Home Blog Page 159

ซีพีเอฟ ติวเข้มคู่ค้า SMEs เพิ่มความสามารถการแข่งขัน ก้าวสู่ยุคดิจิทัล ร่วมดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม

0
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผนึกพลังนำศักยภาพองค์กรช่วยพัฒนาศักยภาพคู่ค้าธุรกิจผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้โครงการ “เอส เอ็ม อี เอ็กซ์ ต้นทุนต่ำ นำรักษ์โลก” เสริมสร้างองค์ความรู้ความเข้าใจ ประยุกต์ใช้เครื่องมือยุคใหม่พัฒนาองค์กรมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน นำไปสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งไปด้วยกัน

นายพีรพงศ์ กรินชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิศวกรรมกลาง ซีพีเอฟ ในฐานะประธานโครงการ เอส เอ็ม อี เอ็กซ์ ต้นทุนต่ำ นำรักษ์โลก เป็นประธานเปิดการอบรมปฐมนิเทศเพื่อแนะนำโครงการฯ ให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ รุ่นที่ 1 พร้อมทั้งเยี่ยมชมเทคโนโลยี ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร ซีพีเอฟ (RD Center) ที่วังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และโรงงานอาหารสำเร็จรูปหนองจอก พร้อมทั้งได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญของซีพีเอฟในสาขาต่างๆ อาทิ เรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนในมิติด้านการเงิน ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย การประยุกต์ใช้ระบบดิจิทัลและระบบอัตโนมัติ

“โครงการนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คู่ค้า SMEs ในห่วงโซ่อุปทานของซีพีเอฟมีการปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลดต้นทุน การปรับปรุงคุณภาพ เพื่อให้สามารถมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น ตอบรับเทรนด์โลก รองรับการเติบโตของซีพีเอฟในอนาคต และเป้าหมายการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่อุปทาน สู่ Net-Zero ในปี 2050″ นายพีรพงศ์กล่าว

ภายใต้โครงการฯ ซีพีเอฟจะจัดกิจกรรมเยี่ยมสถานประกอบการของ SMEs เพื่อช่วยประเมินโอกาสในการปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุนดำเนินการด้วยกัน จากนั้น คู่ค้าจะเข้าอบรมเสริมสร้างความรู้การปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุนด้วยหลักสูตรระดับโลก Lean Six Sigma ซึ่งเป็นหลักการที่องค์กรชั้นนำระดับโลกประยุกต์ใช้ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความรู้และเข้าใจการพัฒนาองค์กรใน 4 มิติ อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน การบริหารจัดการพลังงาน การปรับปรุงความปลอดภัยในการทำงาน และการประยุกต์ใช้ระบบดิจิทัล เพื่อให้ผู้ประกอบการได้นำองค์ความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ในการดำเนินโครงการพิเศษในการปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพ โดยตั้งเป้าหมายผู้ประกอบการ SMEs สามารถเห็นผลลัพธ์จากการดำเนินโครงการพิเศษ ภายในเดือนตุลาคมปีนี้

นายกฤษฎา ประสิทธิแสง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค พี เอส ฟาร์ม จำกัด กล่าวว่า กิจกรรมนี้เป็นประโยชน์กับ SMEs มาก เพราะโลกธุรกิจในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว มีการแข่งขันสูงมาก บริษัทของเราให้ความสนใจที่จะทำโครงการประหยัดพลังงาน

นายไพศาล สมศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยิ่งไพศาล การเกษตร จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจในการที่จะพัฒนาคุณภาพสินค้า ให้ดียิ่งขึ้น ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำธุรกิจในอนาคต พัฒนาทั้งปัจจุบันและพัฒนาในอนาคต ขอบคุณทางซีพีเอฟที่จัดโครงการดีๆ ขึ้นมา

นายธีรยุทธ์ โชติปทุมวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปทุมเฟล็กซ์ แพ็คเกจจิ้ง จำกัด โครงการนี้เป็นประโยชน์มากกับทาง SME ของเรา ช่วยให้มีความรู้มากขึ้น ทุกคนตระหนักดีถึงปัญหาโลกร้อน โครงการนี้จะช่วยให้ SMEs มีความรู้และแนวทางในการบริหารจัดการ การลดต้นทุนที่ถูกต้อง

โครงการ “เอส เอ็ม อี เอ็กซ์ ต้นทุนต่ำ นำรักษ์โลก” เป็นหนึ่งกิจกรรมโครงการ “Partner to Grow เติบโต เคียงข้าง อย่างยั่งยืน” ที่ซีพีเอฟริเริ่มขึ้นในปีนี้ ผนึกความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของหน่วยงานในองค์กร ถ่ายทอด แบ่งปันความรู้ และร่วมพัฒนาศักยภาพของคู่ค้าธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับกิจการที่ดี (Environment, Society and Governance : ESG) นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังดำเนินโครงการอื่นๆ อาทิ โครงการ Partnership Enhancement Program เพื่อช่วยคู่ค้ามีแต้มต่อในการทำธุรกิจกับซีพีเอฟ ตลอดจนสร้างโอกาสใหม่ๆ มากขึ้น หนุนการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

5 มิ.ย. วันสิ่งแวดล้อมโลก CPF ปลุกพลังพนักงานรักษ์โลก ร่วมแก้ปัญหาขยะพลาสติก ดูแลสิ่งแวดล้อมยั่งยืน

0
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผนึกกำลังเครือข่ายพันธมิตร พร้อมสร้างความตระหนักสู่พนักงานทั่วประเทศ ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม หนุนความร่วมมือเพื่อลดปริมาณขยะพลาสติก กระบวนการเก็บและคัดแยกขยะ การบริหารจัดการอย่างถูกวิธี การนำขยะมาสร้างมูลค่าเพิ่มกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง สอดรับตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

องค์การสหประชาชาติ กำหนดให้วันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก หรือ World Environment Day ซึ่งในปี 2023 เน้นสร้างความตระหนักถึงปัญหาใหญ่ คือ “การจัดการขยะพลาสติก” รณรงค์ให้ทุกคนมีส่วนร่วมจัดการปัญหาขยะพลาสติก การยกะดับการลงมือทำ และเปลี่ยนผ่านสู่ Circular Economy ภายใต้แนวคิด Solution to plastic pollution

นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ภายใต้วิสัยทัศน์เป็นครัวของโลก ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสิ่งแวดล้อม ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทางของความมั่นคงทางอาหาร โดยที่ผ่านมา นอกจากความร่วมมือกับพันธมิตรในระดับสากลเพื่อร่วมกันอนุรักษ์ ฟื้นฟู และปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งดิน น้ำ และป่าไม้แล้ว ยังได้ปลูกฝังความตระหนักในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมสู่พนักงานในองค์กร ด้วยการรณรงค์และสร้างความร่วมมือในการ”ลงมือทำ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดการปัญหาขยะพลาสติก ซึ่งปัจจุบัน ซีพีเอฟมีการดำเนินการแล้วในหลายรูปแบบ ตั้งแต่กระบวนการเก็บขยะ ตั้งแต่กระบวนการเก็บและคัดแยกขยะ การบริหารจัดการอย่างถูกวิธี และนำขยะมาสร้างมูลค่าเพิ่ม กลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

ตั้งแต่ปี 2565 ซีพีเอฟ โดยนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ประกาศ Kick Off โครงการ Restore the Ocean ร่วมดูแลและปกป้องระบบนิเวศทางทะเล รวมไปถึงการบริหารจัดการปัญหาขยะพลาสติก ผ่านการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ และการจัดการข้อมูลขยะอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย กิจกรรม “ขยะชายหาด” สร้างการมีส่วนร่วมและปลูกฝังสำนึกให้กับพนักงานของบริษัทในการทำความสะอาดชายหาดบริเวณใกล้เคียงสถานประกอบการของซีพีเอฟ ทั้งในและต่างประเทศ กิจกรรม “กับดักขยะทะเล” เป็นความร่วมมือ กับชุมชนบริเวณปากแม่น้ำลำคลอง เก็บและคัดแยกขยะจากป่าชายเลน นำร่องในพื้นที่ต.บางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร ซึ่งในกิจกรรมดังกล่าว ซีพีเอฟสานต่อความร่วมมือกับ Precious Plastic Bangkok สนับสนุนให้ความรู้และเครื่องมือ ในการนำฝาขวดน้ำพลาสติกเข้าสู่กระบวนการ Upcycling แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น กระถางต้นไม้ อุปกรณ์เสียบปากกา ทำให้ชุมชนมีรายได้เสริม รวมถึงส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขยะทะเลตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนน โดยส่งเสริมเรือประมงเก็บขยะในทะเลกลับสู่ฝั่ง และแรงงานประมงเก็บขยะในครัวเรือนและชุมชน เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลผ่านโครงการ “เก็บขยะท่าเรือ” เพื่อนำขยะที่เก็บรวบรวมเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลและเปลี่ยนขยะเป็นแหล่งรายได้เสริมให้กับชุมชนอีกทางหนึ่ง ภายใต้โครงการศูนย์สวัสดิภาพและะธรรมาภิบาลแรงงานประมงสงขลา (FLEC)ที่ซีพีเอฟให้การสนับสนุน

ปัจจุบัน โครงการ Restore the Ocean สามารถเก็บและช่วยป้องกันขยะไหลลงสู่ทะเลได้กว่า 16,000 กิโลกรัม หรือ 16 ตัน จากการจัดกิจกรรมเก็บรวบรวมขยะชายฝั่งทั่วประเทศรวม 27 ครั้ง ระหว่างเดือนมกราคม 2564 ถึง พฤศจิกายน 2565 นอกจากกิจกรรม Restore the Ocean แล้ว ในด้านของการลดปัญหาขยะพลาสติก บริษัทยังส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล (Design for Recycle) เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์จากโมโนพลาสติก (mono plastic) ทั้งบรรจุภัณฑ์ใช้พลาสติกชนิดเดียวกันทั้งหมด เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล เพื่อลดปริมาณขยะสู่การฝังกลบให้มากที่สุด โดยมีเป้าหมายลดการใช้กระดาษและพลาสติกในบรรจุภัณฑ์อาหารลง 1 พันตัน ภายในปี 2568 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2562

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงเกณฑ์รับหุ้นสามัญ สนับสนุนธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมประกอบธุรกิจภายใต้ BCG Model มีผล 6 มิ.ย. 66

0
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน เพื่อสนับสนุนการเข้าจดทะเบียนของบริษัทที่ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการประกอบธุรกิจภายใต้โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Model) โดยขยายให้ครอบคลุมถึงบริษัทขนาดกลาง และบริษัทต่างประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโต ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของประเทศในการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2566
ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรับหุ้นสามัญเพื่อสนับสนุนการเข้าจดทะเบียนของบริษัทที่ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สอดคล้องกับ BCG Model เพื่อให้สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยขยายให้ครอบคลุมถึงบริษัทไทยขนาดกลาง และบริษัทต่างประเทศขนาดใหญ่ที่มีการสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย ไม่จำกัดเฉพาะบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เท่านั้น โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นบริษัทที่มีรายได้จากการประกอบธุรกิจใน 10  กลุ่มอุตสาหกรรมที่กำหนด ได้แก่ การเกษตรและอาหารขั้นสูง เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ การต่อยอดทางการแพทย์และสุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ยานยนต์สมัยใหม่ การบินและโลจิสติกส์ ดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถเข้าจดทะเบียนใน SET และ mai ด้วยเกณฑ์มูลค่าหุ้นสามัญตามราคาตลาด (Market Capitalization Test) เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งระดมทุนในตลาดทุนของบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโต นำไปสู่การขยายตัวของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้​ เพื่อส่งเสริมให้บริษัทที่ประกอบธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐดังกล่าวข้างต้น ซึ่งมี Market Capitalization ไม่น้อยกว่า 7,500 ล้านบาทสำหรับ SET หรือ 2,000 ล้านบาทสำหรับ mai และมีคุณสมบัติอื่นๆ ตามที่กำหนด สามารถยื่นคำขอเข้าจดทะเบียนใน SET และ mai ได้ โดยมีการกำหนดเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะกำหนดแนวทางในการพิจารณากลั่นกรองบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำหนดเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจรับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนต่อไป ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. แล้ว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป

ผู้ประกอบการและผู้สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th เลือกหัวข้อ “กฎเกณฑ์/การกำกับ” “เกณฑ์ที่เกี่ยวกับบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์” และ “Simplified Regulations”

เซเว่น อีเลฟเว่น ปักธงรับ “วันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนา 66” ชวนลูกค้าทั่วประเทศ ปฎิเสธรับพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง

0
กับชาเลนท์ “แค่ไม่รับ = ปลูกต้นไม้” บน 7APP พร้อมติดแฮชแท็ก #BeatPlasticPollution

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่  กล่าวว่า ซีพี ออลล์ มีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล หรือ ESG ซึ่งในมิติของด้านสิ่งแวดล้อมนั้น ซีพี ออลล์ ได้ดำเนินธุรกิจภายใต้นโยบาย 7 Go Green เพื่อสิ่งแวดล้อม 24 ชั่วโมง โดยมีเป้าหมายที่จะปลูกไม้ยืนต้นเพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวและช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกให้กับพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ ผ่านโครงการ“ปลูกป่า ปลูกอนาคต” เป็นไปตามปณิธาน “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสต่อกัน”

ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์

และเพื่อสอดรับกับ “วันสิ่งแวดล้อมโลก 2566” ที่กำหนดในธีม “รักษ์โลก ลดพลาสติก” เซเว่น อีเลฟเว่น จึงขอเชิญชวนลูกค้าทั่วประเทศปฎิเสธการรับถุงพลาสติก ช้อน ส้อม และหลอด  เปลี่ยนเป็นหยดน้ำเพื่อปลูกต้นไม้ใน 7APP ผ่านชาเลนท์ “แค่ไม่รับ=ปลูกต้นไม้” ตั้งแต่วันนี้ – 23 กรกฎาคม 2566 ปลูกต้นไม้ง่ายๆ เพียงแค่ปลายนิ้ว  

พิเศษสำหรับ สำหรับในช่วงวันสิ่งแวดล้อมโลก 5-7 มิถุนานี้ ลูกค้าทั่วไปจะได้รับหยดน้ำ 1 หยด 7-Eleven จะเพิ่มให้เป็น 10 หยดและสำหรับลูกค้า ALL MEMBER จากเดิมรับหยดน้ำ 3 หยด จะเพิ่มให้เป็น 30 หยด 

พร้อมชวนติดแฮชแท็ก #BeatPlasticPollution


วิธีการรับหยดน้ำ

ลูกค้าสามารถสะสมหยดน้ำที่ได้จากการไม่รับถุงพลาสติก ช้อน ส้อม และหลอด เมื่อซื้อสินค้าที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เพื่อนำไปปลูกต้นไม้ใน 7APP

วิธีการปลูกต้นไม้ใน 7APP

1. สำหรับลูกค้า All Member สามารถรับหยดน้ำและนำมาปลูกต้นไม้ใน 7APP

2. สำหรับลูกค้าทั่วไป สามารถเป็นส่วนหนึ่งของโครงการได้เพียงปฎิเสธ ไม่รับถุงพลาสติก ช้อน ส้อม และหลอด หยดน้ำก็จะเข้าโครงการอัตโนมัติ

การเจริญเติบโตของต้นในใน 7 APP

ต้นไม้จะมีการเจริญเติบโตทั้งหมด 5 ระดับ โดยใช้หยดน้ำสะสมตามที่กำหนดเพื่อรดน้ำไปสู่ขั้น “ออกผล” จะสามารถส่งยอดจำนวนต้นไม้ใน 7 APP นำไปปลูกจริงเข้าโครงการ “ปลูกป่า ปลูกอนาคต” ของซีพี ออลล์ 

ระยะเวลาร่วมกิจกรรม ตั้งแต่วันนี้ – 23 ก.ค.66

AIS​ ผนึก 3 องค์กรชั้นนำ ชูภารกิจคนไทยไร้ e-waste ในวันสิ่งแวดล้อมโลก​

0

จากปัญหาสภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกคนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ทำให้วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก หรือวันที่องค์การสหประชาชาติประกาศจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วโลกในด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ภาคเอกชนอย่าง AIS ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะโครงการ คนไทยไร้ e-waste ที่มุ่งสร้างปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี ผ่านการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน โดยล่าสุดได้ขยายเครือข่ายการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่าง เจมาร์ท ในการทำแคมเปญ ทิ้ง e-waste รับ J Point ผ่านแพลตฟอร์ม E-Waste + พร้อมร่วมมือกับ LG และศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ขยายจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ ชวนคนไทยร่วมกันทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี เพื่อยกระดับแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน  พร้อมเดินหน้าสู่การเป็น Hub of E-Waste

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม รักษาการหัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS  กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล นอกเหนือจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาเครือข่ายสื่อสารอัจฉริยะให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีหลักของประเทศ เรายังวางนโยบายในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันของคน เศรษฐกิจ และโดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อม ที่วันนี้เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจในการแก้ไขปัญหานี้ร่วมกันอย่างยั่งยืน ผ่านการวางแผนการดำเนินการเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้พลังงานทางเลือกเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือแม้แต่การบริหารจัดการขยะ ภายใต้โครงการคนไทยไร้ e-waste

โดยวันนี้การทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ เราตั้งเป้าสู่การเป็น HUB of E-waste หรือศูนย์กลางด้านองค์ความรู้และจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน ตั้งแต่การสร้างองค์ความรู้ให้คนไทยตระหนักถึงปัญหา สร้างกระบวนการจัดเก็บเพื่อให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลแบบ Zero Landfill ตามมาตรฐานสากล ผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่หลากหลายทั้งภาครัฐและเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง

เราถือโอกาสใช้วาระสำคัญอย่างวันสิ่งแวดล้อมโลกประกาศความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่จะมาเป็นหนึ่งใน Green Partnership ที่จะมาขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกัน ทั้งการทำงานร่วมกับเจมาร์ท ในการทำแคมเปญ ทิ้ง e-waste รับ J Point ผ่านแพลตฟอร์ม E-Waste + พร้อมร่วมมือกับ LG และศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ขยายจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้ลูกค้าและผู้ใช้บริการสามารถมาทิ้งได้ โดยเราเชื่อว่าพลังของทุกภาคส่วนจะช่วยทำให้การแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์เกิดความยั่งยืนได้ในที่สุด”

ทางด้าน เจมาร์ท ในฐานะพาร์ทเนอร์ที่เข้าร่วมโครงการผ่านแพลตฟอร์ม E-Waste + ไปใช้กับลูกค้าที่ให้สามารถนำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทิ้งได้ที่ศูนย์ให้บริการพร้อมรับสิทธิพิเศษจาก J Point ในแคมเปญ ทิ้ง e-waste รับ J Point  นายธีรวัฒน์ จันทร์วิจิตรกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด อธิบายว่า “นอกเหนือจากการเป็นพาร์ทเนอร์ด้านธุรกิจกับ AIS มากว่า 20 ปีในการให้บริการลูกค้าแล้ว เรายังมีแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน ด้วยการจัดแคมเปญ “ทิ้ง e-waste รับ J Point” โดยลูกค้านำขยะ E-Waste อาทิ โทรศัพท์มือถือ, แท็บเล็ต, อุปกรณ์เสริมมือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก มาฝากทิ้งที่ร้านเจมาร์ท โมบาย  พร้อมรับคะแนน J Point ที่นำไปใช้แทนเงินสดได้ โดยขยะ E-waste  1 ชิ้นจะได้รับ 100 J Point คิดเป็นเงินมูลค่า 10 บาท  ซึ่งสามารถนำมาแลกเป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าและบริการในเครือ Jaymart พร้อมแลกสิทธิพิเศษจากร้านค้าชั้นนำต่างๆ มากมายที่ร่วมรายการ หรือจะร่วมบริจาคทำบุญให้แก่ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย เพื่อผู้พิการทางสายตา โดยลูกค้าสามารถนำขยะ E-Waste มาฝากทิ้งได้ที่ร้านเจมาร์ท โมบาย ทั้ง 10 สาขา ได้แก่ สาขาเซ็นทรัลรามอินทรา, เซ็นทรัลหัวหมาก, เซ็นทรัลลาดพร้าว, เซ็นทรัลอีสวิล, เซ็นทรัลพระราม 9, เซ็นทรัลพระราม 3, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลพระราม 2, เซ็นทรัลบางนา 3 และเจมาร์ทสำนักงานใหญ่ เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2566  นอกจากนี้ เรายินดีที่จะมอบคะแนน J Point เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า สำหรับลูกค้าที่นำขยะ E-Waste มาฝากทิ้งในวันสิ่งแวดล้อมโลกอีกด้วย”

นอกจากนี้โครงการ คนไทยไร้ e-waste ยังได้พาร์ทเนอร์ใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มจุดรับทิ้งให้กับลูกค้าและคนไทยอย่าง แอลจี และศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ทางด้าน นายซองฮัน จอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แอลจีให้ความสำคัญกับการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน โดยเรามุ่งสร้างชีวิตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน (Better Life for All) ผ่านการนำเสนอนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ๆ ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ สอดคล้องกับเป้าหมายของแอลจีระดับโลกที่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตสินค้าลง 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2017 และเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งถือเป็นวันสำคัญที่แอลจีทั่วโลกจะเดินหน้าโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมภายใต้แคมเปญหลัก ‘LG Global Volunteer Day’

โดยในปีนี้เราผนึกกำลังกับเอไอเอส ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  โดยเปิดจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ศูนย์บริการและร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วกรุงเทพ 11 แห่ง ได้แก่ ศูนย์บริการ (สำนักงานใหญ่) อาคารริชมอนด์ ซอยสุขุมวิท 26 และร้านค้าแอลจี แผนก Power Mall ณ ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม, ศูนย์การค้าสยามพารากอน, ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพระราม 9, ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว, ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ รวมถึงร้านค้าแอลจี โฮมโปร สาขาเมกา บางนา, สาขาฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต และสาขาเอกมัย – รามอินทรา ตั้งแต่วันนี้  – 31 กรกฎาคม 2566 ทั้งนี้เพื่อเติมเต็มอีโคซิสเต็มการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่สังคมไร้ขยะ E-Waste ได้เร็วยิ่งขึ้น”

นายสุทธิชัย บัณฑิตวรภูมิ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวล ลอปเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เสริมว่า “ทางศูนย์ฯ สิริกิติ์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมโครงการ ‘คนไทยไร้ e-waste’ กับเอไอเอส ซึ่งเป็นโครงการฯ ที่ให้ความสำคัญกับการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีสอดรับกับพันธกิจหลักของศูนย์ฯ สิริกิติ์ ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในการรักษาสิ่งแวดล้อม และพัฒนาชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยผู้เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์ฯ หรือชุมชน ใกล้เคียง สามารถนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต สายชาร์จ หูฟัง แบตเตอรี่มือถือ มาทิ้งได้ที่จุดรับขยะภายในศูนย์ฯ นอกจากนั้น เรายังได้จัดวางถังแยกขยะประเภทต่างๆ เพื่อให้ผู้มาใช้บริการภายในศูนย์ฯ สิริกิติ์ ได้รับความสะดวก และง่ายต่อการทิ้งขยะอย่างถูกวิธี ซึ่งขยะที่ผ่านการคัดแยกจะเข้าสู่กระบวนการ Recycle และ​ Upcycle เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติตามระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยจัดสรรให้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์มากที่สุด”

“ธุรกิจห้าดาว”…ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่สร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ‘ณัฐกานต์ สุรพงษ์พิทักษ์’ เถ้าแก่ห้าดาว เผยเคล็ดลับความสำเร็จ คุณภาพคู่บริการ

0

ในยุคสมัยที่ใครๆก็ต้องการมีรายได้เพิ่มเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้ดีขึ้น การหา “อาชีพเสริม” ให้เป็นหนึ่งในช่องทางทำเงิน นอกเหนือจากงานประจำหรือธุรกิจหลักที่ทำอยู่ กลายเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการได้เป็นอย่างดี ทั้งอาชีพที่ทำได้หลังงานประจำ ทำเสริมได้ในวันหยุด หรือสร้างงานได้ง่ายๆที่บ้าน

ณัฐกานต์ สุรพงษ์พิทักษ์ หรือ เบียร์ ที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ตอนนั้นโลกกำลังเผชิญกับโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งความต้องการหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคมีสูงมาก เธอมองเห็นโอกาสทางการตลาด จึงผันตัวเองเป็นแม่ค้าออนไลน์ขายหน้ากากอนามัยแบรนด์ต่างๆ มาตั้งแต่ปลายปี 2563 เกิดเป็นธุรกิจเล็กๆที่สามารถทำได้ที่บ้าน ผลตอบรับถือว่าดียอดขายมีเข้ามาตลอด การขายทำแบบซื้อวันต่อวัน แม้ธุรกิจนี้จะเป็นแบบซื้อมาขายไปไม่ต้องสต๊อกสินค้า แต่มองอีกด้านก็ถือว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ยั่งยืน เธอจึงเริ่มมองหาอาชีพที่มีความยั่งยืน หาอาชีพเสริมอื่นๆที่จะทำได้อีกเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว เวลานั้นมองหาธุรกิจแฟรนไชส์ ที่เริ่มต้นได้ง่ายๆ ลงทุนไม่สูง มีระบบที่ดี และสามารถบริหารงานได้ไม่ยากนัก

“ที่ตัดสินใจลงทุนกับธุรกิจห้าดาว เพราะธุรกิจนี้มีระบบที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของตัวเองที่อยากได้อะไรที่เป็นระบบ เราไม่ต้องอยู่ดูแลร้านทั้งวัน สามารถปล่อยมือให้ทีมงานช่วยกันจัดการการขายได้เอง ที่สำคัญห้าดาวเป็นแบรนด์ที่มั่นคง อยู่คู่คนไทยมาเกือบ 40 ปี มีธุรกิจที่หลากหลายให้เลือก คุณภาพสินค้าก็ได้มาตรฐานของบริษัทที่ดีอยู่แล้ว เราไม่ต้องจัดเตรียมการปรุงต่างๆให้ยุ่งยาก รสชาติอาหารที่พัฒนามาแล้วให้ถูกปากผู้บริโภค และสูตรการปรุงก็สำเร็จมาจากบริษัท ที่เหลือเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องนำเสนอสินค้าให้น่ารับประทาน คู่กับบริการด้านการขายที่ดีของทีมงาน ก็ทำให้สำเร็จได้ไม่ยาก” ณัฐกานต์ กล่าว

ณัฐกานต์ เริ่มลงทุนเปิดร้านห้าดาว รูปแบบกลาสเฮาส์ (Five Star Glass House) ด้วยเงินลงทุน 130,000 บาท พร้อมสำหรับการเปิดขายทันที ในสาขาแรกที่ FIVE STAR หน้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เทียนทะเล 23 บางขุนเทียน กรุงเทพฯ เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 เนื่องจากจุดนั้นยังไม่ค่อยมีร้านค้าร้านอาหารมากนัก ผู้บริโภคมีความต้องการสูง เมื่อมีร้านเซเว่น อีเลฟเว่น มาเปิดใหม่ แถวบ้านไม่มมีร้านค้าผลตอบรับค่อนข้างดีเกินกว่าที่คิดเอาไว้ หลังจากเปิดลูกค้าประจำเริ่มมากขึ้น ยอดขายเป็นที่น่าพอใจ จึงตัดสินใจเปิดร้านสาขาสอง FIVE STAR หน้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เทียนทะเล 28 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผลตอบรับดีเช่นเดียวกัน โดยทั้งสองร้านมีระบบการจ่ายด้วยทรูมันนี่ (TrueMoney) และบริการส่งสินค้า (delivery service) ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

“จุดเริ่มต้นการเป็นเถ้าแก่เล็กห้าดาว จากการมองเห็นช่องทางหารายได้เสริมจากธุรกิจหลักและต่อยอดธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น วันนี้ธุรกิจขายหน้ากากอนามัยยังคงเป็นอาชีพหลัก โดยมีรายได้เสริมจากร้านห้าดาวทั้งสองสาขามาสนับสนุน ทำให้สภาพคล่องทางการเงินมีมากขึ้น ตอนนี้กำลังวางแผนที่จะทำธุรกิจห้าดาวภายใต้แบรนด์อื่นๆอีก เพราะเชื่อว่าธุรกิจนี้จะมั่นคงและเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับเรา และทีมงานได้ ส่วนปัจจัยสู่ความสำเร็จที่ยึดมั่นคือ คุณภาพสินค้า และการบริการที่ดี ที่ช่วยมัดใจลูกค้าได้ ที่สำคัญคือการมีเพื่อนแท้ทางธุรกิจที่ดีอย่างทีมห้าดาวที่ช่วยทำการตลาดและช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆอย่างทันท่วงที เมื่อผนวกกับการเทรนนิ่งทีมงานให้มีการบริหารจัดการอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน ก็ทำให้ธุรกิจนี้มั่นคงยิ่งขึ้น” ณัฐกานต์ กล่าว

สุดท้ายณัฐกานต์ฝากถึงคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ หรือผู้ที่ตั้งใจต่อยอดสู่อาชีพหลัก ธุรกิจห้าดาวถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการสร้างอาชีพ ด้วยการลงทุนน้อย คืนทุนไว และมีแบรนที่เข้มแข็ง มีทีมงานที่คอยสนับสนุน ขอให้ “ลองมาลงทุนธุรกิจ FIVE STAR แล้วจะไม่ผิดหวัง”

ออมสิน​ มอบสิทธิพิเศษกลุ่ม​ LGBTQ+ ให้กู้ร่วมซื้อบ้าน​ ดอกเบี้ยต่ำ​ ผ่อนสบาย

0

? พลัสความรัก เพิ่มความสุข กู้ร่วมซื้อบ้านกับธนาคารออมสินง่าย ๆ สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ … ดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนสบาย
พิเศษ สำหรับวงเงินกู้สินเชื่อเคหะต่อสัญญา ตั้งแต่ 3,000,000 บาทขึ้นไป
✨️ รับ Gift Card Centara มูลค่า 3,000 บาท จำกัดจำนวน 77 สัญญาแรก
✨️ รับ Gift Card Centara มูลค่า 5,000 บาท ที่มีวงเงินกู้สูงสุด จำนวน 2 สัญญา
ผู้ร่วมกิจกรรมมีสิทธิ์ได้รับรางวัลสูงสุดเพียงรางวัลเดียวเท่านั้น
? ดอกเบี้ยต่ำ (เป็นไปตามโปรโมชันสินเชื่อเคหะที่ลูกค้าเลือกใช้)
? ผ่อนนานสูงสุด 40 ปี
▪️ ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมที่ธนาคารออมสินทุกสาขา ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2566
▪️ ยื่นกู้ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2566
▪️ อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2566

คุณสมบัติผู้กู้ :

  1. เป็นผู้ฝากเงินประเภทเผื่อเรียกของธนาคาร
  2. มีอายุครบ 20 ปีขึ้นไป และเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี
  3. มีอาชีพและรายได้แน่นอน
  4. เป็นการกู้ร่วมในลักษณะของคู่เพื่อน / คู่รักที่ไม่จำกัดเพศ

หลักประกัน :

  1. ที่ดินเพื่อเตรียมปลูกสร้างอาคาร หรือที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด ตามวัตถุประสงค์ที่ขอกู้และตั้งอยู่ในแหล่งชุมชนที่มีความเจริญ มีไฟฟ้า สาธารณูปโภคอื่นๆ ตามความจำเป็น และมีทางสาธารณประโยชน์ ซึ่งรถยนต์ผ่านเข้าออกได้สะดวก
  2. หลักทรัพย์อื่นตามที่ธนาคารประกาศกำหนด


สมัครขอสินเชื่อคลิก > https://bit.ly/3C3K6gH
หรือที่ธนาคารออมสินทุกสาขา
⚠️ เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

เคล็ดลับความสำเร็จ ‘CP FI-IT’ ไส้กรอกโปรตีนสูง สุดยอดนวัตกรรมแห่งปี จากกระบวนการผลิตมาตรฐานสากล

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มไส้กรอก CP ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาด เผยความสำเร็จแบรนด์ CP FI-IT (ฟิ-อิต) ผลิตภัณฑ์ไส้กรอกโปรตีนสูงเทียบเท่ากับไข่ขาว 5 ฟอง ไขมันและโซเดียมลดลง ยกระดับอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพื่อผู้บริโภค การันตีคุณภาพด้วย 2 รางวัลระดับโลก ได้แก่ “สุดยอดนวัตกรรมอาหาร” (THAIFEX-Anuga Taste Innovation Show 2023) และ “สุดยอดรสชาติอาหารระดับโลก ประจำปี 2023” จากประเทศเบลเยียม

นายณฤกษ์ มางเขียว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ดส์ แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จำกัด กล่าวว่า ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้บริโภคเป็นอันดับแรก จึงมุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาอาหารทางเลือกใหม่ที่ดีต่อร่างกาย คุณภาพปลอดภัยได้มาตรฐานสากล เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค เสริมความอร่อยคู่กับประโยชน์จากสารอาหาร ด้วยการนำนวัตกรรมผนวกกับหลักโภชนาการที่ถูกต้อง พัฒนาจนเป็น ไส้กรอกอกไก่พริกไทยดำ ‘CP FI-IT’

“กว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แบรนด์ CP FI-IT ที่ดีที่สุด ต้องควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทันสมัยตลอดกระบวนการผลิต จนได้ “ไส้กรอกอกไก่พริกไทยดำ” รสชาติอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อสุขภาพดีอย่างยั่งยืน โดยใช้วัตถุดิบที่ ‘เนื้ออกไก่’ คุณภาพดีเต็มชิ้น ปลอดสาร ปลอดภัย ปราศจากฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) มาบดผสมกับเครื่องปรุงรสชั้นดี โดยเฉพาะพริกไทยดำ จึงได้ไส้กรอกที่อุดมไปด้วยโปรตีนสูง ทุกซองให้โปรตีนถึง 20 กรัม เทียบเท่ากับไข่ขาว 5 ฟอง ไขมันและโซเดียมลดลง ที่สำคัญไม่เติมผงชูรส และรสชาติถูกปากผู้บริโภค” นายณฤกษ์ กล่าว

ซีพีเอฟ ใส่ใจกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน ตั้งแต่การรับวัตถุดิบและจัดเก็บในห้องเย็น ด้วยอุณหภูมิ 0-4 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นห้องจัดเก็บและเบิกจ่ายวัตถุดิบแบบอัตโนมัติ ที่เรียกว่า ASRS (Automated Storage & Retrieval System) ช่วยให้คุณภาพสินค้าสดใหม่เสมอ จากนั้นนำไปผ่านกระบวนการทำให้สุกด้วยการอบและรมควัน โดย ‘ระบบรมควันแบบปิด’ ทำให้ได้กลิ่น สีน่ารับประทาน ทั้งนี้ยังใช้เทคโนโลยีในการดักแยกสารทาร์ (TARs) ที่มีองค์ประกอบของสารก่อมะเร็งออกจากไส้กรอก และเข้าสู่การตรวจซ้ำว่า ปลอดจากสารทาร์ 100% เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์ปลอดภัยต่อผู้บริโภค

นอกจากนี้ บริษัทฯ ใช้ระบบสายพานอัตโนมัติแบบต่อเนื่องด้วยหุ่นยนต์ในการจัดเก็บวัตถุดิบ และแขนกลอัจฉริยะ (Star Robot) ในการจัดการสินค้าในคลังสินค้า จึงทำให้ทุกขั้นตอนที่เกิดขึ้นในโรงงานไม่มีการสัมผัสผ่านมือโดยตรง รวมทั้งยังควบคุมกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน ภายใต้อุณหภูมิ 12 องศาเซลเซียส ช่วยคงความสด สะอาด ปลอดภัยอยู่เสมอ ขณะเดียวกัน ยังเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ไส้กรอกชนิดเทอร์โมฟอร์มแบบฟิล์มหลายชั้น (Multi-layer thermoforming film) เพื่อรักษาความสดใหม่ของอาหาร ป้องกันการซึมผ่านของออกซิเจน ลดการปนเปื้อนระหว่างการบรรจุ ทำให้อายุการเก็บของผลิตภัณฑ์นานขึ้น และส่งต่อไปยังเครื่องตรวจจับโลหะ การวิเคราะห์ส่วนผสมที่สำคัญในห้องปฏิบัติการอย่างเข้มงวด ก่อนจำหน่ายแก่ผู้บริโภค

“ที่สำคัญ ไส้กรอกอกไก่พริกไทยดำ แบรนด์ CP FI-IT ไม่มีการใช้สารกันเสีย ดินประสิว และสารไนเทรต ส่วนโซเดียมไนไทรต์ จะใช้ในปริมาณต่ำกว่าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนด เพื่อตรึงสภาพสีของเนื้อไส้กรอกให้คงอยู่ ผู้บริโภคสามารถเชื่อมั่นในความสด สะอาด ปลอดภัย และถูกหลักอนามัย นอกจากนี้ ยังอยู่ภายใต้การควบคุมการผลิตตามมาตรฐานการส่งออกของกรมปศุสัตว์ด้วย จึงยืนยันว่า ไส้กรอก CP FI-IT ไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 100%” นายณฤกษ์ กล่าวย้ำ

AIS จัดเต็มสิทธิพิเศษ ร่วมฉลอง Pride Month สนับสนุนการเป็นตัวเองแบบไร้ขีดจำกัด Endless shade of you

0

AIS ร่วมเฉลิมฉลอง Pride Month พร้อมตอกย้ำความเชื่อขององค์กร โอบกอดทุกความหลากหลายที่แตกต่างกัน ทั้งเพศวิถี และการแสดงออกของพนักงานกว่า 13,000 คน โดย AIS เป็นองค์กรแห่งการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้โชว์ศักยภาพอย่างเต็มที่ เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการออกมาให้กับลูกค้าและคนไทยได้เติมเต็มสีสันการเป็นตัวเองแบบไร้ขีดจำกัด หรือ Endless shade of you

ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS  เปิดเผยว่า “ AIS เชื่อว่าองค์กรคือจุดเริ่มต้นที่ดีในการเปิดรับความแตกต่างและหลากหลาย เราสร้างวัฒนธรรมการทำงานขององค์กรที่โอบกอดความหลากหลาย ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความเท่าเทียมให้กับบุคลากร เพื่อให้ทุกคนได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่แบบไร้อคติ อันจะนำมาซึ่งพลัง ความคิด ความสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ในองค์กรได้ถูกถ่ายทอดส่งต่อไปยังลูกค้า สังคม และคนไทยทุกกลุ่ม ผ่านโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่เรามุ่งพัฒนาเพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงดิจิทัลและเทคโนโลยีชั้นนำ ที่เราพร้อมจะ Endless shade of you ผ่านการสนับสนุนให้ทุกคนเป็นตัวเอง โดยมีประสบการณ์และบริการดิจิทัล รวมถึงสิทธิพิเศษ ที่เข้าใจและตอบทุกไลฟ์สไตล์ความแตกต่างหลากหลายของลูกค้าทุกคน”

โดย AIS ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลอง Pride Month ผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์เพื่อส่งมอบสิทธิพิเศษที่เข้าใจคุณ ทั้งเรื่องกิน เที่ยว ช้อป และสุขภาพ ให้ทั้งลูกค้า AIS และ AIS Serenade สามารถเลือกใช้ชีวิตได้อย่างต้องการ กล้าที่จะมีความสุขในแบบของตัวเอง

  • สร้างความสุขจากภายในสู่ภายนอก เอาใจคนรักสุขภาพ พิเศษเฉพาะช่วง Pride month เมื่อช้อปปิ้งไอเทมกีฬาที่ Rev Runnr รับฟรีกระเป๋าลายเรนโบว์ และส่วนลด 10% เมื่อชอปครบ 4,000 / ลูกค้าเซเรเนด รับส่วนลดเพิ่มอีก 100 บาท, ให้คุณบำบัดร่างกาย ผ่อนคลายกับบริการ สปา ออนเซน ในสไตล์เกาหลี กับส่วนลดสูงสุดถึง 25% ที่ Health World, ส่วนลดสูงสุด 15% กับบริการรูปแบบใหม่ที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องการนอน กับ Sleep Coach Thailand และ บริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ จาก Doctor A to Z รับสิทธิ์ปรึกษาหมอออนไลน์ฟรี 2 ครั้ง
  • สร้างความสุขออกไปฉลองอย่างจุใจในช่วงแห่งเวลาในการฉลองเฉลิม รับส่วนลด 30 บาท กับ Exclusive เมนูเครื่องดื่ม จาก GAGA และ Black Canyon ที่มีสีสัน สะท้อนความโดดเด่น ความเป็นตัวคุณในแบบของคุณเอง
  • สร้างความสุขด้วยการออกไปช้อปปิ้ง กับ ส่วนลด 100 เมื่อซื้อสินค้า Sephora collection ครบ 800 บาทขึ้นไป ร้าน Sephora ให้คุณได้แต่งแต้มสีสันทุกช่วงเวลาพิเศษตลอดทั้งเดือน
  • สร้างความสุขด้วยการออกไปยังจุดหมายปลายทางในฝันได้อย่างอิสระ กับประสบการณ์การท่องเที่ยวสุดพิเศษกับ air asia Superapp มอบสิทธิพิเศษส่วนลด 5% (สูงสุด400บาท) สำหรับเที่ยวบินทั้งในและต่างประเทศ

โดยลูกค้า AIS Serenade สามารถดูรายละเอียดการรับสิทธิ์ได้ที่ แอปพลิเคชัน myAIS เริ่มรับสิทธิ์ได้ตลอดทั้งเดือนตั้งแต่วันที่ 1 – 30 มิถุนายน 2566 นี้

“เราขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมเฉลิมฉลองกับลูกค้าและคนไทยในเดือนแห่งความพิเศษและภาคภูมิใจของความหลากหลายทางเพศ ด้วยคำมั่นสัญญาในการทำงานเพื่อให้ลูกค้าและคนไทยได้เข้าถึงบริการดิจิทัลอย่างดีที่สุดต่อไป” นายปรัธนา กล่าวทิ้งท้าย

1 มิ.ย. วันดื่มนมโลก เซเว่นฯ จับมือคู่ค้า จัดแคมเปญ “มั่นใจ สดใหม่ทุกวัน” เอาใจสายสุขภาพ

0

เซเว่น อีเลฟเว่น จับมือคู่ค้าผลิตภัณฑ์นม เดินหน้าแคมเปญนม “มั่นใจ สดใหม่ทุกวัน” ด้วยความใส่ใจในการตรวจสอบคุณภาพของนมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อส่งมอบนมที่มีคุณภาพตลอด 24 ชม. และส่งเสริมให้คนไทยดื่มนมทุกวัน สุขภาพดีทุกวัย พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษที่เซเว่นฯ ต้อนรับวันดื่มนมโลก 1 มิถุนายน

สำหรับความร่วมมือกับคู่ค้าผลิตภัณฑ์นม ได้แก่ ซีพี เมจิ , ดัชมิลล์, โฟร์โมสต์ , ไวตามิ้ลค์, ฮูเร่, ซันคิสท์, อัลมอนด์บรีซ, กู๊ดเมท, บีทาเก้น, โทฟุซัง, จัสท์ดริ้งค์, โชคชัย, หนองโพ, โอวัลติน, แลคตาซอย, ไอวี่, เนสท์เล่, กูลิโกะ, แอนลีน และแอนมัม ชวนคนไทยดื่มนมทุกวันเพื่อสุขภาพที่ดีที่เซเว่นฯ โดยจัดโปรโมชั่นพิเศษมอบส่วนลด ต้อนรับเทศกาลวันดื่มนมโลก พร้อมกันนี้ยังได้จัดกิจกรรมต้อนรับวันดื่มนมโลก แจก ชิม ผลิตภัณฑ์นม เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกชิม พร้อมมั่นใจในความสดใหม่ของนม และหลากหลายตอบทุกความต้องการ ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น

คนรักสุขภาพสามารถพบโปรโมชั่นพิเศษอีกมากมายได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 23 มิถุนายน 2566 ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ และเซเว่น เดลิเวอรี่