการอย่างเต็มที่ 3.) สมาคมผู้ปกครองและครู ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เยาวชนตระหนักถึงภัยทางไซเบอร์ นอกจากนี้แล้วที่ขาดไม่ได้เลยนั่นคือการให้ความสำคัญจากสพฐ. โดยการทำงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ที่เล็งเห็นประโยชน์ของความรู้ทักษะดิจิทัล โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลักสูตรอุ่นใจ CYBER จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ เพื่อผลักดันเป้าหมายการสร้าง Digital Citizenship หรือ พลเมืองดิจิทัล ในอนาคต”

นายถนอม บุญโต รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กล่าวในฐานะส่วนหนึ่งในการขยายหลักสูตรไปยังโรงเรียนในสังกัดสพฐ. ว่า “การปลูกฝังให้เยาวชนรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ เป็นหนึ่งในภารกิจหลักของสพฐ. ที่ตั้งใจผลักดันให้เป็นแบบเรียนของเยาวชน ซึ่งจะช่วยยกระดับภาคการศึกษาไทยให้มีองค์ความรู้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี นอกจากนี้หลักสูตรอุ่นใจ CYBER ของเอไอเอส ยังสอดคล้องกับแนวทางของโครงการสถานศึกษาปลอดภัย ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของกระทรวงศึกษาธิการ ดังนั้น เราจึงมีเป้าหมายสนับสนุนให้สถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศ นำหลักสูตรอุ่นใจ CYBER ไปประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาทักษะทางดิจิทัลและความฉลาดทางดิจิทัลให้กับนักเรียน โดยปัจจุบันโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ถือเป็นโรงเรียนต้นแบบโรงเรียนแรกในประเทศที่นำหลักสูตรไปปรับใช้จริงอย่างเต็มรูปแบบ”

นายประจวบ อินทรโชติ ผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า “โรงเรียนสามเสนวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์ จึงได้เริ่มนำหลักสูตรอุ่นใจ CYBER เข้ามาประยุกต์ใช้ในห้องเรียน ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2565 ซึ่งตั้งเป้าหมายที่บุคลากรรู้และจะให้นักเรียนกว่า 3,000 คน ตั้งแต่ระดับชั้น ม.1 – ม.6 ผ่านการทดสอบองค์ความรู้และเรียนจบหลักสูตรครบทั้ง 100% ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ด้วยการกระตุ้นให้ครูผู้สอนนำไปวางแผนและปรับใช้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาต่างๆ เช่น วิชาวิทยาการคำนวณ และกิจกรรมแนะแนว เป็นต้น“

ซีพี-ซีพีเอฟ ส่งเสบียง ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุแผ่นดินไหวตุรเคีย-ซีเรีย

0
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รับมอบความช่วยเหลือจากเครือซีพี-ซีพีเอฟ โดยนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ในการสนับสนุนด้านอาหาร เครื่องดื่มและซิมโทรศัพท์แก่ทีมกู้ภัยของประเทศไทยในภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุแผ่นดินไหวประเทศตุรเคีย ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

นายบุญธรรม กล่าวว่า ขอขอบคุณเครือซีพี-ซีพีเอฟ ที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือสนับสนุนอาหารอย่างรวดเร็ว รวมถึงทรูที่สนับสนุนซิมให้แก่ทีมกู้ภัย ตลอดจนภาคเอกชนอื่นๆ ทำให้กรมฯสามารถระดมทีม เครื่องไม้เครื่องมือ และความพร้อมในการช่วยเหลือ ได้ภายในเวลาไม่ถึง 2 วัน แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องคนไทยทุกภาคส่วน ทีมกู้ภัยขนาดกลางของไทยชุดนี้ จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับทีมกู้ภัยประเทศต่างๆ ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ตุรเคีย โดยมีภารกิจสำคัญคือการค้นหาและการกู้ภัย

ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศตุรเคีย-ซีเรีย และได้ดำเนินการส่งมอบความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่อย่างเร่งด่วนด้วยความห่วงใย โดยเบื้องต้นได้ส่งมอบถุงยังชีพ และจัดตั้งโรงครัวบริเวณรอบโรงงาน ปรุงอาหารช่วยเหลือผู้ประสบภัยและเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย ซึ่งเป็นไปตามปรัชญา 3 ประโยชน์ นั่นคือธุรกิจของบริษัทต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศที่ไปลงทุน ต่อประชาชนในประเทศนั้น และต่อองค์กรเป็นลำดับสุดท้าย

ล่าสุด เครือซีพี-ซีพีเอฟ ได้ร่วมส่งมอบอาหารและเครื่องดื่ม ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยที่ส่งทีม USAR Thailand จำนวน 42 คน ในนามรัฐบาลไทย เข้าร่วมภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ณ ประเทศตุรเคีย โดยจะเดินทางโดยสายการบินตุรเคียแอร์ไลน์ ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 และอยู่ร่วมปฏิบัติภารกิจเป็นเวลา 10 วัน โดยผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งมอบให้กับทีม USAR Thailand ประกอบด้วย อาหารพร้อมรับประทาน จำนวน 1,500 แพ็ค ได้แก ไก่ชุบแป้งทอด และโบโลน่าไก่ ตลอดจนน้ำดื่ม 5,000 ขวด รวมมูลค่ากว่า 4 แสนบาท นอกจากนี้ทรู ยังร่วมอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสาร หนุนภารกิจทีมกู้ภัย ด้วยการมอบซิมโรมมิ่งจาก ทรูมูฟ เอช จำนวน 50 ซิม สามารถใช้โทรเข้า-ออก ส่งข้อความ และใช้ดาต้าโรมมิ่ง 5G ตลอด 24 ชั่วโมง นาน 30 วัน

สำหรับ สำนักงานของซีพีเอฟในประเทศตุรเคีย แม้จะได้รับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว แต่ไม่ได้สร้างความเสียหายต่อธุรกิจ รวมถึงพนักงานทุกคนยังคงปลอดภัยดี เนื่องจากทางบริษัทมีการวางมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) เตรียมแผนรองรับไว้ ขณะเดียวกัน บริษัทได้ให้การดูแลพนักงานโดยจัดให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย พร้อมมอบเงินช่วยเหลือในสถานการณ์นี้จำนวน 2000 TL แก่พนักงานทุกคน อย่างไรก็ตาม พบว่ามีคนในครอบครัวของพนักงานบางส่วนได้รับผลกระทบ ซึ่งบริษัทจะดำเนินการพิจารณาให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนต่อไป รวมถึงการให้ความช่วยเหลือลูกค้าและคู่ค้าของบริษัทด้วย

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึก 38 รพ.คู่สัญญา ขยายระยะเวลาให้บริการ Telemedicine สำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า  เพื่อเป็นการมอบความอุ่นใจ การอำนวยความสะดวก และการลดความเสี่ยงจากการเดินทางออกจากบ้านให้กับผู้เอาประกันภัย  อีกทั้งยังเป็นการช่วยควบคุม เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) เมืองไทยประกันชีวิต ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลคู่สัญญาที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 38 แห่ง  ขยายระยะเวลาในการให้บริการพบแพทย์และได้รับยาตามคำสั่งการรักษาของแพทย์ ผ่านทางโทรเวชกรรม (Telemedicine)” สำหรับผู้เอาประกันภัยมีโรคเรื้อรังและมีนัดตรวจติดตามการรักษา โดยได้ทำการขยายระยะเวลาให้บริการดังกล่าวไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566

สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ ผู้เอาประกันภัยที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังและมีความประสงค์ใช้บริการ Telemedicine  นี้ จะต้องเป็นผู้ป่วยเดิมที่มีประวัติการรักษาในโรงพยาบาลที่ให้บริการตามที่กำหนด โดยเป็นโรคเรื้อรังที่จำเป็นต้องมีการติดตามและต้องได้รับยาต่อเนื่อง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น โดยบริการดังกล่าวจะครอบคลุมการพบแพทย์ และการสั่งยา ทั้งนี้สามารถใช้บริการได้ทั้งผู้เอาประกันภัยรายบุคคลและรายกลุ่ม ที่มีผลประโยชน์                  ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต และโรงพยาบาล กำหนด)

สำหรับบริการ Telemedicine Samitivej Virtual Hospital  ยังคงให้บริการตามเงื่อนไขปกติ ครอบคลุมทั้ง       การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังและการเจ็บป่วยด้วยโรคทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเป็นคนไข้เดิมของทางโรงพยาบาล ครอบคลุมทั้งผู้เอาประกันภัยรายบุคคลและรายกลุ่ม (เงื่อนไขเป็นไปตามที่โรงพยาบาลและกรมธรรม์กำหนด)

โดยสามารถรับบริการ Telemedicine สำหรับผู้ป่วยเรื้อรัง จากโรงพยาบาลคู่สัญญาทั้ง 38 แห่ง ได้ตามช่องทาง ดังนี้

 โรงพยาบาลจังหวัดช่องทางการรับบริการ
 กรุงเทพมหานคร  
1Samitivej Virtual Hospital กรุงเทพฯApplication MTL Click
2โรงพยาบาลเกษมราษฎร์บางแค กรุงเทพฯโทร. 02 804 8959 ต่อ 1414 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @bgp9751l
3โรงพยาบาลเจ้าพระยากรุงเทพฯโทร. 02 022 7662 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @chcservice 
   
4โรงพยาบาลเทพธารินทร์  กรุงเทพฯโทร. 02 348 7000  หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @Theptarin
   
5โรงพยาบาลไทยนครินทร์  กรุงเทพฯโทร. 02 340 6499 ต่อ 1888,1889 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line : insurance1988
   
6โรงพยาบาลบางปะกอก 1  กรุงเทพฯโทร. 02 109 1111
7โรงพยาบาลบางปะกอก 9กรุงเทพฯโทร. 092 281 0262  หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official: @bpk9hospital  
   
8โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์       กรุงเทพฯโทร. +662 011 4833 , +662 011 4899  หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @bumrungradhospital
9โรงพยาบาลบี.แคร์เมดิคอลเซ็นเตอร์  กรุงเทพฯโทร. 062-489-9594 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line : 0624899594
   
10โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธินกรุงเทพฯโทร. 062 590 6883 หรือ  ผ่านแอปพลิเคชัน Line :1doctorp
   
11โรงพยาบาลพญาไท 1  กรุงเทพฯโทร. 1772 
12โรงพยาบาลพญาไท 2กรุงเทพฯโทร. 063 225 9095
13โรงพยาบาลพญาไท 3   กรุงเทพฯโทร. 1772 
14โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์  กรุงเทพฯโทร. 02 944 7111 ต่อ 4309
15โรงพยาบาลพระรามเก้า กรุงเทพฯผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @praram9hospital  
16โรงพยาบาลเวชธานี กรุงเทพฯผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @vejthani
17โรงพยาบาลสมิติเวชไชน่าทาวน์ กรุงเทพฯผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @SamitivejChinatown
18โรงพยาบาลสมิติเวชธนบุรีกรุงเทพฯผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @SamitivejThonburi
19โรงพยาบาลสุขุมวิทกรุงเทพฯโทร 02 391 0011
 ภาคกลาง  
20โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์    นนทบุรีผ่านแอปพลิเคชัน Line Official: @rtbinter
21โรงพยาบาลบางปะกอก รังสิต 2ปทุมธานีโทร. 065 724 2973 หรือ  ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : crmonline
   
22โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9  สมุทรปราการโทร  089 094 1579 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @CHG1609
   
23โรงพยาบาลบางปะกอก 3สมุทรปราการโทร. 02 109 3111 ต่อ 1503,1506
24โรงพยาบาลบางปะกอก สมุทรปราการ สมุทรปราการโทร. 02 109 3222 ต่อ 10115-10116
25โรงพยาบาลมหาชัย 1  สมุทรสาครโทร. 034 424 990-4  หรือ  ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @mahachaihospital
   
26โรงพยาบาลมหาชัย 2      สมุทรสาครผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @mahachai2hospital
 ภาคตะวันออก  
27โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา ชลบุรีโทร. 038 259 999  หรือ  ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @bphhospital 
   
28โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา  ชลบุรีโทร. 038 317 333 ต่อ 2102 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official: @PTS789
   
29โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา    ชลบุรีโทร. 095 207 8523 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line : 889uvZUP
   
30โรงพยาบาลสมิติเวชชลบุรี    ชลบุรีโทร. 033 038 988 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @schtele
   
 ภาคเหนือ  
31โรงพยาบาลศรีสวรรค์นครสวรรค์โทร. 1254 กด 2  หรือ 
   ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official :@srisawan
32โรงพยาบาลพิษณุเวชพิษณุโลกโทร 093-134-3366
 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  
33โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมานครราชสีมาโทร. 044-015-999  ต่อ 3211 หรือ  ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official  : @BANGKOKRATCHASIMA
   
34โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่นขอนแก่นโทร. 043-366-444 หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official : @925lcmck
 ภาคใต้  
35โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต  ภูเก็ตโทร. 076 254 425
36โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์  ภูเก็ตโทร. 096 646 5208 หรือ
   ผ่านแอปพลิเคชัน ID Line : bsimed
37โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่  สงขลาโทร. 1719 หรือ 074 272 800
38โรงพยาบาลกรุงเทพสุราษฎร์  สุราษฎร์ธานีโทร. 077 956 789  ต่อ 1051,1061  หรือ ผ่านแอปพลิเคชัน Line Official: @gwc6368r
   

โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.muangthai.co.th หรือติดต่อเมืองไทยประกันชีวิต โทร. 1766  ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อโรงพยาบาลคู่สัญญาที่เข้าร่วมโครงการได้โดยตรง

หมายเหตุ : เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต และโรงพยาบาล กำหนด

AIS โชว์ผลประกอบการปี 65 รายได้โต 2.3% ตอกย้ำผู้นำอุตสาหกรรมดิจิทัล

0
AIS ประกาศผลประกอบการปี 2565 ยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำในทุกมิติ แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของ บริบทโลก รวมถึงสภาพแวดล้อมทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป โดยเอไอเอสสามารถทำรายได้รวม 185,485 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% และมีกำไรสุทธิ 26,011 ล้านบาท ตอกย้ำสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในอุตสาหกรรม ด้วยความเป็นผู้นำในตลาดโทรคมนาคมทุกมิติทั้งด้านการให้บริการ และคุณภาพโครงข่าย โดยเฉพาะ 5G ที่วันนี้ AIS มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 2.2 ล้านราย ควบคู่กับการรุกขยายฐานลูกค้าเน็ตบ้านอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีอัตราการเติบโตเหนือตลาด สำหรับปี 2566 วางงบลงทุนกว่า 27,000 - 30,000 ล้านบาท เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้มีความแข็งแกร่งพร้อมรองรับโอกาสและการเข้ามาของลูกค้าใหม่ ทั้งในด้านความครอบคลุมและคุณภาพ พัฒนาโครงข่ายอัจฉริยะ ตามวิสัยทัศน์ Cognitive Tech-Co

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เปิดเผยว่า “ท่ามกลางความท้าทายในการดำเนินธุรกิจตลอดทั้งปี 2565 ที่ผ่านมา ทั้งภาวะการแข่งขันของตลาดที่รุนแรง อัตราเงินเฟ้อสูงที่ส่งผลต่อต้นทุนพลังงานและกำลังซื้อผู้บริโภค รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว อย่างไรก็ดีด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนทำให้เรายังคงทำผลงานได้เป็นที่น่าพอใจ ทั้งในเชิงรายได้และจำนวนผู้ใช้บริการ พร้อมยังคงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในอุตสาหกรรม

ด้วยความมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพการให้บริการ และส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้า ที่วันนี้ AIS ยังคงเป็นผู้ให้บริการที่มีคลื่นความถี่มากสุดในอุตสาหกรรม ทั้งย่านความถี่ต่ำ กลาง และสูง รวม 1,420 MHz ครอบคลุมการใช้งานทุกรูปแบบ ตลอดจนวันนี้เรายังสร้าง Digital Ecosystem ร่วมกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำจากหลากหลายภาคส่วน เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีและโซลูชัน”

สำหรับผลประกอบการของปี 2565 เอไอเอสทำรายได้รวม 185,485 ล้านบาท เติบโต 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 26,011 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 3.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากในฝั่งของต้นทุนที่เจอความท้าทายจากราคาพลังงานและเงินเฟ้อ แต่ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเหมาะสม ทำให้เอไอเอสมี EBITDA อยู่ที่ 89,731 ล้านบาท ลดลง 1.8% จากปีก่อน และมี EBITDA Margin แข็งแกร่งที่ระดับ 48% พร้อมจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการครึ่งปีหลังที่ 4.24 บาทต่อหุ้น โดยสรุปผลการดำเนินงานแยกตามกลุ่มธุรกิจ ดังนี้

ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในปี 2565 มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 1.9 ล้านราย จากการส่งมอบคุณภาพ และการให้บริการที่เหนือกว่า วันนี้เอไอเอสได้ก้าวข้ามการแข่งขันด้วยราคาในตลาด ด้วยการมุ่งสร้างประสบการณ์การดิจิทัลที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนลูกค้าโทรศัพท์มือถือรวม 46 ล้านเลขหมาย ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้บริการรายเดือนที่ยังคงสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งในเชิงรายได้และผู้ใช้บริการ ในส่วนของการให้บริการ 5G ที่วันนี้มีลูกค้าอยู่ที่ 6.8 ล้านราย เติบโตก้าวกระโดดจาก 2.2 ล้านราย ในปี 2564 ด้วยการพัฒนาคุณภาพให้บริการบนเครือข่าย 5G ที่เร่งขยายโครงข่ายครอบคลุม 85% ของพื้นที่ประชากรทั่วประเทศ และมากกว่า 99.95% ในพื้นที่กรุงเทพฯ

ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เอไอเอส ไฟเบอร์ มีรายได้เติบโตกว่า 19% ในปี 2565 นับเป็นการเติบโตเหนืออุตสาหกรรม ด้านลูกค้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า 390,000 ราย ทำให้ลูกค้ารวมอยู่ที่ 2.2 ล้านราย ครองส่วนแบ่งการตลาดที่ 16% ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับตลาดเน็ตบ้านด้วยการสร้างมาตรฐานการแข่งขันให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งเทคโนโลยีด้านคุณภาพอย่างการเปิดให้บริการ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบไร้สาย หรือ Fixed Wireless Access (FWA) ด้วยเทคโนโลยี 5G mmWave เป็นครั้งแรกในไทย การร่วมมือ NOKIA ทดลองเทคโนโลยี 25G PON ครั้งแรกในเอเชีย เพื่อนำเสนอบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงพิเศษ และ AIS Fibre ยังเป็นผู้เล่นรายแรกในไทยที่เปิดให้บริการ 2Gbps รวมถึงการยกระดับการให้บริการลูกค้าที่พร้อมดูแลลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง

ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร เป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทั้งในมุมการรับรู้ที่ AIS Business ครองแชมป์อันดับ 1 ผู้ให้บริการสำหรับองค์กรและธุรกิจ โดยผลสำรวจของ Global Data ที่รวบรวมจากกลุ่มธุรกิจชั้นนำกว่า 200 องค์กร รวมถึงในมุมของรายได้ที่ยังคงสามารถสร้างการเติบโตได้ถึง 26% จากปีก่อน โดยในปีที่ผ่านมา AIS Business สามารถเชื่อมต่อการทำงานกับองค์กรภาคธุรกิจ ด้วยการส่งมอบเทคโนโลยีและโซลูชัน ที่มุ่งสร้าง Digital Business Ecosystem ให้มีความสมบูรณ์แบบ ทั้งบริการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเชื่อถือได้ ด้วยความพร้อมเต็มรูปแบบของ Intelligent Network, Cloud Platforms และ Cyber Security ตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าด้วยการบริหารจัดการข้อมูลอัจฉริยะ พร้อมการสร้างสรรค์โซลูชันใหม่ ๆ เฉพาะอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น Smart Manufacturing, Smart Transportation & Logistics, Smart City & Building และ Smart Retail

ธุรกิจดิจิทัลเซอร์วิส ยังคงมุ่งนำศักยภาพด้านดิจิทัลเทคโนโลยี มาออกแบบบริการดิจิทัลที่สอดรับกับพฤติกรรมของลูกค้าและคนไทย ทั้งในแง่ของประสบการณ์ด้านคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็น Disney+ Hotstar ผู้ให้บริการคอนเทนต์วิดีโอแพลตฟอร์มระดับโลก หรือแม้แต่การเป็นศูนย์รวมคอนเทนต์กีฬา อาทิ ฟุตบอลไทยลีก, ฟุตซอลไทยแลนด์ลีก, Golf LPGA, ลีกบาสเกตบอล 3x3BL, รายการ ONE Championship รวมถึงวันนี้ AIS ยังคงต่อยอดบริการดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อย่างรอบด้าน อาทิ บริการประกันดิจิทัลจาก AIS Insurance Service รวมถึงบริการช่องทางชำระเงินออนไลน์ผ่าน mPAY PGW – Payment Link solution เพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้จ่ายที่ง่าย สะดวกสบาย ปลอดภัย

“สำหรับภาพรวมผลงานปี 2565 ของ AIS ถือว่าอยู่ในระดับน่าพึงพอใจ โดยในปีนี้ AIS ยังเดินหน้าลงทุนเพื่อคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเตรียมงบลงทุนกว่า 27,000 – 30,000 ล้านบาท เพื่อก้าวสู่เป้าหมาย Cognitive Tech-Co หรือการเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมอัจฉริยะ ด้วยการมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้มีความแข็งแรง เพิ่มขีดความสามารถของโครงข่ายให้มีความอัจฉริยะผ่านการใช้ AI, Data Analytic ในระดับสูง ตามมาตรฐานโครงข่ายระดับโลก เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อการทำงานกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ที่เราพร้อมสนับสนุนการเติบโตร่วมกัน และยกระดับเศรษฐกิจจากฐานรากสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อประเทศต่อไป” นายสมชัย กล่าวทิ้งท้าย

AIS จับมือ ขายหัวเราะ ส่งการ์ตูนถ่ายทอด 8 ทักษะดิจิตัลปลอดภัยจากการใช้อินเตอร์เน็ต

0
วัน Safer Internet Day หรือ วันแห่งการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย เป็นวาระที่ทั้งโลกให้ความสำคัญกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตและสื่อออนไลน์ รวมถึงยังเป็นวันที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนออกมาสร้างความตระหนักและร่วมกันหาแนวทางรับมือเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว สำหรับ AIS ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายดิจิทัลที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ให้กับคนไทย ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเชิญชวนคนไทยให้ใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างปลอดภัย ด้วยการนำ 8 ทักษะดิจิทัล จากหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ที่ได้รับรองมาตรฐานจากกระทรวงศึกษาธิการ ออกมาสื่อสารให้คนไทยรู้เท่าทันสามารถใช้ชีวิตอยู่กับโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย และในวัน Safer Internet Day ปีนี้ AIS อุ่นใจ CYBER ได้ทำงานร่วมกับ Content Creator ชั้นนำอย่าง ขายหัวเราะสตูดิโอ ดึงกลยุทธ์การสื่อสารแบบ Edutainment นำทักษะดิจิทัลมาสร้าง Storytelling ในรูปแบบการ์ตูน เรื่อง “เมื่อผมตกหลุมรักขึ้นไม่ไหว” ให้มีความสนุกและน่าสนใจ เพื่อให้คนไทยมีความเข้าใจถึงทักษะด้านดิจิทัลอันจะนำไปสู่การใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างปลอดภัย ห่างไกลจากภัยไซเบอร์ทุกรูปแบบ

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS อธิบายว่า “สำหรับวัน Safer Internet Day เป็นวันที่ทั่วโลกลุกขึ้นมาพูดถึงความปลอดภัยจากการใช้งานอินเทอร์เน็ต โดยครั้งนี้ AIS อุ่นใจ CYBER ยังคงเดินหน้าค้นหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้าและคนไทยสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัย โดยเราได้พาร์ทเนอร์อย่าง ขายหัวเราะสตูดิโอ เข้ามาร่วมกันนำองค์ความรู้ด้านทักษะดิจิทัลมาสร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบการ์ตูน ด้วยการใช้กลยุทธ์แบบ Edutainment ทำให้เนื้อหาที่นำเสนอออกมามีความสนุกและเข้าใจง่ายตามแบบฉบับของขายหัวเราะ โดยการทำงานร่วมกันครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจร่วมกันที่อยากจะสร้างสังคมของการใช้งานอินเทอร์เน็ตให้มีความปลอดภัยตามภารกิจของ AIS อุ่นใจ CYBER”

สำหรับความร่วมมือระหว่าง AIS อุ่นใจ CYBER และ ขายหัวเราะสตูดิโอ เป็นการนำเสนอเนื้อหาความรู้ทักษะดิจิทัล 8 เรื่อง ที่คนไทยควรรู้ ประกอบด้วย 1) ทักษะการจัดสรรหน้าจอ 2) การจัดการความปลอดภัยทางไซเบอร์ส่วนบุคคล 3) ทักษะการรู้เท่าทันสื่อ 4) ทักษะที่เข้าใจการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ 5). ทักษะอัตลักษณ์พลเมืองไซเบอร์ 6) มารยาททางไซเบอร์ 7) ทักษะการจัดการความเป็นส่วนตัว 8) ทักษะการจัดการร่องรอยบนโลกออนไลน์ โดยทั้ง 8 ทักษะดิจิทัลเป็นเนื้อหาหลักซึ่งถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ที่ครั้งนี้ได้ ขายหัวเราะ สตูดิโอ มาเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวและตีความออกมาในรูปแบบการ์ตูนเรื่อง “เมื่อผมตกหลุมรักขึ้นไม่ไหว” ที่มีความสนุก สร้างสรรค์ และเข้าใจง่าย

นางสาวพิมพ์พิชา อุตสาหจิต กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทบันลือกรุ๊ป อธิบายเสริมว่า “สำหรับขายหัวเราะสตูดิโอเรามีความเชื่อว่า การใช้ Soft Power ของการ์ตูนและคาแรคเตอร์สามารถตอบโจทย์การสื่อสารไปยังผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างการใช้งานสื่อออนไลน์และอินเทอร์เน็ต ที่วันนี้ยังมีอีกหลายคนที่ยังรู้ไม่เท่าทันจนตกเป็นเหยื่อที่อาจเกิดความเสียหายได้

เรารู้สึกดีใจที่ได้ทำงานร่วมกับ AIS ในการส่งต่อเรื่องราวดีๆ และยังเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารในวัน Safer Internet Day ด้วยการพัฒนาเนื้อหาทักษะความรู้ออกมาเป็น Storytelling แบบการ์ตูนที่เรามีความถนัด และนอกเหนือจากการร่วมกันสร้างคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์กับ Community ของขายหัวเราะแล้ว ความร่วมมือครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของพวกเราในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งที่จะร่วมแก้ไขปัญหาด้านภัยไซเบอร์และการใช้งานในโลกยุคดิจิทัลอีกด้วย”

สามารถติดตามการ์ตูนชุดทักษะดิจิทัลที่ควรรู้ ในเรื่อง “เมื่อผมตกหลุมรักขึ้นไม่ไหว” ได้ทาง Facebook AIS ที่ https://www.facebook.com/AIS และ Facebook ขายหัวเราะ https://www.facebook.com/kaihuaror

ก.ล.ต. ประเดิมออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ E-licensing ใบแรก

0
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประเดิมระบบ Biz Portal ออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-licensing) เป็นใบแรกที่ลงนามโดยระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ ตามแผนการพัฒนาบริการดิจิทัล (SEC Digital Services Roadmap) สอดรับกับนโยบายรัฐบาลดิจิทัลและพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565

รายงานข่าวเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-licensing) ใบแรก ทั้งนี้ สืบเนื่องจากที่ ก.ล.ต. โดยการส่งเสริมและสนับสนุนของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ได้เปิดใช้ระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบธุรกิจในการยื่นคำขอ นำส่งและรับใบอนุญาตทางอิเล็กทรอนิกส์ ในเบื้องต้นเปิดสำหรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนายหน้า ค้า และจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน (ใบอนุญาตแบบ ง) และใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล (ใบอนุญาต Private Fund) ไปเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565

ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อให้บริการสาธารณะและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน มีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภาครัฐ ทำให้ตรวจสอบความถูกต้องได้ สามารถลดสำเนาเอกสารทางราชการ มีกระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวตน รวมทั้งระบบมีความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลดิจิทัลและพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 และมาตรฐานที่หน่วยงานรัฐกำหนดมาโดยตลอด โดย ก.ล.ต. จะมุ่งหน้าพัฒนาการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความสะดวก ลดภาระและค่าใช้จ่ายในการจัดทำเอกสารและการเดินทางของประชาชนและภาคธุรกิจต่อไป

สำหรับประชาชนหรือผู้สนใจสามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ได้จากเว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th  และแอปพลิเคชัน SEC Check First 

ทั้งนี้ การยื่นคำขอและการออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-licensing) สามารถดำเนินการได้ผ่าน Biz Portal ทางเว็บไซต์ https://bizportal.go.th/th/Business/PermitList  หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ IT Service Desk โทร. 1207 กด 3 กด 1 หรือทาง e-mail: [email protected]