Home Blog Page 169

โปรแรงทะลุปรอท เพิ่มเงินรางวัลที่ 1 สามเท่า กับ “สลากออมสิน 2 ปี”

0

? โปรแรงทะลุปรอทรับซัมเมอร์นี้ ออมสินเพิ่มเงินรางวัลที่ 1 ให้แบบหนัก ๆ มูลค่า 30 ล้านบาท … กับสลากออมสิน 2 ปี (ใบสลากและดิจิทัล) ?

? เพิ่ม 3 เท่า ? เงินรางวัลที่ 1 จากเดิมมูลค่า 10 ล้านบาท เพิ่มเป็นมูลค่า 30 ล้านบาท
? เพิ่ม 2 เท่า ? เงินรางวัลเลขท้ายและดอกเบี้ย
✨ บุคคลธรรมดาได้รับดอกเบี้ยและเงินรางวัลเต็มไม่เสียภาษี
✨ ถอนก่อนฝากครบ 6 เดือน หักส่วนลดตามอัตราที่ธนาคารกำหนด

หลักเกณฑ์รายละเอียด
ระยะเวลารับฝากตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2566 เป็นต้นไป
ผู้มีสิทธิเปิดบัญชี–    บุคคลธรรมดา อายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป–  นิติบุคคลทุกประเภท
อายุ2 ปี (สิทธิการถูกรางวัล 24 ครั้ง)
หน่วยละ100 บาท

? รีบฝากเลยง่าย ๆ ที่ MyMo และ ธนาคารออมสินทุกสาขา
? เริ่มตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. 66 เป็นต้นไป หรือจนกว่าธนาคารจะมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขที่กำหนดไว้ภายหลัง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม > https://bit.ly/3n53ZQx
? เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด ?

ตลาดหลักทรัพย์ไทย จับมือ ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น เชื่อมโยงโอกาสลงทุน จัดทำข้อมูลดัชนีเผยแพร่ใน 2 ตลาด

0
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (Shenzhen Stock Exchange: SZSE) ต่อยอดความร่วมมือเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลการลงทุนให้หลักทรัพย์ไทยและจีนเป็นที่รู้จัก โดยนำเสนอดัชนีหลักที่สะท้อนถึงหลักทรัพย์ที่มีศักยภาพและคุณภาพ ผ่านช่องทางของแต่ละประเทศ ได้แก่ www.settrade.com และ www.cnindex.com.cn เป็นครั้งแรก เพื่อให้ผู้ลงทุนเข้าถึงหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 2 ประเทศ ติดตามข้อมูลได้แล้ววันนี้

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น มีความร่วมมือระหว่างกันอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมการเชื่อมโยงข้อมูลการลงทุนและขยายโอกาสให้หลักทรัพย์ไทยและจีนให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนงานสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการเชื่อมโยงโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ ล่าสุด ได้แลกเปลี่ยนการเผยแพร่ข้อมูลดัชนีของแต่ละตลาดเป็นครั้งแรก โดยความร่วมมือนี้อยู่ภายใต้การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านดัชนี (Index Cross-border Cooperation) ระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัท Shenzhen Securities Information Company Limited (SSI) บริษัทผู้จัดทำดัชนีในเครือ SZSE เพื่อให้ผู้ลงทุนในประเทศจีนได้นำข้อมูลไปวิเคราะห์ก่อนการตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ในปี 2565 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น ร่วมจัดสัมมนาการลงทุนแก่ผู้ลงทุนสถาบันจีน โดยผู้บริหารตลาดทุนและบริษัทจดทะเบียนไทยให้ข้อมูลแนวโน้มธุรกิจด้านพลังงานทดแทนของประเทศไทยเพื่อสะท้อนศักยภาพและสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุนสถาบันจีน

ผู้ลงทุนสามารถติดตามข้อมูลการเผยแพร่ดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ไทย ประกอบด้วย ดัชนี SET Index, SET50 Index และ SET THSI Index ได้ที่ www.cnindex.com.cn และดัชนีของตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น ประกอบด้วย ดัชนี Shenzhen Component Index, Shenzhen 100 Index TR, ChiNext Index, CNI A50 Index, CNI 2000 Index และ The Greater Bay Area Innovation 100 Index ที่ www.settrade.com ภายใต้เมนู Global โดยใช้ชื่อว่า “International Index Cooperation”

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับล่าสุดเมื่อปี 2562 เพื่อขยายโอกาสให้หลักทรัพย์ไทยและจีนเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น พร้อมเปิดโอกาสการเชื่อมโยงตลาดหลักทรัพย์ทั้งสองแห่งเพื่อเพิ่มทางเลือกในการระดมทุน อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้ามตลาด และความร่วมมือด้านดัชนี เป็นต้น รวมถึงการจัดกิจกรรมโรดโชว์ร่วมกันอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี

ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง รับประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยสารสนเทศ และมาตรฐานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

0

ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง บริษัทในกลุ่ม ซีพี ออลล์ และดำเนินธุรกิจด้าน E-Commerce จำหน่ายสินค้าผ่านทาง Omni Chanel เล็งเห็นถึงความสำคัญในการจัดการระบบบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ การให้ความคุ้มครอง และการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลให้กับลูกค้าของทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จึงนำระบบมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2022 Information Security Management System และ ISO/IEC 27701:2019 Privacy Information Management System จาก British Standard Institution (BSI) ซึ่งเป็นหน่วยงานมาตรฐานแห่งชาติของสหราชอาณาจักร มาใช้เพื่อให้ระบบบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ และการให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของ 24 Shopping เป็นไปอย่างถูกต้องตามมาตรฐานสากล

ล่าสุดบริษัทผ่านการรับรองมาตรฐาน จาก BSI โดย นายอำพา ยงพิศาลภพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด และคณะผู้บริหารรับมอบประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2022 และ ISO/IEC 27701:2019 จาก นายบุคลากร ใจดี General Manager Sale and Marketing บริษัท บีเอสไอ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วย น.ส.อธิตานันท์ อภิธนทวีพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อินเทลลีเจนท์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาในการจัดทำมาตรฐานสากล เพื่อตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของบริษัทในการดูแลคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง ณ อาคารเดอะธารา ถนนแจ้งวัฒนะ

ผู้เลี้ยงหมูยื่นคำขาดกรมศุลฯ ต้องทำลายหมูเถื่อนค้างตู้ 4.5 ล้านกก.ทันที

0

นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า สมาคมฯได้ยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลกากร ขอให้จัดการสุกรเถื่อน 4.5 ล้านกิโลกรัมที่จับได้ล่าสุดในขั้นเด็ดขาดทันที เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี 2565 ชิ้นส่วนเนื้อสุกรลักลอบนำเข้าซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าการผลิตภายในประเทศเข้ามาสร้างความเสียหายกับตลาดการค้าสุกรมีชีวิตภายในประเทศอย่างมาก เป็นการทำลายอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรของประเทศไทย สร้างแรงกดดันให้เกษตรผู้เลี้ยงสุกรต้องขายผลผลิตต่ำกว่าต้นทุน ขาดทุนตัวละ 2,000-3,000 บาท หรือเสียหายรวม 100-150 ล้านบาทต่อวัน จากจำนวนเข้าโรงฆ่าเฉลี่ย 50,000 ตัวต่อวันในปัจจุบัน

โดยขอให้จัดการตู้สินค้าเนื้อสุกรแช่แข็งตกค้างที่ตรวจพบแล้ว ณ ท่าเรือแหลมฉบังทั้ง 161 ตู้ ดังนี้ 1.)ขอให้ส่งทำลายสินค้าเนื้อสุกรแช่แข็งตกค้างทั้งหมด 2.)ขอให้เปิดเผยรายชื่อผู้นำเข้าทั้งหมดทุกตู้ พร้อมรายชื่อผู้ประกอบการนำเข้าที่ขึ้นทะเบียนไว้ 27 ราย 3.)ขอจำนวนตู้สินค้าสุกรเถื่อนทั้งหมดที่ส่งให้กรมปศุสัตว์ทำลายไปแล้ว ในครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2565 – 2566 (ตุลาคม 2565-มีนาคม 2566)

ทั้งนี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศกำลังเดือดร้อนหนักกับภาวะสุกรหน้าฟาร์มราคาตกต่ำ ราคาประกาศวันพระวันนี้ราคาลงไปอยู่ที่ 72-82 บาท/กก. จากต้นทุนที่ 100 บาท/กก. และยังมีแนวโน้มลดลงอีก เมื่อทราบว่ามีสุกรเถื่อนค้างตู้คอนเทนเนอร์ที่แหลมฉบังถึง 161 ตู้ ทำให้ทุกคนเรียกร้องให้รัฐเร่งทำลายทั้งหมดทันที โดยไม่ควรอนุญาตให้ทำการ Re-Export ไปขึ้นที่ท่าเรืออื่น เพราะจะกลายเป็นกองทัพมดเข้ามาประเทศไทยทางตะเข็บชายแดน ทำให้ตรวจจับยากขึ้น และกระจายเชื้อโรคสู่ภูมิภาคต่างๆได้ง่ายขึ้น

“ต้องขอบคุณกรมศุลกากรที่ล็อคตู้หมูเถื่อนให้อยู่ในอารักขาของกรมไว้ได้มากถึงขนาดนี้ และทราบว่าเตรียมส่งมอบให้กรมปศุสัตว์นำไปทำลายทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก ดีกว่าการอนุญาตให้ผู้นำเข้าทำการ Re-Export เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นสินค้าผิดกฎหมาย ขณะที่บรรดาผู้นำเข้าที่อยู่ในบัญชีรายชื่อของกรมศุลกากรจะถูกเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการทำลายทั้งหมดจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะดึงเวลาการทำลายออกไป” นายสุรชัยกล่าว

การตัดสินใจทำลายสุกรเถื่อนอย่างรวดเร็วจะทำให้สังคมจะได้รับทราบว่า ใครคือผู้นำเข้าหรือชิปปิ้งของตู้หมูเถื่อนดังกล่าวและยังช่วยทำให้เกษตรกรมั่นใจว่าจะไม่มีหมูเถื่อนจากตู้เหล่านี้กลับเข้ามาตีตลาดประเทศไทยได้อีก ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะสามารถนำรายชื่อผู้นำเข้า-ชิปปิ้งมาขยายผลในการดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด โดยควรต้องรีบจัดตั้ง “คณะทำงานร่วม ระหว่าง สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และกรมการค้าภายใน” เพื่อถอนรากถอนโคนขบวนการหมูเถื่อนให้หมดไปจากประเทศไทย เป็นผลดีต่อเกษตรกรและคนไทยทั้งประเทศ

นอกจากนี้ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติจะนำความเดือดร้อนของเกษตรกรไทย เข้าหารือกับเอกอัครราชทูตประเทศบราซิลประจำประเทศไทยตามที่ได้รับเชิญมา เนื่องจากสุกรเถื่อนส่วนใหญ่ที่เข้ามาสู่ประเทศไทยมีต้นกำเนิดมาจากประเทศบราซิล โดยขอยืนยันว่าการนำเข้าเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งผิดกฎหมายไทย และอาชีพการเลี้ยงสุกรเป็นอาชีพเฉพาะที่สงวนไว้สำหรับเกษตรกรไทย หากบราซิลยังส่งสุกรผิดกฎหมายเข้ามาจำนวนมหาศาลและต่อเนื่องเช่นนี้ เท่ากับสนับสนุนการทำลายตลาดสุกรในประเทศ ทำลายอาชีพของคนไทย เป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องขอร้องท่านทูตบราซิลให้ระงับการกระทำผิดกฎหมายทั้งหมดทันที

AIS ผนึก VMware ร่วมยกระดับบริการคลาวด์โซลูชัน

0
AIS Business และ VMware(วีเอ็มแวร์) เดินหน้าประกาศความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง ภายใต้ข้อตกลงใหม่ที่ร่วมกันทำงานเพื่อสร้างความแตกต่างที่ดีกว่าด้วยคลาวด์โซลูชันที่ถูกยกระดับและพัฒนาให้เหมาะสมกับความต้องการแบบ Personalized ของผู้ประกอบการกลุ่มต่างๆ ด้วยการนำเทคโนโลยี Multi-cloud ของ VMWare มาสร้างระบบนิเวศของคลาวด์ให้มีความสมบูรณ์ ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการให้บริการคลาวด์โซลูชันของไทย โดยมีเป้าหมายสำคัญในการนำโครงข่ายดิจิทัลอัจฉริยะและเทคโนโลยีชั้นนำ รวมถึงโซลูชันคลาวด์ของ VMware ที่จะมาช่วยผลักดันการทำงานของภาคธุรกิจ SME หรือแม้แต่กลุ่มผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมการผลิต ให้มีศักยภาพที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด ที่จะมีความสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศอีกด้วย

นายเอกภาวิน สุขอนันต์ Country Manager, Thailand, VMware กล่าวว่า AIS ถือเป็นพาร์ทเนอร์เชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ VMware โดยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาเรายังคงทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องโดยมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศไทยด้วยความแข็งแกร่งของทั้งสององค์กร ผ่านการใช้เทคโนโลยีคลาวด์ของ VMware ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และโครงข่าย 5G ที่แข็งแกร่งจาก AIS ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นให้เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการแพลตฟอร์มคลาวด์แบบ Multi-cloud ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพและสร้างการเติบโตให้กับผู้ประกอบการไทย

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS กล่าวว่า การเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์กับ VMware ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งการทำงานในฐานะผู้นำด้านโซลูชันคลาวด์ที่มีความพร้อมและตอบโจทย์ผู้ประกอบการมากที่สุดแห่งหนึ่งของไทย เพราะเชื่อว่าโซลูชันคลาวด์ เป็นเสาหลักสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ที่จะช่วยให้องค์กรมีศักยภาพใหม่ๆ ในการทำดิจิทัลทรานฟอร์มเมชันภายในองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทำงาน รวมถึงยังช่วยให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็ว รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค การแข่งขัน และบริบทใหม่ๆ ของโลกได้อย่างทันท่วงที

CP Brand เปิดตัว ‘ยอร์ช-ยงศิลป์’ เป็น ‘CPเกี๊ยวกุ้งFriend’ คนแรกของไทย รุกตลาดกลุ่ม Gen Z

0
แบรนด์ CP ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารคุณภาพปลอดภัย ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน ด้วยเมนูขายดีอันดับ 1 'CP เกี๊ยวกุ้ง' ขยายตลาดเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z พร้อมเปิดตัว ‘ยอร์ช-ยงศิลป์ วงศ์พนิตนนท์’ นักร้องและนักแสดงชื่อดัง มาเป็น ‘CPเกี๊ยวกุ้งFriend คนแรกของไทย’ ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่มีความฝันยิ่งใหญ่ เพื่อสานฝันแบบติดสปีด สร้างกระแสแรงกระหึ่มโลกโซเชียล ด้วย #ต้าวเกี๊ยวยอร์ช กับท่าเต้นซดเกี๊ยวสุดฟิน ระหว่างงานเปิดตัวเพลงซิงเกิ้ลแรก ทำให้เหล่าวัยรุ่นต่างพร้อมใจแชร์และทวิต จนติดเทรนด์ใน Twitter

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด ด้านการตลาด ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ CP เกี๊ยวกุ้ง เป็นสินค้าขายดีต่อเนื่อง ด้วยวัตถุดิบกุ้งเต็มตัวขนาดใหญ่ แผ่นแป้งบางเหนียวนุ่ม น้ำซุปหอมหวานกลมกล่อม มีคุณค่าทางโภชนาการ และสามารถกินได้ในทุกมื้อของวัน ทำให้ครองใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน จากการสำรวจผู้บริโภคที่ชื่นชอบสินค้าเกี๊ยวกุ้งของซีพี พบว่า จำนวนคน Gen Z บริโภค CP เกี๊ยวกุ้งเพิ่มขึ้น บริษัทฯ เห็นโอกาสที่ดีในการเลือกตัวแทนของผู้บริโภคตัวจริง หรือ Friend ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งน้องยอร์ชคือคนแรกที่อยากร่วมงาน ด้วยความสามารถรอบด้านและการยอมรับในระดับสากล ที่สำคัญยังเป็นแฟนคลับตัวจริงของ CP เกี๊ยวกุ้ง จึงเหมาะสมกับการเป็น CPเกี๊ยวกุ้งFriend คนแรกของประเทศไทย

ผลิตภัณฑ์ CP เกี๊ยวกุ้ง มีแผนออกแคมเปญ “CPเกี๊ยวกุ้งสายซัพ CPเกี๊ยวกุ้งอร่อยสุดยอร์ช” อย่างต่อเนื่อง โดยกิจกรรมแรก เป็นการเฟ้นหาผู้โชคดี จำนวน 10 ท่าน เพื่อร่วมเกาะขอบสตูดิโอ สุดเอ็กซ์คลูซีฟ กับ น้องยอร์ช ชมเบื้องหลังการถ่ายโฆษณา ในวันที่ 30 เมษายน 2566 และหลังจากนี้ ยังมีกิจกรรมให้แฟนคลับและกลุ่ม Gen Z ร่วมสนุกอีกมากมาย ติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ ได้ทาง Facebook : CP Brand สำหรับ CP เกี๊ยวกุ้ง วางจำหน่ายแล้วที่ ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาทิ Lotus’s, Makro ทั่วประเทศ

AIS ขยายผล”อุ่นใจไซเบอร์” สู่ภาคประชาชน ผ่านหน่วยงานเครือข่ายด้านความมั่นคงทั่วประเทศ

0

AIS เดินหน้าทำงานร่วมกับพันธมิตรจากทุกภาคส่วนเพื่อขยายผล “หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์” หลักสูตรการเรียนรู้ด้านทักษะดิจิทัลที่ได้รับรองจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นไปตามมาตรฐานของหลักสูตรการศึกษาไทย ล่าสุด AIS ได้ลงนามความร่วมมือกับ หน่วยงานภาครัฐที่ดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์โดยตรงอย่าง สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ที่จะมาร่วมกันส่งต่อองค์ความรู้เนื้อหาหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ผ่านเครือข่ายและหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศ ไปยังภาคประชาชน ทั้งเด็ก เยาวชน กลุ่มคนทำงาน ผู้สูงอายุ และคนพิการ ให้มีภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์เป็นพลเมืองดิจิทัลที่รู้เท่าทันการใช้งานออนไลน์ มีทักษะดิจิทัล สามารถรับมือและใช้ชีวิตอยู่ในโลกดิจิทัลได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และสร้างสรรค์

พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการ สกมช. กล่าวว่า “หนึ่งในภารกิจหลักของ สกมช.คือการมุ่งมั่นลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อยกระดับประเทศให้มีความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเราจึงเพิ่มความเข้มข้นของการทำงานโดยบูรณาการร่วมมือกับหน่วยงานทุกภาคส่วนในการทำงานเพื่อวางรากฐานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ของประเทศให้แก่ประชาชนเพื่อให้รู้เท่าทันและสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

“สำหรับความร่วมมือกับ AIS รวมถึง กรมสุขภาพจิต และ มจธ. ในครั้งนี้ นับเป็นอีกมิติหนึ่งขององค์กรที่จะนำความรู้ด้านทักษะดิจิทัลผ่านหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ เข้าไปบูรณาการในภารกิจหลักของสกมช.ที่มุ่งสร้างความตระหนักรู้และทักษะด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้เข้าถึงประชาชนทุกระดับ ทั้งเด็ก เยาวชน คนทำงาน ผู้สูงอายุ และคนพิการผ่านเครือข่ายการทำงานของสกมช. ในรูปแบบของการทำงานเชิงรุกด้วยการสอดแทรกเนื้อหาหลักสูตรอุ่นใจ
ไซเบอร์ผ่านการจัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องภัยไซเบอร์ในระดับภูมิภาค เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้และวัดผลด้วยการทดลองทำแบบทดสอบจริง พร้อมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ให้เกิดความหลากหลาย รวมทั้งหลักสูตรอุ่นไจไซเบอร์ ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของสกมช.เป็นรูปแบบของการทำงานที่เปิดกว้างให้ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกวัย ได้ศึกษาและเพิ่มพูนองค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อสร้างการตระหนักรู้และให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ มีภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ สามารถปรับตัวในการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพและใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย”

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม รักษาการหัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “นอกเหนือจากการมุ่งพัฒนาโครงข่ายการสื่อสารอัจฉริยะให้มีความพร้อมรองรับการใช้งานของลูกค้าและคนไทยแล้ว ภารกิจของ AIS ยังคงมุ่งดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยเป็นแกนกลางของสังคมในการสร้างเครือข่ายขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาภัยไซเบอร์ ทั้งในมุมของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือ เพื่อช่วยให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย และในมุมของการสร้างภูมิปัญญา เพื่อส่งเสริมและสร้างทักษะดิจิทัลให้คนไทยรู้เท่าทัน พร้อมอยู่กับโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ จนนำมาสู่การพัฒนาหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ซึ่งมีกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสุขภาพจิต และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่ร่วมกันออกแบบเนื้อหาให้เป็นไปตามมาตรฐานของหลักสูตรด้านการศึกษาไทย เพื่อเป็นสื่อกลางปลูกฝังและเสริมทักษะความฉลาดทางดิจิทัล ผ่าน 4 Professional Skill Module หรือ 4P4ป ที่ครอบคลุมทักษะ คือ 1. Practice ปลูกฝังให้มีความรู้ ความเข้าใจในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้องและเหมาะสม 2. Personality แนะนำการปกป้องความเป็นส่วนตัวบนโลกอออนไลน์ 3. Protection เรียนรู้การป้องกันภัยไซเบอร์บนโลกออนไลน์ และ 4. Participation รู้จักการปฏิสัมพันธ์ ด้วยทักษะและพฤติกรรมการสื่อสารบนโลกออนไลน์อย่างเหมาะสม โดยที่ผ่านมาหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ เข้าถึงคนไทยไปแล้วกว่า 224,886 คน และมีโรงเรียนในสังกัดของ สพฐ. นำไปเป็นบทเรียนให้แก่นักเรียนแล้วกว่า 29,000 โรงเรียนทั่วประเทศไทย”

“วันนี้เรายังคงเดินหน้าขยายความร่วมมือเพื่อให้เนื้อหาเข้าถึงคนไทยในวงกว้างมากขึ้น โดยครั้งนี้เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันภัยไซเบอร์ระดับประเทศ อย่างสำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ หรือ สกมช. ที่จะมาร่วมกันขยายผลการเรียนรู้หลักสูตร
อุ่นใจไซเบอร์ให้เข้าถึงประชาชนทั่วประเทศอย่างเป็นระบบ และครอบคลุมทุกกลุ่มวัย ตั้งแต่เด็ก เยาวชน วัยทำงาน ผู้สูงอายุและคนพิการ ผ่านกลไกการทำงานของ สกมช.ที่มีหน่วยงานเครือข่ายการทำงานครอบคลุมในระดับตำบล อำเภอทั่วประเทศ ทั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในรูปแบบของจัดกิจกรรม การลงพื้นที่ หรือแม้แต่การร่วมกันสื่อสารสร้างองค์ความรู้ในช่องทางต่างๆ ร่วมกัน”

นางสายชล กล่าวว่า “โดยเราเชื่อว่าการทำงานร่วมกันอย่างสอดประสานกับหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ของประชาชนอย่าง สกมช. ในครั้งนี้จะช่วยทำให้เป้าหมายการทำงานที่ทั้งสององค์กรมีร่วมกันคือมุ่งลดการเกิดปัญหาภัยไซเบอร์ สร้างทักษะทางดิจิทัล ทั้งความสามารถในการเข้าใจ เข้าถึง และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดประโยชน์และปลอดภัย ได้อย่างแน่นอน”

กรุงไทย ดีเดย์ มิ.ย.นี้ โอนเงินตั้งแต่ 5 หมื่นบาท ต้องสแกนใบหน้าก่อน

0

ธนาคารกรุงไทย เสริมแกร่งเทคโนโลยีความปลอดภัย สแกนใบหน้าก่อนทำธุรกรรมโอนเงิน และปรับเพิ่มวงเงินผ่านแอปฯ Krungthai NEXT และเป๋าตัง มั่นใจทำธุรกรรมผ่านแอปฯได้คนเดียวเท่านั้น เริ่มมิถุนายน 2566 แนะลูกค้านำบัตรประชาชนขอเพิ่มการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าที่ตู้ ATM สีเทา และสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ธนาคารกรุงไทย มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มอย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ยกระดับชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นในทุกวัน โดยเดินหน้านำเทคโนโลยีมายกระดับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมการเงินอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาระบบแจ้งเตือนผู้ใช้งาน เมื่อตรวจพบการบันทึกภาพ หรือ วิดีโอหน้าจอ หรือใช้โปรแกรมควบคุมหน้าจอมือถือของผู้ใช้งาน (Screen Sharing /Screen Recording) เพื่อป้องกันการเข้าถึงแอปฯ จากทางไกล และการยกเลิกส่ง SMS และ e-mail แนบลิงก์ ล่าสุด ธนาคารพัฒนาระบบการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้ามาใช้กับ แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT และเป๋าตัง เมื่อทำธุรกรรมโอนเงิน หรือปรับเพิ่มวงเงินผ่านแอปฯ ดังนี้

  1. โอนเงินตั้งแต่ 50,000 บาท ขึ้นไปต่อครั้ง
  2. มียอดโอนเงินสะสมทุก 200,000 บาท ต่อวันต่อบัญชี
  3. ปรับเพิ่มวงเงินโอนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป

การยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า ทำให้การทำธุรกรรมโอนเงิน ปลอดภัยมากขึ้น ทำธุรกรรมผ่านแอปฯ ได้คนเดียวเท่านั้น สะดวกมากขึ้น เมื่อต้องการเปลี่ยนอุปกรณ์มือถือ ลืมรหัส หรือเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่ในการรับ OTP สำหรับการทำธุรกรรม ทำให้สามารถใช้งานแอปฯ ได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ การยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าก่อนโอนเงิน เริ่มในเดือนมิถุนายน 2566 สำหรับลูกค้าที่ยังไม่เคยมีข้อมูลการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า หรือ ข้อมูลไม่อัพเดต สามารถเพิ่มข้อมูลได้ เพียงนำบัตรประชาชนไปขอดำเนินการผ่านธนาคารกรุงไทยทุกสาขา และ ตู้ ATM ที่มีสัญลักษณ์ Confirm ID (ตู้สีเทา) โดยอัพเดตข้อมูลครั้งเดียวใช้ได้ทั้ง แอปฯ Krungthai NEXT และเป๋าตัง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Krungthai Contact Center 02-111-1111

เมืองไทยประกันชีวิต พร้อมดูแลทุกเรื่องกรมธรรม์ ด้วยบริการสุดประทับใจ ให้ลูกค้าเลือกใช้บริการได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ชอบ

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2566 ถือเป็นปีสำคัญของเมืองไทยประกันชีวิต ในการอยู่เคียงข้างสร้างรอยยิ้มแก่คนไทยครบ 72 ปี พร้อมกำหนดทิศทางการดำเนินงานในปีนี้ของบริษัทฯ ด้วยการตั้งเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยการดำเนินกลยุทธ์ “Happiness Reinvented” เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต ประกาศปักธงเป็นอันดับหนึ่งในฐานะคู่คิดด้านชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจ (No.1 Most Trusted Life & Health Partner) ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกบทบาทของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ เพื่อสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกๆ คน (Democratizing Insurance) โดยบริษัทฯ มุ่งดำเนินงานผ่าน 4 แกนสำคัญ ได้แก่ บุคลากร (People) พาร์ทเนอร์ (Preferred Partner) ลูกค้า (Customers) และ นอกเหนือจากลูกค้า (Beyond Our Customers)

เมืองไทยประกันชีวิต ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เดินหน้ามอบการบริการลูกค้าด้วยบริการสุดประทับใจและเป็นเลิศในประสบการณ์ที่ดีแบบไร้รอยต่อ พร้อมดูแลทุกเรื่องกรมธรรม์ ผ่านทั้งเทคโนโลยีการให้บริการและทุกจุด Touch Point ทั้งในรูปแบบของ Human Touch หรือในรูปแบบของ Self Service และพร้อมตอบโจทย์ลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ ครบทุกเจนเนอเรชัน ในแบบที่มีความเฉพาะตัวของบุคคล (Personalization) รวมไปถึงการให้บริการของเจ้าหน้าที่ผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของเมืองไทยประกันชีวิตที่สามารถผสมผสานการบริการด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยในการบริการลูกค้าได้อย่างตรงจุด ตรงความต้องการ ช่วยเหลือลูกค้าในทุกด้านอย่างจริงใจและจริงจัง ให้คุณได้ “อุ่นใจ” ด้วยช่องทางบริการลูกค้าที่หลากหลาย อาทิ

  • บริการ Live Chat ที่ Muangthai.co.th (07:00 – 23:00 น.) หรือ ช่องทาง Social Media ของบริษัทฯ ได้ ที่ Official Account: Muang Thai Life ใน Line, Facebook, Twitter, Instagram, TikTok และ YouTube
  • ช่องทางบริการลูกค้าทางโทรศัพท์ที่โทร. 1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง (ถ้าคุณสะดวกโทร. 1766 พบกับระบบ IVR Self Service ที่จะทำให้คุณได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น และได้รับคำตอบเร็วขึ้น)
  • แอปพลิเคชัน MTL Click สะดวก ครบ จบในแอปเดียว
  • บริการ Video Call ที่โทร. 1766 หรือผ่านแอปพลิเคชัน MTL Click
  • ศูนย์บริการลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ (ในวันและเวลาทำการ)

อ่านรายละเอียดช่องทางบริการของบริษัทฯ เพิ่มเติมคลิก https://www.muangthai.co.th/th/about-mtl/news-and-update/mtl-smile-touch-seamless-contact-experience

“จุดยืนในการมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านการประกันชีวิตและสุขภาพของเรา ไม่ใช่แค่เข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร แต่เราจะคิดเผื่อไปมากกว่านั้น และสิ่งที่เรานำมามอบให้แก่ลูกค้า ไม่ใช่แค่เรื่องของประกัน การเคลม หรือการติดต่อตัวแทนประกันชีวิต แต่เป็นการดูแลลูกค้าผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ที่ถูกออกแบบโดยการคิดเผื่อรอบด้านเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในทุกช่วงชีวิต” นายสาระ กล่าว

รางวัล “นวัตกรรมการศึกษาเพื่อสังคม” ตอกย้ำปณิธานสร้างคนของเครือบุญรอดฯ

0
ปณิธานหนึ่งที่เครือบุญรอดฯ ยึดมั่นเสมอมาคือ การทำให้ “องค์กร ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ต้องอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและยั่งยืน” โดยเฉพาะความสามารถในการส่งมอบคุณค่า ผ่านการขับเคลื่อนธุรกิจไปยังผู้คนและสังคมโดยรอบ ควบคู่ไปกับการมุ่งมั่นพัฒนาบุคลากรไปสู่การเป็นพลเมืองต้นแบบของสังคม เพื่อเป็นตัวแทนส่งต่อความสุขและขยายแนวร่วมในการดูแลสังคมอย่างยั่งยืน

โดยโมเดลหนึ่งในการสร้างคนที่บุญรอดฯ โดยบริษัท สิงห์ เบเวอเรช จำกัด หนึ่งในโรงงานที่ได้ชื่อว่ามีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดในโลก ได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง คือ การร่วมพัฒนาหลักสูตรกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในโครงการยกระดับภาคอุตสาหกรรมด้วยการบริหารจัดการนวัตกรรมองค์กรแบบทั่วถึง หรือโครงการ TIME ผ่านการมอบทุน ส่งมอบโอกาสให้นิสิตนักศึกษาตั้งแต่ระดับ ปวส.-ปริญญาโท ได้เข้ามาเรียนรู้ และทำงานจริง สามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเอง เพื่อกลายมาเป็นกำลังหลักทั้งในการช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจและการดูแลสังคม โดยบริษัทจะดูแลแบบครบวงจร ตั้งแต่ค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่าย และสวัสดิการต่างๆ นอกจากนี้ยังมีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญจากเครือบุญรอดฯ มาเป็นต้นแบบในการถ่ายทอดทักษะการทำงานและบ่มเพาะแนวคิด มุมมอง และวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อร่วมสร้างคนคุณภาพ สร้างพลเมืองต้นแบบ ที่พร้อมทำงานได้ทันทีจากการเรียนจริง ทำงานจริง โดยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ให้ทุนกับนักศึกษากว่า 200 คน และในจำนวนนี้เราได้รับเข้าเป็นสมาชิกครอบครัวสิงห์รวม 32 คน

จากผลสำเร็จของโครงการฯ ทำให้บุญรอดฯ ได้รับรางวัล “นวัตกรรมการศึกษาเพื่อสังคม” จาก สวทช. ถือเป็นความสำเร็จที่ช่วยตอกย้ำแนวทางในการสร้างคนของเครือบุญรอดฯ เพราะสำหรับเราแล้ว คนที่มีคุณภาพคือสารตั้งต้นที่จะช่วยสร้างสังคมที่มีคุณภาพต่อไป และเมื่อสังคมเติบโตอย่างมั่นคง สิ่งที่จะตามมาก็คือ ความสุขที่ยั่งยืนของทุกคนในประเทศนั่นเองครับ