Home Blog Page 167

เมืองไทยประกันชีวิต ยกขบวนสิทธิพิเศษปี​ 66​ เพื่อสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2566 นี้ ถือเป็นปีสำคัญของเมืองไทยประกันชีวิต ในการอยู่เคียงข้างสร้างรอยยิ้มแก่คนไทยครบ 72 ปี และได้ตั้งเป้าหมายเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผ่านกลยุทธ์ “Happiness Reinvented” เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต พร้อมเป็นคู่คิดด้านชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจ (No.1 Most Trusted Life & Health Partner) ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรม ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกบทบาทของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ เพื่อสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คน ผ่านกิจกรรมเมืองไทยสไมล์คลับตลอดทั้งปี 2566  

ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต โดยเมืองไทยสไมล์คลับ ส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับด้วยการเพิ่มประสบการณ์สุดพิเศษ เหนือระดับ สำหรับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับระดับสถานะ The Ultimate และ Beyond Prestige ด้วยเอกสิทธิ์พิเศษประจำปี 2566 กับการมอบสิทธิพิเศษด้านสุขภาพ ด้านการเดินทางท่องเที่ยว ด้าน Lifestyle กิจกรรมสุด Exclusive และ Smile Birthday Gift ของขวัญสุดพิเศษในเดือนเกิดของสมาชิกฯ ภายใต้คอนเซป Your Pleasure, Your Design เลือกอิ่มเอม เหนือระดับในแบบคุณ รายละเอียดดังนี้

• Smile Birthday Gift* ส่งมอบของขวัญที่คัดสรรพิเศษในเดือนเกิด ให้กับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ 

• Special Lounge at the airport มอบสิทธิพิเศษเข้าใช้บริการห้องรับรองพิเศษที่สนามบิน สะดวกสบายในการเดินทาง 

• Exclusive Limousine Services มอบสิทธิพิเศษบริการรถลีมูซีน รับ หรือ ส่งสนามบิน 

• Quadrivalent Influenza Vaccine มอบสิทธิพิเศษการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (สำหรับอายุ 15 ปีขึ้นไป) ได้ที่เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ทั่วประเทศที่ร่วมโครงการ

• Smile Exclusive Health หรือ Smile Healthy Plus แพ็กเกจตรวจสุขภาพประจำปี สิทธิพิเศษการตรวจสุขภาพและบริการทางการแพทย์ สำหรับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ระดับสถานะ The Ultimate และ Beyond Prestige ตามลำดับ 

โดยเมืองไทยสไมล์คลับ มอบสิทธิพิเศษเพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพให้กับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ระดับ The Ultimate ได้เลือกการดูแลสุขภาพที่ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น ด้วยทางเลือก 1 ใน 3 ของการรับสิทธิพิเศษด้านสุขภาพ Smile Exclusive Health หรือ Smile Exclusive Dental โปรแกรมการดูแลด้านทันตกรรม สูงสุด 10,000 บาท หรือทางเลือกการดูแลสุขภาพผ่านโปรแกรม Anti-Aging ในการมอบบริการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล ด้วยโปรแกรมตรวจเลือด เพื่อวิเคราะห์ปริมาณวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ พร้อมรับวิตามินเฉพาะบุคคลที่ออกแบบตามผลเลือด สำหรับรับประทาน 1 เดือน หรือสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ จะเลือกรับบริการโปรแกรมการตรวจสุขภาพโดยแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย พร้อมตรวจระดับฮอร์โมนเพศ หรือตรวจฮอร์โมนด้านความเครียด (ฮอร์โมนความสุข) และตรวจระดับฮอร์โมนที่แสดงอายุจริงของร่างกายได้ หรือสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ที่สนใจเข้าแคมป์ดูแลรักษาสุขภาพกายและใจ หรือผู้ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ต้องการผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำในการวางแผนการดูแลสุขภาพของตนเองเพื่อดูแล ป้องกัน ให้ห่างไกลจากการเจ็บป่วยโรคต่างๆ        หรือแม้กระทั่งกลุ่มวัยเกษียณและผู้ที่เตรียมตัวก่อนเกษียณ ที่ต้องการออกแบบการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเน้นการดูแลสุขภาพตนเอง และฝึกทักษะต่างๆ ที่จำเป็นในวัยเกษียณ เป็นต้น

สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ สามารถเลือกเข้ารับบริการโปรแกรมที่สนใจ 1 ใน 3 ของสิทธิพิเศษด้านสุขภาพได้ที่โรงพยาบาล และคลินิกทันตกรรมที่เข้าร่วมโครงการ และสถานบริการสุขภาพชั้นนำกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ กับการบริการเหนือระดับ เพื่อการดูแลสุขภาพของสมาชิกฯ คนสำคัญ 

“ทุกประสบการณ์แห่งการดูแล การสร้างสรรค์กิจกรรม สิทธิประโยชน์และแคมเปญต่างๆ ที่ตอบรับกับ Lifestyle ของสมาชิกผ่าน “เมืองไทยสไมล์คลับ” ในการสร้างความสุขและรอยยิ้ม ที่สมาชิกฯ ทุกระดับสามารถเข้าร่วมได้ตลอดทั้งปี โดยการรับสิทธิพิเศษฟรี ส่วนลดร้านค้า และการแลกคะแนนสะสม Smile Point เพื่อให้สมาชิกฯ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกคุ้มค่ามากกว่าแค่คุ้มครอง ผ่านสิทธิประโยชน์ และกิจกรรมที่ตอบโจทย์ทุก Gen ตอบรับทุก Lifestyle ยกระดับการใช้ชีวิตของคุณสู่ Digital Lifestyle ผ่านแอปพลิเคชัน MTL Click และ www.muangthai.co.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1766 เมืองไทยประกันชีวิต หรือศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ”

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และห่วงโซ่การผลิตอาหารมั่นคง

0
บทความโดย บดินทร์ สิงหาศัพท์ นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อม

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และหมอกควัน เป็นหนึ่งในปัญหาเรื้อรังทั้งของไทยและสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations : ASEAN) ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีทางแก้ไขเพื่อนำไปสู่การบรรเทาหรือหยุดปัญหาอย่างยั่งยืน แม้จะมีข้อตกลงกันในภูมิภาคก็ตาม แต่ประเทศสมาชิกหลายชาติละเลยไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด ขณะที่รัฐบาลไทยที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาบริหารประเทศก็ยังไม่มีชุดใดจริงจังกับการแก้ปัญหานี้ ส่งผลให้ปี 2566 เป็นปีที่ทางภาคเหนือของประเทศถูกปกคลุมด้วยฝุ่นละอองและหมอกควัน เป็นมลพิษร้ายทำลายสุขภาพประชาชนและเศรษฐกิจไทย

สำหรับปัญหาฝุ่นและหมอกควันพิษทางภาคเหนือ มีการพุ่งเป้าไปที่ภาคการเกษตรว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะการเผาตอซังหลังการเก็บเกี่ยวโดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้านทั้งเมียนมาและ สปป.ลาว ข้ามแดนมา ที่พรรคการเมืองน้อย-ใหญ่ ยกเรื่องนี้มาทำคะแนนนิยมกันอย่างกว้างขวาง อ้างจากการขยายการลงทุนของกลุ่มทุนไทยไปเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศดังกล่าว โดยไม่มีหลักฐานพิสูจน์ทราบได้ มีแต่คำพูดเอาดีเขาตัวเมื่อได้รับเลือกตั้งเป็นรัฐบาลแล้ว ชาวบ้านถามหากันให้เซ็งแซ่ว่า “หายศีรษะ” ไปไหน

จากความเชื่อของนักการเมือง แนวทางการแก้ปัญหาจึงคิดเพียงด้านเดียวขาดความรู้ ขาดข้อเท็จจริง และไม่ผ่านการคิดแบบบูรณาการ เช่น หยุดนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือต้องนำเข้าจากบริษัทที่สามารถแสดงหลักฐานได้ว่ามาจากแหล่งที่ไม่มีการเผาตอซังหรือบุกรุกป่า ตรวจสอบย้อนกลับได้ไปจนถึงแหล่งผลิต ตลอดจนเจรจาในระดับภูมิภาคเพื่อยังคับใช้ข้อตกลงให้เกิดผลในทางปฏิบัติเรื่องฝุ่นควันข้ามแดน ซึ่ง 2 แนวทางหลังมีโอกาสจะเกิดขึ้นถ้าแต่ละฝ่ายมีความจริงใจ ส่วนหยุดนำเข้า..ถ้าผลผลิตในประเทศพอจะนำเข้ามาเพื่ออะไร ความจริง คือ ผลิตไม่พอขาดอยู่ 3 ล้านตัน ซึ่งมีผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตภาคปศุสัตว์ที่มีเกษตรกรนับ 100,000 ครอบครัวและความมั่นคงทางอาหารของไทย สำหรับผู้บริโภคคนไทยมากกว่า 66 ล้านคน และยังส่งออกไปเลี้ยงประชากรโลกด้วย

จริงอยู่ประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะเมียนมา พื้นที่รัฐฉานมีการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาก แม้ไม่ส่งออกมาไทยเข้าก็ส่งไปจีนเป็นหลักอยู่แล้ว ไทยเพียงรถขบวนท้ายๆ ที่เข้าไปส่งเสริมการเพาะปลูกในเมียนมาเพื่อทดแทนส่วนที่ขาดเท่านั้น และเป็นการเพาะปลูกตามหลักวิชาการ เน้นปลูกบนพื้นราบและใช้การไถกลบโดยไม่เผาตอซัง มาตรฐานที่ถูกใช้ในประเทศไทยและความรู้ถูกถ่ายทอดให้กับชนเผ่า เพื่อรักษาทรัพยากรของประเทศตามแนวทางความยั่งยืน ซึ่งการเข้าไปส่งเสริมอยู่ในสายตาของรัฐบาลเมียนมาทั้งสิ้น..นักการเมืองควรขออนุญาตรัฐบาลทหารเข้าไปดูให้ประจักษ์แก่สายตา อย่าแอบเข้าไปดูเองเจาะจงเฉพาะพื้นที่ที่ไกลปืนเที่ยง

หากติดตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นจุดความร้อนของไทยใน 17 จังหวัดภาคเหนือนั้น ใหญ่ที่สุดอยู่ที่เขตป่าอนุรักษ์และเขตป่าสงวนแห่งชาติ ส่วนจุดความร้อนในภาคการเกษตรใหญ่ที่สุดคือ นาข้าว …นอกจากนี้ ชาวบ้านในอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ยังให้ข้อมูลว่า ปีนี้มีการสะสมของใบไม้และวัสดุต่างๆ มากกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับอากาศแล้งมาก และการลดระยะเวลา “ชิงเผา” ให้สั้นลง ทำให้ชาวบ้านต้องระดมการเผาวัสดุทางการเกษตรพร้อมกัน ทำให้ปีนี้หมอกควันมีปริมาณมากตามไปด้วย ที่สำคัญยังมีการลักลอบเผาป่า เพื่อเก็บเห็ดและของป่าของบ้านมากขึ้นด้วย

เมื่อทราบข้อเท็จจริงว่า “นาข้าว” คือต้นตอหลักทางการเกษตรที่มีการเผา รัฐบาลหาเทคโนโลยีหรือปัจจัยสนับสนุนที่จะช่วยให้ชาวนาลดการเผาและส่งเสริมการวิธีการเพาะปลูกแบบยั่งยืนไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม รวมทั้งพืชสวนพืชไร่ เพื่อสร้างหลักประกันรายได้ ลดต้นทุนการผลิต หรือการทำ “Zoning” พื้นที่เพาะปลูกพืชแต่ละชนิด ให้ง่ายต่อการควบคุมและบริหารจัดการ สร้างความเชื่อมั่นให้เดินหน้าด้วยวิธีการที่ถูกต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เกิดเป็นผลดีกับห่วงโซ่การผลิตของไทย การบริหารจัดการแบบบูรณา การระดมสมองจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาโดยอาศัยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และการลงพื้นที่ตรวจสอบ จะช่วยให้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ถูกแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่วนเวียนเกิดขึ้นซ้ำซาก จนทำลายห่วงโซ่การผลิตและความมั่นคงทางอาหารของไทย

เตือนภัยเอลนีโญ แล้งรุนแรง​ สิงห์อาสา​ ผนึก​ ม.ขอนแก่น สร้างต้นแบบแหล่งน้ำชุมชน บรรเทาความเดือดร้อนชาวบ้าน

0

คณะเกษตรศาสตร์ ม.ขอนแก่น เตือนปีนี้ประเทศไทยแล้งจัด เนื่องจากซีกโลกแถบประเทศไทย เข้าสู่ภูมิอากาศแบบเอลนีโญ(El Nino) ที่มีความรุนแรงกว่าในอดีต ทำให้เกิดคลื่นความร้อนและภัยแล้งขยายเป็นบริเวณกว้าง เพราะอุณหภูมิของน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกจะอุ่นขึ้น นำพาอากาศร้อนและแห้งไปยังแถบตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ส่งผลให้ฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่เดือน ก.ย. 63- มี.ค. 66 โลกได้เผชิญกับลานีญา (La Nina) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ตรงกันข้ามกับเอลนีโญ คือ ที่ทำให้ฝนตกหนัก และอากาศหนาวเย็นในแถบแปซิฟิก ทำให้ผู้คนได้รับผลกระทบจำนวนมาก โดยเอลนีโญและลานีญาเป็นปรากฏการณ์ที่มักจะเกิดขึ้นเป็นเวลา 12-18 เดือน แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานับว่ายาวนานผิดปกติ

สำหรับประเทศไทยหลังจากที่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาทั้งภาคเหนือและภาคอีสานได้รับผลกระทบจากไฟป่าและฝุ่นควัน PM 2.5 และคาดว่าในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. สถานการณ์ภัยแล้งจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ชาวบ้านและเกษตรกรได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ทางคณะเกษตรศาสตร์ ม.ขอนแก่น จึงผนึกกำลังสิงห์อาสาต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สร้างต้นแบบแหล่งน้ำชุมชน บรรเทาความเดือดร้อนชาวบ้าน ให้มีน้ำไว้ใช้ทั้งในช่วงหน้าแล้งและภาวะปกติ

การทำงานในปีนี้ สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และบริษัท ขอนแก่นบริวเวอรี่ จำกัด บริษัทในเครือฯ พร้อมด้วยเครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 16 สถาบัน ให้ความสำคัญของการสร้างต้นแบบแหล่งน้ำชุมชนเป็นหลัก เนื่องจากสถานการณ์ภูมิอากาศของโลกในปีนี้ ก้าวเข้าสู่ภูมิอากาศแบบเอลนีโญ่ ซึ่งจะเป็นสภาพภูมิอากาศที่แล้งรุนแรง ฝนทิ้งช่วง ต่างจาก 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแบบลานีญา หรือสภาวะฝนมากกว่าปกติ ซึ่งในปีนี้จะทำงานร่วมกับ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดโครงการ “สิงห์อาสาสร้างแหล่งน้ำชุมชนอย่างยั่งยืน” ด้วยการขุดบ่อเพื่อเป็นแหล่งน้ำให้ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์ตลอดฤดูแล้งและภาวะปกติ พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการสร้างแหล่งน้ำชุมชนอย่างยั่งยืนให้แก่ชาวบ้าน ควบคู่กับการนำรถน้ำออกให้บริการในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อน ณ ชุมชนบ้านหนองแวงไร่ ต.ในเมือง อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น

ผู้ช่วยศาสตราจารย์มัลลิกา ศรีสุธรรม อาจารย์สาขาวิชาปฐพีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า “จากการคาดการณ์อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะพุ่งขึ้นทุบสถิติในปีนี้และปีหน้า ซึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการกลับมาของปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Nino) ทวีความรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างยาวนานในภูมิภาคแปซิฟิก โดยปรากฏการณ์นี้มักจะเกิดขึ้นเป็นเวลานาน 12-18 เดือน ส่งผลทำอุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น และกระทบต่อประเทศที่ประสบปัญหาจากสภาพอากาศแต่เดิมอยู่แล้ว เช่น คลื่นความร้อน ภัยแล้ง และไฟป่า ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า คลื่นความร้อนมาเร็วกว่าปกติ ส่งผลไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในบางพื้นที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะภาคอีสานที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างยิ่ง

ดังนั้น การสร้างแหล่งน้ำชุมชนอย่างยั่งยืนจึงเป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ได้ โดยพื้นที่ที่เราเลือกในครั้งนี้เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง มีน้ำไม่เพียงพอต่อการอุปโภคและทำการเกษตรในช่วงฤดูแล้งและฤดูกาลเพาะปลูกที่ฝนทิ้งช่วง กระบวนการเติมน้ำใต้ดินจึงเป็นแนวทางที่จะช่วยแก้ปัญหาน้ำแล้ง สามารถกักเก็บน้ำได้ ซึ่งแบ่งออกเป็นรูปแบบบ่อเปิดและบ่อปิด ตามความเหมาะสมของพื้นที่ โดยบ่อปิดจะใช้วิธีขุดให้ลึกถึงชั้นบาดาลแล้วฝังท่อลงไป เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ดินโดยรอบ และบ่อเปิดจะเป็นแหล่งน้ำสาธารณะที่ทุกคนสามารถผันน้ำไปใช้ได้ตลอดทั้งปี ทำให้แหล่งน้ำดังกล่าวมีปริมาณน้ำที่เพียงพอให้กับคนในชุมชน”

นายรวินทร์ ชมพูนุชธานินทร์ ผู้อำนวยการกลุ่มประชาสัมพันธ์ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า “การสร้างต้นแบบแหล่งน้ำชุมชน บรรเทาความเดือดร้อนชาวบ้านตลอดหลายปีที่ผ่านมา ช่วยให้ชาวขอนแก่นและพื้นที่ใกล้เคียงมีแหล่งน้ำชุมชนไว้ใช้ทั้งในยามแล้งและปกติ เมื่อมีน้ำพอกินพอใช้จึงทำให้สามารถต่อยอดไปสู่การสร้างรายได้ประกอบอาชีพได้ ซึ่งหากนับตั้งแต่ปี 2564 สิงห์อาสาได้สร้างต้นแบบแหล่งน้ำชุมชน บรรเทาความเดือดร้อนชาวบ้านมาแล้วในพื้นที่ภาคอีสานหลายแห่ง และจะขยายต่อไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไป โดยก่อนนี้ ตลอดระยะเวลากว่า 12 ปี ที่สิงห์อาสาพร้อมด้วยเครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 16 สถาบัน ได้ลงพื้นที่ทำกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ การแจกจ่ายน้ำสะอาดให้กับชาวบ้าน ติดตั้งธนาคารน้ำสิงห์ ซึ่งเป็นแท้งค์น้ำให้ชาวบ้านได้มีน้ำใช้ ทำท่อประปาเพื่อใช้เป็นเส้นทางลำเลียงน้ำจากภูเขาเข้าสู่หมู่บ้านในพื้นที่ห่างไกล และสร้างแหล่งน้ำชุมชน นำองค์ความรู้เรื่องการเติมน้ำใต้ดินมาสร้างแหล่งน้ำชุมชนและถ่ายทอดให้ชาวบ้าน เพื่อให้มีน้ำไว้ใช้อุปโภคบริโภคอย่างยั่งยืน ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องภาคอีสานได้เป็นอย่างดี”

ทั้งนี้ สิงห์อาสา และ คณะเกษตรศาสตร์ ม.ขอนแก่น พร้อมด้วยเครือข่ายสถาบันการศึกษา 16 สถาบันในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด, มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ,มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี, มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ, วิทยาลัยเทคนิคขอนแก่น และวิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม จะสร้างต้นแบบแหล่งน้ำชุมชนพร้อมช่วยสนับสนุนองค์ความรู้อย่างต่อเนื่องให้กับชุมชน เพื่อขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมทั่วทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้ทุกคนมีน้ำไว้ใช้ตลอดทั้งปีมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

แนะโปรตีนจากไข่และเนื้อสัตว์สำคัญ เด็กควรกินไข่ให้ได้วันละ 1 ฟอง

0

กุมารแพทย์โรคระบบต่อมไร้ท่อ แนะเด็กต้องบริโภคโปรตีนจากเนื้อ นม ไข่ ให้เพียงพอ ย้ำไข่ไก่ กินได้ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ฟอง

ผศ.พญ.กัลย์สุดา อริยะวัตรกุล กุมารแพทย์ (โรคระบบต่อมไร้ท่อ) ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า โปรตีนและธาตุเหล็กเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก จึงควรรับประทานโปรตีนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยแหล่งอาหารที่ให้โปรตีนเป็นหลัก ได้แก่ ไข่ไก่ เนื้อสัตว์ นม และถั่ว

“ปริมาณโปรตีนที่แนะนำในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี ควรบริโภคไข่ไก่หรือเนื้อสัตว์ประมาณ 6-8 ช้อนโต๊ะต่อวัน (โดยไข่ไก่ 1 ฟองเทียบเท่าเนื้อสัตว์ 2 ช้อนโต๊ะ เทียบเท่ากับโปรตีน1 ส่วนต่อมื้อ) โดยเป็นไข่ไก่ อย่างน้อย 1 มื้อ และในมื้อถัดไปให้เป็นเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อไก่ หรือเนื้อหมู เพื่อให้มีโปรตีนที่หลากหลายสลับกันไป รวมถึงให้กินนม 2-3 กล่องต่อวัน สำหรับเด็กโต เพิ่มเนื้อสัตว์เป็น 3 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ และเพิ่มนมเป็น 3-4 กล่องต่อวัน อาหารในปริมาณนี้เด็กๆ ก็จะได้รับโปรตีนได้อย่างครบถ้วน” ผศ.พญ.กัลย์สุดา กล่าว

สำหรับ “ไข่ไก่” โปรตีนคุณภาพดี หาซื้อง่าย ราคาไม่สูง ทุกคนเข้าถึงได้ ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เหมาะสำหรับทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต สามารถกินได้ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ฟอง หรือมากกว่านั้นได้ เนื่องจากเด็กไม่ได้มีข้อจำกัดในการกินไข่ ไม่มีปัญหาเรื่องไขมัน ส่วนผู้ใหญ่ที่ไม่มีโรคประจำตัวสามารถกินไข่ได้วันละ 1 ฟอง แม้ว่าคอเลสเตอรอลในไข่แดงจะมีปริมาณ 200 มิลลิกรัม แต่คอเลสเตอรอลในอาหารไม่ได้ทำให้ไขมันในเลือดสูง โดยมีงานวิจัยยืนยันว่าคอเลสเตอรอลในเลือดที่สูงไม่ได้เกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไป เพราะคอเลสเตอรอลในเลือดส่วนใหญ่มาจากการที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเอง แต่สิ่งที่ควรระวังคือการกินไปพร้อมกับอาหารอื่นๆ ที่มีไขมันสูงร่วมด้วย ซึ่งจะทำให้ได้รับปริมาณไขมันที่มากเกินไป”

จาก “โครงการเลี้ยงไก่ไข่” สู่ BKS BAKERY ซีพีเอฟ พัฒนาทักษะอาชีพน้องๆ รร.คอนเน็กซ์ อีดี

0

“เค้กไข่ลาวา” จากฝีมือของน้องๆโรงเรียนบ้านโคกสูง จังหวัดนครราชสีมา ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการเรียนรู้และลงมือปฏิบัติ( Learning by doing)ในโครงการ BKS BAKERY หรือ “บ้านโคกสูง เบเกอรี่” ที่มุ่งเน้นเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตและทักษะอาชีพ ให้กับนักเรียนของโรงเรียนในโครงการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา (Connext ED) โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ในฐานะภาคเอกชนที่ร่วมก่อตั้งมูลนิธิฯ ให้ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่ เมื่อปี 2562 ต่อยอดสู่การทำโครงการ BKS BAKERY ซึ่งใช้วัตถุดิบไข่ไก่ที่โรงเรียนผลิตได้เอง เรียกได้ว่าทั้งสองกิจกรรมที่ซีพีเอฟให้การสนับสนุน เป็นการส่งเสริมการสร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียน ฝึกทักษะชีวิตและทักษะอาชีพให้นักเรียน และสร้างวินัยในการเก็บออมเงินตั้งแต่วัยเยาว์

โรงเรียนบ้านโคกสูง เป็นโรงเรียนขนาดกลาง จำนวนนักเรียน 297 คน นักเรียนส่วนใหญ่มีฐานะยากจนและส่วนหนึ่งไม่ใช่คนในพื้นที่ เป็นการย้ายตามผู้ปกครองที่เข้ามาประกอบอาชีพ เช่น ก่อสร้าง รับจ้าง โดยในปี 2563 โรงเรียนฯดำเนินโครงการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่ โดยได้รับการสนับสนุนนวัตกรรมการเรียนรู้จากซีพีเอฟ ส่งมอบโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ระบบปิด รวมถึงการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีการเลี้ยงไก่ไข่ การดูแลสุขภาพสัตว์การจัดการโรงเรือน ตามหลักวิชาการและสุขาภิบาล เป็นแหล่งในการเรียนรู้ที่หลากหลายให้กับทางโรงเรียนและชุมชน เพื่อนำไปสู่การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางอาชีพในอนาคต ซึ่งปัจจุบัน โรงเรียนฯสามารถดำเนิน
โครงการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่ได้อย่างต่อเนื่องด้วยเงินหมุนเวียนจากการขายผลผลิตไข่ไก่ มีแม่ไก่ที่ลงรอบใหม่ 144 ตัว เก็บผลผลิตไข่ไก่ได้ประมาณ 4-5 แผงต่อวัน

ล่าสุด ปี 2565 ซีพีเอฟให้การสนับสนุนโครงการ BKS BAKERY ของรร.บ้านโคกสูง เป็นโครงการต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตไข่ไก่ แปรรูปเป็นเบเกอรี่ อาทิ เค้กไข่ลาวา เค้กช็อกโกแล็ต เค้กส้ม ซอฟต์คุกกี้ ฯลฯ เป็นการถ่ายทอดทักษะการประกอบอาชีพให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 -6 รวมทั้งจะบรรจุโครงการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่และ BKS BAKERY ในชั่วโมงการเรียนการสอนของนักเรียนด้วย

BKS BAKERY ยังเป็นโครงการที่เสริมสร้างรายได้ระหว่างเรียนและแบ่งเบาภาระของครอบครัว โดยที่ชุมนุม BKS BAKERY มีการแบ่งผลผลิตไข่ไก่จำนวน 15 ฟอง มาใช้เพื่อทำเบเกอรี่จำหน่ายทุกวันอังคาร อาทิ เค้กไข่ลาวา เค้กช็อกโกแล็ต เค้กส้ม ซอฟต์คุกกี้ เป็นต้น มีทั้งทางขายผ่านร้านสหกรณ์โรงเรียน นักเรียน ผู้ปกครอง ตลาดนัดในชุมชน ช่องทางการขายฝากร้านค้าและขายออนไลน์ เช่น ร้านค้าในชุมชน ร้านค้าตลาดสด ร้านค้าตลาดนัด เพจเฟสบุ๊กของโรงเรียน ในราคาจำหน่ายเค้ก 15 บาท / ชิ้น ซอฟต์คุกกี้ 5 บาทต่อชิ้น และมีการแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้กับทางร้าน 20% โดยตั้งแต่เริ่มนับหนึ่งโครงการ BKS BAKERY เมื่อเดือนกันยายน 2565 จน ถึงกุมภาพันธ์ 2566 มียอดรายรับจากการขายเบเกอรี่รวมกว่าหมื่นบาท

นายเอนก รั้งกลาง อาจารย์ผู้รับผิดชอบโครงการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่ และ BKS BAKERY ของรร.บ้านโคกสูง กล่าวว่า ทั้งสองโครงการ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่โรงเรียนได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟ เป็นการฝึกทักษะอาชีพให้นักเรียนที่สามารถนำความรู้และประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติจริงไปใช้ และส่งเสริมการสร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียน ปลูกฝังความมีวินัยในการเก็บออม จากการที่เด็กๆจะได้รับส่วนแบ่งค่าตอบแทนจากการจำหน่ายผลผลิตไข่ไก่ และจากรายรับในการจำหน่ายเค้กไข่ลาวาและซอฟต์คุ้กกี้

ด.ญ. นันทิตา อินกลาง นักเรียนชั้นป.5/1 กล่าวว่า สิ่งที่ได้จากโครงการ คือ ได้ทำขนมเค้กไข่ลาวา ได้ฝึกทำซอฟต์คุกกี้ ได้ฝึกขายให้กับน้องๆ เพื่อนๆในโรงเรียน หนูชอบตอนที่ครูให้ทำแต่งหน้าเค้ก เพราะได้ฝึกสร้างสรรค์หน้าเค้กด้วยตัวเองกับเพื่อน ฝึกการพูดวิธีการทำเค้ก รู้จักการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม

“โรงเรียนคาดหวังว่า BKS BAKERY จะช่วยพัฒนาทักษะ ความรับผิดชอบของเด็กนักเรียน ได้เรียนรู้ว่าตนเองมีความชอบในเรื่องใด ” คุณครูผู้รับผิดชอบโครงการ กล่าว

ซีพีเอฟ ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา เป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เดินหน้าร่วมยกระดับคุณภาพการศึกษาของไทยศตวรรษที่ 21
มุ่งเน้นการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียน ตามเป้าหมายของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์ อีดี สร้าง”เด็กดี เด็กเก่ง” และมุ่งมั่นมีส่วนร่วมส่งมอบโอกาสให้กับเด็กไทยในพื้นที่ห่างไกล ลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งในปี 2566 ซีพีเอฟ มีแผนสนับสนุนโครงการฯ ทั้งด้านวิชาการ และวิชาชีพ โดยปัจจุบัน มีโรงเรียนในโครงการคอนเน็กซ์ อีดี ในความดูแลของซีพีเอฟรวมทั้งสิ้น 297 โรงเรียน ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ชัยภูมิ และสระบุรี

SET ปรับเกณฑ์การรับหุ้นเพิ่มทุนจากการเสนอขายหุ้นต่อบุคคลในวงจำกัด (PP) ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ ก.ล.ต. มีผล 1 ก.ค. นี้

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าทำตลาดทุนให้เป็นเรื่องง่าย ปรับปรุงนิยาม “ราคาตลาด” พร้อมยกเว้น Silent Period ในหลักเกณฑ์การรับหุ้นเพิ่มทุนจากการเสนอขายหุ้นแบบ PP เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ ก.ล.ต. ที่ปรับปรุงใหม่ ตลอดจนเพื่อลดภาระของบริษัทจดทะเบียน โดยจะมีผลใช้บังคับ 1 ก.ค. 66 นี้ เป็นต้นไป

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรับหุ้นเพิ่มทุนจากการเสนอขายหุ้นต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement: PP) ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ ก.ล.ต. พร้อมลดภาระให้บริษัทจดทะเบียน ตามแผนกลยุทธ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการทำตลาดทุนให้เป็นเรื่องง่าย (Make fundraising & investment simple) โดยสามารถสรุปหลักเกณฑ์ที่มีการปรับปรุงดังนี้

1) ปรับปรุงนิยาม “ราคาตลาด” ให้เป็นตามวิธีการและขั้นตอนเดียวกับที่ ก.ล.ต. กำหนด
2) ยกเว้นหรือผ่อนผัน Silent Period ในกรณีการเสนอขายหุ้นแบบ PP ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ดังนี้
• ยกเว้น Silent Period สำหรับหุ้นที่เหลือจากการเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering: RO) หรือ (Preferential Public Offering: PPO) มาเสนอขายแบบ PP ในราคาที่ไม่ต่ำกว่าราคาที่เสนอขาย RO หรือ PPO ซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ ก.ล.ต.
• ผ่อนผัน Silent Period ให้แก่เจ้าหนี้ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นหรือหลักทรัพย์ตามแผนฟื้นฟูกิจการ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูกิจการ

ทั้งนี้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดของหลักเกณฑ์ได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th ภายใต้หัวข้อ “กฎเกณฑ์/การกำกับ” และ “กฎเกณฑ์ – หนังสือเวียนส่วนที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์จดทะเบียน”

ถอดรหัสกุญแจความสำเร็จซีพี ออลล์-เซเว่น ขับเคลื่อน CONNEXT ED

0
ร่วมพัฒนาการศึกษา สร้างความยั่งยืนสู่กว่า 500 โรงเรียนทั่วประเทศ
มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED Foundation) นับเป็นหนึ่งในความร่วมมือครั้งสำคัญของภาคเอกชน 47 องค์กรในการยกระดับคุณภาพการจัดการการศึกษาไทยสู่มาตรฐานสากล แต่ละองค์กรที่เข้าร่วมกับมูลนิธิต่างเดินหน้าลงพื้นที่ร่วมพัฒนาการศึกษาไทยอย่างต่อเนื่อง

เช่นเดียวกับบริษัท​ ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP ALL ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ที่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเข้าไปสนับสนุนโรงเรียนถึงมากกว่า 573 โรงเรียน นับเป็นหนึ่งในองค์กรที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่โรงเรียนต่างๆ ภายใต้ CONNEXT ED ได้อย่างโดดเด่น

ประสิทธิ์ ฉกาจธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

นายประสิทธิ์ ฉกาจธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ และ รองประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพี ออลล์ คอนเน็กซ์ อีดี (CP ALL CONNEXT ED) เล่าว่า ซีพี ออลล์เข้ามาร่วมขับเคลื่อนโครงการตามปณิธานองค์กร “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสต่อกัน” นับตั้งแต่ปีแรกของ CONNEXT ED โจทย์ใหญ่ที่สุดของซีพี ออลล์ ไม่ใช่แค่การเข้าไปช่วยยกระดับการศึกษา แต่คือ “การสร้างความยั่งยืน” ทำอย่างไรให้โรงเรียนยังเดินหน้าพัฒนาการศึกษาต่อได้ ในวันที่ทีมงานออกมาแล้ว ทำอย่างไรให้บุคลากรของโรงเรียนเห็นเป้าหมายของการพัฒนาเป็นภาพเดียวกัน ทำอย่างไรให้การพัฒนาการศึกษาสอดคล้องกับวิถีชีวิต อัตลักษณ์ จุดแข็งของโรงเรียนและท้องถิ่นนั้นๆ และทำอย่างไรให้ทั้งโรงเรียนและชุมชนใกล้โรงเรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต หรือ Life Long Learning

จากโจทย์ดังกล่าว บริษัทจึงดำเนินการหลายอย่างพร้อมกัน คือ 1.สนับสนุนทั้งงบประมาณ องค์ความรู้ อุปกรณ์การศึกษา วัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนบุคลากรในบริษัท ที่ผ่านการพัฒนาทักษะและมีจิตสาธารณะ เข้าไปเป็นผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) พร้อมทั้งจัดเวิร์คช้อปที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง 2.แบ่งสาขาการสนับสนุนให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละโรงเรียนผ่านโครงการที่โรงเรียนเสนอเข้ามา ทั้งโครงการด้านวิชาชีพ ด้านเกษตรกรรม ด้านวิชาการ ด้านเทคโนโลยี ด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม 3.แบ่งกลุ่มตามระดับความสำเร็จของการพัฒนา ได้แก่ โรงเรียนที่เพิ่งเข้าร่วม (Newcomer School) โรงเรียนที่ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Best Practice School) โรงเรียนต้นแบบ (School Model) โรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) และล่าสุดระดับใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นปีนี้ คือระดับวิสาหกิจโรงเรียน (School Enterprise) โดยเพิ่มแรงจูงใจ อาทิ การเพิ่มงบประมาณการสนับสนุนให้ในระดับที่สูงขึ้น

“การแบ่งระดับความสำเร็จ เป็นทั้งการสร้างกำลังใจและสร้างเป้าหมายให้แต่ละโรงเรียนในการเดินหน้ายกระดับการศึกษาของตัวเองอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เมื่อผ่าน 1 ระดับ โรงเรียนจะได้ทั้งความภาคภูมิใจ ได้งบประมาณสนับสนุนเพิ่มขึ้น และได้เป้าหมายใหม่ในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ละระดับจะมีเป้าหมายหรือเกณฑ์การผ่านของตัวเอง ยิ่งระดับสูงก็จะยิ่งมีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนเข้มข้นขึ้น เมื่อได้รับระดับ School Model ขึ้นไป ก็มีโอกาสได้รับการนำโมเดลไปขยายผลยังโรงเรียนอื่นๆ เพิ่มเติม” นายประสิทธิ์ กล่าว

ด้าน นายตรีเทพ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ประธานคณะทำงานโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา โรงเรียนส่วนใหญ่มีองค์ความรู้ทางวิชาการอยู่แล้ว แต่อาจยังขาดความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการโครงการอย่างยั่งยืน ตลอดจนแนวทางการบูรณาการหลักสูตร สิ่งที่ซีพี ออลล์ ดำเนินการ จึงเป็นการเข้าไปให้แนวทางการบริหารจัดการโครงการอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งตั้งเกณฑ์กรอบความยั่งยืน 3 มิติ ได้แก่ การเป็นโรงเรียนที่พึ่งพาตนเองได้ การบูรณาการความรู้สู่หลักสูตรสถานศึกษาหรือหลักสูตรท้องถิ่น และการพัฒนาสู่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน เพื่อเป็นแนวทางให้โรงเรียนที่ต้องการก้าวขึ้นสู่ระดับ School Model ขึ้นไป นำไปปฏิบัติ เพื่อยกระดับการศึกษา พร้อมทั้งสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้แก่นักเรียน โรงเรียน และชุมชน

“ในปีแรกๆ ยุทธศาสตร์ของเราคือการขยายฐานจำนวนโรงเรียนที่เข้าร่วม CONNEXT ED มุ่งเน้นสนับสนุนโรงเรียนที่ผ่านการกลั่นกรองคัดเลือกตามเกณฑ์ของโครงการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. เป็นหลัก ส่วนในปีนี้เปิดโอกาสให้โรงเรียนอื่นๆ ที่มีศักยภาพความพร้อม ตามบริบทโครงการเพื่อสังคม สิ่งแวดล้อมของบริษัทเช่น การปลูกป่า การจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมซึ่งพิจารณาจากทีมเวิร์คของโรงเรียน ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นสำคัญ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน พร้อมทั้งยกระดับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการกับเราแล้ว ให้ก้าวสู่ระดับความสำเร็จที่สูงขึ้น คาดว่าสิ้นปีการศึกษา 2566 จะมีโรงเรียนที่เราดูแลรวม 573 โรงเรียน ครอบคลุมจำนวนนักเรียนกว่า 140,000 คน” นายตรีเทพ กล่าว

ล่าสุด เฟสปัจจุบัน มีโรงเรียนที่ผ่านการคัดเลือกสู่ระดับความสำเร็จที่สูงขึ้นทั้งสิ้น 79 แห่ง แบ่งเป็นโรงเรียนที่เพิ่งเข้าร่วม (Newcomer School) 27 แห่ง โรงเรียนที่ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Best Practice School) 18 แห่ง โรงเรียนต้นแบบ (School Model) 13 แห่ง โรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) 9 แห่ง และวิสาหกิจโรงเรียนที่ปลูกฝังอาชีพ สร้างคลัสเตอร์รายได้ (School Enterprise) 12 แห่ง โดยมีหลายโรงเรียนที่ดำเนินโครงการได้อย่างน่าสนใจ อาทิ โครงการอุทยานการเรียนรู้ “Happy School” ความสุขที่ยิ่งใหญ่ของการเรียนรู้และการท่องเที่ยว ของ โรงเรียนบ้านเขาเฒ่า จ.พัทลุง ที่สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวกลับสู่ชุมชนปีละกว่า 90,000 บาท และได้รับการคัดเลือกขึ้นมาเป็น School Model และ โครงการดาวเรืองร้อยใจร้อยล้านของโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว ที่ได้รับการคัดเลือกขึ้นมาเป็น Best Practice School

นางวรรณวนา พิทักษ์สงคราม ผู้อำนวยการโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว กล่าวว่า ชุมชนโดยรอบของโรงเรียนเป็นพื้นที่ปลูกดาวเรืองเพื่อจำหน่ายดอกสด ซึ่งมีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก ไซส์เล็กขายไม่ได้ หากนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นก็จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้ จึงปรึกษาพันธมิตรภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่ อาทิ วิทยาลัยอาชีวะ ปราชญ์ชาวบ้าน โดยแนะนำให้ปลูกแบบออร์แกนิก เพื่อนำมาผลิตเป็นสินค้าออร์แกนิก แนะนำเทคนิคการมัดย้อม จนได้มาเป็นโครงการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดอกดาวเรือง การได้เข้าร่วมโครงการเป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดพลังในการพัฒนาโครงการ ผ่านการให้การสนับสนุนด้านงบประมาณและองค์ความรู้ ที่สำคัญคือโรงเรียนได้มีการปรับหลักสูตรใหม่ ครูได้มีการคิดนอกกรอบ บูรณาการหลักสูตรแบบ Life Long Learning โดยแบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแปรรูปเพื่อการบริโภค กลุ่มแปรรูปเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์มัดย้อม และกลุ่มปลูก ปัจจุบันได้มีการพัฒนาต่อยอดสู่เทคนิค Eco ​Printing ให้ลวดลายที่สวยงามนำวัสดุธรรมชาติ เช่น ใบไม้ มาพิมพ์ลายบนผ้า เด็กได้มีส่วนร่วมทุกขั้นตอน สร้างองค์ความรู้อย่างยั่งยืน สู่อาชีพสร้างรายได้ในอนาคต

ซีพีเอฟ เดินหน้าฟาร์มอัจฉริยะ ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง-ระบบออนไลน์ ยกระดับการผลิตสุกรตลอดห่วงโซ่

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ นำเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และการจัดเก็บข้อมูลบนระบบคราวด์ (Cloud) มาเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงสุกร พร้อมส่งต่อองค์ความรู้แก่เกษตรกร สู่การเป็น “ฟาร์มอัจฉริยะ” (Smart Farm) ผลิตเนื้อสัตว์คุณภาพ ปลอดภัย ปลอดโรคสู่ผู้บริโภค

นายสมพร เจิมพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มุ่งมั่นยกระดับระบบการบริหารฟาร์มเลี้ยงสัตว์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาโดยตลอด ตั้งแต่การทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ (Automation System) การติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) โดยผนึกกำลังกับ TRUE จนถึงการใช้เทคโนโลยี AI และ IoT นำไปสู่การจัดการฟาร์มด้วยระบบฟาร์มอัจฉริยะ (SMART Farm Solution) สามารถควบคุมการเลี้ยงได้จากระยะไกล โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปในระบบการเลี้ยง ดูพฤติกรรม ความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ผ่านสมาร์ทโฟนได้ทุกที่ทุกเวลา ทำให้บริหารจัดการการเลี้ยงสุกรได้ตลอดเวลา ช่วยให้การทำงานของผู้ปฏิบัติงานมีความสะดวกรวดเร็วขึ้น และยังถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่เกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสุกร หรือคอนแทรคฟาร์ม นำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ ให้เป็นระบบเดียวกันกับบริษัท เพื่อก้าวสู่การเป็นเกษตรอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนในระยะยาว

“ปัจจุบันฟาร์มเกษตรกรได้ติดตั้ง CCTV ทั้งหมดแล้ว 100% รวมถึงการสนับสนุนให้เกษตรกรฟาร์มสุกรขุนใช้ระบบ ออโต้ฟีด หรือ Auto Feeding Systems ที่ช่วยลดคนเข้าไปให้อาหารในโรงเรือน เพื่อให้คนสัมผัสตัวสัตว์น้อยที่สุด ลดความเสี่ยงการนำโรคต่างๆสู่ฝูงสุกร ตามมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ทำให้วันนี้ สัตวบาล 1 คน สามารถดูแลสุกรได้ 30,000 ตัว หรือมากกว่าเดิมถึงหนึ่งเท่าตัว ที่สำคัญการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสนับสนุนการเลี้ยง ทำให้คนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกหลานเกษตรกร หันมาสนใจอาชีพนี้มากขึ้น เพราะสามารถควบคุมการทำงาน การจัดการฟาร์ม และยกระดับรายได้ ด้วยเทคโนโลยี” นายสมพรกล่าว

ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟยังใช้ระบบ Sound talk ซึ่งเป็นอุปกรณ์ IoT ติดตั้งในโรงเรือนเลี้ยงสุกรขุน เพื่อตรวจวัดเสียง ไอ แปลงให้เป็นคลื่นเสียง ส่งสัญญาณไปยังส่วนกลาง และจะแจ้งข้อมูลให้คนเลี้ยงทราบได้ทันที ทำให้รู้ความเสี่ยงของสุกร ช่วยในการตัดสินใจรักษาสัตว์อย่างทันท่วงที ช่วยลดการแพร่กระจายโรค ส่งผลให้ปัญหาด้านสุขภาพลดลง และป้องกันการแพร่กระจายในฝูงสัตว์ จึงถือเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยติดตามสุขภาพสุกร เพื่อให้ได้เนื้อสัตว์คุณภาพ ปลอดภัย ปลอดโรค

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังพัฒนาการเลี้ยงสุกรแบบครบวงจร ด้วยระบบสุกรอัจฉริยะ (SMART PIG) ใช้ในการเลี้ยงสุกรในทุกช่วงวัย ด้วยการเก็บข้อมูล และการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการผลิต ช่วยเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการของเจ้าหน้าที่ โดยข้อมูลทั้งหมดถูกนำขึ้นไปในระบบคราวด์ ทำให้สามารถการติดตามทั้งเรื่องสุขภาพและการเติบโตของสุกรได้ง่ายผ่านคิวอาร์โค้ด

ขณะที่ระบบรายงานออนไลน์สำหรับเกษตรกร (CHAT BOT) ช่วยในการบันทึกข้อมูลการผลิตได้ทั้งหมด ตั้งแต่จำนวนสุกร ปริมาณอาหาร ประวัติการให้วัคซีน ผ่านสมาร์ทโฟน ที่รวดเร็วกว่าการจดบันทึก และยังสามารถส่งภาพพฤติกรรมสุกรภายในโรงเรือนให้สัตวบาลและสัตวแพทย์ ช่วยวิเคราะห์สุขภาพสุกรได้ทุกที่ทุกเวลา

ด้านกระบวนการแปรรูปเนื้อสุกร ซีพีเอฟนำเทคโนโลยี IoT มาใช้ ด้วยการติดตั้งกล้องอัจฉริยะ ทำงานร่วมกับระบบ AI เพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์อัตราส่วนระหว่างเนื้อแดงกับไขมันในชิ้นเนื้อ ทำให้สินค้าได้มาตรฐาน ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค และสามารถตรวจสอบย้อนกลับมาได้ถึงฟาร์มเลี้ยงต้นทาง เพื่อพัฒนาคุณภาพการเลี้ยงให้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ ตั้งแต่ฟาร์มสุกรซึ่งเป็นต้นน้ำ ทำให้สุกรมีความสุข หรือ Happy Pig ต่อเนื่องไปถึงกระบวนการแปรรูปปลายน้ำ ส่งผลให้ได้เนื้อสุกรที่มีคุณภาพ ปลอดโรค และปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคทุกคน

CPF-พันธมิตร มอบอาหารช้างคุณภาพ ต่อชีวิตกลุ่มช้างเปราะบาง ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง

0
ซีพีเอฟ จับมือคู่ค้า-พันธมิตร เดินหน้า “โครงการต่อชีวิตช้างไทย” ส่งมอบอาหารช้างเอราวัณ แก่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ช่วยช้างกลุ่มเปราะบางให้มีสุขภาพดี พร้อมผนึกกำลังคู่ค้าอาหารสัตว์บกทั่วประเทศ ร่วมบริจาคแต้มต่อชีวิตช้างไทย สมทบทุนซื้ออาหารช้าง

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ โดยธุรกิจอาหารสัตว์บก จับมือคู่ค้าและพันธมิตร เดินหน้า “โครงการต่อชีวิตช้างไทย” ต่อเนื่อง ร่วมมอบอาหารช้างเอราวัณ จำนวน 4 ตัน จากการบริจาคแต้ม ซีพีเอฟ ฟีดพ้อยส์ (CPF Feed Point) ให้ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง เพื่อช่วยช้างกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ช้างป่วย ช้างชรา ช้างพิการ ช้างแม่ลูกอ่อนให้มีสุขภาพดี เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองไทย โดยมี นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจอาหารสัตว์บก พร้อมด้วย นายพูนศักดิ์ ทองพิทักษ์ ผู้อำนวยการธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ และนายพงษ์ศักดิ์ ลักษณ์ธนากุล ประธานกรรมการ บริษัท ธนากุลกรุ๊ป จำกัด ร่วมส่งมอบแก่ นายสุรัตน์ชัย อินทร์วิเศษ ผู้อำนวยการสำนัก สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้

นายพูนศักดิ์ ทองพิทักษ์ ผู้อำนวยการธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ ตระหนักและเห็นคุณค่าของช้างไทย จึงจัดโครงการ “ต่อชีวิตช้างไทย” พร้อมเชิญชวนลูกค้าอาหารสัตว์และพันธมิตรร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม ผ่านร้านตัวแทนจำหน่าย เพียงนำแต้ม CPF Feed Point จากช่องทางออนไลน์ www.cpffeedonline.com และแอปพลิเคชัน CP SmartMORE มาแลกเป็นอาหารช้าง โดยทุกๆ 29 แต้ม มีค่าเท่ากับ 29 บาท เพื่อสมทบทุนบริจาคอาหารช้างสู่กลุ่มช้างเปราะบางทั่วประเทศ หรือช้างที่มีความจำเป็นต้องใช้อาหารเสริมเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ส่งเสริมเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง และต่อยอดสังคมแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังมุ่งสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันร่วมกัน เริ่มจากการซื้อขายอาหารสัตว์บกผ่านร้านตัวแทนจำหน่ายในระบบออนไลน์ จะได้รับแต้ม CPF Feed Point ในทุกการใช้จ่าย 100 บาท จะมีค่าเท่ากับ 1 แต้ม รวมถึงแอปพลิเคชัน CP SmartMORE ซึ่งเปิดให้กลุ่มเกษตรกรฟาร์มโคนมใช้ฟรี โดยคะแนนหลังจากการบันทึกข้อมูลผ่านแอป สามารถนำมาบริจาคง่ายๆ เพียงกดแลก 29 คะแนน สมทบทุนเป็นอาหารช้าง เพื่อกระจายความช่วยเหลือสู่ช้างทั่วประเทศ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถบริจาคสมทบทุนซื้ออาหารช้าง ร่วมกับกองทุนวิจัยและอนุรักษ์ช้างไทย ได้ที่ www.cpffeedpoint.com หรือแอดไลน์ @cpffeedonline

ขณะที่ นายสุรัตน์ชัย อินทร์วิเศษ ผู้อำนวยการสำนัก สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ กล่าวว่า ภารกิจของสถาบันคชบาลแห่งชาติ คือ การดูแลรักษาช้างที่มีอาการป่วยไปจนถึงแก่ชรา ขอขอบคุณซีพีเอฟและลูกค้าอาหารสัตว์บกของบริษัทฯ ที่ร่วมกันบริจาคแต้มกลายเป็นอาหารช้างคุณภาพที่ส่งต่อมายังศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ซึ่งปกติช้างจะกินอาหารจากธรรมชาติเป็นหลัก แต่อาหารเสริมจากอาหารช้างเอราวัณ จะทำให้ช้างได้โปรตีนที่จำเป็นมากขึ้น เฉลี่ยต่อวัน 5-10% โดยเฉพาะช้างช้างกลุ่มเปราะบาง เพื่อฟื้นฟูสุขภาพช้าง อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ช้างให้เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทยต่อไป

ออมสินจัดเต็ม เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 8 เดือน ดอกเบี้ยสูงเสียดฟ้า มั่นคงปลอดภัย ผลตอบแทนไว ไม่เสียภาษี

0

เงินฝากดอกเบี้ยสูงเสียดฟ้า มั่นคงปลอดภัย ผลตอบแทนไว ไม่เสียภาษี* กับเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 8 เดือน รับอัตราดอกเบี้ย 1.32% ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจำ 1.55% ต่อปี)

เงื่อนไขการฝาก
  • เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท
  • ฝากเพิ่มครั้งละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด
  • ฝากได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
  • *บุคคลธรรมดาไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย
  • เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 8 เดือน ถอนหรือปิดบัญชีก่อนครบกำหนด ได้รับดอกเบี้ยเผื่อเรียก
การคิดดอกเบี้ย / ผลตอบแทน 

อัตราดอกเบี้ยต่อปี 1.32 ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจำร้อยละ 1.55 ต่อปี)

เงื่อนไขการถอน
  • ถอนครั้งละเท่าใดก็ได้
  • ถอนหรือปิดบัญชีก่อนฝากครบ 8 เดือนนับตั้งแต่วันที่ฝาก จำนวนเงินที่ถอนจะได้รับดอกเบี้ย
ภาษี ณ ที่จ่าย
  • บุคคลธรรมดาไม่เสียภาษี
  • นิติบุคคลหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามประกาศกรมสรรพากร

การลงรับดอกเบี้ย

  • เมื่อฝากครบ 8 เดือนนับตั้งแต่วันที่ฝาก
  • จะโอนดอกเบี้ยและยอดเงินฝากเข้าบัญชีเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอนที่ผู้ฝากแจ้งไว้

? เปิดรับฝากวันที่ 1 – 31 พ.ค. 66 ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา รายละเอียดเพิ่มเติม > https://bit.ly/44j9Fag

⚠️ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด #เงินฝากมั่นคงรัฐบาลคุ้มครองเงินฝากทุกบาท